ผู้เขียน หัวข้อ: อัลกุรอาน คำแปลและคำอธิบาย (ตอนที่ 32 สูเราะฮฺ อัสสัจญดะฮฺ)  (อ่าน 4974 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

salam

    หลังจากที่ได้นำคำแปลอัลกุรฺอานและคำอธิบาย จากหนังสืออ้างอิง 5 เล่ม (หนังสืออ้างอิงดูในตอนที่ 1 http://www.sunnahstudents.com/forum/index.php?topic=5481.0) มานำเสนอแล้ว 5 ตอน คือ
    ตอนที่ 1 สูเราะฮฺที่ 1 อัลฟาติหะฮฺ 
    ตอนที่ 2 สูเราะฮฺที่ 2 อัลบะเกาะเราะฮฺ (ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการนำเสนอ)
    ตอนที่ 112 – 113 – 114  สูเราะฮฺที่ 112 อัลอิคลาศ สูเราะฮฺที่ 113  อัลฟะลัก และสูเราะฮฺที่ 114  อันนาส
      ผมตั้งเจตนาที่จะนำคำแปลอัลกุรฺอานจากหนังสืออ้างอิงทั้ง 5 มานำเสนออีก 4 สูเราะฮฺ (4 ตอน)ตามลำดับ ดังนี้
    ตอนที่ 32 สูเราะฮฺ อัสสัจญดะฮฺ
    ตอนที่ 36  สูเราะฮฺ ยาสีน(อ่านว่า ยา....ซีน ที่ใช้ ส.เสือสะกด เพื่อบ่งชี้ว่า ถอดมาจากตัวอักษร س)
    ตอนที่ 44 สูเราะฮฺ หามีม อัดดุคอน(อ่านว่า ฮา – มีม การใช้อักษร ห.หีบ  เพื่อบ่งชี้ว่าถอดมาจาก ตัวอักษร ح )
    ตอนที่ 67 สูเราะฮฺ อัลมุลกุ
    เหตุผลที่เลือกเอาคำแปลของสูเราะฮฺทั้งสี่นี้มานำเสนอก่อนเพราะ
-   เป็นสูเราะฮฺที่พี่น้องมุสลิมจำนวนไม่น้อย อ่านกันบ่อย ๆ หลายคนท่องจำ  จึงควรที่จะรู้ถึงความหมายของสิ่งที่ตนเองท่องจำ จะได้ซาบซึ้งใน กะลามุลลอฮฺที่อ่านออกมา
-   สำหรับบรรดาผู้ที่ศึกษาเพื่อการท่องจำกุรฺอาน(ฮาฟิซ)  4 สูเราะฮฺนี้ถือเป็นสูเราะฮฺ หลัก ที่จะต้องท่องจำและเอาไปใช้อ่านในละหมาดตะฮัจญุด และดุอาอุ์ขอความจดจำต่ออัลลอฮฺ
    (โปรดศึกษาใน   http://www.sunnahstudents.com/forum/index.php?topic=5193.msg70530#msg70530)
-   มีรายงานหะดีษที่บ่งบอกถึงความพิเศษบางประการของแต่ละสูเราะฮฺ ทั้ง 4 สูเราะฮฺ ซึ่งจะได้นำเสนอในกระทู้ของสูเราะฮฺนั้น ๆ ต่อไป
-   ขอเริ่มต้น ด้วย อัลกุรฺอาน คำแปล และคำอธิบาย สูเราะฮฺที่ 32 อัสสัจญดะฮฺ ก่อน

--------------------------------------------------

   
คำอธิบายประกอบสูเราะฮฺ (R4)
สูเราะฮฺนี้เป็นบัญญัติมักกียะฮฺ มี 30 อายะฮฺ ความหมายโดยสรุปของศุเราะฮฺ อัสสัจญดะฮฺ
[/color]

   ซูเราะฮฺอัซซัจญดะฮฺ เป็นซูเราะฮฺมักกียะฮฺที่มีสภาพคล้ายคลึงกับซูเราะฮฺมักกียะฮฺอื่น ๆ ที่กล่าวถึงหลักการอะกีดะฮฺของอิสลาม คือ การศรัทธาต่ออัลลอฮฺ ต่อวันปรโลก ต่อบรรดาคัมภีร์ ต่อบรรดารอซูล ต่อการฟื้นคืนชีพและการตอบแทน จุดมุ่งหมายหลักของสูเราะฮฺมักกียะฮฺในการดำเนินเรื่องก็คือ การฟื้นคืนชีพหลังจากตายไปแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่พวกมุชริกีนโต้เถียงกันมาก และถือเป็นข้ออ้างในการปฏิเสธท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม
   ซูเราะฮฺนี้เริ่มด้วยการขจัดข้อสงสัยที่พวกมุชริกีนมีต่ออัลกุรอาน ซึ่งเป็นปาฏิหาริย์อันยิ่งใหญ่ของท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จึงเป็นเหตุให้มีการกล่าวหาและสงสัยว่า ท่านเป็นผู้ปั้นแต่งอัลกุรอานขึ้นมาเอง ทั้ง ๆ ที่ อายาตทั้งหลายก็เป็นที่ประจักษ์แจ้งในความหมายและหลักฐาน ดังนั้น ซูเราะฮฺนี้จึงได้ตอบโต้ข้อกล่าวหาดังกล่าวด้วยหลักฐานอันชัดแจ้ง
   ซูเราะฮฺนี้กล่าวถึงหลักฐานต่าง ๆ แห่งเดชานุภาพและเอกภาพ ด้วยการชี้แจงถึงร่องรอยแห่งเดชานุภาพของอัลลอฮฺในหมู่จักรวาลทั้งหลาย ในชั้นฟ้าและแผ่นดินตามแบบฉบับของอัลกุร อานในการเบนความสนใจไปสู่พระผู้สร้าง ผู้ทรงเอกะ ผู้ทรงพิชิตอย่างเด็ดเดี่ยว
   จากนั้นอัลกุรอานได้กล่าวถึงความสงสัยแบบคนปัญญาอ่อนของพวกมุชริกีนในการปฏิเสธของพวกเขาต่อการฟื้นคืนชีพและการชุมนุมในวันกิยามะฮฺ อัลกุรอานได้ล่าวตอบความสงสัยนั้นด้วยหลักฐานอันเด็ดขาดและชัดแจ้ง จนกระทั่งพวกเขายอมรับในความปราชัยของตนต่อหน้าหลักฐาน
   ซูเราะฮฺนี้จบลงด้วยการกล่าวถึงวันแห่งการสอบสวน และสิ่งที่อัลลอฮฺทรงจัดเตรียมในวันนั้นแก่บรรดาผู้ศรัทธา ผู้ยำเกรง คือความสุขสำราญอันถาวรในสวนสวรรค์อันหลากหลาย และสิ่งที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้สำหรับบรรดาอาชญากร คือการลงโทษและการใส่โซ่ตรวนในนรกญะฮันนัม
   ชื่อของซูเราะฮฺ
   ซูเราะฮฺนี้ถูกเรียกชื่อว่า “ซูเราะฮฺอัซซัจญดะฮฺ” เพราะพระองค์ทรงกล่าวถึงลักษณะของบรรดาผู้ศรัทธา ผู้กระทำดี ซึ่งเมื่อพวกเขาได้ยิน อายาตของอัลกุรอานุลอะซีม “..พวกเขา(จะ)ก้มลงสุญูด และสดุดีสรรเสริญแด่พระเจ้าของพวกเขาโดยพวกเขาไม่หยิ่งผยอง” ซุนนะฮฺให้อ่านซูเราะฮฺนี้ในละหมาดฟัจรฺของวันศุกร์
   ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เคยอ่านในละหมาดฟัจรฺของวันศุกร์สองซูเราะฮฺ คือ “อะลีฟ ลามมีม ตันซีล” และ “ฮัลอะตาอะลัลอินซาน” ส่วนใหญ่ของผู้ที่ไม่มีความรู้คิดว่า จุดมุ่งหมายในข้อแตกต่างของการละหมาดนี้คือ มีการสุญูดเพิ่มขึ้น และเรียกกันว่า สุญูดของวันศุกร์ เมื่อผู้ใดมิได้อ่านซูเราะฮฺนี้ก็ชอบที่จะให้อ่านซูเราะฮฺอื่นที่มีสุญูด ด้วยเหตุนี้อิมามบางท่านจึงไม่ชอบที่จะให้อ่านซูเราะฮฺนี้เป็นประจำในเช้าวันศุกร์ เพื่อป้องกันความกังขาของผู้ที่ไม่รู้
   ชัยคุลอิสลาม อิบนุตัยมียะฮฺ ได้กล่าวไว้ว่า “ความจริงการที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้อ่านซูเราะฮฺนี้ในเช้าวันศุกร์ ก็เพราะว่าทั้งสองซูเราะฮฺนั้นประมวลไว้ด้วยสิ่งที่ได้เกิดขึ้นและจะเกิดขึ้นในวันนั้น สองซูเราะฮฺนั้นได้กล่าวคลุมถึงการสร้างอาดัม สภาพการของวันอาคิเราะฮฺ และการชุมนุมของปวงบ่าว ทั้งหมดนั้นจะเกดขึ้นในวันศุกร์ การอ่านซูเราะฮฺทั้งสองในวันนี้เพื่อเตือนให้ประชาชาติรำลึกถึงสิ่งที่ได้เกิดขึ้นและจะเกิดขึ้น ส่วนการสุญูดนั้นเป็นเพียงลักษณะต่อเนื่องมิใช่เป็นการเจาะจง จนกระทั่งทำให้ผู้กระทำละหมาดเจาะจงอ่านซูเราะฮฺนี้ เพื่อให้เป็นการสอดคล้องกัน นี่คือลักษณะเฉพาะข้อหนึ่งของวันศุกร์”

ออฟไลน์ hiddenmin

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2453
  • เพศ: ชาย
  • 404 not found
  • Respect: +76
    • ดูรายละเอียด
    • Ikhlas Studio

ขอญุซอัมมาด้วย  :ameen:

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
 salam

คิวต่อจากสี่สูเราะฮฺนี้ อินชาอัลลอฮฺ

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัสสัจญดะฮฺ อายะฮฺที่ 1 - 10



คำอ่าน
1. อะลิฟ ลาม...มีม...

