ผู้เขียน หัวข้อ: มือของอัลเลาะฮ์ตามหลักอากีดะฮ์ของวะฮาบีย์  (อ่าน 23626 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
อ้างอิงจากบังอะสัน

ดังนั้น รูปแบบวิธีการ(الكيف)ดังกล่าวนี้แหละ เราต้องผ่านไปโดยมอบหมายความรู้ดังกล่าวแก่อัลลอฮ ส่วนหน้าที่ของเรา ตามที่เช็คอัชชันกิฏีย์ กล่าวคือ...............

ตอบ

การมอบหมายรูปแบบวิธีการนั้น มันเป็นแนวทางของพวกอัลมัญุสิมะฮ์ครับ เนื่องจากแนวทางของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์นั้น เขามอบหมายถึง ความหมายและวิธีการ ครับ

ท่านอัตติมีซีย์ ได้กล่าวไว้ในหนังสือ สุนันของท่านว่า

والمذهب في هذا عند أهل العلم من الائمة مثل سفيان الثوري ومالك بن أنس وابن المبارك وابن عيينة ووكيع وغيرهم أنهم رووا هذه الاشياء ثم قالوا :تروى هذه الاحاديث ونؤمن بها ، ولا يقال كيف ، وهذا الذي اختاره أهل الحديث أن تروى هذه الاشياء كما جاءت ويؤمن بها ولا تفسر ولا تتوهم ولا يقال كيف وهذا أمر أهل العلم الذي اختاروه وذهبوا إليه

"แนวทางในเรื่องนี้ ตามทัศนะของนักวิชาการจากบรรดานักปราชญ์ อย่างเช่น ท่านซุฟยาน อัษเษารีย์ , ท่านมาลิดบินอะนัส , ท่านอิบนุอัลมุบาร๊อก , ท่านอิบนุอุยัยนะฮ์ , ท่านวะเกี๊ยะอฺ , และท่านอื่นๆ ให้ทัศนะว่า พวกเขาเหล่านั้นได้ทำการรายงานบรรดาประการต่างเหล่านี้ หลังจากนั้น พวกเขาก็กล่าวว่า บรรดาหะดิษเหล่าวนี้ได้ถูกรายงาน โดยเราทำการศรัทธาด้วยกับมัน และไม่ถูกกล่าวว่ามันเป็นอย่างไร และนี้ก็คือสิ่งที่นักวิชาการหะดิษได้เลือกเฟ้นมัน โดยการรายงานประการต่างๆเหล่าวนี้ เสมือนกับที่มันได้มีมา และถูกศรัทธาด้วยกับมัน โดยไม่ถูกอธิบาย(ความหมาย) , ไม่คิดสงสัย และไม่ถูกกล่าวว่าเป็นอย่างไร และนี้คือสิ่งที่นักวิชาการได้เลือกและได้ให้ทัศนะไปยังมัน" ดู สุนัน อัตติรมีซีย์ เล่ม 4 หน้า 692

เป็นที่ทราบกันดีว่า การตัฟซีร تفسير ก็คือ การอธิบายความหมาย หรือการทำให้ความหมายชัดเจน

ท่าน อิบนุกุ๊ดดามะฮ์ กล่าวถ่ายทอดจากคำกล่าวของอิมาม อะหฺมัด(ร.ฏ.) ว่า

"บรรดาหะดิษเหล่านี้(คือบรรดาหะดิษซีฟาต) เราศรัทธาและยอมรับด้วยกับมัน โดยที่ไม่มีวิธีการ และความหมาย (หมายถึงมอบหมายวิธีการและความหมาย)และเราจะไม่พรรณนา (คุณลักษณะ) กับอัลเลาะฮ์(ซ.บ.) ให้มาก ไปกว่าสิ่งที่พระองค์ทรงพรรณนาไว้ให้กับพระองค์เอง" (ดู ลุมอะฮ์ อัลเอี๊ยะติก๊อต หน้า 3)

ท่านอิบนุ รอญับ ได้กล่าวไว้ในหนังสือ ฟัฏลุ อิลมิ อัสสะลัฟ อะลา อัลคอลัฟ ว่า

والصواب ما عليه السلف الصالح من إمرار آيات الصفات وأحاديثها كما جاءت من غير تفسير لها . . ولا يصح منهم خلاف ذلك البتة خصوصا الإمام أحمد ولا خوض في معانيها

"ที่ถูกต้องคือสิ่งที่ สะละฟุศศอลิห์ได้ดำเนินอยู่ จากการทำการผ่านไปกับบรรดาอายะอ์ซิฟาตและหะดิษซีฟัต เหมือนกับที่มันได้มีระบุมา จากการไม่มีการตัฟซีร(อธิบายความหมาย)ให้กับมัน...และย่อมใช้ไม่ได้อย่างเด็ดขาดจากพวกเขา โดยการขัดแย้งกับสิ่งดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านอิมามอะหฺมัด โดยที่ไม่มีการเข้ายุ่งเกี่ยวในบรรดาความหมายของมัน" ดูหน้า 30

ท่านอัซซะฮะบีย์กล่าวว่า

فقولنا في ذلك وبابه : الإقرار ، والإمرار ، وتفويض معناه إلى قائله الصادق المعصوم

"ดังนั้น คำกล่าวของเรา ในสิ่งดังกล่าวและในเรื่องดังกล่าว คือ การยอมรับ และทำการผ่านมันไป โดยทำการมอบหมายกับความหมายของมันไปยังผู้ที่กล่าวที่สัจจริงและถูกปกป้องจากความผิด" ดู ซิยัร อะลาม อันนุบะลาอ์ เล่ม 8 หน้า 105


บังอะสันครับ สนทนไปเรื่อยๆนะครับ แล้วอย่างลืมตอบคำถามผมนี้ด้วย เพื่อจะให้เข้าเรื่องเดิม ไม่ใช่เฉไฉ เลี่ยงประเด็นอย่างที่วะฮาบีย์หลายคนกำลังทำกันอยู่ คำถามมีดังนี้ครับ

คำว่า اليد (ที่วะฮาบีย์แปลว่ามือหรือพระหัตถ์) ที่เป็นซีฟัตของอัลเลาะฮ์(ซ.บ.)นั้น

วะฮาบีย์เข้าใจว่า

1- ความหมายเป็นที่รู้กัน معلوم المعنى

2- มีความหมายแบบคำตรง حقيقة

3- ตรงในเชิงภาษา وفق اللغة

4- เมื่อได้ยินแล้ว ความหมายแรกที่สมองคนเราเข้าใจ นั่นคือจุดมุ่งหมาย ما يسبق الى الذهن

เมื่อผมศึกษาดูแล้ว ปรากฏว่าความหมายคำว่า اليد ที่เป็นความหมายที่รู้กันดี มีความหมายแบบคำตรง ในเชิงภาษา ที่คนฟังแล้วเข้าใจเลยนั้น คือ "อวัยวะที่เป็นส่วนหนึ่งของร่างกายที่เป็นฝ่ามือและมีนิ้ว" แล้วจู่ๆ วะฮาบีย์ก็บอกว่า "แต่มันไม่เหมือนกับมัคโลค" ??? แล้วมือของมัคโลคที่รู้ความหมายกันดีแบบคำตรงที่สมองคนเราเข้าใจเลยนั้นมันเป็นอย่างไรกันหรือครับ?? แล้วคนเอาวามทั่วไป เขาจะเชื่อกันอย่างไรครับ? แล้วสะลัฟเขาเชื่อกันอย่างนี้หรือ? ถ้าหากว่าวะฮาบีย์คิดว่าตนเองคือสะลัฟอย่างแท้จริงนะครับ

โชคดีสำลีโปะหัวครับบังอะสัน ฮ่า ฮ่า อ้า..ล้อเล่นนนน....


อ้างอิงจากบังอะสัน

( เอียะติกอดอะอิมมะติลหะดิษ )ของ อบูบัก อัลอิมาอีลีย์ (ประวัติให้ดูจาก ( البداية والنهاية 11/317 มีคำดัชนี อธิบายคำว่า ?มุญัสสิมะฮ ว่า
التجسيم من الألفاظ المجملة المحدثة التي أحدثها أهل الكلام ، فلم ترد في الكتاب والسنة ولم تعرف عن أحد من الصحابة والتابعين وأئمة الدين ، فلذلك لا يجوز إطلاقها نفيا ولا إثباتا ، فإن الله لا يوصف إلا بما وصف به نفسه أو وصفه به رسوله صلى الله عليه وسلم نفيا أو إثباتا
อัตตัจญซีม เป็นส่วนหนึ่งของบรรดา ถ้อยคำที่ถูกประมวลขึ้นมา ที่ถูกประดิษขึ้นมา โดยนักวิภาษวิทยา (พวกอธิบายวิชาอะกีดะฮด้วยความเห็น) ดังนั้น มัน(คำนี้)จึงไม่ปรากฏในอัล-กิตาบ(อัลกุรอ่าน)และอัสสุนนะฮ ไม่เป็นที่ยืนยันจากคนหนึ่งคนใดจากบรรดาสาวกของท่านนบี บรรดาตาบิอีน และบรรดาผู้นำศาสนา ดังกล่าวนั้น จึงไม่อนุญาตให้อ้างถึงมัน ในการปฏิเสธ และในการรับรอง แท้จริงอัลลอฮนั้น ไม่ได้ถูกกล่าวคุณลักษณะ นอกจากด้วยคุณลักษณะที่พระองค์ได้แจงคุณลักษณะนั้นให้แก่ตัวของพระองค์เอง หรือ ศาสนทูตของพระองค์(ศอลฯ)ได้แจงคุณลักษณะนั้น ในการปฏิเสธ หรือ การรับรอง(ให้แก่อัลลอฮ)

ตอบ

การกล่าวคำว่า التجسيم นี้ เนื่องจากว่า มีกลุ่มหนึ่งที่เข้าใจความหมายของอัลเลาะฮ์ที่อยู่ในเชิงของอวัยะร่างกาย ที่กลุ่มอัลมุญัสสิมะฮ์ ได้ให้ความหมายและเชื่ออย่างนั้น แม้ว่าตอนจบพวกเขาจะกล่าวว่า อัลเลาะฮ์มีอวัยวะที่ไม่เหมือนกับมัคโลคก็ตาม เผอิญว่า หลักการของพวกอัลมุญัสสิมะฮ์นี้ มันไปคล้ายกับหลักการศรัทธาของวะฮาบีย์ในเรื่องซิฟัต วะฮาบีย์ก็เลยปฏิเสธและโจมตี กับการใช้คำๆ นี้ เพื่อที่จะสลัดการกล่าวว่า الجسم หรือ التجسيم ให้ออกไปจากแนวทางของเขา แล้ววะฮาบีย์ก็กล่าวว่า มันกล่าวถึง الجسم หรือ التجسيم นั้น เป็นการเอ่ยขึ้นมาของนักวิภาษวิทยา(มุตะกัลลิมีน) ทั้งที่ความจริงแล้ว ท่านอิมามอะหฺมัด ก็กล่าวปฏิเสธการ التجسيم หรือการเข้าใจว่า อัลเลาะฮ์ทรงมีอวัยวะ

ท่านอบียะลา กล่าวถึงอากีดะฮ์ของท่านอิมาม อะหฺมัด บิน หัมบัล ว่า

كان الإمام أحمد رحمه الله تعالى يقول : لله تعالى يدان، وهما صفة له ، ليستا بجارحتين وليس بمركبتين ولا جسم ولا من جنس الأجسام .... إلخ

"ท่านอิมามอะหฺมัด ร่อฮิมะหุลเลาะฮ์ กล่าวว่า อัลเลาะฮ์นั้น มี يدان ซึ่งทั้งสองนั้น เป็นซีฟัตของอัลเลาะฮ์ โดยที่ทั้งสองไม่ใช่อวัยวะ ไม่ใช่ถูกประกอบ ไม่ใช่เป็นรูปร่าง جسم ไม่ใช่เป็นชนิดของบรรดาร่างกาย جسم " ดู หนังสือ อัฏเฏาะบะก๊อต อัลหะนาบิละฮ์ เล่ม 2 หน้า 391

และผมขออ้างอิงหลักฐานเสริมอีกหลักฐานหนึ่ง

ท่านอบู อัลฟัฏล์ อัตตะมีมีย์ แกนนำกลุ่มอัลหะนาบิละฮ์ แห่งกรุงแบกแดด กล่าวว่า

وأنكر أحمد على من قال بالجسم ، وقال : إن الأسماء مأخوذة من الشريعة واللغة، وأهل اللغة وضعوا هذا الإسم على ذى طول وعرض وسمك وتركيب وصورة وتأليف، والله سبحانه وتعالى خارج عن ذلك ، ولم يجىء فى الشريعة ذلك

"ท่านอะหฺมัดตำหนิกับผู้ที่กล่าว ด้วยการเป็นร่างกาย(กับซีฟัตของอัลเลาะฮ์) และท่านอะหมัดกล่าวว่า แท้จริง บรรดานามนั้น ถูกเอามาจาก หลักศาสนาและหลักภาษา โดยที่อุลามาอ์ภาษาอาหรับนั้น ได้วางนามนี้(คือ جسم ) บนความหมายของ สิ่งที่มีความยาว กว้าง ลึก ประกอบเป็นส่วน เป็นรูปร่าง ประกอบติดกัน และอัลเลาะฮ์ ซุบหานะฮูวะตะอาลา จากออกจากสิ่งดังกล่าว โดยที่ดังกล่าวไม่มีระบุมาเลยในนามหลักศาสนา" ดู หนังสือ มะนากิบ อิมามอะหฺมัด ของท่านอัลบัยฮะกีย์ ต้นฉบับเดิมเขียนด้วยมือ

บังอะสันครับ แล้วท่านอิมามอะหฺมัดเป็นพวกมะตะกัลลิมีน ที่บิดอะฮ์หรือเปล่าครับ??


อ้างอิงจากบังอะสัน

อะชาอีเราะฮปลายแถวยุคหลัง ยืนอยู่บนสองมาตรฐาน คือ การตีความ(التأويل ) และ การมอบหมาย(التفويض ) หมายถึงมอบหมายความรู้เกี่ยวจุดมุ่งหมายและวิธีการของสิ่งนั้นแก่อัลลอฮ แต่..อะชาอีเราะฮปลายแถวรุ่นหลัง บอกว่า แปลความหมายไม่ได้ เป็นบิดอะฮ นี้คือ อะกีดะฮหนูนาที่มีสองรู

ตอบ

บังอะสันเข้ามาก็พูดแบบอารมณ์ตามอำเพอใจโดยไร้หลักการอีกแล้วครับ ที่มาบอกว่า การมีสองมาตรฐาน คือ การตีความ และ การมอบหมาย นั้น เป็นอากิดะฮ์หนูนาที่มีสองรู และสนทนาที่ผ่านมา บังอะสันก็บอกว่า เป็นมุนาฟิก ทั้งที่ท่าน อิบนะญะรีร อัลฏฏ๊อบรีย์ ก็มีสองมาตรฐาน คือทำการตีความและมอบหมาย และท่านอิบนุกะษีร ก็ทำการตีความมอบหมาย ตามที่เราได้นำเสนอหลักฐานไป เราก็ถามบังอะสันว่า ท่านอิบนุญะรีร มีหลักการมุนาฟิกหรือไม่? ท่านอิบนุกะษีร มีมาตรฐานที่มุนาฟิกหรือไม่? บังอะสันจอมไข่ซื่อ ผมเฉไฉไข่ซื่อไม่ยอมตอบ วันนี้ผมก็อยากจะถามอีกว่า ท่านอิบนุญะรีร และท่านอิบนุกะษีร นั้น เป็นพวกที่มีอากิดะฮ์หนูนาที่สองรูหรือไม่? คำถามว่า มีความบังอะสันตอบไม่ได้ เนื่องจากความมุนาฟิกจริงๆมันอาจจะอยู่ในตัวบังอะสันจอมเฉไฉก็เป็นได้นะครับ

อ้างอิงจากบังอะสัน

อิหม่ามะนะฟีกล่าวว่า
: ولا يقال إن يده قدرته أو نعمته لأنَّ فيه إبطال صفة، وهو قول أهل القدر والاعتزال. [الفقه الأكبر ص302>
และจะไม่ถูกกล่าวว่า แท้จริงพระหัตถ์ของพระองค์คือ พลานุภาพ(กุดรัต) หรือ ความกรุณา(เนียะมัต)ของพระองค์ เพราะว่า แท้จริงในนั้น เป็นการปฏิเสธสิฟัต และมันคือ ทัศนะของพวกเกาะดะรียะอและพวกมุอฺตะซิละฮ - ฟิกฮุลอักบัร หน้า 302
..........

ตอบ

คำกล่าวนี้ บังอะสันชอบยกมา แม้มันจะมีการรายงานมาจาก ผู้ที่กุหะดิษก็ตาม เพราะว่ามันตรงกับอารมณ์ความเข้าใจของบังอะสัน และเป็นที่ทราบดีว่า ตำราที่พาดพิงไปยังท่านอิมามอบูหะนีฟะฮ์นี้ มีผู้รายงานจาก ผู้ที่กุหะดิษ มีนามว่า อบู มะเฏี๊ยะอฺ อัลบัลคีย์

อิมาม อัซฺซะฮะบีย์ ได้กล่าววิจารณ์ อบู มุเฏียะฮฺ อัลบัลคีย์ ไว้ใน หนังสือ มีซฺาน อัลเอี๊ยะติดาน ของท่านว่า " อิมามอะหฺมัด (บิน หัมบัล) กล่าวว่า ไม่สมควร รายงานจากเขาสักสิ่งใดสิ่งหนึ่ง และจากท่านยะหฺยา บิน มะอีน เขากล่าวว่า เขาไม่มีอะไร(ที่น่าเชื่อถือ) " ดู มีซฺาน อัลเอียะอฺตะดาน เล่ม 1 หน้า 574


ท่านหาฟิซ อิบนุหะญัร กล่าวว่า " อบูหาติม อัรรอซีย์ กล่าาว่า เขา (คืออบูมุเฏียะฮฺ อัลบัลคีย์) นั้น เป็นพวกมุรญิอะฮฺ ที่ชอบโกหก " ดู ลิซาน อัลมีซาน เล่ม 2 หน้า 335

ท่าน อิบนุหะญัรกล่าวอีกว่า " ท่านอัซฺซะฮะบีย์ มั่นใจตัดขาดว่า แท้จริง เขา (คืออบูมุเฏียะอฺ อัลบัลคีย์)นั้น ได้กุฮะดิษ ดังนั้นจงไปดู ประวัติ ของ อุษมาน บิน อับดุลลาฮฺ อัลอะมาวีย์ " ดู ลิซาน อัลมีซาน เล่ม 2 หน้า 335

บังอะสันครับ ผมไม่อยากให้บังอะสัน ต้องมีหลักอากิดะฮฺที่ เอามาจากผู้รายงานที่ชอบโกหกและกุฮะดิษครับ

อ้างอิงจากบังอะสัน

ผมก็ไม่ชอบหรอกที่มาโต้กันในเรื่องนี้ แต่ ผมจำเป็นอธิบายและชี้แจง ในประเด็นที่ถูกอะชาอิเราะฮกล่าวหาว่า เป็นพวกวะฮบี และพวกมุญัสสิมะฮ คือ เอียะติกอดว่า อัลลอฮ มีอวัยวะ เหมือนมัคลูค

ตอบ

บังอะสันหลงประเด็นแล้วครับ พวกเราไม่ได้บอกว่า วะฮาบีย์ เอี๊ยะติก๊อต ว่า อัลเลาะฮ์มีอวัยวะ เหมือนมัคโลค แต่พวกเรากล่าวว่า "วะฮาบีย์นั้น ให้ความหมาย แบบมีอวัยวะ (แม้ไม่เหมือนกับมัคโลคก็ตาม) บังอะสันกลับไปทบทวนได้เลย และกลุ่มอัลมุญัสสิมะฮ์นั้น พวกเขาก็เชื่อว่า อัลเลาะฮ์มีอวัยวะโดยที่ไม่เหมือนกับมัคโลคนะครับ ดังนั้น การที่บังอะสันบอกว่า พวกอัลมุญัสสิมะฮ์ เชื่อว่า อัลเลาะฮ์มีอวัยวะเหมือนกับมัคโลคนั้น ถือว่าบังอะสันโกหกใส่พวกอัลมุญัสสิมะฮ์บรรพบุรุษของอะกิดะฮ์ของบังอะสันแล้วนะครับ ดังนั้น ประเด็นที่เราคุยกับอยู่กับวะฮาบีย์นั้น ก็คือ การให้ความหมายซีฟัตของอัลเลาะฮ์ที่คล้ายคลึงกับมัคโลค พวกเราพูดว่า"คล้ายคลึง"เสมอ ไม่ได้พูดว่า "เสมือน" บังอะสันเข้าใจยังครับ กรุณอย่ามึนครับ

อ้างอิงจากบังอะสัน

คือ เพื่อที่จะบอกว่า จุดยืนของเราคือ ยอมรับตามที่อัลกุรอ่านบอกไว้ แต่ เราไม่ตีความ และ ไม่ได้เชื่อว่า มันเหมือนกับมัคลูค หวังว่าคงเข้าใจ

ตอบ

การยอมรับตามที่อัลกุรอานกล่าวไว้นั้น มันไม่ใช่ปัญหาครับบังอะสัน การที่ไม่เชื่อว่าเหมือนกับมัคโลคนั้น อันนี้ก็ไม่ใช่ปัญหาครับบังอะสัน แต่สิ่งที่เรากำลังคุยกันนั้นก็คือ การที่วะฮาบีย์ให้ "ความหมาย" แบบคำตรงที่คล้ายคลึงกับมัคโลคหรือให้ความหมายเหมือนกับมัคโลคตามหลักการของวะฮาบีย์ ซึ่งการให้ความหมายแบบนี้ มันไปรอดพ้นการจากยืนยันความคล้ายคลึงระหว่างอัลเลาะฮ์และมัคโลคหรือไม่??? นี่คือประเด็นครับ
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
อ้างอิงจากบังอะสัน

ท่านอิหม่ามอิบนุอับดิลบิรริ กล่าวว่า
اهل السنة مجمعون على الاقرار بالصفات الواردة كلها في القرآن والسنة ، والايمان بها وحملها على الحقيــــــقة لا على المجاز ، الا انهم لا يكيفون شيئا من ذلك ولا يحدون فيه صفة محصورة واما اهل البدع والجهمية والمعتزلة كلها والخوارج فكلهم ينكرها ولا يحمل شيئا منها على الحقيقة ، ويزعمون ان من اقر بها مشبه ، وهم عند من أثبتها نافون للمعبـــــــــود ، والحق فيما قاله القائلون بما نطق به كتاب الله وسنة رسوله وهم ائمة الجماعة والحمد لله

อะฮลุสสุนนะฮ มีมติเห็นฟ้องกัน ในการ ยอมรับบรรดาคุณลักษณะ(สิฟาต) ทั้งหมดที่ปรากฏในอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ และ ศรัทธามัน และถือมันตามความหมายจริง(หะกีกัต) ไม่ใช่ตามความหมายในเชิงอุปมาอุปมัย........

ตอบ

การสนทนาที่ผ่านมา บังอะสันก็บอกว่า มันมีทั้งคำตรงและอุปมา แต่มาวันนี้ บังอะสันกับยกหลักฐานที่ว่า มันมีเพียงฮะกีกัตเท่านั้น ไม่มีอุปมา นี่ย่อมชี้ให้เห็น บังอะสันเอง ก็ไม่เข้าใจหลักการของวะฮาบีย์ที่ตนเองยึดอยู่ แล้วผมพูดได้หรือเปล่าครับว่า "บังอะสันเฉไฉมุนาฟิก" ฮ่า ฮ่า

คำกล่าวของท่าน อิบนุ อับดิลบัรรฺ ที่ว่า "ถือมันตามความหมายตรง(ฮะกีกัต)..." นั้น ผมไม่ทราบว่า คำว่า "ฮะกีกัต" นี้ มันเป็นความหมายฮะกีกัต ตามพระประสงค์ ณ ที่อัลเลาะฮ์ หรือว่า ฮากีกัต ตามหลักภาษาที่มนุษย์เข้าใจกันตามทัศนะของวะฮาบีย์ แต่ถ้าหากว่าฮากีกัตตามหลักภาษาที่มนุษย์เข้าใจกันนั้น การอิจญฺมาอฺ มติเห็นพร้องนั้น ย่อมไม่ใช่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง! ตามทัศนะของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ เนื่องจากมีอุลามาอ์อีกมายมายที่อะฮ์ลิสซุนนะฮ์ ที่ไม่ได้เข้าใจอย่างนั้น และท่านอิบนุญะรีรเอง ก็ยังตีความ และบางอายะฮ์ ท่านอิบนุญะรีร ก็รายงานทัศนะของอะฮ์ลิสซะนนะฮ์ถึงสองแนวทาง แต่ถ้าหากความหมายของท่านอิบนุญะรีรที่ว่า ฮะกีกัตตามความประสงค์ของอัลเลาะฮ์นั้น ก็พอฟังขึ้นครับ เนื่องจากท่านได้กล่าวตบท้ายว่า

والحق فيما قاله القائلون بما نطق به كتاب الله وسنة رسوله وهم ائمة الجماعة

"ที่สัจจะธรรมนั้น อยู่ในสิ่งที่บรรดาผู้ที่กล่าว ได้กล่าว ในสิ่งที่กิตาบุลเลาะฮ์และซุนนะฮ์ของร่อซูลุลเลาะฮ์ได้พูดไว้ และพวกเขาก็คือบรรดาอิมามของ(อะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัล)ญะมาอะฮ์"

ดังนั้น สิ่งที่อัลเลาะฮ์ทรงตรัสที่เราไม่รู้แน่ชัด แน่นอนว่า สิ่งที่อัลเลาะฮ์ได้ทรงตรัสไว้ในกิตาบุลเลาะฮ์นั้น อัลเลาะฮ์ย่อมทรงรู้ฮะกีกัตของมันแต่เพียงผู้เดียว

وَمَا يَعْلَمُ تَأْوِيلَهُ إِلاَّ اللّهُ

"และรู้การตีความมัน นอกจากอัลเลาะฮ์เท่านั้น"


อ้างอิงจากบังอะสัน

ที่นำเสนอมาข้างต้น เพื่อต้องการถามว่า การอิษบาต(ยอมรับ)ตามที่อัลลอฮและท่านนบีสอนเอาไว้นั้น มันผิดด้วยหรือครับ ท่านaz-hary อะชาอีเราะฮ?

ตอบ

เราไม่ได้พูดประเด็นของการ อิษบาต(ยืนยัน)ตามที่อัลเลาะฮ์อัลเลาะฮ์และท่านนบีได้กล่าวไว้ ซึ่งอันนี้มันไม่ผิดหรอกครับ แต่ที่เป็นประเด็นระหว่างเรานั้นก็คือ การเอาความเข้าใจหรือความหมายที่มนุษย์เข้าใจตามหลักภาษาโดยตรงที่มนุษย์เข้าใจเมื่อเขาได้ยินเป็นอันดับแรก ต่างหากล่ะครับ อย่าหลงประเด็นครับบังอะสัน

อ้างอิงจากบังอะสัน

เราจะไปคิดไปทำไมว่า ทรงได้ยิน ทรงเห็น ด้วยหู ด้วยตา เหมือนมัคลูค มันต่างอะไรละครับคำว่า اليد กับคำว่า السَّمِيعُ البَصِيرُ เราต้องเชื่อตามที่ทรงบอก และลักษณะเป็นอย่างไร เราต้องมอบหมายต่ออัลลอฮ อย่าไปวาดมโนภาพ หรือ จินตนาการ เพราะ คุณลักษณะของพระองค์ มันสูงส่ง เกินที่จะจินตนาการไปถึง

ตอบ

เราไม่ได้พูดถึงเรื่อง "คิดจิตนาการในซีฟัตของอัลเลาะฮ์ครับ" แต่เราพูดถึงการให้ความหมายซีฟัตของอัลเลาะฮ์ต่างหากล่ะครับ โปรดอย่างหลงประเด็นนะครับ ซึ่งถ้าหากว่าบังอะสันจับประเด็นที่เราคุยกันได้แบบไม่เฉไฉไข่ซื่อนั้น บังอะสันก็สมควรจะโวยวายกับเราว่า

"การที่เราได้ให้ความหมายมือของอัลเลาะฮ์ว่าเป็นอวัยวะที่เป็น"ส่วน"หนึ่งของซาตฺตัวตนของอัลเลาะฮ์ แล้วเราจะคิดวาดภาพจินตนาการไปทำไมว่าเหมือนกับมัคโลค" !!!

