لاَ يُشَكِّكَنَّكَ فِى الْوَعْدِ عَدَمُ وُقُوْعِ الْمَوْعُوْدِ وَإِنْ تَعَيَّنَ زَمَنُهُ ، لِئَلَّا يَكُوْنَ ذَلِكَ قَدْحاً فِىْ بَصِيْرَتِكَ وَإِخْمَاداً لِنُّوْرِ سَرِيْرَتِكَ
“ลา ยุชักกิกันน่า ก้า ฟิลวะ อฺดิ อะดะมุ วะกูอิลเมาอูด วะอิน ตะอัยย่าน่าซะมะนุฮู ลิอัลลา ยะกูน่า ซาลิก้า ก็อดฮัน ฟี บะซีร่อติ้ก้า วะอิคมาดัน ลินูริ ซะรีร่อติ้ก้า”
ท่านอิมาม อิบนุอะฏออิลแหละฮ์ กล่าวว่า
" จงอย่า สงสัยในสัญญาโดยสิ่งที่ถูกสัญญาไว้ยังไม่เกิด และ แม้ว่าได้เจาะจงเวลาของสัญญาไว้แล้วก็ตาม เพื่อไม่ให้ความสงสัยนั้น ทำให้เกิดตำหนิขึ้นในตาใจของท่านและเพื่อไม่ให้รัศมีในหัวใจของท่านหม่นหมอง ลง"
นั่นหมายความว่า สัญญาที่อัลเลาะฮ์ทรงสัญญาจะให้นั้น ไม่ว่าจะเป็นการขอดุอาอ์หรือขอผลคุณความดี หรือประโยชน์ที่จะได้รับในการปฏิบัติศาสนกิจต่าง ๆ ที่อัลเลาะฮ์ทรงสัญญาจะประทานให้ และหาก แม้ว่าสิ่งที่เราขอจะไม่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เราต้องการ ท่าน ก็อย่าสงสัยในสัญญาดังกล่าว
ทั้งนี้เพื่อให้ท่านมี มารยาทต่อ อัลเลาะฮ์ตาอาลา ทั้งคำพูดและจิตใจ และจงเชื่อมั่นว่า การล่าช้าในการประทานสิ่งที่พระองค์ทรงสัญญาไว้นั้นมิใช่เป็นสิ่งที่น่า ตำหนิ เพราะบางครั้งสัญญาอาจจะมีเงื่อนไขหรือมีข้อแม้ที่ พระองค์จะทรงทำตามสัญญา เช่น เนื่องจากบางช่วงบางเวลาไม่เหมาะสมที่เราจะได้รับสิ่งที่เราวอนขอซึ่ง พระองค์ทรงรู้ดียิ่ง
ดังนั้น ท่านจงผลักความคลางแคลงที่อยู่ในหัวใจของท่านออกไป เพื่อมิ ให้การเห็นเพียงแค่ภายนอกหรือการคิดขึ้นมาเองตามสติปัญญาที่บกพร่อง ของท่านนั้น เป็นข้อตำหนิในจิตใจของท่านและทำให้รัศมีที่อยู่ ในหัวใจหม่นหมองลงไป เพราะเมื่อความสงสัยได้เกิดขึ้น ความยะ เกนในอัลเลาะฮ์ก็จะลดน้อยลง และเมื่อความยะเกนลดน้อยลง รัศมีแห่งความยะเกนในอัลเลาะฮ์ก็จะดับสูญหายไป
กิ ตาบุลลอฮ์ ได้กล่าวยืนยันไว้มากมายเกี่ยวกับคำสัญญาต่าง ๆ ที่อัลเลาะฮ์ได้ทรงให้คำมั่นไว้แก่บรรดามุสลิมีนต่อสิ่งที่พวกเขาได้วอนขอ และดุอาอ์ แต่มีเงื่อนไขว่าบรรดามุสลิมีนต้องปฏิบัติตามสัญญาด้วยกับสิ่งที่อัลเลาะฮ์ ทรงบัญญัติใช้
