ผู้เขียน หัวข้อ: น้ำตาไหลอาบแก้มทุกครั้งที่ได้อ่าน !  (อ่าน 3593 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ BaE HoK

  • บ้านของผู้ชายอยู่ในมัสยิด มัสยิดของผู้หญิงนั้นคือบ้าน
  • เพื่อนสนิท (._.")
  • ***
  • กระทู้: 272
  • Respect: +12
    • ดูรายละเอียด

โอ้  ผู้ที่ไม่สวมใส่ผ้าไหม
ผู้ที่ไม่เคยนอนบนที่นอน
โอ้ ผู้ที่จากโลก(ดุนยา)
ทั้งที่ชีวิตไม่เคยกินอาหารอิ่มเลย แม้แต่ครั้งเดียว
โอ้ ผู้ที่ไม่เคยนอนเต็มตื่น
เพราะความกลัวที่มีต่อพระผู้อภิบาล
คำกล่าวของ..
ท่านหญิงอาอีซะฮต่อหน้าศพสามี..
ท่านศาสดา มูฮำมัด ซ้อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซั่ลลัม.
รายงานส่วนใหญ่กล่าวว่า ในวันนั้นคือวันที่ 8 มิถุนายน ค.ศ 632 เป็นวันที่ร้อนที่สุดวันหนึ่งในอารเบีย ท่านรอซู้ลฯได้ร้องขอน้ำเย็นๆอ่างหนึ่งซึ่งท่านเอามือจุ่มลงไปและเอามาเช็ดหน้า รายงานส่วนใหญ่กล่าวว่าได้มีชายผู้หนึ่งจากตระกูลอบูบักรเข้ามาในบ้านของท่านหญิงอาอีซะฮโดยถือแปรงสีฟันอันหนึ่งมาในมือ ท่านรอซู้ลฯมองดูเขาในลักษณะที่แสดงว่าอยากได้แปรงสีฟันอันนั้น อาอีซะฮจึงรับแปรงมาจากจากญาติของนางแล้วจัดการจนมันอ่อนดีแล้วก็ส่งให้แก่ท่านรอซู้ลฯและท่านก็ใช้มันแปรงฟันของท่าน   ท่านหญิงอาอีซะฮรายงานว่าในระหว่างชั่วโมงสุดท้ายนั้นศีรษะของท่านรอซู้ลฯอยู่บนตักของนาง นางเล่าว่าศีรษะของท่านรอซู้ลฯที่อยู่บนตักของฉันนั้นหนักขึ้น ฉันมองดูหน้าท่านและได้พบว่านัยน์ตาของท่านแน่นิ่งอยู่ ฉันได้ยินท่านพึมพำว่า “โอ้ พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงอยู่ในสวรรค์อันสูงสุด” ฉันจึงพูดกับท่านว่า “ด้วยพระองค์ผู้ทรงส่งท่านมาเป็นศาสนทูตให้สั่งสอนสัจธรรม ท่านได้ถูกมอบทางเลือกให้และท่านก็เลือกได้ดีแล้ว” ศาสนทูตแห่งพระผู้เป็นเจ้าสิ้นชีวิตไปในขณะที่ศีรษะของท่านวางอยู่บนสีข้างของฉันระหว่างปอดกับหัวใจของฉัน เพราะความเยาว์วัยและขาดประสบการณ์ของฉันนั้นเองที่ทำให้ฉันปล่อยให้ท่านสิ้นชีวิตบนตักของฉัน แล้วฉันก็จับศีรษะของท่านวางไว้บนหมอนและลุกขึ้นไปคร่ำครวญในชะตากรรมของฉัน และไปร่วมกับผู้หญิงอื่นๆในความสูญเสียและโศกเศร้าของเรา...
   ก่อนหน้านั้นหลังจากกลับมาจากฮัจญ์อำลาที่นครมักกะฮแล้ว ท่านรอซู้ลฯได้สั่งให้ยกทัพใหญ่ไปยังอัชชามในทันทีและให้กลุ่มผู้อาวุโสในอิสลามไปกับกองทัพด้วย ในกลุ่มมุฮาญีรูนสมัยต้นๆนั้นมีอบูบักร และ อุมัรรวมอยู่ด้วย ท่านได้มอบหมายหน้าที่บังคับบัญชากองทัพให้แก่ อุสามะฮ อิบนุ ซัยด์ อิบนุ ฮารีซะฮ์
ในตอนนั้นอุสามะฮ อิบนุ ซัยด์ อิบนุ ฮารีซะฮ์ ผู้บัญชาการทัพยังเป็นเด็กหนุ่มอายุยังไม่ถึงยี่สิบ การที่เขาได้รับตำแหน่งเหนือผู้อาวุโสแห่งอิสลาม พวกมุฮาญีรูนสมัยต้นๆและสหายที่สนิทสนมของท่านรอซู้ลฯนั้นคงจะทำให้เกิดความอลหม่านในหมู่ผู้คนได้มากทีเดียว ถ้าหากว่าจะไม่เป็นเพราะทุกคนต่างก็มีความศรัทธาอย่างแท้จริงในตัวของท่านรอซู้ลฯ ด้วยการแต่งตั้งเขา ท่านรอซู้ลฯพยายามที่จะให้เขาได้อยู่ในตำแหน่งเดียวกับที่บิดาของเขาเคยอยู่ในการสู้รบที่มุอตะฮ ท่านต้องการที่จะทำให้อุสามะฮได้มีสาเหตุที่จะภาคภูมิใจได้ในชัยชนะเพื่อเป็นรางวัลแก่การสละชีวิตของบิดาของเขา...ในขณะที่พวกเขากำลังเตรียมกองทัพกันอยู่นั้นศาสนทูตแห่งพระผู้เป็นเจ้าก็ได้ล้มป่วยลง อาการป่วยอันสาหัสของท่านทำให้กองทัพยกไปไม่ได้ คนเหล่านี้ต่างก็รู้ว่าท่านรอซู้ลฯนั้นไม่เคยป่วยหนักๆเลยตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมานอกจากอาการขาดความอยากอาหารเป็นระยะสั้นๆในปี ฮ.ศ.6 เนื่องจากการใช้เวทมนต์ของพวกยิวและอาการไม่สบายเล็กน้อยเนื่องจากท่านรับประทานเนื้อแกะที่มีพิษเข้าไปเมื่อปี ฮ.ศ.7เท่านั้น ยิ่งกว่านั้นจังหวะชีวิตของท่านและการใช้เหตุผลในคำสอนของท่านก็มักจะปกป้องท่านไว้จากโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ท่านมักจะรับประทานอาหารแต่น้อยและมีความพึงพอใจกับสิ่งจำเป็นที่ง่ายๆและมีน้อยอย่างที่สุด เสื้อผ้าและบ้านเรือนของท่านสะอาดอย่างที่สุดอยู่เสมอ เพราะศาสนฑูตมูฮำมัดไม่เพียงแต่จะคอยดูแลให้ได้มีการทำหน้าทึ่ซักล้างเป็นไปอย่างดีอยู่ตลอดเวลาเท่านั้น ท่านยังเคยกล่าวด้วยว่า “นี่ถ้าฉันไม่เกรงผู้คนจะลำบากมากเกินไปละก็ ฉันจะสั่งให้พวกเขามีหน้าที่ต้องแปรงฟันวันละห้าครั้งทีเดียวละ” อีกประการหนึ่งพิธีการละหมาดและการปฏิบัติประจำวันที่ท่านทำอยู่รวมทั้งนิสัยประหยัดของท่านในเรื่องที่เกี่ยวกับการหาความสำราญ การที่ท่านงดเว้นจากการมั่วสุมในสิ่งไม่ดีนานาชนิดและความไม่สนใจกับสิ่งต่างๆในโลกวัตถุนี้ซึ่งทำให้ท่านอยู่ห่างจากบ้าน แต่กลับติดต่อกับชีวิตแห่งจักรวาล และความลับแห่งการเป็นอยู่อุปนิสัยต่างๆเหล่านี้ของท่านได้ปกป้องท่านจากโรคต่างๆและทำให้ท่านมีสุขภาพดี โครงร่างตามธรรมชาติของท่านที่แข็งแรงประกอบกับจิตใจภายในที่โน้มเอียงไปสู่คุณธรรมความดีต่างก็ทำให้ท่านมีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคภัยไข้เจ็บได้เป็นอย่างดี
