ผู้เขียน หัวข้อ: แก้ต่างการใส่ใคล้ที่มีต่ออัลอะชาอิเราะฮ์  (อ่าน 11164 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com

السلام عليكم ورحمة الله وبركاته

بسم الله الرحمن الرحيم

นี้คือการวิจารณ์เชิงวิชาการต่อบทความที่เวปไซท์อิกเราะอ์ได้นำเสนอวิจารณ์แนวทางของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ จากอัลอะชาอิเราะฮ์  โดยตั้งหัวข้อเรื่องว่า กลุ่มและแนวทางที่เบี่ยงเบน เขียนโดย คุณนุมาน  สะอ ะ ซึ่งเขาได้ตัดสินว่า แนวทางของอัลอะชาอิเราะฮ์นั้น  เป็นแนวทางที่เบี่ยงเบน  ไม่ใช่เป็นหนึ่งในอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะอะฮ์  เราจึงจำเป็นต้องทำการชี้แจงเพื่อให้พี่น้องของเราเข้าใจถึงข้อเท็จจริง

ความจริงผมต้องการที่จะทำการนำเสนอลงอับเดททีเดียวเลย  แต่พิจารณาดูแล้วปรากฏว่า  หากทำการนำเสนอทะยอยลงในกระทู้ไปพลาง ๆ  ก็คงจะดีกว่า  เพราะพี่น้องบางท่านต้องการคำชี้แจงโดยด่วน   ช่วงนี้ผมก็สามารถทำได้เพียงแค่ทะยอยนำเสนอเท่านั้น 

และผมขอเรียนให้ท่านผู้อ่านทราบว่า  กระทู้นี้สำหรับการชี้แจงบทความของ  คุณนุมาน  สะอะ เท่านั้น  และผมไม่ต้องการที่จะทำการเสวนาโต้แย้งกับกลุ่มวะฮาบีย์แต่อย่างใด  ดังนั้น  ผมจึงนำเสนอในกระดานหมวด หลักการยึดมั่น (อัลอะกีดะฮ์) โดยไม่นำเสนอไปกระดานหมวด  ชี้แจงแนวทางของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ฯ
เมื่อผมได้นำเสนอทยอยจนจบแล้ว  ก็จะเรียบเรียงอีกครั้งเพื่อขึ้นอับเดทหน้าเว๊ปไซท์หลัก  อินชาอัลเลาะฮ์

ผมได้แบ่งหัวข้อหลัก ๆ  ในการวิจารณ์เชิงวิชาการดังต่อไปนี้

1.  อิมามอัลอัชอะรีย์และอัลอะชาอิเราะฮ์คือใคร?

2.  วิจารณ์การแบ่งวิวัฒนาการเรื่องอะกีดะฮ์ของอิมามอบูลหะซันอัลอัชอะรีย์  ออกเป็น  3  ช่วง  ตามคำกล่าวอ้างตามแนวทางของวะฮาบีย์

3.  สาเหตุการแบ่ง  7 ซีฟัต

4. ความเข้าใจซีฟาตอัรริฏอ  (คุณลักษณะความพอใจของอัลเลาะฮ์) และซีฟาตอัลฆ่อฏ๊อบ (คุณลักษณะความโกรธกริ้วของอัลเลาะฮ์) ระหว่างแนวทางอัลอะชาอิเราะฮ์กับวะฮาบีย์

5.  ความหมายของเตาฮีดตามทัศนะของอัลอะชาอิเราะฮ์

6.  การแบ่งเตาฮีดระหว่างอัลอะชาอิเราะฮ์กับวะฮาบีย์   

بعون الله تعالي

والسلام
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
0
ผู้เขียน (ขออัลเลาะฮ์ทรงชี้นำเขา) กล่าวว่า

กลุ่มอะชาอิเราะฮฺคือกลุ่มที่พาดพิงถึงแนวทางของอิหม่ามอบูหะสัน อัลอัชอารียฺในการอธิบายหรือศึกษาเกี่ยวกับหลักอะกีดะฮและเตาฮีด เกิดขึ้นในศตวรรษ์ที่ 3 แห่งปีฮิจเราะฮฺศักราช ที่เมืองบัศรอฮฺ ประเทศอีรัก (Khalid Muhammad Nur,1995 : 1/28) เพื่อความเข้าใจที่ชัดเจนและง่ายต่อการทำความเข้าใจมากขึ้น จึงขอแบ่งประเด็นการศึกษาดังต่อไปนี้