หนึ่งจากบรรดาคำสัญญาที่อัลเลาะฮ์ ทรงให้คำมั่นแก่ ปวงบ่าวที่ได้ปฏิบัติตามสิ่งที่พระองค์ทรงกำชับและวางบทบัญญัติไว้แก่พวกเขา นั้น ก็คือ
อัลเลาะฮ์ทรงตรัสความว่า
إِنَّا لَنَنصُرُ رُسُلَنَا وَالَّذِينَ آمَنُوا فِي الْحَيَاةِ الدُّنْيَا وَيَوْمَ يَقُومُ الْأَشْهَادُ
“อินนา ละนันซูรุ้ รุ้ซุละน่า วัลละซีน่า อามะนู ฟิลฮะยาติดดุนยา วะเยาม่ายะกูมุลอัชฮาด”
" แท้จริงเราจะช่วยเหลือบรรดาร่อซู้ลของเราและบรรดาผู้ศรัทธา อย่างแน่นอน ทั้งในชีวิตของโลกนี้ และวันที่ซึ่งปวงพยานจะยืนขึ้นเป็นพยาน" ฆอฟิร 51
พระองค์ทรงตรัสว่า
فَأَوْحَى إِلَيْهِمْ رَبُّهُمْ لَنُهْلِكَنَّ الظَّالِمِينَ وَلَنُسْكِنَنَّـكُمُ الأَرْضَ مِن بَعْدِهِمْ ذَلِكَ لِمَنْ خَافَ مَقَامِي وَخَافَ وَعِيدِ
“ฟะ เอาฮา อิลัยฮิม ร๊อบบุฮุม ละนุฮ์ลิกันนัซซอลิมีน่า วะละนุสกินันน่ากุมุลอัรฏ่อ มิมบะอฺดิฮิม ซาลิก้า ลิมันคอฟะมะกอมี วะคอฟะวะอีดี”
"ดังนั้นพระเจ้าของพวกเขาทรงวะฮีย์ให้ แก่พวกเขา(บรรดา ร่อซู้ล) ว่า แน่นอน เราจะทำลายพวกอธรรม และแน่นอน เราจะให้พวกท่านพำนักในแผ่นดิน หลังจากพวกเขา นั่นสำหรับผู้ที่กลัวต่อการเผชิญหน้าข้า และกลัวต่อสัญญาการลงโทษของข้า" อิบรอฮีม 13-14
พระองค์ทรงตรัสว่า
وَنُرِيدُ أَن نَّمُنَّ عَلَى الَّذِينَ اسْتُضْعِفُوا فِي الْأَرْضِ وَنَجْعَلَهُمْ أَئِمَّةً وَنَجْعَلَهُمُ الْوَارِثِينَ
“วะนุรีดุ้ อันน่ามุนน่า อะลัลล่าซีนัสตุฎอิฟู ฟิลอัรฏิ วะนัจญ์อะลุฮุ้ม อะอิมมะเตาวะนัจญ์อะลุฮุ้มุลวะรีษีน”
" และเรา ปรารถนาที่จะให้ความโปรดปรานแก่บรรดาผู้ที่อ่อนแอในแผ่นดินและเราจะทำ ให้พวกเขาเป็นหัวหน้าและทำให้พวกเขาเป็นผู้รับมรดก" อัลก่อซ๊อซ 5
พระองค์ทรงตรัสว่า
مَنْ عَمِلَ صَالِحاً مِّن ذَكَرٍ أَوْ أُنثَى وَهُوَ مُؤْمِنٌ فَلَنُحْيِيَنَّهُ حَيَاةً طَيِّبَةً وَلَنَجْزِيَنَّهُمْ أَجْرَهُم بِأَحْسَنِ مَا كَانُواْ يَعْمَلُونَ
“มันอะมิล่า ซอลิฮัน มิน ซะกะริน เอาอุนซา วะฮุ้วะมุอฺมินุน ฟะละนั๊วะห์ยิยันน่าฮู ฮะยาตัน ฏ็อยยิบะฮ์ วะละนัจญ์ซะยันน่าฮุ้ม อัจญ์ร่อฮุ้ม บิอะห์ซะนิ มากานู ยะอฺละมูน”
