สูเราะฮฺ อัลหัชรฺ อายะฮฺที่ 1-3
คำอ่าน1. สับบะหะลิลลาฮิมาฟิสสะมาวาติวะมาฟิลอัรฎิ วะฮุวัลอะซีซุลหะกีม
2. ฮุวัลละซีอัคเราะญัลละซีนะกะฟะรู มินอะฮฺลิลกิตาบิ มิน..ดิยาริฮิม ลิเอาวะลิลหัชรฺ, มาเซาะนันตุมอัย..ยัครุญู วะซ็อน..นู..อัน..นะฮุม..มานิอะตุฮุมคุศูนุฮุม..มินัลลอฮฺ, ฟะอะตาฮุมุลลอฮุ มินหัยษุ ลัมยะหฺตะสิบู วะเกาะซะฟะฟีกุลูบิฮิมุรฺรัวะอฺบะ ยุคริบูนะบุยูตะฮุม บิอัยดีฮิม วะอัยดิลมุอ์มินีน ฟะอฺตะบิรู ยา..อุลิลอับศอรฺ
3. วะเลาลา..อัน..กะตะบัลลอฮุอะลัยฮิมุลญะลา...อะละอัซซะบะฮุมฟิดดุนยา วะละฮุมฟิลอาคิเราะติอะซาบุน..นารฺ
คำแปล R1.1. Whatsoever is in the heavens and whatsoever is on the earth glorifies Allah. And He is the All-Mighty, the All-Wise.
2. He it is who drove out the disbelievers among the people of the Scripture (i.e. the Jews of the tribe of Bani An-Nadir) from their homes at the first gathering. You did not think that they would get out. And they thought that their fortresses would defend them from Allah! But Allah's (torment) reached them from a place whereof they expected it not, and He cast terror into their hearts, so that they destroyed their own dwellings with their own hands and the hands of the believers. Then take admonition, O you with eyes (to see).
3. And had it not been that Allah had decreed exile for them, He would certainly have punished them in this world, and in the hereafter theirs shall be the torment of the Fire.คำแปล R2.1. สรรพสิ่งในฟากฟ้าและสรรพสิ่งในแผ่นดินล้วนถวายสดุดีพระบพิทธิคุณแด่อัลเลาะฮฺ (ทั้งสิ้น) และพระองค์ทรงอำนาจที่สุด ทรงปรีชาญาณที่สุด
2. พระองค์ทรงให้ชาวคัมภีร์ที่ไร้ศรัทธาได้ออกมาจากบ้านเมืองของพวกเขา ในตอนเริ่มชุมนุม (เพื่อทำศึกกับฝ่ายมุสลิม) (โอ้ชาวมุสลิมทั้งหลาย) พวกเจ้าไม่คาดคิด (มาก่อน) ว่าพวกเขาจะออกมา (เพราะพวกนั้นมีจำนวนพลมากกว่า และมีการเตรียมพร้อมที่เข้มแข็ง) และพวกเขาคาดคิดเอาว่า พวกเขานั้น ค่ายของพวกเขา (อันแข็งแกร่ง) สามารถป้องกันพวกเขาให้ปลอดภัยจาก (การลงทัณฑ์ของ) อัลเลาะฮฺได้ ดังนั้นอัลเลาะฮฺจึงทำลายล้างพวกเขาโดยพวกเขาคาดไม่ถึง และทรงประจุความหวาดกลัวไว้ในหัวใจของพวกเขา พวกเขาทำลายบ้านเรือนของพวกเขาด้วยมือของพวกเขาเอง และด้วยมือของฝ่ายศรัทธาชน ดังนั้นพวกเจ้าจงพินิจพิเคราะห์เถิด โอ้ผู้มีวิจารณญาณทั้งหลาย
