ท่านอิมาม อิบนุ อะฏออิลและฮ์ กล่าวฮิกัมหนึ่งความว่า
لَوْلاََمَياِدْينُ النُّفُوْسِ مَا تَحَقَّقَ سَيْرُ السَّائِرِيْنَ ، إِذْ لاَ مَسَافَةَ بَيْنَكَ وَبَيْنَهُ حَتَّى تَطْوِيَهَا ِرحْلَتَكَ ، وَلاَ قُطْعَةَ بَيْنَكَ وَبَيْنَهُ حَتَّى تَمْحُوَهَا وُصْلَتُكَ
" หากไม่มีสนามแห่งอารมณ์ใฝ่ต่ำของจิตใจแล้ว การเดินทางของผู้เดินทางก็จะไม่เกิดขึ้น เพราะไม่มีระยะทางระหว่างท่านกับพระองค์ จนพาหนะของท่านจะต้องตัดผ่านมันไป และไม่มีการตัดขาดระหว่างท่านกับพระองค์ จนการติดต่อสัมพันธ์ของท่านลบมันออกไป "
คำว่าการเข้าหาอัลเลาะฮฺ ( السلوك إلى الله ) เป็นคำที่รู้จักกันทั่วไป ก็คือการมุ่งไปสู่อัลเลาะฮฺ (ซ.บ.) ด้วยการกลับตัวกลับใจ ด้วยการปฏิบัติที่อยู่ในกรอบของบทบัญญัติ และห่างไกลจากสิ่งต้องห้าม
แล้ว อะไรคือจุดมุ่งหมายของการเข้าหาอัลเลาะฮ์ (ซ.บ.) ? ท่านทราบดีแล้วว่า อัลเลาะฮฺ (ซ.บ.) ไม่ทรงถูกกำหนดระยะเวลาและสถานที่อยู่ เพราะฉะนั้น จุดมุ่งหมายของการเข้าหาอัลเลาะฮฺ (ซ.บ.) ก็คือ การฝ่าฟันอุปสรรคของอารมณ์ใฝ่ต่ำอันได้แก่สิ่งที่เป็นคุณลักษณะอันบกพร่องที่มีอยู่ในจิตใจ ที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์และธรรมชาติที่ไม่ดีที่เกิดจากจิตใจ อันเป็นผลทำให้เกิดความห่างไกลจากความพึงพอพระทัยของอัลเลาะฮ์ (ซ.บ.)
ดังนั้น ผู้ใดที่ทำการสารภาพผิดต่ออัลเลาะฮฺ (ซ.บ.) ด้วยวิธีการมุ่งบำบัดจิตใจ ปลดเปลื้องตัวเองออกจากความบกพร่องของจิตใจ และขัดเกลาสิ่งที่มีอยู่ในจิตใจให้พ้นจากโรคและธรรมชาติที่ไม่ดีแล้ว แน่นอนเขาได้เริ่มต้นเดินทางแล้ว โดยมุ่งหน้าไป โดยไม่ใช่มุ่งไปที่อัตมันของอัลเลาะฮ์ (ซ.บ.) ซึ่งมันอยู่ใกล้ยิ่งกว่าเส้นเอ็นที่ต้นคอของเขา แต่มุ่งไปสู่สิ่งที่ไกลกว่านั้น นั่นก็คือการมุ่งไปสู่ความโปรดปราน และความพึงพอพระทัยของอัลเลาะฮฺ (ซ.บ.)