คำแปล R1.
1. Alif-Lam-Mim. [These letters are one of the miracles of the Qur'an, and none but Allah (Alone) knows their meanings.]

คำแปล R2.

1. อลิฟ, ลาม, มีม

คำแปล R3.

1. อะลีฟ ลาม มีม

คำแปล R4.
1. อะลิฟ ลาม มีม

คำแปล R5.
๑.อาลิฟ ลาม มีม อัลเลาะห์ทรงรอบรู้ความหมายของถ้อยคำนี้เพียงพระองค์เดียว


คำอ่าน
2. ตัน..ซีลุลกิตาบิลาร็อยบะฟีฮิ มิรฺร็อบบิลอาละมีน

คำแปล R1.
2. The revelation of the Book (this Qur'an) in which there is no doubt is from the Lord of the 'Alamin (mankind, jinns and all that exists)!

คำแปล R2.
2. การลงคัมภีร์ (กุรอาน) ย่อมไม่มีข้อสงสัยในนั้น มาจากองค์อภิบาลแห่งโลกทั้งมวลอย่างแน่นอน

คำแปล R3.
2. การประทานคัมภีร์นี้ไม่มีข้อสงสัยใด ๆ ในนั้น จากพระผู้อภิบาลแห่งสากลโลก

คำแปล R4.
2. การประทานลงมาของคัมภีร์นี้ไม่มีข้อสงสัยใด ๆ ในนั้น จากพระเจ้าแห่งสากลโลก

คำแปล R5.
๒.อันคัมภีร์อัลกุรอานที่ถูกประทานลงมาย่อมไม่มีข้อเคลือบแคลงในนั้น เป็นคัมภีร์ที่มาจากผู้ทรงอภิบาลโลกทั้งหลาย


คำอ่าน
3. อัมยะกูลูนัฟตะรอฮฺ, บัลฮุวัลหักกุ มิรฺร็อบบิกะลิตุน..ซิเราะก็อวฺมัม..มา..อะตาฮุม..มินนะซีริม..มิน..ก็อบลิกะละอัลละฮุม ยะฮฺตะดูน

คำแปล R1.
3. Or Say they: "He (Muhammad) has fabricated it?" Nay, it is the truth from Your Lord, that you may warn a people to whom no warner has come before you (O Muhammad), in order that they may be guided.

คำแปล R2.
3. หรือพวกเขาจะพูดว่า มุฮำมัดได้เสกสรรขึ้นมาเอง แต่ความเป็นจริงแล้ว คัมภีร์นั้น เป็นสัจธรรมที่มาจากองค์อภิบาลของเจ้าเพื่อจะได้ตักเตือนกลุ่มชนหนึ่ง ซึ่งยังไม่มีผู้ตักเตือนคนใดมา(ประกาศสัจธรรม)ยังพวกเขาก่อนหน้าเจ้าเลย ทั้งนี้เพื่อพวกเขาจะได้รับการชี้นำ

คำแปล R3.
3.พวกเขากล่าวว่า คนผู้นี้ปลอมมันขึ้นมากระนั้นหรือ? เปล่าเลย มันเป็นความจริงจากพระผู้อภิบาลของเจ้า เพื่อที่เจ้าจะได้ตักเตือนหมู่ชน ที่ไม่มีผู้ตักเตือนคนใดมาก่อนหน้าเจ้า เพื่อที่เขาจะได้ถูกนำทางอย่างถูกต้อง

คำแปล R4.
3. หรือพวกเขากล่าวว่า “เขา (มุฮัมมัด) ได้ปั้นแต่งคัมภีร์นี้ขึ้นมา” แต่ว่าคัมภีร์นี้ คือ สัจธรรมจากพระเจ้าของเจ้า เพื่อเจ้าจักได้ตักเตือนกลุ่มชนหนึ่งที่มิได้มีผู้ตักเตือนคนใดมายังพวกเขา ก่อนหน้าเจ้า หวังว่าพวกเขาจะได้อยู่ในแนวทางที่ถูกต้อง  

คำแปล R5.
๓.หากทว่า พวกเขากล่าวใส่ไคล้ว่า นบีมุฮำมัด เขาเสกสรรมันขึ้นมาเอง หาใช่บทโองการที่มาจากอัลเลาะห์ไม่ แต่ความจริงมันเป็นสัจธรรมจากผู้ทรงอภิบาลของเจ้า เพื่อเจ้าจักใช้อัลกุรอานนี้เป็นเครื่องตักเตือนกลุ่มชนหนึ่งซึ่งยังไม่เคยมีผู้ตักเตือนก่อนหน้าเจ้ามายังพวกเขาก่อนเลย กลุ่มชนนั้น คือ ชาวอาหรับ เพื่อพวกเขาจักได้รับการชี้นำ เพราะการตักเตือนของเจ้า
 

คำอ่าน
4. อัลลอฮุลละซี เคาะกะก็อสสะมาวาติ วัลอัรเฎาะ วะมาบัยนะฮุมา ฟีสิตตะติอัยยามิน..ษุม..มัสตะวาอะลัลอัรชฺ, มาละกุม..มิน..ดูนิฮี มิว..วะลียิว..วะลาชะฟีอิน อะฟะลาตะตะซักกะรูน

คำแปล R1.
4. Allah it is He who has created the heavens and the earth, and all that is between them in six Days. Then He rose over (Istawa) the Throne (in a manner that suits his Majesty). You (mankind) have none, besides him, as a Wali (protector or helper etc.) or an intercessor. Will you not then remember (or receive admonition)?

คำแปล R2.
4. อัลเลาะฮฺผู้ทรงบันดาลฟากฟ้าและแผ่นดิน รวมทั้งสรรพสิ่งระหว่างมันทั้งสองในหกวาระ หลังจากนั้นพระองค์ทรงสถิตบนบัลลังก์(หมายถึงทรงอำนาจปกครอง)สำหรับพวกเจ้าย่อมไม่มีผู้ปกครองและผู้สงเคราะห์คนใดอีกแล้ว นอกเหนือจากพระองค์แล้ว พวกเจ้าไม่สำนึกดอกหรือ

คำแปล R3.
4.อัลลอฮฺ คือผู้ทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน และทุกสิ่งที่อยู่ระหว่างนั้นในหกวัน และหลังจากนั้นได้ทรงสถิตอยู่บนบัลลังก์ สูเจ้าไม่มีผู้คุ้มครองช่วยเหลือนอกไปจากพระองค์และไม่มีผู้ไถ่โทษแทนใด ๆ ต่อหน้าพระองค์ แล้วสูเจ้ายังไม่คิดอีกหรือ?

คำแปล R4.
4. อัลลอฮฺคือผู้ทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งหลาย   และแผ่นดิน   และสิ่งที่อยู่ในระหว่างทั้งสองในเวลา 6 วัน   แล้วพระองค์ทรงสถิตอยู่บนบัลลังก์   สำหรับพวกเจ้านั้นไม่มีผู้คุ้มครองและผู้ช่วยเหลืออื่นจากพระองค์   แล้วพวกเจ้ามิได้ใคร่ครวญบ้างดอกหรือ ?

คำแปล R5.
๔.อัลเลาะห์ผู้ทรงบันดาลฟากฟ้าและแผ่นดิน และสิ่งที่มีในระหว่างทั้งสอง ในหกวัน หลังจากนั้นพระองค์ทรงมุ่งเหนือบัลลังก์ ซึ่งอยู่ที่ฟ้าชั้น ๙ ย่อมไม่มีสำหรับพวกเจ้า นอกเหนือจากพระองค์ ซึ่งผู้ช่วยเหลือใด ๆ ทั้งสิ้น และไม่มีผู้สงเคราะห์อันพึงปัดป้องการลงโทษให้พ้นจากพวกเจ้า ไฉนพวกเจ้าจึงไม่สำนึกถึงความจริงข้อนี้ แล้วพวกเจ้าจะได้มีศรัทธาอย่างแท้จริง

คำอ่าน
5. ยุดับบิรุลอัมเราะมินัสสะมา..อิ อิลัลอัรฺฎิ ษุม..มะยะอฺรุญุอิลัยฮิ ฟีเยามิน..กานะมิกดารุฮู..อัลฟะสะนะติม..มิม..มาตะอุดดูน

คำแปล R1.
5. He manages and regulates (every) affair from the heavens to the earth; then it (affair) will go up to Him, in one Day, the space whereof is a thousand years of your reckoning (i.e. reckoning of our present world's time).