"ผู้ใดปฏิบัติความดีไม่ว่าจะเป็น เพศชายหรือเพศหญิงก็ตาม โดยที่เขาเป็นผู้ศรัทธา ดังนั้นเราจะให้เขาดำรงชีวิตที่ดีและแน่นอนเราจะตอบแทนพวกเขาซึ่งรางวัลของ พวกเขา ที่ดียิ่งกว่าที่พวกเขาได้เคยกระทำไว้" อัลนะห์ลิ 97
และพระองค์ทรงตรัสเช่นกันว่า
يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آمَنُوا إِن تَنصُرُوا اللَّهَ يَنصُرْكُمْ وَيُثَبِّتْ أَقْدَامَكُمْ
“ยาอัยยุฮิลล่าซีน่าอามะนู อินตันซุรูลลอฮ่า ยันซู๊รกุ้ม วะยู้ษับบิต อักดามะกุ้ม”
" โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย หากพวกเจ้าสนับสนุน (ศาสนาของ) อัลลอฮ์พระองค์ก็จะทรงสนับสนุนพวกเจ้าและจะทรงตรึงเท้าของพวกเจ้าให้มั่นคง" มุฮัมมัด 7
ดังนั้น ผู้คนมากมายที่อ่านผ่านบรรดาอายะฮ์ต่าง ๆ เหล่านี้ พวกเขาก็ ทราบดีว่าคำสัญญาต่าง ๆ ที่อัลเลาะฮ์ทรงให้คำมั่นไว้นั้น มีให้แก่บรรดามุสลิมีนที่ปฏิบัติตามคำสั่งใช้ของพระองค์ และเมื่อพวกเขาได้พิจารณ์ใคร่ครวญ ก็จะพบว่าคำสัญญาต่าง ๆ ของอัลเลาะฮ์นั้น ส่วนมากยังไม่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้ บรรดามุสลิมมีนส่วนใหญ่มิได้มีชีวิตที่ดีตามที่อัลเลาะฮ์ทรงสัญญาไว้ และพวกเขาก็ไม่ได้รับการช่วยเหลือตามที่พระองค์ทรงสัญญาไว้เช่นกัน แต่ในขณะเดียวกัน พวกที่อธรรมกลับลอยนวลอยู่อย่างสุขสบาย และคอยริดรอนสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น โดยที่อัลเลาะฮ์ก็มิได้ทรงทำลายพวกเขาตามที่พระองค์ทรงสัญญาไว้
อะไรคือพื้นฐานหลักที่ทำให้เกิดสาเหตุดังกล่าว?
พื้น ฐานที่ทำให้เกิดสาเหตุดังกล่าวก็คือ ทุกครั้งที่มนุษย์ห่างไกลจากอัลเลาะฮ์ และจมปลักอยู่กับเรื่องราวของดุนยา
สิทธิ ต่าง ๆ ของอัลเลาะฮ์ที่พึงมีต่อเขานั้นจะลดน้อยลงไปจากจิตใจ และความอยากปรารถนาและความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ของเขานั้น บางครั้งก็เห็นว่ามันเป็นสิทธิของอัลเลาะฮ์ที่พึงประทานให้แก่เขา
ซึ่ง เสมือนกับมนุษย์คนหนึ่ง เมื่อเขาเห็นว่าตนเองทำละหมาดฟัรดู 5 เวลา มุ่งเดินทางเพื่อทำฮัจญ์ที่บัยตุลลอฮ์พร้อมกับผู้คนทั้งหลาย และทำการถือศีลอดในเดือนรอมะดอน เขาก็มั่นใจว่าตนเองได้ปฏิบัติหน้าที่ทุกอย่างเพื่ออัลเลาะฮ์แล้ว และเขาคิดว่าสมควรที่จะได้รับการตอบแทนตามที่อัลเลาะฮ์ทรงสัญญาไว้ในอัลกุ รอาน