ถ้าหากตัวกั้นขวางที่มาจากความบกพร่องและความโสมมของจิตใจ ไม่มีระหว่างบ่าวกับสิ่งที่อัลเลาะฮฺ (ซ.บ.) ทรงพอพระทัยแก่เขาแล้ว แน่นอน คำว่า "การเดินทางไปสู่อัลเลาะฮฺ(ซ.บ.) " ก็ไร้ความหมายและไม่มีอนุญาติให้ใช้คำนี้ได้ เนื่องจากว่าตัวกั้นขวางระยะทางที่สามารถเห็นได้จริง ๆ ที่ต้องฝ่าฟันระหว่างเขาและอัลเลาะฮฺนั้นไม่มี
ชัยคุลอิสลาม อับดุลเลาะฮฺ อัชชัรกอวีย์ กล่าวว่า" การเดินทางไปสู่อัลเลาะฮฺ (ซ.บ.) นั้น ก็คือการฝ่าฟันอุปสรรคที่ยากลำบากของอารมณ์ใฝ่ต่ำและลบร่องรอยที่เป็นสาเหตุให้เกิดมัน และสามารถพิชิตธรรมชาติของอารมณ์ใฝ่ต่ำได้ จนกระทั้งมันได้บริสุทธิ์จากสิ่งดังกล่าว " อธิบาย หนังสือ อัลฮิกัม เล่ม 2 หน้า 66
ท่านอิบนุอิบาดได้กล่าวว่า "นักปราชญ์ตะเซาวุฟบางส่วนกล่าวว่า ( مَا الْحَيَاةُ اِلاَ فِى الْمَوْتِ ) "ไม่มีชีวิตนอกจากในความตาย " ซึ่งหมายความว่า หัวใจจะไม่มีชีวิตนอกจากทำให้นัฟซูนั้นตาย และนักปราชน์ตะเซาวุฟบางท่านกล่าวว่า "เนี๊ยะมัตที่ยิ่งใหญ่นั้นคือ การออกจากนัฟซู เพราะมัน (นัฟซู) คือฮิญาบ มาปิดกั้นอันยิ่งใหญ่ระหว่างเขากับอัลเลาะฮฺ (ซ.บ.) " อธิบาย หนังสือ อัลฮิกัม เล่ม2หน้า66
ดังนั้น ท่านอิบนุอะฏออิลและฮฺได้กล่าวฮิกมะฮฺดังกล่าว โดยมีเป้าหมายที่สามารถสรุปได้ดังต่อไปนี้
ประการที่หนึ่ง ท่านทราบดีว่า อัลเลาะฮฺ (ซ.บ.) ทรงให้เกียตริแก่มนุษย์ ด้วยการให้มีภาระต้องรับผิดชอบต่อบทบัญญัติ พร้อมทั้งประทานบุญกุศลให้ถ้าหากเขาปฏิบัติคุณงามความดี และทำการลงโทษหากเขาทำกรรมชั่ว และเป็นที่ทราบกันดีว่า ความหมายของ ( اَلتَّكْلِِِيْفُ ) การมีภาระต้องรับผิดชอบนั้น คือคำสั่งให้ทำสิ่งที่เป็นภาระตกหนักต่อนัฟซูและขัดแย้งกับอารมณ์ นั่นคือ คุณสมบัติที่มนุษย์มีความโดดเด่นกว่ามะลาอิกะฮ์ เพราะมะลาอิกะฮ์นั้นน้อมรับปฏิบัติตามคำบัญชาของอัลเลาะฮฺ(ซ.บ.) โดยที่พวกเขาไม่ต้องอาศัยความพากเพียรพยายามและตกหนักแต่อย่างใด แต่พระองค์ทรงทำให้ธรรมชาติของมะลาอิกะฮ์น้อมรับคำบัญชาของพระองค์ โดยพวกเขาไม่มีความรู้สึกว่าเป็นภาระตกหนักแต่อย่างใด ยิ่งไปกว่านั้น พระองค์อัลเลาะฮ์ทรงบันดาลให้ธรรมชาติของพวกเขาน้องรับต่อคำบัญชาใช้ของพระองค์ด้วยเหตุนี้ ภาระหน้าที่ของพวกเขาที่อัลเลาะฮฺทรงจัดให้นั้น จึงไม่เหมือนกับภาระรับผิดชอบของมนุษย์ที่เกี่ยวข้องกับการตอบแทนและได้รับผลบุญ
