ผู้เขียน หัวข้อ: อัลกุรอาน คำแปลและคำอธิบาย (ตอนที่ 18 สูเราะฮฺ อัลกะฮฺฟิ)  (อ่าน 17666 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

 salam

คำอธิบายประกอบสูเราะฮฺ

สูเราะฮฺ อัลกะฮฺฟิ เป็นสูเราะฮฺ มักกียะฮฺ มี 110 อายะฮฺ ใน R3. กล่าวถึงสูเราะฮฺนี้ในบทนำดังนี้

ชื่อ: ซูเราะฮฺนี้ได้ชื่อมาจากอายะฮฺที่ 9 ซึ่งมีคำว่า الكهف   อัลกะฮฺฟิ – ชาวถ้ำ ปรากฏอยู่
ระยะเวลาของการประทานซูเราะฮฺ : นี่เป็นซูเราะฮฺแรกในบรรดาซูเราะฮฺต่าง ๆ ที่ถูกประทานลงมาในขั้นตอนที่สามของการเป็นนบีในนครมักกะฮฺ ในบทนำของซูเราะฮฺที่ 6 (อัลอันอาม) เราได้แบ่งชีวิตของท่านนบัมุฮัมมัด(ขอความสันติจงมีแด่ท่าน)ที่นครมักกะฮฺออกเป็น 4 ขั้นตอนด้วยกัน ตามการแบ่งดังกล่าวนั้น ขั้นตอนที่สามเริ่มตั้งแต่ปีที่ 5 ถึงปีที่ 10 ของการเป็นนบี สิ่งที่แยกขั้นตอนนี้ออกจากขั้นตอนที่สองและขั้นตอนที่สี่ก็คือ ในระหว่างขั้นตอนที่สองนั้นส่วนใหญ่แล้วพวกกุเรชจะใช้วิธีหัวเราะเยาะ เย้ยหยัน ถากถาง ข่มขู่ ล่อใจ คัดค้านและกล่าวร้ายท่านรอซูลุลลอฮฺและบรรดาสาวกของท่านเพื่อทำลายขบวนการอิสลาม แต่ในระหว่างขั้นตอนที่สาม พวกกุเรชได้ใช้วิธีการรุนแรงยิ่งขึ้นและใช้การกดดันทางเศรษฐกิจเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าว จนถึงขนาดที่ว่ามุสลิมหลายคนจำต้องอพยพหลบหนีไปยังอบิสสิเนีย ส่วนบรรดาคนที่อยู่ข้างหลังนั้นก็ต้องถูกปิดล้อมในบริเวณถิ่นที่อาศัยของอบูฏอลิบ พร้อมกับท่านรอซูลลุลลอฮฺและครอบครัวของท่าน นอกจากนั้นแล้ว พวกกุเรชยังได้ใช้วิธีการคว่ำบาตรทางสังคมและเศรษฐกิจต่อคนเหล่านั้นให้ได้รับความทุกข์ยากเดือดร้อนมากยิ่งขึ้นด้วย ในเวลานั้น ผู้ที่มีอิทธิพลพอที่จะช่วยครอบครัวของท่านได้ก็คืออบูฏอลิบและนางเคาะดีญะฮฺ แต่เมื่อย่างเข้าปีที่สิบแห่งการเป็นนบี บุคคลทั้งสองนี้ก็ต้องเสียชีวิตลงเสียก่อน ขั้นตอนที่สี่ จึงเริ่มต้นด้วยการลงมือข่มเหงหนักยิ่งขึ้นจนทำให้ท่านรอซูลุลลอฮฺและบรรดาสาวกของท่านต้องอพยพออกจากมักกะฮฺ
   จากเนื้อเรื่องของซูเราะฮฺนี้ปรากฏว่ามันได้ถูกประทานลงมาในตอนเริ่มต้นของขั้นตอนที่สามที่ถึงแม้จะมีการข่มเหงรังแกและต่อต้านก็ตาม แต่การอพยพไปยังอบิสสิเนียก็ยังไม่เกิดขึ้น นั่นคือเหตุผลที่ว่า ทำไมเรื่องราวของ “อัศหาบุล-กะฮฺฟิ” (บรรดาผู้หลับใหลในถ้ำ)จึงได้ถูกเล่าออกมาเพื่อที่จะปลอบโยนและให้กำลังใจแก่บรรดามุสลิมที่ถูกข่มเหงรังแกและเพื่อแสดงให้บรรดามุสลิมเหล่านั้นได้รู้ว่า คนดีมีคุณธรรมในอดีตนั้นรักษาความศรัทธาของพวกเขาไว้อย่างไร
   เนื้อเรื่องและหัวข้อ : ซูเราะฮฺนี้ได้ถูกประทานมาเพื่อตอบคำถามสามข้อที่บรรดาผู้บูชาเทวรูปแห่งมักกะฮฺถามท่านรอซูลุลลอฮฺเพื่อทดสอบท่านหลังจากที่คนพวกนี้ได้ไปปรึกษากับบรรดาชาวคัมภีร์มา คำถาม 3 ข้อที่ว่านี้ก็คือ (1) บรรดาผู้หลับใหลอยู่ในถ้ำเป็นใคร ? (2) เรื่องราวที่แท้จริงของคิดรฺ เป็นอย่างไร ? และ(3)ท่านรู้อะไรบ้างเกี่ยวกับซุลกอรฺนัยน์ ? ทั้งนี้เนื่องจากคำถามทั้ง 3 ข้อนี้เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ของชาวยิวและคริสเตียนและไม่เป็นที่รู้กันในฮิญาซ การเลือกคำถามทั้ง 3 ข้อมาถามก็เพื่อที่จะทดสอบว่า ท่านรอซูลลุลลอฮฺมีความรู้เกี่ยวกับสิ่งที่ถูกซ่อนเร้นและมองไม่เห็นหรือไม่ อย่างไรก็ตาม อัลลอฮฺไม่เพียงแต่ทรงประทานคำตอบที่สมบูรณ์แก่คำถามดังกล่าวเท่านั้น แต่ยังได้ทรงใช้เรื่องราวทั้งสามตอบโต้ทำลายความได้เปรียบของฝ่ายตรงข้ามในการต่อสู้ระหว่างฝ่ายอิสลามกับการไม่เชื่อพระเจ้าในเวลานั้นด้วย :-
   1. ผู้ถามได้ถูกบอกว่า “บรรดาผู้หลับใหลในถ้ำ” นั้นมีความศรัทธาในหลัก “เตาหีด” (ความเชื่อในพระเจ้าองค์เดียว) ที่มีอยู่ในกุรฺอาน และสภาพของคนเหล่านี้ก็เหมือนกับสภาพของบรรดามุสลิมที่ถูกกดขี่ข่มเหงอยู่ในมักกะฮฺ ในทางตรงกันข้าม คนที่กดขี่ข่มเหงบรรดาผู้หลับไหลอยู่ในถ้ำก็ปฏิบัติเช่นเดียวกับพวกกุเรชที่ปฏิบัติต่อบรรดามุสลิมอยู่ในขณะนี้ นอกจากนั้นแล้ว บรรดามุสลิมยังได้ถูกสอนว่าถึงแม้ผู้ศรัทธาจะถูกกดขี่ข่มเหงโดยสังคมที่โหดเหี้ยม เขาก็จะต้องไม่ค้อมหัวให้แก่ความเท็จ แต่ให้อพยพหลบหนีถ้าหากว่าจำเป็นโดยมอบความไว้วางใจทั้งหมดไว้กับอัลลอฮฺ ขณะเดียวกัน บรรดาผู้ปฏิเสธแห่งมักกะฮฺก็ได้ถูกบอกว่าเรื่องราวของบรรดาผู้หลับใหลในถ้ำนั้นเป็นข้อพิสูจน์อันชัดแจ้งถึงความเชื่อในวันโลกหน้า เพราะเรื่องนี้ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า อัลลอฮฺทรงมีอำนาจที่จะทำให้คนใดก็ตามที่พระองค์ทรงประสงค์ฟื้นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งหลังจากที่หลับเป็นตายมาเป็นระยะเวลายาวนาน ดังที่พระองค์ได้ทรงทำกับบรรดาผู้หลับใหลอยู่ในถ้ำเหล่านี้
   2. เรื่องราวของบรรดาผู้หลับใหลอยู่ในถ้ำได้ถูกนำมาใช้เพื่อเตือนพวกหัวหน้าชาวมักกะฮฺที่กำลังกดขี่ข่มเหงประชาคมมุสลิมเล็ก ๆ ซึ่งเกิดขึ้นมาใหม่ด้วย ในขณะเดียวกันท่านรอซูลุลลอฮฺก็ได้ถูกสั่งว่าท่านจะต้องไม่ประนีประนอมกับพวกกดขี่ข่มเหงในทุกกรณี และจะต้องไม่ถือว่าคนพวกนั้นสำคัญมากกว่าบรรดาสาวกผู้ยากจนของท่าน ในทางตรงกันข้าม พวกหัวหน้าชาวมักกะฮฺได้ถูกเตือนว่าพวกเขาไม่ควรจะหลงลำพองกับชีวิตสุขสบายชั่วคราวที่พวกเขาได้รับอยู่ในเวลานั้น แต่ควรจะแสวงหาความดีงามที่ถาวรและยั่งยืนนาน
   3. เรื่องราวของคิดรฺและนบีมูซา ได้ถูกนำมาเล่าในลักษณะของการตอบปัญหาของบรรดาผู้ไม่ศรัทธาในอัลลอฮฺ และปลอบโยนบรรดาผู้ศรัทธาในเวลาเดียวกัน บทเรียนในเรื่องราวนี้ก็คือ : พวกท่านจะต้องมีความศรัทธาอย่างเต็มเปี่ยมในเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังของสิ่งที่เกิดขึ้นตามพระประสงค์ของอัลลอฮฺ เนื่องจากความจริงได้ถูกซ่อนเร้นไว้ไม่ให้พวกท่านได้เห็น ดังนั้น พวกท่านจึงไม่เข้าใจถึงเหตุผลของสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น และบางครั้งถ้าหากว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่เป็นผลดีต่อพวกท่าน พวกท่านก็จะร้องออกมาว่า “มันเกิดขึ้นได้อย่างไร ? ทำไมมันต้องเกิดขึ้นด้วย ?” ความจริงแล้ว ถ้าหากว่า “สิ่งที่มองไม่เห็น” นั้นได้ถูกเปิดเผยออกมา พวกท่านเองก็จะรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ถึงแม้ว่าในบางครั้งมันอาจจะปรากฏว่าบางสิ่งไม่เป็นผลดีต่อพวกท่าน แต่ในท้ายที่สุดแล้วพวกท่านจะเห็นว่ามันเป็นผลดีต่อพวกท่านเอง”
   4. เรื่องราวของซุล-ก็อรฺนัยน์ก็เช่นกัน เพราะเรื่องราวนี้เป็นสิ่งที่ตักเตือนพวกที่ตั้งคำถามเหมือนกับจะบอกว่า “พวกหัวหน้าชาวมักกะฮฺเอ๋ย พวกเจ้าควรที่จะได้รับบทเรียนจากเรื่องราวของซุล-ก็อรฺนัยน์ ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นผู้ปกครอง เป็นผู้พิชิตที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่งและเป็นเจ้าของทรัพยากรอันมากมายมหาศาล แต่เขาก็ยังยอมจำนนต่อพระผู้ทรงสร้างของเขา ในขณะที่พวกเจ้ากำลังต่อต้านพระองค์ ทั้ง ๆ ที่พวกเจ้าเป็นแค่เพียงหัวหน้าเผ่าเล็ก ๆ ที่ไม่มีความสำคัญอะไรเลยเมื่อเปรียบเทียบกับเขา นอกจากนี้แล้ว ถึงแม้ซุล-ก็อรฺนัยน์จะสร้างกำแพงที่แข็งแรงที่สุดขึ้นมาเพื่อการป้องกัน แต่ความเชื่อมั่นที่แท้จริงของเขาก็อยู่ที่อัลลอฮฺ มิใช่ที่ “กำแพง” เขาเชื่อว่า กำแพงสามารถที่จะคุ้มครองเขาจากพวกศัตรู ตราบใดที่มันเป็นพระประสงค์ของอัลลอฮฺ และกำแพงนั้นอาจร้าวหรือเป็นรูได้เช่นกันหากพระองค์ทรงประสงค์ แต่พวกเจ้าซึ่งมีแค่เพียงที่พักอาศัยเป็นที่กำบังและเปรียบเทียบกันไม่ได้เลยกับเขา กลับถือว่าพวกเจ้าเองมั่นคงปลอดภัยอย่างถาวรแล้วต่อภัยพิบัติทุกอย่าง”
   ในขณะที่คัมภีร์กุรฺอานได้ตอบย้อนผู้ตั้งคำถามที่พยายามจะ “จับผิด” ท่านรอซูลุลลอฮฺนั้น ในตอนท้ายของซูเราะฮฺนี้ได้มีการตอกย้ำถึงสิ่งกับที่กล่าวไว้ในตอนต้นซูเราะฮฺ นั่นคือ : “เตาหีด(ความเชื่อในเอกภาพของอัลลอฮฺ) และการฟื้นคืนชีพหลังความตายนั้นเป็นเรื่องจริงและเป็นผลดีต่อพวกเจ้าเอง พวกเจ้าควรจะยอมรับหลักความเชื่อดังกล่าวนี้ และแก้ไขปรับปรุงตนเองตามหลักความเชื่อดังกล่าว และดำเนินชีวิตในโลกนี้ด้วยความเชื่อมั่นว่าพวกเจ้าจะต้องไปตอบต่ออัลลอฮฺ มิเช่นนั้นแล้ว พวกเจ้าจะทำลายชีวิตของพวกเจ้าเอง และการกระทำของพวกเจ้าทั้งหมดจะไร้ความหมายโดยสิ้นเชิง”


Reference

R1.    The Noble Qur’an. Dr.Muhammad Taqi-ud-Din al-Hilali and Dr.Muhammad Muhsin Khan.
R2.    อัลกุรอานฉบับแปลภาษาไทย โดย มัรวาน สะมะอุน 
R3.    ตัฟฮีมุลกุรฺอาน (อรรถาธิบายโดย เมาลานา ซัยยิด อบุล อลา เมาดูดี แปลโดย บรรจง บินกาซัน)
R4.    พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน พร้อมคำแปลเป็นภาษาไทย ศูนย์กษัตริย์ฟาฮัด เพื่อการพิมพ์อัลกุรอานแห่งนครมาดีนะฮ์
R5.    พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน ฉบับภาษาไทย โดย นายต่วน สุวรรณศาสน์ (ฮัจยีอิสมาแอล บินฮัจยียะห์ยา) จุฬาราชมนตรี 



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัลกะฮฺฟิ อายะฮฺที่ 1 – 3




คำอ่าน
1. อัลหัมดุลิลลาฮิลละซี อัน..ซะละอะลาอับดิฮิลกิตาบะ วะลัมยัจญอัลละฮู อิวะญา

คำแปล R1.
1. All the praises and thanks be to Allah, who has sent down to his slave (Muhammad) the Book (the Qur'an), and has not placed therein any crookedness.

คำแปล R2.
1. มวลการสรรเสริญเป็นของอัลเลาะฮฺผู้ทรงลงคัมภีร์ (อัลกุรอาน) ให้แก่บ่าวของพระองค์ และพระองค์ไม่ทรงบันดาลให้อัลกุรอานนั้นถูกบิดเบือน

คำแปล R3.
1. บรรดาการสรรเสริญเป็นของอัลลอฮฺผู้ทรงประทานคัมภีร์นี้มายังบ่าวของพระองค์และมิได้ทรงทำให้มันมีการบิดเบือนใด ๆ

คำแปล R4.
1. บรรดาการสรรเสริญเป็นของอัลลอฮผู้ทรงประทานคัมภีร์แก่บ่าวของพระองค์ และพระองค์มิได้ทรงทำให้มันมีการบิดเบือนแต่อย่างใด

คำแปล R5.
๑. การสรรเสริญเป็นสิทธิ์ของอัลเลาะห์โดยแท้จริง พระผู้ซึ่งได้ดลพระคัมภีร์อัล-กุรอานลงยังมุฮำมัดบ่าวของพระองค์ มิได้ทรงให้พระคัมภีร์นั้นไขว้เขวเลย ไม่ว่าจะโดยการขัดแย้งกันตามความหมาย หรือด้วยถ้อยคำที่ขาดตกไป

 

คำอ่าน
2. ก็อยยิมัลลิยุน..ซิเราะบะอ์สัน..ชะดีดัม..มิลละดุนฮุ วะยุบัชชิร็อลมุอ์มินีนัลละซีนะยะอฺมะลูนัศศอลิหาติ อัน..นะละฮุมอัจญร็อน หะสะนา

คำแปล R1.
2. (He has made it) Straight to give warning (to the disbelievers) of a severe punishment from him, and to give glad tidings to the believers (in the Oneness of Allah Islamic Monotheism), who work righteous deeds, that they shall have a fair reward (i.e. Paradise).

คำแปล R2.
2. เป็นคัมภีร์ที่เที่ยงธรรมเพื่อเตือนถึงภัยอันร้ายกาจจากพระองค์ และแจ้งข่าวดีแก่บรรดาผูมีศรัทธาที่ประพฤติแต่ความดีว่า พวกเขาจะต้องได้รับรางวัลอันงดงามยิ่ง

คำแปล R3.

2. คัมภีร์นี้กล่าวอย่างตรงไปตรงมาเพื่อที่เขาจะได้เตือนผู้คนถึงการลงโทษอันรุนแรงของอัลลอฮฺและแจ้งข่าวดีแก่บรรดาผู้ศรัทธาที่กระทำความดีว่าพวกเจ้าจะได้รับรางวัลอันดีงาม

คำแปล R4.

2. เป็นคัมภีร์ที่เที่ยงธรรม เพื่อเตือนสำทับถึงการลงโทษอย่างสาหัสจากพระองค์ และเพื่อแจ้งข่าวดีแก่บรรดาผู้ศรัทธาที่กระทำความดีทั้งหลายว่า สำหรับพวกเขานั้นจะได้รับรางวัลอันดีงาม (คือสวนสวรรค์)

คำแปล R5.

๒. พระคัมภีร์นั้นจะมีแต่ความเที่ยงแท้ ไม่มีที่ใดที่เข้มงวดเกินขอบเขต จนกระทั่งปวงบ่าวของพระองค์ต้องลำบากอย่างยิ่ง และไม่หละหลวมในเขตแห่งข้อบังคับ ขนกระทั่งต้องพึ่งพาอาศัยคัมภีร์อื่น ๆ ทั้งนี้เพื่อจะทรงถือเอาคัมภีร์นี้เตือนปวงชนกาฟิร ให้เกรงกลัวโทษร้ายแรงจากพระองค์ และเพื่อจะทรงประกาศข่าวดีให้ปลื้มปีติแก่เหล่าศรัทธาชน (มุอ์มิน) ผู้ปฏิบัติชอบด้วยว่า พวกเขาย่อมได้รับสวนสวรรค์เป็นค่าตอบแทนที่งดงาม


คำอ่าน
3. มากิษีนะ ฟีฮิอะบะดา

คำแปล R1.
3. They shall abide therein forever.

คำแปล R2.
3. พวกเขาพำนักอยู่ในนั้นตลอดกาลนาน

คำแปล R3.

3. ซึ่งพวกเขาจะมีความสุขในนั้นตลอดไป

คำแปล R4.
3. เป็นผู้พำนักอยู่ในนั้นตลอดกาล

คำแปล R5.

๓. พวกเขาดำรงอยู่ ณ สวรรค์แห่งนั้นตลอดกาล



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัลกะฮฺฟิ อายะฮฺที่ 4 - 6



คำอ่าน
4. วะยุน..ซิร็อลละซีนะ กอลุตตะเคาะซัลลอฮุวะละดา

คำแปล R1.
4. And to warn those (Jews, Christians, and pagans) who say, "Allah has begotten a son (or offspring or children)."

คำแปล R2.
4. และเพื่อเตือนจำพวกที่กล่าวว่า “อัลเลาะฮฺทรงถือเอา(บางสิ่ง)เป็นบุตร”

คำแปล R3.
4. และเพื่อที่เขาจะได้เตือนบรรดาคนที่กล่าวว่า “อัลลอฮฺได้ทรงให้กำเนิดบุตร”

คำแปล R4.
4. และเพื่อเตือนสำทับบรรดาผู้ที่กล่าวว่า “อัลลอฮฺทรงตั้งพระบุตรขึ้น”

คำแปล R5.
๔. อีกทั้งเพื่อจะทรงเตือนกาฟิรบางพวก ที่กล่าวไว้ข้างต้น ผู้ซึ่งกล่าวความอันไม่สมควรว่า “อัลเลาะห์ทรงมีบุตร” ให้เกรงกลัวโทษทัณฑ์ร้ายแรง จากพระองค์ด้วย

 


คำอ่าน
5. มาละฮุม..บิฮี มินอิลมิว..วะลาลิอาบา..อิฮิม กะบุร็อต กะลิมะตัน..ตัครุญุมินอัฟวาฮิฮิม อี..ยะกูลูนะอิลลากะซิบา

คำแปล R1.
5. No knowledge has they of such a thing, nor had their fathers. Mighty is the word that comes out of their mouths [i.e. He begot (took) sons and daughters]. They utter nothing but a lie.

