ผู้เขียน หัวข้อ: มุอ์มินที่สมบูรณ์ต้องไม่ทำอะมัลเพื่อหวังการตอบแทน(บทเรียนฮิกัม)  (อ่าน 4076 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com

ท่านปรมาจารย์ อิมาม อิบนุอะฏออิลและฮ์ กล่าวว่า

المؤمن يشغله الثناء على الله عن أن يكون لنفسه شاكرا
وتشغله حقوق الله عن أن يكون لحظوظه ذاكرا

?มุอฺมินที่สมบูรณ์นั้น คือ การสรรเสริญต่ออัลเลาะฮ์นั้น ทำให้เขาไม่สนใจต่อการให้ความสำคัญแก่ตัวเขาและความปรารถนาที่เขาจะทำให้สมบูรณ์กับบรรดาสิทธิ(คือคำบัญชาใช้)ของอัลเลาะฮ์ ย่อมทำให้เขาไม่คำนึงส่วนผลการตอบแทนที่เขาจะได้รับ?

ท่านชัยคุลอิสลาม อับดุลเลาะฮ์ อัชชัรกอวีย์ อธิบายว่า ?มุอ์มินที่สมบูรณ์นั้น คือ การสรรเสริญต่ออัลเลาะฮ์ โดยการพรรณนาคุณลักษณะที่วิจิตงดงามและพาดพิงคุณลักษณะที่น่าสรรเสริญไปยังพระองค์นั้น ทำให้เขาไม่สนใจต่อการให้ความสำคัญกับตัวของเขาเอง คือ ไม่พาดพิงการปฏิบัติความดีงามและคุณลักษณะที่น่าสรรเสริญไปยังตัวของเขาเอง เพราะฉะนั้น เมื่อเขากล่าวว่า ฉันละหมาด ฉันได้ถือศีลอด โดยที่พาดพิงการปฏิบัติความดีงามเหล่านี้ไปยังตัวเขาเอง แน่นอนว่า เขายังไม่ใช่มุอฺมินที่สมบูรณ์ เนื่องจากว่าการปฏิบัติความดีงามนั้น เป็นการกำกับและการสรรสร้างของอัลเลาะฮ์ มนุษย์เป็นเพียงตัวแสดงให้เห็นถึงการกระทำของอัลเลาะฮ์เท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น การสรรเสริญต่อสิ่งที่ปฏิบัติขึ้นมา โดยไม่คำนึงถึงการสรรเสริญต่ออัลเลาะฮ์ผู้ทรงสร้างการกระทำ ผู้ทรงให้ และผู้ทรงประทานความโปรดปรานนั้น การปฏิบัติความดีก็ย่อมไม่มีความหมายใดๆ ดังนั้น มุอ์มินที่สมบูรณ์ต้องไม่พาดพิงการปฏิบัติความดีและคุณลักษณะที่มีเกียรติไปยังตัวของเขาเอง และต้องไม่มองว่าตัวเขาเองนั้นสำคัญ แต่เขาต้องลบสิ่งดังกล่าวให้หายไป(จากจิตใจ) ด้วยการพาดพิงการกระทำความดีต่างๆ ไปยังผู้ทรงสร้างมัน นั่นก็คือ อัลเลาะฮ์ ซุบหานะห์ฯ และมุอ์มินที่ความปรารถนาจะทำให้สมบูรณ์กับบรรดาสิทธิ(คือคำบัญชาใช้)ของอัลเลาะฮ์นั้น เขาจะไม่คำนึงผลส่วนการตอบที่เขาจะได้รับ ซึ่งหมายถึง เขาทำอิบาดะฮ์เพราะอัลเลาะฮ์เพียงองค์เดียว โดยมิได้อยากได้สวรรค์หรือกลัวไฟนรกของพระองค์? ดู หนังสือ ชัรฮุ อัลฮิกัม เล่ม 2 หน้า 64