   อย่างไรก็ดีในเมื่อบัดนี้ท่านป่วยหนักขึ้นมาจึงเป็นธรรมดาอยู่เองที่บรรดาสหายและสาวกของท่านจะต้องมีความเป็นห่วงเป็นใยวิตกกังวล เกรงไปว่าการที่ท่านใช้กำลังหักโหมมาในช่วงยี่สิบปีหลังของชีวิตนั้นอาจจะเริ่มมีผลกระทบต่อท่านได้ นับตั้งแต่ที่ท่านได้ประกาศความเป็นศาสนฑูตในนครมักกะฮ์และเริ่มเรียกร้องผู้คนให้มาเคารพพระผู้เป็นเจ้าพระองค์เดียว ให้ละทิ้งรูปเคารพของบรรพบุรุษเสียนั้น ศาสนฑูตมูฮำมัดได้ผจญกับการต่อต้านและความยากลำบากอย่างใหญ่หลวงจนสาวกของท่านต้องหนีไปอยู่อบิสสิเนีย และตัวท่านเองไปอยู่ในที่โดดเดี่ยวอ้างว้างตามภูเขาและชานนครมักกะฮ การหนีจากนครมักกะฮมายังนครมะดีนะฮซึ่งมาด้วยการทำสนธิสัญญา “อะเกาะบะฮ” นั้นเกิดขึ้นภายใต้สภาพที่เสี่ยงภัยและเป็นอันตรายอย่างที่สุด ท่านศาสนฑูตมิได้ทราบว่ามีอะไรรอท่านอยู่ที่นครมะดีนะฮก่อนที่ท่านจะเอาความมืดในยามค่ำคืนพรางกายไปที่นั้น เมื่อท่านไปถึงที่นั้นก็ต้องตกเป็นเป้าของการวางแผนสมคบกันคิดร้ายของพวกยิวทันที หลังจากที่พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงประทานชัยชนะให้ท่านหลังจากการทดสอบเหล่านี้และทรงอนุญาตให้ผู้คนจากทุกมุมของแผ่นดินมาร่วมในศาสนาใหม่นี้แล้ว หน้าที่ของศาสนฑูตมูฮำมัดก็ได้เพิ่มมากขึ้นเป็นทวีคูณ ต้องคอยรักษาสันติภาพ ต้องเป็นผู้นำของชุมชนและสร้างสถาบันต่างๆของชุมชนขึ้นมา สงครามอันต่อเนื่องที่ท่านต้องต่อสู้และการโจมตีต่างๆที่ท่านต้องคอยต่อต้านนั้นคงจะทำให้หลังของผู้ชายที่แข็งแรงที่สุดหักลงได้ทีเดียว ยิ่งกว่านั้นยังมีภาระเรื่องการสอนศาสนาอีกเล่า รวมทั้งภาระอันหนักหน่วงเรื่องวะห์ยู (วิวรณ์) ความพยายามทางจิตวิญญาณจนแทบจะหมดกำลังในการที่จะต้องคอยติดต่อกับความเป็นจริงแห่งสากลจักรวาลกับสิ่งที่อยู่สูงส่ง บรรดาสาวกและสหายของท่านเป็นพยานในสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ได้ พวกเขาได้เห็นท่านแบกรับภาระของท่านอย่างมั่นคงด้วยความเด็ดเดี่ยวไม่โอนเอียงบัดนี้เมื่อท่านต้องล้มป่วยลงหลังจากการทำงานอันมีเกียรติ์เช่นนั้นแล้ว ก็เป็นธรรมดาที่พวกเขาจะหยุดทุกอย่างเพื่อคอยดูแลห่วงใยต่อท่านศาสนฑูตอันเป็นสุดที่รักของเขา...
“..ฉันได้รับลูกกุญแจของโลกนี้และความเป็นนิรันดร์นั้นแล้ว
ตอนนี้ฉันได้ถูกเสนอสรวงสวรรค์และการไปเฝ้าพระผู้เป็นเจ้าของฉันด้วย
ฉันถูกให้เลือกเอาระหว่างสองอย่างนี้..”
เพราะฉะนั้นศาสนฑูตมูฮำมัด จึงได้เลือกเอาการไปพบกับพระผู้เป็นเจ้าในสรวงสวรรค์ในขณะที่ท่านอยู่ในบ้านของท่านหญิงอาอีซะฮและวางศีรษะของท่านไว้บนตักของนางนั้นเอง เหตุการณ์เกิดขึ้นดังนี้ อาอีซะฮก็ยกศีรษะของท่านวางลงบนหมอนและออกไปสมทบกับสตรีคนอื่นๆในครอบครัวซึ่งเริ่มร้องไห้กันด้วยความโศกเศร้าและสูญเสีย ชาวมุสลิมที่มัสญิดรู้สึกแปลกใจที่มีเสียงร้องไห้ดังขึ้นอย่างกะทันหันก็ในเมื่อตอนเช้านี้เองพวกเขาได้เห็นท่านอยู่หยกๆและมั่นใจว่าสุขภาพของท่านดีขึ้นแล้วเป็นอย่างมากจนอบูบักรได้ขออนุญาตท่านไปเยี่ยมภริยาของเขาที่ อัซซุนห์ ..
    เมื่ออุมัรได้ยินข่าวเข้าเขาก็แทบไม่เชื่อ เขาจึงรีบมาบ้านพักของศาสนฑูตอย่างรวดเร็วเมื่อมาถึงก็ตรงไปที่เตียงของศาสนทูตทันที เขาเปิดผ้าคลุมออกและมองดูหน้าท่านอยู่ครู่หนึ่ง เขาคิดว่าที่ท่านนอนนิ่งมีลักษณะเหมือนคนที่หาชีวิตไม่แล้วนั้นคืออาการโคม่าซึ่งเขาเชื่อว่าอีกไม่ช้าท่านก็จะหายจากอาการนั้น อัลมุฆีเราะฮได้พยายามที่จะยืนยันถึงความจริงอันน่าปวดร้าวนั้นให้อุมัรฟังแต่ก็ไร้ผล อุมัรยังคงไม่เชื่อต่อไปอย่างมั่นคงว่าศาสนฑูตมูฮำมัดยังไม่ตายและตะโกนใส่อัลมุฆีเราะฮว่า “ท่านพูดปด” ทั้งสองไปยังมัสญิดด้วยกัน ในนั้นอุมัรได้ประกาศเสียงดังสุดเสียงว่า “คนหน้าไหว้หลังหลอกบางคนแสร้งบอกว่าท่านรอซู้ลลุลลอฮสิ้นชีวิตแล้ว แต่ด้วยพระนามของพระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าขอสาบานว่าท่านยังไม่ตาย ท่านเพียงแต่ไปเข้าเฝ้าพระผู้อภิบาลของท่านเหมือนกับที่ศาสนทูตมูซา(โมเสส)เคยไปแต่ก่อนนั้น ศาสนทูตมูซาหายไปจากประชาชนของท่านเป็นเวลาสิบสี่คืนติดๆกัน และกลับมาหลังจากคนเหล่านั้นประกาศออกมาแล้วว่าท่านตาย ด้วยนามของพระผู้เป็นเจ้า ท่านรอซู้ลลุลลอฮก็จะกลับมาเหมือนอย่างที่ศาสนทูตมูซากลับมา ผู้ใดก็ตามที่บังอาจกระพือข่าวลือว่า ท่านรอซู้ลลุลลอฮหาชีวิตไม่แล้วจะต้องถูกมืออันนี้แหละตัดแขนตัดขาเสีย”  