คำแปล R2.
5. พวกเขาและบรรพบุรุษของพวกเขาไม่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนั้นเลย เป็นถ้อยคำอันยิ่งใหญ่ (เลวร้าย) ที่ออกมาจากปากของพวกเขาเสียนี่กระไร! พวกเขามิได้พูด(แบบนั้นจากบทบัญญัติแห่งคัมภีร์หรือคำสอนของศาสดา)นอกจากเป็นเพียงความเท็จเท่านั้นเอง

คำแปล R3.
5. พวกเขาไม่มีความรู้ใด ๆ ในเรื่องนี้เช่นเดียวกับบรรดาบรรพบุรุษของพวกเขา มันเป็นถ้อยคำอุบาทว์ที่ออกมาจากปากของพวกเขา พวกเขามิได้พูดอะไรนอกไปจากความเท็จ

คำแปล R4.

5. พวกเขาไม่มีความรู้ใด ๆ ในเรื่องนี้ และบรรพบุรุษของพวกเขาก็เช่นกัน เป็นคำกล่าวที่น่าเกลียดยิ่งที่ออกจากปากของพวกเขา โดยที่พวกเขามิได้กล่าวอันใดนอกจากความเท็จ

คำแปล R5.
๕. คำพูดใส่ความอันไม่สมควรแก่อัลเลาะห์ดังกล่าวของพวกเขา(กาฟิรบางคน)และของเหล่าบรรพบุรุษแห่งพวกเขาในสมัยก่อน ๆ เช่นนี้ เป็นสิ่งเป็นไปมิได้ ถ้อยคำกล่าวใส่ความแก่พระองค์ดังกล่าวที่หลุดออกจากปากเขานั้นเป็นผลเสียหายหนักหน่วงนัก พวกเขาหาได้กล่าวอ้างขึ้นเพื่ออื่นใดไม่ หากแต่เป็นเพียงคำเท็จเท่านั้น



คำอ่าน
6. ฟะละอัลละกะ บาคิอุน..นัฟสะกะ อะลา..อาษาริฮิม อิลลัมยุอ์มินู บิฮาซัลหะดีษิ อะสะฟา

คำแปล R1.

6. Perhaps, you, would kill yourself (O Muhammad) in grief, over their footsteps (for their turning away from you), because they believe not in this narration (the Qur'an).

คำแปล R2.
6. แท้จริงบางทีเจ้า(นบีมุฮำมัด)อาจจะถึงกับปลงชีพตัวเอง(เพราะความทุกข์โศก)บนผลงานของพวกเขา หากแม้นพวกเขาไม่ยอมศรัทธาในถ้อยความ(แห่งอัลกุรอาน)นี้

คำแปล R3.
6. (โอ้ มุฮัมมัด) บางทีเจ้าอาจจะทำลายชีวิตของเจ้าเองเพราะเศร้าใจในพฤติกรรมของพวกเขา ถ้าพวกเขาไม่ศรัทธาในข้อความนี้

คำแปล R4.
6. ดังนั้น บางทีเจ้าอาจเป็นผู้ทำลายชีวิตของเจ้าด้วยความเสียใจ เนื่องจากการผินหลังของพวกเขา หากพวกเขาไม่ศรัทธาต่ออัลกุรอานนี้

คำแปล R5.
๖. โอ้ มุฮำมัด ตัวเจ้าอาจเป็นทุกข์หนักด้วยความเศร้าสร้อยที่พวกเขาเบือนหนีไม่ยอมเชื่อเจ้าก็ได้ เจ้าอย่าได้โศกเศร้าเป็นทุกข์เลย ด้วยเหตุเพียงเจ้าไม่สมประสงค์ที่จะให้พวกเขาเชื่อเจ้าได้ ถึงพวกเขาจะไม่เชื่อพระวาจา จากอัล-กุรอานนี้ก็ช่าง เจ้าจงอดทนไว้เถิด
 


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัลกะฮฺฟิ อายะฮฺที่ 7 – 8


คำอ่าน
7. อิน..นาญะอัลนา มาอะลัลอัรฺฎิ ซีนะตัลลฮา ลินับลุวะกุม อัยยุกุม อะหฺสะนุอะมะลา

คำแปล R1.
7. Verily! We have made that which is on earth as an adornment for it, In order that we may test them (mankind) as to which of them are best in deeds. [i.e. those who do good deeds In the most perfect manner, that means to do them (deeds) totally for Allah's sake and In accordance to the legal ways of the Prophet].

คำแปล R2.
7. แท้จริงเราได้ดลบันดาลสรรพสิ่งบนพื้นปฐพี ให้เป็นเครื่องประดับ(อันสวยงาม)แก่มัน เพื่อเราจะได้ทดสอบพวกเขาว่า คนใดในพวกเขาบ้างที่มีความประพฤติอันงดงาม

คำแปล R3.
7. แท้จริงแล้วก็คืออะไรก็ตามบนโลกนี้เราได้ทำให้มันเป็นสิ่งประดับประดาอันสวยหรู เพื่อที่เราจะได้ทดสอบผู้คนว่าผู้ใดในหมู่พวกเขากระทำดีที่สุด

คำแปล R4.
7. แท้จริง เราได้ทำให้สิ่งที่อยู่บนแผ่นดินเป็นที่ประดับสำหรับมัน เพื่อเราจะทดสอบพวกเขาว่า ผู้ใดในหมู่พวกเขามีผลงานที่ดีเยี่ยม

คำแปล R5.
๗. แน่แท้เรา(อัลเลาะห์)นี้ได้บังเกิดสิ่งต่าง ๆ อาทิ เหล่าสัตว์ พืชผัก ตลอดจนต้นไม้ แม่น้ำลำคลอง และอื่น ๆ อีก ให้มีขึ้น ณ แผ่นดินสำหรับประดับมัน(แผ่นดิน)ให้สวยงาม เพื่อเราจะปฏิบัติการคล้ายเป็นการทดลองล่อพวกมนุษย์เหล่านั้นให้แลมองสิ่งต่าง ๆ ดังกล่าวที่หน้าแผ่นดินอย่างกระจ่างแจ้ง โดยเราย่อมรู้แน่ชัดอยู่ก่อนแล้วแต่บรรพกาล ว่าใครบ้างในหมู่มนุษย์เหล่านั้น จะประพฤติดีงามกว่ากัน โดยมิได้สนใจแต่ความงดงามที่ปกอยู่ ณ หน้าแผ่นดิน หากแต่เพียงสนใจอยากได้ความงดงามภายในสรวงสวรรค์เท่านั้น

 

คำอ่าน
8. วะอิน..นาละญาอิลูนะ มาอะลัยฮา เศาะอีดัน ญุรุซา

คำแปล R1.
8. And Verily! We shall make all that is on it (the earth) a bare dry soil (without any vegetation or trees, etc.).

คำแปล R2.
8.  และแท้จริงเราได้ดลบันดาลสรรพสิ่งบนพื้นปฐพีให้เป็นพื้นที่อันแห้งแล้ง (ในบางวาระ)

คำแปล R3.

8. ในที่สุด เราจะพลิกทุกสิ่งที่อยู่ในนั้นให้เป็นที่ว่างเปล่า

คำแปล R4.
8. และแท้จริง แน่นอนเราเป็นผู้ทำให้สิ่งที่อยู่บนพื้นดินเป็นผุยผงแห้งแล้ง

คำแปล R5.
๘. ทั้งเรา(อัลเลาะห์)ยังเป็นผู้บันดาลให้สิ่งต่าง ๆ อันสวยงดงาม ณ ที่แผ่นดินนั้นกลับเป็นดินที่แล้งทั้งกระแสลมและพืชพันธุ์อีกด้วย
 
 

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัลกะฮฟิ อายะฮฺที่ 9 – 12



คำอ่าน
9. อัมหะสิบตะอัน..นะอัศหาบัลกะฮฺฟิ วัรฺเราะกีมิ กานูมินอายาตินา อะญะบา

คำแปล R1.
9. Do you think that the people of the cave and the inscription (the news or the names of the people of the cave) were a wonder among Our Signs?

คำแปล R2.
9. เจ้าคิดหรือว่า “ชาวถ้ำ” และแผ่นศิลาจารึก(ชื่อและประวัติของพวกนั้น)เป็นความประหลาดล้ำ(เพียงอย่างเดียว)จากบรรดาสัญลักษณ์ของเรา (ความจริงแล้วทุกสัญลักษณ์ล้วนเป็นสิ่งประหลาดมหัศจรรย์ทั้งสิ้น)

คำแปล R3.
9. เจ้าคิดว่า “บรรดาผู้หลับใหลอยู่ในถ้ำ” และบรรดาผู้ถือ “แผ่นจารึก” เป็นสัญญาณมหัศจรรย์ส่วนหนึ่งของเราบ้างไหม ?

คำแปล R4.
9. เจ้าคิดหรือว่า ชาวถ้ำและแผ่นจารึก เป็นส่วนหนึ่งจากสัญญาณมหัศจรรย์ของเรากระนั้นหรือ ?

คำแปล R5.

๙. โอ้ มุฮำมัด เจ้ายังจะคิดอยู่ว่า ชนชาวถ้ำแห่งภูเขาลูกหนึ่ง จำนวนเจ็ดคน มีชื่อว่า มิกสลิมีนา ตัมลีคอ มัรตูนิส มัยนูนิส ซาริบูนิส ซูนะวานิส และฟะลิสตัสยูนิส กับแผ่นป้ายตะกั่วจารึกชื่อ นามสกุลและประวัติอื่น ๆ ซึ่งฝังอยู่ที่ปากถ้ำนั้น ประหลาดยิ่งกว่าบรรดาเครื่องหมายของเราอยู่อีกหรือ ? แต่ที่แน่นอนแล้ว บรรดาเครื่องหมายที่แสดงให้เห็นถึงพลานุภาพของเรา เช่น การสร้างชั้นฟ้าทั้งเจ็ดและแผ่นดิน เป็นสิ่งประหลาดยิ่งกว่าประวัติของชาวถ้ำเสียอีก ฉะนั้นเจ้าอย่าได้คาดคิดเช่นนั้นเลย
 

คำอ่าน
10. อิซอะวัลฟิตยะตุ อิลัลกะฮฺฟิ ฟะกอลูร็อบบะนา..อาตินา มิลละดุน..กะเราะหฺมะเตา..วะฮัยยิอ์ละนามินอัมรินาเราะชะดา

คำแปล R1.

10. (Remember) when the young men fled for refuge (from their disbelieving folk) to the cave, they said: "Our Lord! Bestow on us Mercy from yourself, and facilitate for us our affair in the right way!"

คำแปล R2.
10. (จงระลึกเถิด) เมื่อครั้งที่กลุ่มชายหนุ่มได้เข้าไปพักแรมอยู่ในถ้ำ (หลังจากพวกเขาได้หลบหนีกษัตริย์ “อักยานุส” แห่งโรมันมาจากเมือง “ตอรตูส”) แล้วพวกเขาก็พร่ำวอนขอว่า “โอ้องค์อภิบาลของเรา! ขอได้ประทานความเมตตาจากพระองค์แก่พวกเราด้วยเถิด และได้โปรดเตรียมความถูกต้องจากการงานของเราแก่พวกเราด้วยเถิด”

คำแปล R3.
10. เมื่อพวกชายหนุ่มเข้าไปหลบภัยอยู่ในถ้ำ พวกเขากล่าวว่า “โอ้พระผู้อภิบาลของเรา โปรดทรงประทานความเมตตาจากพระองค์แก่เราและโปรดทรงนำทางที่ถูกต้องในการทำงานของเรา”

คำแปล R4.
10. จงรำลึกขณะที่พวกชายหนุ่มหลบเข้าไปในถ้ำแล้วพวกเขากล่าวว่า “ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าของเรา ขอพระองค์ทรงโปรดประทานความเมตตาจากพระองค์แก่เรา และทรงทำให้การงานของเราอยู่ในแนวทางที่ถูกต้อง”

คำแปล R5.
๑๐. โอ้มุฮำมัด จงกล่าวเถิดเพื่อให้ประชาชนของเจ้าได้ถือเป็นคติธรรม ในขณะที่เหล่าหนุ่มฉกรรจ์ผู้ซึ่งเผ่นหนีมาจากนครหนึ่งชื่อว่า “ต๊อรตูส” เนื่องด้วยกลัวดักยานูส เจ้าผู้ครองนครซึ่งร่วมมือกับกลุ่มชนกาฟิรบัญชาพวกเขาให้บูชาพวกอื่นจากอัลเลาะห์แต่ละคนต่างเผ่นหนีกลับบ้านไปพบบิดาของตน แล้วตระเตรียมเสบียงอาหารและค่าครองชีพและรีบหนีเข้าไปยังถ้ำแห่งหนึ่ง ณ ภูเขาซึ่งอยู่ใกล้ ๆ นครนั้น พวกเขากล่าววิงวอนต่ออัลเลาะห์ว่า โอ้องค์พระผู้อภิบาลแห่งบรรดาข้าพระองค์ ขอพระองค์ได้โปรดอำนวยความปรานีจากพระองค์ทั้งในโลกนี้และโลกหน้าแก่บรรดาข้าพระองค์และได้โปรดส่งเสริมหรืออำนวยกิจการของบรรดาข้าพระองค์ที่กำลังเป็นทุกข์อยู่ ได้แก่ความหวาดกลัวพวกกาฟิร และการพลัดพรากจากครอบครัวให้สะดวกแก่บรรดาข้าพระองค์ด้วยเถิด

 

คำอ่าน
11. ฟะเฎาะร็อบนา อะลา..อาซานิฮิม ฟิลกะฮฺฟิสินีนะ อะดะดา

คำแปล R1.
11. Therefore we covered up their (sense of) hearing (causing them, to go in deep sleep) in the cave for a number of years.

คำแปล R2.
11. แล้วเราได้กระหน่ำลงบนหูของพวกเขา (ทำให้พวกเขาหลับใหลอยู่) ในถ้ำนั้นเป็นระยะเวลาหลายปี

คำแปล R3.
11. ดังนั้น เราจึงได้ทำให้พวกเขาหลับอยู่ในถ้ำเป็นเวลาหลายปี

คำแปล R4.
11. แล้วเราได้อุดหูพวกเขา (ให้นอนหลับ) ในถ้ำ เป็นเวลาหลายปี

คำแปล R5.
๑๑. แล้วเรา(อัลเลาะห์)จึงให้พวกเขานั้นหลับใหลอยู่ในถ้ำนานหลายปี

 

คำอ่าน
12. ษุม..มะบะอัษนาฮุม ลินะอฺละละ อัยยุลหิซบัยนิ อะหฺศอ ลิมาละบิษู..อะมะดา

คำแปล R1.
12. Then we raised them up (from their sleep), that We might test which of the two parties was best at calculating the time period that they had tarried.

คำแปล R2.
12. ต่อจากนั้น เราได้ฟื้นพวกเขาขึ้นมาอีกเพื่อเราจะได้รู้ว่าคนสองฝ่าย (จากกลุ่มหนุ่มที่ขัดแย้งกันในเรื่องจำนวนปีที่พวกเขาหลับอยู่) ว่าฝ่ายใดที่สามารถนับเวลาที่พวกเขาพำนักอยู่ (ในถ้ำนั้นได้อย่างถูกต้องว่ากี่ปี)

คำแปล R3.
12. แล้วเราได้ทำให้พวกเขาลุกขึ้นเพื่อที่จะทดสอบว่าคนใดในหมู่พวกเขาสามารถนับเวลาที่พวกเขาอยู่ที่นั่นได้อย่างถูกต้อง

คำแปล R4.
12. แล้วเราได้ให้พวกเขาลุกขึ้น เพื่อเราจะได้รู้ว่าผู้ใดในสองพวกนั้น นับเวลาที่พวกเขาพำนักอยู่ได้ถูกต้องกว่า

คำแปล R5.
๑๒. ต่อแต่นั้นมาเรา(อัลเลาะห์)ได้ให้พวกเขาตื่นขึ้นเพื่อเราจักได้รู้ว่าทั้งสองพวกจากเหล่าหนุ่มฉกรรจ์จำนวนเจ็ดคนซึ่งขัดแย้งกันในเรื่องเวลาที่พวกตนหลับใหลไปนั้น พวกไหนกะเวลาซึ่งพวกเขาพักอยู่ในถ้ำได้แม่นยำกว่ากัน


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัลกะฮฺฟิ อายะฮฺที่ 13 – 17

 

คำอ่าน
13. นะหฺนุ นะกุศศุ อะลัยกะ นะบะอะฮุม..บิลหัก, อิน..นะฮุม ฟิตยะตุนอามะนู บิร็อบบิฮิม วะซิดนาฮุมฮุดา

คำแปล R1.
13. We narrate unto you (O Muhammad) their story with truth: Truly! They were young men who believed in their Lord (Allah), and we increased them in guidance.

คำแปล R2.
13. เราแถลงให้เจ้าทราบถึงเรื่องราวของพวกเขาโดยความจริง แท้จริงเขาเป็นคนหนุ่มที่มีความศรัทธามั่นในองค์อภิบาลของพวกเขา และเราได้เพิ่มพูนสิ่งชี้นำแก่พวกเขา

คำแปล R3.
13. ที่นี้ เราจะเล่าเรื่องราวที่แท้จริงของพวกเขาให้เจ้าฟัง พวกเขาเป็นชายหนุ่มกลุ่มหนึ่งที่ศรัทธาในพระผู้อภิบาลของพวกเขาและเราได้เพิ่มพูนทางนำให้แก่เขา

คำแปล R4.
13. เราจะเล่าเรื่องราวของพวกเขาแก่เจ้าตามความเป็นจริง แท้จริงพวกเขาเป็นชายหนุ่มที่ศรัทธาต่อพระเจ้าของพวกเขา และเราได้เพิ่มแนวทางที่ถูกต้องให้แก่พวกเขา

คำแปล R5.
๑๓. โอ้มุฮำมัด เรา(อัลเลาะห์)จะบอกเรื่องราวของพวกชาวถ้ำเหล่านั้นอย่างละเอียดแก่เจ้าโดยจริง หลังจากที่เราเคยบอกแก่เจ้าไว้แล้วอย่างคร่าว ๆ ว่าพวกเขานั้นเป็นเหล่าหนุ่มฉกรรจ์ที่ต่างมีศรัทธาต่ออัลเลาะห์องค์พระผู้อภิบาลแห่งพวกเขาและเรา(อัลเลาะห์)ก็ให้พวกเขาได้รับแนวธรรมทวีขึ้นด้วย



คำอ่าน
14. วะเราะบัฏนาอะลากุลูบิฮิม อิซกอมู ฟะกอลูร็อบบุนา ร็อบบุสสะมาวาติวัลอัรฺฎิ ลัน..นัดอุวะมินดูนิฮี..อิลาฮัลละก็อดกุลนาอิซัน..ชะเฏาะฏอ

คำแปล R1.
14. And we made their hearts firm and strong (with the light of faith Allah and bestowed upon them patience to bear the separation of their kith and kin and dwellings, etc.) when they stood up and said: "Our Lord is the Lord of the heavens and the earth, never shall we call upon any Ilah (God) other than him; if we did, we should indeed have uttered an enormity in disbelief.