คำแปล R2.
5. พระองค์ทรงบริหารการงานจาฟากฟ้าสู่แผ่นดิน หลังจากนั้น (บรรดาที่ดำเนินไปตามการบริหารดังกล่าว) จะขึ้นไปยังพระองค์ในวันหนึ่ง ซึ่งระยะเวลาของมันเท่ากับหนึ่งพันปีจากจำนวนที่พวกเจ้าเคยนับ

คำแปล R3.
5.พระองค์ทรงบริหารกิจการทั้งหลายของโลกจากชั้นฟ้ายังโลก และบันทึกการบริหารนี้ได้ขึ้นไปสู่พระองค์ในวันหนึ่ง ซึ่งความยาวของมันเป็นเวลาพันปี ตามการนับของเจ้า

คำแปล R4.
5. พระองค์ทรงบริหารกิจการจากชั้นฟ้าสู่แผ่นดิน แล้วมันจะขึ้นไปสู่พระองค์ในวันหนึ่งซึ่งกำหนดของมันเท่ากับหนึ่งพันปีตาม ที่พวกเจ้านับ

คำแปล R5.
๕.พระองค์ทรงบริหารการงานจากฟากฟ้าสู่พื้นดิน หลังจากนั้น การงานและการบริหารนั้นจะขึ้นกลับไปยังพระองค์ ในวันหนึ่งซึ่งระยะเวลาของมันเป็นพันปีจากที่พวกเจ้านับในโลกนี้ นั่นคือ วันปรภพ

 


คำอ่าน
6. ซาลิกะอาลิมุลฆ็อยบิ วัชชะฮาดะติลอะซีซุรฺเราะหีม

คำแปล R1.
6. That is He: the All-Knower of the unseen and the seen, the All-Mighty, the Most Merciful.

คำแปล R2.
6. (คุณลักษณะของพระองค์) นั้น ทรงรอบรู้ทั้งความลี้ลับและความเปิดเผย ทรงไว้ซึ่งอำนาจ อีกทั้งทรงเมตตายิ่ง

คำแปล R3.
6.พระองค์เท่านั้นผู้ทรงรอบรู้ ในสิ่งเร้นลับและสิ่งเปิดเผย พระผู้ทรงอำนาจ ผู้ทรงเมตตาเสมอ

คำแปล R4.
6. นั่นคือพระผู้ทรงรอบรู้สิ่งเร้นลับ และเปิดเผย เป็นผู้ทรงอำนาจ ผู้ทรงเมตตาเสมอ

คำแปล R5.
๖.อัลเลาะห์ผู้ทรงบันดาล ทรงบริหารนั้นทรงรอบรู้ความลี้ลับและเปิดเผย ทรงยิ่งในอำนาจ ทรงยิ่งในเมตตา


คำอ่าน
7. อัลละซี..อะหฺสะนะกุลละชัยอิน เคาะละเกาะฮู วะบะดะอะ ค็อลก็อลอินสานิมิน..ฏีน

คำแปล R1.
7. Who made everything He has created good, and He began the creation of man from clay.

คำแปล R2.
7. ทรงประทานความงดงามแก่ทุก ๆ สิ่งที่พระองค์ทรงบันดาลไว้ และทรงเริ่มบันดาลมนุษย์มาจากดิน

คำแปล R3.
7.ผู้ทรงทำให้ทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างมาอยู่ในรูปแบบที่ดีที่สุด พระองค์ทรงเริ่มต้นการสร้างมนุษย์มาจากดิน

คำแปล R4.
7. ผู้ทรงทำให้ทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างมันให้ดีงาม และพระองค์ทรงเริ่มการสร้างมนุษย์จากดิน

คำแปล R5.
๗.พระองค์เป็นผู้ยังความงดงามแก่ทุก ๆ สิ่งที่พระองค์ได้บันดาลไว้ และทรงเริ่มการบันดาลมนุษยชาติ คือ นบีอาดัม จากดิน


คำอ่าน
8. ษุม..มะญะอะละ นัสละฮู มิน..สุลาละติม..มิม..มา...อิม..มะฮีน

คำแปล R1.
8. Then He made his offspring from semen of despised water (male and female sexual discharge).


คำแปล R2.

8. หลังจากนั้น ทรงบันดาลเผ่าพันธุ์ของเขามาจากเชื้อ จากน้ำอันไร้เกียรติ (ในสายตาของคนทั่วไป)

คำแปล R3.
8.หลังจากนั้น พระองค์ก็ทรงแพร่ลูกหลานของเขาออกไปจากสิ่งที่ออกมาจากน้ำอันน่ารังเกียจ

คำแปล R4.
8. แล้วทรงให้การสืบตระกูล ของมนุษย์มาจากน้ำ (อสุจิ) อันไร้ค่า

คำแปล R5.
๘.หลังจากนั้น ทรงบันดาลเผ่าพันธุ์ของเขาจากก้อนเลือด ซึ่งแปรสภาพจากน้ำอสุจิอันต่ำต้อย

 

คำอ่าน
9. ษุม..มะเสาวาฮุ วะนะฟะเคาะฟีฮิ มิรฺรูหิฮี วะญะอะละละกุมมุสสัมอะ วัลอับศอเราะวัลอัฟอิดะฮฺ เกาะลีลัม..มาตัชกุรูน

คำแปล R1.
9. Then He fashioned him in due proportion, and breathed into him the soul (created by Allah for that person), and He gave you hearing (ears), sight (eyes) and hearts. Little is the thanks you give!

คำแปล R2.
9. หลังจากนั้น พระองค์ทำให้เขามีรูปร่างสมบูรณ์ และเป่าลงไปในเขา จากวิญญาณ (ตามพระประสงค์)ของพระองค์ และพระองค์ทรงบันดาลให้พวกเจ้ามีหู มีตา และมีจิตใจ แต่ก็เล็กน้อยเหลือเกินที่พวกเจ้ากตัญญู

คำแปล R3.
9.หลังจากนั้นพระองค์ได้ทรงทำให้เขาเป็นรูปร่าง และทรงเป่าวิญญาณของพระองค์เข้าไปในตัวเขาและพระองค์ได้ทรงประทานหู ตาและหัวใจแก่พวกเจ้า แต่กระนั้นก็น้อยนักที่สูเจ้าจะขอบคุณ

คำแปล R4.
9. แล้วทรงทำให้เขามีสัดส่วนที่สมบูรณ์ และทรงเป่ารูหฺ (วิญญาณ) ของพระองค์เข้าไปในเขาและทรงให้พวกเจ้าได้ยินและได้เห็นและให้มีจิตใจ (สติปัญญา) ส่วนน้อยเท่านั้นที่พวกเจ้าขอบคุณ

คำแปล R5.
๙. หลังจากนั้นทรงยังความสมบูรณ์แก่การบันดาลนั้น โดยให้นบีอาดัมมีสังขาร อวัยวะ และสื่อสัมผัสต่าง ๆ อย่างครบถ้วน และทรงเป่าเข้าในนั้น จากชีวิตตามความประสงค์ของพระองค์ โดยบันดาลให้อาดัมมีชีวิต ความรู้สึก และเคลื่อนไหวได้ หลังจากที่อยู่ในสภาพของวัตถุอันปราศจากชีวิต ความรู้สึก และความเคลื่อนไหวใด ๆ และทรงบันดาลแก่พวกเจ้าผู้เป็นเผ่าพันธุ์ของนบีอาดัม ซึ่งการฟังและการเห็น และจิตใจ เพื่อการคิดคำนึง แต่พวกเจ้าสำนึกพระคุณของพระองค์น้อยเหลือเกิน ที่ได้ทรงบันดาลสิ่งที่ยังประโยชน์มหาศาลเหล่านั้นแก่พวกเจ้า

 

คำอ่าน
10. วะกอลู..อะอิซาเฎาะลัลนา ฟิลอัรฎิ อะอิน..นา ละฟีค็อลกิน..ญะดีดิม..บัลฮุม..บิลิกอ...อิร็อบบิฮิม กาฟิรูน

คำแปล R1.
10. And they say: "When we are (dead and become) lost in the earth, shall we indeed be recreated anew?" Nay, but they deny the Meeting with their Lord!