จึงมีคำถามว่า อะไรคือภาระตกหนัก ที่อัลเลาะฮฺทรงทำให้มันเป็นพื้นที่กั้นขวางระหว่างมนุษย์กับการน้อมรับคำสั่งของอัลเลาะฮฺ(ซ.บ.) ? คำตอบ ก็คือ สิ่งที่เกิดขึ้นในจิตใจของมนุษย์อันได้แก่ จากความอยากปรารถนา และธรรมชาติของเดรัจฉาน ความเห็นแก่ตัว อิจฉาริษยาผู้อื่น หยิ่งยะโส กล่าวให้ร้าย และจิตใจที่ดื่มด่ำในการรักดุนยา สิ่งอำนวยความสุข ทรัพย์สินและสิ่งที่ยั่วยวนต่าง ๆ ของมัน ดังนั้นคุณลักษณะเหล่านี้ จึงเป็นเคล็ดลับที่อัลเลาะฮฺได้ปลูกฝังมันเอาไว้ให้เป็นธรรมชาติของจิตใจมนุษย์ ซึ่งเปรียบเสมือนรูปแบบของระยะทางที่ยาวไกลหรือสนามอันกว้างใหญ่ ที่มากั้นขวางระหว่างมนุษย์กับจุดมุ่งหมายแห่งคำสั่งใช้ของพระองค์
ประการที่สอง มีคำถามว่า อะไรคือเคล็ดลับที่อัลเลาะฮฺทรงปลูกฝังอุปสรรคต่าง ๆ เอาไว้ในจิตใจของมนุษย์ และอะไรคือเคล็ดลับที่พระองค์ทรงทดสอบพวกเขาให้ทำการเดินทางไปสู่พระองค์ ? คำตอบก็คือ อุปสรรคต่าง ๆ ของมนุษย์นั้น จึงเสมือนระยะทางที่ยาวไกลระหว่างบ่าวกับพระผู้อภิบาลของเขา ดังนั้น ถ้าหากไม่มีอุปสรรคใด ๆ แล้ว แน่นอน การที่บ่าวจะเดินทางมุ่งไปสู่อัลเลาะฮฺก็จะไร้ความหมายทันที
ท่านย่อมทราบดีแล้วว่า อัลเลาะฮฺทรงให้เกียรติแก่มนุษย์และให้มีจุดเด่นในการให้มีภาระรับผิดชอบ (التكليف ) ดังนั้น ถ้าหากพวกเขาพิจารณาและทราบว่า ระยะทางของอุปสรรคที่มีอยู่ในจิตใจ ได้ถูกย่อหรือถูกลบออกไประหว่างเขากับอัลเลาะฮฺแล้ว ก็คงไม่มีความหมายใด ๆ ต่อการให้มีภาระรับผิดชอบต่อมวลมนุษย์ เคล็ดลับที่พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมาในลักษณะเช่นนี้ก็คงหมดไป และพระองค์ย่อมทรงห่างไกลจากการสร้างมนุษย์ขึ้นมาโดยไร้ประโยชน์และไม่มีเป้าหมาย
อัลเลาะฮฺ(ซ.บ.) ทรงให้เกียรติแก่มนุษย์ ทรงสร้างเขาให้มีรูปทรงที่สวยงาม ทรงอำนวยประโยชน์แก่เขามากมายจากโลกนี้ และทรงประกาศความรักที่มีต่อเขาด้วยถ้อยคำที่สูงส่งอันนิรันดร์ ว่า
فَإِذَا سَوَّيْتُهُ وَنَفَخْتُ فِيْهِ مِنْ رُّوْحِىْ فَقَعُوْا لَهُ سَاجِدِيْنَ
" ต่อมาเมื่อข้าได้สร้างเขา(อาดัม) จนเสร็จสมบูรณ์แล้วและข้าได้เป่าวิญญาน (ที่ข้าเนรมิตขึ้นตามความประสงค์)ของข้า เข้าไปในตัวเขา ดังนั้นพวกเจ้าทั้งหลาย จงน้อมลงสุญูดให้เกียรติแก่เขาเถิด" อัล-ฮุจญรฺ 29
ดังนั้น จึงจำเป็นแก่มนุษย์ โดยยอมจำนนท์ต่อพระผู้ทรงสร้าง ด้วยความเป็นทาสบ่าว และต้องแสดงความเป็นทาสต่อพระองค์ด้วยการชูโกร กตัญญูรู้คุณต่อเนี๊ยะมัตต่างๆ ที่พระองค์ทรงประทานให้ และต้องอดทนต่อการกำหนดสภาวะของพระองค์เมื่อมีภัยมาประสบ
การน้อมจำนนท์ด้วยการมีลักษณะความเป็นทาสต่อพระองค์นั้น จะไม่บรรลุผลนอกจากดว้ยความอดทนเมื่อมีภัยมาประสบและกตัญญูรู้คุณในยามสุขสบาย ซึ่งลักษณะทั้งสองนี้จะขัดแย้งกับอารมณ์นัฟซู และการมุ่งไปสู่อัลเลาะฮฺก็จะไม่บรรลุผลเช่นเดียวกัน นอกจากด้วยการบำบัดขัดเกลาสิ่งที่เกี่ยวข้องและความอยากปรารถนาของนัฟซู