วิจารณ์

ผู้เขียนได้ทำการวิจารณ์อัลอะชาอิเราะฮ์และอัลมุตูรีดียะฮ์ไปพร้อม ๆ กัน  ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นคืออะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์อย่างแท้จริง  แต่ในที่นี้  เราขอเน้นนำเสนอเกี่ยวกับแนวทางอัลอะชาอิเราะฮ์  ดังนั้น  อัลอะชาอิเราะฮ์  คือผู้ที่พาดพิงแนวทางของตนเองไปยังอิมามอบูหะซัน อัลอัชอะรีย์ เกี่ยวกับมัซฮับของท่านในเชิงเอี๊ยะติก๊อต (การศรัทธายึดมั่น)  และก่อนที่จะทำความรู้จักมัซฮับอัลอัชอะรีย์นั้น  อันดับแรกเราสมควรรู้จักท่านอิมามอบูอัลหะซัน อัลอัชอะรีย์ เสียก่อน

อิมามอัลอัชอะรีย์

ท่านคือ  อิมามอบูอัลหะซัน อะลี บิน อิสมาอีล บิน อบีบิชริ อิสหาก บิน ซาลิม บิน อับดุลเลาะฮ์ บิน มูซา บิน บิล้าล บิน อบีบุรดะฮ์ อามิร บุตรของซอฮาบะฮ์ของร่อซูลุลเลาะฮ์  ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม คือ ท่านอบูมูซา อัลอัชอะรีย์ ร่อฏิยัลลอฮุอันฮุ

ท่านเกิดในปี  ฮ.ศ. 260  ณ  เมืองบัสเราะฮ์  บ้างกล่าวว่า  ท่านเกิดในปี  ฮ.ศ. 270  และประวัติการเสียชีวิตของท่านนั้น   มีการคัดแย้งกัน  บ้างกล่าวว่า  ท่านเสียชีวิตในปี ฮ.ศ. 333  บางรายงานกล่าวว่า  ท่านเสียชีวิตในปี ฮ.ศ. 324  และบางรายงานกล่าวว่า  ท่านเสียชีวิตในปี ฮ.ศ. 330  ท่านเสียชีวิตที่เมืองบุฆดาด(แบกแดด)  และถูกฝังระหว่าง อับกัรค์(ชื่อสถานที่)กับประตูเมืองบัสเราะฮ์

ท่านอบูอัลหะซัน อัลอัชอะรีย์  เป็นซุนนีย์  เกิดในครอบครัวของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์  แต่หลังจากนั้น  ท่านได้ทำการศึกษาแนวทางมั๊วะตะซิละฮ์กับท่านอบูอะลี อัลญุบบาอีย์  และท่านก็ตามแนวทางของท่านอัลญุบบาอีย์  และได้เจริญรอยตามหลักการยึดถือของอาจารย์ตามแนวทางของกลุ่มมั๊วะตะซิละฮ์  ต่อมาท่านได้ทำการสำนึกตนและถอนตัวออกจากแนวทางดังกล่าว และแล้วในคืนวันศุกร์หนึ่งท่านได้ขึ้นไปบนมิมบัรในมัสยิดแห่งหนึ่งของเมืองบัรเราะฮ์  แล้วท่านได้ประกาศออกมาจากสุดเสียงว่า  ใครที่รู้จักฉันมาก่อนหน้านี้  เขาก็ได้รู้จักฉันแล้ว  หากใครไม่รู้จักฉันมาก่อน  ฉันก็กำลังจะแนะนำตัวกับเขา  ฉันคือ  บุคคลหนึ่ง  บุตรของบุคคลหนึ่ง  ฉันเคยบอกว่า  อัลกุรอานเป็นมัคโลค(สิ่งที่ถูกสร้าง)   และแท้จริงพระองค์อัลเลาะฮ์นั้นไม่สามารถที่จะมองเห็นได้  และบรรดาการงานชั่วต่าง ๆ นั้นฉันเองคือผู้สร้างมันขึ้นมา  จากนี้ต่อไป  ฉันได้สำนึกตนและถอนตัวออกจากคำพูดดังกล่าวอย่างเด็ดขาดแล้ว  อีกทั้งจะโต้ตอบกลุ่มมั๊วะตะซิละฮ์  จะเปิดโปงความเสื่อมเสียและสิ่งน่าหนิของพวกเขา 