และทุกครั้งที่มนุษย์คนหนึ่งมีความมะริฟะฮ์ ต่อ อัลเลาะฮ์และ บรรดาซีฟาตของพระองค์มากขึ้น อีกทั้งยังห่างไกล จากการจมปลักอยู่กับเรื่องราวของดุนยา สิทธิต่าง ๆ ของอัลเลาะฮ์ก็จะมีความยิ่งใหญ่และสำคัญต่อจิตใจของเขา ท่าน ลองจินตนาการถึงชายหนุ่มคนหนึ่งที่ทำการมุ่งมั่นหวนกลับไปหาอัลเลาะฮ์ ซึ่งเขาจะพบว่าตนเองได้รับการชี้นำด้วยการทำละหมาด 5 เวลา มีความสามารถละเลิกจากสิ่งที่น่ารังเกียจและบาปใหญ่ที่เคยกระทำอยู่ โดยเขาคิดว่าตนเองได้ถึงขั้นระดับผู้สัจจริงแล้ว
ดัง นั้น เมื่อเขาเอิบอิ่มด้วยสัจธรรมต่าง ๆ ของอิสลาม การมะริฟะฮ์ต่ออัลเลาะฮ์และบรรดาซีฟาตของพระองค์ได้เพิ่มทวีคูณ เขาก็จะรู้สึกว่ามีความบกพร่อง ซึ่งความรู้สึกเหล่านี้ ทำให้ตนเองเพิ่มพูนการฏออัตและมีความประณีตในการปฏิบัติศาสนกิจยิ่งขึ้น ดังนั้นเมื่อเขาได้ลิ้มรสสัจธรรมต่าง ๆ ของอิสลาม ความรักต่ออัลเลาะฮ์ได้เพิ่มทวีคูณ เขาก็จะหวนกลับไปพิจารณาการตออัตภักดีต่าง ๆ ซึ่งในสายตาของ เขามันกลับกลายเป็นเพียงสิ่งเล็กน้อยที่ไม่สามารถเทียบเท่า สิทธิอันยิ่งใหญ่ของอัลเลาะฮ์ได้เลยและไม่สามารถเทียบเท่าเนี๊ยะอฺมัตอันมาก มายที่พระองค์ทรงประทานให้ ฉะนั้นเขาจึงเพิ่มทวีคูณการตออัตต่ออัลเลาะฮ์ยิ่งขึ้นไปอีกจนกระทั่งการตอ อัตของเขามีความบริสุทธิ์จากความมัวหมองทั้งหลาย
ท่าน ไม่พิจารณาท่าน ร่อซูลุลเลาะฮ์ ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมหรอกหรือ? ท่านเป็นมนุษย์ที่มะริฟะฮ์ต่ออัลเลาะฮ์มากที่สุด มีความรัก เกรงขาม และเกรงกลัวต่ออัลเลาะฮ์มากที่สุด ด้วยเหตุนี้ท่านนบีจึง เป็นมนุษย์ที่มีความรู้สึกบกพร่องในหน้าที่ต่อ อัลเลาะฮ์มากที่สุดและรู้สึกไร้ความสามารถที่จะทำการชุโกรต่ออัลเลาะฮ์ได้ อย่างแท้จริงและอ่อนแอต่อสิทธิต่าง ๆ ที่พระองค์ทรงใช้ ฉะนั้น ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จึงดื่มด่ำในการอิสติฆฟาร เสมือนกับคนฝ่าฝืนที่กำลังขอลุกโทษจากความผิด และนี้ก็คือความหมายของวจนะของท่านที่ว่า