ดังนั้น คำพูดอย่างนี้ต่างหากที่บังอะสันน่าจะพูดออกมา เนื่องจากมันเป็นหลักการของวะฮาบีย์ ในการให้ความหมายแบบคำตรง ฮะกีกัต ที่มนุษย์ได้ยินเข้ามาในสมองแล้วเข้าใจเลย

คำว่า اليد นั้น มันไม่เหมือนกับ คำว่า السميع นะครับ เพราะว่าซีฟัตการได้ยินนั้น เป็นซีฟัต อัฟอาล (การกระทำ) และซีฟัตมือนั้นเป็นซีฟัตซาต(ตามทัศนะของวะฮาบีย์)

แต่ถ้าหากว่าบังอะสันจะเทียบซีฟัตนั้น ต้องพูดอย่างนี้ " มันแต่ต่างอะไรล่ะครับ กับคำว่า اليد (หู) กับคำว่า الأذن (หู) " ซึ่งทั้งสองก็ให้ความหมายเชิงภาษาแบบอวัยวะ

และคำว่า اليد คำเดียวนั้น แปลว่า มือ "ไม่ใช่มือของอัลเลาะฮ์" แต่คำว่า السميع นั้น หมายถึง "อัลเลาะฮ์ผู้ทรงได้ยิน" ซึ่งให้ความหมายที่ชัดเจน(มัวะหฺกัม)ไปในตัวที่คนทั่วไปไม่คิดไปอื่นเลยครับ ดังนั้นซีฟัต "พระองค์ทรงได้ยิน" นั้น มันเป็นซีฟัตที่ดำรงอยู่ที่ซาตฺของพระองค์ คือเราจะไม่พูดแบบ إضافة (พาดพิง)คือ سمع الله "การได้ยินของอัลเลาะฮ์" ซึ่งแบบนี้ไม่มีกล่าวระบุในรูปแบบของซีฟัตไว้เลยแม้แต่น้อยครับ ฉะนั้น ซีฟัตการได้ยิน السميع จึงไม่ใช่ซีฟัตที่ต้องการไปยังการไปยังการพาดพิง ( صفات إضافية ) เนื่องจากมันเป็นซีฟัตที่อยู่ที่ซาตฺ

ดังนั้น คำว่า اليد นั้น เกือบทั้งหมดต้องพาดพิงไปยัง ถ้อยคำที่ทรงเกรียรติ الله ตามที่อัลกุรอานได้ระบุเอาไว้ เช่นวะฮาบีย์ให้ความหมายว่า "ฉันสร้างด้วยมือของข้า" "ด้วยมือของพระองค์" "ด้วยสองมือของพระองค์" ดังนั้น พอวะฮาบีย์พูดถึงซีฟัต اليد แล้ว วะฮาบีย์จะบอกว่า يد الله "มือของอัลเลาะฮ์" คือประกอบไปด้วย 2 คือ يد (มือ) และ الله ฉะนั้น สิ่งที่เราคุยกันอยู่คือคำว่า يد ครับ ซึ่งวะฮาบีย์จะได้ความหมายแบบคำตรงตามหลักภาษา ที่มนุษย์ได้ยินแล้วเข้าใจเลยเป็นอันดับแรก นั้นก็คือ

"อัลเลาะฮ์ทรงมีอวัยวะที่มีฝ่ามือและนิ้วอันเป็นส่วนหนึ่งของซาตฺของพระองค์แต่ไม่เหมือนกับมัคโลค"

และนี้ก็คือการให้ความหมายซีฟัตของอัลเลาะฮ์ตามหลักการของวะฮาบีย์ หากผิดพลาดวะฮาบีย์โปรดชี้แจงเป็นจุดๆได้เลยนะครับ


อ้างอิงจาก คุณ n-a-d-a

ดังนั้น เราจะอ้างได้อย่างไรว่า มืออัลลอฮฺ เมื่อเราอิษบาตแบบหะกีกะฮิแล้วจะเหมือนกับมือมัคลูก ที่มีรูปร่าง มีแขน มีนิ้ว ตะอาลัลลอฮฺ อัน มา ยาซิฟูน

ตอบ

คุณ "แนะนำ" ให้ทัศนะไว้ว่า "ในเมื่อบรรดาอิมามบอกว่า มือไม่ใช่อวัยวะนั่นก็คือการไม่อิษบาตความหมายหะกีเกาะฮ์ของมันใช่มั้ยครับ เพราะคำว่ามือมันก็คืออวัยวะ เรายืนยันว่า يد เป็นศิฟะฮ์ของอัลลอฮ์ไม่ใช่เป็นอวัยวะ"

ถูกต้องแล้วครับ คุณแนะนำ เรายืนยันว่า يد คือซีฟัตของอัลเลาะฮ์ แต่เราไม่ได้ยืนยัน ว่าเป็นอวัยวะตามฮะกีกัตหลักภาษา บรรดาอุลามาอ์ เขาบอกว่าแค่ يد เป็นซีฟัตหนึ่งของอัลเลาะฮ์ทรงเหมาะสมกับพระองค์ แต่ไม่มีสะลัฟท่านใด บอกว่า มันคือ جوارح อวัยวะ เลยครับ เนื่องจากสะลัฟนั้น ปฏิเสธ อวัยวะ جوارح แต่หลักการของวะฮาบีย์นั้น อิษบาต อวัยวะ เนื่องจาก พวกเขาเชื่อในความหมายฮะกีกัตตามหลักภาษาอาหรับ ที่มนุษย์เข้าใจเลย

การสนทนาเรื่องนี้ที่ผ่านมาโดย บังอัลฟารูก ผมอัลอัซฮะรีย์ และคุณ"แนะนำ" อีกท่านหนึ่ง ผมก็จึงได้ทราบจุดยืนของวะฮาบีย์อย่างมากขึ้น โดยพวกเขาได้ยอมรับเปิดเผยมาเอง ซึ่งผมจะสรุปทัศนะจุดยืนของอุลามาอ์ในเรื่องซีฟัตดังนี้ครับ

1. มอบหมาย ทั้งความหมายและวิธีการ ซึ่งเป็นทัศนะส่วนมากของสะลัฟ และเป็นแนวทางแรกของอัลอะชาอิเราะฮ์ และสมควรที่เอี๊ยะติก๊อตในแนวทางนี้

2. ทำการตีความ ซึ่งเป็นส่วนทางส่วนน้อยที่มีรายงานจากสะลัฟและเป็นแนวทางส่วนมากของคอลัฟ ซึ่งแนวทางนี้อนุญาติให้นำมาเป็นแนวทางในยืนยันในความ บริสุทธิ์ ( التنزيه ) ต่ออัลเลาะฮ์ได้เช่นกัน โดยเหมาะสำหรับผู้ที่มีจิตใจชอบคิดจินตนาอยู่ประจำ ซึ่งตรงนี้คนเราย่อมมีระดับที่ต่างกันในเรื่องจิตใจ และแนวทางนี้ก็เหมาะสมที่จะเป็นแนวทางในการ ป้องกันและตอบโต้กลุ่มผู้ที่ไม่ใช่อิสลามที่เข้ามาสร้างความคลุมเคลือในอากิดะฮ์อิสลามที่เคยปรากฏกันในยุคสมัยที่ผ่านมา และมันก็เป็นแนวทางที่ 2 ของอัลอะชาอิเราะฮ์

3. แนวทางนี้คือแนวทางของวะฮาบีย์ คือไม่รู้วิธีการ แต่ รู้ความหมายที่แท้จริงในซีฟัตอัลเลาะฮ์ โดยอยู่ในรูปแบบของคำตรง (ฮะกีกัต) สอดคล้องตามหลักภาษาตามความหมายที่คนทั่วไปฟังแล้วเข้าใจเลย และแนวทางนี้ ก็เป็นแนวทางที่คล้ายกับ กลุ่มอัลมุญัสสิมะฮ์

แต่วะฮาบีย์ทางคน ก็กล่าวหาพวกเราว่า ทำความเข้าใจกันเอง แล้วมาบอกว่าเรากล่าวหาวะฮาบีย์อย่างโน้นอย่างนี้ ซึ่งคำกล่าวนี้เป็นข้อความของ คนที่ทำการสนทนา โดยมีนิสัยที่เอาใหน และ ทำให้ซุนนะฮ์เสื่อมเสีย (ท่านผู้อ่านทายเองครับว่าเป็นใคร ฮ่า ฮ่า ) ต่อไปนี้ ผมจะอ้างอิงตำราที่วะฮาบีย์ทำการตีพิมพ์เพื่อเผยแพร่อากิดะฮ์ของตน จากหนังสือ ริซาละฮ์ อัตตัดมุรียะฮ์ ซึ่งเป็นของท่านอิบนุตัยมียะฮ์ (ร่อฮิมะฮุลลอฮ์) และเราอยากขอชี้แจงว่า การที่เรายกอ้างอิงตำราของท่านอิบนุตัยมียะฮ์นั้น ไม่ใช่ว่าเราจะต้องการโจมตีท่านอิบนุตัยมียะฮ์ ก็หาไม่ครับ ! เนื่องจากท่านอิบนุตัยมียะฮ์เอง ก็ทำเทในเรื่องวิชาการของศาสนา แต่ท่านก็มีหลักอากิดะฮ์บางประการที่เราต้องระวังและต้องชี้แจง แต่การที่เราอ้างอิงนี้ เพราะวะฮาบีย์ให้การยอมรับและทำการตีพิมพ์เผยแพร่

ชัยคฺ อิบนุตัยมียะฮฺ ร่อฮิมะหุลลอฮ์ กล่าวว่าไว้ในหนังสือ อัตตัดมุรียะฮฺ หน้า 77 - 78 ว่า

(وبيان هذا أن صفاتنا منها ما هى أعيان وأجسام وهى أبعاض لنا ، كالوجه واليد ومنها ما هى معان وأعراض وهى قائمة بنا كالسمع والبصر والكلام والعلم والقدرة . ... ثم إن من المعلوم أن الرب لما وصف نفسه بأنه حىّ عليم قدير ، لم يقل المسلمون : إن ظاهرهذا غير مراد ، لأن مفهوم ذلك فى حقه مثل مفهومه فىحقنا)

ความว่า? การอธิบายสิ่งนี้ คือว่าแท้จริง บรรดาคุณลักษณะของเรานั้น ส่วนหนึ่งจากมัน คือคุณลักษณะที่เป็นตัวตน และรูปร่าง และมันก็คือบรรดาส่วนต่างๆ ของเรานั่นเอง เช่น หน้า และมือ ส่วนหนึ่งจาก(บรรดาคุณลักษณะเหล่านั้น) คือ คุณลักษณะในนามธรรม(ไม่สามารถเห็นด้วยตาได้) และคุณลักษณะที่อาศัยกับสิ่งอื่น โดยมันอยู่ที่เรา เช่นการได้ยิน การเห็น การพูด การรอบรู้ และความสามารถ....จากนั้น ก็เป็นที่ทราบดีกว่า แท้จริง พระเจ้านั้น ขณะที่พระองค์ทรงพรรณนาคุณลักษณะกับพระองค์เอง ด้วยการที่พระองค์นั้น เป็นผู้ทรงเป็น ผู้ทรงรอบรู้ และผู้ทรงสามารถ โดยที่บรรดามุสลิมีนนั้นไม่เคยกล่าวเลยว่า แท้จริง คำแบบผิวเผินนี้ไม่ใช่จุดมุ่งหมาย เพราะว่าความเข้าใจดังกล่าวในสิทธิของอัลเลาะฮฺนั้น ก็เหมือนกับความเข้าใจดังกล่าวในสิทธิของเรา?


ดังกล่าวนี้ เราสังเกตเห็นว่า อิบนุตัยมียะฮฺกล่าวอย่างชัดเจนว่า ข้อบ่งชี้บรรดาคุณลักษณะ ทรงเป็น ทรงรอบรู้ ทรงสามารถ ในสิทธิของอัลเลาะฮฺ (ซุบหานะฮฺ) เหมือนกับความเข้าใจของบรรดาคุณลักษณะ การเป็น การรู้ และความสามารถในสิทธิที่มีอยู่ที่เรา ??!!

และท่านผู้อ่านจะสังเกตุเห็นว่า ท่านอิบนุตัยมียะฮฺ ได้แบ่งบรรดาซีฟัตของอัลเลาะฮฺ ออกเป็น 2 ประเภท คือซีฟัตมะอานีย์(ที่เป็นนามธรรม) เช่นการ ได้ยิน เห็น และซิฟัตอะยาน (รูปธรรมที่เป็นตัวตน) เช่น มือ หน้า


อิบนุตัยมียะฮฺกล่าวต่อ ในหน้าที่ 78 ว่า

( فكذلك لما وصف نفسه بأنه خلق أدم بيديه لم يوجب أن يكون ظاهره غير مراد ، لأن مفهوم ذلك فى حقه كمفهومه فى حقنا ، بل صفة تناسبه)

ความว่า? เช่นเดียวกับสิ่งดังกล่าว ขณะที่อัลเลาะฮฺทรงพรรณนาคุณลักษณะของพระองค์เอง ด้วยการที่พระองค์ทรงสร้างอาดัม ด้วยสองพระหัตของพระองค์ ก็ไม่ทำให้ความหมายผิวเผิน(ภายนอก)ไม่ใช่จุดมุ่งหมาย เพราะความเข้าใจกับสิ่งดังกล่าวในสิทธิของพระองค์นั้น เหมือนกับความเข้าใจกับสิ่งดังกล่าวในสิทธิของเรา แต่พระองค์ทรงมีคุณลักษณะที่เหมาะสมสำหรับพระองค์?

ตรงนี้ เราจะเห็นว่า การเข้าใจซีฟัตของอัลเลาะฮ์นั้น คือความหมายแบบคำตรงฮะกีกัตในเชิงภาษาที่เราเข้าใจกัน และคำว่าฮะกีกัตในภาษาอาหรับนั้น ก็คือคำพูดที่คนทั่วไปเข้าใจได้เลยเป็นอันดับแรกเมื่อมันได้ยินหรือรับรู้เข้ามาในสมอง

ท่านอิบนุตัยมียะฮ์ (ร่อฮิมะหุลเลาะฮ์) กล่าวไว้ใน ร่อซาละฮ์ อัตตัดมุรียะฮ์ หนังสือ ว่า

والكبد والطحال ونحو ذلك هى أعضاء الأكل والشرب فالغنى المنزه عن ألات ذلك بخلاف اليد لإنها للعمل والفعل وهو سبحانه موصوف بالعمل والفعل...

"ตับและม้ามและสิ่งเหมือนกับดังกล่าว คืออวัยวะ(เกี่ยวข้อง)กับการกินการดื่ม ดังนั้น อัลเลาะฮ์ทรงบริสุทธิ์จากบรรดาอวัยวะดังกล่าว ซึ่งแตกต่างกับ(ซีฟัต)มือ เพราะมือนั้น มันสำหรับการทำงานหรือกระทำ โดยที่อัลเลาะฮ์ ซุบหานะฮ์ ฯ มีคุณลักษณะด้วยการทำงานและการกระทำ..." ดู อัตตัดมุรียะฮ์ หน้า 143 ตีพิมพ์ ที่ อะบีกาน

ณ ตรงนี้ ท่านอิบนุตัยมียะฮ์ (ร่อฮิมะหุลเลาะฮ์) ได้ยอมรับว่า มือนั้นก็เป็นอวัยวะ หรือเป็นเครื่องมือของซาตพระองค์ ที่ช่วยในการทำงานสรรสร้าง แบบนี้สะลัฟเคยพูดไว้หรือไม่???

ดังที่ผมได้กล่าวมาแล้ว เราสามารถที่จะสรุปแนวทางของวะฮาบีย์ในการ ให้ความหมายของซีฟัตของอัลเลาะฮ์ เช่น اليد (มือของอัลเลาะฮ์) ดังนี้ครับ

1- ความหมายเป็นที่รู้กัน معلوم المعنى

2- มีความหมายแบบคำตรง حقيقة

3- ตรงในเชิงภาษา وفق اللغة

4- เมื่อได้ยินแล้ว ความหมายแรกที่สมองคนเราเข้าใจ นั่นคือจุดมุ่งหมาย ما يسبق الى الذهن

เราทราบดีว่า

1- กลุ่มอัลมุญัสสิมะฮ์นั้น ให้ความหมายว่า อัลเลาะฮ์ทรงมี มือ ที่เป็นอวัยวะ الجارحة อยู่ที่ซาต โดยไม่เหมือนกับมนุษย์

2- วะฮาบีย์เชื่อว่า อัลเลาะฮ์ทรงมีซีฟัตมือ ที่อยู่ในความหมาของ ผิวเผิญแบบฮะกีกัต

เราจึงแยกไม่ออกระหว่างสองแนวทางนี้ เนื่องจาก หลักการทั้งสองแนวทางนี้ เป็นหลักการเดียว คือมุญัสสิมะฮ์ กล่าวว่า "อัลเลาะฮ์ทรงมีอวัยวะ" และวะฮาบีย์กล่าวว่า มือ นั้นมีความหมายแบบฮะกีกัตในเชิงภาษาที่คนเราเข้าใจกัน ก็คือ "เป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของร่างกาย"

เมื่อเป็นเช่นนี้ ผมอยากจะถามวะฮาบีย์ว่า คำว่า "มือ" ( اليد ) ตามความหมายกะกีกัตที่คนทั่วไปเข้าใจนั้น มันคืออะไร??

แต่สำหรับผมที่ได้ทำการศึกษาความหมายฮะกีกัตตามหลักภาษาของคำว่า "มือ" นั้น มันคือ อวัยวะที่เป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย ที่เป็นฝ่ามือและมีนิ้ว" นั่นคือความหมายแบบฮะกีกัต จะเปลี่ยนไปบอกเป็นอื่นไม่ได้ เนื่องจากถ้าบอกเป็นอื่นไป คือ ไม่เหมือนกับความหมายฮะกีกัตที่มนุษย์เข้าใจ (เช่นกล่าวว่า "แต่" มันไม่เหมือนกับมือของอัลเลาะฮ์นั้น) ก็ย่อมปฏิเสธฮะกีกัตของภาษาอาหรับที่เป็นหลักการของวะฮาบีย์

หรือว่า มือของอัลเลาะฮ์ไม่ใช่ "อวัยวะ" ( الجارحة ) ตามความหมายฮะกีกัตของมนุษย์ ทั้งในที่ขณะเดียวกัน วะฮาบีย์ก็บอกว่ามันมีความหมายและรู้ความหมายได้แบบฮะกีกัตตามหลักภาษาคำตรงที่มนุษย์เข้าใจ เมื่อพิจารณาดูแล้ว มันจึงค้านกันเองในหลักการของวะฮาบีย์ และที่วะฮาบีย์สามารถจะกล่าวได้ก็คือ "อัลเลาะฮ์ทรงมีอวัยวะที่ไม่เหมือนมนุษย์" แน่นอนว่า แบบนี้ไม่ใช่สะลัฟ แต่มันเป็นแนวทางของมุญัสสิมะฮ์

แต่ถ้าวะฮาบีย์บอกว่า "มือของอัลเลาะฮ์" นั้น ไม่ได้เป็น "อวัยวะ" ก็แสดงว่ามันอยู่ในความหมายของ "มะญาซฺ" ไม่ใช่ฮะกีกัต ไม่ใช่อยู่ในความหมายแบบ الظاهر เพราะฮะกีกัตนั้นคือเป็นอวัยวะ และการให้ความหมายแบบมะญาซฺนั้น ย่อมอยู่ในประเภทของการ "ตะวีล" อย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งวะฮาบีย์ให้การคัดค้านอยู่แล้วตามหลักการ

แล้วอะไรคือความหมายของคำว่า اليد ที่เป็นคำตรงฮะกีกัตที่คนทั่วไปรู้กันดีของวะฮาบีย์ครับ?

ขออัลเลาะฮ์ทรงชี้นำแก่เราทุกคนครับ.... ยาร๊อบ
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
อ้างอิงจากบังอะสัน

แต่ตรงกันข้าม อะชาอีเราะฮปลายแถ้ว พยายามปฏิเสธ หะกีกัตคำว่า يد โดยตีความว่า หมายถึงพลังอำนาจ แล้วกล่าวหาว่า คนที่อิษบาตคำว่า "يد " หรือที่แปลว่า "พระหัตถ์" นั้นเป็นพวกมุชับบะฮะฮ มุญัสสิมะฮ

ตอบ

จอมเฉไฉไช่ซื่ออย่างบังอะสันมั่วอีกแล้วครับ เราอัลอะชาอิเราะฮ์ไม่ได้ปฏิเสธซีฟัต يد ที่อัลเลาะฮ์ทรงอิษบาตไว้ แต่เราปฏิเสธ "ความหมายคำว่า يد ที่วะฮาบีย์ที่วะฮาบีย์ได้ให้ความหมายมันเอาไว้ตามหลักการของพวกเขา คือเชื่อในความหมายคำตรงแบบฮะกีกัตตามหลักภาษาอาหรับที่คนฟังแล้วเข้าใจเลย" ซึ่งตรงความหมายแบนี้ที่วะฮาบีย์นำมาเป็นหลักการนี่แหละ คือประเด็น ซึ่งมันก็อยู่ในแนวทางของพวกอัลมุญัสสิมะฮ์บรรพบุรุษอะกิดะฮ์ของวะฮาบีย์ในปัจจุบันครับ ดังนั้น บังอะสันต้องแยกแยะระหว่างคำว่า "อิษบาต يد เป็นซีฟัต กับ อิษบาตความหมายของ يد " ดังนั้น สิ่งที่เราพูดกันอยู่คือ อิษบาตความหมายของซีฟัต يد ครับ โดยที่วะฮาบีย์ดำรงอยู่ในแนวทางของพวกอัลมุญัสสิมะฮ์

สำหรับประเด็นเรื่องตะวีลนั้น เราก็พูดไปพอสมควร ผมไม่ว่าท่านอิบนุญะรีร อัฏฏ๊อบรีย์เป็นพวกปลายแถวหรือเปล่า? ท่านอิบนุกะษีรเป็นพวกปลายแถวหรือเปล่า?

และเป็นที่ทราบกันดีว่า ตอนนี้เรากำลังพูดถึงเรื่องการ "มอบหมาย" ตามทัศนะ ระหว่างอะชาอิเราะฮ์และวะฮาบีย์ คืออะชาอิเราะฮ์มอบหมายทั้งความหมายและวิธีการ แต่วะฮาบีย์รู้ความหมายที่แท้จริงและไม่รู้วิธีการ ซึ่งอันใดจะถูกต้องตามหลักศาสนา

ส่วนประเด็นการยกอ้างเรื่องตะวีลของบังอะสันนั้น มันเป็นการเฉไฉพยายามจะเบี่ยงประเด็นมากกว่า เก่งจริงก็พูดเรื่อง"การมอบหมายให้เสร็จก่อน" หลังจากนั้น ก็พูดถึงเรื่องการตะวีล ให้เป็นประเด็นๆ ไป

อ้างอิงจากบังอะสัน

ความเห็น และเหตุผล ตามพวกมุตะกัลลิมูน อะชะรียะฮ ย่อมไม่มีน้ำหนักที่จะเปลี่ยนคำสอนของอัลลอฮและรอซูลของพระองค์ได้หรอกครับ

ตอบ

โอ้โห..บังอะสันวะฮาบีย์มุญัสสิมะฮ์ กล่าวว่า "อัลอิชาอิเราะฮ์ไม่มีน้ำหนักที่จะเปลี่ยนคำสอนของอัลเลาะฮ์และรอซูล" ฮ่า ฮ่า ฮ่า ใหนล่ะครับ ที่อัลอิชาอิเราะฮ์เปลี่ยนคำสอนของท่านร่อซูล แล้ววะฮาบีย์รู้ได้อย่างไรล่ะว่า อัลเลาะฮ์และร่อซูล ได้มีจุดประสงค์ในการเข้าใจซีฟัต يد ที่อยู่ในความหมายที่ว่า "อวัยวะที่เป็นส่วนหนึ่งของร่าง.." ซึ่งแบบนี้เป็นยัดเยียดความหมายให้ซีฟัตของอัลเลาะฮ์หรือเปล่า? และความหมายอย่างนี้ มันไปตรงกับอายะฮ์ที่ชัดเจนอันใดบ้าง

อ้างอิงจากบังอะสัน

นี่มันน้องบ่าว คาดคะเนไปตามความเห็นของตนเอง เราต้องไม่ลืมว่า มือของมัคลูค ประกอบไปด้วย กระดูก เลือด เนื้อ หนัง และนี้คือ คุณลักษณะมือของมัคลูค ซึ่ง พระหัตถ์ของอัลลอฮย่อมไม่เป็นเช่นนั้น

ตอบ

ผมคาดคะเนตรงใหนครับบังอะสันจอมเฉไฉไข่ซื่อ ผมนำเสนอไปตามหลักการของวะฮาบีย์ ที่ว่า

(มือของอัลเลาะฮ์) ดังนี้ครับ

1- ความหมายเป็นที่รู้กัน معلوم المعنى

2- มีความหมายแบบคำตรง حقيقة

3- ตรงในเชิงภาษา وفق اللغة

4- เมื่อได้ยินแล้ว ความหมายแรกที่สมองคนเราเข้าใจ นั่นคือจุดมุ่งหมาย ما يسبق الى الذهن

หลักการเหล่านี้ ผมนำเสนอผิดจากหลักการของวะฮาบีย์หรือไม่? หากผิดตรงใหน ขอได้โปรดท้วงติง แต่ถ้าหากมันอยู่ตามแนวทางของวะฮาบีย์แล้วนั้น ก็โปรดชี้แจงตามหลักการที่ตนยึดอยู่

แล้วอะไรคือความหมายฮะกีกัตของซีฟัตมือของอัลเลาะฮ์ตามหลักฮะกีกัตตามภาษาที่คนฟังแล้วเข้าใจเลยครับ??? บอกตรงนี้มาก่อนซิครับ กรุณาอย่าเฉไฉไข่ซื่อครับ


อ้างอิงจากบังอะสัน

قال رسول الله صلى الله عليه وسلم " أسألك بكل اسم هو لك سميت به
نفسك

ท่านรซูลุ้ลลอฮ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า " ข้าพระองค์ขอต่อพระองค์ ด้วยทุกพระนาม ซึ่งมันเป็นของพระองค์ พระองค์ทรงตั้งชื่อด้วยมันแก่ พระองค์ท่านเอง...."