ท่าน อบูบักร อัสซ๊อรรอฟีย์  กล่าวว่า "กลุ่มมั๊วะตะซิละฮ์ได้เชิดหน้าชูตาขึ้นมา จนกระทั่ง ท่านอัลอัชอะรีย์ได้ปรากฏขึ้น  และทำให้พวกเขาต้องอยู่ในกรวย" 

ท่านอัลกอฏีย์  อิยาฏ อัลมาลิกีย์  กล่าวว่า "ท่านอบูอัลหะซัน อัลอัชอะรีย์  คือผู้หนึ่งที่ได้ประพันธ์ตำหรับตำราต่าง ๆ  สำหรับแนวทางของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์   สร้างหลักฐาน  ข้อยืนยันของแนวทางอะฮ์ลิสซุนนะฮ์  เป็นผู้ที่โต้ตอบพวกบิดอะฮ์ที่ให้การปฏิเสธบรรดาซีฟัต(คุณลักษณะ) และการมองเห็นอัลเลาะฮ์ตะอาลา พวกเขาปฏิเสธคำดำรัส(กะลามุลลอฮ์)ดั้งเดิมของพระองค์  ปฏิเสธเรื่องบอกเล่าต่าง ๆ ที่จำเป็นต้องเชื่อว่ามีจริง  ,  อะฮ์ลิสซุนนะฮ์ต่างก็ได้อ้างอิงถึงตำราของท่าน  พวกเขาได้คัดลอกแล้วทำการศึกษาเรียนรู้ตามนั้น  ต่างก็ได้มีความเข้าใจแนวทางที่ท่านวางเอาไว้  จำนวนนักศึกษาของท่านก็ได้ทวีเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อต้องการที่จะทำการศึกษาและปกป้องแนวทางของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์" ดู  หนังสือ ตัรตีบ อัลมะตาริค เล่ม 5 หน้า 24 - 25

อัลอะชาอิเราะฮ์และอัลมุตูรีดียะฮ์คืออะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์

เนื่องจากประชาชาติอิสลามส่วนใหญ่นั้น  คือ อัลอะชาอิเราะฮ์ และ อัลมะตูริดียะฮ์  ดังนั้น  บรรดานักปราชญ์ที่อยู่มัซฮับมาลิกีและมัซฮับชาฟิอีย์  ก็คือ อะชาอิเราะฮ์  และผู้อยู่มัซฮับหะนะฟีย์ส่วนมากก็คือ  มะตูริดียะฮ์  และบรรดามหาวิทยาลัยศาสนาในโลกอิสลามนั้น  ก็เป็น  อัชอะรียะฮ์และมุตูระดียะฮ์   เช่น   มหาวิทยาลัย อัล-อัซฮัร  ในอียิปต์   มหาวิทยาลัย อัซ-ซัยตูนะฮ์  ในตูนิส  มหาวิทยาลัย อัลก๊อรวียีน  ในมอร๊อคโค   มหาวิทยาลัย  เดียวบันดฺ  ในอินเดีย  และอื่น ๆ  จากบรรดาสถาบันการศึกษาและบรรดามหาวิทยาลัยทางด้านศาสนาอิสลาม 

ดังนั้น  ถ้าหากเรากล่าวว่า  แท้จริงอัลอะชาอิเราะฮ์  ไม่ใช่เป็นส่วนหนึ่งจากอะฮ์ลิสซุนนะฮ์แล้ว   ขอสาบานว่าแท้จริง  เรากำลังตัดสินถึงความลุ่มหลงกับประชาชาติอิสลามทั้งหมดหรือส่วนมาก  และเราก็จะตกอยู่ในกลุ่มบรรดาพวกที่เราได้กล่าวหาว่าพวกเขาเบี่ยงเบน(จากสัจจะธรรม)เสียเอง  และผู้ใดเล่าที่ชูธงแห่งการปกป้องซุนนะฮ์และทำการต่อต้านบรรดาผู้เป็นศรัตรูต่อซุนนะฮ์ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา นอกจากเสียว่าพวกเขาคืออัลอะชาอิเราะฮ์และอัลมาตุริดียะฮ์