إِنَّهُ لَيُغَانُ عَلىَ قَلْبِيْ ، فَأَسْتَغْفِرُ اللهَ فِى الْيَوْمِ وَالَّلَيْلَةِ مِئَةَ مَرَّةٍ
“อินน่าฮู บะยุฆอนู้ อะลา ก็อลบี ฟะอัศตัฆฟิรุลลอฮ่า ฟิลเยามี่วัลลัยล่าติ้ มิอะต้ามัรเราะฮ์”
"แท้จริงหัวใจของฉันจะถูกทำให้ขุ่นมัว ดังนั้น ฉันจึงทำการอิสติฆฟารต่ออัลเลาะฮ์ในหนึ่งวันและหนึ่งคืน ถึง 100 ครั้ง"
ดัง นั้น อัลเลาะฮ์ตาอาลาจะไม่บิดพลิ้วสัญญาที่พระองค์ทรงให้คำมั่นไว้แก่บรรดาผู้ที่ ปฏิบัติตามเงื่อนไขต่าง ๆ ด้วยความสัจจริงและบริสุทธิ์ใจ แต่ทว่าบรรดามุสลิมีนที่รู้และสามารถปฏิบัติตามงามไขได้นั้น ก็คือบุคคลที่มะริฟะฮ์ต่ออัลเลาะฮ์อย่างแท้จริงและจิตใจของพวกเขาเต็มไปด้วย ความรักและให้เกียรติต่ออัลเลาะฮ์ตาอาลา มิใช่บุคคลที่อ้างตนเองว่าเป็นมุสลิมหรืออ้างว่าตามอัลกุรอานและซุนนะฮ์เท่า นั้น เพราะตราบใดที่หัวใจของพวกเขาไม่รู้ถึงสิทธิของตนเองที่มีต่ออัลเลาะฮ์ ไม่รู้สึกถึงความอ่อนแอหรือความบกพร่องยอมยอมจำนนท์ต่อพระองค์ พวกเขาก็จะไม่สามารถรับรู้ได้ถึงความหมายคำตรัสของอัลเลาะฮ์ตาอาลาที่ว่า "นั่นสำหรับผู้ที่กลัวต่อการเผชิญหน้าข้า และกลัวต่อสัญญาการลงโทษของข้า" ซึ่งมาจากโองการที่ว่า
فَأَوْحَى إِلَيْهِمْ رَبُّهُمْ لَنُهْلِكَنَّ الظَّالِمِينَ وَلَنُسْكِنَنَّـكُمُ الأَرْضَ مِن بَعْدِهِمْ ذَلِكَ لِمَنْ خَافَ مَقَامِي وَخَافَ وَعِيدِ
“ฟะเอาฮา อิลัยฮิม ร๊อบบุฮุม ละนุฮ์ลิกันนัซซอลิมีน่า วะละนุสกินันน่ากุมุลอัรฏ่อ มิมบะอฺดิฮิม ซาลิก้า ลิมันคอฟะมะกอมี วะคอฟะวะอีดี”
"ดัง นั้นพระ เจ้าของพวกเขาทรงวะฮีย์ให้แก่พวกเขา (บรรดาร่อซู้ล) ว่า แน่นอน เราจะทำลายพวกอธรรม และแน่นอน เราจะให้พวกท่านพำนักในแผ่นดิน หลังจากพวกเขา นั่นสำหรับผู้ที่กลัวต่อการเผชิญหน้าข้า และกลัวต่อสัญญาการลงโทษของข้า" อิบรอฮีม 13-14
และพวกเขาจะไม่เข้าใจความหมายของอา ยะฮ์ต่อไปนี้เช่นกันว่า
وَأَوْفُواْ بِعَهْدِي أُوفِ بِعَهْدِكُمْ وَإِيَّايَ فَارْهَبُونِ
“วะเอาฟูบิอะฮ์ดี อูฟิบิอะฮ์ดิกุ้ม วะอี้ยาย่า ฟัรฮะบูน”
" และพวกเจ้า จงปฏิบัติ ตามสัญญาของฉันให้ครบ ส่วนฉัน จะปฏิบัติตามสัญญาของฉันที่ทำกับพวกสูเจ้าให้ครบด้วย และเฉพาะฉันเท่านั้น ที่พวกสูเจ้าต้องเกรงกลัว" อัลบะกอเราะฮ์ 40