ดังนั้น เมื่อบ่าวคนหนึ่งได้มีความศรัทธาต่ออัลเลาะฮ์อย่างสมบูรณ์แล้ว เขาก็จะตระหนักว่า ทุกอะมัลอิบาดะฮ์และความภักดีที่ได้กระทำออกมาจากตัวเขานั้น คือผลงานที่อัลเลาะฮ์ทรงชี้นำให้แก่เขา และการที่อัลเลาะฮ์ทรงชี้นำให้แก่เขานั้น ก็เป็นผลแห่งความรักของพระองค์ที่มีให้แก่เขา เพราะฉะนั้น ด้วยความรักของพระองค์ที่มีต่อบ่าว พระองค์ก็จะชี้นำเขาให้มีการปฏิบัติความดีงาม และด้วยการชี้นำของพระองค์ที่มีต่อบ่าวนั้น พระองค์ก็จะทำให้บรรดาการปฏิบัติความดีงามสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ดังนั้น อัลเลาะฮ์จึงเป็นผู้ที่ประทานความโปรดปรานแก่เขา อันเนื่องจากพระองค์ทรงเปิดหัวใจของเขาให้ปฏิบัติความดีงามดังกล่าวและทรงทำให้มันลุล่วงไปด้วยดี

พระองค์ทรงตรัสว่า

يَمُنُّونَ عَلَيْكَ أَنْ أَسْلَمُوا قُل لَّا تَمُنُّوا عَلَيَّ إِسْلَامَكُم بَلِ اللَّهُ يَمُنُّ عَلَيْكُمْ أَنْ هَدَاكُمْ لِلْإِيمَانِ إِن كُنتُمْ صَادِقِينَ

?พวกเขาลำเลิกบุญคุณแก่เจ้า ในการที่พวกเขาได้สวามิภักดิ์ จงประกาศเถิด (โอ้ มุฮัมมัด) ?พวกท่านอย่าล้ำเลิกบุญคุณแก่ฉัน ในการสวามิภักดิ์ของพวกท่านเลย ทว่า ! อัลเลาะฮ์จะทรงตอบแทนการลำเลิกของพวกท่าน ในการพระองค์ทรงชี้นำพวกท่านให้มีความศรัทธา(ตามที่พวกเขากล่าวอ้าง) หากพวกเขาเป็นผู้สัจจริง? อัล-หุญะร๊อต 17

พระองค์ทรงตรัสเช่นกันว่า

فَمَن يُرِدِ اللّهُ أَن يَهْدِيَهُ يَشْرَحْ صَدْرَهُ لِلإِسْلاَمِ وَمَن يُرِدْ أَن يُضِلَّهُ يَجْعَلْ صَدْرَهُ ضَيِّقاً حَرَجاً كَأَنَّمَا يَصَّعَّدُ فِي السَّمَاء كَذَلِكَ يَجْعَلُ اللّهُ الرِّجْسَ عَلَى الَّذِينَ لاَ يُؤْمِنُونَ

?ดังนั้น ผู้ใดที่อัลเลาะฮ์ทรงปรารถนาจะชี้นำเขา แน่นอน พระองค์จะทรงเปิดจิตใจของเขาเพื่อรับอิสลาม และผู้ใดที่พระองค์ทรงปรารถนาที่จะยังความหลงผิดแก่เขา พระองค์ก็จะทรงบันดาลให้จิตใจของเขาคับแคบ อีกทั้งตีบตัน(ไม่พบทางออก) ประดุจเขากำลังพยายามขึ้นไปในฟากฟ้า? อัลอันอาม 125

ดังนั้น เมื่ออิหม่านของบ่าวคนหนึ่งได้สมบูรณ์มีความรู้สึกยะเกน เขาก็จะสรรเสริญต่ออัลเลาะฮ์ อันเนื่องจากพระองค์ทรงประทานทางนำให้เขาได้ทำอิบาดะฮ์และสร้างความใกล้ชิดต่อพระองค์ โดยไม่หันมาสนใจและยกย่องตัวเขาเอง(ด้วยความดีที่เขาได้กระทำ)