3. และหากแม้นมิใช่เพราะอัลเลาะฮฺได้ทรงลิขิตความพลัดพรากไว้แก่พวกเขาแล้ว แน่นอนที่สุดพระองค์จักทรงลงโทษพวกเขาในโลกนี้ และพวกเขายังต้องได้รับโทษจากนรกในโลกหน้าอีกด้วยคำแปล R3.1. ทุกสรรพสิ่งในชั้นฟ้าทั้งหลายและในแผ่นดินได้สดุดีอัลลอฮฺเพราะพระองค์เท่านั้นคือผู้ทรงอำนาจและผู้ทรงปรีชาญาณ
2. พระองค์คือผู้ทรงขับบรรดาผู้ปฏิเสธในหมู่ชาวคัมภีร์ออกมาจากบ้านเรือนของพวกเขาในการบุกครั้งแรก สูเจ้าไม่คิดว่าพวกเขาจะออกไปและพวกเขาเองก็เช่นกันที่คิดว่าป้อมปราการของพวกเขาจะคุ้มครองพวกเขาให้พ้นจากอัลลอฮิได้ แต่อัลลอฮฺก็ได้มายังพวกเขาโดยที่พวกเขาไม่คาดคิดมาก่อน และพระองค์ได้ทรงสร้างความหวาดกลัวขึ้นในหัวใจของพวกเขาด้วยการที่พวกเขาทำลายบ้านเรือนที่อยู่อาศัยของพวกเขาเองโดยมือของพวกเขาและโดยมือของบรรดาผู้ศรัทธา ดังนั้นสูเจ้าจงจำใส่ใจไว้โอ้ผู้มีตาที่จะดู
3. ถ้าหากอัลลอฮฺไม่ได้ทรงกำหนดการเนรเทศไว้สำหรับพวกเขา พระองค์ก็จะทรงลงโทษพวกเขาในโลกนี้แล้ว และแน่นอน ในโลกหน้านั้นมีการลงโทษในนรกสำหรับพวกเขาอยู่คำแปล R4.1. สิ่งที่อยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลายและสิ่งที่อยู่ในแผ่นดินต่างแซ่ซ้องสดุดีแด่อัลลอฮ.และพระองค์เป็นผู้ทรงอำนาจผู้ทรงปรีชาญาณ
2. พระองค์เป็นผู้ทรงให้บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาในหมู่พวกอะฮฺลุลกิตาบออกจากบ้าน เรือนของพวกเขา เป็นครั้งแรกของการถูกไล่ออกเป็นกลุ่มๆ พวกเจ้ามิได้คาดคิดกันเลยว่าพวกเขาจะออกไป (ในสภาพเช่นนั้น) และพวกเขาคิดว่าแท้จริงป้อมปราการของพวกเขานั้นจะป้องกันพวกเขาให้รอดพ้นจาก การลงโทษของอัลลอฮฺได้แต่การลงโทษของอัลลอฮฺได้มีมายังพวกเขาโดยมิได้คาดคิด มาก่อนเลย และพระองค์ทรงทำให้ความหวาดกลัวเกิดขึ้นในจิตใจของพวกเขา โดยพวกเขาได้ทำลายบ้านเรือนของพวกเขาด้วยน้ำมือของพวกเขาเอง และด้วยน้ำมือของบรรดามุอฺมิน จงยึดถือเป็นบทเรียนเถิด โอ้ผู้มีสติปัญญาทั้งหลายเอ๋ย