ตอบ

หลักฐานนี้ ไม่ได้ไปสนับสนุนแนวทางของวะฮาบีย์ในการเข้าใจความหมายของซีฟัตเลยแม้แต่น้อย

ฮะดิษนี้ ชี้เพียงให้เห็นว่า อัลเลาะฮ์ทรงตั้งชื่อซีฟัตของพระองค์ว่า يد เท่านั้น และเราอัลอิชาอิเราะฮ์ก็ไม่ได้ปฏิเสธเลยแม้แต่น้อยกับการเรียกชื่อว่า يد ตามที่พระองค์ได้ยืนยันเอาไว้

แล้วท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ก็ไม่ได้บอกไว้นี่ครับว่า "อัลเลาะฮ์ทรงตั้งชื่อซีฟัตของพระองค์ที่อยู่ในความหมายแบบคำตรงฮะกีกัตในเชิงภาษาที่มนุษย์เข้าใจกันเลย" แบบที่วะฮาบีย์และกลุ่มอัลมุญัสสิมะฮ์ต้องการ

ดังนั้น บังอะสันก็โปรดเข้าใจว่า ประเด็นที่เราพูดนั้น ไม่ใช่การเรียกซีฟัต يد ที่อัลเลาะฮ์ทรงตั้งชื่อให้กับพระองค์เอง แต่ประเด็นที่เราพูดอยู่นั้นคือ "ความหมายของซีฟัต يد ที่วะฮาบีย์ต้องการต่างหาก" กรุณอย่างหลงประเด็น เพื่อเอาตัวรอดไปวันๆ นะครับ

ขออัลเลาะฮ์ทรงชี้นำเราทุกท่านครับ...ยาร๊อบ


อ้างจากบังอะสัน

คำว่า ไม่ปฏิเสธ สิฟัต يد แต่ปฏิเสธความหมาย يد อะชาอีเราะฮนอกแถว ไม่ยอมรับ ความหมาย يد หะกีกัต

วิจารณ์

อย่าเข้าใจเอาเองครับบังอะสัน ในแนวทางการมอบหมายของอัลอะชาอิเราะฮ์นั้น คือยืนยันในคำว่า يد เป็นซีฟัต แต่ความหมายนั้น เราขอมอบหมาย โดยไม่ไปเจาะจงและไม่ไปเกี่ยวข้อง ดังนั้น เราไม่ได้สนทนากับเรื่องคำว่า يد ที่อัลเลาะฮ์ทรงอิษบาตยืนยันมันเอาไว้ในกิตาบุลเลาะฮ์ เนื่องจากอัลเลาะฮ์ทรงตรัสมาแค่นั้น แต่สิ่งที่เราปฏิเสธความหมายนั้น คือปฏิเสธแบบความหมายของฮะกีกัตที่วะฮาบีย์จะเอาหรือต้องการจะอธิบาย ซึ่งความหมายฮะกีกัตของวะฮาบีย์นั้น คือรู้กันตามในความหมายคำตรงในเชิงภาษาและพูดแล้วคนได้ยินเข้าใจ เมื่อวะฮาบีย์มีหลักการตามนี้ เราจึงอยากที่จะให้วะฮาบีย์บอกเรามาซิว่า ความหมายฮะกีกัตคำตรงในเชิงภาษาและพูดแล้วคนเข้าใจเลยนั้นมีเป็นอย่างไร? เราจะเอาแค่ตรงนี้เท่านั้นเอง แต่วะฮาบีย์ไม่ยอมตอบ ? และไม่ให้ความร่วมมือในการสนทนาเป็นประเด็นๆ

อ้างจากบังอะสัน

แล้วไปเปลียนความหมายใหม่ ว่า ?พลังอำนาจ? หรือ พลานุภาพ? แบบนี้ แหละที่เรียกว่า เปลี่ยนแปลงอัลกุรอ่าน

วิจารณ์

ผมไม่ทราบว่าบังอะสันจะพูดเรื่องตีความหรือว่าเรื่องมอบหมายตามทัศนะของอัลอะชาอิเราะฮ์กันแน่? พอเรื่องมอบหมายไม่เคลียร์ก็ดันไปอ้างเรื่องตีความเพื่อหลีกเลี่ยงประเด็น หากจะพูดเรื่องมอบหมายก็พูดไปทีละเรื่อง หากจะพูดเรื่องการตีความนั้นก็ให้พูดกันทีละเรื่องไป การตีความนั้นไม่ใช่เป็นการเปลี่ยนแปลงอัลกุรอาน เนื่องจากการตีความนั้น มันเกี่ยวข้องกับเรื่องความหมาย ไม่ใช่เกี่ยวข้องกับเรื่องการอิษบาตยืนยันคำ اليد ดังนั้น คำๆนี้ เรายืนยันไว้อย่างนั้น แต่ความหมายที่ออกมานั้น หนทางที่ 1. เราขอมอบหมายความหมายไปยังอัลเลาะฮ์ 2. ตีความหมาย(ไม่ใช่เปลี่ยนแปลงคำ) ให้อยู่ในความหมายที่ภาษาอาหรับที่ فصيح ชัดเจน โดยมีเงื่อนไขกฏเกนฑ์อย่างรัดกุม แล้วมอบความหมายที่ตีความนั้นไปยังอัลเลาะฮ์ ซุบหานะฮ์

ดังนั้น การอิษบาตคำ اليد ที่ระบุไว้ในอัลกุรอานนั้น วะฮาบีย์กับอัลอะชาอิเราะฮ์มีทัศนะตรงกัน แต่แตกต่างกันในด้านความหมาย คืออัลอะชาอิเราะฮ์ไม่ได้เจาะจงโดยมอบหมายกับความหมายของมันไปยังอัลเลาะฮ์ แต่วะฮาบีย์ให้ความหมายแบบฮะกีกัตคำตรงที่คนได้ยินแล้วเข้าใจเลย ซึ่งความหมายแบบฮะกีกัตดังกล่าวนี้ คือการอวัยวะ ซึ่งเราปฏิเสธอย่างนอนแน่แช่แป้งครับ

อ้างจากบังอะสัน

(แล้วอย่างอ้างอิบนุญะรีรนะครับ เพราะท่านไม่ได้บอกว่า ปฏิเสธความหมาย)

วิจารณ์

ท่านอิบนุญะรีรไม่ได้อยู่ตามแนวทางของวะฮาบีย์ครับ เพราะท่านอิบนุญะรีรตีความว่ามันมีควาหมาย "กุดเราะฮ์" อานุภาพ โดยที่ไม่ได้ปฏิเสธคำ اليد และนี่ก็คือแนวทางของอัลอะชาอิเราะฮ์


อ้างจากบังอะสัน

อิหม่ามอะหมัด (ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)กล่าวว่า
وكما صح الخبر عن رسول الله - صلى الله عليه وعلى آله وسلم -؛ أنه قال: "وكلتا يديه يَمِين"، الإيمان
بذلك، فمن لم يؤمن بذلك، ويعلم أنَّ ذلك حق كما قال رسول الله - صلى الله عليه وعلى آله وسلم -؛ فهو مُكَذِّبٌ برسول الله - صلى الله عليه وعلى آله وسلم -".
และดังที่คำบอกเล่าที่เศาะเฮียะ จากท่านรซูลุ้ลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ว่า แท้จริงท่านได้กล่าวว่า " และทั้งสอง คือ สองพระหัตถ์ของพระองค์ข้างขวา " ให้การศรัทธาดังกล่าวนั้น ดังนั้นผู้ใดไม่ศรัทธาต่องดังกล่าว ทั้งที่รู้ว่า ดังกล่าวนั้น เป็นความจริง ดังที่ท่านรซูลลุลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมกล่าว ดังนั้น เขาคือ ผู้กล่าวหาว่าท่านรซูล ศอลฯ นั้นกล่าวเท็จ
طبقات الحنابلة" لأبي يعلى (1/313
..............
อิหม่ามอะหมัดไม่ได้บอกนะครับว่า เราปฏิเสธความหมาย อ๋อ...ใหน..ทำไมไม่นำคำพูดอบูฮาซัน อัลอัชอะรีย์ มาอ้างบ้างว่า ท่านมีอะกีดะฮแบบ อะชาอีเราะฮเช่าป้ายหรือเปล่า

วิจารณ์

บังอะสันบอกว่าท่านอะหฺมัดไม่ได้บอกปฏิเสธความหมาย ทั้งที่ความจริงแล้ว บังอะสันน่าจะพูดว่า "ท่านอิมามอะหฺมัดไม่ได้ให้ควาหมายซิครับ" เนื่องจากคำกล่าวของท่านอิมามอะหฺมัดนี้ ได้ชี้ถึง การอิษบาตคำที่ท่านร่อซูลกล่าวไว้เท่านั้น ไม่มีอะไรนอกเหนือจากนั้น และที่แน่นอนนั้น ท่านอิมามอะหฺมัดปฏิเสธความหมายแบบฮะกีกัตคำตรงในเชิงภาษาที่วะฮาบีย์ยึดอยู่ ซึ่งคำตรงในเชิงภาษานั้น คือ การมีอวัยวะ เนื่องจากท่านอบียะอฺลา ก็ได้กล่าวใหนตำราเล่มเดียวกันที่บังอะสันอ้างอิงมาว่า

ท่านอบียะลา กล่าวถึงอากีดะฮ์ของท่านอิมาม อะหฺมัด บิน หัมบัล ว่า

كان الإمام أحمد رحمه الله تعالى يقول : لله تعالى يدان، وهما صفة له ، ليستا بجارحتين وليس بمركبتين ولا جسم ولا من جنس الأجسام .... إلخ

"ท่านอิมามอะหฺมัด ร่อฮิมะหุลเลาะฮ์ กล่าวว่า อัลเลาะฮ์นั้น มี يدان ซึ่งทั้งสองนั้น เป็นซีฟัตของอัลเลาะฮ์ โดยที่ทั้งสองไม่ใช่อวัยวะ ไม่ใช่ถูกประกอบ ไม่ใช่เป็นรูปร่าง جسم ไม่ใช่เป็นชนิดของบรรดาร่างกาย جسم " ดู หนังสือ อัฏเฏาะบะก๊อต อัลหะนาบิละฮ์ เล่ม 2 หน้า 391

ท่านอบู อัลฟัฏล์ อัตตะมีมีย์ แกนนำกลุ่มอัลหะนาบิละฮ์ แห่งกรุงแบกแดด กล่าวว่า

وأنكر أحمد على من قال بالجسم ، وقال : إن الأسماء مأخوذة من الشريعة واللغة، وأهل اللغة وضعوا هذا الإسم على ذى طول وعرض وسمك وتركيب وصورة وتأليف، والله سبحانه وتعالى خارج عن ذلك ، ولم يجىء فى الشريعة ذلك

"ท่านอะหฺมัดตำหนิกับผู้ที่กล่าว ด้วยการเป็นร่างกาย(กับซีฟัตของอัลเลาะฮ์) และท่านอะหมัดกล่าวว่า แท้จริง บรรดานามนั้น ถูกเอามาจาก หลักศาสนาและหลักภาษา โดยที่อุลามาอ์ภาษาอาหรับนั้น ได้วางนามนี้(คือ جسم ) บนความหมายของ สิ่งที่มีความยาว กว้าง ลึก ประกอบเป็นส่วน เป็นรูปร่าง ประกอบติดกัน และอัลเลาะฮ์ ซุบหานะฮูวะตะอาลา จากออกจากสิ่งดังกล่าว โดยที่ดังกล่าวไม่มีระบุมาเลยในนามหลักศาสนา" ดู หนังสือ มะนากิบ อิมามอะหฺมัด ของท่านอัลบัยฮะกีย์ ต้นฉบับเดิมเขียนด้วยมือ

นี่ไงครับ ที่ท่านอะหฺมัดได้ปฏิเสธความหมายแบบหลักการของวะฮาบีย์
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com

السلام عليكم ورحمة الله وبركاته

ผมเข้ามาดูการสนทนาแล้ว ก็อัลฮัมดุลิลาห์ ที่การสนทนาเป็นไปด้วยดี ความหลักวิชาการที่มีการอ้างอิงหลักฐานและหลักการที่ต่างฝ่ายยึดถือกันอยู่ ขอบคุณที่เวปมาสเตอร์ได้เปิดโอกาสให้ทำการสนทนาในเชิงวิชาการ แบบชัดเจนโดยไม่มีประเด็นอื่นมาแทรก

บังอะสันครับ เราสมควรที่จะทำการสนทนาให้เป็นประเด็นๆ ไปนะครับ อย่าพยายาม تشتيت الكلام คือสนทนาแบบให้ประเด็นแตกออกไปเป็นอื่น เพราะว่ามันจะเป็นการเลี่ยงประเด็น และทำให้การสนทนาไม่ถูกจุดและไม่ตรงเป้าหมายของมัน

เรามาพูดเรื่องการมอบหมายกันก่อน ซึ่งทางวะฮาบีย์บอกว่ามอบหมาอย่างนี้ ทางอัลอะชาอิเราะฮ์ก็บอกว่ามอบหมายอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งอันใดจะถูกต้อง ก็ต้องสนทนากันเป็นประเด็นๆ ไป เมื่อสนทนาเสร็จเรื่องมอบหมายแล้ว ก็เลื่อนไปเรื่องการตีความอีกครั้งหนึ่งเป็นการเฉพาะไปเลย โดยไม่เอาเรื่องการมอบหมายมาเกี่ยวเลย อันนี้เรารับตกลงกันแบบนี้นะครับ

คือเราจะให้ฝ่ายวะฮาบีย์ทำการคัดค้านเรื่องการตะวีล และเราทำการยืนยันว่าการตะวีลอนุญาติและก็ทำการอธิบายหลักการเงื่อนไขของการตะวีลโดยไม่ไปเกี่ยวข้องกับเรื่องการมอบหมายเลย

นี่คือการสนทนาแบบวิชาการ เพื่อไปถึงไปยังสัจจะธรรม โดยไม่เฉไฉเลี่ยงไปทางอื่น นี่คือความใจกว้างของเราในการสนทนาครับ

อ้างอิงจากบังอะสัน

ท่านอัลมะละอุ้ลกอรีย์ ได้กล่าวหลังจากที่ได้ระบุคำพูดของ อิหม่ามมาลิกที่ว่า
الاستواء معلوم والكيف مجهول

อัลอิสติวาอฺนั้น เป็นที่รู้กัน และรูปแบบวิธีการ (الكيف ) ไม่เป็นที่รู้กัน
(โดยกล่าวว่า)
اختاره إمامنا الأعظم ? أي أبو حنيفة ? وكذا كل ما ورد من الآيات والأحاديث المتشابهات من ذكر اليد والعين والوجه ونحوها من الصفات. فمعاني الصفات كلها معلومة وأما كيفيتها فغير معقولة؛
อิหม่ามของเรา หมายถึง อบูหะนีฟะฮ ได้เลือกมัน และในทำนองเดียวกัน ทุกสิ่งที่ มาจาก อายาตอัลกุรอ่านและบรรดาหะดิษมุตะชาบิฮาต ที่เกี่ยวกับการกล่าวถึง คำว่า มือ ตา ใบหน้า และในทำนองนั้น จากบรรดาสิฟาต ดังนั้น ความหมาย บรรดาสิฟาตทั้งหมดนั้น เป็นที่รู้กัน และสำหรับ รูปแบบวิธีการนั้น ไม่เป็นที่เข้าใจกัน

ตอบ

ผมไม่อยากที่จะเลื่อนไปคุยเรื่อง อิสติวาอ์ นะครับ เพราะตอนนี้เราคุยเรื่องมือ ผมคิดว่าบังอะสันคงไม่เลี่ยงประเด็นเป็นอื่นนะครับ คำกล่าวของท่านอิมามมาลิกนี้ ไม่ซอฮิหฺครับ และไม่ได้รับการยืนยันโดยตรงจากท่านอิมามมาลิกโดยมีการยืนยันสายรายงานเลยแม้แต่น้อย เนื่องจากสายรายงานที่ซอฮิหฺถึงท่านอิมามมาลิกนั้น ใช้คำว่า الإستواء غير معقول "อัลอิสติวาอ์ นั้น ไม่สามารถคิดไปถึงได้"

และผมอยากถามบังอะสันเถอะว่า คำว่า " ความหมายบรรดาสิฟาตทั้งหมดนั้นเป็นที่รู้กัน" แล้วรู้กันอย่างไร?ตามทัศนะของวะฮาบีย์ หรือว่าท่านอบูหะนีฟะฮ์เชื่อว่า ความหมายเหล่านั้น มีความหมายที่รู้กัน "ในเชิงภาษาอาหรับแบบฮะกีกัตที่คนฟังแล้วเข้าใจเลย"??? ผมว่าอย่างนี้ไม่ใช่แน่นอนครับ เพราะท่านอลี อัลกอรีย์กล่าวต่อจากนั้นว่า

และท่านอัลมะละอุลกอรีย์ กล่าวไว้ในตอนหนึ่งว่า

فمن نفى حقيقة الاستواء فهو معطل ومن شبَّهه باستواء المخلوقات على المخلوق فهو مشبِّه، ومن قال استواء ليس كمثله شيء فهو الموحِّد المنزه

ดังนั้น ผู้ใดปฏิเสธหะกีกะฮ ของการอิสติวาอฺ เขาคือ ผู้ปฏิเสธสิฟัตอัลลอฮ และผู้ใดเปรียบเทียบการอิสติวาอฺ(ทรงประทับ) ด้วยการอิสติวาอของมัคลูค เขาคือ ผู้ที่เปรียบเทียบอัลลอฮกับมัคลูค และผู้ใดกล่าวว่า " ทรงประทับ(อิสติวาอฺ) ที่ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนพระองค์ เขาคือ ผู้ศรัทธาในเอกภาพของอัลลอฮ ที่บริสุทธิ
مرقاة المفاتيح شرح مشكاة المصابيح ج8 ص251>

จากคำกล่าวตรงนี้ เรายอมรับฮะกีกัตของอิสติวาอ์ตามเป้าหมายและจุดประสงค์ของอัลเลาะฮ์ซึ่งเป็นองค์ผู้ที่กล่าวมัน ไม่ใช่อิษบาตยืนยันแบบ ฮะกีกัตในเชิงภาษาอาหรับที่มนุษย์ฟังแล้วเข้าใจเลยนั้น เราขอปฏิเสธแน่นอนครับ เพราะสิ่งที่มนุษย์เข้าใจเลยนั้น มันเป็นมีความหมายคล้ายกับมัคโลค ซึ่งแบบนี้ มัน "มุชับบิฮะฮ์" นี่ครับ ดังนั้น ผมทำการถาม วะฮาบีย์เสมอว่า "ความหมายคำว่า يد ตามหลักภาษาแบบฮะกีกัตที่มนุษย์ฟังแล้วเข้าใจเลยนั้นมันคืออะไร??? แต่ไม่มีใครยอมตอบหลักการของตนเอง??

และเรากำลังสนทนาอากิดะฮ์ตามหลักการของวะฮาบีย์ครับ ไม่ใช่ตามหลักการของ อบูหะนีฟะฮ์ และท่านอลี อัลกอรีย์ เพราะท่านอลีอัลกอรีย์นั้น คืออุลามาอ์ อะชาอิเราะฮ์

และผมก็ไม่อยากใช้คำการสนทนาแตกประเด็นออกไป (เหมือนกับที่บังอัลฟารูกได้กำชับขอร้องไว้) เรากำลังสนทนาเรื่อง يد الله นะครับ ว่าจะเอากันอย่างไร? ซึ่งหากว่าบังอะสันเฉไฉนั้น ถือว่าอ่อนแอและไร้หลักการครับ

อ้างอิงจากบังอะสัน

อิหม่ามอบูหะนีฟะฮกล่าวว่า
ينبغي لأحد أن ينطق في ذات الله بشيء، بل يصفه بما وصف به نفسه، ولا يقول فيه برأيه شيئاً
تبارك الله تعالى ربّ العالمين.>
ไม่สมควรแก่บุคคลใด พูดเกี่ยวกับซาตของอัลลอฮ ด้วยสิ่งใด แต่..ให้เขาพรรณาคุณลักษณะแก่พระองค์ ด้วยสิ่งที่ทรงพรรณาคุณลักษณะ แก่พระองค์เอง ด้วยมัน มหาจำเริญอัลลอฮ ผู้ทรงสูงส่ง พระผู้อภิบาลแห่งสากลจักรวาล
[شرح العقيدة الطحاوية ج2 ص427 تحقيق د. التركي وجلاء العينين ص368>
.........
เราก็พยายามอธิบายอยู่ตลอดว่า เรากล่าวได้เฉพาะในสิ่งที่ทรงบอกเอาไว้ แต่พวกน้องบ่าวก็พยายาม กล่าวหา จึงอยากถามว่า แล้วท่านอบูฮาซัน มีอะกีดะฮอย่างไร ในสิ่งที่เราคุยกันอยู่นี้

ตอบ

บังอะสันต้องทราบก่อนว่า เรากำลังสนทนาระหว่าง "อัลอะชาอิเราะฮ์กับวะฮาบีย์" ครับ ส่วนบังอะสันจะยกหลักการอะไรมาตามที่บังอะสันจะเอานั้น ก็เรื่องของบังอะสัน แต่เราขอคุยตาม "หลักการที่วะฮาบีย์ยอมรับ" ครับ ไม่ใช่หลักการที่บังอะสันยอมรับเป็นการส่วนตัว ซึ่งหากบังอะสันต้องการจะปกป้องแนวทางวะฮาบีย์นั้น ก็เชิญสนทนาได้ แต่หากว่าจะปกป้องแนวทางของตนเองจะเอานั้น บังอะสันก็รออ่านการสนทนาท่านอื่นๆที่ปกป้องแนวทางของวะฮาบีย์จริงๆ ดีกว่า และคำกล่าวของท่านอบูหะนีฟะฮ์นั้น ได้ถ่ายทอดมาจาก อัลฟิกหุลอักบัร ผมคิดว่าบังอะสันคงรู้ดีมาแล้วนะครับเกี่ยวกับประเด็นนี้ และนั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง และอีกประเด็นหนึ่งก็คือ คำกล่าวของท่านอบูหะนีฟะฮ์นั้น ไม่ได้มาสนับสนุนแนวทางของวะฮาบีย์ ในการให้ความหมายแบบเชิงภาษาอาหรับแบบฮะกีกัตที่คนฟังแล้วเข้าใจเลยนะครับ และการกล่าวว่า ซีฟัตของอัลเลาะฮ์ที่มีความหมายแบบฮะกีกัตที่ตามหลักภาษาอาหรับที่คนฟังเข้าใจเลยนั้น เป็น "ความเห็น" แบบน้ำไม่ปนเนื้อเลยครับ และคำถามที่ในเรื่อง อากิดะฮ์ของ อบูหะซัน อัลอัชอะรีย์นั้น เรื่องมันยาวครับ เนื่องจากวะฮาบีย์เองก็เอามาจากหนังสืออิบานะฮ์ฉบับบิดเบือน แม้กระทั้ง เอาต้นฉบับ ทั้ง 4 ฉบับมาเทียบกัน ก็ไม่เหมือนกันสักฉบับ หากคุยกันเรื่องนี้เป็นการฉบับนั้น มันยาวครับ เอาไว้คุยกันเป็นเรื่องดีกว่านะครับ ถ้าหากว่าผมจะเอาไปคุยในเวป อัศซุนนะฮ์ ของบังอะสันล่ะ จะเอาหรือเปล่า ? บังอะสันคงตอบทันเลยว่า "ลองไปซิ จะลบหมด" ฮ่า ฮ่า คือคนที่มีความรู้น้อยกว่าบังอะสันเนี่ย เข้าไปคุยได้ครับ ฮ่า ฮ่า

อ้างอิงจากบังอะสัน

แต่น้องบ่าวและสหายพยายามยัดเยียดว่า อาบังมีอะกีดะฮที่ผิด แต่พอถามว่า กล้าไหม ที่จะตัดสินคนมีความเชื่ออย่าง อาบังอะสัน ว่า เป็น กาเฟร แต่ถ้าไม่กล้า ทำไมจึงมากล่าวหา ทำไม่จึงไม่ตอบมา เคยถามหลายครั้งแล้ว อีกอย่างหนึ่ง อิบนุตัยมียะฮ เป็นกาเฟร ไหม เพราะพวกคุณและ อาจารย์สายอะชาอีเราะ ที่สอนพวกคุณ ยัดเยียดความชั่วให้ท่านตลอด -

ตอบ

เราสนทนากันไม่ใช่จุดมุ่งหมายจะฮุกุ่มคนโน้นกาเฟร คนนี้กาเฟร แต่จุดมุ่งหมายในการสนทนาเพื่อไปสู่แนวทางที่ถูกต้อง ดังนั้น เราสนทนาไม่ใช่เพื่อชี้ว่าใครกาเฟรหรือไม่ใช่กาเฟร ? แต่เราสนทนาเพื่อเป้าหมายให้ทราบ แนวทางใดถูกต้อง ? ครับ ยังไงบังอะสันก็อย่าทำเป็นเดือดเนื้อร้อนตัวไปเลยนะครับ และอย่างอย่างหนึ่ง ที่สิ่งเราพูดอยู่นั้น ระหว่าง แนวทางอัลอะชาอิเราะฮ์และแนวทางวะฮาบีย์ ไม่ใช่ แนวทางของบังอะสันและอัลอะชาอิเราะฮ์ เข้าใจยังครับบังอะสันครับ ขอย้ำ "ระหว่างอัลอะชาอิเราะฮ์กับวะฮาบีย์" เท่านั้นครับ

ส่วนประเด็นของท่านอิบนุตัยมียะฮ์ (รอฮิมะฮุลลอฮ์) นั้น " ท่านคืออุลามาอ์ท่านหนึ่งที่เหมือนกับอุลามาอ์อิสลามทั่วไป ที่ทำการทุ่มเทในเรื่องของวิชาการในอิสลาม ท่านย่อมมีถูกและมีผิด เป็นเรื่องธรรมดา เพราะท่านนบีเท่านั้นที่ มะอฺซูม และท่านก็เสียชีวิตไปนานแล้ว และเราก็คิดว่า ท่านอิบนุตัยมียะฮ์ต้องไปตอบคำถามกับอัลเลาะฮ์อยู่แล้วครับ(นี่คือสิ่งที่อาจารย์ของเราสอนครับ) " ซึ่งนั่นก็ถือว่าเป็นเรื่องหนึ่ง แต่ประเด็นที่เรายกคำอ้างอิงจากหนังสือของท่านอิบนุตัยมียะฮ์นั้น ไม่ใช่เพื่อโจมตีท่านอิบนุตัยมียะฮ์ แต่ที่เราต้องยกอ้างอิงมานั้น เพราะ "วะฮาบีย์ให้การยอมรับและทำการตีพิมพ์เผยแพร่" ดังนั้น ในเมื่อวะฮาบีย์ให้การยอมรับแล้ว ก็ไม่แปลกที่เราทำการคุยสนทนากันในสิ่งที่วะฮาบียอมรับ

และบังอะสันอย่าเอาอารมณ์มาพูดว่า "สายอะชาอิเราะฮ์ที่สอนพวกผมนั้น ยัดเยียดความชั่วให้ท่านตลอด" อันนี้ถือว่าเป็นคำพูดของคน ไร้สติ และหลอกลวง แล้วบังอะสันรู้ได้อย่างไรล่ะครับ ว่าอาจารย์ที่สอนพวกเราอยู่นี้ได้ยัดเยียดความชั่วให้ท่านอิบนุตัยมียะฮ์ ?? บังอะสันมานั่งเรียนกับเราด้วยหรือ? บังอะสันเคยฟังอาจารย์ที่สอนพวกเราด้วยหรือ?? ดังนั้น หากบังอะสันไม่เคยมานั่งเรียนและฟังบรรดาชัยค์ด๊อกเตอร์ที่สอนเรานั้น บังอะสันก็อย่าพูดโกหกมุสา เอาหินก้อนใหญ่อุดปากซ่ะเถอะครับ หากยังพูดโกหกอย่างนี้ !!! (สอนคนแก่นี่เหนื่อยเหมือนกันครับเพราะบางทีชอบตามอารมณ์)

อ้างอิงจากบังอะสัน

นี้เป็นการกล่าวหาแบบเอาดีเข้าตัว เอาความเสียหายให้คนอื่น เพราะคำว่า อิษบาต หะกีกัต ที่เรากล่าวถึง คือ การยอมรับว่า يد ที่อัลลอฮ และท่านบี กล่าวถึงนั้น มีจริง มีความหมายตรงตามรูปคำที่ปรากฏ

ตอบ

บังอะสันอธิบายหลักการของวะฮาบีย์ให้หมดครับ อย่าแอบซ่อนเร้น เพราะตามหลักการของวะฮาบีย์มีต่อดังนี้ "อัลเลาะฮ์และท่านนบี กล่าวถึงนั้น มีจริง มีความหมายตรงตามรู้คำที่ปรากฏแล้วคนฟังก็เข้าใจเลย" แล้วความหมายคำตรงที่คนเข้าใจนั้น เขาเข้าใจกันอย่างไร??? หรือว่าแปลแบบคำตรงโดยคนไม่เข้าใจความหมาย??? หากบังอะสันพูดว่า "มีคำตรงตามรูปคำที่ปรากฏ" นั้น ย่อมไม่มีปัญหาครับ แต่บังอะสันกล่าวว่า "มีความหมายตรงตามรูปคำที่ปรากฏ" แล้วความหมายคำว่า يد ตามหลักฮะกีกัตคำตรงตามหลักภาษาที่คนเข้าใจเลยนั้น ในปทานุกรมภาษาอาหรับมีความหมายว่าอย่างไรหรือครับ??? หากยกความหมายคำตรง (ฮะกีกัต)มาแล้ว ก็ยกความหมายแบบอ้อมๆ (มาญาซฺ) มาด้วยนะครับ