ผู้ที่มีอีหม่านเช่นนี้ เขาจะไม่รู้สึกหวังผลการตอบแทนจากอัลเลาะฮ์ ซุบหานะฮ์ฯ ด้วยบรรดาอะมัลอิบาดะฮ์ที่อัลเลาะฮ์ทรงชี้นำให้แก่เขา เนื่องจากไม่บังควรอย่างยิ่ง ที่เขาได้สรรเสริญต่ออัลเลาะฮ์ด้วยเหตุที่พระองค์ทรงชี้นำให้เขาได้ทำอิบาดะฮ์ แต่ในขณะเดียวกัน เขายังมีความต้องการผลการตอบแทนจากอิบาดะฮ์นั้น

การที่บ่าวคนหนึ่งคิดว่าการกระทำความดีได้มาจากตัวของเขาเอง โดยไม่พาดพิงไปยังอัลเลาะฮ์ แน่นอนว่า ความลำพองอาจจะเกิดขึ้นแก่ตัวเขา ซึ่งความลำพองนี้เป็นโรคร้ายชนิดหนึ่งของจิตใจที่น่าตำหนิ และเป็นการเผยให้เห็นสิ่งที่อัลเลาะฮ์ทรงเรียกมันว่า ?บาปภายใน? ซึ่งการเยียวยารักษาให้หลุดพ้นจากมันนั้น ก็คือ การรำลึกอยู่เสมอว่า ผู้ที่สร้างการกระทำนั้น คือ อัลเลาะฮ์ ซุบหานะฮ์ฯ และผู้ที่ชี้นำให้ท่านได้ปฏิบัติคุณงามความดีนั้น ก็คือ อัลเลาะฮ์ ซุบหานะฮ์ฯ

ส่วนกรณีของการแสดงความขอบคุณต่อผู้อื่นหรือผู้ที่อัลเลาะฮ์ให้เขาปฏิบัติต่อเรานั้น ย่อมไม่ได้อยู่ในความหมายของการละทิ้งการสรรเสริญและขอบคุณต่ออัลเลาะฮ์ เนื่องจากพระองค์ทรงกำชับให้มีการยอมรับในความดีงามและให้มีการขอบคุณซึ่งกันและกัน

พระองค์ทรงตรัสไว้ว่า

وَلاَ تَنسَوُاْ الْفَضْلَ بَيْنَكُمْ إِنَّ اللّهَ بِمَا تَعْمَلُونَ بَصِيرٌ

?และพวกเจ้าอย่าลืมความดีงามที่มีระหว่างพวกเจ้า แท้จริง อัลเลาะฮ์ทรงเห็นในสิ่งที่พวกเจ้าประพฤติไว้? อัล-บะกอเราะฮ์ 237

ท่านร่อซูลุเลาะฮ์ ได้วจนะไว้ว่า

من لم يشكر الناس لم يشكرالله

?ผู้ใดที่ไม่ขอบคุณต่อมนุษย์ผู้อื่น เขาก็ย่อมไม่ขอบคุณต่ออัลเลาะฮ์ด้วย?

ดังนั้น การแสดงความขอบคุณต่อผู้อื่น จึงเป็นการแสดงจรรยามารยาทที่ดีงาม ที่จะประสานความรัก ความสมานฉันท์ขึ้นในสังคม แต่ในทางกลับกัน คนที่ขอบคุณยกย่องตัวเขาเอง ก็ย่อมเป็นการแสดงถึงความเห็นแก่ตัว อันที่จะทำให้ความรัก ความสมานฉันท์อันบริสุทธิ์ในสังคมต้องหมองมัวไป