ดังกล่าวนี้คือระยะทางอันยาวไกลระหว่างท่านกับอัลเลาะฮฺ(ซ.บ.) ซึ่งเปรียบเสมือนกลุ่มเมฆสีดำที่มาจากความมัวหมองของอารมณ์นัฟซู และด้วยการที่ท่านตัดมันผ่านไปได้นั้น ก็จะทำให้ปรากฏชัดถึงความเป็นทาสบ่าวของท่านที่มีต่ออัลเลาะฮฺและทำให้เกิดความอบอวนของความรักอันบริสุทธิ์ที่มีต่อพระองค์ นั่นก็คือฮิกมะฮ์ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังพระดำรัสของอัลเลาะฮ์(ซ.บ.) ที่ว่า
وَلَنَبْلُوَنَّكُمْ بِشَىْءٍ مِنَ الْخَوْفِ وَالْجُوْعِ وَنَقْصٍ مِنَ الأَمْوَالِ وَالأَنْفُسِ وَالثَّمَرَاتِ وَبَشِّرِ الصَّابِرِيْنَ
" ขอยืนยัน เราจะทดสอบพวกเจ้าอย่างแน่นอน ด้วยบางสิ่ง จากความหวาดกลัว ความหิวโหย ความขาดแคลนทรัพย์สิน การสูญเสียชีวิตและขาดแคลนผลผลิตเพาะปลูกและเจ้าจงแจ้งข่าวดีแก่บรรดาผู้อดทนเถิด" อัล-บะกอเราะหฺ 155
اَلَّذِيْنَ إِذَا أَصَابَتْهُمْ مُصِيْبَةٌ قَالُوْا إِنَّا ِلله ِوَإِنَا إِلَيْهِ رَاجِعُوْنَ
" บรรดาผู้ซึ่ง เมื่อมีเหตุร้ายมาประสบแก่เขา พวกเขาก็กล่าวว่า " แท้จริงเรา(คือทาส)ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของอัลเลาะฮฺ และเราต้องกลับคืนไปสู่พระองค์ " อัล-บะกอเราะห์ 156
أُلَئِكَ عَلَيْهِمْ صَلَوَاتٌ مِنْ رَّبِّهِمْ وَرَحْمَةٌ وَأُلَئِكَ هُمُ الْمُهْتَدُوْنَ
" พวกเขาเหล่านั้น ย่อมได้รับพรและเมตตาธรรมจากอ งค์อภิบาลของพวกเขาและพวกนั้นเป็นพวกที่ได้รับการชี้นำโดยแท้จริง " อัล-บะกอเราะห์ 157
ดังนั้น เมื่อท่านได้เข้าใจและลิ้มรสสัจจะธรรมอันนี้ ท่านก็จะรู้ค่าของการตักเตือนที่ท่านได้เคยได้ยินได้อ่านคำกล่าวของบรรดาอุลามาอฺผู้มีคุณธรรมที่ทำการต่อสู้ในวิถีทางของอัลเลาะฮฺอย่างแท้จริง เช่นถ้อยคำที่พวกเขากล่าวว่า "ท่านจงทำให้การเดินทางไปสู่อัลเลาะฮฺ ให้อยู่ภายในจิตใจของท่าน ไม่ไช่อยู่ระหว่างบ้านเกิดของท่านกับบัยตุลฮะรอม"
ประการที่สาม อะไรคือสเบียงที่สมควรสะสมไว้ เพื่อเป็นปัจจัยในการเดินผ่านระยะทางของอารมณ์นัฟซูโดยมุ่งไปสู่อัลเลาะฮฺ (ซ.บ.) ? คำตอบก็คือ สเบียงในการเดินทางของเขานั้นมีมากมาย อีกทั้งยังเป็นมิตรสหายในการเดินทางอันแสนยากลำบาก บางครั้งก็มีอยู่พร้อมกับเขา เพราะฉะนั้น เขาพึงทราบเถิดว่า สเบียงและมิตรสหายในการเดินทางของเขานั้นคือ อิหม่านที่ได้รับการเตรียมพร้อมซึ่งซ้อนเร้นอยู่ในจิตใจของเขานั่นเอง อัลเลาะฮฺทรงตรัสไว้ในฮะดิษ กุดซีย์ว่า
وَإِِنِّيْ خَلَقْتُ عِبَادِىْ حُنَفَاَءَ كُلَّهُمْ
"แท้จริงข้าได้สร้างปวงบ่าวของข้า โดยพวกเขาโน้มเอียงสู่สัจจะธรรมทั้งหมด"
เมื่อมุมินคนหนึ่งได้ทำให้อิหม่านของเขานี้มีชีวิตชีวาด้วยการริกรุลเลาะฮฺและพึงพาต่อพระองค์ด้วยการวอนขอดุอาอฺอย่างสม่ำเสมอ แน่นอนอัลเลาะฮฺก็จะทรงทำให้อิหม่านของเขานี้เป็นตัวช่วยและเป็นเสบียงที่ดีเลิศในการเดินทางของจิตใจไปสู่อัลเลาะอฺ (ซ.บ.)