คำแปล R2.
10. และพวกเขากล่าวว่า “เมื่อพวกเราลับหายไปในแผ่นดิน (เปื่อยเป็นผุยผงไปแล้ว) พวกเรายังจะได้ (เกิดขึ้นมา)ในกำเนิดใหม่อีกกระนั้นหรือ ทว่า พวกเขาเป็นผู้คัดค้านในเรื่องการได้พบกับองค์อภิบาลของพวกเขาเอง

คำแปล R3.
10. และพวกเขากล่าวว่า “เมื่อเราเป็นธุลีดินไปแล้ว เราจะถูกกำเนิดขึ้นมาใหม่อีกกระนั้นหรือ?” ความจริงก็คือ พวกเขาไม่เชื่อในการพบกับพระผู้อภิบาลของพวกเขา

คำแปล R4.
10. และพวกเขากล่าวกันว่า “เมื่อเราได้สลายตัวลงสู่ใต้ผืนแผ่นดินไปแล้ว เราจะเกิดขึ้นมาใหม่กระนั้นหรือ” แต่พวกเขาปฏิเสธต่อการพบพระเจ้าของพวกเขา

คำแปล R5.
๑๐. และพวกที่ปฏิเสธการฟื้นจากสุสาน เขากล่าวในเชิงคัดค้านว่า เมื่อเราพลัดหลงในแผ่นดิน และล้มตายจนซากศพเน่าเปื่อย กลายเป็นดินไปเองโดยไม่มีการฝังอย่างถูกต้อง เรายังจะได้ฟื้นในกำเนิดใหม่อีกกระนั้นหรือ แต่พวกเขาเป็นผู้ปฏิเสธในการพบกับพระผู้อภิบาลของพวกเขาเอง หลังจากฟื้นขึ้นมาจากสุสาน


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มี.ค. 09, 2010, 11:52 PM โดย Bangmud »

ออฟไลน์ hiddenmin

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2453
  • เพศ: ชาย
  • 404 not found
  • Respect: +76
    • ดูรายละเอียด
    • Ikhlas Studio
มาอัฟด้วย

อาวุโสมีเคืองบอร์ดรึเปล่าเนี้ย

เกิดจากระบบรูป emo ถูกตั้งค่าไว้อย่างไม่ค่อยรัดกุมเท่าไหร่ ตอนนี้แก้ไขละ

jazakallah มากๆ ที่แจ้ง

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
 salam

สูเราะฮฺ อัสสัจญดะฮฺ อายะฮฺที่ 11 – 15



   

คำอ่าน
11. กุลยะตะวัฟฟากุม..มะละกุลเมาติลละซี วุกกิละบิกุม ษุม..มะอิลาร็อบบิกุม ตุรฺญะอูน

คำแปล R1.
11. Say: "The angel of death, who is set over you, will take your souls. Then you shall be brought to your Lord."

คำแปล R2.
11. จงประกาศเถิด “มละกัลเมาต์ ซึ่งได้รับมอบหมายเกี่ยวกับพวกเจ้าจะทำให้พวกเจ้าสิ้นชีวิต หลังจากนั้น พวกเจ้าก็ต้องคืนกลับสู่องค์อภิบาลของพวกเจ้า(เมื่อฟื้นขึ้นจากความตาย)

คำแปล R3.
11. จงบอกพวกเขาว่า “มรณทูตที่ถูกกำหนดไว้เหนือพวกท่านจะมาเอาพวกท่านไปอย่างครบถ้วน หลังจากนั้น ยังพระผู้อภิบาลของพวกท่านจะถูกนำกลับไป”

คำแปล R4.
11. จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด “มะลักผู้ปลิดชีวิต ผู้ได้รับมอบหมายเกี่ยวกับพวกท่าน จะปลิดชีวิตของพวกท่าน แล้วพวกท่านจะถูกนำกลับไปยังพระเจ้าของพวกท่าน

คำแปล R5.
๑๑. โอ้มุฮำมัด เจ้าจงกล่าวตอบพวกเขาเถิดว่า เทวทูต มะละกัลเมาต ซึ่งได้รับมอบหมายในการเอาชีวิตของพวกเจ้าเป็นผู้ทำให้พวกเจ้าสิ้นชีวิต เมื่อครบกำหนดอายุขัย หลังจากนั้น พวกเจ้าจะต้องกลับมายังพระผู้ทรงอภิบาลของพวกเจ้าในสภาพมีชีวิต แล้วพระองค์ก็ตอบแทนผลความประพฤติของพวกเจ้า

 
คำอ่าน
12. วะเลาตะรอ..อิซิลมุจญริมูนะ นากิสู รุอูสิฮิม อิน..ดะร็อบบิฮิม ร็อบบะนา..อับศ็อรฺนา วะสะมิอฺนา ฟัรฺญิอฺนา นะอฺมัล ศอลิหัน อิน..นา มูกินูน

คำแปล R1.
12. And if you only could see when the Mujrimun (criminals, disbelievers, polytheists, sinners, etc.) shall hang their heads before their Lord (saying): "Our Lord! We have now seen and heard, so send us back (to the world), that we will do righteous good deeds. Verily, we now believe with certainty."

คำแปล R2.
12. และมาดแม้นเจ้าเห็นในยามที่เหล่าคนบาปได้ก้มศีรษะลงต่อองค์อภิบาลของพวกเขา (พร้อมวอนขอว่า) “โอ้องค์อภิบาลของเรา เราได้มองเห็น และได้ยินแล้ว(เหตุการณ์ในวันนี้เป็นความจริงเหมือนที่ศาสดาได้ประกาศไว้ทุกประการ) ดังนั้นขอพระองค์ได้โปรดส่งตัวเราคืนกลับ(ไปยังโลกอีกครั้งหนึ่ง)เถิด เราจะประพฤติแต่ความดีงามเท่านั้น (ณ บัดนี้) เรามีความเชื่อมั่นแล้ว

คำแปล R3.
12. ถ้าสูเจ้าได้เห็นผู้ทำผิดในตอนที่พวกเขายืนคอตกอยู่ต่อหน้าพระผู้อภิบาลของพวกเขา (พวกเขาจะกล่าวว่า) “ข้าแต่พระผู้อภิบาลของเรา เราได้เห็นและได้ยินแล้ว โปรดส่งเรากลับไปเพื่อที่เราจะได้ทำดี ตอนนี้เราเชื่อมั่นแล้ว”

คำแปล R4.
12. และถ้าเจ้าได้เห็น เมื่อผู้กระทำผิดทั้งหลายก้มศีรษะของพวกเขาลง  ณ ที่พระเจ้าของพวกเขา (พลางกล่าวว่า) “ข้าแต่พระเจ้าของเรา เราได้เห็นแล้ว เราได้ยินแล้ว ขอได้ทรงโปรดส่งเรากลับไป (ยังโลกดุนยา) เพื่อเราจะได้กระทำความดี แท้จริงเราเป็นผู้มีความเชื่อมั่นแล้ว (ณ บัดนี้)”

คำแปล R5.
๑๒. และโอ้มุฮำมัด เมื่อเจ้าเห็นยามที่เหล่าทรชนทั้งหลาย ได้ก้มศีรษะต่อองค์อภิบาลของพวกเขาในวันปรภพ ด้วยพวกเขาเกิดความละอายที่ความชั่วช้าสามานย์ของตัวเองได้ถูกเปิดเผยจนหมดสิ้น พวกเขารำพึงต่อองค์อภิบาลว่า โอ้ผู้ทรงอภิบาลของเรา เราได้มองเห็นเป็นที่ประจักษ์แจ้งด้วยตาของเราเองแล้วในสิ่งที่เราได้เคยปฏิเสธ คือ การฟื้นจากสุสาน และเราได้ยินอย่างชัดเจนแล้วในการสำนองความจริงแท้ของบรรดาศาสนทูตทั้งหลายที่เราเคยว่าพวกเขากล่าวเท็จ ดังนั้นขอพระองค์ได้โปรดคืนเราสู่สกลโลกอีกคำรบหนึ่งเถิด เพื่อเราจะได้ประพฤติความดีงาม เพราะแท้จริงเราเป็นผู้เชื่อมั่นแล้วในบรรดาศาสนทูตต่าง ๆ และเชื่อมั่นในการฟื้นขึ้นจากสุสาน โดยมีชีวิต เพื่อรอรับการสนองผลตอบแทน จากความประพฤติทั้งหลายของเรา



คำอ่าน
13. วะเลาชิอ์นา ละอาตัยนา กุลลุนัฟสิน ฮุดาฮา วะลากิน หักก็อลก็อวฺลุ มิน..นี ละอัมละอัน..นะญะฮัน..นะมะ มินัลญิน..นะติ วัน..นาสิอัจญมะอีน

คำแปล R1.
13. And if We had willed, surely We would have given every person his guidance, but the Word from Me took effect (about evil-doers), that I will fill Hell with jinn and mankind together.

คำแปล R2.
13. และมาดแม้นเราประสงค์ แน่นอนเราก็จะมอบให้กับทุก ๆ ชีวิต ซึ่งสิ่งชี้นำของเขาแต่ทว่าประกาศิต จากข้าย่อมเป็นจริงเสมอ ขอยืนยัน ข้าจักบรรจุไว้จนเต็มนรก ทั้งญินและมนุษย์ทั้งสิ้น


คำแปล R3.
13. (จึงมีการกล่าวตอบพวกเขาว่า) “หากเราประสงค์ เราจะประทานทางนำแก่ทุกชีวิตมาตั้งแต่ต้นเลยก็ได้ แต่วจนะของฉันที่กล่าวไปนั้นได้เป็นความจริงแล้ว นั่นคือฉันจะทำให้นรกเต็มไปด้วยญินและมนุษย์พร้อมกันทั้งหมด

คำแปล R4.
13. และถ้าเราประสงค์ แน่นอนเราจะทำให้ทุกชีวิตสู่แนวทางที่ถูกต้องของมัน  แต่ว่าคำสัญญาของข้าจะต้องสมจริง  แน่นอนข้าจะให้นรกเต็มไปด้วยญินและมนุษย์รวมทั้งหมด

คำแปล R5.
๑๓. พระองค์อัลเลาะห์ได้โองการว่า และมาตรแม้นเราประสงค์ที่จะชี้นำแก่ผู้ใด แน่นอนเราจักประทานแก่ทุก ๆ คนซึ่งศาสนาอันเป็นสิ่งนำทางของเขาแล้วเขาก็จะมีศรัทธา และปฏิบัติการภักดีโดยความพากเพียรของเขาเอง และแต่ทว่าประกาศิตจากเราย่อมเป็นสิ่งที่ปรากฏจริงเสมอ นั่นคือ เราจะบรรจุไว้ให้เต็มนรก จากญินและมนุษย์ทั้งสิ้น และเมื่อพวกนั้นเข้านรก เทวทูตผู้รักษานรกก็จะกล่าวแก่พวกเขาว่า

   

คำอ่าน
14. ฟะซูกู บิมานะสีตุม ลิกอ..อะเยามิกุม ฮาซา..อิน..นา นะสีนากุม วะซูกูอะซาบัลคุลดิ บิมากุน..ตุม ตะอฺมะลูน

คำแปล R1.
14. Then taste you (the torment of the Fire) because of your forgetting the Meeting of This Day of yours.  Surely, we too will forget you; so taste you the abiding torment for what you used to do.