อ้างอิงจากบังอะสัน

แล้ว เมื่อเรามอบ การพรรณาวิธีการ(الكيف )แก่อัลลอฮ และอัลลอฮทรงบริสุ?ธิ์จากการเสมอเหมือนมัคลูค แล้ว จะมาพูดกันทำไมอีกว่า เป็นอวัยวะ หรือ ไม่ใช่อวัยวะ

ตอบ

ที่พูดสนทนาเรื่อง"อวัยวะ" นั้น เพราะวะฮาบีย์รู้ความหมายดีไม่ใช่หรือครับ? รู้ความหมายแบบฮะกีกัตคำตรง ตามหลักภาษา ที่คนพูดแล้วเข้าใจเลย ดังนั้น บังอะสันลองไปเปิดปทานุกรมหรือ กอมูส หรือ มั๊วะญัม ที่อธิบายความหมาย يد ตามฮะกีกัตคำตรง ที่คนอาหรับเข้าใจกัน ? ดังนั้น คำ يد ตามหลักภาษาอาหรับแบบฮะกีกัตคืออะไรครับ??? วะฮาบีย์ตอบด้วย อย่างเฉไฉไปอื่นครับ

อ้างอิงจากบังอะสัน

ท่านอิหม่ามอะหมัด ยอมรับ คำว่า يدان แล้วคำนี้ แปลว่าอย่างไรละครับ น้องบ่าว
ตอบหน่อย หรือ จะไปตีความว่า พลังยกกำลังสอง ฮะฮา

ตอบ

ใช่ครับ ท่านอะหฺมัดยอมครับ คำว่า يداه และเราอัลอะชาอิเราะฮ์ ก็ยอมรับคำว่า يداه ยอมรับคำว่า بيدى ยอมรับคำว่า بيده ครับ ดังนั้น เรื่อง "คำ" จึงไม่มีปัญหา แต่เรื่องความหมายซิครับ เราไม่ยอมรับเหมือนกับหลักการของวะฮาบีย์ เนื่องจากวะฮาบีย์ได้ให้ความหมายมันแบบคำตรงในเชิงภาษาที่คนฟังแล้วเข้าใจเลย และความหมายในเชิงภาษานั้น คือ "อวัยวะส่วนหนึ่งของร่างกายที่มีฝ่ามือและนิ้ว" ซึ่งความหมายฮะกีกัตนี้ ท่านอะหฺมัดปฏิเสธอย่างแน่นอน เพราะท่านอิมามอะหฺมัด ได้ปฏิเสธการให้ความหมายแบบฮะกีกัตคำตรงตามทัศนะของวะฮาบีย์จะเอาไว้ว่า

และข้อความของน้องอะชาอีเราะฮอัล-ฟารุก ที่อ้างว่า

كان الإمام أحمد رحمه الله تعالى يقول : لله تعالى يدان، وهما صفة له ، ليستا بجارحتين وليس بمركبتين ولا جسم ولا من جنس الأجسام .... إلخ

"ท่านอิมามอะหฺมัด ร่อฮิมะหุลเลาะฮ์ กล่าวว่า อัลเลาะฮ์นั้น มี يدان ซึ่งทั้งสองนั้น เป็นซีฟัตของอัลเลาะฮ์ โดยที่ทั้งสองไม่ใช่อวัยวะ ไม่ใช่ถูกประกอบ ไม่ใช่เป็นรูปร่าง جسم ไม่ใช่เป็นชนิดของบรรดาร่างกาย جسم " ดู หนังสือ อัฏเฏาะบะก๊อต อัลหะนาบิละฮ์ เล่ม 2 หน้า 391

ท่านอบู อัลฟัฏล์ อัตตะมีมีย์ แกนนำกลุ่มอัลหะนาบิละฮ์ แห่งกรุงแบกแดด กล่าวว่า

وأنكر أحمد على من قال بالجسم ، وقال : إن الأسماء مأخوذة من الشريعة واللغة، وأهل اللغة وضعوا هذا الإسم على ذى طول وعرض وسمك وتركيب وصورة وتأليف، والله سبحانه وتعالى خارج عن ذلك ، ولم يجىء فى الشريعة ذلك

"ท่านอะหฺมัดตำหนิกับผู้ที่กล่าว ด้วยการเป็นร่างกาย(กับซีฟัตของอัลเลาะฮ์) และท่านอะหมัดกล่าวว่า แท้จริง บรรดานามนั้น ถูกเอามาจาก หลักศาสนาและหลักภาษา โดยที่อุลามาอ์ภาษาอาหรับนั้น ได้วางนามนี้(คือ جسم ) บนความหมายของ สิ่งที่มีความยาว กว้าง ลึก ประกอบเป็นส่วน เป็นรูปร่าง ประกอบติดกัน และอัลเลาะฮ์ ซุบหานะฮูวะตะอาลา จากออกจากสิ่งดังกล่าว โดยที่ดังกล่าวไม่มีระบุมาเลยในนามหลักศาสนา" ดู หนังสือ มะนากิบ อิมามอะหฺมัด ของท่านอัลบัยฮะกีย์ ต้นฉบับเดิมเขียนด้วยมือ

คำกล่าวของท่านอะหฺมัด มีความชัดเจนแล้วครับ ที่ท่านได้ปฏิเสธความหมายแบบฮะกีกัตที่ภาษาอาหรับเขาใช้และเข้าใจกัน แล้ว อะไรคือความหมายแบบ ฮะกีกัตคำตรงตามหลักภาษาอาหรับที่คนฟังแล้วเข้าใจเลย ตามทัศนะของวะฮาบีย์ครับ??? คำถามผมถามมามากแล้วนะครั

อ้างอิงจากบังอะสัน

ท่านอิหม่ามอะหมัด ยอมรับ คำว่า يدان แล้วคำนี้ แปลว่าอย่างไรละครับ น้องบ่าว
ตอบหน่อย หรือ จะไปตีความว่า พลังยกกำลังสอง ฮะฮา

ตอบ

ประเด็นนี้เป็นเรื่องการแปลครับ และท่านอะหฺมัดก็ปฏิเสธฮะกีกัตในเชิงภาษาตามที่ผมได้ชี้แจงไปแล้ว งั้นผมจะแปลให้วะฮาบีย์ครับ เพราะพวกเราตอบคำถามของวะฮาบีย์อยู่แล้วครับ แต่วะฮาบีย์นะซิครับที่ไม่ยอมตอบคำถามพวกเราเลย แบบนี้บังอะสันเลี่ยงประเด็นและเฉไฉไข่ซื่อนี่ครับ

งั้นผมจะแปลความหมายตามทัศนะและหลักการของวะฮาบีย์ ดังนี้ครับ

يداه คือ "สองอวัยวะที่เป็นส่วนของร่างโดยมีฝ่ามือและนิ้ว"

บังอะสันครับ ผมแปลผิดหลักการของวะฮาบีย์ใหมครับ??? โปรดตอบชี้แจงด้วย???
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
อ้างอิงจากบังอะสัน

แล้วมาส่งเสริมชาวบ้านหมกหมุนอยู่ในบิดอะฮ ที่นี้ลองแปลหะดิษข้างล่างหน่อยซิไอ้โอหัง แปลเป็นไทย ดูซิว่า เองจะเปลี่ยนแปลงหะดิษนบีหรือเปล่า

"يطوي الله عَزَّ وجَلَّ السماوات يوم القيامة، ثم يأخذهن بيده اليمنى، ثم يقول: أنا الملك! أين الجبارون؟أين المتكبرون؟ثم يطوي الأرضين بشماله

حديث أبي هريرة - رضي الله عنه - مرفوعاً: "لما خلق الله آدم، ونفخ فيه من روحه؛ قال بيده وهما مقبوضتان: خذ أيها شئت يا آدم، فقال: اخترت يَمِين ربي، وكلتا يداه يَمِين مباركة، ثم بسطها...".

رواه: ابن أبي عاصم في السنة (206)، وابن حبان (6167)، والحاكم (1/64) وصحَّحَه، وعنه البيهقي في "الأسماء والصفات" (2/56

ตอบ

พอสนทนาลึกเข้าไปเรื่อยๆ เพื่อที่จะตีแผ่ เบื้องหลังอากิดะฮ์สะลัฟของวะฮาบีย์ บังอะสันก็ตะคอกใส่ผมอย่างเสียงดังว่า "ไอ้โอหัง" แล้วบังอะสันก็มาสไตย์เดิมครับ คือยกหลักฐานมาเพื่อที่จะกลบเกลื่อนประเด็นเฉพาะที่เรากำลังคุยกัน แล้วมาให้เราแปลฮะดิษ(ซอฮิหฺหรือเปล่าก็ไม่รู้)เพื่อยืนยันในหลักอากิดะฮ์ของวะฮาบีย์ งั้นผมจะแปลสั้นๆ ที่บังอะสันจะเอานะครับ และผมขอแปลแบบวะฮาบีย์ชอบแปลนะครับ เพื่อท่านผู้อ่านจะได้รับรู้อากิดะฮ์ของวะฮาบีย์ไปด้วยนะครับ

บังอะสันได้ยกตัวบทมา 2 ตัวบท เพื่อที่จะให้เราแปลเรื่องมือของอัลเลาะฮ์

ตัวบทที่ 1 . มีความว่า يطوي الأرضين بشماله "อัลเลาะฮ์จะทรงพับบรรดาแผ่นดิน(ทั้ง 7 ) ด้วยมือซ้ายของพระองค์"

ตัวบทที่ 2 . มีความว่า وكلتا يداه يَمِين "และสองมือของพระองค์นั้น เป็นมือขวา"

สรุปอากิดะฮ์ของวะฮาบีย์ที่บังอะสันนำเสนอมา เกี่ยวกับซีฟัตมือของอัลเลาะฮ์ มีดังนี้ครับ " คืออัลเลาะฮ์ทรงมีมือ 3 ข้าง (ที่ไม่เหมือนกับมัคโลค) หมายถึง มือขวา 2 ข้าง และมือซ้าย 1 ข้างครับ" นี่แหละครับ อากิดะฮ์ของวะฮาบีย์ที่บังอะสันอยากจะให้ผมแปลให้ฟัง เมื่อผมแปลให้ฟังแล้ว ท่านพี่น้องวะฮาบีย์ที่อ่านอยู่ อย่าไปจินตนาการเหมือนมัคโลคนะครับ เพราะมันจะดูแปลกพิกล เพราะมัคโลคเนี่ย หากมีมือขวา 2 ข้าง และมือซ้าย 1 ข้าง เนี่ย มันจะดูพิลึกครับ วะฮาบีย์มักจะกล่าวว่า

" ซีฟัตของมนุษย์ที่สมบูรณ์นั้น อัลเลาะฮ์ทรงสมบูรณ์ยิ่งกว่า และซีฟัตของมนุษย์ที่บกพร่องนั้น อัลเลาะฮ์ทรงบริสุทธิ์จากสิ่งดังกล่าว"

บังอะสันครับ มนุษย์นั้น มี 3 มือ นั้น มันบกพร่องนะครับ แล้วทำไมบังอะสันยังคงยืนยัน มือ 3 ข้างให้กับอัลเลาะฮ์(ซ.บ.)ล่ะครับ !! ซุบหานัลลอฮ์!!! อัลลอฮุอักบัร!!!

อ้างอิงจากบังอะสัน

บังอะสันครับ มนุษย์นั้น มี 3 มือ นั้น มันบกพร่องนะครับ แล้วทำไมบังอะสันยังคงยืนยัน มือ 3 ข้างให้กับอัลเลาะฮ์(ซ.บ.)ล่ะครับ !! ซุบหานัลลอฮ์!!! อัลลอฮุอักบัร!!!
ผู้ส่ง: al-azhary -- sunnahstudent : IP : 82.201.233.
...........
ตอบ
เอ้า..เขาให้แปล ดันมาเฉไฉ เล่นเชือกจนได้ แปลจ้ะ แปล ..ฮิฮิ


ตอบ

บังอะสันได้ยกตัวบทมา 2 ตัวบท เพื่อที่จะให้เราแปลเรื่องมือของอัลเลาะฮ์

ตัวบทที่ 1 . มีความว่า يطوي الأرضين بشماله "อัลเลาะฮ์จะทรงพับบรรดาแผ่นดิน(ทั้ง 7 ) ด้วยมือซ้ายของพระองค์"

ตัวบทที่ 2 . มีความว่า وكلتا يداه يَمِين "และสองมือของพระองค์นั้น เป็นมือขวา"

สรุปอากิดะฮ์ของวะฮาบีย์ที่บังอะสันนำเสนอมา เกี่ยวกับซีฟัตมือของอัลเลาะฮ์ มีดังนี้ครับ " คืออัลเลาะฮ์ทรงมีมือ 3 ข้าง (ที่ไม่เหมือนกับมัคโลค) หมายถึง มือขวา 2 ข้าง และมือซ้าย 1 ข้างครับ" นี่แหละครับ อากิดะฮ์ของวะฮาบีย์ที่บังอะสันอยากจะให้ผมแปลให้ฟัง เมื่อผมแปลให้ฟังแล้ว ท่านพี่น้องวะฮาบีย์ที่อ่านอยู่ อย่าไปจินตนาการเหมือนมัคโลคนะครับ เพราะมันจะดูแปลกพิกล เพราะมัคโลคเนี่ย หากมีมือขวา 2 ข้าง และมือซ้าย 1 ข้าง เนี่ย มันจะดูพิลึกครับ

(เอ้า ! ผมใช้ชื่อบังอะสันหรือเนี่ย มันคงเกิดสปาร์คอะไรบางอย่างน่ะครับ มะอัฟๆ ครับ ฮ่า ฮ่า ฮ่า )

อ้างอิงจากบังอะสัน

อัซฮะรีย์กล่าวว่า

แล้วการตัฟซีร คืออะไรครับบังอะสัน การตัฟซีรคือ "การนำออกมาซึ่งความหมาย" นะครับ อย่าเฉไฉครับบังอะสัน ฮ่า ฮ่า
ผู้ส่ง: al-azhary -- sunnahstudent : IP : 82.201.233.186
...........
ตอบ
โอ้ พระเจ้า...เก่งจังเลย ตัฟสีร มันไม่ใช่แปลครับ แต่เป็นการอรรถาธิบาย ครับ ดูข้างล่าง

تَفْسِير مـــصــــــدر تَأْوِيل
interpretation , construction , exegesis , exposition
تَعْلِيق , شَرْح

التَفْسِيرُ : مصـ.-: الشرح والبيان والتوضيح؛


อ้างอิงจากบังอะสัน

เฮอะ เฮอ..แปลประชดมันเสียเลย แบบนี้ เขาเรียกว่าตัฟสีร แล้วล่ะไอ้บ่าว วะฮบีย์คนใหน แปลแบบนี้ และเข้าใจแบบนี้ล่ะครับ ใจเย็นน่ะ

ตอบ

แล้วการตัฟซีร คืออะไรครับบังอะสัน การตัฟซีรคือ "การนำออกมาซึ่งความหมาย" นะครับ อย่าเฉไฉครับบังอะสัน แนวทางของวะฮาบีย์บอกว่า รู้ความหมาย คือความหมายแบบฮะกีกัตตรงตัว ซึ่งคำว่าตรงตัวนี้ ไม่ใช่แปลแบบคำต่อคำ แต่เป็นการให้ความหมายแบบฮะกีกัตที่ไม่ใช่คำอ้อม(มะญาซฺ) ตามหลักภาษาอาหรับที่มนุษย์เข้าใจกัน แล้วคำว่า"ที่มนุษย์เข้าใจกัน" นั้นล่ะครับ มันเข้าใจอย่างไร???
เมื่อแปลว่า "มือ" นั้น มนุษย์เขาเข้าใจกันอย่างไร? เข้าใจกันในความหมายใหน? หรือจะบอกว่า"มือ"ก็มือ น่ะ แต่ไม่รู้ว่าอย่างไร แบบนี้ก็ไม่เข้าใจตามหลักภาษาน่ะซิครับ และแบบนี้คนก็ไม่เข้าเลยซินะครับ

บังอะสันครับ อธิบายมาให้ชัดครับ ว่า บทสรุปอากิดะฮ์ กับ หลักการ ของวะฮาบีย์นั้น มันจะค้านกันหรือเปล่า?

บังอะสันพูดว่า

บังอะสันได้ยกตัวบทมา 2 ตัวบท เพื่อที่จะให้เราแปลเรื่องมือของอัลเลาะฮ์

ตัวบทที่ 1 . มีความว่า يطوي الأرضين بشماله "อัลเลาะฮ์จะทรงพับบรรดาแผ่นดิน(ทั้ง 7 ) ด้วยมือซ้ายของพระองค์"

ตัวบทที่ 2 . มีความว่า وكلتا يداه يَمِين "และสองมือของพระองค์นั้น เป็นมือขวา"
al-azhary -- sunnahstudent : IP : 82.201.233.186
.........
ตอบ
นี่แหละจ้า เขาเรียกว่า แปลความหมาย
(ขอไปนอนก่อนนะครับ)อินชาอัลลออ ค่อยพบกันใหม่
...........
วัสสลาม


อ้างอิงจากบังอะสัน

โอ้ พระเจ้า...เก่งจังเลย ตัฟสีร มันไม่ใช่แปลครับ แต่เป็นการอรรถาธิบาย ครับ ดูข้างล่าง

تَفْسِير مـــصــــــدر تَأْوِيل
interpretation , construction , exegesis , exposition
تَعْلِيق , شَرْح

التَفْسِيرُ : مصـ.-: الشرح والبيان والتوضيح؛


ตอบ

เอ้า !! แล้วทำไมไม่แปลเป็นไทยล่ะครับ แล้ว الشرح นั้น เขาอธิบายอะไร? البيان นั้น เขาบะยานอะไร และ التوضيح นั้นเขา เตาฏีหฺอะไร ?

شرح المعنى (อธิบายความหมาย) ใช่ใหม?

بيان المعنى (บะยานความหมาย) ใช่ใหม?

توضيح المعنى (แจกจงความหมายใช่)ใหม?

แล้วมันไปขัดกับหลักการของวะฮาบีย์ตรงใหน ในเมื่อวะฮาบีย์ รู้เข้าใจความหมาย ที่มนุษย์เข้าใจ ??? หรือการรู้ความหมายของวะฮาบีย์ คือ "การแปลความหมายเฉย" ?? แล้วแปลตามที่มนุษย์เข้าใจตามหลักภาษาล่ะ มันเป็นอย่างไร ? เพราะแปลแล้วต้องเข้าใจด้วยไม่ใช่หรือ ? ไม่ใช่บอกว่า มือ แต่ไม่รุ้ว่าอย่างไร? อย่างนี้ถือว่าไม่เข้าใจความหมาย ? อธิบายหลักการของวะฮาบีย์ให้ชัดครับบังอะสัน ฮ่า

อ้างจากบังอะสัน

บังอะสันได้ยกตัวบทมา 2 ตัวบท เพื่อที่จะให้เราแปลเรื่องมือของอัลเลาะฮ์

ตัวบทที่ 1 . มีความว่า يطوي الأرضين بشماله "อัลเลาะฮ์จะทรงพับบรรดาแผ่นดิน(ทั้ง 7 ) ด้วยมือซ้ายของพระองค์"

ตัวบทที่ 2 . มีความว่า وكلتا يداه يَمِين "และสองมือของพระองค์นั้น เป็นมือขวา"
al-azhary -- sunnahstudent : IP : 82.201.233.186
.........
ตอบ
นี่แหละจ้า เขาเรียกว่า แปลความหมาย
(ขอไปนอนก่อนนะครับ)อินชาอัลลออ ค่อยพบกันใหม่

ตอบ

แปลโดยอัลเลาะฮ์มีมือสามข้างนี่น่ะหรือครับ ฮ่า แสดงว่า รู้ความหมายของวะฮาบีย์ คือ การ "แปลความหมาย" แล้วคนอาหรับล่ะครับบังอะสัน คำว่า يد นี้ คนอาหรับจะแปลว่าอย่างไรเอ่ย ?? อัลกุรอานลงมาเป็นภาษาอาหรับนะครับ ? เมื่อคนอาหรับได้ยินคำว่า يد แล้วพวกเขารู้ความหมาย แล้วรู้อย่างไรครับกับความหมายคำว่า يد ?? หรือให้อาหรับไปแปลความหมาย يد ให้ไปเป็นภาษาเปอร์เซีย ถึงจะรู้ความหมาย ?

ดังนั้น คนอาหรับเขาจะแปลคำว่า يد ว่าอย่างไร ? และพวกเขา เข้าใจคำว่า يد ในเชิงภาษาที่เข้าใจกันว่าอย่างไร ? นี่คือประเด็นครับ และอัลกุรอานก็ลงมาในภาษาอาหรับนะครับ? อธิบายให้ชัดบังอะสัน เฉไฉไปอื่นนั้นได้ แต่เฉไฉกับเรานั้น คงไม่ง่าย เราต้องจับติดสถานการณ์ครับ ฮ่า ฮ่า

วะอะลัยกุ้มุสลามครับ บังอะสัน...

อ้างจากบังอะสัน

บังอะสันได้ยกตัวบทมา 2 ตัวบท เพื่อที่จะให้เราแปลเรื่องมือของอัลเลาะฮ์

ตัวบทที่ 1 . มีความว่า يطوي الأرضين بشماله "อัลเลาะฮ์จะทรงพับบรรดาแผ่นดิน(ทั้ง 7 ) ด้วยมือซ้ายของพระองค์"

ตัวบทที่ 2 . มีความว่า وكلتا يداه يَمِين "และสองมือของพระองค์นั้น เป็นมือขวา"
al-azhary -- sunnahstudent : IP : 82.201.233.186
.........
ตอบ
นี่แหละจ้า เขาเรียกว่า แปลความหมาย
(ขอไปนอนก่อนนะครับ)อินชาอัลลออ ค่อยพบกันใหม่

ตอบ

แปลโดยอัลเลาะฮ์มีมือสามข้างนี่น่ะหรือครับ ฮ่า แสดงว่า รู้ความหมายของวะฮาบีย์ คือ การ "แปลความหมาย" แล้วคนอาหรับล่ะครับบังอะสัน คำว่า يد นี้ คนอาหรับจะแปลว่าอย่างไรเอ่ย ?? อัลกุรอานลงมาเป็นภาษาอาหรับนะครับ ? เมื่อคนอาหรับได้ยินคำว่า يد แล้วพวกเขารู้ความหมาย แล้วรู้อย่างไรครับกับความหมายคำว่า يد ?? หรือให้อาหรับไปแปลความหมาย يد ให้ไปเป็นภาษาเปอร์เซีย ถึงจะรู้ความหมาย ?

ดังนั้น คนอาหรับเขาจะแปลคำว่า يد ว่าอย่างไร ? และพวกเขา เข้าใจคำว่า يد ในเชิงภาษาที่เข้าใจกันว่าอย่างไร ? นี่คือประเด็นครับ และอัลกุรอานก็ลงมาในภาษาอาหรับนะครับ? อธิบายให้ชัดบังอะสัน เฉไฉไปอื่นนั้นได้ แต่เฉไฉกับเรานั้น คงไม่ง่าย เราต้องจับติดสถานการณ์ครับ

(อ้างข้อความจากอัลอัซฮะรีย์)

วิจารณ์

บังอะสันครับ คำว่า "รู้ความหมาย" นั้น บังอะสันคิดว่ามันคือการแปลความหมายนั้น ผิดอย่างชัดเจน และบังอะสันก็ไม่รู้ถึงหลักการของวะฮาบีย์อย่างแท้จริง และคำถามที่น้องเขาถามบังไป ก็อย่าลืมตอบนะครับ เพราะมันเป็นประเด็นสำคัญ

<<<ดังนั้น คนอาหรับเขาจะแปลคำว่า يد ว่าอย่างไร ? และพวกเขา เข้าใจคำว่า يد ในเชิงภาษาที่เข้าใจกันว่าอย่างไร ? นี่คือประเด็นครับ และอัลกุรอานก็ลงมาในภาษาอาหรับนะครับ? อธิบายให้ชัดบังอะสัน เฉไฉไปอื่นนั้นได้ แต่เฉไฉกับเรานั้น คงไม่ง่าย เราต้องจับติดสถานการณ์ครับ>>>
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
คุณอะสันกล่าวว่า

งั้นผมจะแปลความหมายตามทัศนะและหลักการของวะฮาบีย์ ดังนี้ครับ
يداه คือ "สองอวัยวะที่เป็นส่วนของร่างโดยมีฝ่ามือและนิ้ว"
บังอะสันครับ ผมแปลผิดหลักการของวะฮาบีย์ใหมครับ??? โปรดตอบชี้แจงด้วย???
ผู้ส่ง: al-azhary -- sunnahstudent : IP : 82.201.233.186
...........
ตอบ
เฮอะ เฮอ..แปลประชดมันเสียเลย แบบนี้ เขาเรียกว่าตัฟสีร แล้วล่ะไอ้บ่าว วะฮบีย์คนใหน แปลแบบนี้ และเข้าใจแบบนี้ล่ะครับ ใจเย็นน่ะ

ผมขอกล่าวว่า

คุณอะสันพูดอย่างนี้ ก็แสดงว่า คุณอะสันเข้าใจแนวทางของวะฮาบีย์ว่า พวกเขาไม่ตัฟซีรความหมาย แต่พวกเขาแปลความหมาย สรุปก็คือ คุณอะสันไม่เข้าใจแนวทางของวะฮาบีย์นะครับ ความจริงแล้ว บรรดาซีฟาตของอัลเลาะฮ์นั้น วะฮาบีย์อธิบายและทำการตัฟซีรครับ

ท่านอัลเฟาซฺาน กล่าวว่า

ويعتقدون أن نصوص الأسماء والصفات من المحكم الذى يفهم معناه ويفسر ولست من المتشابه

"พวกเขาเอี๊ยะติก๊อตว่า แท้จริง บรรดาตัวบทที่กล่าวถึงบรรดาพระนามและซีฟาต(ของอัลเลาะฮ์) นั้น เป็นสิ่งที่ชัดเจน ที่สามารถเข้าใจความหมายของมันได้ และสามารถอธิบาย(ตัฟซีร)ได้ และมันไม่ใช่มาจากมุตะชาบิฮะฮ์" อ้างจาก หนังสือ กิตาบ อัตเตาฮีด ของ ชัยค์ ซอและหฺ อัลเฟาซาน หน้า 65

ดังนั้น สิ่งที่น้องอัลอัซฮะรีย์ ได้ทำการแปลไปนั้น ตรงตามหลักการของวะฮาบีย์นะครับ

แล้วคำว่า "มือ" นั้น จะตัฟซีรอธิบาย ตามความหมายฮะกีกัตตามหลักภาษาอาหรับที่มนุษย์เข้าใจกันนั้น มันเป็นอย่างไร ?

อ้างอิงจากบังอะสัน

ข้างต้น เขาเรียกว่า
اثبات المعنى وتفويض الكيفية
"การรับรองความหมายและ มอบหมายวิธีการ"
ดังนั้นจึงไม่ควร สรุปแบบสร้างความชอบธรรมให้แก่ตนเอง แล้วให้ร้ายคนอื่น

ตอบ

ผมอยากถามบังอะสันสักทีเถอะว่า มีสะลัฟท่านใดบ้าง ที่บอกชัดๆว่า "รู้ความหมาย" และทำการ "ตัฟซีรความหมาย" ส่วนข้อสรุปนั้น มันความถูกต้อง และอยู่ในเชิงวิชาการ โดยที่บังอะสันไม่ทำการโต้ตอบและหักล้างหลักฐานเหล่านั้น แล้วตรงใหนหรือครับที่ผมได้ทำการให้ร้ายต่อวะฮาบีย์ ทั้งที่ผมพูดไปตามหลักการของวะฮาบีย์ทั้งสิ้น เมื่อผมนำเสนอไป ผมก็บอกเสมอว่า "หากผิดกับหลักการของวะฮาบีย์แล้ว ได้โปรดชี้แนะ" แต่วะฮาบีย์กลับเงียบ ไม่โต้ตอบ และสิ่งที่ผมนำเสนอไปนั้น ล้วนแต่เป็นหลักการของวะฮาบีย์ทั้งสิ้น แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่า บังอะสันเข้าใจแนวทางของวะฮาบีย์พอหรือยัง? หรือว่า ผมเข้าใจหลักการวะฮาบีย์และศึกษาหลักการของวะฮาบีย์มากกว่า ? อันมนุษย์นั้น ย่อมเป็นศรัตรูกับสิ่งที่ตนเองไม่รู้ และเมื่อผู้อื่นนำเสนอสิ่งที่ตนเองไม่รู้นั้น ก็มักจะถูกกล่าวหาว่า "ให้ร้ายคนอื่น" เพื่อกลบเกลื่อนตัวเองหรือเปล่า??