ประการที่สี่ เมื่อท่านเข้าใจคำอธิบายข้างต้นจากคำกล่าวของท่านอิบนุอะฏออิลและฮฺแล้ว ท่านก็จะรู้ว่า อัลเลาะฮฺ(ซ.บ.) ไม่ถูกปิดกั้นด้วยสิ่งหนึ่งสิ่งใดจากตัวท่านเลย แต่ท่านพึงทราบเถิดว่า ตัวท่านต่างหากที่ปิดกั้นตัวเองจากอัลเลาะฮฺ(ซ.บ.) จึงเป็นเหตุให้ท่านถูกปิดกั้นจากพระองค์ด้วยสิ่งกั้นขวางอันแน่นหนา ที่มาจากอุปสรรคและความขุ่นหมองของหัวใจท่านเอง ดังนั้น การทดสอบที่มนุษย์กำลังแบกรับอยู่ในโลกดุนยานี้ เป็นการทดสอบจากอัลเลาะฮฺ(ซ.บ.)โดยใช้ให้เขาได้รับภาระผิดชอบ ด้วยการยกสิ่งกั้นขวางทางจิตใจอันแน่นหนาที่อยู่ในตัวของเขาออกไป เพื่อเขาจะได้มีความสุขด้วยการเห็น เพ่งจิตต่อพระองค์
ประการที่ห้า ส่วนหนึ่งจากสิ่งที่ถูกขีดขั้นไว้ในความรอบรู้ของอัลเลาะฮฺ(ซ.บ.)ตั้งแต่เดิมนั้น ก็คือ พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมาโดยได้รับการให้เกียตริ และในลักษณะการดำเนินชีวิตของเขาในโลกดุนยานี้ จึงทำให้ปรากฏถึงมนุษย์ 2 จำพวกด้วยกัน
พวกแรก คือ กลุ่มที่ตามธรรมชาติของอิหม่านที่ถูกตระเตรียมและบรรจุไว้ในตัวของเขา และเขาก็สามารถพิชิตเหนือบรรดาโรคและความขุ่นมัวทางจิตใจได้
พวกที่สอง คือ กลุ่มที่คล้อยตามอารมณ์นัฟซูโดยแสร้งทำเป็นไม่รู้ถึงการมีอิหม่านที่ถูกตระเตรียมไว้แล้วสำหรับเขา
ดังนั้น จากสองกลุ่มนี้ อัลเลาะฮฺได้ทรงตรัสยืนยันเอาไว้ว่า
فَرِيْقٌ فِيْ الْجَنَّةِ وَفَرِيْقٌ فِى السَّعِيْرِ
"มีบางกลุ่มที่อยู่ในสรวงสวรรค์และอีกบางกลุ่มที่อยู่ในนรก" อัชชูรอ 7
และพระองค์ทรงตรัสจากกลุ่มแรกอีกว่า
وَأُزْلِفَتِ الْجَنَّةُ لِلْمُتَّقِيْنَ غَيْرَ بَعِيْدٍ * هَذَا مَا تُوْعَدُوْنَ لِكُلِّ أَوَََّابٍ حَفِيْظٍ
"และสวรรค์นั้นได้ถูกนำเสนอแก่บรรดาผู้ยำเกรงอัลเลาะฮฺโดยใกล้ชิดมิได้ห่างไกลเลย นี้เป็นสิ่งที่ท่านทั้งหลายถูกสัญญาไว้สำหรับผู้ที่กลับคืน(สู่พระองค์) อีกทั้งพิทักษ์(ไว้ซึ่งบทบัญญัติของพระองค์)ทุกๆคน" ก๊อบฺ 31-32