คำแปล R2.
14. และเราได้ผูกมัดหัวใจของพวกเขา (ให้กล้าหาญและกลมเกลียวกัน) เมื่อพวกเขาได้ยืนขึ้น (ต่อหน้ากษัตริย์ “ดักยานูส” ) แล้วพวกเขาก็ประกาศตนว่า “อันพระเจ้าของเราเป็นพระเจ้าแห่งฟากฟ้าและแผ่นดิน เราจะไม่ขอวอน (นมัสการ) พระเจ้าอื่นใดทั้งสิ้นนอกจากพระองค์ (ดังนั้นหากเราวอนนมัสการสิ่งอื่นใด) แน่นอนเราก็พูดเลยเถิด ณ บัดนั้นเอง

คำแปล R3.
14. เราได้ทำให้หัวใจของพวกเขาเข้มแข็งเมื่อพวกเขาลุกขึ้นและประกาศว่า “พระผู้อภิบาลของเราคือพระผู้อภิบาลแห่งชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน เราจะไม่เรียกร้องพระเจ้าอื่นใดนอกไปจากพระองค์เป็นอันขาด มันเป็นการไร้สาระที่สุดหากเราทำเช่นนั้น”

คำแปล R4.
14. และเราได้ให้ความเข้มแข็งแก่หัวใจของพวกเขา ขณะที่พวกเขายืนขึ้นประกาศว่า พระเจ้าของเราคือพระเจ้าแห่งชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน เราจะไม่วิงวอนพระ เจ้าอื่น จากพระองค์ มิเช่นนั้นเราก็กล่าวเกินความจริงอย่างแน่นอน

คำแปล R5.
๑๔. ทั้งเรา (อัลเลาะห์)ยังได้ให้หัวใจของพวกเขาเข้มแข็ง ต่อการที่จะพูดจาเป็นสัจจะ ในขณะพวกเขายืนขึ้นและกล่าวต่อหน้าเจ้าผู้ครองนครต๊อรตูส ผู้ซึ่งมีนามว่า “ดักยานูส” ผู้บังคับบัญชาพวกเขาให้ก้มลงกราบเคารพเทวรูปว่า “อัลเลาะห์องค์พระผู้อภิบาลแห่งเรา คือพระผู้อภิบาลแห่งบรรดาชั้นฟ้าทั้งเจ็ดและแผ่นดิน นอกจากพระองค์แล้ว เราจะไม่กราบเคารพพระเจ้าอื่นใดอีกเลย ขอสาบานโดยพระนามแห่งอัลเลาะห์ว่าถ้าเรานี้กราบเคารพอื่นใดนอกจากอัลเลาะห์ เมื่อนั้นแหละเราย่อมพูดจาเลยขอบเขตเป็นแน่” ในฐานะที่ไร้ศรัทธาต่ออัลเลาะห์


คำอ่าน
15. ฮา...อุลา..อิก็อวมุนัตตะเคาะซู มิน..ดูนิฮี..อาลิฮะตัลเลาลายะอ์ตูนะอะลัยฮิม..บิสุลฏอนิม..บัยยิน, ฟะมันอัซละมุ มิม..มะนิฟตัรอ อะลัลลอฮฺกะซิบา

คำแปล R1.
15. "These our people have taken for worship Aliha (gods) other than Him (Allah). Why do they not bring for them a clear authority? And who does more wrong than he who invents a lie against Allah.

คำแปล R2.
15. “พวกเหล่านี้ เป็นกลุ่มชนของเราเอง พวกเขาได้ยึดถือพระเจ้าต่าง ๆ นอกเหนือจากพระองค์ ไฉนพวกเขาจึงไม่นำมาซึ่งหลักฐานอันชัดแจ้ง เพื่อยืนยันแก่ตัวเองให้ได้ ? แล้วผู้ใดเล่าที่จะฉ้อฉลยิ่งไปกว่าบุคคลที่เสกสรรความเท็จแก่อัลลอฮฺ ?”

คำแปล R3.
15. (แล้วพวกเขาก็ได้ปรึกษากันโดยกล่าวว่า) “คนของพวกเราได้เอาพระเจ้าอื่น ๆ มาแทนพระองค์ ทำไมพวกเขาไม่เอาหลักฐานที่ชัดแจ้งใด ๆ มายืนยันความเชื่อของพวกเขา ? ดังนั้นใครเล่าที่จะชั่วช้าไปกว่าผู้กุเรื่องเท็จต่ออัลลอฮฺ ?”

คำแปล R4.
15. กลุ่มชนของเราเหล่านั้นได้ยึดเอาพระเจ้าต่างๆ อื่นจากพระองค์ ทำไมพวกเขาจึงไม่นำหลักฐานอันชัดแจ้งมายืนยันเล่า ดังนั้นจะมีผู้ใดอธรรมยิ่งไปกว่าผู้ที่กล่าวเท็จต่ออัลลอฮ

คำแปล R5.
๑๕. ถ้อยคำรวมหกประโยค สามประโยคแรกจากเนื้อความตั้งแต่ “องค์พระผู้อภิบาลแห่งเราฯ จนกระทั่งจบโองการที่ ๑๔” และอีกสามประโยคได้แก่ถ้อยคำที่พวกเขากล่าวต่อไปจนจบโองการที่ ๑๕ ว่ากษัตริย์กับชนกาฟิรเหล่านั้น คือพรรคพวกของเราผู้ซึ่งยึดถือ(เทวรูป)อื่นจากพระองค์เป็นพระเจ้า พวกเหล่านั้นจงนำเอาหลักฐานอันแจ้งชัดในเรื่องกราบเคารพเทวรูปมายืนยันให้ตนเองซิ ไม่มีผู้ที่จะคิดคดยิ่งกว่าผู้ซึ่งอ้างเท็จด้วยเอาตัวภาคี(เทวรูป)พาดพิงยังอัลเลาะห์

   

คำอ่าน
16. วะอิซิอฺตะซัลตุมูฮุม วะมายะอฺบุดูนะ อิลลัลลอฮะ ฟะอ์วู..อิลัลกะฮฺฟิ ยัน..ชุรฺละกุม ร็อบบุกุม..มิรฺเราะหฺมะติฮี วะยุฮัยยิอ์ละกุม..มินอัมริกุม..มิรฺฟะกอ

คำแปล R1.
16. (The young men said to one another): "And when you withdraw from them, and that which they worship, except Allah, Then seek refuge in the cave, Your Lord will open a way for you from His Mercy and will make easy for you your affair (i.e. will give you what you will need of provision, dwelling, etc.)."

คำแปล R2.

16. และเมื่อพวกท่านปลีกตัวออกจากพวกเขา และ(ออกจาก)สิ่งที่พวกเขากราบไหว้นอกจากอัลเลาะฮฺ พวกท่านก็จงหลบเข้าไปอยู่ในถ้ำเถิด องค์อภิบาลของพวกท่านจะทรงโปรดปรานแก่พวกท่านจากความเมตตาของพระองค์ และทรงเตรียมไว้ให้พวกท่านซึ่งสิ่งอำนวยคุณจากการงานของพวกท่าน

คำแปล R3.
16. ทีนี้เมื่อพวกท่านปลีกห่างจากพวกเขาและมิได้เคารพสักการะผู้ใดนอกไปจากอัลลอฮฺแล้ว ขอให้พวกเราไปยังถ้าเพื่อหลบภัย พระผู้อภิบาลของพวกท่านจะทรงแผ่ความเมตตาของพระองค์แก่พวกท่านและจะทรงจัดระเบียบการงานอย่างดีที่สุด แก่พวกท่าน

คำแปล R4.
16. และเมื่อพวกเจ้าปลีกตัวออกห่างจากพวกเขา และสิ่งที่พวกเขาเคารพบูชาอื่นจากอัลลอฮแล้ว ดังนั้นพวกเจ้าก็จงหลบเข้าไปในถ้ำ พระผู้เป็นเจ้าของพวกเจ้าจะทรงแผ่ความเมตตาของพระองค์แก่พวกเจ้า และจะทรงทำให้กิจการของพวกเจ้าดำเนินไปอย่างสะดวกสบาย

คำแปล R5.
๑๖. แล้วเหล่าหนุ่มฉกรรจ์บางคนบอกแก่กันว่า ในเมื่อพวกท่านประสงค์จะปลีกตัวไปให้พ้น หรือแยกความยึดถือต่างไปจากพวกกาฟิรเหล่านั้นไซร้ พวกท่านจงไปอาศัยอยู่ยังถ้ำที่ภูเขากันเถิด อันว่าพวกเขา(เหล่าหนุ่มฉกรรจ์)นี้ หาได้กราบเคารพผู้ใดไม่นอกจากอัลเลาะห์เท่านั้น องค์พระผู้อภิบาลแห่งพวกท่านจะทรงจ่ายแจกความปรานีจากพระองค์ให้แก่พวกท่านโดยทั่วถึงทั้งในภาคโลกนี้และโลกหน้า ทั้งจะทรงอำนวยกิจการของพวกท่าน จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับความขัดแย้งกันระหว่างพวกท่านกับพวกกาฟิรก็ดี หรือในเรื่องที่พวกท่านพรากจากครอบครัวของท่านก็ดี ให้สะดวก เป็นคุณประโยชน์แก่พวกท่านทั้งยามเช้าและยามเย็น ขณะที่ท่านกำลังหลบอาศัยอยู่ในถ้ำอีกด้วย



คำอ่าน
17. วะตะร็อชชัมสะ อิซาเฏาะละอัต ตะซาวะรุ อัน..กะฮฺฟิฮิม ซาตัลยะมีนิ วะอิซาเฆาะเราะบัต ตักริฎุฮุม ซาตัชชิมาลิ วะฮุม ฟีฟัจญวะติม..มินฮฺ, ซาลิกะมินอายาติลลาฮฺ, วะมัย..ยะฮฺดิลลาฮุ ฟะฮุวัลมุฮฺตัด, วะมัย..ยุฎลิลฟะลัน..ตะญิดะละฮู วะลียัม..มุรชิดา

คำแปล R1.
17. And you might have seen the sun, when it rose, declining to the right from their cave, and when it set, turning away from them to the left, while they lay in the midst of the cave. That is (one) of the Ayat (proofs, evidences, signs) of Allah. He, whom Allah guides, is rightly guided; but he whom He sends astray, for Him you will find no Wali (guiding friend) to lead him (to the Right Path).

คำแปล R2.

17. และเจ้า(มุฮำมัด)เห็นดวงตะวันเมื่อมันขึ้นมา มันจะหักเหออกพ้นจากถ้ำของพวกเขาไปทางขวา (เพื่อมิให้แสงแดดลอดเข้าไป) และเมื่อดวงตะวันลับขอบฟ้ามันจะอ้อมพวกเขาไปทางซ้าย และพวกเขาอาศัยอยู่ในบริเวณที่กว้างจากถ้ำนั้น นั้นเป็นบางสัญลักษณ์ของอัลลอฮฺ ผู้ใดซึ่งอัลลอฮฺทรงชี้นำ แน่นอนเขาก็ย่อมเป็นผู้ได้รับการชี้นำโดยแท้ และผู้ใดที่พระองค์ทรงปล่อยให้หลงงมงาย เจ้าก็จะไม่พบผู้ช่วยเหลือคนใด ที่ทำการชี้นำแก่เขา (ให้หลุดพ้นสภาพนั้นได้)

คำแปล R3.
17. หากพวกเจ้ามองพวกเขาในถ้ำ เจ้าจะเห็นว่าเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น มันจะเคลื่อนออกจากถ้ำไปยังด้านหนึ่งและคล้อยไปทางขวา และเมื่อมันตก มันจะลับไปจากพวกเขาและเคลื่อนไปทางซ้าย ในขณะที่พวกเขานอนอยู่ที่ลานกว้างในถ้ำ นี่คือหนึ่งในบรรดาสัญญาณทั้งหลายของอัลลอฮฺ ใครก็ตามที่อัลลอฮฺทรงนำทาง เขาก็อยู่ในหนทางที่ถูกต้อง และใครก็ตามที่อัลลอฮฺทรงปล่อยให้หลง เขาก็จะไม่พบผู้คุ้มครองคอยชี้ทางให้เขา

คำแปล R4.
17. และเจ้าจะเห็นดวงอาทิตย์ เมื่อมันขึ้น มันจะคล้อยจากถ้ำของพวกเขาไปทางขวา และเมื่อมันตก มันจะเบนออกไปทางซ้าย โดยที่พวกเขาอยู่ในที่โล่งกว้างของมัน นั่นคือส่วนหนึ่งจากสัญญาณทั้งหลายของอัลลอฮฺ ผู้ใดที่อัลลอฮฺทรงแนะทางที่ถูกต้องแก่เขา เขาก็คือผู้ที่อยู่ในแนวทางที่ถูกต้อง และผู้ใดที่พระองค์ทรงให้เขาหลง เขาจะไม่พบผู้ช่วยเหลือ ผู้ชี้ทางแก่เขาเลย

คำแปล R5.
๑๗. และโอ้มุฮำมัด เจ้าจะแลเห็นดวงอาทิตย์ขณะที่มันขึ้น มันจะส่องแสงให้พวกเขาได้รับเพียงสลัว ๆ เท่านั้น แล้วจะเบนแสงคล้อยจากถ้ำที่พวกเขาอยู่ ไปทางด้านขวาของถ้ำอย่างรวดเร็ว และเจ้าจะแลเห็นดวงอาทิตย์ในขณะมันตก พวกเขาก็ได้รับแสงเพียงสลัว ๆ อีกเช่นกัน แล้วมันจะลับหายจากถ้ำที่อาศัยของพวกเขาไปทางด้านซ้ายของถ้ำอย่างรวดเร็ว เป็นอันว่าด้วยฤทธิ์แห่งความประเสริฐ(กะรอมะห์)ของชาวถ้ำนี้ ทำให้อำนาจของแสงที่แผดร้อนจากดวงอาทิตย์ มิได้ต้องกับผิวกายของพวกเขาเลยตลอดเวลา แต่เช้าจนเย็น และที่ได้รับแสงสลัวตลอดวันก็เพื่อมิให้พวกเขานั้นเยือกเย็นเกินไป โดย ณ ที่ถ้ำแห่งนั้นที่พวกเขาอาศัยก็กว้างขวางพอ แก่การจะรับกระแสลมเย็นพัดโชยได้ การที่ชาวถ้ำหลับใหลอยู่เป็นเวลานานก็ดี และการที่พวกเขาถูกคุ้มรักษาให้พ้นจากความร้อนแรงของดวงอาทิตย์ก็ดี นี้เป็นส่วนหนึ่งแห่งบรรดาสัญญาณแสดงถึงพลานุภาพของอัลเลาะห์ ผู้ใดที่อัลเลาะห์ทรงชี้แนวธรรมให้อยู่ในวิถีทางอันเที่ยงตรง ผู้นั้นย่อมเป็นผู้ได้รับแนวธรรม ส่วนผู้ใดที่อัลเลาะห์ทรงให้ตกอยู่ในความงมงาย มุฮำมัดเอ๋ย เจ้าจะมิได้พบผู้สงเคราะห์ ผู้แนะนำที่ชาญฉลาดสำหรับผู้นั้นเลย



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัลกะฮฺฟิ อายะฮฺที่ 18 - 20



คำอ่าน
18. วะตะหฺสะบุฮุม อัยกอซ็อว วะฮุมรุกูด, วะนุก็อลลิบุฮุม ซาตัลยะมีนิวะซาตัชชิมาลิ วะกัลบุฮุม..บาสิฏุน..ซิรออัยฮิบิลวะศีด, ละวิฏเฏาะละอฺตะอะลัยฮิม ละวัลลัยตะมินฮุม ฟิรอร็อว วะละมุลิอ์ตะ   มินฮุม รุอฺบา

คำแปล R1.
18. And you would have thought them awake, while they were asleep. And we turned them on their right and on their left sides, and their dog stretching forth his two forelegs at the entrance [of the cave or in the space near to the entrance of the cave (as a guard at the gate)]. Had you looked at them, you would certainly have turned back from them in flight, and would certainly have been filled with awe of them.

คำแปล R2.
18. และเจ้าคิดว่าพวกเขา (ชาวถ้ำนั้น)ตื่น ทั้งที่ความจริงพวกเขาหลับสนิท และเราทำให้พวกเขาได้พลิกตัวไปทางขวาและทางซ้าย ส่วนสุนัขของพวกเขาได้ยืดขาทั้งสองข้างของมันไปทางลานหน้าถ้ำ หากแม้นเจ้าได้มองเห็นพวกเขา (ด้วยตนเอง) แน่นอนเจ้าก็คงต้องหันหลังหนีพวกเขา และเจ้าต้องมีแต่ความขยาดกลัวต่อพวกเขาเป็นแน่

คำแปล R3.
18. ถ้าหากเจ้าได้เห็นพวกเขา เจ้าก็จะเห็นเหมือนกับว่าพวกเขาตื่น ทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้วพวกเขาหลับ เราได้พลิกพวกเขามาทางด้านขวาและซ้าย และสุนัขของพวกเขาก็ยังนั่งยืดสองขาหน้าเฝ้าอยู่ที่ปากถ้ำ ถ้าหากเจ้ามอง พวกเจ้าก็จะหันหลังเตลิดหนี และสิ่งที่เจ้าเห็นจะทำให้เจ้าตกใจกลัว

คำแปล R4.
18. และเจ้าคิดว่าพวกเขาตื่นทั้งๆ ที่พวกเขาหลับ และเราพลิกพวกเขาไปทางขวาและทางซ้ายและสุนัขของพวกเขาเหยียดขาหน้าทั้งสอง ของมันไปทางปากถ้ำ หากเจ้าจ้องมองพวกเขา แน่นอนเจ้าจะหันหลังเตลิดหนีจากพวกเขา และเจ้าจะเต็มไปด้วยความตกใจเพราะพวกเขา

คำแปล R5.
๑๘. และถ้าเจ้าแลเห็นพวกเขาที่นอนหลับใหลอยู่ในถ้ำ เจ้าย่อมจะคิดว่า พวกเขานั้นตื่นอยู่ ทั้งนี้เพราะดวงตาของพวกเขาเหล่านั้นเบิกค้าง ทั้ง ๆ ที่พวกเขากำลังหลับสนิท ทั้งเรา (อัลเลาะห์) ได้ให้มลาอิกะห์มาพลิกตัวพวกเขาไปทางขวาบ้างและทางซ้ายบ้าง ปีละครั้งทุกปี ในวันที่สิบของเดือนมุฮัรรอม เพื่อป้องกันมิให้แผ่นดินกัดกร่อนเนื้อของพวกเขา ฝ่ายสุนัขของพวกเขาชื่อกิฏมีร มีกายเป็นสีเหลือง ก็นอนยืดขาหน้าทั้งสองของมันยื่นไปที่ชานหน้าถ้ำ  ครั้นเมื่อพวกที่นอนหลับใหลในถ้ำถูกพลิกกาย สุนัขก็พลิกตาม และไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ในอาการหลับหรือตื่น สุนัขนั้นย่อมจะทำอากัปกิริยาให้เหมือนด้วย แม้นว่าเจ้า(มุฮำมัด)ได้แลเห็นพวกเขานั้น เจ้าจะต้องเผ่นหนี และเจ้ายังจะตกใจกลัวพวกเขานั้นด้วย ฉะนั้นบุคคลภายนอกจึงถูกสกัดไว้ด้วยกำแพงแห่งความหวาดกลัวที่น่าเสียวสยอง ซึ่งผู้ใดก็ไม่อาจสามารถย่างเข้าไปใกล้ชาวถ้ำดังกล่าวได้ สภาพที่แลเห็นได้จากพวกเขาก็คือจะมีผมเผ้ายาวรุงรัง และเล็บมือเล็บเท้าก็ยาวยื่นออกมามากทั้งนี้เพราะพวกเขาสถิตอยู่ในถ้ำ เป็นเวลายาวนาน

 

คำอ่าน
19. วะกะซาลิกะ บะอัษนาฮุม ลิยะตะสา...อะลูบัยนะฮุม กอละกอ..อิลุม..มินฮุม กอลูละบิษนาเยามันเอาบะอฺเฎาะเยามฺ, กอลูร็อบบุกุม อะอฺละมุบิมาละบิษตุม ฟับอะษูอะหะดะกุม..บิวะริกิกุม ฮาซิฮี..อิลัลมะดีนะติ ฟัลยัน..ซุรฺ อัยยุฮาอัซกา เฏาะอามัน..ฟัลยะอฺติกุม..บิริซกิม..มินฮุ วัลยะตะลัฏฏ็อฟ วะลายุชอิร็อน..นะบิกุม อะหะดา

คำแปล R1.

19. Likewise, we awakened them (from their long deep sleep) that they might question one another. A speaker from among them said: "How long have you stayed (here)?" They said: "We have stayed (perhaps) a day or part of a day." they said: "Your Lord (Alone) knows best how long you have stayed (here). So send one of you with this silver coin of yours to the town, and let him find out which is the good lawful food, and bring some of that to you. And let him be careful and let no man know of you.

คำแปล R2.