คำแปล R2.
14. ดังนั้นพวกเจ้าจงลิ้มรส(การลงโทษ)เถิด ด้วยเหตุที่พวกเจ้าลืมนึกถึงการเผชิญกับวันนี้ของพวกเจ้า ดังนั้นเราจึงปล่อยพวกเจ้าไว้(ให้รับโทษตลอดไป) และพวกเจ้าจงลิ้มรสการลงโทษอันนิรันดร เพราะการกระทำของพวกเจ้าเองเถิด

คำแปล R3.
14. ดังนั้น จงลิ้มรสการตอบแทนที่สูเจ้าได้ลืมการพบกับวันนี้ ตอนนี้ เราก็จะลืมสูเจ้าด้วยเช่นกัน จงลิ้มรสการลงโทษอันยาวนานอันเนื่องมาจากสิ่งที่สูเจ้าได้ทำไว้”

คำแปล R4.
14. ดังนั้น พวกเจ้า (ชาวนรก) จงลิ้มรสเถิด เนื่องด้วยพวกเจ้าได้ลืมการชุมนุมกันในวันนี้ของพวกเจ้า  แท้จริงเราก็ลืมพวกเจ้าด้วย  และพวกเจ้าจงลิ้มรสการลงโทษอย่างตลอดกาลตามที่พวกเจ้าได้กระทำไว้เถิด

คำแปล R5.
๑๔. ที่จริงพวกเจ้าจงลิ้มรสแห่งการทรมานของการลงโทษ เพราะพวกเจ้าลืมนึกถึงกับการพบกับวันของพวกเจ้าวันนี้ ซึ่งพวกเจ้าไม่เคยเชื่อถือมาก่อน ว่าจะมีวันนี้เกิดขึ้น แท้จริงเราจักปล่อยลืมพวกเจ้าให้ถูกรับโทษในนรกตลอดชั่วนิรันดร และพวกเจ้าจงลิ้มรสแห่งการลงโทษอันถาวร เนื่องเพราะความประพฤติของพวกเจ้าเอง




คำอ่าน
15. อิน..นะมา ยุอ์มินุ บิอายาตินัลละซีนะ อิซาซุกกิรูบิฮา ค็อรฺรู สุจญะเดา..วะสับบะหู บิหัมดิร็อบบิฮิม วะฮุมลายัสตักบิรูน

คำแปล R1.
15. Only those believe in our Ayat (proofs, evidences, verses, lessons, signs, revelations, etc.), who, when they are reminded of them fall down prostrate, and glorify the Praises of their Lord, and they are not proud.

คำแปล R2.
15. อันที่จริง ที่มีศรัทธาในบรรดาโองการของเรา จะมีเฉพาะบรรดาผู้ซึ่ง เมื่อมีผู้นำโองการเหล่านั้นมาเตือนสติ พวกเขาก็ทรุดกายลงกราบทันที และพวกเขาได้สดุดีพระบริสุทธิคุณ พร้อมการสรรเสริญในองค์อภิบาลของพวกเขา และพวกเขาไม่ทระนงตนเลย

คำแปล R3.
15. เฉพาะคนที่ศรัทธาในอายะฮฺทั้งหลายของเราซึ่งเมื่อมันได้ถูกอ่านเพื่อเป็นการตักเตือน พวกเขาก็ก้มลงกราบและสดุดีพระผู้อภิบาลของพวกเขาด้วยการสรรเสริญพระองค์และพวกเขาไม่ทะนงตน

คำแปล R4.
15. แท้จริงบรรดาผู้ศรัทธาต่ออายาตทั้งหลายของเราเท่านั้น ที่เมื่อพวกเขาถูกเตือนให้รำลึกถึงอายาต พวกเขา(ก็จะ)ก้มลงสุญูด  และสดุดีสรรเสริญแด่พระจ้าของพวกเขา  โดยที่พวกเขาไม่หยิ่งผยอง

คำแปล R5.

๑๕. โดยแท้จริง ย่อมศรัทธาในมวลโองการของเราอย่างแน่นอน บรรดาผู้มีคุณสมบัติดังต่อไปนี้คือ เป็นผู้ซึ่งเมื่อพวกเขาได้รับคำตักเตือน ด้วยโองการเหล่านั้น พวกเขาก็ก้มลงกราบ และพวกเขากล่าวถวายสดุดีพระบพิธคุณแห่งอัลเลาะห์พร้อมกับสรรเสริญในองค์อภิบาลแห่งพวกเขา โดยกล่าวว่า “ซุบฮานัลลอฮิวะบิฮัมดิฮี” และพวกเขาไม่หยิ่งยะโสต่อการมีศรัทธาและปฏิบัติการภักดีในพระผู้เป็นเจ้า



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

 salam

การที่เขียนคำอ่านของอายะฮฺที่ 15 ให้สีแปลกไปกว่าอายะฮฺอื่น ๆ ก็เพราะ อายะฮฺนี้มีสุนนะฮฺให้ให้สุญูด

เรียกว่า สุญูดจากการอ่าน - สุญูดติลาวะฮฺ รายละเอียดของสุญูดติลาวะฮฺนั้น ศึกษาได้จากลิงก์ข่างล่างนี้

 http://www.sunnahstudents.com/forum/index.php?topic=1324.msg11084#msg11084

วัสสลาม

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺอัสสัจญดะฮฺ อายะฮฺที่ 16 - 21


คำอ่าน

16. ตะตะญาฟาญุนูบุฮุม  อะนิลมะฎอญิอิ ยัดอูนะ ร็อบบะฮุม ค็อวเฟา..วะเฏาะมะเอา..วะมิม..มาเราะซักนาฮุม ยุน..ฟิกูน

คำแปล R1.
16. Their sides forsake their beds, to invoke their Lord in fear and hope, and they spend (in charity in Allah's Cause) out of what We have bestowed on them.

คำแปล R2.
16. สีข้างของพวกเขาห่างเหินจากที่นอนเพราะพวกเขาเฝ้าวอนนมัสการต่อองค์อภิบาลของพวกเขาเองด้วยความกลัว (ในอาญาสิทธิ์) และความมุ่งหวัง(ในกุศลรางวัล) และพวกเขาใช้จ่ายบางสิ่งที่เราได้ให้โชคผลแก่พวกเขา

คำแปล R3.
16. ผู้ที่ละจากที่นอนของพวกเขาและวิงวอนพระผู้อภิบาลของพวกเขาด้วยความกลัวและความหวังและผู้ใช้จ่ายจากสิ่งที่เราได้ประทานแก่พวกเขา

คำแปล R4.
16. สีข้างของพวกเขาเคลื่อนห่างจากที่นอน  พลางวิงวอนต่อพระเจ้าของพวกเขาด้วยความกลัวและความหวัง  และพวกเขาบริจาค  สิ่งที่เราได้ให้เป็นเครื่องยังชีพแก่พวกเขา

คำแปล R5.
๑๖. สีข้างของพวกเขาเหินห่างจากที่นอนเพราะพวกเขามิได้ล้มตัวนอนเลย ด้วยพวกเขาปฏิบัติการนมัสการทั้งคืน พวกเขาวอนขอองค์อภิบาลองพวกเขา ด้วยความกลัวในพระอาญาสิทธิของพระองค์ และด้วยความมุ่งมั่นในพระเมตตาธิคุณของพระองค์ และจากสิ่งที่เราได้ประทานเป็นโชคผลแก่พวกเขานั้น พวกเขาได้ใช้จ่ายไปในทางอันเป็นกุศลและความดีงามทั้งสิ้น


คำอ่าน
17. ฟะลาตะอฺละมุนัฟสุม..มา..อุคฟิยะละฮุม..มิน..กุรเราะติอะอฺยุนิน..ญะซาอัม..บิมากานูยะอฺมะลูน

คำแปล R1.
17. No person knows what is kept hidden for them of joy as a reward for what they used to do.