เมื่อชาวมุสลิมได้ยินคำประกาศนี้จากอุมัร พวกเขาก็ตระหนกตกใจจนตัวแข็งถ้าศาสนฑูตมูฮำมัดสิ้นชีวิตไปจริงๆ บรรดาผู้ที่ได้เห็นท่านและได้ยินท่าน ผู้ที่เชื่อในตัวท่านและในพระผู้เป็นเจ้าซึ่งทรงส่งท่านมาเป็นผู้สื่อสาส์นทางนำและศาสนาอันเที่ยงแท้ก็จะพินาศกันหมด ความสูญเสียของพวกเขาจะใหญ่หลวงเสียจนหัวใจและสมองของพวกเขาจะแตกอ้าออกอีกด้านหนึ่ง กลุ่มชาวมุสลิมนั่งอยู่รอบๆอุมัรและฟังเขาพูด ออกจะเห็นด้วยกับเขาว่าศาสนฑูตแห่งพระผู้เป็นเจ้ามิได้สิ้นชีวิต พวกเขาไม่อาจจะเอาความตายไปรวมกับคนที่พวกเขาเพิ่งจะเห็นตัวตนอยู่จริงๆเพียงไม่กี่ชั่งโมงที่แล้วมานี้ และผู้ที่พวกเขาได้ยินเสียงอันแจ่มใสเป็นกังวานของท่านวิงวอนขอความเมตตาปราณีและขอพรพระผู้เป็นเจ้าอยู่หยกๆนั้นได้ ยิ่งกว่านั้น พวกเขายังไม่สามารถมั่นใจได้ว่ามิตรผู้ซึ่งพระผู้เป็นเจ้าทรงเลือกให้เป็นผู้นำสาส์นอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์มา คนที่ชาวอาหรับทั้งมวลยอมจำนน และแม้แต่กษัตริย์คุสโรและจักรพรรดิ เฮราคลีอุสก็จะต้องยอมแพ้ในไม่ช้านี้จะสามารถตายได้ พวกเขาไม่อาจเชื่อได้ว่าคนที่เคยมีอำนาจชนิดที่สั่นโลกให้สะเทือนมาเป็นเวลายี่สิบปีติดต่อกัน และได้สร้างพายุด้านจิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์จะสามารถตายได้ อย่างไรก็ดีพวกผู้หญิงก็ยังคงร้องไห้อยู่ที่บ้านท่านศาสนฑูตซึ่งเป็นเครื่องหมายที่เห็นได้ชัดๆแล้วว่าท่านได้สิ้นชีวิตไปแล้วจริงๆ แต่กระนั้นในมัสญิดตรงนี้ อุมัรยังคงประกาศอยู่ว่าท่านรอซู้ลลุลลอฮยังไม่ตายแต่ท่านไปเข้าเฝ้าพระผู้เป็นเจ้า คนที่พูดว่าท่านสิ้นชีพไปแล้วนั้นคือคนหน้าไหว้หลังหลอกซึ่งจะต้องถูกตัดแขนตัดขาเมื่อท่านกลับมา แล้วชาวมุสลิมจะเชื่ออะไรเล่า ?
   ในขณะที่พวกเขากำลังโอนเอนอยู่ระหว่างการเชื่ออุมัรกับความหมายอันไม่มีที่สงสัยของการร้องไห้ของพวกผู้หญิงอยู่นั้น อบูบักรซึ่งได้ยินข่าวเข้าก็รีบกลับมาจากอัซซุนห์ เขามองผ่านประตูมัสญิดไปก็แลเห็นชาวมุสลิมกำลังฟังอุมัรพูดอยู่แต่เขาไม่ได้เชือนแชอยู่ที่นั้น แต่รีบตรงไปที่บ้านของท่านหญิงอาอีซะฮและขออนุญาตเข้าไปข้างใน ท่านได้รับคำตอบว่าในวันนั้นไม่จำเป็นต้องขออนุญาตก็ได้ เขาจึงเข้าไปและแลเห็นท่านรอซู้ลลุลลอฮนอนอยู่ที่มุมหนึ่งโดยมีผ้าเป็นลายริ้วคลุมไว้เขาจึงเข้าไปใกล้ เลิกผ้าคลุมหน้าออกและจุมพิตใบหน้านั้นพลางกล่าวว่า “ท่านช่างงดงามเสียนี่กระไรไม่ว่าจะมีชีวิตอยู่หรือไม่มีชีวิตแล้วก็ตาม!” แล้วเขาก็เอามือทั้งสองข้างประคองใบหน้าของท่านรอซู้ลลุลลอฮไว้และมองดูใบหน้านั้นอย่างใกล้ชิด ใบหน้านั้นมิได้แสดงร่องรอยอันใดก็ตามที่ถูกความตายโจมตี เมื่อวางศีรษะของท่านลงอบูบักรได้พูดขึ้นว่า “ข้าพเจ้าจะไม่เสียสละอะไรเพื่อท่านหรือ? ความตายที่พระผู้เป็นเจ้ากำหนดไว้ให้ท่านลิ้มรสเหมือนกับคนอื่นๆก็ต้องลิ้มนั้น บัดนี้ท่านก็ได้ลิ้มรสแล้ว นับแต่นี้ไปจะไม่มีความตายอันใดประสบแก่ท่านอีกเลย” เขาเอาผ้าลายริ้วนั้นคลุมหน้าศาสนทูตไว้ แล้วก็ตรงไปยังมัสญิดซึ่งอุมัรยังคงประกาศเสียงดังต่อไปว่าท่านรอซู้ลลุลลอฮยังไม่ตาย      ฝูงคนหลีกทางให้อบูบักรเดินไปถึงข้างหน้า เมื่อเขาเดินมาใกล้อุมัร เขาก็พูดกับอุมัรว่า “เบาๆหน่อย โอ้อุมัร ! เงียบๆเถอะ” แต่อุมัรก็ไม่หยุดพูดยังคงอ้างอยู่อย่างเดิมต่อไป อบูบักรจึงทำสัญญาณแสดงว่าเขาต้องการพูดกับคนเหล่านั้น ไม่มีใครกล้าขัดอบูบักรในที่ประชุมเช่นนั้นได้นอกจากอุมัร เพราะเขาเป็นมิตรที่ท่านรอซู้ลลุลลอฮได้เลือกขึ้นมาจากผู้คนทั้งหลาย ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผู้คนจะรีบทำตามเขาทันทีโดยออกมาจากอุมัร หลังจากสรรเสริญและขอบคุณพระผู้เป็นเจ้าแล้ว อบูบักรก็กล่าวคำปราศรัยสั้นๆดังต่อไปนี้..
“โอ้ ผู้คนทั้งหลาย ถ้าพวกท่านเคยเคารพศาสนฑูตมูฮำมัดมา
ก็จงรู้เถิดว่าศาสนฑูตมูฮำมัดนั้นสิ้นชีวิตเสียแล้ว
แต่ถ้าท่านเคยบูชาพระผู้เป็นเจ้า
ก็จงรู้เถิดว่าพระองค์ยังทรงมีชีวิตอยู่และจักไม่มีวันตาย..
(และเขาก็ท่องโองการกุรอ่านออกมาว่า)
..มูฮำมัดนั้นเป็นเพียงรอซู้ลท่านหนึ่ง
ซึ่งก่อนหน้านั้นเคยมีรอซู้ลหลายท่านมาถึงและจากไปแล้ว
หากเขาตายไปหรือถูกฆ่า พวกเจ้าจะทิ้งศาสนาของเจ้าดังนั้นหรือ?
จงรู้เถิดว่าผู้ใดก็ตามละทิ้งศาสนาของเขา
ก็จะไม่เป็นอันตรายอันใดต่อพระผู้เป็นเจ้า
แต่พระผู้เป็นเจ้าจักตอบแทนแก่ผู้ที่กตัญญูต่อพระองค์อย่างแน่นอน ”
(หาอ่านได้เต็มอิ่มกับหนังสือชื่อ ศาสดามุฮัมมัด มหาบุรุษแห่งอิสลาม
โดย ฮุซัยน  ฮัยกัลเขียน
ดร.กิติมา อมรทัต,อ.อุ่น หมั่นทวี,ดร.จรัล มะลูลีม แปลและเรียบเรียง )
......................................
รูปร่างของท่านนบีมูฮำมัด 
(ซ็อลลัลลอฮูอะลัยฮิวะซั่ลลัม)