19. และเช่นนั้น ! เราได้ให้เขาฟื้นขึ้นมา (จากความหลับอันยาวนานนั้น) เพื่อพวกเขาจะได้ซักถามระหว่างกันและกัน มีผู้หนึ่งกล่าวว่า “พวกท่านพักอยู่เท่าไร?” พวกเขาตอบว่า “เราพักอยู่หนึ่งวันหรือครึ่งวันเท่านั้นเอง” แล้วพวกเขาก็กล่าวว่า “องค์อภิบาลของพวกท่านย่อมทราบระยะเวลาที่พวกท่านพักอยู่(เพียงครู่เดียว) ดังนั้นพวกท่านจงส่งคนหนึ่งให้นำเหรียญเงินของพวกท่านนี้ไปยังตัวเมืองเถิด แล้วเขาจงพิจารณาเลือก(ซื้อ)อาหารใด ๆ จากเมืองนั้นที่สะอาดบริสุทธิ์ที่สุด แล้วเขาจงนำมายังพวกท่านซึ่งปัจจัยยังชีพบางอย่างจากมัน และเขาจงแสดงความอ่อนโยน(ต่อผู้คนในเมือง) และเขาอย่าทำให้ผู้ใดรู้เรื่องของพวกท่านเป็นอันขาด

คำแปล R3.

19. และโดยวิธีการเช่นเดียวกันนี้ที่เราได้ทำให้พวกเขาลุกขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้เพื่อที่พวกเขาจะได้ถามกันและกัน (เกี่ยวกับประสบการณ์อันมหัศจรรย์ของพวกเขา) คนหนึ่งในพวกเขาถามว่า “พวกท่านอยู่ในสภาพเช่นนี้มานานเท่าใดแล้ว ?” พวกเขาตอบว่า “เราอาจจะอยู่ในนี้มาหนึ่งวันหรือเพียงส่วนหนึ่งของวัน” แล้วพวกเขาก็ประกาศว่า “พระผู้อภิบาลของพวกท่านทรงรู้ดีที่สุดว่าเราอยู่ในสภาพนี้มานานเท่าใด ดังนั้นให้เราทรงใครคนหนึ่งในหมู่พวกเราพร้อมกับเหรียญเงินไปยังเมืองและให้เขาดูสถานที่ที่เขาสามารถหาอาหารที่สะอาดที่สุดเพื่อนำอะไรบางอย่างมากิน อย่างไรก็ตาม เขาจะต้องระวังตัวมิให้ผู้ใดรู้ว่าเราอยู่ที่ใด”

คำแปล R4.
19. และในทำนองนั้นเราได้ให้พวกเขาลุกขึ้นเพื่อพวกเขาจะถามซึ่งกันและกัน คนหนึ่งในพวกเขากล่าวว่า “พวกท่านพำนักอยู่นานเท่าใด ?” พวกเขากล่าวว่า “เราพักอยู่วันหนึ่งหรือส่วนหนึ่งของวัน” พวกเขากล่าวว่า “พระผู้เป็นเจ้าของพวกท่านทรงทราบดีว่า พวกท่านพำนักอยู่นานเท่าใด ดังนั้นจงส่งคนหนึ่งในหมู่พวกท่านไปในเมือง พร้อมด้วยเหรียญเงินนี้ของพวกท่าน เพื่อเลือกดูอาหารที่ดียิ่ง และให้เขาซื้อมาให้แก่พวกท่าน และให้เขาประพฤติอย่างสุภาพ และอย่าให้ผู้ใดรู้เรื่องของพวกท่าน”

คำแปล R5.

๑๙. ดังที่เราได้ให้พวกชาวถ้ำหลับใหลอยู่เป็นเวลาอันยาวนานเช่นที่กล่าวแล้วนั้น เรา(อัลเลาะห์)จึงให้พวกเขาตื่นขึ้น เพื่อว่าต่างฝ่ายต่างจะได้ถามกันให้รู้ถึงสภาพความเป็นไปของพวกตน และรู้ถึงระยะเวลาที่พวกตนหลับใหลอยู่ในถ้ำ พวกเขาจะได้เกิดความมั่นใจในพลานุภาพอันบริบูรณ์ของอัลเลาะห์ทวียิ่งขึ้น ทั้งพวกเขาจะได้เข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงความจริงเกี่ยวกับการคืนชีวิตใหม่จากสุสาน แล้วแสดงความสำนึกถึงพระกรุณาธิคุณของพระองค์ มีอยู่ผู้หนึ่งในหมู่พวกเขา(ชาวถ้ำ)กล่าวถามพวกของตนว่า พวกท่านมาอยู่ ณ ถ้ำแห่งนี้นานเท่าไร พวกเขาตอบผู้ถามว่า พวกเรามาอยู่ที่นี้ชั่ววันเดียวหรือครึ่งวัน เนื่องจากพวกเราเข้ามาอยู่ถ้ำในตอนเช้า ได้นอนหลับไปแล้วตื่นขึ้นในตอนเย็น อันที่จริงระยะเวลาดังกล่าวนั้นเป็นไปตามการคาดคิดของชาวถ้ำเท่านั้น ที่นึกว่าเป็นช่วงเวลาเย็นของวันเดียวกัน ครั้นเมื่อพวกเขาได้พยายามสังเกตดูผมกับเล็บของพวกตน เห็นว่ายาวผิดปรกติมาก จึงทราบได้ว่าระยะเวลาที่พวกตนอยู่ในถ้ำนั้นนานมาก พวกเขากล่าวว่า อัลเลาะห์องค์พระผู้อภิบาลแห่งพวกท่าน ทรงรู้ถึงช่วงเวลาที่พวกท่านมาอยู่ว่านานเท่าใด แล้วพวกท่านจงส่งตำลีคอ ซึ่งเป็นคนหนึ่งในหมู่พวกท่านให้นำเงินตราของพวกท่านนี้เข้าไปในเมืองอุฟซูสเถิด ทั้งให้เขา(ตำลีคอ)จงพิจารณาดูด้วยว่า มีอาหารชนิดใด ณ ที่เมืองนั้นจะบริสุทธิ์สะอาดกว่า  กล่าวคือ ในเมืองนั้นมีพลเมืองทั้งที่เป็นพวกยูซี(พวกบูชาไฟ)และพวกมุสลิมอาศัยอยู่ ฉะนั้นอาหารถือว่าจะบริสุทธิ์สะอาดตามหลักการศาสนาต้องเป็นอาหารที่ชนมุสลิมเชือด เพราะพวกอื่นที่เชือดสัตว์เป็นยัญญพิธีถวายเทวรูปก็มี อาหารที่ได้จากสัตว์ซึ่งถูกเชือดตามนัยหลังนี้ จึงไม่ถือว่าเป็นอาหารบริสุทธิ์สะอาด แล้วให้เขา(ตำลีคอ)เอามัน(เงินตรา)แลกอาหารมาให้พวกท่าน และให้เขาจงทำท่าทีให้แนบเนียนและถี่ถ้วน เพื่อจะได้ซื้ออาหารมาไม่ถูกโก่งราคา ทั้งเขา(ตำลีคอ)จงระวังอย่าให้คนใดในหมู่กาฟิรรู้ท่าทีของพวกท่านได้เป็นอันขาด ว่าพวกท่านเป็นใครและกำลังพักอาศัยอยู่ที่ไหน

 

คำอ่าน
20. อิน..นะฮุม อี..ยัซฮะรูอะลัยกุม ยัรฺญุมูกุม เอายุอีดูกุม ฟีมิลละติฮิม วะลัน..ตุฟลิหู อิซัน อะบะดา

คำแปล R1.

20. "For if they come to know of you, they will stone you (to death or abuse and harm you) or turn you back to their religion, and in that case you will never be successful."

คำแปล R2.
20. แท้จริงพวกเขา(ชาวเมือง)หากรู้ประจักษ์แจ้งในเรื่องของพวกท่านแล้วไซร้ แน่นอนพวกเขาย่อมขว้างพวกท่าน (จนตาย)หรือมิฉะนั้นก็จะบังคับพวกท่านให้กลับสู่ศาสนาของพวกเขา และบัดนั้นพวกท่านก็จะไม่ประสบชัยชนะจนตลอดกาล

คำแปล R3.
20. “เพราะถ้าพวกเขารู้ว่าเราเป็นใคร พวกเขาก็จะเอาหินขว้างพวกเราจนตายหรือบังคับเราให้กลับไปนับถือศาสนาของพวกเขาอย่างแน่นอน หากเป็นเช่นนั้นพวกเราก็จะไม่ประสบความสำเร็จที่แท้จริง

คำแปล R4.
20. แท้จริงพวกเขานั้น หากพวกเขารู้เรื่องของพวกท่าน พวกเขาจะเอาก้อนหินขว้างพวกท่านหรือนำพวกท่านกลับไปนับถือศาสนาของพวกเขา และเมื่อนั้นพวกท่านจะไม่บรรลุความสำเร็จเลย”

คำแปล R5.
๒๐. แท้จริงพวกเหล่านั้น ที่เป็นชนกาฟิรแห่งเมืองนั้น ถ้าหากว่าได้ทีเหนือพวกท่านแล้ว พวกเหล่านั้นย่อมจะฆ่าด้วยการขว้างพวกท่านด้วยก้อนหินจนกระทั่งตายบ้าง หรือไม่ก็จะบังคับให้พวกท่านหันไปถือศาสนาของพวกกาฟิรเหล่านั้น เมื่อนั้นแหละพวกท่านจะไม่ได้รับชัยชนะด้วยการเข้าสู่สวรรค์เลย


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิ.ย. 04, 2010, 05:19 AM โดย Bangmud »

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺอัลกะฮฺฟิ อายะฮฺที่ 21-22

 

คำอ่าน
21. วะกะซาลิกา อะอฺษัรฺนาอะลัยฮิม ลิยะอฺละมู อัน..นะวะอฺดัลลอฮฺ หักกู..วะอัน..นัสสาอะตะ ลาร็อยบะฟีฮา..อิซยะตะนาซะอูนะบัยนะฮุม อัมเราะฮุม ฟะกอลุบนู อะลัยฮิม..บุนยานัรฺ ร็อบบุฮุม อะอฺละมุบิฮิม กอลัลละซีนะเฆาะละบู อะลา..อัมริฮิม ละนัตตะคิซัน..นะอะลัยฮิม มัสญิดา

คำแปล R1.

21. And thus we made their case known to the people, that they might know that the Promise of Allah is true, and that there can be no doubt about the Hour. (Remember) when they (the people of the city) disputed among themselves about their case, they said: "Construct a building over them, their Lord knows best about them," (Then) those who won their point said (most probably the disbelievers): "We verily shall build a place of Worship over them."

คำแปล R2.
21. และเช่นนั้น ! เราได้เปิดเผยพวกเขา(ให้คนทั้งหลาย) เพื่อพวกเขาจะได้รู้ว่า อันสัญลักษณ์แห่งอัลเลาะฮฺนั้นย่อมเป็นสัจจะเสมอ และ(เพื่อจะได้รู้ว่า)แท้จริงกาลอวสาน(แห่งโลก)ไม่มีข้อสงสัยเลย (มันต้องอุบัติขึ้นแน่) เมื่อพวกเขา (มวลมนุษย์ทั้งหลาย) ต่างขัดแย้งกันระหว่างพวกเขาเกี่ยวกับการงานของพวกเขา กล่าวคือ พวกเขากล่าวว่า “ท่านทั้งหลายจงสร้างสิ่งก่อสร้างสกัดล้อมพวกเขาไว้เถิด(เพื่อไม่ให้ออกจากถ้ำ)” อันองค์อภิบาลของพวกเขาย่อมรอบรู้ยิ่งเกี่ยวกับพวกเขา ส่วนบรรดาผู้ที่สามารถพิชิตการงานของพวกเขา (คือมีเสียงข้างมาก)ได้กล่าวว่า “ขอสาบาน ! เราจะต้องจัดสร้างมัสยิดไว้สำหรับพวกเขา (ณ ปากถ้ำอย่างแน่นอน)”

คำแปล R3.
21. โดยวิธีนี้เองที่เราได้เปิดเผยความลับของพวกเขาให้แก่ชาวเมือง เพื่อที่พวกเขาจะได้รู้ว่าสัญญาของอัลลอฮฺนั้นเป็นจริงและจะได้ไม่มีข้อสงสัย (เกี่ยวกับ) โมงยามแห่งการฟื้นคืนชีพ (แต่เป็นเรื่องน่าสงสารที่แทนจะพิจารณาถึงประเด็นนี้) พวกเขากลับถกเถียงกันเองเกี่ยวกับพวกเขา(บรรดาผู้นิทราในถ้ำ)พวกเขาบางคนกล่าวว่า “จงสร้างกำแพงกั้นพวกเขาไว้ เพราะพระผู้อภิบาลของพวกเขาเท่านั้นที่รู้ดีที่สุดเกี่ยวกับพวกเขา” แต่บรรดาคนที่เป็นใหญ่ในกิจการของพวกเขากล่าวว่า “เราจะสร้างสถานที่แห่งการเคารพสักการะขึ้นมาแห่งหนึ่งเพื่อรำลึกถึงพวกเขา"

คำแปล R4.
21. และในทำนองนั้นเราได้เปิดเผยแก่พวกเขาเพื่อพวกเขาจะได้รู้ว่าสัญญาของ อัลลอฮฺนั้นเป็นจริง และแท้จริงวันสิ้นโลกนั้นมีจริง ไม่ต้องสงสัยเลย เมื่อพวกเขาโต้เถียงกันในหมู่พวกเขาถึงเรื่องของพวกเขา(ชาวถ้ำ) แล้ว พวกเขากล่าวว่า “จงสร้างอาคารที่ปากถ้ำให้แก่พวกเขา” พระผู้เป็นเจ้าของพวกเขาทรงรู้ดียิ่งในเรื่องของพวกเขา” ฝ่ายบรรดาผู้มีเสียงข้างมากในเรื่องของพวกเขากล่าวว่า “แน่นอนเราจะสร้างมัสยิดที่ปากถ้ำให้แก่พวกเขา”

คำแปล R5.
เรื่อ๒๑. ในทำนองเดียวกันกับที่เรา(อัลเลาะห์)ได้ให้พวกชาวถ้ำหลับใหลและตื่นขึ้น นี้ เรา(อัลเลาะห์)ก็ได้เผยให้พวกเขาอันได้แก่เจ้าเมืององค์ใหม่รวมทั้งชาวเมืองรุ่นหลังแลเห็นชาวถ้ำที่ถูกให้ตื่นขึ้นเพื่อจะได้รู้ว่าสัญญาแห่งอัลเลาะห์นั้นเป็นสัจจริงในแง่ที่ว่าผู้ทรงมีพลานุภาพในการทำให้ชาวถ้ำหลับใหลอยู่เป็นระยะเวลายาวนาน และทรงให้พวกเหล่านี้คงสภาพทางร่างกายอยู่ได้โดยมิได้บริโภคอาหารเลย ย่อมทรงมีพลานุภาพในการฟื้นชีวิตของผู้ซึ่งตายลงแล้วได้ด้วย เรื่องนี้มีอธิบายเสริมไว้ว่า เมื่อแรกที่ชาวถ้ำถูกบันดาลให้หลับใหลนั้นเป็นสมัยการปกครองของดักยานูส และเจ้าผู้ครองนครนี้ได้ถึงแก่กรรมลง เวลาล่วงเลยมานับเป็นศตวรรษ ดังนั้นประชาชนชาวเมืองผู้เป็นมุสลิมจึงอยู่ภายใต้ปกครองของเจ้าผู้ครองนครองค์ใหม่ผู้ทรงธรรม และในสมัยหลังนี้เองที่ชาวถ้ำถูกบันดาลให้ตื่นขึ้นดำรงชีวิตอยู่ในถ้ำ ยังผลให้ชาวเมืองงุนงงและโต้เถียงกันเรื่องฟื้นชีวิตจากแหล่งสุสาน และเรื่องสถานชุมนุมชีวิต บางคนสงสัยและกล่าวว่า อันที่จริงเฉพาะวิญญาณเท่านั้นที่จะถูกนำไปชุมนุมกันยังสถานแห่งหนึ่ง หาใช่เรือนร่างของบรรดาวิญญาณเหล่านั้นไม่ เพราะร่างกายจะถูกแผ่นดินกัดกร่อนมลายไปหมดสิ้น แต่บางเหล่าบอกว่ามนุษย์จะถูกฟื้นขึ้นมาทั้งวิญญาณและเรือนร่างพร้อมกัน ความสำคัญของเรื่องนี้จึงล่วงรู้ไปถึงเจ้าผู้ครองนครและยังความฉงนฉงายเรื่อยมา ไม่มีใครสามารถอธิบายชี้แจงให้รู้ได้แจ้งชัดว่า เรื่องที่เกี่ยวกับชาวถ้ำถูกบันดาลให้ตื่นจากหลับใหลอยู่ในถ้ำเป็นเวลานานนั้นเป็นอย่างไร จนกระทั่งเจ้าผู้ครองนครคนใหม่เองก็ยังฉงน จึงได้พยายามกราบเรียนยังอัลเลาะห์เพื่อให้ได้มาซึ่งหลักฐานยืนยันเรื่องประหลาดนี้ ครั้นแล้วพระองค์ก็ทรงให้เจ้าผู้ครองนครผู้นี้ได้รู้เรื่องของชาวถ้ำโดยกระแสพระคำว่า มีอยู่ครั้งหนึ่งผู้ซึ่งได้ชื่อว่าตำคอลี(หมายเหตุของผู้นำเสนอ - ในคำอธิบายโองการที่ ๘ มีแต่ชื่อ ตัมลีคอ)เป็นชาวถ้ำคนหนึ่ง ถูกพวกของตนส่งตัวเข้าเมืองเพื่อนำเงินตราไปขอซื้ออาหารกลับมาบริโภคกัน แต่ตัวเขาถูกรังเกียจ ทั้งเงินตราก็ไม่เป็นที่ยอมรับเนื่องด้วยเงินตรานั้นต่างสมัยกันกับปัจจุบันเป็นเวลานานนับศตวรรษ เสร็จแล้วเจ้าผู้ครองนครก็ได้รับเงินตรามาถือ เมื่อได้พิจารณาดูอย่างถี่ถ้วนแล้ว จึงทราบได้ทันทีว่าเงินตรานี้ อาจเป็นเงินที่เหล่าหนุ่มฉกรรจ์ซึ่งหนีออกจากเมืองในสมัยปกครองของดักยานูสก็ได้ เจ้าผู้ครองนครกล่าวว่า ข้าพระองค์ขอวิงวอนต่ออัลเลาะห์ได้โปรดกรุณาให้ข้าพระองค์ได้แลเห็นชาวถ้ำเหล่านั้น ทันใดก็ได้มีชายหนุ่มคนหนึ่ง เจ้าผู้ครองนครขอให้ชายหนุ่มเล่าเหตุการณ์ เมื่อทราบโดยตลอดแล้ว เจ้าผู้ครองนครรู้สึกเบิกบานใจและบอกแก่ประชาชนของตนว่า อัลเลาะห์อาจจะทรงบันดาลขึ้นเพื่อเป็นสัญญาณสำหรับพวกท่านก็ได้ แล้วเจ้าผู้ครองนครจึงขี่สัตว์พาหนะร่วมทางไปกับชาวเมืองสู่ถ้ำแห่งนั้น เมื่อเข้าไปจวนถึง ตำลีคอชาวถ้ำคนหนึ่งเอ่ยขึ้นว่า ฉันจะเข้าไปหาพวกนั้นเอง เพื่อมิให้พวกนั้นหวาดสะดุ้งต่อสถานการณ์ ฉะนั้นตำลีคอจึงมุ่งหน้าเข้าไปหาคณะบุคคลในถ้ำ และแจ้งให้ทราบถึงเรื่องราวทั้งหมด เขาบอกว่าประชาชนนี้คือชนมุสลิม ทุกคนรู้สึกปลื้มอกปลื้มใจและออกมาแสดงความเคารพเจ้าผู้ครองนคร ฝ่ายเจ้าผู้ครองนครก็แสดงความเคารพตอบ หลังจากนั้นต่างคนต่างกลับไปสู่ถ้ำ เหตุการณ์ที่ปรากฏเห็นแก่สายตาชาวเมืองดังที่ว่ามานี้ ทำให้ทุกคนคลายสงสัยและเกิดความมั่นใจหนักแน่นขึ้นในเรื่องของการฟื้นชีพ และเพื่อพวกเขา(ชาวเมืองรุ่นหลัง)ได้รู้ว่า วาระแห่งวันกิยามะห์ที่จะมีการฟื้นชีวิตและร่างกาย ตลอดถึงการให้แต่ละคนไปชุมนุมกันยังสถานแห่งหนึ่ง ซึ่งชาวเมืองเคยกล่าวปฏิเสธกันมานั้น จะมีขึ้นโดยไม่มีสงสัยเลย โอ้มุฮำมัด เจ้าจงระลึกถึงกาลครั้งหนึ่ง ขณะที่พวกเหล่านั้น ทั้งฝ่ายมุอ์มิน และฝ่ายกาฟิรต่างโต้เถียงกันถึงเรื่องราวของพวกเขาที่เป็นชาวถ้ำ ดังนั้นพวกหนึ่งที่เป็นฝ่ายกาฟิรกล่าวว่า พวกท่านจงสร้างอาคารโบสถ์ล้อมไว้แก่พวกเขา(ชาวถ้ำ)เพราะพวกเขานับถือศาสนาเดียวกับเรา อัลเลาะห์องค์พระผู้อภิบาลแห่งพวกเขาทรงรู้ดีถึงพวกเขา(ชาวถ้ำ) บรรดาชนมุอ์มินผู้รู้ถนัดถึงกิจการของพวกเขา กล่าวอย่างหนักแน่นว่า แน่นอนพวกเราจะต้องสร้างมัสยิดแวดล้อมพวกเขา (ชาวถ้ำ) ไว้ สำหรับให้ประกอบการละหาดกัน เนื่องด้วยพวกเขานับถือศาสนาเดียวกับเรา ชนมุอ์มินจึงส้างมัสยิดขึ้นที่ปากถ้ำ

 

คำอ่าน

22. สะยะกูลูนะ ษะลาษะตุรฺรอบิอุฮุม กัลบุฮุม วะยะกูลูนะ ค็อมสะตุน..สาดิสุฮุม กัลบุฮุม ร็อจญมัม..บิลฆ็อยบฺ วะยะกูลูนะสับอะตู..วะษามินิฮุมกัลบุฮุม กุรฺร็อบบี อะอฺละมุบิอิดดะติฮิม..มายะอฺละมุฮุม อิลลาเกาะลีล ฟะลาตุมาริฟีฮิม อิลลามิรอ..อัน..ซอฮิร็อว..วะลาตัสตัฟติฟีฮิม..มินฮุมอะหะดา

คำแปล R1.
22. (some) Say they were three, the dog being the fourth among them; (others) say they were five, the dog being the sixth, guessing at the unseen; (yet others) say they were seven, the dog being the eighth. Say (O Muhammad): "My Lord knows best their number; none knows them but a few." so debate not (about their number, etc.) except with the clear proof (which we have revealed to you). And consult not any of them (people of the Scripture, Jews and Christians) about (the affair of) the people of the cave.