คำแปล R2.
17. ที่จริงชีวิตหนึ่งย่อมไม่รู้ถึงสิ่งที่ถูกเร้นเตรียมไว้แก่พวกเขา จาก(ความสุขที่เป็น)แก้วตา(ที่พวกเขาชื่นชอบอย่างเหลือล้น)เพื่อสนองตอบในสิ่งที่พวกเขาได้เคยประพฤติไว้

คำแปล R3.
17. ไม่มีชีวิตใดรู้ถึงสิ่งสบายตาซึ่งได้ถูกซ่อนเร้นไว้จากตาของพวกเขาเพื่อเป็นสิ่งตอบแทนการกระทำของพวกเขา

คำแปล R4.
17. ดังนั้น จึงไม่มีชีวิตใดรู้สิ่งที่ถูกซ่อนไว้สำหรับพวกเขา ให้เป็นที่รื่นรมย์แก่สายตา  เป็นการตอบแทนในสิ่งที่พวกเขาได้กระทำไว้

คำแปล R5.
๑๗.ที่จริงบุคคลหนึ่งย่อมไม่รู้ในสิ่งที่ถูกเตรียมไว้ให้พวกเขาในสวรรค์ จากความชื่นชมแห่งดวงตาเมื่อได้ทัศนาสิ่งเหล่านั้น อันทำให้เกิดความสุขจนไม่คิดจะปลีกจากมัน เพื่อตอบแทนในสิ่งที่พวกเขาประพฤติไว้

 
คำอ่าน
18. อะฟะมัน..กานะมุอ์มินนัน..กะมัน..กานะฟาสิกอล..ลายัสตะวูน

คำแปล R1.

18. Is then He who is a believer like him who is Fasiq (disbeliever and disobedient to Allah)? Not equal are they.

คำแปล R2.
18. แล้วผู้มีจิตศรัทธา จะเหมือนกับผู้เลวทรามได้กระนั้นหรือ แน่นอนพวกเขาไม่ทัดเทียมกัน(ในการได้รับผลตอบสนองจากอัลเลาะฮฺซึ่งทรงตอบสนองอย่างยุติธรรมยิ่งแก่พวกเขา)

คำแปล R3.
18. คนที่เป็นผู้ศรัทธาจะเหมือนกับผู้ทำบาปได้ไหม? พวกเขาไม่อาจเหมือนกันได้

คำแปล R4.
18. ดังนั้น ผู้ศรัทธาจะเหมือนกับคนชั่วช้ากระนั้นหรือ? พวกเขาย่อมไม่เท่าเทียมกันแน่ ๆ

คำแปล R5.
๑๘. อันที่จริงผู้ที่มีศรัทธาจะละม้ายผู้เนรคุณกระนั้นหรือ พวกเขาย่อมไม่เสมอกันเป็นแน่


คำอ่าน
19. อัม..มัลละซีนะอามะนู วะอะมิลุศศอลิหาติ ฟะละฮุม ญัน..นาตุลมะอ์วา นุซุลัม..บิมากานูยะอฺมะลูน

คำแปล R1.
19. As for those who believe (in the Oneness of Allah-Islamic Monotheism) and do righteous good deeds, for them are Gardens (Paradise) of Abode as an entertainment, for what they used to do.

คำแปล R2.
19. กล่าวคือบรรดาผู้ศรัทธาและปฏิบัติแต่ความดี พวกเขาย่อมได้รับสวรรค์อันสถาพร เป็นสิ่งต้อนรับด้วยเหตุแห่งความประพฤติ(อันดีงาม)ของพวกเขา

คำแปล R3.
19. สำหรับบรรดาผู้ศรัทธาและกระทำความดีนั้นจะมีสวนสวรรค์เป็นที่พำนักอาศัยไว้ต้อนรับ เป็นสิ่งตอบแทนสำหรับการกระทำของพวกเขา

คำแปล R4.
19. ส่วนบรรดาผู้ศรัทธาและกระทำความดีทั้งหลายนั้น  สำหรับพวกเขาคือสวนสวรรค์หลากหลาย เป็นที่พำนักเตรียมไว้ตามที่พวกเขาได้กระทำไว้

คำแปล R5.
๑๙. กล่าวคือ บรรดาผู้มีศรัทธาและประพฤติแต่ความดีงาม พวกเขาย่อมมีสวรรค์อัลมะวาเป็นที่พำนัก โดยเหตุแห่งสิ่งที่พวกเขาได้ประพฤติไว้ เมื่อมีชีวิตอยู่ในสกลโลก

คำอ่าน
20. วะอัม..มัลละซีนะฟะสะกู ฟะมะอ์วาฮุมุน..นารฺ, กุลละมา..อะรอดูอัย..ยัครุญูมินฮา..อุอีดูฟีฮา วะกีละละฮุม ซูกุอะซาบัน..นาริลละซี กุน..ตุม..บิฮี ตุกัซซิบูน

คำแปล R1.
20. And as for those who are Fasiqun (disbelievers and disobedient to Allah), their abode will be the Fire, every time they wish to get away therefrom, they will be put back thereto, and it will be said to them: "Taste you the torment of the Fire which you used to deny."

คำแปล R2.
20. และส่วนบรรดาผู้เลวทราม ที่พำนักของเขาคือนรก ทุก ๆ ครั้งที่พวกเขาปรารถนาจะออกมาจากนั้น พวกเขาก็จะถูกนำตัวเข้ากลับดังเดิม และมีผู้กล่าวแก่พวกเขาว่า “พวกท่านจงลิ้มรสนรก ซึ่งพวกท่านเคยว่าเป็นสิ่งมุสาเถิด”

คำแปล R3.
20. ส่วนบรรดาผู้กระทำความชั่วนั้น ที่พำนักของพวกเขาคือนรก เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาพยายามจะออกไป พวกเขาจะถูกผลักกลับเข้าไปในนั้นอีกและพวกเขาจะถูกบอกว่า “ตอนนี้ จงลิ้มรสการลงโทษของไฟนรกที่สูเจ้าเคยปฏิเสธ”

คำแปล R4.
20. และส่วนบรรดาผู้ชั่วช้านั้น  ที่พำนักของพวกเขาคือไฟนรก คราใดที่พวกเขาต้องการจะออกไปจากมัน พวกเขาจะถูกบังคับให้เข้าไปในนั้นอีก และจะมีเสียงกล่าวแก่พวกเขาว่า “จงลิ้มรสการลงโทษของไฟนรกซึ่งพวกท่านเคยปฏิเสธ ไม่เชื่อมัน”

คำแปล R5.
๒๐. ส่วนบรรดาผู้เนรคุณ ที่จริงที่อยู่ของพวกเขาก็คือนรก ซึ่งทุกครั้งที่พวกเขาปรารถนาจะออกมาจากมัน พวกเขาก็จะถูกขับกลับเข้าไปในนั้นตลอดไป และจะมีเทวทูตที่รักษาดูแลนรกเป็นผู้กล่าวแก่พวกเขาว่า พวกเจ้าจงลิ้มรสของการลงโทษแห่งนรก ซึ่งพวกเจ้าเคยว่ามันเป็นเรื่องมดเท็จ และพวกเจ้าไม่ยอมเชื่อถือว่ามันจะมีจริง


คำอ่าน
21. วะละนุซีก็อน..นะฮุม..มินัลอะซาบิลอัดนา ดูนัลอะซาบิลอักบะริ ละอัลละฮุม ยัรฺญิอูน

คำแปล R1.
21. And Verily, We will make them taste of the near torment (i.e. the torment in the life of this world, i.e. disasters, calamities, etc.) prior to the supreme torment (in the Hereafter), in order that they may (repent and) return (i.e. accept Islam).

คำแปล R2.
21. ขอยืนยัน เราจักให้พวกเขาลิ้มรสเพียงบางส่วนของการลงโทษในระดับต่ำ ยังมิใช่การลงโทษอันมหันต์เลย ทั้งนี้เพื่อ(เตือน)พวกเขาให้หวนกลับคืน(สู่แนวทางอันถูกต้อง)

คำแปล R3.
21. แม้ในโลกนี้ เราจะให้พวกเขาได้ลิ้มรสการลงโทษที่เบากว่า (ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง) ก่อนการลงโทษใหญ่ ทั้งนี้เพื่อที่พวกเขาจะได้หยุดยั้ง (จากการฝ่าฝืน)

คำแปล R4.
21. และแน่นอน เราจะให้พวกเขาได้ลิ้มรสการลงโทษอันใกล้ (ในโลกนี้)  ก่อนการลงโทษอันยิ่งใหญ่ (ในปรโลก)เพื่อว่าพวกเขาจะกลับมาสำนึกผิด

คำแปล R5.
๒๑. ส่วนการลงโทษแก่พวกเนรคุณในวาระที่พวกเขายังใช้ชีวิตอยู่บนสกลโลกนั้น อัลเลาะห์ได้โองการว่า ขอสาบาน เราจะให้พวกเขาได้ลิ้มรสจากการลงโทษระดับต่ำ โดยให้ถูกฆ่าตายหรือถูกจับเป็นเชลยศึก ก่อนหน้าที่พวกเขาจะต้องไปประสบการลงโทษอันยิ่งใหญ่ในปรภพ เพื่อพวกเขาจะได้หวนกลับจากความดื้อดึงสู่ความมีศรัทธา


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มี.ค. 14, 2010, 01:46 AM โดย Bangmud »

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัสสัจญดะฮฺ อายะฮฺที่ 22 - 30


คำอ่าน
22. วะมันอัซละมุมิม..มัน..ซุกกิเราะบิอายาติร็อบบิฮี ษุม..มะอะอฺเราะเฎาะอันฮา..อิน..นามินัลมุจญริมีนะ มุน..ตะกิมูน

คำแปล R1.
22. And who does more wrong than He who is reminded of the Ayat (proofs, evidences, verses, lessons, signs, revelations, etc.) of his Lord, Then he turns aside therefrom? Verily, We shall exact retribution from the Mujrimun (criminals, disbelievers, polytheists, sinners, etc.).