หากมีคำถามว่า เหตุใดท่านซัยยิดะฮ์ อาอิชะฮ์ (ร่อฏิยัลลอฮุอันฮา) ในขณะที่ท่านร่อซูลุเลาะฮ์ ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้แจ้งข่าวดีถึงความบริสุทธิ์ของนาง จากข้อกล่าวหาให้ร้ายที่อิบนุซะลูลและพวกพร้องได้กุขึ้นมา ท่านหญิงอาอิชะฮ์เองก็ไม่ตอบรับคำกล่าวของมารดาที่ว่า ?เธอจงยืนขึ้น และทำการขอบคุณต่อท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ซิ? ท่านหญิงกล่าวว่า ?ไม่จ๊ะ ขอสาบานต่ออัลเลาะฮ์ ฉันจะไม่ยืนและขอบคุณต่อผู้ใดนอกจากอัลเลาะฮ์ ซุบหานะฮ์ฯ เพียงเองเดียวเท่านั้น? รายงานโดย บุคอรีย์

คำตอบ ก็คือ การประกาศความบริสุทธิ์ของท่านหญิงอาอิชะฮ์ ผู้เป็นมารดาแห่งศรัทธาชนนั้น ได้ถูกประทานโองการโดยตรงจากอัลเลาะฮ์ ซุบหานะฮ์ฯ โดยที่ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ (ซ.ล.) มีบทบาทเป็นสื่อกลางเพื่อบอกให้ท่านหญิงรู้สิ่งที่ได้รับโองการจากอัลเลาะฮ์ ซุบหานะฮ์ฯ เท่านั้นเอง ซึ่งหากท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.บ.)มีบทบาทในการคลี่คลายข้อครหาที่เกิดขึ้นแล้ว แน่นอนว่า การคลี่คลายกรณีดังกล่าว สามารถกระทำได้ในช่วงระหว่างหนึ่งเดือนเต็ม แต่ท่านร่อซูลุเลาะฮ์ก็ยังสับสนจากข้อกล่าวหานี้ โดยไม่สามารถรู้ถึงข้อเท็จจริงได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์จึงไม่มีบทบาทในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้เลย อีกทั้งยังสร้างความเดือดร้อนทางจิตใจให้กับท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ เฉกเช่นเดียวกันกับท่านหญิงอาอิชะฮ์ ซึ่งในขณะเดียวกัน ท่านหญิงก็เฝ้ารอการคลี่คลายจากอัลเลาะฮ์ ซุบหานะฮ์ฯ ในการเปิดเผยให้รู้ว่า ท่านหญิงนั้นบริสุทธิ์จากข้อกล่าวหา และท่านร่อซูลุเลาะฮ์(ซ.ล.) ก็เฝ้ารอกันคลี่คลายจากอัลเลาะฮ์ ซุบหานะฮ์ เช่นเดียวกัน ดังนั้น เมื่ออัลเลาะฮ์ ซุบหานะฮ์ ทรงประกาศความบริสุทธิ์ของท่านหญิงจากข้อครหาที่หัวหน้าพวกมุนาฟิกได้กุขึ้น แน่นอนว่า ความกรุณา ความโปรดปราน ในสิ่งดังกล่าวนั้น เป็นกรรมสิทธิ์ของอัลเลาะฮ์ที่มีให้แก่ท่านนบีและท่านหญิงอาอิชะฮ์ ด้วยเหตุนี้ ท่านหญิงอาอิชะฮ์จึงทำการขอบคุณ(ชุโกร)ต่ออัลเลาะฮ์แต่เพียงผู้เดียว และดังกล่าวก็เป็นจุดยืนของท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม อีกด้วย

และที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น คือคุณลักษณะแรกของมุอฺมินที่สมบูรณ์ ที่ได้ถูกกล่าวไว้ในฮิกมะฮ์นี้

ส่วนลักษณะที่สอง ที่ท่าน อิมาม อิบนุ อะฏออิลและฮ์ได้กล่าวไว้ คือ ?และความปรารถนาที่เขาจะทำให้สมบูรณ์กับบรรดาสิทธิ(คือคำบัญชาใช้)ของอัลเลาะฮ์ ย่อมทำให้เขาไม่คำนึงส่วนผลการตอบแทนที่เขาจะได้รับ? คือ มุอ์มินที่มีอีหม่านอย่างแท้จริงต้องเดินตามแนวทางของอุดมการณ์นี้ ซึ่งจะเขาต้องยอมจำนนท์ให้กับสองปัจจัยด้วยกัน คือ