   ท่านนบีมีรูปร่างขนาดปานกลางได้สัดส่วน  ไม่เตี้ย ไม่สูงมาก  โครงสร้าง และกระดูกแข็งแรงได้ส่วน  ผิวขาวอมแดง เกลี้ยงเกลา ผมดำหยักโศกน้อยๆ  คิ้วดก  ตาสีดำ  ขนตายาว  จมูกโด่ง  ใบหน้างาม  แต่ไม่อวบอูม  ท่านมีเคราดกดำ  ไหล่กว้าง แข็งแรง และ ตรงกึ่งกลางระหว่างช่วงไหล่ มีเครื่องหมายอันเป็นสัญลักษณ์แห่งการเป็นนบี
 มรดกของท่านนบี
   ท่านนบีไม่มีทรัพย์สมบัติใดๆ  เมื่อท่านนบีได้ลาจากไป ท่านมิได้ละทิ้งทรัพย์สมบัติ เช่น เหรียญเงิน หรือ เหรียญทองสักเหรียญ  หรือ ทาสชายหญิง หรือ สิ่งอื่นในทำนองนี้ไว้เลย  สิ่งที่ท่านเหลืออยู่ก็มีเพียงลาสีขาวตัวหนึ่ง อาวุธ และที่ดิน ซึ่งท่านก็ได้อุทิศให้เป็นการกุศลแก่มุสลิม โดยทั่วไปแล้วท่านนบีมีความเป็นอยู่อัตคัด ขัดสนมาก เสื้อเกราะของท่านก็เอาไปจำนำไว้  เพื่อแลกกับข้าวสารเพียงไม่กี่กำมือ  เสื้อผ้าของท่านมีรอยปะเต็มไปหมด เป็นสิ่งที่น่าสังเกตว่า ขณะนั้นเป็นเวลาที่ดินแดนอารเบียทั้งหมด ตกอยู่ในอำนาจของท่านนบี ที่นครมะดีนะฮฺอันเป็นเมืองหลวงนั้นก็มีทรัพย์สมบัติเงินทองจนล้นคลัง แต่ฐานะของท่านนบีผู้เป็นประมุขก็ยังยากจนเหมือนเดิม
บุคลิกของท่านนบีมูฮำมัด (ซ็อลลัลลอฮูอะลัยฮิวะซั่ลลัม)