คำแปล R2.
22. พวกเขา (มนุษย์ในสมัยนบีมุฮำมัด)จะกล่าวว่า “(จำนวนชาวถ้ำนั้น)มีสามคน โดยสุนัขของพวกเขาเป็นตัวที่สี่” และพวกเขา(อีกกลุ่มหนึ่ง)กล่าวว่า “มีห้าคนโดยสุนัขของพวกเขาเป็นตัวที่หก” ต่างก็คาดคะเนในเรื่องลี้ลับ(ซึ่งไม่ตรงกัน) และพวกเขา(อีกกลุ่มหนึ่ง)จะกล่าวว่า “มีเจ็ดคนโดยสุนัขของพวกเขาเป็นตัวที่แปด” จงประกาศเถิด “องค์อภิบาลของฉัน ทรงรอบรู้จำนวนแท้จริงของพวกนั้น(ชาวถ้ำ) ไม่มีผู้ใดรู้เรื่องของพวกเขา นอกจากคนจำนวนน้อยเท่านั้นเอง ดังนั้นเจ้าจงอย่าโต้เถียงกันใน(เรื่องจำนวนของ)พวกนั้นเลย นอกจากข้อโต้แย้งเท่าที่มีระบุอย่างชัดเจน(ในอัลกุรอาน)เท่านั้น และเจ้าอย่าซักถามคนใดจากพวกเขา(ชาวยะฮูดี) ในเรื่องของพวกนั้น (ชาวถ้ำ)

คำแปล R3.
22. บางคนจะกล่าวว่า “พวกเขามีสามคนและที่สี่คือสุนัขของพวกเขา” บางคนจะกล่าวว่า “พวกเขามีห้าคนและสุนัขคือที่หกของพวกเขา” นี่เป็นเพียงการเดาส่งเดช ยังมีบางคนกล่าวว่า “พวกเขามีเจ็ดคนและสุนัขคือที่แปดของพวกเขา” จงกล่าวเถิด “พระผู้อภิบาลของฉันเท่านั้นที่ทรงรู้ดีที่สุดว่าพวกเขามีจำนวนเท่าใด” มีคนน้อยนักที่รู้จำนวนที่ถูกต้อง ดังนั้นเจ้าจงอย่าเข้าไปถกเถียงกับพวกเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้นอกจากเรื่องที่เห็นได้ และจงอย่าถามผู้ใดกี่ยวกับพวกเขา

คำแปล R4.

22. พวกเขาจะกล่าวกันว่า ชาวถ้ำนั้นมีสามคน ที่สี่ก็คือสุนัขของพวกเขา และอีกกลุ่มจะกล่าวว่า มีห้าคน ที่หกก็คือสุนัขของพวกเขา ทั้งนี้เป็นการเดาในสิ่งที่ไม่รู้ และอีกกลุ่มหนึ่งจะกล่าวว่ามีเจ็ดคน และที่แปดก็คือสุนัขของพวกเขา จงกล่าวเถิด“พระผู้เป็นเจ้าของฉันทรงรู้ดียิ่งถึงจำนวนของพวกเขา ไม่มีผู้ใดรู้เรื่องของพวกเขาเว้นแต่ส่วนน้อย” ดังนั้น เจ้าอย่าโต้เถียงกันในเรื่องของพวกเขา นอกจากการโต้เถียงที่ประจักษ์แจ้ง และอย่าสอบถามผู้ใดในเรื่องของพวกเขาเลย

คำแปล R5.
๒๒. โอ้มุฮำมัด เมื่อประวัตินี้ตกมาถึงสมัยของเจ้า จะมีชนชาวยะฮูดีที่วิจารณ์ถกเถียงกันถึงจำนวนเหล่าหนุ่มฉกรรจ์ชาวถ้ำ พวกยะฮูดีเหล่านั้นบางคน จะบอกอย่างส่งเดชกับเจ้าว่า พวกชาวถ้ำนั้นมีสามคนกับสุนัขของเขาอีกตัวหนึ่งเป็นสี่ และอีกพวกหนึ่ง เป็นชาวนะซอรอแห่งนัจรอน ซึ่งบางคนจะบอกอย่างส่งเดชแก่เจ้าว่า พวกชาวถ้ำนั้น มีห้าคนกับสุนัขของเขาอีกตัวหนึ่งเป็นหก ทั้งสองพวกที่บอกจำนวนชาวถ้ำแก่เจ้าต่างกันเช่นนี้ถือเอาตามคาดคะเน ส่วนอีกพวกหนึ่งเป็นชนมุอ์มิน จะบอกแก่เจ้าอย่างถูกต้องว่า ชาวถ้ำนั้นมีเจ็ดคนกับสุนัขของพวกเขาอีกตัวหนึ่งเป็นแปด มุฮำมัดเอ๋ย จงกล่าวเถิด อัลเลาะห์องค์พระผู้อภิบาลแห่งฉัน ทรงรู้ดีถึงจำนวนของพวกเขา ไม่มีผู้ใดรู้ถึงจำนวนของพวกเขาได้นอกจากเพียงไม่กี่คน ซึ่งพวกนี้จะบอกได้ถูกต้องว่ามีอยู่แค่เจ็ดคนเท่านั้น ฉะนั้นเจ้าอย่าให้มีข้อโต้เถียงเกี่ยวกับจำนวนของพวกเขา(ชาวถ้ำ)เลย เพียงแต่มีข้อแถลงอยู่ชัดเจนแล้ว ในพระมหาคัมภีร์อัลกุร-อาน ให้เหล่ากาฟิรฟังเท่านั้น มิใช่มุ่งแค่จะบอกว่าพวกนั้นโง่ และมิใช่มุ่งแต่จะโต้คำกับพวกเหล่านั้น และ โอ้มุฮำมัด เจ้าอย่าได้ถามคนใดจากพวกยะฮูดีเหล่านั้น ถึงจำนวนของพวกเขา(ชาวถ้ำ)เลย เพราะในคัมภีร์อัล-กุรอานที่ถูกประทานมาก็สามารถรู้ได้อย่างกว้างขวางอยู่แล้ว หาต้องค้นคว้าจากที่อื่น ๆ ไม่ ทั้งพวกยะฮูดีเองก็มิได้รู้อะไรเกี่ยวกับชาวถ้ำนั้น ฉะนั้นเจ้าอย่าถามพวกเหล่านั้นด้วยหมายจะให้เป็นที่น่าเยาะเย้ยและให้เนื้อหาที่ถูกถามเป็นสิ่งจอมปลอมเลย การถามเพื่อความประสงค์อย่างนั้นเป็นเรื่องเสียจรรยา



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺอัลกะฮฺฟิ อายะฮฺที่ 23 - 26


คำอ่าน
23. วะลาตะกูลัน..นะลิชัยอิน อิน..นีฟาอิลุน..ซาลิกะเฆาะดา

คำแปล R1.
23. And never say of anything, "I shall do such and such thing tomorrow."

คำแปล R2.
23. และเจ้าอย่าพูดต่อสิ่งหนึ่ง ๆ (ที่จะกระทำ) ว่า “แท้จริงฉันจะกระทำสิ่งนั้นในวันพรุ่งนี้!”

คำแปล R3.
23. และจงอย่ากล่าวเกี่ยวกับเรื่องใดว่า “ฉันจะทำสิ่งนี้ในวันพรุ่งนี้(เพราะเจ้าไม่สามารถจะทำอะไรได้)

คำแปล R4.
23. และเจ้าอย่ากล่าวเกี่ยวกับสิ่งใดว่า “แท้จริงฉันจะเป็นผู้ทำสิ่งนั้นในวันพรุ่งนี้”

คำแปล R5.

มูลเหตุแห่งการลงโองการต่อไปนี้ มีว่าชนชาวยะฮูดียุชาวนครมักกะห์ให้ถามมุฮำมัดถึงเรื่องเกี่ยวกับวิญญาณ เรื่องของชาวถ้ำและเรื่องซุลก็อรไนน์ ฝ่ายพระศาสดามุฮำมัดบอกแก่ชาวมักกะห์ว่า ขอให้พวกท่านมาหาฉันใหม่ในวันพรุ่งนี้แต่มิได้เอ่ยคำเสริมว่า “หากเป็นพระประสงค์แห่งอัลเลาะห์” ผลปรากฏว่าการลงโองการเพื่อให้ตอบคำถามของพวกนั้นถูกประวิงช้าไปถึง ๔๐ วันทั้งนี้เพื่อพระองค์จะทรงสอนมุฮำมัดให้รู้หลักการพูดจา ความล่าช้านี้ยังผลให้เกิดความหนักอกหนักใจแก่มุฮำมัดมาก ฝ่ายชาวนครมักกะห์นั้นเล่า ก็หาว่ามุฮำมัดเป็นคนพูดเท็จ จึงมีโองการลงมาว่า
๒๓. และ โอ้มุฮำมัด เจ้าอย่าได้พูดจาถึงสิ่งใด ๆ เป็นอันขาดว่า “ฉันจะทำสิ่งนั้นในพรุ่งนี้

 

คำอ่าน
24. อิลลา..อัย..ยะชา...อัลลอฮฺ, วัซกุรฺร็อบบะกะ อิซานะสีตะ วะกุลอะสา..อัย..ยะฮฺดิยะนิ ร็อบบี ลิอักเราะบะมินฮาซาเราะชะดา

คำแปล R1.
24. Except (with the saying), "If Allah will!" and remember your Lord when you forget and say: "It may be that my Lord guides me unto a nearer way of truth than this."

คำแปล R2.
24. นอกจาก(ให้เจ้าพูดว่า สุดแต่) อัลเลาะฮฺทรงประสงค์ (คือกล่าวว่า อินซาอัลเลาะฮฺ”) และเจ้าจงระลึกถึงองค์อภิบาลของเจ้า เมื่อเจ้าลืม และเจ้าจงกล่าวว่า “หวังว่าองค์อภิบาลของฉันคงจะชี้นำฉันสู่ความถูกต้องที่ใกล้ชิดยิ่งกว่านี้”

คำแปล R3.
24. เว้นแต่อัลลอฮฺจะทรงประสงค์” ถ้าหากเจ้ากล่าวสิ่งใดออกไปโดยพลั้งเผลอ เจ้าจงระลึกถึงพระผู้อภิบาลของเจ้าทันทีและกล่าวว่า “ฉันหวังว่าพระผู้อภิบาลของฉันจะทรงนำทางฉันในเรื่องนี้ด้วยสิ่งที่ใกล้กับหนทางที่เที่ยงตรงที่สุดสำหรับฉัน”

คำแปล R4.
24. เว้นแต่อัลลอฮ์ทรงประสงค์ จงรำลึกถึงพระผู้เป็นเจ้าของเจ้าเมื่อลืม และจงกล่าวว่า “บางทีพระผู้เป็นเจ้าของฉันจะทรงชี้แนะทางที่ถูกต้องที่ใกล้กว่านี้แก่ ฉัน”

คำแปล R5.
๒๔. เว้นแต่เจ้าจะต้องกล่าวพาดพิงเจตจำนงว่า โดยตามที่อัลเลาะห์จะทรงมุ่งประสงค์ด้วยถ้อยคำว่า “อินชาอัลเลาะห์” เท่านั้น ทั้งเจ้าจงหวนระลึกถึงหลักเจตจำนงของอัลเลาะห์ องค์พระผู้อภิบาลของเจ้าให้ได้ พร้อมกับกล่าวว่า “อินชาอัลเลาะห์” ขณะยังอยู่สถานที่หนึ่ง ในเมื่อเจ้าลืมเอ่ยถ้อยคำดังกล่าว ณ สถานที่นั้น และจงกล่าวว่า อัลเลาะห์องค์พระผู้อภิบาลแห่งฉันอาจแนะนำเรื่องราวอื่น ๆ ให้ฉันได้ถึงใกล้กว่าเรื่องของชาวถ้ำนี้ เพื่อให้แตกฉานแก่มวลมนุษย์ และเป็นเครื่องถึงตำแหน่งศาสนทูตของฉันก็ได้ ครั้นในที่สุดพระองค์ก็ให้มุฮำมัดสมปรารถนาด้วยทรงให้รู้เรื่องต่าง ๆ ที่ยิ่งใหญ่กว่าเรื่องราวของชาวถ้ำอันเป็นส่วนหนึ่งของบรรดาประวัติพระศาสดาองค์ก่อน ๆ และเป็นส่วนหนึ่งของบรรดาเรื่องที่เร้น

 

คำอ่าน
25. วะละบิษูฟีกะฮฺฟิฮิม ษะลาษะมิอะติน..สินีนะ วัซดาดูติสอา

คำแปล R1.
25. And they stayed in their cave three hundred (solar) years, and add nine (for lunar years).

คำแปล R2.

25. และพวกเขาได้พำนักอยู่ในถ้ำของพวกเขาสามร้อยปี(คำนวณตามสุริยคติ)และเพิ่มไปอีกเก้าปี (คำนวณทางจันทรคติ)

คำแปล R3.
25. และมีบางคนกล่าวว่าพวกเขาอยู่ในถ้ำมาเป็นเวลาสามร้อยปี และบางคนก็เพิ่มเข้าไปอีกเก้าปี ในการนับระยะเวลา)

คำแปล R4.
25. และพวกเขาพำนักอยู่ในถ้ำของพวกเขาสามร้อยปี และเพิ่มอีกเก้าปี

คำแปล R5.

๒๕. และพระองค์ทรงแจ้งให้ทราบว่า พวกเขาสถิตอยู่ในถ้ำเป็นเวลายาวนาน ถึงสามร้อยปีแห่งการคิดคำนวณทางสุรยคติ ถ้าคิดคำนวณทางจันทรคติแล้วก็เพิ่มอีกเก้าปี รวมเท่ากับสามร้อยเก้าปีทางจันทรคติ

   

คำอ่าน
26. กุลิลลาฮุ อะอฺละมุบิมาละบิษู ละฮูฆ็อยบุสสะมาวาติวัลอัรฺฎิ อับศิรฺบิฮี วะอัสมิอฺ มาละฮุม..มิน..ดูนิฮี มิว..วะลียิว..วะลายุชริกุ ฟีหุกมิฮี...อะหะดา

คำแปล R1.
26. Say: "Allah knows best how long they stayed. With Him is (the knowledge of) the unseen of the heavens and the earth. How clearly He sees, and hears (everything)! They have no Wali(helper, disposer of affairs, protector, etc.) other than him, and He makes none to share in His decision and His Rule."

คำแปล R2.
26. จงประกาศเถิด “อัลเลาะห์ทรงรอบรู้เกี่ยวกับระยะเวลาที่พวกนั้นพำนัก (อยู่ในถ้ำตามที่กล่าวแล้ว) พระองค์ทรงสิทธิในความเร้นลับแห่งชั้นฟ้าและแผ่นดิน พระองค์ช่างทรงมองเห็นและทรงได้ยินยิ่งนัก! พวกเขาย่อมไม่มีผู้ปกครองใด ๆ นอกจากพระองค์ และพระองค์ไม่ทรงร่วมภาคีกับผู้ใด ในการตัดสินของพระองค์

คำแปล R3.

26. โอ้ นบี จงบอกพวกเขาเถิดว่า “อัลลอฮฺทรงรู้ดีที่สุดว่าพวกเขาอยู่ที่นั่นนานเท่าใด เพราะพระองค์ทรงรู้ดีถึงทุกสิ่งที่ซ่อนเร้นในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน” พระองค์นั้นเป็นผู้ทรงเห็นและทรงได้ยินทุกสรรพสิ่ง ไม่มีผู้คุ้มครองอื่นใดสำหรับสิ่งทั้งหลายในชั้นฟ้าและแผ่นดิน และพระองค์มิได้ทรงให้ผู้ใดเข้ามามีส่วนกับพระองค์ในอำนาจของพระองค์

คำแปล R4.
26. จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด “อัลลอฮ์ทรงรู้ดียิ่งว่าพวกเขาพำนักอยู่นานเท่าใด สำหรับพระองค์นั้นทรงรู้สิ่งพ้นญาณวิสัย ในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินพระองค์ทรงเห็นชัดและทรงฟังชัดทุกสิ่ง ทุกอย่าง ไม่มีผู้คุ้มครองใดสำหรับพวกเขาอื่นจากพระองค์พระองค์ ไม่ทรงรับรู้ผู้ใด เข้าร่วมภาคีในการปกครองของพระองค์”

คำแปล R5.
๒๖. โอ้มุฮำมัด เจ้าจงกล่าวเถิดว่า อัลเลาะห์ทรงรู้ถึงระยะเวลาอันยาวนาน ที่พวกเขาชาวถ้ำพักอยู่ดียิ่งกว่าพวกยะฮูดี ซึ่งต่างมีความขัดแย้งกันเกี่ยวกับระยะเวลาดังว่านั้น คือ บางพวกว่าสามร้อยปีบ้างและบางพวกก็ว่าสามร้อยเก้าปีบ้าง ความรู้ถึงบรรดาสิ่งลี้ลับแห่งบรรดาชั้นฟ้าทั้งเจ็ดและแผ่นดินนั้นอยู่ที่พระองค์ มันน่าทึ่งยิ่งนักที่ทรงแลเห็นได้และทรงได้ยินได้ซึ่งบรรดาที่มีในฟากฟ้าและแผ่นดินโดยไม่มีผู้ใดจะเป็นเช่นพระองค์ นอกจากพระองค์แล้วย่อมไม่มีผู้ใดเลยที่จะเป็นองค์สงเคราะห์สำหรับพวกเหล่านั้น ทั้งที่เป็นชาวฟ้าและชาวดิน  และพระองค์จะทรงให้คนใดร่วมมือในการตัดสินของพระองค์ด้วยก็หาไม่  เนื่องด้วยพระองค์เพียงพออยู่แล้วที่จะดำเนินการได้โดยมิต้องพึ่งอาศัยคู่ภาคี



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัลกะฮฺฟิ อายะฮฺที่ 27 - 29


 
คำอ่าน
27. วัตลุมา..อูหิยะอิลัยกะมิน..กิตาบิร็อบบิก, ลามุบัดดิละ ลิกะลิมาติฮี วะลัน..ตะญิดะ มิน..ดูนิฮี มุลตะหะดา

คำแปล R1.
27. And recite what has been revealed to you (O Muhammad) of the Book (the Qur'an) of Your Lord (i.e. recite it, understand and follow its teachings and act on its orders and preach it to men). None can change his words, and none will you find as a refuge other than Him.

