salam
แรกเริ่มผมจะรู้มาจากพ่อแม่ และถัดมาก็จากการเรียนรู้จาก ซีฟัต 20 และถัดมาเมือได้เรียนจากอัลกุรอ่านก็ทำให้ผมกระจ่างมากขึ้นและยากิน ครับ
ลำดับขั้นตอนผิดแล้วครับ ความจริง อัลกุรอานเหมือนกับลายแทง ที่เราต้องค้นหาความเชื่อมั่นศรัทธา ความเชื่อมั่นศรัทธา มันเป็นเรื่องของสติปัญญาและหัวใจ ดังนั้นความเชื่อมั่นศรัทธาในอัลกุรอานจะไม่เป็นผล นอกจากต้องใช้สติปัญญาและหัวใจ ทำการยืนยันในการเชื่อมั่น
ฉะนั้น คนอาหรับที่ไม่ใช่มุสลิมหรือนักบูรพาคดี เขาอ่านอัลกุรอานได้และรู้ความหมาย แต่พวกเขาไม่เชื่อในอัลลอฮ์องค์เดียว เพราะเขาไม่ใช่สติปัญญาและหัวใจในการใตร่ตรองและเชื่อ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีความยากินและเชื่อมั่น
ท่านลองพิจารณา อีกอายะฮ์หนึ่งที่ อัลเลาะฮ์ทรงตรัสว่า
والله أخرجكم من بطون أمهاتكم لا تعلمون شيئاً، وجعل لكم السمع والأبصار والأفئدة، لعلكم تشكرون
"และอัลเลาะฮ์ทรงทำให้พวกเขาออกมาจากครรภ์มารดาของพวกเจ้า โดยที่พวกเจ้าไม่รู้สิ่งใดเลย และพระองค์ทรงสร้าง บรรดาการได้ยิน บรรดาการเห็น และบรรดาหัวใจ เผื่อพวกเจ้าจะกตัญญูรู้คุณ"
อัลเลาะฮ์ทรงตรัสเช่นกันว่า
ولا تقف ما ليس لك به علم، إن السمع والبصر والفؤاد كل أولئك كان عنه مسئولاً
"และเจ้าอย่าตามสิ่งที่ไม่มีความรู้แก่เจ้า แท้จริงหู ตา และหัวใจ ทุกสิ่งเหล่านั้นจะถูกสอบสวน"
ดังนั้น ผู้ใดที่ไม่ใช้สติปัญญาทำการใคร่ครวญสรรพสิ่งทั้งหลายเพื่อนำไปสู่การรู้จักอัลเลาะฮ์ ก็แสดงว่าเขากำลังเนรคุณ(ไม่ชุโกร) ต่อเนี๊ยะอฺมัตสติปัญญาที่พระองค์ทรงประทานให้ และถือว่าเขากำลังกลายเป็นคนที่ไม่รู้หรือโง่เขลาตามหลักการของอะกีดะฮ์อิสลาม
ฉะนั้น ความไม่รู้หรือความเขลาประเภทนี้ ย่อมไม่มีการผ่อนปรนให้ กล่าวคือ ผู้ที่รู้ถึงหลักข้ออ้างอันสมเหตุสมผลต่าง ๆ (คือสรรพสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นมาใหม่ และทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมาใหม่นั้น ต้องมีผู้สร้าง และผู้ที่สร้าง ก็คืออัลเลาะฮ์ตาอาลา) แล้วเขาไม่ใส่ใจเกี่ยวกับผลลัพธ์ต่าง ๆ ที่ได้เหล่านั้น แน่นอน เขาต้องเป็นผู้รับผิดชอบจากการไม่ใส่ใจอันนั้น หมายถึง เขาต้องเป็นผู้รับผิดชอบความไม่รู้ของเขาต่อบรรดาผลลัพธ์ดังกล่าว และสิ่งที่ทำให้เขาต้องรับผิดชอบนั้น ก็เพราะว่า เขาทราบถึงหลักสมเหตุสมผลต่าง ๆ แล้ว เนื่องจากการมีหลักข้ออ้างอันสมเหตุสมผล ย่อมทำให้เขาไปสู่ความเป็นผู้รู้ถึงผลลัพธ์ต่าง ๆ เหล่านั้นซึ่งไม่ต้องสงสัยเลยว่า เขาสามารถที่จะไปสู่จุดนั้นได้ แต่เขากลับเบี่ยงเบน เพิกเฉย และละเลยเกี่ยวกับมัน อันเนื่องมาจากอารมณ์ใฝ่ต่ำและความอคติอันโง่เขลาที่มาชักจูงเขาอยู่
ดังนั้น ความโง่เขลาอันนี้ ก็เป็นสาเหตุมาจากตัวของเขาเอง เพราะฉะนั้น เขาจึงต้องแบกรับความรับผิดชอบกับมัน
ท่านโปรดพิจารณาคำตรัสของอัลเลาะฮ์(ซ.บ.) ที่ทรงวางบทบัญญัติข้อบังคับแก่มนุษย์ทั้งหมด ซึ่งพระองค์ทรงตรัสไว้ในอัลกุรอานความว่า
أَوَلَمْ يَنْظُرُوا فِي مَلَكُوتِ السَّمَاوَاتِ وَالْأَرْضِ
"และพวกเขาไม่พิจารณาดอกหรือ ในอาณาจักรฟากฟ้าและแผ่นดิน" อัลอะอฺร๊อฟ 185
พระองค์ทรงตรัสว่า
قُلْ سِيرُوا فِي الْأَرْضِ فَانْظُرُوا كَيْفَ بَدَأَ الْخَلْقَ
"จงประกาศเถิด พวกเจ้าจงจาริกไปในแผ่นดินเถิด แล้วจงพิจารณาว่า พระองค์ทรงบังเกิดสรรพสิ่งทั้งหลายอย่างไร?" อัลอังกะบูต 20
พระองค์ทรงตรัสเช่นกันว่า
قُلِ انظُرُواْ مَاذَا فِي السَّمَاوَاتِ وَالأَرْضِ وَمَا تُغْنِي الآيَاتُ وَالنُّذُرُ عَن قَوْمٍ لاَّ يُؤْمِنُونَ
"จงประกาศเถิด ท่านทั้งหลายจงพิจารณาเถิดว่า อะไรบ้างที่มีอยู่ในฟากฟ้าและแผ่นดิน(ซึ่งล้วนเป็นสัญลักษณ์เตือนให้ยอมจำนนในเอกานุภาพและเดชานุภาพของอัลเลาะฮ์ทั้งสิ้น) และบรรดาสัญลักษณ์ต่าง ๆ (ที่แสดงถึงเอกานุภาพและเดชานุภาพของอัลเลาะฮ์) และบรรดา(ศาสนทูต)ผู้ตักเตือนนั้น ย่อมไม่ยังประโยชน์แก่กลุ่มชนที่ไม่ศรัทธา" ยูนุส 10
อัลเลาะฮ์(ซ.บ.) ทรงบัญชาใช้บรรดาผู้มีสติปัญญาทั้งหมด ให้ทำการใคร่ครวญ พิเคราะห์ถึงมูลเหตุที่สมเหตุผลสมผลและพระองค์ก็ไม่ได้บัญชาใช้พวกเขาไปมากกว่านั้น เพราะผู้มีสติปัญญาที่ได้ใช้สติปัญญามาศึกษาวิเคราะห์ถึงมูลเหตุอันสมผลนี้แล้ว แน่นอนว่า ความรู้ของเขา จักชักนำไปสู่ความมั่นใจต่อบรรดาผลลัพธ์ที่ได้รับ