คำแปล R2.
22. และผู้ใดเล่าที่จะฉ้อฉลยิ่งไปกว่าบุคคลที่มีผู้นำโองการต่าง ๆ ขององค์อภิบาลของเขามาตักเตือน แต่แล้วเขากลับหลังให้โองการเหล่านั้น แน่นอนยิ่ง เราจักต้องตอบแทนโทษของบรรดาคนบาปทั้งมวล

คำแปล R3.
22. และใครที่จะชั่วช้าเลวทรามยิ่งไปกว่าผู้ที่ได้ถูกสัญญาณต่าง ๆ ของพระผู้อภิบาลของเขาตักเตือนแล้ว เขายังหันห่างออกจากมัน? แน่นอน เราจะลงโทษผู้ทำผิดเหล่านี้อย่างหนัก

คำแปล R4.
22. และผู้ใดเล่าจะอธรรมยิ่งไปกว่าผู้ถูกเตือนให้รำลึกถึงอายาตทั้งหลายของพระเจ้าของเขา แล้วเขาก็ผินหลังให้กับอายาตเหล่านั้น  แท้จริงเราเป็นผู้จองเวรบรรดาผู้กระทำผิด

คำแปล R5.
๒๒. และใครเล่าที่จะฉ้อฉลยิ่งไปกว่าบุคคลที่ถูกตักเตือนด้วยบรรดาโองการแห่งพระผู้ทรงอภิบาลของเขา แต่แล้วหลังจากนั้นเขาก็หันเหออกจากโองการเหล่านั้น โดยไม่มีศรัทธาต่อโองการดังกล่าวเลยแม้แต่น้อย โดยแท้จริงเราจักลงโทษบรรดาทรชน ผู้เนรคุณเหล่านั้นและไม่ยอมอภัยให้โดยเด็ดขาด


คำอ่าน
23. วะละก็อด อาตัยนามูสัลกิตาบะ ฟะลาตะกุน..ฟีมิรฺยะติม..มิลลิกอ..อิฮี วะญะอัลนาฮุ ฮุดัลลิบะนี..อิสรอ..อีล

คำแปล R1.
23. And indeed we gave Musa (Moses) the Scripture [the Taurat (Torah)].So be not you in doubt of meeting him [i.e. when you met Musa (Moses) during the night of Al-Isra' and Al-Mi'raj over the heavens]. And We made it [the Taurat (Torah)] a guide to the Children of Israel.

คำแปล R2.
23. ขอยืนยัน แท้จริงเราได้มอบคัมภีร์(เตารอฮฺ)แก่มูซา ดังนั้น เจ้าจงอย่าได้สงสัยในการพบของเขา(ต่อคัมภีร์ดังกล่าว)และเราได้บันดาลให้คัมภีร์นั้น เป็นสิ่งชี้นำแนวทางสำหรับวงศ์วานของอิสรออีล

คำแปล R3.
23. ก่อนหน้านี้ เราได้ประทานคัมภีร์แก่มูซา ดังนั้น เจ้าจงอย่าแคลงสงสัยในการรับสิ่งเดียวกันนี้ และเราได้ทำให้มันเป็นทางนำสำหรับวงศ์วานอิสรออีล

คำแปล R4.
23. และโดยแน่นอน เราได้ให้คัมภีร์แก่มูซา  ดังนั้น เจ้า(มุฮัมมัด) อย่าอยู่ในการสงสัยต่อการพบมัน  และเราได้ทำให้มัน (คัมภีร์อัตเรารอฮฺ) เป็นแนวทางที่ถูกต้องแก่วงศ์วานของอิสรออีล

คำแปล R5.
๒๓. ขอสาบาน แท้จริงเราได้ประทานคัมภีร์เตารอฮ์แก่นบีมูซา ดังนั้นเจ้าอย่าได้สงสัยในการพบกับเขาในค่ำอิสร๊ออ ซึ่งทั้งนบีมูซาและนบีมุฮำมัดได้พบกันในคืนนั้น และเราได้บันดาลให้เขาเป็นผู้ชี้นำของเผ่าหันุ์แห่งอิสรออีล


คำอ่าน
24. วะญะอัลนามินฮุม อะอิม..มะตัย..ยะฮฺดูนะ บิอัมรินา ลัม..มาเศาะบะรู วะกานูบิอายาตินายูกินูน
 
คำแปล R1.
24. And we made from among them (Children of Israel), leaders, giving guidance under Our Command, when they were patient and used to believe with certainty In Our Ayat (proofs, evidences, verses, lessons, signs, revelations, etc.).

คำแปล R2.
24. และเราได้ดลบันดาลให้บางคนจากพวกนั้น เป็นผู้นำ ซึ่งทำหน้าที่ชี้นำมวลชนโดยบัญชาของเรา ทั้งนี้เพื่อพวกเขามีความอดทน และมีความเชื่อมั่นในโองการต่าง ๆ ของเรา

คำแปล R3.
24. และเมื่อพวกเขาได้แสดงความอดทนและเชื่อมั่นในอายะฮฺทั้งหลายของเรา เราได้ทำให้ในหมู่พวกเขามีผู้นำที่นำ (ผู้คน) โดยคำบัญชาของเรา

คำแปล R4.
24. และเราได้จัดให้มีหัวหน้าจากพวกเขา เพื่อจะได้ชี้แนะแนวทางที่ถูกต้องตามคำบัญชาของเรา  ในเมื่อพวกเขามีความอดทนและพวกเขาเชื่อมั่นต่ออายาตทั้งหลายของเรา

คำแปล R5.
๒๔. และเราได้บันดาลให้บางส่วนจากพวกเขาเป็นกลุ่มผู้นำซึ่งชี้นำมวลมนุษย์ให้เข้าถึงสัจธรรมโดยบัญชาของเรา เมื่อพวกเขามีขันติธรรมต่อการเผยแผ่ และปฏิบัติตามหลักธรรมของศาสนา และต่อการรุกรานของฝ่ายศัตรู และพวกเขาเป็นผู้เชื่อมั่นในโองการของเรา

 

คำอ่าน
25. อิน..นะร็อบบะกะ ฮุวะยัฟสิลุ บัยนะฮุม เยามัลกิยามะติ ฟีมากานู ฟีฮิยัคตะลิฟูน

คำแปล R1.
25. Verily, Your Lord will judge between them on the Day of Resurrection, concerning that wherein they used to differ.

คำแปล R2.
25. แท้จริงองค์อภิบาลของเจ้าจะทรงจำแนก(ให้รู้ผิดรู้ถูก)ระหว่างพวกเขาในวันชาติหน้า ในกรณีที่พวกเขาได้เคยพิพาทกัน

คำแปล R3.
25. แน่นอน ในวันแห่งการฟื้นคืนชีพ พระผู้อภิบาลของเจ้าเท่านั้นที่จะตัดสินสิ่งต่าง ๆ ที่ (พวกอิสรออีล) ขัดแย้งกันในหมู่พวกเขา

คำแปล R4.
25. แท้จริงพระเจ้าของเจ้า พระองค์จะทรงตัดสินระหว่างพวกเขาในวันกิยามะฮฺ ในสิ่งที่พวกเขาขัดแย้งกันในเรื่องนั้น

คำแปล R5.
๒๕. แท้จริง ผู้อภิบาลของเจ้าทรงจำแนกและตัดสินในระหว่างบรรดาศาสดาและประชาชาติแห่งพวกเขา ณ วันปรภพ ในกรณีทางศาสนาอันเป็นสิ่งที่พวกเขาได้พิพาทกันแต่อดีต


คำอ่าน
26. อะวะลัมยะฮฺดิละฮุม กัมอะฮฺลักนา มิน..ก็อบลิฮิม..มินัลกุรูนิ ยัมชูนะฟีมะสากินิฮิม, อิน..นะฟีซาลิกะ ละอายาติน อะฟะลายัสมะอูน
 
คำแปล R1.
26. Is it not guidance for them: how many generations we have destroyed before them in whose dwellings they do walk about? Verily, therein indeed are signs. Would they not then listen?

คำแปล R2.
26. ยังมิเป็นการชี้นำพวกเขา(ให้สำนึกในความผิด)อีกหรือ การที่เราได้ทำลายล้างบางประชาชาติในศตวรรษก่อนหน้าพวกเขามาแล้วมากมาย โดยพวกเขาเองก็เดินอยู่เป็นประจำในที่อาศัยของพวกนั้น แท้จริงในสิ่งนั้นย่อมเป็นสัญลักษณ์(เตือนใจเป็นอันดี)แล้วพวกเขาไม่ได้ยินบ้างหรือไร

คำแปล R3.
26. และ (เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์) ได้ทำ ให้พวกเขารู้ไหมว่า ก่อนหน้าพวกเขานั้น เราได้ทำลายไปกี่ชาติแล้วซึ่งแหล่งที่อยู่อาศัยของคนเหล่านั้น พวกเขาก็เดินทางผ่านไปมา? แท้จริง ในนั้นมีสัญญาณอย่างมากมาย แล้วพวกเขาไม่ได้ยินกระนั้นหรือ?