คำแปล R2.
27. และเจ้าจงอ่าน สิ่งที่ถูกดลมายังเจ้าเถิด จากคัมภีร์แห่งองค์อภิบาลของเจ้า ย่อมไม่มีผู้ใดเปลี่ยนแปลงถ้อยคำของพระองค์ได้ และเจ้าจะไม่พบผู้อื่นนอกจากพระองค์ที่เป็นสรณะได้เลย

คำแปล R3.
27. โอ้ นบี จงอ่านสิ่งที่ได้ถูกวะฮีย์แก่เจ้าจากคัมภีร์ของพระผู้อภิบาลของเจ้า เพราะไม่มีผู้ใดมีอำนาจที่จะเปลี่ยนแปลงถ้อยคำของพระองค์และ (ถ้าเจ้าจะเปลี่ยนเพื่อเอาใจผู้ใด)เจ้าจะไม่พบที่ใดที่จะคุ้มครองเจ้าจากพระองค์ได้

คำแปล R4.
27. และจงอ่านสิ่งที่ถูกวะฮีแก่เจ้า จากคัมภีร์ของพระผู้เป็นเจ้าของเจ้า ไม่มีผู้ใดเปลี่ยนแปลงคำกล่าวของพระองค์ และเจ้าจะไม่พบที่พึ่งใด ๆ เลยนอกจากพระองค์

คำแปล R5.
๒๗. และเจ้าจงอ่านอัล-กุรอาน พระคัมภีร์แห่งองค์พระผู้อภิบาลของเจ้าที่ถูกดลเป็นกระแสโองการลงมายังเจ้า ย่อมไม่มีใครที่จะเป็นผู้สับเปลี่ยนซึ่งบรรดาพระคำแห่งพระคัมภีร์อัล-กุรอานของพระองค์ได้ หรือแม้แต่จะดัดแปลงบรรดาพระคำของพระองค์ให้เป็นอื่นก็มิได้ นอกจากพระองค์เท่านั้น และนอกจากพระองค์แล้ว เจ้า (มุฮำมัด)จะพบเจอใครเป็นที่พึ่งพาให้พ้นภยันตรายมิได้อีกเลย

   

คำอ่าน
 28. วัศบิรฺนัฟสะกะมะอัลละซีนะ ยัดอูนะร็อบบะฮุม..บิลเฆาะดาติวัลอะชียิ ยุรีดูนะวัจญฮะฮฺ, วะลาตะอฺดุอัยนากะอันฮุม ตุรีดุซีนะตัลหะยาติดดุนยา วะลาตุฏิฮฺมันอัฆฟัลนาก็อลบะฮู อันซิกรินา วัตตะบะอะฮะวาฮุ วะกานะอัมรุฮูฟุรุฏอ

คำแปล R1.
28. And keep yourself (O Muhammad ) patiently with those who call on their Lord (i.e. Your companions who Remember their Lord with glorification, praising In prayers, etc., and other righteous deeds, etc.) morning and afternoon, seeking his face, and let not Your eyes overlook them, desiring the pomp and glitter of the life of the world; and obey not Him whose heart we have made heedless of Our Remembrance, one who follows his own lusts and whose affair (deeds) has been lost.

คำแปล R2.

28. และเจ้า (มุฮำมัด) จงบังคับตัวเองของเจ้าให้อยู่พร้อมกับผู้วอน(นมัสการ)ต่อองค์อภิบาลของพวกเขาทั้งในยามเช้าและยามเย็น โดยพวกเขามุ่งหวังต่อพระองค์(โดยบริสุทธิ์ใจ) และเจ้าอย่าเมินสายตาของเจ้าจากพวกเขา โดยเจ้ามุ่งหวังสิ่งประดับทางชีวิตแห่งโลกนี้ (ด้วยการเลือกคบกับพวกที่มั่งมี) และเจ้าอย่าเชื่อฟังผู้ที่เราให้หัวใจของเขาลืมเลือนจากข้อตักเตือนของเรา (คืออัลกุรอาน) และเขาได้หลงตามอารมณ์ชั่วของเขา และการงานของเขานั้นเป็นสิ่งละเมิด(บทบัญญัติโดยแท้)

คำแปล R3.
28. และจงทำให้ตัวเจ้าเองมีความขันติร่วมกับบรรดาผู้ที่วิงวอนต่อพระผู้อภิบาลของพวกเขาทั้งยามเช้าและยามเย็นเพื่อแสวงหาความโปรดปรานจากพระองค์และจงอย่าหันสายตาของเจ้าออกไปจากพวกเขา เจ้าปรารถนาสิ่งล่อลวงแห่งโลกนี้กระนั้นหรือ ? จงอย่าตามผู้ที่เราได้ทำให้หัวใจของเขาเมินเฉยจากการระลึกถึงเราและผู้ที่ปฏิบัติตามอารมณ์ต่ำของเขาและมีความประพฤติสุดโต่งในการงานของเขา

คำแปล R4.
28. และจงอดทนต่อตัวของเจ้า ร่วมกับบรรดาผู้วิงวอนต่อพระผู้เป็นเจ้าของพวกเขา ทั้งยามเช้าและยามเย็น โดยปรารถนาความโปรดปรานของพระองค์ และอย่าให้สายตาของเจ้าหันเหออกไปจากพวกเขา ขณะที่เจ้าประสงค์ความสวยงามแห่งชีวิตของโลกนี้ และเจ้าอย่าเชื่อฟังผู้ที่เราทำให้หัวใจของเขาละเลยจากการรำลึกถึงเรา และปฏิบัติตามอารมณ์ต่ำของเขา และกิจการของเขาพินาศสูญหาย

คำแปล R5.
๒๘. และโอ้มุฮำมัด เจ้าจงบังคับตนเองอยู่ร่วมวงสังคมกับบรรดาผู้ยากจนเหล่านี้ คือบุคคลในกลุ่มของซัลมาน เป็นผู้ซึ่งกราบเคารพอัลเลาะห์ องค์ผู้อภิบาลของพวกเขาอยู่ทั้งเช้าและเย็น ด้วยหมายมุ่งตรงต่อพระองค์หาได้มุ่งเอาคุณประโยชน์ใด ๆ แห่งพิภพนี้ไม่ ทั้งเจ้าอย่าได้เมินสายตาหนีพวกเขาไป ด้วยหมายจะเอาความวิจิตรแห่งพิภพนี้ โดยเลือกคบแต่ผู้มั่งมีบ้าง พวกมีเกียรติบ้างและพวกโลภหลงโลกีย์บ้าง และเจ้าอย่าได้เชื่อฟังอุยัยนะห์กับพรรคพวกของเขา ผู้ซึ่งเรา (อัลเลาะห์) ได้บันดาลให้หัวใจของเขาลืมเลือนจากพระคัมภีร์อัลกุรอานของเรา (อัลเลาะห์) ไปแล้ว แต่เขาเหล่านั้น (อุยัยนะห์กับพรรคพวก) กลับเจริญตามอารมณ์ชั่วร้ายแห่งตน ด้วยการแสดงเคารพบูชาเทวรูป เป็นผู้ภาคีกับอัลเลาะห์ ซึ่งกิจของเขาที่ปฏิบัติเช่นนั้น เป็นความละเมิดขอบเขต


 

คำอ่าน
29. วะกุลิลหักกุมิรฺร็อบบิกุม ฟะมัน..ชา...อะฟัลยุอ์มิว..วะมัน..ชา...อะฟัลยักฟุรฺ อิน..นา..อะอฺตัดนาลิซซอลิมีนะนาร็อน อะหาเฏาะบิฮิมสุรอดิกุฮษ วะอี..ยัสตะอีษู ยุฆอษูบิมา...อิน..กัลมุฮฺลิยัชวิลวุญูฮฺ บิอ์สัชชะรอบุ วะสา...อัตมุรฺตะฟะกอ

คำแปล R1.
29. And say: "The Truth is from your Lord." Then whosoever wills, let him believe, and whosoever wills, let him disbelieve. Verily, we have prepared for the Zalimun (polytheists and wrong-doers, etc.), a Fire whose walls will be surrounding them (disbelievers in the Oneness of Allah). And if they ask for help (relief, water, etc.) they will be granted water like boiling oil that will scald their faces. Terrible the drink, and an evil Murtafaqa (dwelling, resting place, etc.)!

คำแปล R2.
29. และจงประกาศเถิด ! “อันสัจธรรมย่อมมาจากองค์อภิบาลของพวกท่าน ดังนั้นผู้ใดปรารถนาเขาก็จงศรัทธาเถิด และผู้ใดปรารถนาเขาก็จงปฏิเสธเถิด แท้จริงเราได้เตรียมนรกไว้ให้แก่พวกฉ้อฉลทั้งหลายแล้วซึ่งเปลวเพลิงของมันจักห้อมล้อมพวกเขาไว้และหากพวกเขาขอความช่วยเหลือเขาก็จะได้รับความช่วยเหลือ ด้วยน้ำประหนึ่งน้ำทองแดง มันลวกใบหน้า (ให้สุกได้) มันเป็นเครื่องดื่มที่เลวร้ายยิ่งนัก และมันเป็นที่พักอันชั่วช้าที่สุด

คำแปล R3.

29. จงประกาศเถิดว่า “นี่คือสัจธรรมจากพระผู้อภิบาลของพวกท่าน ดังนั้น ใครก็ตามที่ประสงค์ก็ศรัทธาได้ และผู้ใดประสงค์ก็ปฏิเสธได้(สำหรับผู้ปฏิเสธนั้น)เราได้เตรียมไว้ให้ผู้อธรรมแล้วซึ่งไฟที่เปลวของมันจะล้อมรอบพวกเขา ถ้าพวกเขาจะร้องขอน้ำ พวกเขาก็จะได้รับน้ำที่เหมือนกับทองแดงหลอมละลาย ที่เทราดลงมาบนหน้าพวกเขา ช่างเป็นเครื่องดื่มที่ชั่วช้าและที่พำนักอันเลวร้ายเสียนี่กระไร

คำแปล R4.
29. และจงกล่าวเถิดมุฮัมมัด “สัจธรรมนั้นมาจากพระผู้เป็นเจ้าของพวกเจ้า” ดังนั้น ผู้ใดประสงค์ก็จงศรัทธา และผู้ใดประสงค์ก็จงปฏิเสธแท้จริง เราได้เตรียมไฟนรกไว้สำหรับพวกอธรรมซึ่งกำแพงของมันล้อมรอบพวกเขา และถ้าพวกเขาร้องขอความช่วยเหลือ ก็จะถูกช่วยเหลือด้วยน้ำเสมือนน้ำทองแดงเดือดลวกใบหน้า มันเป็นน้ำดื่มที่ชั่วช้าและเป็นที่พำนักที่เลวร้าย

คำแปล R5.
๒๙. จงกล่าวเถิด แก่อุยัยนะห์กับพรรคพวกที่ชักชวนเจ้าให้ออกห่างบรรดาผู้ยากจน เพื่อขู่พวกนั้นให้เกรงกลัวว่า อัล-กุรอานอันเป็นคัมภีร์แห่งความสัจจริงนั้นมาแต่อัลเลาะห์องค์ผู้อภิบาลของพวกเจ้า หากผู้ใดประสงค์จะเชื่อพระคัมภีร์อัล-กุรอานก็จงเชื่อเถิด แล้วผู้ใดไม่ประสงค์จะเชื่อก็จงปฏิเสธเสียซิ แน่นอนสำหรับเหล่ากาฟิรนั้น เรา(อัลเลาะห์)ได้ตระเตรียมขุมเพลิง ซึ่งเชื้อของมันจะห้อมล้อมพวกเหล่านั้นไว้ด้วยประดุจดังกำแพง และถ้าพวกเหล่านั้นขอความช่วยเหลือ พวกเหล่านั้นก็จะได้รับความช่วยเหลือด้วยน้ำเหมือนน้ำมันข้นที่เมื่อสาดเข้าไปแล้วมันจะลวกใบหน้าให้สุก น้ำที่ถูกนำมาช่วยนั้นเป็นน้ำซึ่งร้ายกาจนัก และเพลิงนั้นเป็นเพลิงที่น่าแสยงยิ่งนัก



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺอัลกะฮฺฟิ อายะฮฺที่ 30 - 31



คำอ่าน
30. อิน..นัลละซีนะอามะนู วะอะมิลุศศอลิหาติ อิน..นาลานุฎีอุ อัจญเราะมันอะหฺสะนะอะมะลา

คำแปล R1.
30. Verily! As for those who believe and do righteous deeds, certainly! We shall not suffer to be lost the reward of anyone who does his (righteous) deeds in the most perfect manner.

คำแปล R2.
30. แท้จริงบรรดาผู้ศรัทธาและปฏิบัติแต่ความดีงามนั้น เราย่อมไม่มลายรางวัลของผู้ประพฤติความดีงามอย่างแน่นอน

คำแปล R3.
30. ส่วนบรรดาผู้ศรัทธาและประกอบการดีนั้น พวกเขาแน่ใจได้เลยว่า เราจะไม่ทำให้รางวัลสำหรับผู้ทำความดีนั้นต้องเสียหาย

คำแปล R4.
30. แท้จริงบรรดาผู้ศรัทธาและกระทำความดีทั้งหลาย เราจะไม่ให้การตอบแทนของผู้กระทำความดีสูญหายอย่างแน่นอน

คำแปล R5.
๓๐. แท้จริงบรรดาชนผู้มีศรัทธาเชื่อมั่นในพระคัมภีร์อัล กุรอาน และที่ประพฤติชอบนั้น เรา(อัลเลาะห์)จะมิให้กุศลของผู้ปฏิบัติดีงามต้องสูญเปล่าเลย

 

คำอ่าน
31. อุลา...อิกะละฮุม ญัน..นาตุอัดนิน..ตัจญรีมิน..ตะหฺติฮิมุลอันฮารุ ยุหัลเลานะฟีฮามิoอะสาวิเราะ มินซะฮะบิว..วะยัลบิสูนะ ษิยาบัน คุฎร็อม...มิน..สุนดุสิว..วะอิสตับเราะกิม..มุตตะกิอีนะฟีฮา อะลัลอะรออิกิ นิอฺมัษษะวาบ วะหะสุนัตมุรฺตะฟะกอ

คำแปล R1.
31. These! For them will be 'Adn (Eden) Paradise (everlasting Gardens); wherein rivers flow underneath them, therein they will be adorned with bracelets of gold, and they will wear green garments of fine and thick silk. They will recline therein on raised thrones. How good is the reward, and what an excellent Murtafaqa (dwelling, resting place, etc.)!

คำแปล R2.
31. พวกเขาเหล่านั้น ย่อมมีสิทธิในสวรรค์อันอมตะ ซึ่งมีธารน้ำหลายสายไหลอยู่จากเบื้องใต้ของพวกเขา พวกเขาได้รับการประดับภายในนั้นด้วยกำไลที่ทำมาจากทองคำ และพวกเขาสวมใส่เสื้อผ้าสีเขียวที่ทำมาจากไหมละเอียดและไหมหยาบ พวกเขาเอนกายอยู่บนเตียงในนั้น มันเป็นการตอบแทนที่ประเสริฐนักและเป็นที่พักอันงดงามที่สุด

คำแปล R3.
31. พวกเขาจะได้รับสวนสวรรค์อันเขียวชอุ่มตลอดกาล ซึ่งภายใต้นั้นมีลำน้ำหลายสายไหลผ่าน พวกเขาจะได้สวมกำไลทองและสวมอาภรณ์ไหมสีเขียวทอยกดอกงามวิจิตรและนอนเอกเขนกบนที่นั่งคล้ายบัลลังก์สูง ช่างเป็นผลตอบแทนอันประเสริฐยิ่งและเป็นที่พำนักที่แสนดีเสียนี่กระไร

คำแปล R4.
31. ชนเหล่านั้นแหละ สำหรับพวกเขาจะได้รับสวนสวรรค์หลากหลายเป็นที่พำนัก มีลำน้ำหลายสายไหลผ่าน ณ เบื้องล่างของพวกเขา ในสวนสวรรค์พวกเขาจะได้ประดับกำไลทอง และสวมอาภรณ์สีเขียวทำด้วยผ้าไหมละเอียดและผ้าไหมหยาบนอนเอกเขนกบนเตียงในสวรรค์ เป็นการตอบแทนที่ดียิ่งและเป็นพำนักที่ดีเยี่ยม

คำแปล R5.
๓๑. พวกเหล่านั้นแหละย่อมได้รับตอบแทนด้วยสวรรค์อัดนิ์ ที่มีธารน้ำไหลผ่านอยู่เบื้องล่าง ภายในสวรรค์แห่งนี้พวกเหล่านั้นจะถูกประดับประดาด้วยกำไลข้อมือทองคำก็มี เงินก็มี และไข่มุกก็มี ทั้งพวกเหล่านั้นจะถูกสวมด้วยเสื้อผ้าสีเขียว เป็นไหมบางบ้างและหนาบ้าง แต่ละคนต่างนั่งขัดสมาธิ และบ้างก็นอนเอกเขนกอยู่เหนือเตียงภายในห้อง สรวงสวรรค์นั้นเป็นผลตอบแทนที่ประเสริฐนัก และเป็นสถานอันทรงคุณประโยชน์ อันเป็นที่พำนักอาศัยและที่ต้อนรับซึ่งงดงามนัก



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัลกะฮฺฟิ อายะฮฺที่ 32 - 36



คำอ่าน
32. วัฎริบละฮุม..มะษะลัรฺเราะญุลัยนิ ญะอัลนา..อะหะดิฮิมา ญัน..นะตัยนิ มินอะอฺนาบิว..วะหะฟัฟนาฮุมาบินัคลิว..วะญะอัลนาบัยนะฮุมาซัรฺอา

คำแปล R1.
32. And put forward to them the example of two men; unto one of them we had given two gardens of grapes, and we had surrounded both with date-palms; and had put between them green crops (cultivated fields etc.).

คำแปล R2.
32. และ (โอ้มุฮำมัด) เจ้าจงยกอุทาหรณ์ให้พวกเขา(ได้เปรียบเทียบ)ถึงชายสองคน เราได้ดลบันดาลคนหนึ่งจากทั้งสองให้มีสวนองุ่นถึงสองสวน และเราได้รักษาสวนทั้งสองไว้ด้วยต้นอินทผลัม (โดยให้มีต้นอินทผลัมปลูกรายรอบสวนทั้งสองนั้น) และเราได้ดลบันดาลให้มีพืชเพาะปลูก(ที่นำผลผลิตมาหุงทำอาหาร)อยู่ระหว่างสวนทั้งสอง(อย่างอุดมสมบูรณ์)

คำแปล R3.
32. (โอ้ มุฮัมมัด) จงยกการอุปมาให้แก่พวกเขาว่า มีชายสองคน คนหนึ่งเราได้ให้สวนองุ่นสองแห่งแก่เขาโดยมีต้นอินทผลัมล้อมรอบ และระหว่างสวนองุ่นทั้งสองนั้นเราได้ให้ที่ดินผืนหนึ่งไว้สำหรับเพาะปลูก

คำแปล R4.
32. และจงเปรียบเทียบอุทาหรณ์หนึ่งแก่พวกเขา คือชายสองคน เราได้ให้สวนองุ่นสองแห่งแก่คนหนึ่งในสองคน และเราได้ล้อมสวนทั้งสองไว้ด้วยต้นอินทผลัม และเราได้ทำให้มีพืชพันธุ์ระหว่างสวนทั้งสองด้วย

คำแปล R5.
มูลเหตุแห่งการลงโองการต่อไปนี้ มีลงมาเกี่ยวกับพี่น้องสองคนเป็นชาวนครมักกะห์และเป็นคนในตระกูลมัคซูม  ทั้งสองนี้ได้แก่ อบูซะละมะห์ อับดุลเลาะห์ เป็นบุตรของอับดุลอะซัด เป็นหลานของยาลีลและเป็นมุอฺมิน ส่วนอีกคนหนึ่งชื่อว่า อัลอัซวัด บุตรของอับดุลอะซัด แต่เป็นกาฟิร โองการแห่งอัล-กุรอานถูกประทานมาบรรยายว่า
๓๒. และโอ้มุฮำมัด เจ้าจงเปรียบพวกเหล่านั้นทั้งฝ่ายมุอ์มินและกาฟิรเป็นดั่งชายสองคน คือฝ่ายมุอ์มินเปรียบดังอบูซะละมะห์ฯ ส่วนพวกกาฟิรเปรียบดังอัลอัซวัด อันเรา(อัลเลาะห์)ให้สวนองุ่นสองแห่งเป็นของคนหนึ่ง คือ อัลอัซวัด และเราให้มีต้นอินทผลัมปลูกรายล้อมรอบที่สวนสองแห่งนั้นไว้แล้วได้ให้มีพืชไร่ขึ้นระหว่างสวนทั้งสองแห่งนั้นด้วย เพื่อสวนทั้งสองแห่ง จะได้มีอาหารหนักและอาหารเบาปะปนกัน


คำอ่าน
33. กิลตัลญัน..นะตัยนิ อาตัตอุกุละฮา วะลัมตัซลิม..มินฮุชัยอา, วะฟัจญัรฺนาคิลาละฮุมานะฮะรอ

คำแปล R1.
33. Each of those two gardens brought forth its produce, and failed not In the least therein, and we caused a river to gush forth In the midst of them.