หลังจากแนวทางของท่านอิมาม อบู อัลหะซัน อัลอัชอะรีย์ และท่านอิมาม อบูมัรซูร อัลมะตูริดีย์  ได้รับการยอมรับและเป็นที่เลื่องลือ  เราก็จะพบว่า  ไม่มีนักปราชญ์ในสาขาวิชาการใด  ที่มาจากนักปราชญ์หะดิษ  นักปราชญ์ตัฟซีร  นักปราชญ์ฟิกห์  นักปราชญ์อุซูลุดดีน  นักปราชญ์ภาษาอาหรับ  นักปราชญ์ประวัติศาสตร์  จอมทัพแห่งโลกอิสลาม  และอื่น ๆ  นอกจากว่า  พวกเขาคือ  นักปราชญ์แนวทางของ อัลอะชาอิเราะฮ์และอัลมะตูริดียะฮ์   ซึ่งผมขอนำเสนอเป็นอย่างเท่านั้น  ดังนี้

นักปราชญ์วิชาการกิรออาต (วิธีการอ่านอัลกุรอาน)

ท่านอิบนุ อัลญัซฺรีย์ , ท่านอบูอัมร์ อัดดานีย์ , ท่านชีฮาบุดดีน อัลกุสฏ๊อลลานีย์ , ท่านอัชชาฏิบีย์ , ท่านอบูชามะฮ์ อัลมุก๊อดดิซีย์

นักปราชญ์ตัฟซีรอัลกุรอาน

ท่าน อิมาม อัลกุรฏุบีย์ , ท่านอิมาม อันนะซะฟีย์ , ท่านอัลคอซิน , ท่านอัรรอซีย์ , ท่านอัลอะลูซีย์(ผู้เป็นปู่) , ท่านอัลบัยฏอวีย์ , ท่านอิบนุ อัลอะร่อบีย์ , ท่านอิบนุอะฏียะฮ์ , ท่านอัลมุหัลลีย์ , ท่านอัษษะอาลิบีย์ , ท่านอบูฮิยาน , ท่านอัสศะยูฏีย์ , ท่านอัลกอซิมีย์ , และท่านอื่น ๆ อีกมากมาย

นักปราชญ์อุลูม อัลกุรอาน (ศาสตร์เกี่ยวกับอัลกุรอาน)

ท่านอัซซัรกาชีย์ , ท่านอัลรอฆิบ อัลอัศฟะฮานีย์ , ท่านอัลมาวัรดีย์ , ท่านอัลกาฟีญีย์

นักปราชญ์หะดิษและหลักพิจารณาหะดิษ

ท่านอัลหากิม , ท่านอัลบัยฮะกีย์ , ท่านอิบนุหิบบาน , ท่านอัลค่อฏีบ อัลบุฆดาดีย์ , ท่านอิบนุอะซากิร  , ท่านอัลค๊อฏฏอบีย์  , ท่านอบู นุอัยม์ อัลอัสฟะฮานีย์  , ท่านอัลกอฏีย์ อิยาฏ , ท่านอัลมุนซิรีย์ , ท่านอันนะวาวีย์  , ท่านอิซซุดดีน บิน อับดุสลาม  , ท่านอิบนุหะญัร อัลฮัยษะมีย์  , ท่านอัลมิซซีย์  , ท่านอิบนุหะญัร อัลอัสก่อลานีย์  , ท่านอิบนุบัฏฏอล และนักปราชญ์อธิบายซอฮิหฺบุคคอรีย์และมุสลิม    , ท่านซัยนุดดีน อัลอิรอกีย์  , ท่านอิบนุญะมาอะฮ์  , ท่านอัลอัยนีย์  , ท่านอัลอะลาอีย์  , ท่านอิบนุ เฟาร๊อก  , ท่านอิบนุ อัลมุลักกิน  , ท่านอิบนุ ดะกีก อัลอีด  , ท่านอิบนุ อัซซะมะลิกานีย์  , ท่านอัซซัยละอีย์  , ท่านอัศสะยูฏีย์  , ท่านอิบนุอะลาน  , ท่านอัศศัคคอวีย์  , ท่านอัลมุนาวีย์  , ท่านอะลีย์ อัลกอรีย์  , ท่านอัลบัยกูนีย์  , ท่านอัลลักนาวีย์  , ท่านอัซซะบีดีย์  , และท่านอื่น ๆ อีกมากมาย