คำแปล R4.
26. ยังมิเป็นที่ประจักษ์ชัดแก่พวกเขาดอกหรือว่า กี่มากน้อยแล้วที่เราได้ทำลายประชาชาติก่อนหน้าของเขาไปหลายชั่วศตวรรษ  โดยที่พวกเขา (กุฟฟารมักกะฮฺ) ได้ไปพบเห็นมาในที่พำนักอาศัยของพวกเขา  แท้จริง ในการนี้ย่อมเป็นสัญญาณอย่างมากหลาย แล้วพวกเขายังไม่เชื่อฟัง (ใคร่ครวญ) อีกหรือ

คำแปล R5.
๒๖. และมิได้ประจักษ์ชัดแก่พวกเขาดอกหรือ ว่าเท่าใดแล้วที่เราได้ยังความพินาศ แก่บางประชาชาติแห่งศตวรรษที่ผ่านพ้นมาเมื่อก่อนหน้าพวกเขาด้วยเหตุแห่งความเนรคุณของพวกเขาเอง โดยพวกเขาก็เดินผ่านไปในถิ่นที่อยู่ของพวกเหล่านั้น ขณะเดินทางไปทำธุระต่าง ๆ อยู่เป็นประจำ ก็น่าจะได้ไตร่ตรองถึงผลอันประสบแก่พวกเขาเอง เมื่อพวกนั้นเนรคุณและประสบความพินาศ พวกเขาซึ่งกำลังเนรคุณต่ออัลเลาะห์ในคำสอนของศาสดา นบีมุฮำมัด ก็จะต้องประสบความพินาศเช่นเดียวกัน แท้จริงในนั้นย่อมเป็นสัญญลักษณ์สำแดงถึงอำนาจอันล้นเหลือของอัลเลาะห์ที่จะทรงบันดาลให้ทุกสิ่งเป็นไปตามประสงค์ของพระองค์ ไฉนพวกเขาจึงไม่รับฟัง



คำอ่าน
27. อะวะลัมยะร็อวฺ อัน..นานะสูกุลมา..อะอิลัลอัรฺฎิล ญุรุซิ ฟะนุคริญุบิฮี ซัรฺอัน..ตะอฺกุลุ มินฮุอันอามุฮุม วะอัน..ฟุสุฮุม อะฟะลายุบศิรูน

คำแปล R1.
27. Have they not seen how We drive water (rain clouds) to the dry land without any vegetation, and therewith bring forth crops providing food for their cattle and themselves? Will they not then see?

คำแปล R2.
27. และพวกเขามิได้สังเกตหรือว่า แท้จริงขับน้ำฝน(ให้ประพรม)ลงสู่พื้นดินอันแห้งแล้ง แล้วเราก็ทำให้พืชผลผลิออกมาเพราะมัน ซึ่งปศุสัตว์ของพวกเขาและตัวของพวกเขาเองบริโภคจากมัน แล้วพวกเขาไม่สังเกตบ้างหรือไร

คำแปล R3.
27. และพวกเขาไม่เห็นหรือว่าเราได้ทำให้น้ำไหลไปยังแผ่นดินที่แห้งแล้งและจากนั้นเราได้ทำให้พืชผลงอกเงยออกมาซึ่งสัตว์ของพวกเขาและพวกเขาเองได้กินจากมัน? พวกเขายังไม่เห็นอะไรอีกหรือ?

คำแปล R4.
27. พวกเขาไม่เห็นดอกหรือว่า เราได้ให้น้ำไหลลงสู่แผ่นดินที่แห้งแล้ง แล้วด้วยมัน (น้ำ) เราได้ให้พืชผลงอกเงยออกมา เพื่อปศุสัตว์ของพวกเขาและตัวของพวกเขาเองได้กินจากมัน

คำแปล R5.
๒๗. พวกเขาไม่รู้ดอกหรือว่าแท้จริงเราขับเมฆให้ตกลงมาเป็นน้ำสู่พื้นดินอันแห้งแล้ง แล้วเราทำให้พืชพันธุ์ผลิออกมาเพราะมัน ซึ่งปศุสัตว์และตัวของพวกเขาได้บริโภคจากมัน ไฉนพวกเขาจึงไม่พินิจในสิ่งเหล่านั้น แล้วจะได้ยอมรับว่า อำนาจการบันดาลสิ่งดังกล่าวเป็นของอัลเลาะห์เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น



คำอ่าน
28. วะยะกูลูนะมะตาฮาซัลฟัตหุ อิน..กุน..ตุม ศอดิกีน

คำแปล R1.
28. They say: "When will this Al-Fath (Decision) be (between us and you, i.e. the Day of Resurrection), if you are telling the truth?"

คำแปล R2.
28. และพวกเขากล่าวว่า “เมื่อใดเล่าชัยชนะนี้(จึงจะมาถึง)หากพวกท่านเป็นผู้สัตย์จริง

คำแปล R3.
28. พวกเขาถามว่า “เมื่อใดที่การตัดสินขึ้น ถ้าหากพวกท่านเป็นผู้สัตย์จริง?

คำแปล R4.
28. และพวกเขากล่าวว่า “เมื่อใดเล่าชัยชนะนี้ (จะเกิดขึ้นแก่พวกท่าน) หากพวกท่านเป็นผู้สัตย์จริง

คำแปล R5.
๒๘. และพวกเขากล่าวกับบรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลายว่าเมื่อไรการเปิดชัยชนะระหว่างพวกเราและพวกท่านตามที่พูดไว้นี้ จึงจะมาถึง แม้นพวกท่านเป็นผู้สัจจริงในคำพูดนั้น

 

คำอ่าน
29. กุลเยามัลฟัตหิ ลายัน..ฟะอุลละซีนะกะฟะรู..อีมานุฮุม วะลาฮุมยุน..เซาะรูน

คำแปล R1.
29. Say: "On the Day of Al-Fath (Decision), no profit will it be to those who disbelieve if they (Then) believe! Nor will they be granted a respite."

คำแปล R2.
29. จงประกาศเถิด “ในวันแห่งชัยชนะนั้น การศรัทธาของบรรดาพวกเนรคุณจะไม่อำนวยประโยชน์แก่พวกเขาเลย และพวกเขามิได้รับการผ่อนปรน

คำแปล R3.
29. จงบอกพวกเขาว่า “การศรัทธาวันแห่งการตัดสินจะไม่ยังประโยชน์อันใดแก่บรรดาผู้ที่ปฏิเสธไปแล้ว และพวกเขาจะไม่ได้รับการผ่อนผัน

คำแปล R4.
29. จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด “วันแห่งชัยชนะนั้น การศรัทธาของบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาจะไม่อำนวยประโยชน์แก่พวกเขาเลย  และพวกเขาก็จะไม่ถูกให้ยืดเวลาออกไป”

คำแปล R5.
๒๙. โอ้ มุฮำมัด เจ้าจงกล่าวตอบพวกเขาเถิดว่า ในวันแห่งการเปิดชัยชนะของฝ่ายศรัทธา และลงโทษแก่ฝ่ายเนรคุณ ศรัทธาของบรรดาผู้เนรคุณย่อมไม่อำนวยประโยชน์แก่พวกเขาอีกต่อไป และพวกเขามิได้รับการรอคอยให้มีโอกาสทำการสารภาพผิดอีกแล้ว


คำอ่าน
30. ฟะอะอฺริฎอันฮุม วัน..ตะซิรฺ อิน..นะฮุม..มุน..ตะซิรูน
 
คำแปล R1.
30. So turn aside from them (O Muhammad) and await, Verily they (too) are waiting.

คำแปล R2.
30. ดังนั้น เจ้าจงหันหลังให้พวกเขา และจงรอคอย(ดูการลงโทษพวกเขา)เถิด เพราะพวกเขาก็เป็นผู้รอคอย(การรับโทษเหมือนกัน)

คำแปล R3.
30. ดังนั้น จงปล่อยพวกเขาไว้และคอยดู แท้จริงแล้ว พวกเขาก็กำลังคอยดูอยู่ด้วยเหมือนกัน

คำแปล R4.
30. ดังนั้น จงผินหลังห่างออกจากพวกเขาเสียเถิด  และจงคอยดู แท้จริงพวกเขาก็จะเป็นผู้คอยดู

คำแปล R5.
๓๐. ดังนั้น พวกเจ้าจงผินจากพวกเขาเถิด และเจ้าจงรอดูว่า พวกเขาจะได้รับการลงโทษเมื่อใด เพราะแท้จริงพวกเขาเหล่านั้นเป็นผู้รอคอย โทษที่จะอุบัติแก่พวกเขา

ลิงก์นี้ใช้ฟังเสียงการอ่านสูเราะฮฺอัสสัจญดะฮฺ

http://174.36.196.142/~server5/ahmad_nu/032.mp3


วัสสะลาม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธ.ค. 02, 2010, 09:09 PM โดย Bangmud »

 

GoogleTagged