1.  เป็นผู้ฟัง และผู้พูดที่ดี
  เมื่ออยู่ในวงสนทนา ท่านมักจะเป็นผู้ฟังมากกว่าจะเป็นผู้พูด  ท่านจะพูดแต่เฉพาะเวลาที่จำเป็นจะต้องพูดเท่านั้น  เสียงของท่านดังชัดเจน  การพูดก็ชวนฟัง และมีเสน่ห์ ท่านพูดและหยุดเป็นจังหวะ  เว้นวรรคระหว่างประโยค เพื่อให้ผู้ฟังเข้าใจและจดจำง่าย คำพูดของท่านไม่ยืดยาวจนเกินความจำเป็น และไม่สั้นจนไม่ได้ความ  หากแต่เป็นคำพูด ที่กระชับและสละสลวย  


2.  พูดแต่ความจริง
  ท่านนบีเคร่งครัดมากในการพูดความจริง  แม้แต่คำพูดหยอกล้อของท่านก็ยังเป็นความจริง   ท่านไม่เคยพูดสิ่งที่ไม่เป็นความจริงเลย   แม้แต่ศัตรูและผู้มุ่งร้ายต่อท่านต่างเคยเรียกท่านว่า คนบ้า และคนผีเข้า  แต่ไม่มีผู้ใดกล้าเรียกท่านเป็นคนโกหกเลย ครั้งหนึ่ง มีคนหลายคนได้พร้อมใจกันมาสารภาพกับท่านว่า “มูฮำมัด” พวกเราเชื่อทุกสิ่งที่ท่านพูด เพราะว่าเรายังไม่เคยได้ยินท่านพูดโกหกเลย...         
ในช่วงที่ท่านนบีได้รับบัญชาให้เผยแพร่อิสลามอย่างเปิดเผย  และชาวอาหรับส่วนใหญ่ยังต่อต้าน ซึ่งที่บนภูเขา เศาะฟา ท่านลุกขึ้นพูดต่อหน้าชาวอาหรับที่มิใช่มุสลิมว่า    “ถ้าฉันบอกว่ามีกองทัพมหึมาซ่อนอยู่หลังภูเขานั้นและเตรียมจะจู่โจมพวกท่าน ท่านจะเชื่อฉันหรือไม่” เสียงนับร้อยตะโกนว่า “แน่นอนยิ่ง ท่านไม่เคยพูดเท็จเลย” นี่คือความซื่อตรงที่ได้รับการยอมรับอย่างสูงสุดจากสังคม


3.  เป็นคนขี้อาย
ท่านนบีเป็นคนขี้อายยิ่งกว่าผู้หญิงเสียอีก เมื่อท่านเดินผ่านที่ชุมนุมชน ท่านก็มักจะผ่านไปอย่างเงียบๆ ท่านไม่เคยหัวเราะอย่างลืมตัวเลย แต่ถึงกระนั้นท่านก็จะยิ้มแย้มอยู่เสมอ