นักปราช์อุศูลิดดีน

ท่านอบู อัลหะซัน อัลอัชอะรีย์ , ท่าน อบู มันซูร อัลมะตูริดีย์ , ท่านอิมาม อัลหะรอมัยน์ , ท่านอัลมะตะวัลลีย์ , ท่านอัชชะรีฟ อัลญุรญานีย์ , ท่านอัลอามิดีย์ , ท่านฮิบะตุลลอฮ์ อัลมักกีย์ , ท่านอัลบัยญูรีย์

นักปราชญ์อุศูลุลฟิกห์

ท่านอิบนุอัลฮาญิบ , ท่านอัลก่อรอฟีย์ , ท่านอัลบัยฏอวีย์ , ท่านอะลาอุดดีน อัลบุคอรีย์ , ท่านอัลบัซฺดะวีย์ , ท่านอิบนุอัลฮุมาม , และท่านอื่น ๆ

นักปราชญ์ฟิกห์

ท่าน อัศศุบกีย์  , ท่านอันนะวาวีย์  , ท่านอัรรอฟิอีย์  , ท่านอัลบุลกินีย์  , ท่านซะกะรียา อัลอันซอรีย์  , ท่านอัชชิบรอมะลิซีย์  , ท่านอัลฟากิฮีย์  , ท่านอัฏฏ่อร่อฏูชีย์  , ท่านอิบนุ อัลเญาซีย์  , ท่านอิบนุอาบิดีน  , ท่านชัยค์อันนัซซฺอม  , ท่านอัลกาซานีย์  , ท่านฆุนัยมีน  , ท่านอิบนุ อัลหาจญฺ , และนักปราชญ์อีกมากมาย 

นักปราชญ์ประวัติศาสตร์

ท่านอัลกอฏีย์ อิยาฏ  , ท่านมุฮิบุดดีน อัลฏ่อบะรีย์  , ท่านอิบนุ อะซากิร  , ท่านอัลคอฏีบ อัลบุฆดาดีย์  , ท่านอบู นุอัยม์ อัลอัศฟะฮานีย์  , ท่านอิบนุหะญัร  , ท่านอัลมิซซีย์  , ท่านซุฮัยลีย์  , ท่านอัศศอลิฮีย์  , ท่านอัสศะยูฏีย์  , ท่านอิบนุอัลกะษีร  , ท่านอิบนุค๊อลดูน  , ท่านอัตตะลิมซานีย์  , ท่านอัศศ๊อฟดีย์  , ท่านอิบนุค่อลิกาน , ท่านอะลีย์ บิน อิบรอฮีม อัลหะละบีย์ ท่านอิบนุ ซัยยิดินาส , ท่านยูซุฟ อัลนับฮานีย์ , ท่านอัลฟาซีย์ , ท่านอิบนุ กอฏีย์ ชะฮ์บะฮ์ , และท่านอื่น ๆ อีกมากมาย

นักปราชญ์หลักภาษาอาหรับ

ท่าน อัลญุรญานีย์  , ท่านอัลก๊อซวีนีย์  , ท่านอิบนุ อัลอัมบารีย์  , ท่านอัสศะยูฏีย์  , ท่านอิบนุมาลิก  , ท่านอิบนุกะอีล  , ท่านอิบนุฮิชาม  , ท่านอิบนุ มันซูร  , ท่านอัลฟัยรูซฺอาบาดีย์  , ท่านอัซซะบีดีย์ , ท่านอิบนุอัลหาญิบ  , ท่านอัลอัซฮะรีย์  , ท่านอิบนุอัลอะษีร  , ท่านอัลหะมะวีย์  , ท่านอิบนุฟาริส  , ท่านอัลกะฟะวีย์  , ท่านอิบนุอาญุรูม  , ท่านอัลฮัฏฏอบ  , ท่านอัลอะฮ์ดัล  ,และท่านอื่น ๆ อีกมากมาย

นักปราชญ์ศาสตร์ทำนายฝัน

ท่านอับดุลฆอนีย์ อันนาบุลุซีย์ , ท่านอิบนุ อัลมุกรีย์.

