9.นำไส้กรอก กุ้ง และปลาจ้ิงจั้ง(เรียกชื่อตามบ้านเกิดค่ะ)
นำลงไปทอดพร้อมกันได้เลยค่ะ
(ประหยัดเวลาและไฟฟ้าแถมเรื่องรสชาติไม่มีปัญหาเลยค่ะ)


10.เมื่อสุกได้ที่แล้ว คีบวางลงบนกระดาษซับน้ำมันค่ะ

11.สับกุ้งที่ทอดเมื่อครู่ให้ละเอียดแล้วเหยาะน้ำสลัด
คลุกให้เข้ากัน

12.นำข้าวเครื่องแกงเผ็ดเมื่อครู่ที่ยังเหลืออยู่มาใส่ลงในแม่พิมพ์รูปหัวใจ
แล้วใส่ไส้ซึ่งได้จากขั้นตอนที่11 ไว้้ตรงกลาง
ดังภาพ

13.แล้วก็ประกบให้เข้ากัน พร้อมกับนำไข่ที่ต้มเอาไว้เมื่อครู่
ปอกให้เสร็จเรียบร้อยแล้ววางลงบนแม่พิมพ์ดังภาพ

14.แล้วประกบให้เข้ากันเป็นคู่ดังภาพค่ะ

ทิ้งไว้อย่างนั้นจนกว่าจะทำขั้นที่15-16 เสร็จเรียบร้อยค่ะ

15.จัดวางทุกอย่างที่ทำไว้ลงในเบนโตะหรือปิ่นโตค่ะ
ห้ามยัดๆลงไปนะคะ เดี๋ยวจะเละและออกมาไม่น่าทานตอนเปิดรับประทาน

(ภาพข้างบนคือชั้นล่างของเบนโตะหรือปิ่นโตค่ะ)
16.จัดสลัดผักและผลไม้ไว้ชั้นบนของเบนโตะหรือปิ่นโต
เพราะผักและผลไม้ช้ำง่าย อีกอย่าง ก่อนทานข้าว
เราควรทานผลไม้ก่อน เพราะผลไม้และผักย่อยเร็วกว่าข้าว
ตามหลักโภชนาการค่ะ


17.หน้าตาที่จัดออกมาได้ประมาณนี้ค่ะ

18.นำแต่ละชั้นมาวางซ้อนกันแล้วคาดด้วยสายคาดเพื่อความกระชับ
สะดวกเวลาพกพา พร้อมด้วยตะเกียบในกล่องน้อยข้างๆค่ะ

19.และแล้วเราก็เดินทางมาถึงขั้นตอนสุดท้ายแล้วค่ะ...
นั่นคือการยัดเจ้าเบนโตะหรือปิ่นโตลงถุงผ้า
สะดวกและไร้กังวลเวลาพาไปไหนค่ะ
เพราะว่าเล็กกะทัดรัด น่ารักน่าถือใช่มั้ยคะ


ฟมายเหตุ: เวลาเราถือศีลอดนั้นยิ่งสะดวกเลยค่ะ
เพราะข้าวปั้นอยู่ได้นาน ทำตอนรุ่งเช้าก็สามารถทาน
ตอนเปิดบวชได้โดยไม่มีเน่าเสียหรือบูดค่ะ
ที่สำคัญอยู่ที่เราจะเลือกทำอาหารประเภทใดด้วยค่ะ
หากไม่มีน้ำมันหรือกะทิ มักจะบูดช้ากว่าที่ทำจากน้ำมัน
เพราะบางครั้ง เราเคลียร์งานหรือมีเรียนจนเลยเวลาตะวันตกดิน
ไม่มีเวลาออกไปหาอะไรทานข้างนอกได้ทันท่วงที
กล่องข้าวน้อยสามารถช่วยเราได้ค่ะ...
เรื่องงานและเรื่องเรียนก็ไม่สะดุดด้วยค่ะ

แล้วอีกอย่่างสามารถแบ่งปันกับเพื่อนร่วมงานและเพื่อนร่วมห้องได้ด้วยค่ะ
แม้เราจะทานของเขาไม่ได้ แต่เขาทานของเราได้แน่นอนค่ะ

มิตรไมตรีและสายสัมพันธ์ระหว่างกันก็จะก่อเกิดขึ้นจากสิ่งเล็กๆน้อยๆ
แต่เกิดจากการทำบ่อยๆ

ปล.ข้าวปั้นและซูชิม้วนเครื่องแกงคงเหมาะกับบ้านเรา
แต่ไม่เหมาะกับคนญี่ปุ่น เพราะเผ็ดได้ใจค่ะ ฟันธง!!!

วัสลามค่ะ