4.  รักความสะอาดเรียบร้อย
ท่านนบีมีนิสัยรักความสะอาดเรียบร้อย ครั้งหนึ่งท่านเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งนุ่งห่มเสื้อผ้าที่สกปรก ท่านจึงกล่าวว่า “ ชายคนนี้ช่างดูดายแม้แต่เสื้อผ้าของเขาเอง ”  
 


5.  เป็นคนเรียบง่าย  ใช้ชีวิตอย่างสมถะ
ท่านนบีไม่ชอบชีวิตที่วุ่นวาย และท่านก็มักจะแนะนำผู้อื่นไม่ให้ใช้ชีวิตแบบนั้น ซึ่งชีวิตภายในครอบครัวของท่านเป็นไปอย่างเรียบๆ ง่ายๆ  โดยปกติแล้ว ท่านนบีจะสวมเสื้อผ้าธรรมดา ไม่ฉูดฉาด ซึ่งแสดงถึงความเรียบง่าย และความเป็นสุภาพของท่าน ท่านนุ่งห่มด้วยเสื้อผ้าหยาบๆ ที่ทำจากขนแกะอยู่เสมอ ซึ่งเสื้อผ้าที่ท่านสวมอยู่ในขณะสิ้นใจก็เป็นเสื้อผ้าชนิดหยาบๆ เช่นกัน 

6.  เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
ท่านนบีเป็นคนใจดีที่สุด ความใจดีและความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เป็นนิสัยที่แท้จริงของท่าน  ท่านไม่เคยปฏิเสธต่อคนยากจนที่มาขอจากท่านเลย ท่านเคยพูดว่า “ ฉันเป็นแต่เพียงผู้หยิบยื่นให้ และ เป็นผู้รักษาทรัพย์เท่านั้นเอง อัลลอฮฺเป็นผู้ทรงอนุมัติการจ่าย… ”  
 

7.  ทำงานบ้านด้วยตัวเอง
ท่านนบีทำงานทุกอย่างในบ้านด้วยตัวเอง  ท่านรีดนมแพะ  ซักเสื้อผ้าเอง  ท่านปะเสื้อด้วยตนเอง ซื้อข้าวของเอง  ช่วยภรรยาทำงานบ้าน เมื่อรองเท้าของท่านเกิดชำรุด ท่านจะซ่อมแซมเอง  ทำถังตักน้ำเอง  ท่านเคยนวดและทาน้ำมันอูฐ และเมื่อจำเป็น ท่านก็ตีตราอูฐด้วยตนเอง และ ท่านเคยช่วยคนใช้นวดแป้ง  
ครั้งหนึ่งมีคนสั่งน้ำมูกลงในมัสยิด ท่านนบีได้เอาหินเช็ดสิ่งที่น่ารังเกียจนั้นทิ้งไปด้วยตัวของท่านเอง นอกจากนี้ ท่านยังเคยซ่อมแซมบ้านเองด้วย


8.  ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่เสมอ
“คอบ๊าบ” เป็นเพื่อนคนหนึ่งของท่านนบี ที่บ้านของเขาไม่มีผู้ชายเลย มีแต่ผู้หญิงที่รีดนมวัวไม่เป็น  คราวหนึ่งคอบ๊าบต้องไปทำสงครามหลายวัน ท่านนบีจึงได้ไปช่วยรีดนมวัวแทนเขาทุกวันในระหว่างที่เขาไม่อยู่บ้าน 
ท่านช่วยหญิงหม้าย และคนอนาถาทำงานโดยไม่เคยถือตัว หรือเสียดายแรงเลย  พวกทาสหญิงในเมืองมาดีนะฮฺ มักจะมาหาท่านและพูดทำนองนี้ “ โอ้ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ พวกเราอยากจะขอร้องให้ท่านช่วยทำ (งาน) นี้ให้หน่อย ” ท่านนบีก็จะกระตือรือร้นทำงานนั้นให้ ด้วยความเต็มใจเสมอ  
 


9.  ถ่อมตนเสมอ
ท่านนบีชอบก้มหน้า ถ้าเดินเป็นกลุ่ม ท่านก็มักจะเดินข้างหลัง และปล่อยให้คนอื่นๆ เดินข้างหน้า  เมื่อพบปะใคร ท่านจะทักเขาก่อนเสมอ  ท่านจะนั่งในลักษณะที่ถ่อมตน ไม่เคยนั่งวางผึ่งผายอย่างคนใหญ่คนโตเลย ท่านนั่งกินอาหาร เหมือนอย่างคนจนๆ คนหนึ่ง ไม่มีลักษณะของความหยิ่งผยองเลย  ท่านกินแต่พอควร ไม่กินมากจนอิ่มแปล้  ท่านไม่กินขนมปังที่ดีเป็นพิเศษ  ไม่ใช้ถ้วยชามที่งดงามเป็นพิเศษ ท่านเอาใจใส่ต่ออาหารที่มีผู้เอามาให้เสมอ ไม่ว่าจะมาก น้อย หรือ จะไม่ดีอย่างไร ท่านก็ไม่เคยต่อว่า ไม่เคยพูดว่าไม่ชอบ ไม่น่ากิน หรือ มีกลิ่นที่ไม่ดีแต่อย่างใด ทั้งสิ้น  ซึ่งหากว่าท่านไม่ชอบอาหารนั้น ท่านก็เพียงแต่ไม่กินมัน  ท่านเคยพูดว่า “ ฉันเป็นบ่าวของอัลลอฮฺ  ฉันจึงกิน และนั่งตามสภาพของบ่าว ”  
เมื่อครั้งที่พิชิตนครมักกะฮฺลงได้ แทนที่ท่านจะเข้าเมืองอย่างวางอำนาจ แต่ท่านได้ขี่อูฐเข้าไปในเมืองโดยก้มศีรษะลงต่ำ จนศีรษะของท่านเกือบจะติดกับหลังของอูฐ มิได้วางท่าทางของผู้ชนะเลย
ท่านไม่ชอบการพิถีพิถันในเรื่องการแต่งกายเพื่อโอ้อวดกัน และ ท่านมีนิสัยที่ไม่ชอบในเครื่องประดับ