นักปราชญ์ตะเซาวุฟ

ท่านอัลกุชัยรีย์ , ท่านอัลฆอซะลีย์ , ท่านอัรริฟาอีย์ , ท่านอัลญุนัยด์ , ท่านชัยค์ ซัรรูก , ท่านมุฮัมมัด อะมีน อัลกุรดีย์ , ท่านอิบนุอะฏออิลและฮ์

จอมทัพอิสลาม

ท่าน อัลวะซีร นิซอม อัลมุลกิ , ท่านจอมทัพ นูรุดดีน อัซซังกีย์ , ท่านจอมทัพ ซ่อลาฮุดดีน อัลอัยยูบีย์ , ท่านจอมทัพ มุฮัมมัดฟาติหฺ , ท่านจอมทัพ อัลมุซ๊อฟฟัร ก๊อฏซฺ

ดังนั้น  จะเป็นไปได้อย่างไร  ที่มีกลุ่มหนึ่ง พยายามกล่าวอ้างว่า  บรรดานักปราชญ์ผู้ทรงธรรมเหล่านั้น  ไม่ว่าจะมาจากอัลอะชาอิเราะฮ์และอัลมุตูริดียะฮ์  ไม่ใช่อะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ !!   ซึ่งความจริง  อัลอะชาอิเราะฮ์และอัลมะตูริดียะฮ์  คือกลุ่มหนึ่งจากอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์  ที่ประชาชาติให้ความพอใจกับพวกเขา  เพราะพวกเขาได้พึงพอใจอัลกุรอานและซุนนะฮ์ในการนำมาเป็นหลักฐานของพวกเขา  และอัลอะชาอิเราะฮ์และอัลมะตูริดียะฮ์  คือปวงปราชญ์ผู้ปกป้อง แบกรับและถ่ายทอดหลักการของศาสนา  ดังนั้น การตำหนิพวกเขา ย่อมถือเป็นการตำหนิศาสนา  ซึ่งเหมือนกับเรากล่าวว่า   บรรดาซอฮาบะฮ์คือผู้แบกรับและถ่ายทอดหลักการศาสนา  และการตำหนิพวกเขานั้น คือการตำหนิศาสนา  วัลลอฮุอะลัม
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ almadany

  • เพื่อนสนิท (._.")
  • ***
  • กระทู้: 346
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ซึ่งความจริง  อัลอะชาอิเราะฮ์และอัลมะตูริดียะฮ์  คือกลุ่มหนึ่งจากอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์  ที่ประชาชาติให้ความพอใจกับพวกเขา  เพราะพวกเขาได้พึงพอใจอัลกุรอานและซุนนะฮ์ในการนำมาเป็นหลักฐานของพวกเขา  และอัลอะชาอิเราะฮ์และอัลมะตูริดียะฮ์  คือปวงปราชญ์ผู้ปกป้อง แบกรับและถ่ายทอดหลักการของศาสนา  ดังนั้น การตำหนิพวกเขา ย่อมถือเป็นการตำหนิศาสนา  ซึ่งเหมือนกับเรากล่าวว่า   บรรดาซอฮาบะฮ์คือผู้แบกรับและถ่ายทอดหลักการศาสนา  และการตำหนิพวกเขานั้น คือการตำหนิศาสนา  วัลลอฮุอะลัม