ปัจจัยที่หนึ่ง การเปรียบเทียบระหว่างสิทธิความโปรดปรานของอัลเลาะฮ์ที่มีต่อบ่าวกับสิทธิที่หน้าของบ่าวที่มีต่อพระองค์ ดังนั้น มุอ์มินที่แท้จริงนั้น เมื่อเขาได้เปรียบเทียบระหว่างทั้งสองแล้ว สิทธิหน้าที่และความปรารถนาในผลการตอบแทนของมนุษย์นั้น จำต้องมีความละอายและยอมจำนนท์ต่อสิทธิแห่งความโปรดปรานของพระองค์ที่มีให้แก่มนุษย์ทั้งหลาย

ปัจจัยที่สอง ส่วนมากแล้ว ในส่วนลึกจากความปรารถนาผลการตอบแทนของมนุษย์นั้น จะผูกมัดอยู่กับการปฏิบัติคำบัญชาใช้ของอัลเลาะฮ์ หมายความว่า อัลเลาะฮ์ ซุบหานะฮ์ฯ ได้ทำให้ความปรารถนาผลการตอบแทนของมนุษย์เป็นผลที่ได้รับจากการปฏิบัติข้อบังคับใช้ต่างๆ ที่อัลเลาะฮ์ทรงบัญญัติให้แก่ปวงบ่าวของพระองค์ แล้วพระองค์ก็ทรงให้เกียรติโดยประทานผลการตอบแทนตามความปรารถนาของพว
กเขา

ท่านผู้อ่านโปรดพิจารณาคำตรัสของอัลเลาะฮ์ ซุบหานะฮ์ฯ ที่ว่า

وَأَوْفُواْ بِعَهْدِي أُوفِ بِعَهْدِكُمْ وَإِيَّايَ فَارْهَبُونِ

?พวกเจ้าจงทำตามสัญญาของข้าให้ครบถ้วนเถิด แน่นอน ข้าก็จะประทานผลตามสัญญาของพวกเจ้าโดยครบถ้วนเช่นเดียวกัน และพวกเจ้าจงยำเกรงข้า? อัล-บะกอเราะฮ์ 40

พระองค์ทรงตรัสอีกว่า

مَنْ عَمِلَ صَالِحاً مِّن ذَكَرٍ أَوْ أُنثَى وَهُوَ مُؤْمِنٌ فَلَنُحْيِيَنَّهُ حَيَاةً طَيِّبَةً وَلَنَجْزِيَنَّهُمْ أَجْرَهُم بِأَحْسَنِ مَا كَانُواْ يَعْمَلُونَ

?ผู้ใดประพฤติความดี ทั้งบุรุษหรือสตีก็ตาม โดยเขาเป็นผู้ศรัทธา แน่นอน เราจะฟื้นฟูชีวิตที่ดีแก่เขา และแน่นอน เราจะตอบแทนรางวัลแก่เขา เพราะความดีงามที่พวกเขาเคยประพฤติไว้? อันนะห์ลิ 97

พระองค์ทรงตรัสอีกเช่นกันว่า

هَلْ جَزَاء الْإِحْسَانِ إِلَّا الْإِحْسَانُ

?การตอบแทนคุณความดีย่อมไม่มีสิ่งอื่นใด นอกจากมีการตอบแทนคุณความดีประดุจเดียวกัน? อัรเราะหฺมาน 60