เมื่อมี คนหนึ่งได้สงสัย ในสัญญาต่าง ๆ ของอัลเลาะฮ์ และเห็นว่าเขา น่าจะได้รับการประทานเกียรติจากอัลเลาะฮ์ตะอาลา หรือเขาเห็น ว่าสังคมของเราในวันนี้สมควรที่จะได้รับการพัฒนา ได้รับการ ช่วยเหลือ มีความเป็นอยู่ที่ดีตามอัลเลาะฮ์ได้ทรงสัญญาไว้ ดังนั้นความสังสัยของเขาอันนี้ เป็นข้อบ่งชี้ถึงจิตใจ ที่มัวหมองและรัศมีของหัวใจได้มอดดับลงไป ตามที่ท่านอิมา มอิบนุอะฏออิลและฮ์กล่าวไว้
อย่างไรก็ตามพวกละเมิด และอธรรมที่ตัดสายใยความผูกพันระหว่างพระผู้สร้างของพวกเขานั้น พระองค์ จะเปิดประตูแห่งความสุขสำราญต่อหน้าพวกเขา ให้ดุนยาทั้งหมด สนองตามสิ่งที่อารมณ์พวกเขาต้องการ เพื่อเพิ่มความละเมิดและ เมามาย ดังนั้นการลงโทษที่อัลเลาะฮ์ทรงตระเตรียมให้กับพวกเขา นั้นย่อมรุนแรงยิ่ง นัก แล้วพระองค์ก็จักลงโทษพวกเขาอย่าง เฉียบขาดเลยทีเดียว
ท่านจงใคร่ครวญบรรดาตัวบทอัลกุ รอานที่ได้ตอกย้ำหลักการดังกล่าว ดังนี้
อัลเลาะฮ์ ทรงตรัสว่า
رُّبَمَا يَوَدُّ الَّذِينَ كَفَرُواْ لَوْ كَانُواْ مُسْلِمِينَ ذَرْهُمْ يَأْكُلُواْ وَيَتَمَتَّعُواْ وَيُلْهِهِمُ الأَمَلُ فَسَوْفَ يَعْلَمُونَ
“รุ๊บบ่ามา ยะวัดดุลล่าซีน่า กะฟะรู เลากานูมุสลิมีน ซัรฮุ้มยะกุลูน วะยะตะมัตตะอู วะยุลฮิฮิ้มุลอะมัล ฟะเซาฟะยะอฺละมูน”
" บางพวกที่ ไร้ศรัทธารู้สึกยินดีหากพวกเขาได้เป็นผู้ยอมสวามิภักดิ์ เจ้า จงปล่อยพวกเขาบริโภคและเสพสุขเถิด และให้พวกเขาเพลิดเพลินไป กลับความเพ้อฝัน (ลม ๆ แล้ง ๆ)ของพวกเขา แล้วแต่ไปพวกเขาก็จะ รู้" อัลฮิจร์ 2-3
سَنَسْتَدْرِجُهُم مِّنْ حَيْثُ لاَ يَعْلَمُونَ وَأُمْلِي لَهُمْ إِنَّ كَيْدِي مَتِينٌ
“ซะนัสตัดริญุฮุ้ม มินฮัยษุ ลายะอฺละมูน วะอุมลีละฮุ้ม อินน่า กัยดี มะตีน”
" เราจะชักนำพวกเขาทีละขั้นตอน (สู่การลงโทษ) โดยพวกเขาไม่รู้ และข้าจะประวิง(การลงโทษ)พวกเขา (ต่อไปอีกก็ได้) แท้จริงแผนการณ์ของข้าย่อมมั่นคงยิ่งนัก" อัลอะร๊อฟ 182-183
وَلاَ تَحْسَبَنَّ اللّهَ غَافِلاً عَمَّا يَعْمَلُ الظَّالِمُونَ إِنَّمَا يُؤَخِّرُهُمْ لِيَوْمٍ تَشْخَصُ فِيهِ الأَبْصَارُ