และอีกประเด็นหนึ่งก็คือ การที่บังอะสันอ้างอิงคำพูดสรุปของบังอัลฟารูกนั้น บังอะสันอ้างอิงโดยไม่ถูกประเด็นเลยแม้แต่น้อย ทั้งที่หลักการจริงๆ ที่บังอัลฟารูกอ้างหลักฐานมานั้น บังอะสันไม่ยอมอ้างอิงและนำมาวิจารณ์ทีละจุด ทีละประเด็น เหมือนอย่างที่พวกเราได้ทำ และประเด็นที่บังอะสันอ้างอิงมา จากคำกล่าวของท่าน อิบนุคุซัยมะฮ์ก็ดี ซึ่งเราได้นำเสนอข้อแก้ต่างไปแล้วเกี่ยวกับท่านอิบนุคุซัยมะฮ์โดยที่บังอะสันก็หักล้างแก้ต่างไม่ได้ และบังอะสันยกอ้างอิงคำพูดของท่านอิมามมาลิก เราก็ทำการชี้แจงไปแล้วทั้งสายรายงานและความหมายของมัน และท่านอิมามอะหฺมัดบอกชัดๆว่า ไม่ระบุความหมาย บังอะสันก็ไม่ยอมนำมาวิจารณ์ ท่านอิมามชาฟิอีย์บอกชัดๆ ว่า สะลัฟไม่รู้ความหมายฮะกีกัตของซีฟาตอัลเลาะฮ์ บังอะสันก็ไม่สนใจมันและไม่นำมันมาวิจารณ์

เมื่อเป็นเช่นนี้นั้น ผมจึงสังเกตุได้ว่า หลักการและระเบียบการสนทนาในเชิงวิชาการ ทีละจุด ทีละประเด็น ทำการหักล้างทีละจุด ทีละประเด็นนั้น จึงไม่มีอยู่ที่บังอะสันเลย

เมื่อเป็นเช่นนี้ บังอะสันจะมากล่าวหาเราได้อย่างไรว่า "เราพวกเราให้ร้ายแนวทางของวะฮาบีย์" !!! ซุบหานัลลอฮ์ !!


ท่านชัยค์ ซอลิหฺ อัลเฟาซาน ได้กล่าวหลักการในเรื่องอากิดะฮ์ของวะฮาบีย์ไว้ในหนังสือ "อัตเตาฮีด" ซึ่งเป็นหลักสูตรระดับซานาวีย์(มัธยม) ปีที่ 1 ซึ่งท่านได้กล่าวไว้ใน หน้าที่ 65 บทย่อยที่ 2 ในหัวข้อเรื่อง

منهج أهل السنة والجماعة فى أسماء الله وصفاته

ซึ่งท่านชัยค์ ซอลิหฺ อัลเฟาซาน อุลามาอ์ท่านอาวุโสของวะฮาบีย์ ได้กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า

ويعتقدون أن نصوص الأسماء والصفات من المحكم الذى يفهم معناه ويفسر ولست من المتشابه

"พวกเขาเอี๊ยะติก๊อตว่า แท้จริง บรรดาตัวบทที่กล่าวถึงบรรดาพระนามและซีฟาต(ของอัลเลาะฮ์) นั้น เป็นสิ่งที่ชัดเจน(มั๊วะกัม) ที่สามารถเข้าใจความหมายของมันได้ และสามารถอธิบาย(ตัฟซีรกับความหมายของมัน) ( يفسر معناه )ได้ และมันไม่ใช่มาจากมุตะชาบิฮะฮ์(ตัวบทที่มีความหมายหลายนัย)" อ้างจาก หนังสือ กิตาบ อัตเตาฮีด ของ ชัยค์ ซอและหฺ อัลเฟาซาน หน้า 65

จากหลักการอากิดะฮ์ของวะฮาบีย์นี้ เราสามารถสรุปได้ว่า วะฮาบีย์ทำการ ยืนยันและรู้ถึงความหมายที่แท้จริงของซีฟาตอัลเลาะฮ์(ซ.บ.) เมื่อพวกเขารู้ความหมายแล้ว ก็ถือว่าสามารถ "ตัฟซีร" อธิบายความหมายของซีฟาตอัลเลาะฮ์(ซ.บ.)ได้อย่างไม่ต้องสงสัย

ดังนั้น การอธิบาย(ตัฟซีร)ความหมายกับบรรดาซีฟาตของอัลเลาะฮ์ตามหลักการของวะฮาบีย์นี้ จึงไม่ใช่แนวทางของสะละฟุศศอลิหฺ ครับ

หลักฐานที่ 1

ท่านอัลบัยฮะกีย์ ได้รายงานถึง ท่าน เกาะตาดะฮ์ ว่า

عن قتادة قوله : ( وما قدروا الله حق قدره والأرض جميعا قبضته يوم القيامة والسموات مطويات بيمينه) لم تفسر

ท่านอัลบัยฮะกีย์ได้กล่าวรายงานว่า " คำตรัสของอัลเลาะฮ์ ซุบหานะฮ์ที่ว่า

( وما قدروا الله حق قدره والأرض جميعا قبضته يوم القيامة والسموات مطويات بيمينه)

ท่านเกาะตาดะฮ์ ไม่เคยทำการ(ตัฟซีร)อธิบายมันเลย" ดู อัลอัสมาอ์ วะ อัสศิฟาต หน้า 312

คือหมายถึงว่า ท่านเกาะตาดะฮ์ ปล่อยว่างเอาไว้ ไม่ได้ทำการแตะต้องกับการอธิบายมันเลย คือผ่านมันไป โดยไม่ได้ให้ความหมายแบบวะฮาบีย์ที่อยู่ในเชิงภาษาแต่อย่างใด?

หลักฐานที่ 2

ท่านอัซซะฮะบีย์กล่าวว่า

والمحفوظ عن مالك رحمه الله رواية الوليد بن مسلم أنه سأله عن أحاديث الصفات فقال : أمرها كما جاءت بلا تفسير

"สายรายงานที่ถูกเก็บบันทึกไว้ จากท่านอิมามมาลิก (ร่อฮิมะฮุลลอฮ์) กับสายรายงานของ อัลวะลีด บิน มุสลิม ว่า แท้จริง เขาได้ถามอิมามมาลิก จากบรรดาหะดิษซีฟาต ดังนั้น ท่านอิมามมาลิกกล่าวว่า "ท่านจะผ่านมันไปเสมือนที่มันได้มีระบุมา โดยไม่อธิบาย(ตัฟซีร)" ดู หนังสือ ซิยัร อะลาม อันนุบะลาอ์ เล่ม 8 หน้า 105

หลักฐานที่ 3

ท่านอัตติมีซีย์ ได้กล่าวไว้ในหนังสือ สุนันของท่านว่า

والمذهب في هذا عند أهل العلم من الائمة مثل سفيان الثوري ومالك بن أنس وابن المبارك وابن عيينة ووكيع وغيرهم أنهم رووا هذه الاشياء ثم قالوا :تروى هذه الاحاديث ونؤمن بها ، ولا يقال كيف ، وهذا الذي اختاره أهل الحديث أن تروى هذه الاشياء كما جاءت ويؤمن بها ولا تفسر ولا تتوهم ولا يقال كيف وهذا أمر أهل العلم الذي اختاروه وذهبوا إليه

"แนวทางในเรื่องนี้ ตามทัศนะของนักวิชาการจากบรรดานักปราชญ์ อย่างเช่น ท่านซุฟยาน อัษเษารีย์ , ท่านมาลิดบินอะนัส , ท่านอิบนุอัลมุบาร๊อก , ท่านอิบนุอุยัยนะฮ์ , ท่านวะเกี๊ยะอฺ , และท่านอื่นๆ ให้ทัศนะว่า พวกเขาเหล่านั้นได้ทำการรายงานบรรดาประการต่างเหล่านี้ หลังจากนั้น พวกเขาก็กล่าวว่า บรรดาหะดิษเหล่าวนี้ได้ถูกรายงาน โดยเราทำการศรัทธาด้วยกับมัน และไม่ถูกกล่าวว่ามันเป็นอย่างไร และนี้ก็คือสิ่งที่นักวิชาการหะดิษได้เลือกเฟ้นมัน โดยการรายงานประการต่างๆเหล่าวนี้ เสมือนกับที่มันได้มีมา และถูกศรัทธาด้วยกับมัน โดยไม่ถูกอธิบาย(ตัฟซีรความหมาย) , ไม่คิดสงสัย และไม่ถูกกล่าวว่าเป็นอย่างไร และนี้คือสิ่งที่นักวิชาการได้เลือกและได้ให้ทัศนะไปยังมัน" ดู สุนัน อัตติรมีซีย์ เล่ม 4 หน้า 692

ตรงนี้ ได้ระบุอย่างชัดเจนว่า มัซฮับสะลัฟ (ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางที่ 1 ของอัลอะชาอิเราะฮ์) นั้น จะไม่ได้ทำการตัฟซีรความหมาย แต่วะฮาบีย์ทำการตัฟซีรครับ เมื่อเป็นเช่นนี้ วะฮาบีย์จึงไม่ได้อยู่ในหลักการของสะลัฟ

หลักฐานที่ 4

ท่านอิบนุ รอญับ ได้กล่าวไว้ในหนังสือ ฟัฏลุ อิลมิ อัสสะลัฟ อะลา อัลคอลัฟ ว่า

والصواب ما عليه السلف الصالح من إمرار آيات الصفات وأحاديثها كما جاءت من غير تفسير لها . . ولا يصح منهم خلاف ذلك البتة خصوصا الإمام أحمد ولا خوض في معانيها

"ที่ถูกต้องคือสิ่งที่ สะละฟุศศอลิห์ได้ดำเนินอยู่ จากการทำการผ่านไปกับบรรดาอายะอ์ซิฟาตและหะดิษซีฟัต เหมือนกับที่มันได้มีระบุมา จากการไม่มีการอธิบาย(ตัฟซีรความหมาย)ให้กับมัน...และย่อมใช้ไม่ได้อย่างเด็ดขาดจากพวกเขา โดยการขัดแย้งกับสิ่งดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านอิมามอะหฺมัด โดยที่ไม่มีการเข้ายุ่งเกี่ยวในบรรดาความหมายของมัน" ดูหน้า 30

จากคำยืนยันของท่าน อิบนุ รอญับ ชี้ให้เห็นว่า ที่ถูกต้องจากแนวทางของสะละฟุศศอลิหฺนั้น จะอ่านผ่านตัวบทมันไป โดยไม่มีการตัฟซีรควาวหมาย และไม่เข้าไปก้าวก่ายกับความหมายเลย และนั่นก็คือ แนวทางของอิมามอะหฺมัด อิบนุ หัมบัล เป็นการเฉพาะ โดยมีความแตกต่างกับวะฮาบีย์ที่รู้ความหมายและอธิบายความหมายกับซีฟาตของอัลเลาะฮ์

หลักฐานที่ 5

ได้กล่าวรายงานถึงท่าน ซุฟยาน บิน อุยัยนะฮ์ ว่า

ما وصف الله تبارك وتعالى بنفسه فى كتابه فقراءته تفسيره ، ليس لأحد أن يفسره بالعربية ولا بالفارسية

"สิ่งที่อัลเลาะฮ์ทรงพรรณาด้วยกับพระองค์เองในคำภีร์ของพระองค์นั้น การอ่าน(ผ่าน)มันก็คือการอธิบายมัน โดยที่ไม่อนุญาติให้คนใดคนหนึ่ง ทำการอธิบายมันด้วยภาษาอาหรับหรือภาษาเปอร์เซีย" ดู อัลอัศมาอ์ วะ อัสศิฟาต หน้า

หลักฐานที่ 6

ท่านอัลบัยฮะกีย์ ได้รายงานถึง ท่านอัลฏอลิกอนีย์ ว่า

سمعت سفيان بن عيينة يقول : كل ما وصف الله تعالى من نفسه فى كتابه فتفسيره تلاوته . والسكوت عليه

"ฉันได้ยิน ท่านซุฟยาน บิน อุยัยนะฮ์ กล่าวว่า ทุกๆสิ่ง(ซีฟัต)ที่อัลเลาะฮ์ทรงพรรณาจากพระองค์เอง ในคำภีร์ของพระองค์นั้น การอธิบายมัน ก็คือการอ่านมันไป และทำการนิ่งเฉยต่อมัน" ดู อัลอัสมาอ์ วะ อัสศิฟาต หน้า 312

จากคำกล่าวของท่าน ซุฟยาน บิน อุยัยนะฮ์นี้ ชี้ให้เห็นว่า การอ่านมันผ่านไป ก็ถือเป็นการตัฟซีรแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเขาจึงไม่อธิบาย(ตัฟซีร)ความหมาย ซึ่งแตกต่างกับวะฮาบีย์ที่รู้ความหมายและอธิบายความหมาย

หลักฐานที่ 7

ท่านอิมามอัตติรมีซีย์กล่าวว่า

نؤمن به كما جاءت من غير أن يفسر أو يتوهم

"เราศรัทธามัน เสมือนกับสิ่งที่ได้ระบุมา โดย "ไม่ถูกตัฟซีร" หรือคิดสงสัย" ดู สุนัน อัตติรมีซีย์ กีตาบ อัตตัฟซีร หะดิษที่ 3045

หลักฐานที่ 8

ท่านอัลวะเกี๊ยะอฺ บิน อัลญัรรอหฺ ได้กล่าวเกี่ยวกับบรรดาหะดิษซีฟาตว่า

كان إسماعيل بن خالد والثورى ومسعر يروون هذه الأحاديت، لا يفسرون منها شيئاً

"ท่านอิสมาอีล บิน คอลิต ท่านอัษเษารีย์ และท่านมิสอัร ได้ทำการรายงานบรรดาหะดิษเหล่านี้ โดยที่พวกเขา " ไม่ได้ทำการตัฟซีร " สิ่งใดเลยจากมัน" ดู หนังสือ อัลอุลูว์ ของท่านอัซซะฮะบีย์ หน้า 150

หลักฐานที่ 9

ท่านอัลบัยฮะกีย์กล่าวว่า

أما المتقدمون من هذه الأمة فإنهم لم يفسروا ما كتبنا من الأيات والأخبار فى هذا الباب

"สำหรับอุลามาอ์สะลัฟยุคก่อนจากประชาชาตินี้นั้น แท้จริง "พวกเขาไม่เคยทำการตัฟซีร" กับสิ่งที่เราได้บันทึกมันจากบรรดาอายะฮ์และบรรดาหะดิษที่เกี่ยวกับเรื่องนี้" ดู หนังสือ อัลอัสมาอฺ วะ อัศศิฟาต หน้า 407

หลักฐานที่ 10

ท่านอบู อุบัยดฺ กล่าวว่า

أنه ما ادراك أحدا يفسرها

"แท้จริง ไม่มีอะไรที่ทำให้ท่านรู้เลยว่ามีคนหนึ่งคนใดที่ทำการตัฟซีรกับมัน" ดู หนังสือ ซัมมฺ อัตตะวีล ของท่าน อิบนุกุดามะฮ์ หน้า 30

หลักฐานที่ 11

สะลัฟที่แท้จริงตามแนวทางของอัลอะชาอิเราะฮ์นั้น พวกเขาจะไม่ทำการจำกัดความหมายของซีฟาตอัลเลาะฮ์ (ซ.บ.) เนื่องจากว่า พวกเขาไม่ทราบถึงเป้าหมายตามทัศนะของอัลเลาะฮ์(ซ.บ.)

لكنهم يعتقدون أن وراءها صفات ومعانى أستأثر الله تعالى بعلم مراده منها ، فأمنوا بها ، لا على مقتضى افهامهم اللغوية أو العقلية لها ، بل على مقتضى مراد الله تعالى منها ، وفى هذا تمام التسليم ، وكمال الانقياد

"แต่พวกเขา(สะลัฟ) เชื่อว่า แท้จิรง เบื้องหลังของมันนั้น มีบรรดซีฟาตและบรรดาความหมายที่อัลเลาะฮ์ทรงรอบรู้จุดมุ่งหมายจากมัน ดังนั้น พวกเขาจึงทำการศรัทธากับมัน โดยไม่ได้อยู่ในนัยยะของความเข้าใจของพวกเขาตามหลักภาษาหรือสติปัญญา แต่ว่า (เข้าใจความหมาย)อยู่บนนัยยะความหมายที่พระองค์ทรงประสงค์ และในการนี้ ก็คือการสมบูรณ์ในการมอบหมายและสมบูรณ์ในการปฏิบัติตาม" ดู หนังสือซัมมฺ อัตตะวีล ของท่านอิบนุ กุดามะฮ์ หน้า 41

หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งอีกว่า การที่สะลัฟทำการมอบหมายกับความหมายนั้น โดยไม่เจาะจงความหมายนั้น เพราะพวกเขาทำให้เกียรติและถือว่าเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่สำหรับเกียรติของความเป็นพระเจ้า จากการที่จะเข้าไปทำการให้ความหมายในเชิงภาษาที่มนุษย์เข้าใจกัน ซึ่งมันย่อมมีความบกพร่อง ถึงแม้เราจะกล่าวว่า "วิธีการไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร" สักพันๆครั้งก็ตาม

หลักฐานที่ 12

ด้วยเหตุเช่นนี้ ท่านอิมามอะหฺมัดจึงกล่าวว่า

هذه الأحاديت نؤمن بها ونصدق ، لا كيف ولا معنى ، ولا نصف الله تعالى بأكثر مما وصف به نفسه

"บรรดาหะดิษเหล่านี้ เราได้ศรัทธานั้น และเชื่อ โดยที่ไม่มีวิธีการว่าเป็นอย่างไร และไม่มีความหมาย(ที่เฉพาะ) และเราไม่พรรณากับคุณลักษณะของอัลเลาะฮ์ ให้มากกว่าสิ่งที่พระองค์ทรงพรรณาไว้กับพระองค์เอง" ดู หนังสือ ลุมอะฮ์ อัลเอี๊ยะติก๊อต ของท่าน อิบนุ กุดามะฮ์ หน้า 3

สายรายงานนี้ ยืนยันอย่างชัดเจนเลยว่า ท่านอิมามอะหฺมัด ไม่รู้ความหมายที่เจาะจงเลยเกี่ยวกับซีฟาตของอัลเลาะฮ์


หลักฐานที่ 13

أمروها كما جاءت ،وردوا علمها إلى قائلها ومعناها إلى المتكلم بها

"พวกท่านจงอ่านผ่านมันไปเสมือนที่มันได้มีระบุมา และจงกลับคือการรู้มัน(บรรดาซีฟาต)ไปยังผู้ที่กล่าวมัน และ(จงกลับคืน)กับ ความหมายของมัน ไปยังผู้ที่พูดด้วยกันมัน" ดู หนังสือ ซัมมุ อัลตะวีล ของท่านอิบนุกุดามะฮ์ หน้า 25

ตรงนี้ก็ชัดเจนครับว่า ความหมายบรรดาซิฟาตนั้น มอบหมายไปยังผู้ที่กล่าวมัน คือ อัลเลาะฮ์ และรอซูลของพระองค์

หลักฐานที่ 14

ท่านอิบนุกุดามะฮ์ ได้กล่าวว่า

علموا أن المتكلم به صادق لا شك فى صدقه فصدقوه ، ولم يعلموا حقيقة معناها فسكتوا عما لم يعلموه

"พวกเขา(สะลัฟ)รู้ว่า แท้จริง ผู้ที่พูดกับมันนั้น เป็นผู้สัจจริง โดยไม่ต้องสงสัยในความสัจจริงของเขา ดังนั้น พวกเขาจึงยอมรับกับมัน โดยที่พวกเขาไม่รู้กับ"ฮะกีกัตความหมายของมัน" ดังนั้น พวกเขาจึงนิ่งจากสิ่งที่พวกเขาไม่รู้" ดู หนังสือ ซัมมฺ อัตตะวีล หน้า 25

ณ ตรงนี้ อิมามอัชชาฟิอีย์ ที่เป็นสะลัฟ ก็บอกอย่างชัดเจนโดยไม่ตรงตีความเลยว่า "พวกเขา(สะลัฟ)ไม่รู้กับ"ฮะกีกัตความหมายของมัน"

หลักฐานที่ 15

اتفق الفقهاء كلهم من المشرق إلى المغرب على الإيمان بالقرآن والأحاديث التي جاء بها الثقات عن رسول الله صلى الله عليه وسلم في صفة الرب عز وجل من غير تفسير ولا وصف ولا تشبيه، فمن فسر شيئاً من ذلك فقد خرج عما كان عليه النبي صلى الله عليه وسلم وفارق الجماعة، فإنهم لم ينفوا ولم يفسروا، ولكن آمنوا بما في الكتاب والسنة ثم سكتوا، فمن قال بقول جهم- يعني في نفي الصفات وإخراجها عن ظاهر معناها- فقد فارق الجماعة؛ لأنه وصفه بصفة (لا شيء).

ท่านมุหัมมัด บิน อัลหะซัน กล่าวว่า "บรรดาฟุเกาะฮาอฺ ทั้งหมดจากตะวันออกถึงตะวันตก เห็นฟ้องกันว่า ให้ศรัทธาต่ออัลกุรอ่านและบรรดาหะดิษที่เชื่อถือได้ ซึ่งรายงานมาจากท่านรซูลุ้ลลอฮ ศอลฯ ใน สิฟัตของพระเจ้า ผู้ทรงอำนาจ ผู้ทรงสูงส่ง โดยไม่มีการอธิบาย ไม่มีการพรรณาคุณลักษณะ และ ไม่มีการเปรียบเทียบ ดังนั้นผู้ใดตัฟสีร สิ่งใดจากนั้น(สิฟัตอัลลอฮ) แน่นอน เขาได้ออกจากสิ่งที่ท่านนบี ศอลฯ ยืนหยัดอยู่ และเขาแปลกแยกจากอัลญะมาอะฮ แท้จริงพวกเขา(อัลญะมาอะฮ) พวกเขาไม่ปฏิเสธ และไม่อธิบาย(ตัฟสีร)....." ดู หนังสือ ซัมมฺ อัตตะวีล หน้า 6 ของท่าน อิบนุ กุดามะฮ์

คำกล่าวของท่านอิบนุกุดามะฮ์ นี้ ได้ยืนยันว่า บรรดานักปราชน์ฟิกห์ทั้งหมด จากทั่วทิศตะวันตกและตะวันออกนั้น ไม่ทำ "การตัฟซีร"ความหมาย เนื่องจากการตัฟซีรความหมายนั้น เป็นการออกจากแนวทางของท่านนบี(ซ.ล.) และแปลกแยกออกจากญะมาอะฮ์ ดังนั้น วะฮาบีย์จึงดำเนินอยู่ในแนวทางที่ออกจากแนวทางของท่านนบี(ซ.ล.) และแปลกแยกออกจากญะมาอะฮ์ !!!

แล้ว พวกเรานักศึกษาให้ร้ายวะฮาบีย์ตรงใหนครับ???
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มี.ค. 19, 2012, 02:56 PM โดย al-azhary »
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
อ้างอิงจากบังอะสัน

ที่อิหม่ามชาฟิอีกล่าวคำว่า

فمن قال بقول جهم- يعني في نفي الصفات وإخراجها عن ظاهر معناها- فقد فارق الجماعة؛ لأنه وصفه بصفة (لا شيء).

ดังนั้นผู้ใด กล่าว ด้วยคำพูด(ทัศนะ)ของพวกญะมียะฮ(กลุ่มหนึ่งจากพวกมุอฺตะซิละฮ) หมายถึง ปฏิเสธบรรดาสิฟาต และพวกเขาอธิบายมันและพามันออกมาให้ผิดไปจากความหมายที่ปรากฏ แน่นอน เขาแปลกแยกจากอัลญะมาอะฮ เพราะว่า เขาพรรณาคุณลักษณะให้แก่พระองค์ ด้วยสิฟัตที่ไม่มีสิ่งใด(ไม่ใช่สิฟัตของอัลลอฮ)

ตอบ

บังอะสันโกหก ใส่อิมามอัชชาฟิอีย์ ครับ บังอะสันโกหกใส่อิมามอัชชาฟิอีย์ เหมือนกับที่กลุ่มอัลมุญัสสิมะฮ์ในอดีตโกหกใส่อิมามอัชชาฟิอีย์

บังอะสันสังเกตุให้ดีนะครับว่า ตำราที่บังอะสันอ้างอิงมานั้น ซึ่งประโยคดังกล่าวนี้ "ไม่ใช่คำเป็นพูดของอิมามอัชชาฟิอีย์ " เลยแม้แต่น้อย ดังนั้น บังอะสันโปรดไปเตาบัตกลับตัวใหม่ที่โกหกใส่อิมามอัชชาฟิอีย์ แล้วเราก็จะทำการสนทนากันต่อไปครับ อินชาอัลเลาะฮ์

อ้างอิงจากบังอะสัน

แล้ว การตีความเปลี่ยนไปจากความหมายเดิม โดยการปฏิเสธความเดิมที่ปรากฏนั้น แบบนี้ย่อมไม่ใช่แนวทางสลัฟ แต่เป็นแนวทาง อะชาอีเราะฮ
ข้างต้น ขัดกับแนวทางของอะชาอีเราะฮอย่างสิ้นเชิง เพราะอะชาอีเราะฮ จะตีความ(ตะวีล)ให้สอดคล้องกับปัญญาตามแนวทางของมุตะกัลลิมีน

ตอบ

ผมได้บอกไปแล้ว แนวทางของอัลอะชาอิเราะฮ์นั้น มีอยู่สองแนวทางที่เลื่องลือ คือ 1 มอบหมายแบบสะลัฟ ไม่ใช่แบบพวกอัลมุญัสสิมะฮ์ 2.ทำการตีความ ซึ่งเป็นแนวทางส่วนมากของคอลัฟ

ท่านอิมาม อัลฟาฟิซฺ ตะญุดดีน อัศศุบกีย์ กล่าวว่า

للأشاعرة قولان مشهوران في إثبات الصفات، هل تمر على ظاهرها مع اعتقاد التنزيه أو تؤول؟ والقول بالإمرار مع اعتقاد التنزيه هو المعزو إلى السلف، وهو اختيار الإمام في الرسالة النظامية، وفي مواضع من كلامه فرجوعه معناه الرجوع عن التأويل إلى التفويض، ولا إنكار في هذا، ولا في مقابله، فإنها مسألة اجتهادية، أعني مسألة التأويل أو التفويض مع اعتقاد التنزيه، إنما المصيبة الكبرى والداهية الدهياء الإمرار على الظاهر، والاعتقاد أنه المراد، وأنه لا يستحيل على الباري، فذلك قول المجسمة عُبَّاد الوثن، الذين في قلوبهم زيغ يحملهم على اتباع المتشابه ابتغاء الفتنة، عليهم لعائن الله تَتْرى واحدة بعد أخرى، ما أجرأهم على الكذب وأقلَّ فهمهم للحقائق.اهـ