ดังนั้น มุอ์มินตามนัยยะทั้งสองปัจจัยนี้ มีอยู่ 2 จำพวกเช่นเดียวกัน

พวกที่หนึ่ง ความบกพร่องได้ชักนำเขาไปยังการค้นหาสิ่งที่เขาปรารถนา ดังนั้น เมื่อเขาไม่ได้พบสิ่งที่ต้องการ เขาก็จะทำการเฝ้าวอนขอดุอาอ์ต่ออัลเลาะฮ์ เพื่อให้พระองค์ทรงประทานความสัมฤทธิ์ผลผลในสิ่งที่เขาหวัง และประทานความสะดวกแก่เขา เพื่อให้ได้รับสิ่งที่เขาต้องการ เพราะฉะนั้น หากเขาไม่พบการตอบรับดังกล่าว ความคลางแคลงสงสัยก็จะวนเวียนอยู่ในความคิดของเขา และความเหนื่อยหน่ายได้เข้ามาครอบงำ โดยเขาไม่หวนกลับไปพิจารณาถึงความบกพร่องในการปฏิบัติบทบัญญัติของอัลเลาะฮ์ที่มีต่อตัวเขา และทำการเพิกเฉยต่อข้อบังคับใช้มากมาย โดยที่เขาไม่รู้สึกละอายต่ออัลเลาะฮ์เลย ดังนั้น พวกนี้คือผู้ที่อัลเลาะฮ์ ซุบหานะฮ์ฯ ทรงตรัสไว้ว่า

وَمِنَ النَّاسِ مَن يَعْبُدُ اللَّهَ عَلَى حَرْفٍ فَإِنْ أَصَابَهُ خَيْرٌ اطْمَأَنَّ بِهِ وَإِنْ أَصَابَتْهُ فِتْنَةٌ انقَلَبَ عَلَى وَجْهِهِ خَسِرَ الدُّنْيَا وَالْآخِرَةَ ذَلِكَ هُوَ الْخُسْرَانُ الْمُبِينُ

?และมีมนุษย์บางคน ที่เป็นผู้มนัสการต่ออัลเลาะฮ์บนความลังเล กล่าวคือ หากมีความดีงามมาประสบแก่เขา เขาก็จะสบายใจกับมัน แต่ถ้ามีวิกฤติการณ์มาประสบแก่เขา เขาก็จะพลิกหน้ากลับไป เขาจึงประสบความขาดทุนทั้งโลกนี้และโลกหน้า นั้นเป็นความขาดทุนอันชัดแจ้งที่สุด? อัลฮัจญ์ 11

พวกที่สอง ความเป็นทาสบ่าวของเขาที่มีต่ออัลเลาะฮ์ ได้ปรากฏอยู่ภายในจิตใจของเขา และเขาสำนึกตัวเองอยู่เสมอว่า พระองค์ทรงเห็นเขา , การที่เขาไม่สนใจต่อผลการตอบแทนที่ได้รับนั้น เพราะเขาได้พิเคราะห์และใคร่ครวญถึงความยิ่งใหญ่และความสำคัญจากคำบัญชาของพระองค์ ทั้งในยามสบาย ยามสุขสำราญ และอื่นๆ จากบรรดาเนี๊ยะมัตที่ไม่สามารถคณานับได้ และเขาก็ย้อนกลับไปพิจารณาตัวเอง แล้วทราบว่า เขามีความบกพร่องเหลือเกินจากการปฏิบัติบทบัญญัติที่อัลเลาะฮ์ทรงบัญชาใช้ โดยพยายามค้นหาความมั่นคงต่อวิถีทางที่จะสร้างความพึงพอพระทัยต่ออัลเลาะฮ์ ดังนั้น การพิเคราะห์ใคร่ครวญเช่นนี้ ได้ผลักดันให้เขาอยู่ในสภาวะจิตใจที่ผสมผสานไปด้วยความรู้สึกละอายและเกรงกลัวต่ออัลเลาะฮ์ ซุบหานะฮ์ฯ ไปพร้อมๆ กัน เพราะฉะนั้น เขาจะคำนึงถึงผลการตอบแทน อีกทั้งให้ความสำคัญกับมัน และขอผลการตอบแทนจากพระผู้อภิบาลของเขาอีกกระนั้นหรือ??!!