คำแปล R2.
33. สวนทั้งสองนั้น ได้ให้ผลผลิตที่ใช้รับประทานของมันทั้งสอง (ตลอดทั้งปี)และสวนนั้นจะไม่ลดผลผลิตสักเพียงเล็กน้อยก็ตามให้แก่เขา และเรายังดลบันดาลให้มีธารน้ำแตกพวยพุ่งอยู่ท่ามกลางสวนทั้งสองอีกด้วย

คำแปล R3.
33. สวนองุ่นทั้งสองนี้ ให้ผลของมันออกมาอย่างอุดมสมบูรณ์และไม่เคยขาด และเราได้ทำให้มีลำน้ำไหลผ่านกลางสวนทั้งสองนั้น

คำแปล R4.
33. แต่ละสวนทั้งสองแห่งนี้ได้ออกผลิตผลของมันอย่างสมบูรณ์ ไม่เคยลดน้อยแต่อย่างใดและเราได้ให้ลำน้ำไหลท่ามกลางสวนทั้งสอง

คำแปล R5.
๓๓. สวนสองแห่งนี้ให้ผลิตผลสมบูรณ์และดกทุก ๆ ปี โดยไม่มีแม้แต่ในบางปีที่มัน(ผล)จะบกพร่องไปจากเขา(อัล-อัซวัด)เลย กับเรา(อัลเลาะห์)ยังให้เกิดมีสายธารไหลอยู่ท่ามกลางแหล่งสวนทั้งสองนั้นอีกด้วย


คำอ่าน
34. วะกานะละฮูษะมะรุน..ฟะกอละลิศอหิบิฮี วะฮุวะยุหาวิรุฮู อะนะอักษะรุ มิน..กะมาเลา..วะอะอัซซุนะฟะรอ

คำแปล R1.
34. And he had property (or fruit) and he said to his companion, in the course of mutual talk: I am more than you in wealth and stronger in respect of men." [See Tafsir Qurtubi, Vol. 10, Page 403].

คำแปล R2.
34. และเขาก็มีผลไม้(อย่างมากมายและเพิ่มพูน) ดังนั้นเขาจึงกล่าวกับเพื่อนของเขา ขณะที่เขาโต้ตอบกับเพื่อนว่า “ฉันมีทรัพย์สินมากกว่าท่าน และฉันมีบริวารที่เข้มแข็งกว่า”

คำแปล R3.

34. เขาจึงได้ผลิตผลมากมาย แต่แม้กระนั้นก็ตาม เมื่อเขาสนทนากับเพื่อนบ้านของเขา เขากล่าวว่า “ฉันมีทรัพย์สินมากกว่าท่านและมีคนรับใช้ที่แข็งแรงกว่า”

คำแปล R4.
34. และเขาได้รับผลิตผล ดังนั้นเขาจึงกล่าวแก่เพื่อนของเขา ขณะที่กำลังโต้เถียงกันอยู่ว่า “ฉันมีทรัพย์สินมากกว่าท่าน และมีข้าบริพารมากกว่า”

คำแปล R5
๓๔. แล้วเขา (อัล-อัซวัด)ก็มีแต่รายได้มากขึ้นกระทั่งร่ำรวยมีเงินทอง มีอูฐ แพะและแกะ เขาบอกแก่ อบูซะละมะห์คู่หูของเขาผู้เป็นมุอ์มินอย่างจะโอ้อวดว่าฉันมีทรัพย์มากกว่าท่าน และมีบริวารที่ประเสริฐกว่าบริวารของท่านด้วย



คำอ่าน
35. วะดะเคาะละญัน..นะตะฮู วะฮุวะซอลิมุลลินัฟสิฮี กอละมาอะซุน..นุ อัน..ตะบีดะ ฮาซิฮี..อะบะดา

คำแปล R1.
35. And he went into his garden while in a state (of pride and disbelief) unjust to himself. He said: "I think not that this will ever perish.

คำแปล R2.
35. และเขาได้ (นำเพื่อนของเขา)เข้าไปในสวนของเขา โดยเขามีความอธรรมต่อตนเอง (ด้วยความทระนงและละโมบ) เขากล่าว(กับเพื่อน)ว่า “ฉันมั่นใจว่าสวนนี้จะไม่พินาศตลอดไป”

คำแปล R3.
35. แล้วเขาก็ได้เข้าไปใน”สวนสวรรค์” ของเขาในขณะที่เขาอธรรมต่อตัวเขาเองและกล่าวว่า “ฉันไม่คิดว่าความมั่งคั่งนี้จะสูญสิ้นไป

คำแปล R4.
35. เขาได้เข้าไปในสวนของเขาโดยที่เขาเป็นผู้อธรรมแก่ตัวเขาเอง เขากล่าวว่า “ฉันไม่คิดว่าสวนนี้จะพินาศไปได้เลย”

คำแปล R5.
๓๕. และเขา(อัล-อัซวัด)ได้พาอบูซะละมะห์เข้าไปเดินวนเวียนชมในสวนของตนอย่างทะนงตน พลางพูดแก่อบูซะละมะห์ว่า ฉันคาดว่าสวนนี้จะยืนยงอยู่ตลอดกาล



คำอ่าน
36. วะมา..อะซุน..นุสสาอะตะ กอ...อิมะเตา..วะละอิรฺรุดิตตุ อิลาร็อบบี ละอะญิดัน..นะ ค็อยร็อม..มินฮามุน..เกาะละบา

คำแปล R1.
36. "And I think not the hour will ever come, and if indeed I am brought back to my Lord, (on the Day of Resurrection), I surely shall find better than this when I return to him."

คำแปล R2.
36. และฉันไม่คิดเลยว่า กาลอวสาน(ของโลกนี้)จะอุบัติขึ้น ขอสาบาน! หากแม้นฉันถูกส่งตัวกลับคืนสู่องค์อภิบาลของฉัน แน่นอนฉันคงได้พบสิ่งที่ดีกว่านั้น เป็นผลบั้นปลาย(สำหรับฉัน)

คำแปล R3.
36. และฉันไม่เชื่อว่าโมงยามแห่งการฟื้นคืนชีพจะมีขึ้นมา อย่างไรก็ตามถ้าหากฉันถูกนำกลับไปยังพระผู้อภิบาลของฉัน ฉันก็จะได้รับสถานที่ที่ดีกว่านี้แน่นอน”

คำแปล R4.
36. “และฉันไม่คิดว่าวันอวสานของโลกจะมีขึ้น และหากว่าฉันจะถูกกลับไปยังพระผู้เป็นเจ้าของฉัน แน่นอน ฉันจะพบที่กลับที่ดียิ่งขึ้นกว่านี้”

คำแปล R5.
๓๖. ฉันจะไม่คิดว่าวาระแห่งวันกิยามะห์นั้นจะมีขึ้น แต่กระนั้นถ้าฉันถูกให้ตายคืนสู่องค์พระผู้อภิบาลของฉันตามความคิดคะนึงของท่านแล้ว ฉันจักต้องได้กลับคืนสู่ที่ดีกว่าสวนดั้งเดิมนั้นอีกเป็นแน่ทีเดียว และที่นั้นก็คือสวรรค์



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัลกะฮฺฟิ อายะฮฺที่ 37 - 44



คำอ่าน
37. กอละละฮูศอหิบุฮู วะฮุวะยุหาวิรุฮู..อะกะฟัรฺตะบิลละซีเคาะละเกาะกะ มิน..ตุรอบิน..ษุม..มิน..นุฏฟะติน..ษุม..มะเสาวากะเราะญุลา

คำแปล R1.
37. His companion said to him, during the talk with him: "Do you disbelieve in Him who created you out of dust (i.e. your father Adam), Then out of Nutfah (mixed semen drops of male and female discharge), then fashioned you into a man?

คำแปล R2.

37. เพื่อนของเขากล่าวกับเขาโดยโต้ตอบแก่เขาว่า “ท่านยังจะอกตัญญูต่อพระเจ้าผู้ทรงบันดาลท่านมาจากดิน หลังจากนั้น(ทรงบันดาล)จากหยดอสุจิ แล้วหลังจากนั้นพระองค์ทรงประกอบเจ้าให้เป็นเพศชาย(ครบรูป)อีกกระนั้นหรือ

คำแปล R3.

37. เพื่อนบ้านของเขาได้ตำหนิเขาระหว่างการสนทนาโดยกล่าวว่า “อะไรกันนี่ ท่านปฏิเสธผู้ทรงสร้างท่านมาจากดิน แล้วจากเชื้ออสุจิและทรงทำให้ท่านเป็นคนที่มีรูปร่างสมบูรณ์กระนั้นหรือ ?

คำแปล R4.

37. เพื่อนของเขากล่าวแก่เขาขณะที่กำลังโต้เถียงกันอยู่ว่า “ท่านเนรคุณต่อพระผู้สร้างท่านจากดิน แล้วจากเชื้ออสุจิ แล้วพระองค์ทรงทำให้ท่านเป็นคนโดยสมบูรณ์ กระนั้นหรือ?”

คำแปล R5.
๓๗. อบูซะละมะห์คู่หูของเขา (อัล-อัซวัด)กล่าวย้อนอย่างทรนงว่า มิน่าเลยที่ท่านจะไร้ศรัทธาต่ออัลเลาะห์ องค์ผู้ซึ่งสร้างท่านขึ้นมาจากดิน ตามกำเนิดเดิมปฐมบุรุษของท่าน ครั้นแล้วก็สร้างท่านจากอสุจิ แล้วทรงให้ท่านทรงตัวตรงไม่เหมือนสัตว์เดรัจฉานทั้งปวง ทรงสร้างท่านเป็นเพศผู้ชาย

 

คำอ่าน
38. ลากิน..นะฮุวัลลอฮุร็อบบี วะลา..อุชริกุบิร็อบบี..อะหะดา

คำแปล R1.
38. "But as for my part (I believe) that He is Allah, my Lord and none shall I associate as partner with my Lord.

คำแปล R2.
38. แต่ฉันศรัทธามั่นว่า พระองค์คืออัลเลาะฮฺ ผู้ทรงอภิบาลฉัน และฉันไม่ขอตั้งสิ่งใดขึ้นเป็นภาคีกับองค์อภิบาลของฉันอย่างเด็ดขาด

คำแปล R3.
38. แต่สำหรับฉันแล้ว อัลลอฮฺเท่านั้นที่ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของฉัน และฉันจะไม่ตั้งผู้ใดเป็นภาคีร่วมกับพระผู้อภิบาลของฉัน

คำแปล R4.
38. “แต่ฉันเชื่อว่าพระองค์คืออัลลอฮ์ พระผู้เป็นเจ้าของฉัน และฉันจะไม่ตั้งผู้ใดร่วมเป็นภาคีกับผู้เป็นเจ้าของฉันเลย”

คำแปล R5.
๓๘. แต่ฉันจะบอกว่า อัลเลาะห์คือองค์พระผู้ทรงอภิบาลแห่งฉัน ฉันมิได้ถือเอาผู้ใด(เทวรูป)เป็นคู่ภาคีกับองค์พระผู้อภิบาลของฉันเลย

 

คำอ่าน
39. วะเลาลาอิซดะค็อลตะญัน..นะตะกะ กุลตะมาชา..อัลลอฮุ ลากูวะตะอิลลาบิลลาฮฺ อิน..ตะเราะนิอะนะอะก็อลละมิน..กะมาเลา..วะวะละดา

คำแปล R1.

39. It was better for you to say, when you entered your garden: 'That which Allah wills (will come to pass)! There is no power but with Allah '. If you see me less than you in wealth, and children.

คำแปล R2.
39. และไฉนเมื่อท่านเข้าสวนของท่านจึงไม่พูดว่า “สิ่งที่เป็นไปโดยประสงค์ของอัลเลาะฮฺ ไม่มีพลังอื่นใด นอกจากโดย(พลังของ)อัลเลาะฮฺ” แม้นท่านเห็นว่าฉันมีทรัพย์สิน และลูกน้อยกว่าท่านแล้วไซร้”

คำแปล R3.
39. และเมื่อท่านเข้าไปในสวนของท่าน ทำไมท่านไม่กล่าวว่า “อะไรที่เกิดขึ้นก็เนื่องจากพระองค์ทรงประสงค์ ไม่มีพลังอำนาจอื่นใดนอกไปจากอัลลอฮฺ ถ้าหากท่านเห็นว่าฉันด้อยกว่าท่านในทรัพย์สินและลูก ๆ

คำแปล R4.

39. “และทำไมเล่าเมื่อท่านเข้าไปในสวนของท่าน ท่านควรกล่าวว่า สิ่งที่อัลลอฮ์ทรงประสงค์(ย่อมเกิดขึ้น) ไม่มีพลังใด ๆ(ที่จะช่วยเราได้) นอกจากที่อัลลอฮ์ หากท่านเห็นว่าฉันด้อยกว่าท่านทางด้านทรัพย์สมบัติและลูกหลาน

คำแปล R5.
๓๙. และท่านพึงกล่าว ในขณะท่านจะเข้าสู่สวนของท่านที่ยังความปลาบปลื้มแก่ท่านว่า อันความงดงามซึ่งมีอยู่ ณ สวนแห่งนี้เป็นสิ่งที่อัลเลาะห์ทรงมุ่งประสงค์ไว้สำหรับกรรมสิทธิ์ของฉัน ย่อมไม่มีอำนาจใด ๆ เลย นอกจากที่อัลเลาะห์เท่านั้น อบูซะละมะห์ ฝ่ายที่เป็นมุอ์มินกล่าวคำโต้ว่า อัล-อัซวัดเอ๋ย หากว่าท่านและเห็นฉันมีทรัพย์สินและลูกหลานน้อยกว่าท่านแล้วไซร้

 

คำอ่าน
40. ฟะอะสาร็อบบี..อัย..ยุอ์ติยะนิค็อยรอม..มิน..ญัน..นะติกะ วะยุรสิละอะลัยฮา หุสบานัม..มินัส..สะมา...อิ ฟะตุศบิหะเศาะอีดัน..ซะละกอ

คำแปล R1.

40. "It may be that my Lord will give me something better than your garden, and will send on it Husban (torment, bolt, etc.) from the sky, then it will be a slippery earth.

คำแปล R2.
40. แน่นอนองค์อภิบาลของฉันอาจจะประทานแก่ฉัน ซึ่งสิ่งที่ดีกว่าสวนของท่านก็ได้ และพระองค์อาจส่งภัยพิบัติจากฟ้า(เช่นสายฟ้า) ให้ลงมาทำลายมันจนมันกลับกลายเป็นพื้นที่อันเตียนโล่ง (ปราศจากพืชพันธุ์ใด ๆ )

คำแปล R3.

40. บางทีพระผู้อภิบาลของฉันก็อาจประทานสวนที่ดีกว่าสวนของท่านแก่ฉัน และอาจจะส่งภัยพิบัติจากฟากฟ้าลงมาบนสวนของท่านจนทำให้มันกลายเป็นทุ่งโล่งเตียนก็ได้

คำแปล R4.
40. ดังนั้น บางทีพระผู้เป็นเจ้าของฉันจะทรงประทานให้ฉันดีกว่าสวนของท่าน และจะทรงส่งสายฟ้าฟาดลงที่สวนของท่าน แล้วมันจะกลายเป็นที่ดินโล่งเตียน

คำแปล R5.
๔๐. อัลเลาะห์องค์พระผู้อภิบาลของฉันอาจให้ฉันได้ซึ่งส่วนที่ประเสริฐกว่าสวนของท่านก็ได้ และอาจจะทรงส่งสายฟ้าฟาดลงมาทำลายมัน(สวน)จนกลับกลายเป็นดินโล่ง ๆ เตียนลิ่นจนคนยืนไม่ติดก็ได้

 

คำอ่าน
41. เอายุศบิหะมา...อุฮาฆ็อวร็อน..ฟะลัน..ตัสตะฏีอะ ละฮูเฏาะละบา

คำแปล R1.
41. "Or the water thereof (of the gardens) becomes deep-sunken (underground) so that you will never be able to seek it."

คำแปล R2.
41. “หรือน้ำของมัน(สวนนั้น)เปลี่ยนมาเหือดแห้ง แล้วท่านก็จะไม่สามารถแสวงหาน้ำนั้น(จากสวนดังกล่าว)ได้เลย

คำแปล R3.
41. หรือน้ำในสวนนั้นอาจแห้งเหือดลงไปในแผ่นดินและท่านไม่สามารถหามันมาได้อีก”

คำแปล R4.
41. “หรือน้ำของมันกลายเป็นเหือดแห้งแล้วท่านไม่สามารถจะพบมันได้เลย”

คำแปล R5.
๔๑. หรือจนน้ำ ณ ที่สวนแห่งนั้น เหือดแห้งเสียเลยก็ได้ แล้วท่านไม่อาจจะแสวงหามัน(น้ำ)ได้อีกแล้ว

 

คำอ่าน
42. วะอุหีเฏาะบิษะมะริฮี ฟะอัศบะหะยุก็อลลิบุ กัฟฟัยฮิ อะลามา..อัน..ฟะเกาะฟีฮา วะฮิยะคอวิยะตุนอะลาอุรูชิฮา วะยะกูลุยาลัยตะนี ลัมอุชริกบิร็อบบี..อะหะดา

คำแปล R1.

42. So his fruits were encircled (with ruin). and he remained clapping his hands with sorrow over what he had spent upon it, while it was all destroyed on its trellises, he could only say: "Would I had ascribed no partners to my Lord!" [Tafsir Ibn Kathir]

คำแปล R2.
42. และผลได้ของเขา(จากสวนนั้นก็ถูกแวดล้อม(ด้วยภัยพิบัติจนหมดสิ้น) จากนั้นเขาก็พลิกฝ่ามือของเขากลับไปกลับมา(ด้วยความระทมทุกข์) เนื่องเพราะสิ่งที่เขาได้ใช้จ่าย(ลงทุน)ไปใน(สวน)นั้น ในขณะที่มันพังทลายลงมาบนร้านต้นไม้ใน(สวน)นั้น(อย่างย่อยยับ) และเขารำพึงว่า “โอ้ ! ความหวังของฉัน ฉันมิน่าตั้งสิ่งอื่นใดขึ้นมาเป็นภาคีกับองค์อภิบาลของฉันเลย!”

คำแปล R3.
42. ในที่สุด (มันก็เกิดขึ้นจน) พืชผลของเขาก็ถูกทำลาย และเมื่อเห็นมันพังลงมาบนร้าน เขาก็บีบมือทั้งสองของเขาต่อการสูญเสียสิ่งที่เขาได้ทุ่มเทไปและกล่าวว่า “ฉันไม่คิดที่จะตั้งสิ่งใดเป็นภาคีกับพระผู้อภิบาลของฉันเลย”

คำแปล R4.
42. และผลิตผลของเขาถูกทำลายหมด แล้วเขาก็ประกบฝ่ามือทั้งสองด้วยความเสียใจต่อสิ่งที่เขาได้จับจ่ายไป และมันพังพาบลงมา และเขากล่าวว่า “โอ้ ! หากฉันไม่น่าเอาผู้ใดมาตั้งภาคีกับพระผู้เป็นเจ้าของฉัน”

คำแปล R5.
๔๒. และสมบัติของเขาอันได้แก่เงิน ทอง แพะ แกะและอูฐก็ถูกภัยคุกคามเสียหายหมดสิ้น แล้วเขา (อัล-อัซวัด) ก็ชูฝ่ามือสองข้างพลิกคว่ำพลิกหงายแสดงท่าเศร้าสลด และวิตกถึงเรื่องทรัพย์สินค่าใช้จ่ายในการบูรณะเรือกสวนนั้นที่ปรักหักพังลง ให้กลับเจริญงอกงามดังเดิม กล่าวคือร้านรองรับองุ่นของเขาได้พังทลายลงสิ้นแลดูต้นองุ่นก็มิเห็นมีทอดอยู่ตามร้านเลย เขาจะกล่าวรำพึงแก่ตัวเองว่า ฉันจะไม่ถือเอาผู้ใด(เทวรูป)เป็นคู่ภาคีกับอัลเลาะห์ องค์พระผู้อภิบาลของฉันอีกแล้ว

 

คำอ่าน
43. วะลัมตะกุลละฮู ฟิอะตุย..ยัน..ศุรูนะฮู มิน..ดูนิลลาฮิ วะมากานะมุน..ตะศิรอ

คำแปล R1.
43. And he had no group of men to help him against Allah, nor could he defend or save himself.