" ให้กับ(แนวทาง)อัลอะชาอิเราะฮ์นั้น มีอยู่สองทัศนะที่เลื่องลือ เกี่ยวกับการยืนยันเรื่องซิฟาต , คือผ่านมันไปกับความหมายผิวเผิญของมัน พร้อมกับยึดมั่นกับความบริสุทธิ์(จากการไปคล้ายเหมือนกับมัคโลค) หรือว่าให้ทำการตีความ(ตะวีล)? และทัศนะคำกล่าว ด้วยการผ่านมันไป พร้อมกับการยึดมั่นกับความบริสุทธิ์นั้น ก็คืออ้างไปยังทัศนะของสะลัฟ และมันก็คือทัศนะที่อิมาม(อัลญุวัยนีย์) ได้ทำการเลือกเฟ้นไว้ในหนังสือ อัรริซาละฮ์ อันนิซฺอมียะฮ์ และในสถานที่ต่างๆ ที่มาจากคำกล่าวของเขา(ท่านอิมามอัลญุวัยนีย์) ดังนั้น การที่ท่านได้ยกเลิกจากการให้ความหมายมัน คือการที่ท่านอิมามได้ยกเลิกจากการตีความโดยกลับไปสู่การมอบหมาย โดยที่ไม่มีการตำหนิใดๆ ในสิ่งดังกล่าวนี้(คือการมอบหมาย) และไม่มีการตำหนิกับสิ่งที่ตรงข้ามกับมัน(คือการตีความ) ฉะนั้น บรรดาคำพูดของท่านอิมามอัลญุวัยนีย์ ก็อยู่ในประเด็นของการวินิจฉัย ฉันหมายถึง ประเด็นของการตีความและมอบหมายพร้อมกับยึดมั่นในความบริสุทธิ์ แต่แท้จริง ความวิบัติอันยิ่งใหญ่และการหลอกลวงที่มีเลห์เหลี่ยม ก็คือการผ่านมันไปบนความหมายแบบผิวเผิญโดยยึดมั่นว่าแท้จริงความหมายแบบผิวเผิญนั้นคือจุดมุ่งหมาย และไม่ถือว่า(ความหมายแบบผิวเผิญ)เป็นสิ่งที่มุสติฮีลต่ออัลเลาะฮ์ ดังนั้น สิ่งดังกล่าวนี้ คือ คำกล่าวของกลุ่ม อัลมุญัสสิมะฮ์ ผู้อิบาดะฮ์กับรูปเจว็ด ที่บรรดาหัวใจของพวกเขานั้น มีความเบี่ยงเบนที่ทำให้พวกเขาอยู่บนการตามความเคลือบแครง เพื่อแสวงหาความฟิตนะฮ์ บรรดาอเปหิของอัลเลาะฮ์ ได้ประสบแก่พวกเขาอย่างต่อเนื่องครั้งแล้วครั้งเล่า และมันเป็นความอาจหาญต่อความโกหกและขาดความเข้าใจกับบรรดาข้อเท็จจริงของพวกเขาเสียกระไรนี่!" ดู หนังสือ เฏาะบะก๊อต อัชชาฟิอียะฮ์ อัลก๊อบรอ เล่มที่ 5 หน้า 191

เราบอกอย่างนี้ชัดเจนครับ แนวทางสะลัฟ เราก็บอกว่าแนวทางของสะลัฟ การตีความเป็นแนวทางส่วนมากของคอลัฟ เราก็บอกว่าเป็นแนวทางของคอลัฟ ซึ่งเรานั้น ได้บอกอย่างชัดเจนตรงไปตรงมาไม่โกหกหลอกลวง ดังนั้น แนวทางสะลัฟก็คือแนวทางสะลัฟ แนวทางคอลัฟก็คือแนวทางของคะลัฟ ฉะนั้น เราอัลอะชาอิเราะฮ์ไม่ได้พวกมีเหลี่ยมเหมือนบางกลุ่มในปัจจุบันครับ ที่แอบอ้างอากิดะฮ์ของตนเอง เป็นสะลัฟ หรืออ้างตนเองว่าเป็นสะละฟีย์ ทั้งที่ความจริงแล้วสะลัฟไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขาเลยแม้แต่น้อย

ดังนั้น การที่บังอะสันบอกว่า อัลอะชาอิเราะฮ์ตีความเพียงอย่างเดียวนั้น ถือว่าบังอะสันโกหกมุสาต่อแนวทางของอัลอะชาอิเราะฮ์ครับ และการที่อัลอะชาอิเราะฮ์ทำการตีความนั้น ไม่ใช่เพียงเพื่อให้สอดคล้องกับสติปัญญาเป็นหลัก แต่ที่สำคัญอย่างยิ่งยวดก็คือ เพื่อให้สอดคล้องกับ อายะฮ์มัวะหฺกัมมาต ที่มีความชัดเจน คือ "อัลเลาะฮ์ไม่ทรงคล้ายเหมือนกับสิ่งใด" เป็นต้น

และสิ่งที่บังอะสันพูดมานี้ ผมพอทราบว่า บังอะสันพยายามจะเลี่ยงประเด็นสนทนาการมอบหมายแบบสะลัฟ ไปสู่ประเด็นการตีความ แต่ผมขอบอกว่า ยังครับบังอะสัน เรายังพูดเรื่องการมอบหมายแบบสะลัฟอยู่ครับ อย่าพยายามเฉไฉไข่ซื่อนะครับ พวกเราคงไม่หลงกลบังอะสันง่ายๆ หรอกครับ

ดังนั้น เราก็คุยเรื่องเดิมกันต่อไปนะครับ


ประเด็นการแอบอ้างคำกล่าวของท่าน อัลคอฏีบ อัลบุฆดาดีย์ ของวะฮาบีย์นั้น เพื่อนำมาสนับสนุนแนวทางของวะฮาบีย์นั้น ผมขออธิบายเพิ่มเติมดังนี้ครับ

ท่าน อัลคอฏีบ อัลบุฆดาดีย์ นี้ เป็นอุลามาอ์มัซฮับอัลอะชาอิเราะฮ์ หลังจากที่ท่านเคยอยู่ในแนวทางเอี๊ยะติก๊อตของพวกอัลหะนาบิละฮ์ และท่านอัลคอฏีบ อัลบุฆดาดีย์ ก็คือผู้หนึ่งจากบรรดาอุลามาอ์ ที่เลิกจากอะกีดะฮ์พวกอัลหะนาบิละฮ์ อัลมุญัสสิมะฮ์

ท่าน อัซซะฮะบีย์ กล่าวว่า

عن الحافظ الكتانى قال عن الخطيب : وكان يذهب إلى مذهب أبى الحسن الأشعرى

"จากท่าน อัลหาฟิซฺ อัลกิตตานีย์ ได้กล่าว(เกี่ยวกับ) ท่านอัลคอฏีบว่า "เขานั้น ดำเนินอยู่ในมัซฮับของท่าน อบี อัลหะซัน อัลอัชอะรีย์" ดู ซิยัร อะลาม อันนุบะลาอ์ เล่ม 18 หน้า 277

ท่าน อิมาม อัลหาฟิซฺ อัศศุบกีย์ กล่าวว่า

قال المؤتمن الساجى : تحاملت الحنابلة عليه . قلت : وابتلى منهم بوضع أكاذيب عليه لا ينبغى شرحها

"ท่าน อัลมุอฺตะมิน อัลซาญีย์ กล่าวว่า พวกอัลหะนาบิละฮ์(แนวทางที่วะฮาบีย์รับสืบทอดมา) ได้พยายามกำหนดกับท่านอัลคอฏีบ(ให้อยู่ฝ่ายตน) ฉัน(ท่านซุบกีย์)ขอกล่าวว่า ท่านอัลคอฏีบได้ถูกบะลอทดสอบจากพวกเขา(คือพวกอัลหะนาบิละฮ์ในอดีตและกลุ่มวะฮาบีย์ปัจจุบันที่รับสืบทอดมา) ด้วยการกุเท็จกับบรรดาสิ่งโกหกต่อท่านอัลคอฏีบ ที่ไม่สมควรที่จะอธิบายมันเลย" ดู หนังสือ เฏาะบะก๊อต อัชชาฟิอียะฮ์ อัลก๊อบรอ เล่มที่ 4 หน้า 34

ยิ่งไปกว่านั้น ท่านอัลคอฏีบ อัลบุฆดาดีย์ กล่าวยืนยันแนวทางของท่านเอง และมันก็เป็นแนวทางของอัลอะชาอิเราะฮ์ ไว้ว่า

والثانية : لا تثبت الصفة لله بقول صحابى أو تابعى إلا بما صح من الاحاديت النبوية المرفوعة المتفق على توثيق رواتها ، فلا يحتج بالضعيف ولا بالمختلف فى توثيق رواته حتى لو ورد إسناد فيه مختلف فيه وجاء حديث أخر يعضده فلا يحتج به

" ประการที่สอง ซีฟาตของอัลเลาะฮ์นั้น จะไม่ถูกยืนยันด้วยคำกล่าวของซอฮาบะฮ์ หรือ ตาบิอีน นอกจาก ด้วยสิ่งที่ซอฮิหฺ จากบรรดาหะดิษของท่านนบีที่ยกกล่าวพาดพิงไปถึงท่าน อีกทั้งต้องเป็นหะดิษที่มีความเห็นพร้องกันกับการยืนยันความเชื่อถือได้ของบรรดานักรายงานฮะดิษเหล่านั้น ดังนั้น จึงไม่ถูกนำมาเป็นหลักฐาน(ในการยืนยันเรื่องซีฟัตของอัลเลาะฮ์) ด้วยกับหะดิษฏออีฟ และไม่ถูกนำมาเป็นหลักฐานด้วยกับหะดิษที่มีการขัดแย้งกันในเรื่องการยืนยันความเชื่อถือของนักรายงานฮะดิษ แม้กระทั้งว่า ได้มีสายรายงานหนึ่ง ที่ขัดแย้งกัน(ในเรื่องของการวิจารณ์นักรายงาน) แล้วมีฮะดิษอื่นมาสนับสนุนมัน ก็ถือว่านำมาเป็นหลักฐาน(ในการยืนยันซีฟาตของอัลเลาะฮ์)ไม่ได้" ดู หนังสือ อัล-ฟะกีฮ์ วะ อัลมุตะฟักกีฮ์ ของท่าน อัลคอฏีบ อัลบุฆดาดีย์ หน้า 132

แต่หลักการของอัลอิชาเราะฮ์นี้ เราไม่อยากที่จะนำมาพูดกับวะฮาบีย์ เพราะว่าหลักมันเป็นหลักการที่วะฮาบีย์ไม่เชื่อแล้ว แน่นอนว่า พูดสนทนากันเท่าใด วะฮาบีย์ก็ไม่ยอมรับ

และประเด็นที่สำคัญตอนนี้ คือพูดถึงเรื่อง "มือของอัลเลาะฮ์" ตามทัศนะของวะฮาบีย์ครับ


จากการสนทนาที่ผ่านมา เราก็ได้รู้ถึงหลักการของวะฮาบีย์ ดังนี้ครับ คือ

"เรื่องซีฟาตของอัลเลาะฮ์นั้น วะฮาบีย์รู้ถึงความหมายของมัน และก็สามารถทำการตัฟซีรได้ (ซึ่งหลักการนี้ ไม่ใช่หลักการของสะละฟุศศอลิหฺ) ตามที่เราได้นำเสนอไป เพราะว่าวะฮาบีย์นั้น พยายามยืนยันว่า ความหมายซีฟัตของอัลเลาะฮ์นั้น คือความหมาย แบบผิวเผิน และนั่นคือจุดมุ่งหมาย ความหมายผิดเผินนี้ คือความหมายฮะกีกัตในเชิงภาษาที่มนุษย์เข้าใจกันหรือฟังแล้วเข้าใจเลย"

เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจึงถามวะฮาบีย์ว่า คำว่า يد ตามความหมายฮะกีกัตในเชิงภาษาที่คนทั่วไปรู้กันนั้นมีความหมายอธิบายว่าอย่างไร? วะฮาบีย์ก็ไม่กล้าตอบตามหลักการของพวกเขา เนื่องจากมันไปค้านข้อเท็จจริงที่มุสลิมต้องเชื่อและศรัทธา

ดังนั้น คำว่า يد ตามความหมายฮะกีกัตในเชิงภาษาที่คนทั่วไปเข้าใจกันนั้นก็คือ "อวัยวะหนึ่งที่เป็นส่วนของร่างมีฝ่ามือและนิ้ว" ซึ่งหากเราได้ศึกษาอย่างแท้จริง เราก็จะไม่พบความใดๆเกี่ยวกับมือตามหลักการของวะฮาบีย์นอกจากความหมายที่เราได้นำเสนอไปนี้ครับ

ฉะนั้น คำว่า يد الله ในความหมายตามหลักการของวะฮาบีย์ก็คือ

"ซีฟาตหนึ่งที่เป็นอวัยวะเป็นส่วนหนึ่งของตัวตน(ซาต)ของอัลเลาะฮ์ที่ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร"

นี่คือหลักการจริงๆ ของวะฮาบีย์ ที่พวกเขาพยายามปกปิดพี่น้องมุสลิม พวกเขาพยายามบอกว่า อากิดะฮ์ของพวกเขานี่แหละที่ สะลัฟ สะลัฟ สะลัฟ แต่หลักการจริงๆ ของวะฮาบีย์นั้น พวกเขาพยายามปกปิดมัน

หากเราสรุปบรรดาซีฟัตของอัลเลาะฮ์ตามทัศนะความเข้าใจตามหลักการของวะฮาบีย์นั้น มีดังนี้ คือ


"อัลเลาะฮ์(ของวะฮาบีย์) ทรงมีอวัยวะมือ อวัยวะแขน อวัยวะนิ้ว อวัยวะฝ่ามือ อวัยวะหน้า อวัยวะตา อวัยวะเท้า อวัยวะหน้าแข้ง นั่งอยู่ โดยมีน้ำหนัก สัมผัสอยู่บนบัลลังก์ โดยไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร? "


นี่คือความหมายซีฟัตของอัลเลาะฮ์ตามหลักการของวะฮาบีย์ที่เราได้สนทนาผ่านมา โดยที่เราอัลอะชาอิเราะฮ์นั้น ไม่ได้ให้ร้ายและไม่โกหกมุสาแต่ประการใดกับวะฮาบีย์เลยครับ ซึ่งแตกต่างกับวะฮาบีย์ และหากว่ามันแตกต่างกับแนวทางและหลักการของวะฮาบีย์ตรงใหน ได้โปรดชี้แนะเราด้วยครับ


อ้างอิงจากบังอะสัน

น้องบ่าวอัลอัซฮารีไม่แปลประโยคต่อไปนี้

فمن قال بقول جهم- يعني في نفي الصفات وإخراجها عن ظاهر معناها- فقد فارق الجماعة؛ لأنه وصفه بصفة (لا شيء).

...........
คำนี้ไม่ใช่คำพูดของอิหม่ามชาฟิอีครับ โพสต์ผิดไป ครับ ขอแก้คำพูดครับ

ตอบ

ดีแล้ว ที่รีบเตาบัต ไม่งั้นล่ะก็ เรื่องใหญ่ การที่ผมไม่ได้แปลนั้น เพราะผมได้ใส่เครื่องหมาย (..........) ไว้แล้ว และคำแปลและหลักฐานนี้นั้น มันเป็นหลักฐานที่บังอะสันยกมาเอง และเป็นคำแปลที่บังอะสันแปลมาเองนะครับ และสิ่งที่บังอะสันอ้างอิงมานั้น ก็มาจากตำราของ ท่านอิบนุกุดามะฮ์ และท่านอิบนุกุดามะฮ์เองก็กล่าวในหนังสือเล่มเดียวกันว่า

หลักฐานที่ 12

ด้วยเหตุเช่นนี้ ท่านอิมามอะหฺมัดจึงกล่าวว่า

هذه الأحاديت نؤمن بها ونصدق ، لا كيف ولا معنى ، ولا نصف الله تعالى بأكثر مما وصف به نفسه

"บรรดาหะดิษเหล่านี้ เราได้ศรัทธานั้น และเชื่อ โดยที่ไม่มีวิธีการว่าเป็นอย่างไร และไม่มีความหมาย(ที่เฉพาะ) และเราไม่พรรณากับคุณลักษณะของอัลเลาะฮ์ ให้มากกว่าสิ่งที่พระองค์ทรงพรรณาไว้กับพระองค์เอง" ดู หนังสือ ลุมอะฮ์ อัลเอี๊ยะติก๊อต ของท่าน อิบนุ กุดามะฮ์ หน้า 3

สายรายงานนี้ ยืนยันอย่างชัดเจนเลยว่า ท่านอิมามอะหฺมัด ไม่รู้ความหมายที่เจาะจงเลยเกี่ยวกับซีฟาตของอัลเลาะฮ์


หลักฐานที่ 13

أمروها كما جاءت ،وردوا علمها إلى قائلها ومعناها إلى المتكلم بها

"พวกท่านจงอ่านผ่านมันไปเสมือนที่มันได้มีระบุมา และจงกลับคือการรู้มัน(บรรดาซีฟาต)ไปยังผู้ที่กล่าวมัน และ(จงกลับคืน)กับ ความหมายของมัน ไปยังผู้ที่พูดด้วยกันมัน" ดู หนังสือ ซัมมุ อัลตะวีล ของท่านอิบนุกุดามะฮ์ หน้า 25

ตรงนี้ก็ชัดเจนครับว่า ความหมายบรรดาซิฟาตนั้น มอบหมายไปยังผู้ที่กล่าวมัน คือ อัลเลาะฮ์ และรอซูลของพระองค์

หลักฐานที่ 14

ท่านอิบนุกุดามะฮ์ ได้รายงานคำกล่าวของท่าน อิมาม อัชชาฟิอีย์ (ร.ฏ.) ว่า

علموا أن المتكلم به صادق لا شك فى صدقه فصدقوه ، ولم يعلموا حقيقة معناها فسكتوا عما لم يعلموه

"พวกเขา(สะลัฟ)รู้ว่า แท้จริง ผู้ที่พูดกับมันนั้น เป็นผู้สัจจริง โดยไม่ต้องสงสัยในความสัจจริงของเขา ดังนั้น พวกเขาจึงยอมรับกับมัน โดยที่พวกเขาไม่รู้กับ"ฮะกีกัตความหมายของมัน" ดังนั้น พวกเขาจึงนิ่งจากสิ่งที่พวกเขาไม่รู้" ดู หนังสือ ซัมมฺ อัตตะวีล หน้า 25

เมื่อเป็นเช่นนี้ ผมจึงไม่ทราบว่า บังอะสันจะเลือกอย่างไร? และหากว่าบังอะสันเลือกจะเอาแบบ คำที่ผิวเผิน ที่เป็นฮะกีกัตตามหลักภาษาและคนทั่วไปเข้าใจกันนั้น ผมก็จึงถามต่อไปว่า

ฉะนั้น คำว่า يد الله ในความหมายตามหลักการของวะฮาบีย์ก็คือ

"ซีฟาตหนึ่งที่เป็นอวัยวะเป็นส่วนหนึ่งของตัวตน(ซาต)ของอัลเลาะฮ์ที่ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร"

นี่คือหลักการจริงๆ ของวะฮาบีย์ ที่พวกเขาพยายามปกปิดพี่น้องมุสลิม พวกเขาพยายามบอกว่า อากิดะฮ์ของพวกเขานี่แหละที่ สะลัฟ สะลัฟ สะลัฟ แต่หลักการจริงๆ ของวะฮาบีย์นั้น พวกเขาพยายามปกปิดมัน

หากเราสรุปบรรดาซีฟัตของอัลเลาะฮ์ตามทัศนะความเข้าใจตามหลักการของวะฮาบีย์นั้น มีดังนี้ คือ


"อัลเลาะฮ์(ของวะฮาบีย์) ทรงมีอวัยวะมือ อวัยวะแขน อวัยวะนิ้ว อวัยวะฝ่ามือ อวัยวะหน้า อวัยวะตา อวัยวะเท้า อวัยวะหน้าแข้ง นั่งอยู่ โดยมีน้ำหนัก สัมผัสอยู่บนบัลลังก์ โดยไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร? "


นี่คือความหมายซีฟัตของอัลเลาะฮ์ตามหลักการของวะฮาบีย์ที่เราได้สนทนาผ่านมา โดยที่เราอัลอะชาอิเราะฮ์นั้น ไม่ได้ให้ร้ายและไม่โกหกมุสาแต่ประการใดกับวะฮาบีย์เลยครับ ซึ่งแตกต่างกับวะฮาบีย์ และหากว่ามันแตกต่างกับแนวทางและหลักการของวะฮาบีย์ตรงใหน ได้โปรดชี้แนะเราด้วยครับ

แล้วทำไมบังอะสันไม่ตอบสิ่งที่ผมถามเกี่ยวผมที่ตามมาตามจุดยืนของหลักการวะฮาบีย์ที่บังอะสันยึดอยู่ล่ะครับ? สนทนาแบบอิจญฺฮาดเนี่ย อย่าตักลีด เพราะเรื่องตักลีดนั้น บังอะสันต่อต้านไม่ใช่หรือ???
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
ขอย้ำเพื่อให้สนทนาตรงประเด็นอย่างแท้จริงดังนี้

เมื่อเป็นเช่นนี้ ผมจึงไม่ทราบว่า บังอะสันจะเลือกอย่างไร? และหากว่าบังอะสันเลือกจะเอาแบบ คำที่ผิวเผิน ที่เป็นฮะกีกัตตามหลักภาษาและคนทั่วไปเข้าใจกันนั้น ผมก็จึงถามต่อไปว่า

คำว่า يد الله ในความหมายตามหลักการของวะฮาบีย์ก็คือ

"ซีฟาตหนึ่งที่เป็นอวัยวะเป็นส่วนหนึ่งของตัวตน(ซาต)ของอัลเลาะฮ์ที่ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร"

นี่คือหลักการจริงๆ ของวะฮาบีย์ ที่พวกเขาพยายามปกปิดพี่น้องมุสลิม พวกเขาพยายามบอกว่า อากิดะฮ์ของพวกเขานี่แหละที่ สะลัฟ สะลัฟ สะลัฟ แต่หลักการจริงๆ ของวะฮาบีย์นั้น พวกเขาพยายามปกปิดมัน

หากเราสรุปบรรดาซีฟัตของอัลเลาะฮ์ตามทัศนะความเข้าใจตามหลักการของวะฮาบีย์นั้น มีดังนี้ คือ


"อัลเลาะฮ์(ของวะฮาบีย์) ทรงมีอวัยวะมือ อวัยวะแขน อวัยวะนิ้ว อวัยวะฝ่ามือ อวัยวะหน้า อวัยวะตา อวัยวะเท้า อวัยวะหน้าแข้ง นั่งอยู่ โดยมีน้ำหนัก สัมผัสอยู่บนบัลลังก์ โดยไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร? "


นี่คือความหมายซีฟัตของอัลเลาะฮ์ตามหลักการของวะฮาบีย์ที่เราได้สนทนาผ่านมา โดยที่เราอัลอะชาอิเราะฮ์นั้น ไม่ได้ให้ร้ายและไม่โกหกมุสาแต่ประการใดกับวะฮาบีย์เลยครับ ซึ่งแตกต่างกับวะฮาบีย์ และหากว่ามันแตกต่างกับแนวทางและหลักการของวะฮาบีย์ตรงใหน ได้โปรดชี้แนะเราด้วยครับ

แล้วทำไมบังอะสันไม่ตอบสิ่งที่ผมถามเกี่ยวสิ่งที่ผมได้ถามมาตามจุดยืนของหลักการวะฮาบีย์ที่บังอะสันยึดอยู่ล่ะครับ? สนทนาแบบอิจญฺฮาดนะครับ อย่าตักลีดตาบอด เพราะเรื่องตักลีดนั้น บังอะสันต่อต้านนักหนาไม่ใช่หรือ???


อ้างจากบังอะสัน

اتفق الفقهاء كلهم من المشرق إلى المغرب على الإيمان بالقرآن والأحاديث التي جاء بها الثقات عن رسول الله صلى الله عليه وسلم في صفة الرب عز وجل من غير تفسير ولا وصف ولا تشبيه، فمن فسر شيئاً من ذلك فقد خرج عما كان عليه النبي صلى الله عليه وسلم وفارق الجماعة، فإنهم لم ينفوا ولم يفسروا، ولكن آمنوا بما في الكتاب والسنة ثم سكتوا، فمن قال بقول جهم- يعني في نفي الصفات وإخراجها عن ظاهر معناها- فقد فارق الجماعة؛ لأنه وصفه بصفة (لا شيء).

บรรดาฟุเกาะฮาอฺ ทั้งหมดจากตะวันออกถึงตะวันตก เห็นฟ้องกันว่า ให้ศรัทธาต่ออัลกุรอ่านและบรรดาหะดิษที่เชื่อถือได้ ซึ่งรายงานมาจากท่านรซูลุ้ลลอฮ ศอลฯ ใน สิฟัตของพระเจ้า ผู้ทรงอำนาจ ผู้ทรงสูงส่ง โดยไม่มีการอธิบาย ไม่มีการพรรณาคุณลักษณะ และ ไม่มีการเปรียบเทียบ ดังนั้นผู้ใดตัฟสีร สิ่งใดจากนั้น(สิฟัตอัลลอฮ) แน่นอน เขาได้ออกจากสิ่งที่ท่านนบี ศอลฯ ยืนหยัดอยู่ และเขาแปลกแยกจากอัลญะมาอะฮ แท้จริงพวกเขา(อัลญะมาอะฮ) พวกเขาไม่ปฏิเสธ และไม่อธิบาย(ตัฟสีร) แต่ว่า พวกเขาเชื่อในสิ่งที่อยู่ในอัลกิตาบและอัสสุนนะฮ หลังจากนั้น พวกเขาจะนิ่งเงียบ(ไม่เกินเลยไปกว่านั้น)ดังนั้นผู้ใด กล่าว ด้วยคำพูด(ทัศนะ)ของพวกญะมียะฮ(กลุ่มหนึ่งจากพวกมุอฺตะซิละฮ) หมายถึง ปฏิเสธบรรดาสิฟาต และพวกเขาอธิบายมันและพามันออกมาให้ผิดไปจากความหมายที่ปรากฏ แน่นอน เขาแปลกแยกจากอัลญะมาอะฮ เพราะว่า เขาพรรณาคุณลักษณะให้แก่พระองค์ ด้วยสิฟัตที่ไม่มีสิ่งใด(ไม่ใช่สิฟัตของอัลลอฮ)
العلو للذهبي ص113، وينظر ذم التأويل ص6، وشرح أصول السنة لللالكائي3/ 432مجلد2، ومجموعة الفتاوى 4/4، 5، وفتح الباري13/ 345، وأقاويل الثقات للمقدسي ص60، ومعارج القبول1/137

วิจารณ์

ผมบอกตรงๆ เลยครับว่า ไม่ค่อยสบายใจในการอ้างอิงพาดพิงคำพูดไปยังสะลัฟตามรูปแบบแนวทางของวะฮาบีย์ เท่าไหร่ที่แล้ววะฮาบีย์ได้อ้างคำอิงคำพูดของสะลัฟอยู่ในแนวทางของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ แล้วเราก็ทำการแก้ต่างชี้แจงสายรายงานที่อ้างอิงไปถึงตามแนวทางของวะฮาบีย์ และผู้คนเอาวามทั่วไปอีกมากมายอีกสักเท่าไหร่ก็ไม่รู้ ที่ต้องตกหลุมพรางกับการกล่าวอ้างของวะฮาบีย์ เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจึงจำเป็นต้องสร้างเวปไซท์ขึ้นมาที่ชื่อว่า www.sunnahstudents.comเพื่อที่จะทำการชี้แจงแนวทางของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ตามทัศนะของอุลามาอ์ส่วนมากของอิสลาม เพื่อแก้ต่างแนวทางของวะฮาบีย์และชีอะฮ์ 12 อัรรอฟิเฏาะฮ์ ที่คุกคามมุสลิมที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ซึ่งเวปไซท์ของเราในตอนนี้ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ครับ แต่เราขอเปิดตั้งไว้ก่อนเพื่อตอบสนองผู้ที่ติดต่อมาทางเราให้เปิดมันเร็วๆ

เรามาเข้าเรื่องกันนะครับ จากการอ้างอิงของบังอะสันจากอุลามาอ์วะฮาบีย์ ในการอ้างคำพูดถึงท่าน มุหัมมัด บิน อัลหะซัน (รอฮิมะฮุลลอฮ์)นั้น มันมีการเพิ่มเติมคำพูดจากกลุ่มอัลหะนาบิละฮ์ที่วะฮาบีย์สืบทอดอะกีดะฮ์มาจากพวกเขา ซึ่งคำพูดของท่าน มุหัมมัด บิน อัลหะซัน ศิษย์ของท่านอิมามอบูหะนีฟะฮ์ ผู้นี้ ผมได้ไปเปิดดูจากหนังสือ อัลอุลู้ ลิล อะลียิลฆ๊อฟฟาร หน้าที่ 421 ตีพิมพ์ที่ ดารุล อิมาม อันนะวาวีย์ ปรากฏว่าคำกล่าวของท่าน มุหัมมัด บิน อัลหะซันมีดังนี้ครับ

نقل أبو القاسم هبة الله اللالكائي و والشيخ موفق الدين المقدسي وغيرهما بالإسناد عن أبي عبد الله بن ابي حنيفة الدبوسى سمعت محمد بن الحسن، يقول : اتفق الفقهاء كلهم من المشرق إلى المغرب على الإيمان بالقرآن والأحاديث التي جاء بها الثقات عن رسول الله صلى الله عليه وسلم في صفة الرب عز وجل من غير تفسير ولا وصف ولا تشبيه، فمن فسر شيئاً من ذلك فقد خرج عما كان عليه النبي صلى الله عليه وسلم وفارق الجماعة، لأنه وصفه بصفة لا شيء

วิจารณ์

จากสิ่งที่ผมได้อ้างอิงมานี้ ปรากฏว่า

1. การพาดพิงคำพูดไปยังท่าน มุหัมมัด บิน อัลหะซันนี้ ไม่มีสายรายงานมาระบุไปถึงท่าน มุหัมมัด บิน อัลหะซัน แต่มีเพียงกล่าวว่า بالإسناد "ด้วยสายรายงาน" แต่ไม่ได้ระบุว่ามีใครบ้าง???