และพระองค์ทรงตรัสจากกลุ่มที่สองอีกเช่นกันว่า
وَلَكِنْ حَقَّ الْقَوْلُ مِنِّيْ لأمْلأنَّ جَهَنَّمَ مِنَ الْجِنَّةِ وَالنَّاسِ أَجْمَعِيْن
" และแต่ทว่า ประกาศิตจากข้าย่อมเป็นจริงเสมอ ขอยืนยัน ข้าจักบรรจุไว้จนเต็มนรกทั้งญินและมนุษย์ทั้งสิ้น" อัส-สะญะดะฮฺ 13
จึงไม่เป็นที่สงสัยว่า อัลเลาะฮฺ(ซ.บ.) ทรงรู้ตั้งแต่เดิมแล้วกับสิ่งที่บ่าวคนหนึ่งจะเลือกปฏิบัติให้กับตัวเขาเองนั้น จะมาจากสองหนทางนี้ ดังนั้น พระองค์ทรงรู้ดีถึงกลุ่มชนที่เตรียมพร้อมกับตัวเองสำหรับสวรรค์ และทรงรู้ดีถึงกลุ่มชนที่ตระเตรียมตัวเองสู่นรก แต่แบบแผนของอัลเลาะฮฺที่มีต่อปวงบ่าวนั้น ได้กำหนดว่า พระองค์จะไม่ทำการตัดสินพวกเขาในวันโลกหน้าโดยยึดจากความรู้ของพระองค์ที่มีมาแต่เดิม แต่พระองค์จะทำการตัดสินพวกเขาโดยขึ้นอยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้นตามสภาพของพวกเขาเอง ไม่ว่าจะเป็นในด้านหลักการศรัทธาหรือหลักการปฏิบัติ เพื่อจะให้ดังกล่าวนั้น เป็นสิ่งที่มายืนยันต่อพวกเขาเอง
ฉะนั้น เมื่อเรื่องราวได้ดำเนินไปตามนั้น อัลเลาะฮฺ(ซ.บ.)ก็จะผลักดันพวกเขาทั้งหมดให้ไปอยู่ในสนามแห่งการทดสอบ เพื่อจะแยกแยะระหว่างคนดีและคนเลว และหากไม่มีความจำเป็นจากการเดินทางในสนามแห่งการทดสอบนี้แล้ว ก็จะไม่สามารถแยกแยะกลุ่มหนึ่งออกจากกลุ่มหนึ่งได้ และจากฮิกมะฮ์อันมีเกียรตินี้ อัลเลาะฮฺทรงตรัสไว้มีความว่า
مَا كَانَ اللهُ لِيَذَرَ الْمُؤْمِنِيْنَ عَلىَ مَا أَنْتُمْ عَلَيْهِ حَتَّى يَمِيْزَ الْخَبِيْثَ مِنَ الطَّيَّبِ وَمَاكَانَ الله ُلِيُطْلِعَكُمْ عَلىَ الْغَيْبِ
" หาใช่ว่าอัลเลาะฮฺจะทรงทอดทิ้งบรรดาผู้มีศรัทธาให้ประสบกับภาวะที่พวกเจ้ากำลังประสบอยู่ จนกว่าพระองค์จะแยกสิ่งโสโครก(คนเลว)ออกจากสิ่งที่ดี(คนมีอิหม่าน) และพระองค์จะไม่ให้พวกเจ้ารู้สิ่งที่เร้นลับ(คือสิ่งที่มีอยู่ในหัวใจของบรรดาบ่าวของพระองค์ว่า มีศรัทธาหรือไม่ )" อาละอิมรอน 179
วัลลอฮุอะลัม