“วะลาตะห์ซะ บันนัลลอฮ่า ฆอฟิลัล อัมมา ยะอฺมะลุซซอลิมูน อินน่ามา ยุอัคคิรุ้ฮุ้ม ลิเยามิน ตัชค่อซู้ ฟีฮิล อับซ็อร”
" และ เจ้า (มุฮัมมัด) อย่าคิดว่า อัลเลาะฮ์เป็นผู้ละเลยต่อสิ่งที่เหล่าทุจริตชนประพฤติไว้ ความ เป็นจริงพระองค์ทรงประวิงพวกเขาไว้ รอจนว่าจะถึงวันหนึ่ง ซึ่งดวงตาของพวกเขาจะเบิกกว้าง (ด้วยความตกใจสุดขีด) ใน (วัน) นั้น" อิบรอฮีม 42
นี้คือวิถีทางของอัลเลาะฮ์ที่มีต่อ บรรดาตัวบทอัลกุรอาน เหล่านี้ ซึ่งมันได้อธิบายในสิ่งที่ท่าน ได้เห็น บรรดาพวกโง่เขลาส่วนมากมีความแปลกใจที่ประชาชาติ อธรรมและลุ่มหลงกลับอยู่ใน ความสุขสำราญอย่างไร้ขอบเขต แต่ก็ เสมือนกับสิ่งที่อัลเลาะฮ์ทรงตรัสว่ามันเป็นความสุขอันน้อยนิดที่ไม่จี รัง มันเป็นสิ่งเพลิดเพลิน ที่ทำให้ผู้ที่เห็นได้เกิดความ สุข มีความปลอดภัยและรู้สึกปิติยินดี แต่ทว่า ในความเป็นจริงที่เกิดขึ้นนั้น ภายในได้แบกรับความทุกข์ระทม และความเจ็บปวดเอาไว้ ดังนั้นเมื่อกาลเวลาที่ซ่อนเร้นซึ่งไม่ มีผู้ใดรู้นอกจากอัลเลาะฮ์ ได้ระเบิดเมล็ดพันธุ์แห่งความ ทุกข์ระทมและการทำลายขณะที่พวกเขาเหล่านั้นที่ กำลังเสวยสุขอยู่ ซึ่ง ข้อยืนยันอันนี้ก็คือคำตรัสของอัลเลาะฮ์ตาอาลา ที่ว่า
حَتَّى إِذَا فَرِحُواْ بِمَا أُوتُواْ أَخَذْنَاهُم بَغْتَةً فَإِذَا هُم مُّبْلِسُونَ
“ฮัตตา อิซา ฟะริฮู บิมา อูตู อะค๊อซนาฮุ้ม บัฆตะตัน ฟะอิซา ฮุ้ม มุบลิซูน”
"จน กระทั่งเมื่อพวกเขายินดีต่อสิ่งที่พวกเขาถูกประทานให้ เราก็ จะจัดการพวกเขาโดยฉับพลัน เมื่อนั้นพวกเขาก็จะพินาศ" อิบรอฮีม 44
ดัง นั้น หากวันนี้มีคน หนึ่งกล่าวว่า เราคือบรรดามุสลิมีนที่อัลเลาะฮ์ทรงปิดกั้นเรา จากสัญญาต่าง ๆ ของพระองค์ที่ทรงให้คำมั่นแก่เรา ส่วนพวกเขา คือพวกปฏิเสธ ละเมิด และอธรรม ซึ่ง อัลเลาะฮ์ทรงให้เกียรติแก่พวกเขาด้วยการประทานความช่วยเหลือและปัจจัย ต่าง ๆ ฉะนั้นถ้อยคำกล่าวของเขานี้มิใช่อื่นใด นอก จากเป็นความมัวหมองในจิตใจและเขาได้ทำการหันเหจากคำตรัสของอัลเลาะฮ์ ซึ่งหากเขาได้พิจารณาใคร่ครวญ ก็จะทราบถึงหลักการและ วิถีทางต่าง ๆ ซึ่งพระองค์ทรงกระทำอยู่บนพื้นฐานอันชอบธรรมที่มีต่อบรรดาบ่าวที่ศรัทธาและ ปฏิเสธ หรือผู้ที่ได้รับทางนำและผู้หลงทาง
วัล ลอฮุอะลัม