2. คำกล่าวที่วะฮาบีย์ต้องการในการอ้างอิงของพวกเขานั้น คือคำว่า

فإنهم لم ينفوا ولم يفسروا، ولكن آمنوا بما في الكتاب والسنة ثم سكتوا، فمن قال بقول جهم- يعني في نفي الصفات وإخراجها عن ظاهر معناها- فقد فارق الجماعة؛

"แท้จริงพวกเขา(อัลญะมาอะฮ) พวกเขาไม่ปฏิเสธ และไม่อธิบาย(ตัฟสีร) แต่ว่า พวกเขาเชื่อในสิ่งที่อยู่ในอัลกิตาบและอัสสุนนะฮ หลังจากนั้น พวกเขาจะนิ่งเงียบ(ไม่เกินเลยไปกว่านั้น)ดังนั้นผู้ใด กล่าว ด้วยคำพูด(ทัศนะ)ของพวกญะมียะฮ(กลุ่มหนึ่งจากพวกมุอฺตะซิละฮ) หมายถึง ปฏิเสธบรรดาสิฟาต และพวกเขาอธิบายมันและพามันออกมาให้ผิดไปจากความหมายที่ปรากฏ แน่นอน เขาแปลกแยกจากอัลญะมาอะฮ"

ซึ่งคำกล่าวนี้ ไม่ใช่เป็นคำกล่าวของท่าน มุหัมมัด บิน อัลหะซัน เลยครับ และไม่ได้ระบุเอาไว้ในหนังสือ อัลอุลุ้ว์ ในฉบับตีพิมพ์ของ ดารุล อิมาม อันนะวาวีย์

แต่เมื่อผมได้ไปเปิดดูจากหนังสือ มุคตะซ๊อร อัลอุลุว์ ของท่านอัซซะบีย์ ที่ทำการย่อโดย ท่าน อัลบานีย์ หน้า 159 เราจะพบว่ามีข้อความที่แตกต่างกันดังนี้

نقل أبو القاسم هبة الله اللالكائي و والشيخ موفق الدين المقدسي وغيرهما بالإسناد عن أبي عبد الله بن ابي حنيفة الدبوسى سمعت محمد بن الحسن، يقول : اتفق الفقهاء كلهم من المشرق إلى المغرب على الإيمان بالقرآن والأحاديث التي جاء بها الثقات عن رسول الله صلى الله عليه وسلم في صفة الرب عز وجل من غير تفسير ولا وصف ولا تشبيه، فمن فسر شيئاً من ذلك فقد خرج عما كان عليه النبي صلى الله عليه وسلم وفارق الجماعة،( فإنهم لم ينفوا ولم يفسروا، ولكن آمنوا بما في الكتاب والسنة ثم سكتوا،
فمن قال بقول جهم فقد فارق الجماعة)؛ لأنه وصفه بصفة لا شيء

วิจารณ์

คำสิ่งที่ผมได้อ้างอิงไปนี้ จะพบว่ามีคำพูดที่ ท่านอัลบานีย์วงเล็บ(...) เอาไว้ คือคำว่า

( فإنهم لم ينفوا ولم يفسروا، ولكن آمنوا بما في الكتاب والسنة ثم سكتوا، فمن قال بقول جهم فقد فارق الجماعة)

และท่านอัลบานีย์ได้กล่าววิจารณ์มันเอาไว้ว่า

زيادة من اللالكائى

"(คำกล่าวนี้) เป็นการเพิ่มมาจากคำพูดของ อัลลาลิกาอีย์" ดู มุคตะซ๊อร อัลอุลุว์ ของท่านอัซซะบีย์ ที่ทำการย่อโดย ท่าน อัลบานีย์ หน้า 159

และคำว่า

يعني في نفي الصفات وإخراجها عن ظاهر معناها

คำนี้ ไม่ใช่เป็นคำพูดของท่าน มุหัมมัด บิน อัลหะซันโดยเด็ดขาด และไม่ใช่เป็นการเพิ่มเติมของ อัลลาลิกาอีย์ด้วย แต่มันเป็นการ เพิ่มเสริมแต่งจากวะฮาบีย์ปัจจุบันครับ ซุบหานัลลอฮ์ !! ที่บังอะสันเอาคำพูดเพิ่มเติมจาก อัลลากิลาอีย์และวะฮาบีย์ปัจจุบัน มาเหมารวมว่า เป็นคำพูดของท่าน มุหัมมัด บิน อัลหะซัน !!

จากสิ่งดังกล่าวนี้ ปรากฏแก่เราว่า สิ่งที่บังอะสันพยายามอ้างว่าเป็นคำพูดของท่านอิมาม มุหัมมัด บิน อัลหะซันนั้น มันกลับไม่ใช่เป็นคำพูดของท่าน มุหัมมัด บิน อัลหะซัน เลยแม้แต่น้อย และมันก็ไม่ใช่เป็นเรื่องแปลกอะไร เพราะหะดิษนบีก็ยังมีการกุโกหก เพิ่มเติมกันอย่างมากมาย จะนับประสาอะไรกับคำพูดของผู้ที่ไม่ใช่เป็นนบี อย่างท่าน มุหัมมัด บิน อัลหะซัน และอุลามาอ์สะลัฟท่านอื่นๆ อีกมากมาย

เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจึงหนักใจครับ เพราะไม่รู้ว่า วะฮาบีย์และบังอะสันนั้น ได้นำคำกล่าวอ้างนี้ ไปบอกกับคนบ้านที่ไม่รู้เรื่องอะไร แล้วพวกเขาอาจจะหลงเชื่อกันง่ายๆ ที่ทั้งมันไม่ได้เป็นความจริง ดังนั้น เราจึงขอต่ออัลเลาะฮ์ ให้พี่น้องอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ พ้นจากการหลอกลวงในความเท็จที่พวกเขารู้เท่าไม่ถึงการด้วยเถิด...อามีน ยาร๊อบ.


อ้างอิงจากบังอะสัน

อัลฮาฟิซ อบีบักร อัลเคาะฏีบ กล่าวว่า
فإذا قلنا: يد وسمع وبصر، فإنما هو إثبات صفات أثبتها الله لنفسه، ولا نقول إن معنى اليد القدرة ولا إن معنى السمع والبصر العلم، ولا نقول إنها جوارح وأدوات للفعل، ولا نشبهها بالأيدي والأسماع والأبصار التي هي جوارح وأدوات للفعل، ونقول: إنما وجب إثباتها لأن التوقيف ورد بها ووجب نفي التشبيه عنها لقوله تعالى: (ليس كمثله شئ) وقوله: (ولم يكن له كفواً أحد.. الإخلاص/4

ดังนั้น เมื่อเรากล่าวว่า " พระหัตถ์,ทรงได้ยิน และ ทรงเห็น ความจริงมันคือ การรับรองบรรดาสิฟาต ที่อัลลอฮทรงรับรองมันให้แก่พระองค์เอง และเราจะไม่กล่าวว่า ความหมายของ اليد คือ พลังอำนาจ และเราจะไม่กล่าวว่า ความหมายของคำว่าทรงได้ยิน และทรงเห็น นั้นคือ ทรงรู้ และเราจะไม่กล่าวว่า มันคือ อวัยวะ และเครืองมือในการกระทำ และเราจะไม่เปรียบเทียบ มันทั้งสอง ด้วย สองมือ การได้ยินและการเห็นที่เป็น อวัยวะ และ เตรืองมือในการกระทำ และเราขอกล่าวว่า "จำเป็นต้อง รับรองมัน เพราะว่ามันเป็น อัตเตากีฟ(มีตัวบทยืนยัน) ได้ปรากฏด้วยมันและจำเป็นต้อง ปฏิเสธการคล้ายคลึง จากมัน เพราะอัลลอฮตรัสว่า(ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนพระองค์)และคำตรัสของพระองค์ที่ว่า(ไม่มีบุคคลใดเสมอเหมือนพระองค์) -ซูเราะฮอัลอิคลาศ/4
مختصرالعلو272وينظر سير أعلام النبلاء18/284
.....................
นี้คือ อะกีดะฮของ พวกที่ถูกตั้งฉายาว่า วะฮบีย์ ซึ่งต่างกับที่นักศึกษาพยายามให้เข้าใจว่า พวกเขา เชื่อว่า อัลลอฮมีอวัยวะเหมือนมัคลูค

ตอบ

บังอะสันวะฮาบีย์ตัวจริง ยกข้อความจากอุลามาอ์วะฮาบีย์ ที่หมกเม็ดมาอีกแล้วครับ มีการตัดถ้อยคำของท่าน อัลคอฏีบอัลบุฆดาดีย์อีกแล้ว ??? เอ...แล้วใครบ้างเอ่ยที่อยากรู้ว่าวะฮาบีย์เขาตัดทอนและลวงคำพูดของท่านอัลคอฏีบอัลบุฆดาดีย์กันอย่างไรอีก?

น่าอนาถใจครับ ที่การอ้างอิงหลักฐานของวะฮาบีย์มีแต่การหมดเม็ดและตัดทอนส่วนสำคัญจากคำพูดของอุลามาอ์

อ้างอิงจากบังอะสัน

ข้างต้น คือแนวทางของสะลัฟ คือ มอบหมายวิธีการ ไม่ใช่ความหมาย ตามที่นักศึกษาอะชาอิเราะฮจอมโม้อ้าง จริงๆแล้ว เบื้องหลังของพวกเขาคือ การตีความเป็นหลัก ส่วนการมอบหมาย เป็นเพียงข้ออ้างตบตา ให้คนเห็นว่า เขาอยู่ในแนวทางสลัฟ

ตอบ

ท่านอิมาม อัลฟาฟิซฺ ตะญุดดีน อัศศุบกีย์ กล่าวว่า

للأشاعرة قولان مشهوران في إثبات الصفات، هل تمر على ظاهرها مع اعتقاد التنزيه أو تؤول؟ والقول بالإمرار مع اعتقاد التنزيه هو المعزو إلى السلف، وهو اختيار الإمام في الرسالة النظامية، وفي مواضع من كلامه فرجوعه معناه الرجوع عن التأويل إلى التفويض، ولا إنكار في هذا، ولا في مقابله، فإنها مسألة اجتهادية، أعني مسألة التأويل أو التفويض مع اعتقاد التنزيه، إنما المصيبة الكبرى والداهية الدهياء الإمرار على الظاهر، والاعتقاد أنه المراد، وأنه لا يستحيل على الباري، فذلك قول المجسمة عُبَّاد الوثن، الذين في قلوبهم زيغ يحملهم على اتباع المتشابه ابتغاء الفتنة، عليهم لعائن الله تَتْرى واحدة بعد أخرى، ما أجرأهم على الكذب وأقلَّ فهمهم للحقائق.اهـ

" ให้กับ(แนวทาง)อัลอะชาอิเราะฮ์นั้น มีอยู่สองทัศนะที่เลื่องลือ เกี่ยวกับการยืนยันเรื่องซิฟาต , คือผ่านมันไปกับความหมายผิวเผิญของมัน พร้อมกับยึดมั่นกับความบริสุทธิ์(จากการไปคล้ายเหมือนกับมัคโลค) หรือว่าให้ทำการตีความ(ตะวีล)? และทัศนะคำกล่าว ด้วยการผ่านมันไป พร้อมกับการยึดมั่นกับความบริสุทธิ์นั้น ก็คืออ้างไปยังทัศนะของสะลัฟ และมันก็คือทัศนะที่อิมาม(อัลญุวัยนีย์) ได้ทำการเลือกเฟ้นไว้ในหนังสือ อัรริซาละฮ์ อันนิซฺอมียะฮ์ และในสถานที่ต่างๆ ที่มาจากคำกล่าวของเขา(ท่านอิมามอัลญุวัยนีย์) ดังนั้น การที่ท่านได้ยกเลิกจากการให้ความหมายมัน คือการที่ท่านอิมามได้ยกเลิกจากการตีความโดยกลับไปสู่การมอบหมาย โดยที่ไม่มีการตำหนิใดๆ ในสิ่งดังกล่าวนี้(คือการมอบหมาย) และไม่มีการตำหนิกับสิ่งที่ตรงข้ามกับมัน(คือการตีความ) ฉะนั้น บรรดาคำพูดของท่านอิมามอัลญุวัยนีย์ ก็อยู่ในประเด็นของการวินิจฉัย ฉันหมายถึง ประเด็นของการตีความและมอบหมายพร้อมกับยึดมั่นในความบริสุทธิ์ แต่แท้จริง ความวิบัติอันยิ่งใหญ่และการหลอกลวงที่มีเลห์เหลี่ยม ก็คือการผ่านมันไปบนความหมายแบบผิวเผิญโดยยึดมั่นว่าแท้จริงความหมายแบบผิวเผิญนั้นคือจุดมุ่งหมาย และไม่ถือว่า(ความหมายแบบผิวเผิญ)เป็นสิ่งที่มุสติฮีลต่ออัลเลาะฮ์ ดังนั้น สิ่งดังกล่าวนี้ คือ คำกล่าวของกลุ่ม อัลมุญัสสิมะฮ์ ผู้อิบาดะฮ์กับรูปเจว็ด ที่บรรดาหัวใจของพวกเขานั้น มีความเบี่ยงเบนที่ทำให้พวกเขาอยู่บนการตามความเคลือบแครง เพื่อแสวงหาความฟิตนะฮ์ บรรดาอเปหิของอัลเลาะฮ์ ได้ประสบแก่พวกเขาอย่างต่อเนื่องครั้งแล้วครั้งเล่า และมันเป็นความอาจหาญต่อความโกหกและขาดความเข้าใจกับบรรดาข้อเท็จจริงของพวกเขาเสียกระไรนี่!" ดู หนังสือ เฏาะบะก๊อต อัชชาฟิอียะฮ์ อัลก๊อบรอ เล่มที่ 5 หน้า 191

เราบอกอย่างนี้ชัดเจนครับ แนวทางสะลัฟ เราก็บอกว่าแนวทางของสะลัฟ การตีความเป็นแนวทางส่วนมากของคอลัฟ เราก็บอกว่าเป็นแนวทางของคอลัฟ ซึ่งเรานั้น ได้บอกอย่างชัดเจนตรงไปตรงมาไม่โกหกหลอกลวง ดังนั้น แนวทางสะลัฟก็คือแนวทางสะลัฟ แนวทางคอลัฟก็คือแนวทางของคะลัฟ ฉะนั้น เราอัลอะชาอิเราะฮ์ไม่ได้พวกมีเหลี่ยมเหมือนบางกลุ่มในปัจจุบันครับ ที่แอบอ้างอากิดะฮ์ของตนเอง เป็นสะลัฟ หรืออ้างตนเองว่าเป็นสะละฟีย์ ทั้งที่ความจริงแล้วสะลัฟไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขาเลยแม้แต่น้อย

วะฮาบีย์อย่างบังอะสัน ยังไม่เข้าใจแนวทางของตนเองอย่างแท้จริงเลย แล้วดันมาทำรู้ดีกับแนวทางของอัลอะชาอิเราะฮ์ ฮ่า


อ้างอิงจากบังอะสัน

ประกอบกับนักศึกษาอะช่าอีเราะฮ เจ้าเลห่ กำลังเอาแนวคิดของสลัฟมาตบตาแนวคิดของตนเอง แล้วพยายามให้คนรู้ว่า แนวคิดของตนเองคือแนวคิดสลัฟ แล้วพยายามจะคำอธิบายโกหก แล้วโยนให้กลุ่มที่เขาเรียกวะฮบีย์ว่า เชื่อว่า อัลลอฮมีมือ เหมือนมนุษย์ ทั้งๆที่ไม่มีใครอธิบายอย่างนั้น

ตอบ

เหลือเชื่อจริงๆ ที่บังอะสันพูดออกมาอย่างนี้ได้ ฮ่า ฮ่า บังอะสันครับ พวกเราอธิบายโกหกตรงใหนบ้างหรือครับ?? ช่วยบอกหน่อย ? แล้วตรงใหนบ้างที่เราโยนใส่วะฮาบีย์และอธิบายผิดกับหลักการของวะฮาบีย์? ช่วยบอกหน่อย? แล้วตรงใหนที่พวกเราบอกว่า"วะฮาบีย์เชื่อว่าอัลเลาะฮ์มีมือเหมือนมนุษย์? ช่วยบอกหน่อย?

ผมเคยพูดไปว่า

คำว่า يد الله ในความหมายตามหลักการของวะฮาบีย์ก็คือ

"ซีฟาตหนึ่งที่เป็นอวัยวะเป็นส่วนหนึ่งของตัวตน(ซาต)ของอัลเลาะฮ์ที่ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร"

แล้วคำใหนหรือครับที่ผมบอกว่า"วะฮาบีย์เชื่อว่าอัลเลาะฮ์มีมือเหมือนมนุษย์? ยกมาสักคำซิครับ หรือว่าบังอะสันต่างหากที่โกหกใส่อัลอะชาอิเราะฮ์และโกหกใส่ต่อพวกเรา และโกหกใส่ท่านอิมาม มุหัมมัด บิน อัลหะซัน (รอฮิมะฮุลลอฮ์) โดยบังอัลฟารูกได้นำมาชี้แจงเปิดเผย และโกหกใส่อิมามชาฟิอีย์อีก แต่เราจับไต๋ได้เสียก่อน อัลฮัมดุลิลลาห์

อัลเลาะฮ์ทรงตรัสว่า

إن المنافقين لكاذبون

"แท้จริง บรรดาพวกหน้าไหว้หลังหลอกนั้น คือจอมโกหก"


อ้างจากบังอะสัน

อิหม่ามหะนะฟี กล่าวว่า
ولا يقال إن يد الله قدرته أو نعمته لأن هذا إبطال للصفة، ولكن يقال يده صفته بلا كيف
และจะไม่ถูกกล่าวว่า แท้จริง พระหัตถ์ของอัลลออ คือ พลานุภาพของพระองค์ หรือ ความกรุณาของพระองค์ เพราะว่าแท้จริง นี้คือ การปฏิเธสิฟัต แต่ว่า ให้กล่าวว่า พระหัตถ์ของพระองค์ คือ คุณลักษณะของพระองค์ โดยไม่อธิบายวิธีการว่าเป็นอย่างไร
الدليل القويم 49 وانظر الإرشاد 161 مشكل الحديث وبيانه 472 الغنية 78 شرح النسفية 70
......................

วิจารณ์

คำกล่าวอ้างนี้ อัลอัซฮะรีย์ ได้อธิบายไปแล้ว บังอะสันโพสต์มาแบบตักลีด เราก็ต้องโพสต์ชี้แจงข้อเท็จจริง ดังนี้

คำกล่าวนี้ บังอะสันชอบยกมา แม้มันจะมีการรายงานมาจาก ผู้ที่กุหะดิษก็ตาม เพราะว่ามันตรงกับอารมณ์ความเข้าใจของบังอะสัน และเป็นที่ทราบดีว่า ตำราที่พาดพิงไปยังท่านอิมามอบูหะนีฟะฮ์นี้ มีผู้รายงานจาก ผู้ที่กุหะดิษ มีนามว่า อบู มะเฏี๊ยะอฺ อัลบัลคีย์

อิมาม อัซฺซะฮะบีย์ ได้กล่าววิจารณ์ อบู มุเฏียะฮฺ อัลบัลคีย์ ไว้ใน หนังสือ มีซฺาน อัลเอี๊ยะติดาน ของท่านว่า " อิมามอะหฺมัด (บิน หัมบัล) กล่าวว่า ไม่สมควร รายงานจากเขาสักสิ่งใดสิ่งหนึ่ง และจากท่านยะหฺยา บิน มะอีน เขากล่าวว่า เขาไม่มีอะไร(ที่น่าเชื่อถือ) " ดู มีซฺาน อัลเอียะอฺตะดาน เล่ม 1 หน้า 574


ท่านหาฟิซ อิบนุหะญัร กล่าวว่า " อบูหาติม อัรรอซีย์ กล่าาว่า เขา (คืออบูมุเฏียะฮฺ อัลบัลคีย์) นั้น เป็นพวกมุรญิอะฮฺ ที่ชอบโกหก " ดู ลิซาน อัลมีซาน เล่ม 2 หน้า 335

ท่าน อิบนุหะญัรกล่าวอีกว่า " ท่านอัซฺซะฮะบีย์ มั่นใจตัดขาดว่า แท้จริง เขา (คืออบูมุเฏียะอฺ อัลบัลคีย์)นั้น ได้กุฮะดิษ ดังนั้นจงไปดู ประวัติ ของ อุษมาน บิน อับดุลลาฮฺ อัลอะมาวีย์ " ดู ลิซาน อัลมีซาน เล่ม 2 หน้า 335

บังอะสันครับ ผมไม่อยากให้บังอะสัน ต้องมีหลักอากิดะฮฺที่ เอามาจากผู้รายงานที่ชอบโกหกและกุฮะดิษครับ
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
อ้างจากบังอะสัน

นี้คือ การอิษบาต(ยอมรับ)สิฟาต โดยไม่ตีความ(ตะอฺวีล) และมอบหมายวิธีการแก่อัลลออ แต่ อะชาอีเราะฮ ตีความว่า คือ พลังอำนาจ และ ปฏิเสธหะกีกัตของ اليد โดยอ้างว่า คนที่ยอมรับสิฟัตนี้ เท่ากับว่า เขายอมรับว่า อัลลอฮมีมือ ที่เหมือนมนุษย์ นี้คือ ที่เขากล่าวหาผู้ที่เขาเรียกว่า วะฮบีย์


วิจารณ์

ก่อนอื่น ผมขอบอกว่า บังอะสันพยายามที่จะเลี่ยงประเด็นในเรื่องการ "มอบหมาย" ไปสู่การ "ตีความ" ทั้งที่ เรื่องการมอบหมาย"ตัฟวีฏ" มันยังไม่เคลียร์ ดังนั้น พวกเราคงไม่หลงกลความเจ้าเลห์ของบังอะสันหรอกครับ

และเราได้ชี้แจงแนวทางของอัลอะชาอิเราะฮ์ในเรื่องการมอบหมายไปหลายต่อหลายครั้งแล้ว แต่ผมไม่ทราบว่า ทำไมบังอะสันถึงต้องโกหกมุสาใส่อัลอิชาอิเราะฮ์

ดังนั้น

1. อัลอะชาอิเราะฮ์นั้น " ไม่ได้ปฏิเสธหะกีกัตของ اليد ตามทัศนะของอัลเลาะฮ์ที่พระองค์ทางยืนยัน(อิษบาต)ไว้ในอัลกุรอาน "

2. แต่เราอัลอะชาอิเราะฮ์ "ปฏิเสธความหมายแบบหะกีกัตของ اليد ที่วะฮาบีย์เข้าใจกันตามทัศนะของมนุษย์ที่ฟังแล้วเข้าใจเลย

นี่คือการแยกแยะประเด็นที่วะฮาบีย์สมควรที่จะเข้าใจให้ดีๆนะครับ

และผู้ที่ยอมรับ ซีฟัต اليد นี้ ไม่ได้หมายความว่า "เขาเชื่อว่าเป็นมือที่เหมือนกับมนุษย์เสมอไป" ซึ่งอัลอะชาอิเราะฮ์ไม่ใช่เชื่ออย่างนั้น เนื่องจาก ผู้ที่ยอมรับและยืนยันในซีฟัตاليد นี้ ด้วยการผ่านมันไปโดยมอบหมายความหมายและวิธีการไปยังอัลเลาะฮ์นั้น เขาก็ไม่ใช่ผู้ที่เชื่อว่า"มือ" ใน ณ ที่นี้คือ เหมือนมนุษย์

แต่การเชื่อแบบวะฮาบีย์ ที่ยืนยัน(อิษบาต) ในซีฟัต اليد โดยเชื่อว่ามันมีความหมายแบบที่มนุษย์เข้าใจกันดีในเชิงภาษานั้น เราขอกล่าวว่า มัน ตัชบีฮ์ (ทำยืนยันโดยมีการคล้ายคลึงระหว่างอัลเลาะฮ์และมัคโลค) ครับ เราพูดว่า "คล้ายคลึงมัคโลค" แต่บังอะสันโกหกใส่พวกเราว่า เราพูดว่า "เหมือนมัคโลค" นี่คือความเข้าใจอันไร้หลักการและขาดสติการยั้งคิดของบังอะสันครับ การ ตัชบีฮ์ (คล้ายคลึง) นั้น คือการไปคล้ายเพียงแค่บางส่วนบางประการ นั่นก็ถือว่า เป็นการตัชบีฮ์ แต่ถ้าหากว่า คล้ายคลึงกันหมดทุกด้านเลย เขาเรียกว่า "เหมือน" (ตัมซีล) และท่านผู้อ่านกลับไปทบทวนได้เลยนะครับว่า พวกเรามักจะกล่าวว่า "ตัชบีฮ์(คล้ายคลึง)" ไม่ได้กล่าวว่า "เหมือน(ตัมซีล) " ตามที่วะฮาบีย์และบังอะสันโกหกใส่พวกเราครับ

และการตีความของอัลอะชาอิเราะฮ์นั้น ไม่ใช่ไปปฏิเสธหะกีกัตซีฟัต اليد ที่อัลเลาะฮ์ทรงยืนยันเอาไว้ เนื่องจากคำๆนี้ หรือซีฟัตนี้ ที่อัลเลาะฮ์ทรงตรัสยืนยันไว้ในอัลกุรอานนั้น เราให้การยืนยันและยอมรับว่าเป็นซีฟัตของอัลเลาะฮ์ครับ อันคือเรื่องการยืนยันในซีฟัตและคำที่อัลเลาะฮ์ทรงกล่าวไว้ แต่การตีความ มันเป็นเรื่องของ "ความหมาย" ของซีฟัต اليد ไม่ใช่ไปปฏิเสธคำว่า "اليد " ดังนั้น การตีความย่อมไม่ใช่เป็นการปฏิเสธซีฟัตตามที่วะฮาบีย์เข้าใจกันเลยครับ เพราะท่าน อิบนุญะรีร อัฏฏ๊อบรีย์ และท่านอิบนุกะษีร ก็ทำการตีความ แต่กระนั้น ทำไมพวกไม่มีผู้ไปเป่าประกาศบ้างล่ะครับว่า พวกเขาทำการปฏิเสธหะกีกัตของซีฟัต اليد

แนวทางที่ดีที่สุดตามทัศนะของพวกเราก็คือ การมอบหมายซีฟัต اليد โดยมอบหมายการรู้ความหมายและวิธีการที่แท้จริงของมันไปยังอัลเลาะฮ์(ซ.บ.) นั่นคือแนวทางที่ปลอดภัยที่สุดตามทัศนะของสะลัฟ และเป็นทัศนะที่ 1 ของอัลอะชาอิเราะฮ์