คำแปล R2.
43. และเขาไม่มีกลุ่มไหนให้ความช่วยเหลือได้นอกจากอัลเลาะฮฺ และเขาไม่สามารถช่วยตัวเองได้เลย

คำแปล R3.
43. เขาไร้คนช่วยเหลือและไม่สามารถที่หาใครมาช่วยเหลือเขาแทนอัลลอฮฺได้ ขณะเดียวกัน เขาก็ไม่สามารถป้องกันภัยพิบัติได้

คำแปล R4.
43. และเขาไม่มีพรรคพวกจะช่วยเขาได้ นอกจากอัลลอฮ์ และเขาก็มิได้เป็นผู้ช่วยเหลือ

คำแปล R5.
๔๓. และนอกจากอัลเลาะห์จะมีชนคณะใดช่วยเหลือเขาให้คลาดพ้นความสูญเสียสวนได้ก็หาไม่ แต่เขาก็จะมิได้รับความช่วยเหลือ ในการสูญเสียสวนของเขาเลย


คำอ่าน
44. ฮุนาลิกัลวะลายะตุลิลาฮิลหักกฺ ฮุวะค็อยรุน..ษะวาเบา..วะค็อยรุนอุกบา

คำแปล R1.
44. There (on the Day of Resurrection), Al-Walayah (the protection, power, authority and kingdom) will be for Allah (Alone), the true God. He (Allah) is the best for reward and the best for the final end. (La ilaha ill-Allah none has the right to be worshiped but Allah).

คำแปล R2.
44. ณ ที่นั้น (ในโลกหน้า) อำนาจการช่วยเหลือเป็นของอัลเลาะฮฺผู้ทรงสัจจะ พระองค์ทรงประเสริฐยิ่งในการตอบแทนและทรงประเสริฐยิ่งในการสนองผลบั้นปลาย

คำแปล R3.
44. ดังนั้น เขาจึงตระหนักได้ว่าอำนาจแห่งการช่วยเหลือทั้งหมดนั้นอยู่ที่อัลลอฮฺผู้ทรงสัจจะ นั้นเป็นรางวัลตอบแทนที่ดีที่สุดที่พระองค์ประทาน และบั้นปลายที่สุดคือที่พระองค์ทรงนำไป

คำแปล R4.
44. ด้วยเหตุนั้น การคุ้มครองช่วยเหลือเป็นของอัลลอฮ์ผู้ทรงสัจจะ และพระองค์ทรงดียิ่งในการตอบแทน และทรงดียิ่งในบั้นปลาย

คำแปล R5.
๔๔. ที่วันกิยามะห์โน้น อำนาจต่าง ๆ ก็เป็นของอัลเลาะห์พระผู้เที่ยงแท้ พระองค์ทรงเป็นเลิศยิ่งกว่าผู้อื่นในการสนองบุญกุศลแก่ปวงชนมุอ์มินและทรงเป็นเลิศยิ่งกว่าผู้อื่นในบั้นปลายแห่งการยอมภักดีอีกด้วย


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิ.ย. 10, 2010, 06:18 PM โดย Bangmud »

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัลกะฮฺฟิ อายะฮฺที่ 45 - 46

 

คำอ่าน
45. วัฎริบละฮุม..มะษะลัลหะยาติดดุนยา กะมา...อิน อัน..ซัลนาฮุ มินัสสะมา...อิ ฟัคตะละเฎาะบิฮี นะบาตุลอัรฺฎิ ฟะอัศบะหะ ฮะชีมัน..ตัซรูฮุรฺริยาหฺ วะกานัลลอฮุอะลากุลลิชัยอิม..มุกตะดิรอ

คำแปล R1.
45. And put forward to them the example of the life of this world, it is like the water (rain) which we send down from the sky, and the vegetation of the earth mingles with it, and becomes fresh and green. But (later) it becomes dry and broken pieces, which the winds scatter. And Allah is able to do everything.

คำแปล R2.
45. และเจ้าจงยกอุทาหรณ์แก่พวกเขาถึงชีวิตทางโลกนี้ว่า เปรียบเทียบเท่ากับน้ำฝนที่เราหลั่งมันลงมาจากท้องฟ้า และพืชพันธุ์ต่าง ๆ แห่งแผ่นดินก็คละเคล้ากับมัน (น้ำฝนจนอุดมสมบูรณ์) แต่หลังจากนั้นก็กลับเปลี่ยนมาแห้งแล้ง (เป็นฝุ่น) ซึ่งลมพัดมัน (ปลิวว่อนคลุ้งไปในอากาศ) และอัลเลาะห์ทรงเดชานุภาพเหนือทุกสิ่ง

คำแปล R3.
45. โอ้ นบีจงยกอุทธาหรณ์ให้พวกเขาได้นึกถึงความจริงแห่งชีวิตโลกนี้ว่ามันเปรียบเหมือนกับพฤกษชาติแห่งโลกที่งอกเงยขึ้นมาอย่างอุดมสมบูรณ์เมื่อเราส่งน้ำฝนลงมาจากฟากฟ้า แต่หลังจากนั้นมันก็กลับกลายเป็นเศษพืชแห้งกรังที่ถูกลมพัดปลิวว่อน และอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงไว้ซึ่งอานุภาพเหนือทุกสิ่ง

คำแปล R4.
45. และจงเปรียบอุทาหรณ์การดำรงชีวิตอยู่ในโลกนี้แก่พวกเขา ประหนึ่งน้ำที่เราหลั่งมันลงมาจากฟากฟ้า ดังนั้นพืชผลในแผ่นดินก็จะคลุกเคล้าไปกับน้ำ แล้วมันก็แห้งกรังเป็นเศษเป็นชิ้นซึ่งลมจะพัดมันให้ปลิวว่อน และอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงอานุภาพเหนือทุกสิ่ง

คำแปล R5.
๔๕. และ โอ้มุฮำมัด เจ้าจงชักอุทาหรณ์ขึ้นแจ้งแก่พวกเหล่านั้น ผู้เป็นประชาชนของเจ้าให้ทราบว่าชีวิตแห่งความเป็นอยู่ในพิภพนี้อุปมาเหมือนดั่งน้ำ อันเรา(อัลเลาะห์)ได้หลั่งมันลงมาจากฟ้า แล้วพืชพรรณ ณ แผ่นดินนั้นจะแทรกปนอยู่กับมัน(น้ำฝน)ทำให้เกิดชุ่มชื้นและเจริญงอกงาม ครั้นแล้วก็กลับแห้งเกราะ ส่วนต่าง ๆ ของมันแตกกระจุยกระจาย กระแสลมจะพัดพามันฟุ้งไปทั่วและสูญหายไปหมดสิ้น ฝ่ายอัลเลาะห์นั้นทรงมีพลานุภาพเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง

 


คำอ่าน
46. อัลมาลุวัลบะนูนะ ซีนะตุลหะยาติดดุนยา วัลบากิยาตุศศอลิหาตุ ค็อยรุนอิน..ดะร็อบบิกะษะวาเบา..วะค็อยรุน อะมะลา

คำแปล R1.
46. Wealth and children are the adornment of the life of this world. But the good righteous deeds (five compulsory prayers, deeds of Allah's obedience, good and nice talk, remembrance of Allah with glorification, praises and thanks, etc.), that last, are better with your Lord for rewards and better in respect of hope.

คำแปล R2.
46. อันทรัพย์สมบัติและบรรดาลูก ๆ นั้นเป็นเพียงสิ่งประดับในชีวิตทางโลกนี้เท่านั้น แต่ผลกรรมอันอมตะที่ดีงามทั้งมวลย่อมประเสริฐกว่า (นั้นมากมาย) ณ องค์อภิบาลของเจ้าในการตอบแทน และประเสริฐกว่าในการใฝ่หา

คำแปล R3.
46. ทำนองเดียวกัน ทรัพย์สินและลูก ๆ ก็คือเครื่องประดับชั่วคราวแห่งโลกนี้เท่านั้น แต่ความจริงแล้ว การกระทำดีอย่างจีรังนั้นเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในสายตาของพระผู้อภิบาลของสูเจ้าในบั้นปลายและเป็นความหวังที่ดีกว่า

คำแปล R4.
46. ทรัพย์สมบัติและลูกหลานคือ เครื่องประดับแห่งการดำรงชีวิตในโลกนี้ และความดีทั้งหลายที่จีรังนั้น เป็นการตอบแทนที่ดียิ่ง ณ ที่พระเจ้าของเจ้า และเป็นความหวังที่ดียิ่ง

คำแปล R5.
๔๖. อันทรัพย์สินและลูกหลานนั้นคือสิ่งประดับของชีวิตความเป็นอยู่แห่งโลกพิภพนี้ให้งดงามเท่านั้น ส่วนอื่น ๆ นอกนั้นอันชอบธรรม ซึ่งเป็นคุณธรรมที่จะได้รับภาคผลอย่างถาวร อาทิ การละหมาด ๕ เวลา การประกอบพิธีฮัจย์ การถือศีลอดในเดือนรอมดอน การกล่าวคำ “ซุบฮานัลเลาะห์” อัลฮำดุลิลลาห์” ลาอิลาหะอิลลัลเลาะห์” “อัลลอหุอักบัร” และการพูดจาด้วยถ้อยคำที่ดี จะเป็นบุญกุศลที่มีเตรียมมาจากองค์พระผู้อภิบาลของเจ้าที่ประเสริฐยิ่งกว่าที่ได้รับตอบแทนจากคนอื่น และเป็นการใฝ่หาที่ประเสริฐยิ่งกว่าใฝ่หาสิ่งอื่น ๆ



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺอัลกะฮฺฟิ อายะฮฺที่ 47 - 49



คำอ่าน
47. วะเยามะนุสัยยิรุลญิบาละ วะตะร็อลอัรฺเฎาะ บาริซะเตา..วะหะชัรฺนาฮุม ฟะลัมนุฆอดิรฺมินฮุม อะหะดา

คำแปล R1.
47. And (remember) the day we shall cause the mountains to pass away (like clouds of dust), and you will see the earth as a leveled plain, and we shall gather them all together so as to leave not one of them behind.

คำแปล R2.
47. และ (จงระลึกเถิด)ในวัน(อวสานของโลก)ซึ่งเราจะทำให้ภูเขาเคลื่อน(จากที่ของมัน) และเจ้าจะเห็นแผ่นดินปลอดโปร่ง(เตียนโล่งไม่มีต้นไม้ใด ๆ ) และเราได้ไล่พวกเขาให้ชุมนุมกัน(ในที่เดียวกัน) ซึ่งเราจะไม่ละเลยผู้ใดจากพวกเขาไว้ (สักคนเดียวก็ตาม)

คำแปล R3.
47. สิ่งเดียวที่สูเจ้าจะต้องเตรียมก็คือวันที่เราจะทำให้ภูเขาทั้งหลายต้องเคลื่อนไป และวันที่เจ้าจะได้เห็นแผ่นดินนี้ว่างเปล่า และเราจะรวมมนุษย์ทั้งหมดเข้าไว้ด้วยกันโดยไม่เหลือใครไว้ข้างหลังเลย

คำแปล R4.
47. และ(จงรำลึก) วันที่เราให้เทือกเขาเคลื่อนย้ายไป และเจ้าจะเห็นแผ่นดินราบเรียบและเราจะชุมนุมพวกเขา ดังนั้น เราจะไม่ให้ผู้ใดออกไปจากพวกเขาเลย

คำแปล R5.
๔๗. โอ้มุฮำมัด และเจ้าจงบอกแก่ประชาชนของเจ้าสำหรับถือเป็นอุดมธรรมในวันที่ภูเขาเคลื่อนหายไป เจ้าย่อมจะแลเห็นแผ่นดินเตียนโล่ง ไม่มีอะไรเลยแม้สักสิ่งเดียวเหลือตกค้างอยู่ที่หน้าแผ่นดินนั้น แต่ก่อนจากภูเขาจะเคลื่อนวับหายไปจนแผ่นดินเตียนโล่งนี้ เรา(อัลเลาะห์)ก็ได้ต้อนพวกเขาเหล่านั้นทั้งฝ่ายมุอ์มินและฝ่ายกาฟิรไปรวมกันไว้แล้ว ณ สถานที่แห่งหนึ่ง เพื่อจะให้ชนเหล่านั้นได้แลเห็นสภาพแห่งการโกลาหลอันใหญ่หลวง ทั้งเรา(อัลเลาะห์)จะมิให้พวกเหล่านั้นตกค้างอยู่แม้สักคนเดียว

 

คำอ่าน
48. วะอุริฎูอะลาร็อบบิกะ ศ็อฟฟัลละก็อดญิฮ์ตุมูนา กะมาเคาะลักนากุม เอาวะละมัร์เราะฮฺ บัลซะอัมตุมอัลลัน..นัจญอะละละกุม..เมาอิดา 

คำแปล R1.
48. And they will be set before your Lord in (lines as) rows, (and Allah will say): "Now indeed, you have come to us as we created you the first time. Nay, but you thought that we had appointed no meeting for you (with us)."

คำแปล R2.
48. และพวกเขาถูกนำตัวมาเสนอต่อองค์อภิบาลของเจ้าเป็นแถว ๆ (แล้วพระองค์ทรงตรัสว่า) “แท้จริงพวกเจ้าได้มาหาเราเฉกเช่นที่เราได้บันดาลพวกเจ้าในครั้งแรกเริ่ม แต่แล้วพวกเจ้ากลับคาดคิดว่า เราจะไม่ทำตามสัญญา (ลงโทษ) ที่มีต่อเจ้า

คำแปล R3.
48. และพวกเขาทั้งหมดจะถูกนำมาปรากฏต่อหน้าพระผู้อภิบาลของเขาเป็นแถว ตอนนี้สูเจ้าก็จะเห็นว่าสูเจ้าได้กลับมายังเราเหมือนกับที่เราได้สร้างสูเจ้าเป็นครั้งแรก แต่สูเจ้าคิดเอาเองว่าเราไม่ได้กำหนดเวลาแห่งการนัดพบไว้สำหรับสูเจ้า

คำแปล R4.
48. และพวกเขาจะถูกนำมารวมเป็นแถวต่อหน้าพระผู้เป็นเจ้าของเจ้า โดยแน่นอน พวกเจ้าจะถูกนำมายังเราดั่งที่เราให้บังเกิดพวกเจ้าในครั้งแรก แต่พวกเจ้าอ้างว่าเราไม่ได้กำหนดเวลาสำหรับพวกเจ้า

คำแปล R5.

๔๘. และพวกเหล่านั้นจะถูกจัดให้ตั้งแถวต่อหน้าอัลเลาะห์องค์พระผู้อภิบาลของเจ้าจะมีกระแสเสียงแจ้งแก่พวกเหล่านั้นว่า พวกเจ้าได้มาสู่ที่เรานี้แต่เพียงเรือนร่างเดียวดาย ไร้ทั้งทรัพย์สินและลูกหลานทั้งยังเดินเท้าเปล่า ตัวเปล่า ปราศจากสิ่งปิดกาย และที่ปลายอวัยวะเพศยังมีหนังหุ้มอยู่ เหมือนกับสภาพในเบื้องแรกที่เราได้บังเกิดพวกเจ้าขึ้นมา ผู้ซึ่งปฏิเสธเรื่องการฟื้นชีพจากสุสานถูกตอบโต้ว่า แต่พวกเจ้าจะคิดว่า เราจะไม่ทำตามสัญญาที่มีแก่พวกเจ้าเกี่ยวกับเวลาและสถานที่ซึ่งพวกเจ้าจะถูกให้ฟื้นขึ้นมาใหม่

 

คำอ่าน
49. วะวุฎิอัลกิตาบุ ฟะตะร็อลมุจญริมีนะ มุชฟิกีนะ มิม..มาฟีฮิ วะยะกูลูนะ ยาวัยละตะนา มาลิฮาซัลกิตาบิ ลายุฆอดิรุ เศาะฆีเราะเตา..วะลากะบีเราะตัน อิลลาอะหฺศอฮา วะวะญะดูมาอะมิลูหาฎิรอ วะลายัซลิมุ ร็อบบุกะอะหะดา

คำแปล R1.
49. And the book (one's record) will be placed (in the right hand for a believer in the Oneness of Allah, and in the left hand for a disbeliever in the Oneness of Allah), and you will see the Mujrimun (criminals, polytheists, sinners, etc.), fearful of that which is (recorded) therein. They will say: "Woe to us! What sort of book is this that leaves neither a small thing nor a big thing, but has recorded it with numbers!" And they will find all that they did, placed before them, and your Lord treats no one with injustice.

คำแปล R2.
49. และบันทึก (การกระทำของทุกคน) ถูกวางไว้(ในมือของเจ้าตัว) แล้วเจ้าก็จะเห็นคนบาปทั้งหลายมีความประหวั่นกลัวเป็นที่สุด ต่อสิ่งที่มีอยู่ในนั้น และพวกเขาพูดว่า “โอ้ ! ความหายนะของเรา อะไรกันนี่ บันทึกนี้ไม่ละเลยแม้สิ่งเล็กน้อย และ(ไม่ละเลย)สิ่งใหญ่โต นอกจากได้บันทึกไว้อย่างครบถ้วน และพวกเขาได้พบสิ่งที่พวกเขาได้ประพฤติไว้ มีปรากฏอยู่(ในบันทึกนั้นทุกประการ)และองค์อภิบาลของเจ้าไม่อธรรมแก่ผู้ใดเลย

คำแปล R3.
49. แล้วบันทึกการกระทำก็จะถูกนำมาวางไว้ต่อหน้าพวกเขา ในตอนนั้นสูเจ้าจะเห็นว่า คนทำผิดทั้งหลายจะกลัวสิ่งที่อยู่ในบันทึกนั้นและพวกเขาจะกล่าวว่า “บรรลัยแน่แล้วเรานี่มันบันทึกอะไรกันนี้ ไม่มีการกระทำอะไรของเราที่ไม่ได้ถูกบันทึกไว้เลย ไม่ว่าจะเรื่องเล็กน้อยหรือเรื่องใหญ่โต” พวกเขาจะได้เห็นทุกสิ่งที่พวกเขาได้ทำไว้ต่อหน้าพวกเขาและพระผู้อภิบาลของสูเจ้าจะไม่ทรงอธรรมต่อผู้ใดแม้แต่เพียงน้อยนิด

คำแปล R4.
49. และบันทึกจะถูกวางไว้ดังนั้น เจ้าจะเห็นผู้กระทำผิดทั้งหลายหวั่นกลัวสิ่งที่มีอยู่ในบันทึกและพวกเขาจะ กล่าวว่า “โอ้ความวิบัติของเราเอ๋ย! บันทึกอะไรกันนี่ มันมิได้ละเว้นสิ่งเล็กน้อยและสิ่งใหญ่โตเลย เว้นแต่ได้บันทึกไว้ครบถ้วน” และพวกเขาได้พบสิ่งที่พวกเขาได้ปฏิบัติไว้ปรากฏอยู่ต่อหน้าและพระผู้เป็น เจ้าของเจ้ามิทรงอธรรมต่อผู้ใดเลย

คำแปล R5.

๔๙. แล้วหนังสือสำหรับบันทึกผลแห่งพฤติกรรมทั้งสิ้นของปวงบ่าวของพระองค์จะถูกยื่นมาที่มือขวาสำหรับที่เป็นชนมุอ์มินและมือซ้ายสำหรับชนกาฟิร เจ้าจะแลเห็นพวกกาฟิรหวาดกลัวผลกรรมชั่วร้าย ซึ่งมีปรากฏอยู่ใน บันทึกนั้นพลางกล่าวว่า บรรลัยแล้วซิ แม่เจ้าโว๊ยในบันทึกเป็นอย่างนี้เชียวหรือ ? บาปกรรมของเราทุก ๆ เรื่องทั้งเรื่องเล็กและเรื่องใหญ่นอกจากไม่ตกหล่นแล้วยังจดลงละเอียดอีกด้วย ทั้งพวกเหล่านั้นยังพบเห็นผลแห่งกรรมชั่วที่พวกตนได้กระทำไว้ได้ปรากฏอยู่ต่อหน้าในบันทึกของพวกตน โอ้มุฮำมัด แต่องค์พระผู้อภิบาลของเจ้านั้นมิได้คดโกงพวกเหล่านั้นเลยแม้แต่คนเดียว ที่จะได้รับโทษโดยมิได้กระทำบาป และจะมิทรงลดบุญกุศลของผู้มีศรัทธาหย่อนลงด้วย



 

GoogleTagged