3. และหากมิใช่เพราะอัลลอฮฺได้ทรงกำหนดการเนรเทศแก่พวกเขาแล้ว แน่นอนพระองค์จะทรงลงโทษพวกเขาในโลกนี้ และสำหรับพวกเขาในปรโลกนั้นก็คือการลงโทษด้วยนรกคำแปล R5.๑. ได้ทำการแซ่ซ้องสดุดีพระบพิตรธิคุณแด่อัลเลาะห์โดยสรรพสิ่งในฟากฟ้าและสรรพสิ่งในแผ่นดินทั้งหมด และพระองค์ทรงอำนาจเป็นที่สุด ทรงปรัชาญาณที่สุด
๒. พระองค์ทรงขับบรรดาพวกเนรคุณที่เป็นชาวคัมภีร์พวกยิวเผ่านะฎีรให้ออกไปจากหมู่บ้านของพวกเขา สำหรับการขับครั้งแรกนี้ พวกนี้ถูกขับออกจากมดีนะห์ไปอยู่ใน อัซริอาต ภายใต้ปกครองของซาม แต่เดิมพวกเผ่านะฎีรนี้ อยู่ในหมู่บ้านห่างจากมดีนะห์ ๒ ไมล์พวกนี้สืบเชื้อสายถึงนบีฮารูณ และแต่เดิมพวกเขารู้เรื่องที่จะมีนบีมาเกิดโดยศึกษาจากคัมภีร์เตารอต และพวกเขาก็เฝ้ารอคอยการมาของนบีคนใหม่ จนเมื่อนบีมุฮำมัดมาสู่มดีนะห์ พวกเขาก็ตระบัตสัตย์กับตัวเองและมีการทำสัญญาสันติภาพระหว่างฝ่ายมุสลิมกับพวกนี้ และสัญญานั้นที่จริงแล้วฝ่ายมุสลิมเสียเปรียบ แม้กระนั้นพวกนี้ก็ผิดสัญญาจนได้ ท่านนบีมุฮำมัด จึงนำทหารล้อมหมู่บ้านนี้ไว้ ๒๑ วัน และขับพวกเขาออกนอกมะดีนะห์ไปอยู่ที่อื่นตามที่กล่าวแล้ว พวกเจ้าไม่คิดเลยว่าพวกนั้นจะออกไปจากหมู่บ้านนั้นเลย เพราะพวกเขามีจำนวนมาก มีอาวุธเหลือเฟือ และเข้มแข็งมาก และพวกเขาคิดว่าแท้จริงพวกเขานั้นมีค่ายของพวกเขาป้องกันพวกเขาไว้จากอัลเลาะห์ได้ จากนั้นอัลเลาะห์ได้ประทานแก่พวกเขาโดยพวกเขาคาดไม่ถึงเลย เพราะพวกเขามีมากกว่าและหมู่บ้านก็ใกล้เคียงกับพันธมิตรของพวกเขา คือพวกยิวกุรอยเซาะห์และคอยบัร ยิ่งกว่านั้นยังมีพวกมุนาฟิกีนสัญญาจะช่วยเหลืออีกมากมาย แต่ฝ่ายนบีมุฮำมัดมีจำนวนพลเพีบงกระหยิบมือเดียว แล้วฝ่ายนบีก็ได้รับชัยชนะดังกล่าวแล้ว และพระองค์ทรงประจุความหวาดกลัวไว้ในหัวใจของพวกเขา อันเนื่องมาจากสาเหตุที่หัวหน้าของพวกเขาถูกฆ่าตายในการศึกครั้งนั้น หัวหน้าชื่อ “กะอับ บิน อัซร็อฟ” ฆ่าโดย “มุฮำมัด บิน มัสละมะฮ์” กับพวกอีก ๔ คน พวกเขาทำลายบ้านเรือนของพวกเขาด้วยมือของพวกเขาเองและมือของบรรดาฝ่ายศรัทธา ดังนั้นพวกเจ้าจงวิเคราะห์เถิด โอ้ผู้มีวิจารณญาณทั้งหลาย
๓. และมาดแม้นมิใช่เพราะอัลเลาะห์ได้ทรงลิขิตแก่พวกเขาไว้แล้วให้ย้ายที่อยู่ แน่นอนพระองค์ก็ต้องลงโทษพวกเขาในโลกนี้ ให้เหมือนเช่นพวกยิวกุรอยเซาะห์ที่ถูกฆ่า ถูกจับเป็นเชลย และในโลกหน้าพวกเขาต้องได้รับการลงโทษของนรกอีก