วัลลอฮุอะลัม
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

นูรุ้ลอิสลาม

  • บุคคลทั่วไป
การที่บ่าวคนหนึ่งคิดว่าการกระทำความดีได้มาจากตัวของเขาเอง โดยไม่พาดพิงไปยังอัลเลาะฮ์ แน่นอนว่า ความลำพองอาจจะเกิดขึ้นแก่ตัวเขา ซึ่งความลำพองนี้เป็นโรคร้ายชนิดหนึ่งของจิตใจที่น่าตำหนิ และเป็นการเผยให้เห็นสิ่งที่อัลเลาะฮ์ทรงเรียกมันว่า ?บาปภายใน? ซึ่งการเยียวยารักษาให้หลุดพ้นจากมันนั้น ก็คือ การรำลึกอยู่เสมอว่า ผู้ที่สร้างการกระทำนั้น คือ อัลเลาะฮ์ ซุบหานะฮ์ฯ และผู้ที่ชี้นำให้ท่านได้ปฏิบัติคุณงามความดีนั้น ก็คือ อัลเลาะฮ์ ซุบหานะฮ์ฯ

ขนาดทำอิบาดะฮ์  ยังบาป  เพราะมีการลำพองตน  อันเนื่องจากไม่พาดพิงไปยังอัลเลาะฮ์  หมายถึงไม่รำลึกว่าอัลเลาะฮ์คือผู้ชี้นำให้เราได้ทำอิบาดะฮ์  ได้ให้เรามีร่างกายแข็งแรงสุขภาพดี  มีพละกำลังทำอิบาดะฮ์   

นี่แสดงว่าหนังสือฮิกัมเนี่ย  มุ่งเน้นให้เรากลับไปหาอัลเลาะฮ์เพียงผู้เดียวจริงๆ  เขาเรียกว่าเป็นวิชาที่สอนให้รู้วิธีกลับไปหาอัลเลาะฮ์  เพราะอะไร ๆ ก็ให้กลับไปหาอัลเลาะฮ์  นี่แหละ "ฮิกัม"  (องค์ความรู้อันมากมาย)  ให้ศัพท์ได้สวยจริงๆ ครับ 

ออฟไลน์ almadany

  • เพื่อนสนิท (._.")
  • ***
  • กระทู้: 346
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
อัสลามุอะไลกุ้ม......ขอถามหน่อยครับ.....เมื่อมุมินที่สมบูรณ์ต้องไม่ทำอะมัลเพื่อหวังผลการตอบแทนจริงแล้วนั้น...แล้วทำไมในดุอามีการขอให้ได้รับสวรรค์ที่พระองค์ทรงตระเตรียมไว้ให้และให้พ้นจากไฟนรกกันล่ะครับ...ซึ่งแบบนี้เท่ากับส่งเสริมไม่ให้เป็นมุอ์มินที่สมบูรณ์ซิครับ....??

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
อัสลามุอะไลกุ้ม......ขอถามหน่อยครับ.....เมื่อมุมินที่สมบูรณ์ต้องไม่ทำอะมัลเพื่อหวังผลการตอบแทนจริงแล้วนั้น...แล้วทำไมในดุอามีการขอให้ได้รับสวรรค์ที่พระองค์ทรงตระเตรียมไว้ให้และให้พ้นจากไฟนรกกันล่ะครับ...ซึ่งแบบนี้เท่ากับส่งเสริมไม่ให้เป็นมุอ์มินที่สมบูรณ์ซิครับ....??

ลักษณะการขอต่ออัลเลาะฮ์มีความแตกต่างกัน  คนระดับธรรมดาทั่วไปจะขอต่ออัลเลาะฮ์เพื่อเป็นการตอบแทนอะมัลที่เขาได้กระทำ  แต่สำหรับบุคคลที่มีสภาวะจิตใจที่สูง  จะวอนขอต่ออัลเลาะฮ์  เช่น ขอสวรรค์เพราะความโปรดปรานของพระองค์เท่านั้น  ดังนั้น  การขอเพื่อเป็นการตอบแทนกับการขอเพราะความโปรดปรานของพระองค์ย่อมแต่งกันอย่างเห็นได้ชัด

วัลลอฮุอะลัม
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

 

GoogleTagged