แต่การเข้าใจแบบวะฮาบีย์ ที่บอกยืนยัน(อิษบาต)ซีฟัต اليد ตามความหมายหะกีกัตตามทัศนะของมนุษย์ที่พวกเขาเข้าใจกันนั้น "คืออัลเลาะฮ์ทรงมีอวัยวะที่เป็นส่วนหนึ่งของซาตฺโดยไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร?" นี้ ผมว่า การตีความหมาย ให้ไปเป็น "อานุภาพ พลังอำนาจ " ย่อมจะดีกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย เนื่องจากการเข้าใจในเชิงภาษาอาหรับนั้น คือ การมีอวัยวะ ซึ่งเป็นการตัชบีฮ์อย่างไม่ต้องสงสัย และคำว่า "มือ" ตามหลักภาษาอาหรับแบบฮะกีกัตนั้น คือ "อวัยวะที่เป็นส่วนหนึ่งของร่าง" ครับ นี่คือความหมายของมัน หากให้ความหมาย "มือ" ที่ไม่เป็น "อวัยวะ" นั้น ย่อมเป็นการบิดเบือนความหมายหะกีกัตตามหลักภาษา

และท่าน อัลคอฏีบ อัลบุฆดาดีย์ ที่วะฮาบีย์พยายามอ้างมา เพื่อมาสนับสนุนแนวทางของตนนั้น ก็ปฏิเสธหลักการของวะฮาบีย์ เนื่องจากท่านอัลคอฏีบ ไม่ได้เข้าตามหลักภาษาในเชิงฮะกีกัตที่มนุษย์เข้าใจกัน เพราะว่าท่าน ปฏิเสธ เรื่อง "อวัยวะ" ซึ่งการเป็นอวัยวะนั้น มันคือความหมายในเชิงหะกีกัตของคำว่า "มือ" ( اليد ) และนี่คือหลักการที่วะฮาบีย์หลีกเลี่ยงไม่พ้น และเป็นสิ่งที่วะฮาบีย์ไม่สามารถให้คำตอบได้และไม่สามารถอธิบายหลักการของตนเองที่มีอยู่ได้ เนื่องจากมันไม่สอดคล้องกับสัจจะธรรม


นี่คือประเด็นหลักในการสนทนาของเรา ที่ยังไม่ได้รับคำตอบจากวะฮาบีย์เลยแม้แต่น้อย อัลอัซฮะรีย์กล่าวว่า

การสนทนาเรื่องนี้ที่ผ่านมาโดย บังอัลฟารูก ผมอัลอัซฮะรีย์ และคุณ"แนะนำ" อีกท่านหนึ่ง ผมก็จึงได้ทราบจุดยืนของวะฮาบีย์อย่างมากขึ้น โดยพวกเขาได้ยอมรับเปิดเผยมาเอง ซึ่งผมจะสรุปทัศนะจุดยืนของอุลามาอ์ในเรื่องซีฟัตดังนี้ครับ

1. มอบหมาย ทั้งความหมายและวิธีการ ซึ่งเป็นทัศนะส่วนมากของสะลัฟ และเป็นแนวทางแรกของอัลอะชาอิเราะฮ์ และสมควรที่เอี๊ยะติก๊อตในแนวทางนี้

2. ทำการตีความ ซึ่งเป็นส่วนทางส่วนน้อยที่มีรายงานจากสะลัฟและเป็นแนวทางส่วนมากของคอลัฟ ซึ่งแนวทางนี้อนุญาติให้นำมาเป็นแนวทางในยืนยันในความ บริสุทธิ์ ( التنزيه ) ต่ออัลเลาะฮ์ได้เช่นกัน โดยเหมาะสำหรับผู้ที่มีจิตใจชอบคิดจินตนาอยู่ประจำ ซึ่งตรงนี้คนเราย่อมมีระดับที่ต่างกันในเรื่องจิตใจ และแนวทางนี้ก็เหมาะสมที่จะเป็นแนวทางในการ ป้องกันและตอบโต้กลุ่มผู้ที่ไม่ใช่อิสลามที่เข้ามาสร้างความคลุมเคลือในอากิดะฮ์อิสลามที่เคยปรากฏกันในยุคสมัยที่ผ่านมา และมันก็เป็นแนวทางที่ 2 ของอัลอะชาอิเราะฮ์

3. แนวทางนี้คือแนวทางของวะฮาบีย์ คือไม่รู้วิธีการ แต่ รู้ความหมายที่แท้จริงในซีฟัตอัลเลาะฮ์ โดยอยู่ในรูปแบบของคำตรง (ฮะกีกัต) สอดคล้องตามหลักภาษาตามความหมายที่คนทั่วไปฟังแล้วเข้าใจเลย และแนวทางนี้ ก็เป็นแนวทางที่คล้ายกับ กลุ่มอัลมุญัสสิมะฮ์

แต่วะฮาบีย์ทางคน ก็กล่าวหาพวกเราว่า ทำความเข้าใจกันเอง แล้วมาบอกว่าเรากล่าวหาวะฮาบีย์อย่างโน้นอย่างนี้ ซึ่งคำกล่าวนี้เป็นข้อความของ คนที่ทำการสนทนา โดยมีนิสัยที่เอาใหน และ ทำให้ซุนนะฮ์เสื่อมเสีย (ท่านผู้อ่านทายเองครับว่าเป็นใคร ฮ่า ฮ่า ) ต่อไปนี้ ผมจะอ้างอิงตำราที่วะฮาบีย์ทำการตีพิมพ์เพื่อเผยแพร่อากิดะฮ์ของตน จากหนังสือ ริซาละฮ์ อัตตัดมุรียะฮ์ ซึ่งเป็นของท่านอิบนุตัยมียะฮ์ (ร่อฮิมะฮุลลอฮ์) และเราอยากขอชี้แจงว่า การที่เรายกอ้างอิงตำราของท่านอิบนุตัยมียะฮ์นั้น ไม่ใช่ว่าเราจะต้องการโจมตีท่านอิบนุตัยมียะฮ์ ก็หาไม่ครับ ! เนื่องจากท่านอิบนุตัยมียะฮ์เอง ก็ทุ่มเทในเรื่องวิชาการของศาสนา แต่ท่านก็มีหลักอากิดะฮ์บางประการที่เราต้องระวังและต้องชี้แจง แต่การที่เราอ้างอิงนี้ เพราะวะฮาบีย์ให้การยอมรับและทำการตีพิมพ์เผยแพร่

ชัยคฺ อิบนุตัยมียะฮฺ ร่อฮิมะหุลลอฮ์ กล่าวว่าไว้ในหนังสือ อัตตัดมุรียะฮฺ หน้า 77 - 78 ว่า

(وبيان هذا أن صفاتنا منها ما هى أعيان وأجسام وهى أبعاض لنا ، كالوجه واليد ومنها ما هى معان وأعراض وهى قائمة بنا كالسمع والبصر والكلام والعلم والقدرة . ... ثم إن من المعلوم أن الرب لما وصف نفسه بأنه حىّ عليم قدير ، لم يقل المسلمون : إن ظاهرهذا غير مراد ، لأن مفهوم ذلك فى حقه مثل مفهومه فىحقنا)

ความว่า? การอธิบายสิ่งนี้ คือว่าแท้จริง บรรดาคุณลักษณะของเรานั้น ส่วนหนึ่งจากมัน คือคุณลักษณะที่เป็นตัวตน และรูปร่าง และมันก็คือบรรดาส่วนต่างๆ ของเรานั่นเอง เช่น หน้า และมือ ส่วนหนึ่งจาก(บรรดาคุณลักษณะเหล่านั้น) คือ คุณลักษณะในนามธรรม(ไม่สามารถเห็นด้วยตาได้) และคุณลักษณะที่อาศัยกับสิ่งอื่น โดยมันอยู่ที่เรา เช่นการได้ยิน การเห็น การพูด การรอบรู้ และความสามารถ....จากนั้น ก็เป็นที่ทราบดีกว่า แท้จริง พระเจ้านั้น ขณะที่พระองค์ทรงพรรณนาคุณลักษณะกับพระองค์เอง ด้วยการที่พระองค์นั้น เป็นผู้ทรงเป็น ผู้ทรงรอบรู้ และผู้ทรงสามารถ โดยที่บรรดามุสลิมีนนั้นไม่เคยกล่าวเลยว่า แท้จริง คำแบบผิวเผินนี้ไม่ใช่จุดมุ่งหมาย เพราะว่าความเข้าใจดังกล่าวในสิทธิของอัลเลาะฮฺนั้น ก็เหมือนกับความเข้าใจดังกล่าวในสิทธิของเรา?


ดังกล่าวนี้ เราสังเกตเห็นว่า อิบนุตัยมียะฮฺกล่าวอย่างชัดเจนว่า ข้อบ่งชี้บรรดาคุณลักษณะ ทรงเป็น ทรงรอบรู้ ทรงสามารถ ในสิทธิของอัลเลาะฮฺ (ซุบหานะฮฺ) เหมือนกับความเข้าใจของบรรดาคุณลักษณะ การเป็น การรู้ และความสามารถในสิทธิที่มีอยู่ที่เรา ??!!

และท่านผู้อ่านจะสังเกตุเห็นว่า ท่านอิบนุตัยมียะฮฺ ได้แบ่งบรรดาซีฟัตของอัลเลาะฮฺ ออกเป็น 2 ประเภท คือซีฟัตมะอานีย์(ที่เป็นนามธรรม) เช่นการ ได้ยิน เห็น และซิฟัตอะยาน (รูปธรรมที่เป็นตัวตน) เช่น มือ หน้า


อิบนุตัยมียะฮฺกล่าวต่อ ในหน้าที่ 78 ว่า

( فكذلك لما وصف نفسه بأنه خلق أدم بيديه لم يوجب أن يكون ظاهره غير مراد ، لأن مفهوم ذلك فى حقه كمفهومه فى حقنا ، بل صفة تناسبه)

ความว่า? เช่นเดียวกับสิ่งดังกล่าว ขณะที่อัลเลาะฮฺทรงพรรณนาคุณลักษณะของพระองค์เอง ด้วยการที่พระองค์ทรงสร้างอาดัม ด้วยสองพระหัตของพระองค์ ก็ไม่ทำให้ความหมายผิวเผิน(ภายนอก)ไม่ใช่จุดมุ่งหมาย เพราะความเข้าใจกับสิ่งดังกล่าวในสิทธิของพระองค์นั้น เหมือนกับความเข้าใจกับสิ่งดังกล่าวในสิทธิของเรา แต่พระองค์ทรงมีคุณลักษณะที่เหมาะสมสำหรับพระองค์?

ตรงนี้ เราจะเห็นว่า การเข้าใจซีฟัตของอัลเลาะฮ์นั้น คือความหมายแบบคำตรงฮะกีกัตในเชิงภาษาที่เราเข้าใจกัน และคำว่าฮะกีกัตในภาษาอาหรับนั้น ก็คือคำพูดที่คนทั่วไปเข้าใจได้เลยเป็นอันดับแรกเมื่อมันได้ยินหรือรับรู้เข้ามาในสมอง

ท่านอิบนุตัยมียะฮ์ (ร่อฮิมะหุลเลาะฮ์) กล่าวไว้ใน ร่อซาละฮ์ อัตตัดมุรียะฮ์ หนังสือ ว่า

والكبد والطحال ونحو ذلك هى أعضاء الأكل والشرب فالغنى المنزه عن ألات ذلك بخلاف اليد لإنها للعمل والفعل وهو سبحانه موصوف بالعمل والفعل...

"ตับและม้ามและสิ่งเหมือนกับดังกล่าว คืออวัยวะ(เกี่ยวข้อง)กับการกินการดื่ม ดังนั้น อัลเลาะฮ์ทรงบริสุทธิ์จากบรรดาอวัยวะดังกล่าว ซึ่งแตกต่างกับ(ซีฟัต)มือ เพราะมือนั้น มันสำหรับการทำงานหรือกระทำ โดยที่อัลเลาะฮ์ ซุบหานะฮ์ ฯ มีคุณลักษณะด้วยการทำงานและการกระทำ..." ดู อัตตัดมุรียะฮ์ หน้า 143 ตีพิมพ์ ที่ อะบีกาน

ณ ตรงนี้ ท่านอิบนุตัยมียะฮ์ (ร่อฮิมะหุลเลาะฮ์) ได้ยอมรับว่า มือนั้นก็เป็นอวัยวะ หรือเป็นเครื่องมือของซาตพระองค์ ที่ช่วยในการทำงานสรรสร้าง แบบนี้สะลัฟเคยพูดไว้หรือไม่???

ดังที่ผมได้กล่าวมาแล้ว เราสามารถที่จะสรุปแนวทางของวะฮาบีย์ในการ ให้ความหมายของซีฟัตของอัลเลาะฮ์ เช่น اليد (มือของอัลเลาะฮ์) ดังนี้ครับ

1- ความหมายเป็นที่รู้กัน معلوم المعنى

2- มีความหมายแบบคำตรง حقيقة

3- ตรงในเชิงภาษา وفق اللغة

4- เมื่อได้ยินแล้ว ความหมายแรกที่สมองคนเราเข้าใจ นั่นคือจุดมุ่งหมาย ما يسبق الى الذهن

เราทราบดีว่า

1- กลุ่มอัลมุญัสสิมะฮ์นั้น ให้ความหมายว่า อัลเลาะฮ์ทรงมี มือ ที่เป็นอวัยวะ الجارحة อยู่ที่ซาต โดยไม่เหมือนกับมนุษย์

2- วะฮาบีย์เชื่อว่า อัลเลาะฮ์ทรงมีซีฟัตมือ ที่อยู่ในความหมาของ ผิวเผิญแบบฮะกีกัต

เราจึงแยกไม่ออกระหว่างสองแนวทางนี้ เนื่องจาก หลักการทั้งสองแนวทางนี้ เป็นหลักการเดียว คือมุญัสสิมะฮ์ กล่าวว่า "อัลเลาะฮ์ทรงมีอวัยวะ" และวะฮาบีย์กล่าวว่า มือ นั้นมีความหมายแบบฮะกีกัตในเชิงภาษาที่คนเราเข้าใจกัน ก็คือ "เป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของร่างกาย"

เมื่อเป็นเช่นนี้ ผมอยากจะถามวะฮาบีย์ว่า คำว่า "มือ" ( اليد ) ตามความหมายกะกีกัตที่คนทั่วไปเข้าใจนั้น มันคืออะไร??

แต่สำหรับผมที่ได้ทำการศึกษาความหมายฮะกีกัตตามหลักภาษาของคำว่า "มือ" นั้น มันคือ อวัยวะที่เป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย ที่เป็นฝ่ามือและมีนิ้ว" นั่นคือความหมายแบบฮะกีกัต จะเปลี่ยนไปบอกเป็นอื่นไม่ได้ เนื่องจากถ้าบอกเป็นอื่นไป คือ ไม่เหมือนกับความหมายฮะกีกัตที่มนุษย์เข้าใจ (เช่นกล่าวว่า "แต่" มันไม่เหมือนกับมือของอัลเลาะฮ์นั้น) ก็ย่อมปฏิเสธฮะกีกัตของภาษาอาหรับที่เป็นหลักการของวะฮาบีย์

หรือว่า มือของอัลเลาะฮ์ไม่ใช่ "อวัยวะ" ( الجارحة ) ตามความหมายฮะกีกัตของมนุษย์ ทั้งในที่ขณะเดียวกัน วะฮาบีย์ก็บอกว่ามันมีความหมายและรู้ความหมายได้แบบฮะกีกัตตามหลักภาษาคำตรงที่มนุษย์เข้าใจ เมื่อพิจารณาดูแล้ว มันจึงค้านกันเองในหลักการของวะฮาบีย์ และที่วะฮาบีย์สามารถจะกล่าวได้ก็คือ "อัลเลาะฮ์ทรงมีอวัยวะที่ไม่เหมือนมนุษย์" แน่นอนว่า แบบนี้ไม่ใช่สะลัฟ แต่มันเป็นแนวทางของมุญัสสิมะฮ์

แต่ถ้าวะฮาบีย์บอกว่า "มือของอัลเลาะฮ์" นั้น ไม่ได้เป็น "อวัยวะ" ก็แสดงว่ามันอยู่ในความหมายของ "มะญาซฺ" ไม่ใช่ฮะกีกัต ไม่ใช่อยู่ในความหมายแบบ الظاهر เพราะฮะกีกัตนั้นคือเป็นอวัยวะ และการให้ความหมายแบบมะญาซฺนั้น ย่อมอยู่ในประเภทของการ "ตะวีล" อย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งวะฮาบีย์ให้การคัดค้านอยู่แล้วตามหลักการ

แล้วอะไรคือความหมายของคำว่า اليد ที่เป็นคำตรงฮะกีกัตที่คนทั่วไปรู้กันดีของวะฮาบีย์ครับ?

ขออัลเลาะฮ์ทรงชี้นำแก่เราทุกคนครับ.... ยาร๊อบ
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
"การสนทนาของเราสองครั้งที่ผ่านมาก็ถูกลบไปแล้ว เราก็ขอหยุดการสนทนาเพียงเท่านี้นะครับ แต่หากมีการวิจารณ์พาดพิงเรื่องที่เรานำเสนออีก พวกเราจะกลับมาสนทนาในเวปนี้เพื่อสนองความต้องการของพี่น้องวะฮาบีย์อีก เมื่อชาติต้องการ อินชาอัลเลาะฮ์" ;D

والسلام

นักศึกษามหาวิทยาลัย อัล-อัซฮัร อัช-ชะรีฟ


---------------------------
จบบทสรุปการเสวนา بالحمدلله
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

คนอยากรู้

  • บุคคลทั่วไป
ดีมากเลยครับ น้องอัลอัชฮารีย์และคุณอัสวาในสิ่งที่น้องทั้ง2พยายามนำเสนอแนวความเชื่อของบังหะสัน ที่มีรูปแบบอะกีดะวะฮาบีย์.

.ที่คุณมุนีรและกอดัรซ์เข้าใจว่า..บังหะสันนั้นมีหลักความเชื่อคล้ายกับเรา (ชาวอาชาอีเราะ)มัสหับทั้ง4..

เป็นที่รู้ว่าบังหะสันนั้นคือนัก่ทองเวปตัวยง และมักจะเข้าไปตอบปัญหาต่างที่เป้นเวปของคนมุสลิมเกือบจะทุกเวป โดยเอาหลักการคตวามเชื่อในแนวของวะฮาบีย์เป็นตัวตั้งและตัดสิน ครั้งหนึ่งที่ผมพบในเวปของ มุสลิมชลบุรีในปี2548  ..มีพี้น้องมุสลิมคนหนึ่งได้ถามทั่วๆไปว่า..ตนเองเข้ามาละหมาดที่มัสยิด ในชลบุรี มีอีหม่ามอ่านบิสมินละดัง..ตนนั้นจะละหมาดเซาะหรอไม่และบางก็ว่าไม่ต้องกล่าวบิสมินละดัง..

ไม่นานครับประมาณ 2วันบังหะสันก็เข้ามาตอบ พร้อม ได้ยกอัลฮาดิสทั้ง2ทัศนะของตนมาประกอบและอ้างว่าหลักฐานที่กล่าวบิสลมินละดังนั้นถือว่าเป็นหลักฐานอ่อน(จากทัศนะอัชชาฟีอี)และเป็นที่ยอทมรับกันน้อยในบรรเดาอุลามะ

ส่วนการไม่กล่าวหรือกล่าวค่อยนั้นเป็นที่ยอมรับกันมาก

 พร้อมยกหลักฐานที่หนักแน่น และคำอ้างของอุลามะในสายของท่านเช่นอิบนิ ตัยมียะและคนอื่นๆมาประกอบ..

ฉนั้น จะเห็นแบบชัดเจนว่า จากคำตอบหลายประเด็นในเรื่องคีลาฟนั้น บังหะสันจะนำทัศนะที่จากบรรดาอุลามะวะฮาบีย์มาแก้คำของบรรดอุละมะทั้ง4มัสหับที่ขัดแย้งกับทัศนะของตนเสมอ พร้อมกับไม่ยึดติดในมัสหับหนึ่งมัสหับใด เป็นการเฉพาะแต่จะหยิบจากทัศนะของผู้รู้คนโน้นนิดคนนี้หน่อยมาประกอบเพื่อให้ตรงกับทัศนะของและได้มีน้ำหนักยิ่งขึ้น


น้องคุณกอัดซร์และคุณมุนีรสามารถศึกษาในเวปต่างๆที่บังหะสันเสนวนากับน้องนักศึกษาจากสถาบันอัลฮัซอัรนะครับทุกๆเวปที่มีการพูดคุยกันเช่น เวปมุรีด เวปมรดกเวปมุสลิมไทยฯลฯ

บังหะสันนั้นจะไม่ยอมปรับทัศนะกับเราทุกครั้งและยืนยันว่าตนนั้นถูกต้องเสมอ และในบางครั้ง เองก็ไม่ยอมรับในสิ่งที่อุลามะอัชชาฟีอีเขามมีการอิติญาด ไม่ว่าประเด็นใดๆนั้นบังหะสันถือว่าเราคือ บรรดาอะล้ลุบิดอะมาตลอด..ทั้งทีเป็นจริงแล้ว บางอย่างที่ไม่มีบอกในอัลกรุอ่านในอัลฮาดิสแต่อุลามะเขาวินิจฉัยกัน บังหะสันก็โจมตีว่ามีนิสัยมุนาฟีกี โดยที่ตนเองก็ไม่เข้าใจ และไม่ยอมรับการมีทัศนะของคนเอาวาม และหาว่าเป็นบิดอะที่ลุ่มหลง เฉกเช่นเดียวกับท่าน อัลมะซุมีย์..ที่อยู่ในทัศนะเดียวกับตน


ว่างๆผมจะนำหลักฐานมาให้คุณกอดัรดูครับ แจ่จริงๆแล้วการค้นหาความจริงนั้นคุณเองก็สามรถกระทำได้ แล้วคุณก็จะพบคำตอบในนั้นครับ  และขอยืนยันว่า

ทั้งคุณอัสวา น้องอัลอัชฮารียและผมไม่ได้ใส่ร้ายบังหะสันว่าเป็นวะฮาบีย์เลยครับเพียงแต่บอกว่าแนวทางการดำเนินชีวิตในหลักการความยึดถือ..ปัจจุบันนี้ของบังหะสันนั้นเป็นรูบแบบที่กลุ่มวะฮาบีย์เขากระทำกันครับ...อัสเตาส์ฟีรุ้ลลอฮ์อัลอาซีมฯ...ลาเฮาลาฯ

คนอยากรู้

  • บุคคลทั่วไป
อัสลามุอาลัยกุ้มน้องอัลอัชฮารีย์..

สลามัตปากีๆๆครับ

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
วะอะลัยกุมุสลามวะเราะฮมุตุลลอฮ์วะบะรอกาตุฮ์  ครับ   ซ่อฮัลเคร ๆ  ครับบัง 

อีกอย่างนะครับ  กระทู้  เขาเสวนาและวิจารณ์  ในเรื่อง ซีฟัต ของอัลเลาะฮ์  ตามหลักการของวะฮาบีย์นะครับ  อย่าเอาเรื่องบิสมิลลาห์ มาขั้น  เดี๋ยวจะมีคนลากไปอื่นอีก  ฮะฮะฮ้า... ;D 
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

นูรุ้ลอิสลาม

  • บุคคลทั่วไป
ชัดเจนครับ  ถือว่าเป็นกระทู้ที่เป็นแหล่งความรู้เกี่ยวกับเรื่องอะกีดะฮ์กระทู้หนึ่งเลยทีเดียว 

คนอยากรู้

  • บุคคลทั่วไป
วะอะลัยกุมุสลามวะเราะฮมุตุลลอฮ์วะบะรอกาตุฮ์  ครับ   ซ่อฮัลเคร ๆ  ครับบัง 

อีกอย่างนะครับ  กระทู้  เขาเสวนาและวิจารณ์  ในเรื่อง ซีฟัต ของอัลเลาะฮ์  ตามหลักการของวะฮาบีย์นะครับ  อย่าเอาเรื่องบิสมิลลาห์ มาขั้น  เดี๋ยวจะมีคนลากไปอื่นอีก  ฮะฮะฮ้า...
...
.ครับน้องบ่าวรูปหล่อ..ของใครเอ่ย..

..ถึงจะมาลากก็ไม่ออกหรอกครับ เพราะเราคุยกันในเรื่องอะกีดะ   แต่บังแค่ยกตัวอย่าง..ให้พี่น้องของเรารู้ว่า บังหะสันนั้นเป็นผู้รู้แบบไหน ในสายตาของเรา เพราะบังหะสันมักจะท่องเวปเข้าไปตอบปัญหาต่างๆโดยเฉพาะประเด็นของศาสนาที่มีการคีลาฟกันระหว่างทัศนะ  ดังที่บังยกตัวอย่างไว้  ซึ่งบังหะสันไม่คิดแยกแยะว่าสิ่งที่ตนตอบนั้น เป็นของทัศนะนั้นทัศนะนี้

ให้พี่น้องท่านอื่นรับทราบ ดังนั้น ผมถือว่าเป็นการกระทำที่ไมถูกต้องของคนที่มีความรู้ต่อผู้มีทัศนะในมัสหับทั้ง4 โดยเฉพาะคนที้มีความตะอัสสุบในทัศนะของตนว่า..ถุกต้องกว่าทัศนะอื่น และยังมีอีกครั้งหนึ่งที่ผมอ่านเจอ เกี่ยวกับ คำถามหนึ่งที่มีผู้ถามว่า (ซึ่งผู้ถามไม่ได้เจาะจงว่าใครตอบ)
คนมุสลิมที่ไม่มีความรู้ต้องมีทัศนะหรือไม่..

ซึ่งบังหะสันเข้ามาตอบพร้อมยกหลักฐาน.
.จากอุลามะในสายของตนเองว่าไม่จำเป็นในเรื่องนี้..และกล่าวอ้างอิงถึงอีหม่ามทั้ง
4มัสหับว่า ไม่อนุญาตให้ตามท่านเหล่านั้น..



ที่ผมยกมานี้..เพียงจะสื่อว่าสิ่งที่มันสอดคล้องกับสิ่งคุณอัสวายกมาข้างต้น  ..ถึงการตอบปัญหาของบังหะสัน..แบบข้ามาคนเดียวจบ.. นั้นมัน เป็นการไม่สมควรจะมีสำหรับผู้รู้อย่างนี้....ที่เอาแค่ความรู้จากทัศนะของตัวเองมาตอบเพื่อตัดสินสิ่งที่เป็นคีละฟียะ.ของบรรดาอุลามะที่เขาพยายามอิติญาดในบางปัญหาที่ไม่มีหลักฐานชัดแจ้งจากกีตาบุลลออ์และซุนนะนบี..

ดังนั้น..จะเห็นได้ว่า..เมื่แอบังหะสันมีอะกีดะที่ผิดพลาดในความเข้าใจต่อคุณลักษณะของอัลลอฮ์แล้ว อิบาดัตต่างในรูปแบบ
ของชารีอัตก็ย่อมมีผลต่อการกระทำด้วย..

และการที่บังหะสันยกหลักฐานมาอ้างในแนวความเชื่อต่างๆไม่ว่า ด้านอะกีดะ ด้านฟิกฮ์  ด้านอัคลาส นั้นล้วนเอาหลักฐานจากผู้รู้ที่อยู่ทัศนะเดียวกับตนทั้งสิ้น..เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็พอจะวิจารณ์บังหะสันได้ว่า

อะกีดะบังหะสันไม่เหมือนกับอะกีดะของชนรุ่นก่อนในอดีต..

การปฏิบัติอ้ามัลอีบาดะในฮุกมชาเราะนั้นก็มาจากทัศนะของที่มีที่กล่าวมาแล้วข้างต้น

การอิคลาสใจต่ออัลลอฮ์ก็ย่อมที่จะผิดพลาดไปด้วย เพราะวะฮาบีย์นั้นมีการศัรทธาแบบพวกมุตะซีละที่ชอบยึดและมุ่งเน้นด้านชารีอัตของท่านนบีมากกว่าฮะกีกัตของอัลลอฮ์?..

ดังนั้นคำพูดของอุลามะรุ่นก่อนจึงมีความหมายมาจนทุกวันนี้ว่า..

....ผู้ใดที่ไม่มีครูเป็นทางนำ แท้จริง เขานั้นเอาชัยตอนเป็นทางนำ..

.....การงานหรืออีบาดัตต่ออัลลออ์จะเสียหาย  ตราบใดที่ท่านมีอะกีดะที่ผิดพลาดมาแต่ต้นแล้ว..

....เอี๊ยะติกอดนั้นอยู่เหนือการกระทำเสมอ...



 

GoogleTagged