10. ให้เกียรติแก่แขกผู้มาเยือน
   ท่านนบีเอาใจใส่ต่อการต้อนรับแขกเป็นอย่างยิ่ง  ท่านถึงกับมอบให้บิล้าล คอยทำหน้าที่ต้อนรับแขก ดังนั้น แขกที่มาหาท่านจึงได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี  คราใดที่มีตัวแทนจากศาสนาอื่นมาหาท่าน  ท่านนบีจะเอาใจใส่ดูแลพวกเขาแต่ละคนเป็นอย่างดี ยิ่งไปกว่านั้น ท่านยังอาจจะช่วยเหลือในเรื่องการเงิน และ คอยให้ความสะดวกแก่พวกเขาในการเดินทางผ่านดินแดนอีกด้วย
   ท่านนบีเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ โดยไม่เลือกว่าเป็นมุสลิม หรือ ศาสนิกอื่น ซึ่งผู้ที่ไม่ใช่มุสลิม ก็จะได้รับการต้อนรับในฐานะแขกผู้มีเกียรติจากท่าน เช่นเดียวกันกับมุสลิม
   มีอยู่บ่อย ๆ ที่ท่านจัดอาหารรับรองแขกโดยที่คนในบ้านต้องอดอาหาร เพราะไม่มีอาหารเพียงพอ  และท่านเคยตื่นขึ้นมาในตอนดึก เพื่อดูแลความสุขสบายของแขก


11. ไม่ชอบความฟุ่มเฟือย
   ท่านนบีเคยพูดกับอาลีย์ว่า “ เป็นการไม่เหมาะสม สำหรับผู้ที่มีฐานะเป็นนบี ที่จะเข้าไปในบ้านอันโอ่อ่า หรูหรา ” (คือ อยู่ในบ้านที่หรูหรา) และท่านเคยกล่าวไว้ว่า      “ การมีเตียงนอนเตียงหนึ่งสำหรับตัวเอง  อีกตัวหนึ่งสำหรับภรรยา และอีกตัวหนึ่งสำรองไว้สำหรับแขกที่มาพักก็พอเพียงแล้ว ซึ่งหากมีอีกหนึ่งเตียง เตียงนั้นก็เก็บไว้เพื่อชัยตอน(ซาตาน) ”
   


12.  ไม่ชอบให้ใครขอทาน
   ท่านนบีเกลียดชังคนขอทาน  เว้นแต่ในกรณีหมดหนทางจริงๆ  แต่ถึงกระนั้นท่านก็ไม่เห็นด้วยกับการขอทานเลย  ท่านได้กล่าวว่า “ หากผู้ใดจะเข้าไปตัดฟืนในป่าแล้วแบกใส่หลังเอามาขายในตลาด เพื่อแลกกับปัจจัยยังชีพ ก็ยังเป็นการดีกับตัวเขาเองเสียยิ่งกว่าที่เขาจะไปเที่ยวขอทานจากคนอื่น ”



13.  รักความเสมอภาค
   ท่านนบีให้ความสำคัญแก่คนรวย คนยากจน คนชรา เด็ก นาย และ ทาส เท่ากันหมด  ท่านปฏิบัติต่อเชลยเหมือนกันหมดทุกคน  หากท่านได้รับหน้าที่ให้เป็นผู้แบ่งปันสิ่งของ ท่านจะเริ่มแจกจ่ายจากขวาไปซ้าย โดยไม่แบ่งแยกว่าคนไหนเป็นคนจน คนไหนเป็นคนรวย แต่จะแบ่งให้เท่ากันหมด  ท่านไม่เคยสั่งสอนให้แบ่งแยกกัน ระหว่างผู้ใหญ่ กับ เด็ก  หรือ คนร่ำรวย กับ คนยากจน แต่อย่างใด


14.  รักคนจน
   ท่านนบีมีความรัก และความผูกพันต่อคนยากจนมาก วันหนึ่งท่านนบีได้ขอพรต่อ 
อัลลอฮฺว่า “ โอ้อัลลอฮฺ โปรดให้ฉันมีชีวิตอยู่เหมือนคนยากจนคนหนึ่งเถิด และขอให้ฉันเสียชีวิตจากโลกนี้ไปอย่างคนจนคนหนึ่ง และ ขอให้ฉันฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้งในหมู่คนจนด้วยเถิด ”  
   ครั้งหนึ่งท่านนบีเคยกล่าวไว้ว่า “ ความช่วยเหลือจากพระเจ้า และปัจจัยยังชีพ (ริซกี) ทั้งมวลที่พวกท่านได้รับก็เนื่องจาก (ความปรานีของพระเจ้า ที่มีต่อ) คนยากจนเหล่านี้นั่นเอง ”

   ในอีกวาระหนึ่ง ท่านได้กล่าวว่า “ จงแจ้งข่าวดีแก่บรรดาผู้อพยพที่ยากจนด้วยเถิดว่า พวกเขาจะได้เข้าสวนสวรรค์ก่อนคนร่ำรวยถึง 40 ปี ” และ ท่านนบีนั้นมีมิตรสหายที่เป็นคนจนมากกว่าคนร่ำรวย  


15.  มีอารมณ์ดี
   ท่านนบีไม่เคยแสดงความประพฤติที่หยาบกระด้าง  ท่านไม่เคยดูหมิ่น หรือ แสดงกิริยาหยาบคายต่อผู้ที่มาหาท่านเลย  ท่านไม่เคยแสดงความขัดเคืองต่อเรื่องหยุมหยิมทางโลก แต่สำหรับเรื่องที่ขัดกับหลักศาสนาแล้ว ท่านจะแสดงความไม่พอใจอย่างรุนแรงเลยทีเดียว  


16.  อภัยให้แก่ศัตรู
   ท่านนบีกล่าวว่า “ ฉันถูกส่งมามิใช่เพื่อเป็นมาร แต่เพื่อเป็นนิมิต (เครื่องหมาย) ที่ดีงาม สำหรับโลกนี้ ” 
   


17.  ชอบเยี่ยมคนป่วย
   ท่านนบีมักจะไปเยี่ยมคนป่วย  โดยไม่เลือกว่าผู้นั้นเป็นมิตร หรือ ศัตรู  เป็นมุสลิม หรือ ไม่ใช่มุสลิม  เมื่อญาติพี่น้องของผู้ป่วย มาตามท่านไปดูคนป่วยเป็นครั้งสุดท้าย ท่านมักจะไปด้วยทันที  และ ท่านได้วิงวอนขอต่ออัลลอฮฺ ให้ยกโทษแก่บุคคลผู้กำลังสิ้นใจผู้นั้น พร้อมทั้งไปร่วมพิธีศพด้วยเสมอ


18.  ระลึกถึงอัลลอฮฺอยู่เสมอ
   ท่านนบีมีความสงบเสงี่ยมอยู่เสมอ ด้วยความยำเกรงต่ออัลลอฮฺ ท่านจะระลึกถึงอัลลอฮฺอยู่เสมอ ไม่ว่าจะกำลังยืน หรือ นั่งอยู่ก็ตาม   .

………………………………………………..
   

มนุษย์มีเสรีภาพได้ โดยไม่ต้องยิ่งใหญ่

แต่ มนุษย์ไม่อาจยิ่งใหญ่ได้..

...โดยไม่มีเสรีภาพ

ออฟไลน์ สุไลมาน

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 44
  • Respect: +3
    • ดูรายละเอียด
Re: น้ำตาไหลอาบแก้มทุกครั้งที่ได้อ่าน !
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: มี.ค. 22, 2012, 02:16 PM »
0
ญะซากัลลอฮุ ค็อยรอน ครับ

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: น้ำตาไหลอาบแก้มทุกครั้งที่ได้อ่าน !
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: ก.พ. 25, 2013, 12:22 PM »
0
โอ้  ผู้ที่ไม่สวมใส่ผ้าไหม
ผู้ที่ไม่เคยนอนบนที่นอน

โอ้ ผู้ที่จากโลก(ดุนยา)
ทั้งที่ชีวิตไม่เคยกินอาหารอิ่มเลย แม้แต่ครั้งเดียว

โอ้ ผู้ที่ไม่เคยนอนเต็มตื่น
เพราะความกลัวที่มีต่อพระผู้อภิบาล





“ ฉันเป็นบ่าวของอัลลอฮฺ  ฉันจึงกิน
และนั่งตามสภาพของบ่าว ” 


“ การมีเตียงนอนเตียงหนึ่งสำหรับตัวเอง  อีกตัวหนึ่งสำหรับภรรยา และอีกตัวหนึ่งสำรองไว้สำหรับแขกที่มาพักก็พอเพียงแล้ว ซึ่งหากมีอีกหนึ่งเตียง เตียงนั้นก็เก็บไว้เพื่อชัยตอน(ซาตาน) ”



“ หากผู้ใดจะเข้าไปตัดฟืนในป่าแล้วแบกใส่หลังเอามาขายในตลาด เพื่อแลกกับปัจจัยยังชีพ ก็ยังเป็นการดีกับตัวเขาเองเสียยิ่งกว่าที่เขาจะไปเที่ยวขอทานจากคนอื่น ”




ท่านนบีมีความรัก และความผูกพันต่อคนยากจนมาก วันหนึ่งท่านนบีได้ขอพรต่อ
อัลลอฮฺว่า

“ โอ้อัลลอฮฺ โปรดให้ฉันมีชีวิตอยู่เหมือนคนยากจนคนหนึ่งเถิด และขอให้ฉันเสียชีวิตจากโลกนี้ไปอย่างคนจนคนหนึ่ง และ ขอให้ฉันฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้งในหมู่คนจนด้วยเถิด ” 


   ครั้งหนึ่งท่านนบีเคยกล่าวไว้ว่า

“ ความช่วยเหลือจากพระเจ้า และปัจจัยยังชีพ (ริซกี) ทั้งมวลที่พวกท่านได้รับก็เนื่องจาก (ความปรานีของพระเจ้า ที่มีต่อ) คนยากจนเหล่านี้นั่นเอง ”



ท่านนบีกล่าวว่า “ ฉันถูกส่งมามิใช่เพื่อเป็นมาร แต่เพื่อเป็นนิมิต (เครื่องหมาย) ที่ดีงาม สำหรับโลกนี้ ”





เช่นนี้แล้ว จะไม่ให้เราผู้ได้เรียนรู้ชีวประวัติของท่าน
รักท่านได้อย่างไร...นี่แค่เพียงเสี้ยวเดียวที่เราได้รู้
แค่เพียงเสี้ยวเดียวเท่านั้น...ท่านยังทำให้เรารักท่านได้

หากเราได้รู้จัก ได้พบเจอ ได้พูดคุย ได้ใกล้ชิด
เราจะรักท่านมากมายขนาดไหน...

แล้วท่านผู้ที่อัลลอฮฺสร้างมา ยังทำให้เรารักได้ขนาดนี้
แล้วผู้ที่สร้างท่านมา อย่างอัลลอฮฺเล่า จะยิ่งใหญ่
และมีความรัก ความเมตตามากมายขนาดไหน...


นี่แค่เพียงเสี้ยวเดียว แล้วถ้าทั้งหมดที่ท่านมี
จะยิ่งใหญ่แค่ไหน...

ดุนยา ไม่ใช่ทั้งหมดของความสุขที่แท้จริง
หากนี่คือความสุขกับการได้รักแล้ว
ข้าน้อยเชื่อว่า โลกหน้าย่อมมีมากยิ่งกว่านี้หลายเท่านัก...


วัสลามค่ะ

"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

 

GoogleTagged