ไม่ใช่หมายความว่าอัลอะชาอิเราะฮ์ถูกวิจารณ์ไม่ได้...แต่ว่าหากวิจารณ์แล้วก็ไม่สมควรสรุปแบบตามอารมณ์ว่าอัลอะชาอิเราะฮ์ไม่ใช่อะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์...เพราะมันเหมือนกับว่ามีกลุ่มหนึ่งแค่หยิบมือเดียวพยายามทำให้มุสลิมเกือบค่อนโลกกลายเป็นผู้ลุ่มหลง,,,จนกระทั่งเป็นชาวนรกตามทัศนะของพวกเลยเถิด....จงยืนหยัดต่อไปครับ

นูรุ้ลอิสลาม

  • บุคคลทั่วไป
อัสลามุอะลัยกุ้มครับ

เมื่อไหร่จะนำเสนอชี้แจงแถลงไขต่อครับน้อง เพราะว่าข้อ

2.  วิจารณ์การแบ่งวิวัฒนาการเรื่องอะกีดะฮ์ของอิมามอบูลหะซันอัลอัชอะรีย์  ออกเป็น  3  ช่วง  ตามคำกล่าวอ้างตามแนวทางของวะฮาบีย์

เป็นที่น่าสนใจอย่างมากนะครับเพราะวะฮาบีย์เขาสรุปเองอย่างนั้น  แล้วความจริงของชาวอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ส่วนมากนั้นเป็นอย่างไร?

SaFinah

  • บุคคลทั่วไป
วาอาลัยกุ้มมุซสลาม...ครับ...บังนูรุ้ลอิสลาม...

เห็นด้วยครับ...บังฯ...ผมก็รอเหมือนกันครับ...

เมื่อไร อ.อัลอัซฮารีจะมาอัพเดทซักกะทีครับผม... :D

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
السلام عليكم ورحمة الله وبركاته

อินชาอัลเลาะฮ์ครับ  จะหาช่วงเวลามานำเสนอครับ 

والسلام
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
ผู้เขียน (ขออัลเลาะฮ์ทรงชี้นำเขา) กล่าวว่า

ด้านประวัติศาสตร์ กล่าวคือหากเราศึกษาอย่างละเอียดรอบคอบ เราจะพบว่า แนวทางของท่านอิหม่ามอบูหะสันอัลอัชอารียฺสามารถแยกออกมาได้ 3 ระยะด้วยกัน คือ ระยะแรก ระยะที่สอง และระยะสุดท้าย ดังที่ Al-Musiliy ได้อธิบายในรายละเอียด ดังนี้

วิจารณ์

หากเราศึกษาประวัติศาสตร์จริง ๆ อย่างละเอียดรอบคอบ  แน่นอนว่า  การกล่าวอ้างว่าอิหม่ามอบูลหะซันอัลอัชอะรียฺสามารถแบ่งออกได้ 3 ระยะนั้น ถือว่าเป็นการกล่าวอ้างที่ไร้หลักฐานทางประวัติศาสตร์  เพราะการแบ่งแยกเช่นนี้ เพิ่งเกิดขึ้นในศตวรรษที่ 7  แล้ววะฮาบีย์ก็เชื่อตามนั้น  ดังนั้น  ผมจึงอยากจะถามว่า  เหตุใดนักปราชญ์ประวัติศาสตร์ของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ก่อนจากสตวรรษที่ 7  ไม่มีผู้ใดทำการยืนยันการแบ่ง 3 ช่วงระยะดังกล่าว

อริปรายเรื่องการแบ่ง 3 ช่วงระยะตามทัศนะของวะฮาบี

อิมามอัลอัชอะรีย์ ร่อฮิมะฮุลลอฮ์  เป็นนักปราชญ์ท่านหนึ่งจากบรรดานักปราชญ์มุสลิมีน  เป็นปราชญ์นามกระเดื่องที่บรรดาผู้คนทั่วไปทราบถึงสถานะภาพของท่านเป็นอย่างดี  โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งที่เรากำลังจะพูดถึง  เพราะถ้าหากเรื่องราวเป็นอย่างที่ที่ถูกแอบอ้างมาโดยการท่านอิมามอัลอัชอะรีย์ได้ผ่านสามช่วงระยะในชีวิตของท่านแล้ว  ก็จำเป็นที่จะต้องมีบรรดานักประวัติศาสตร์ทำการบันทึกและอธิบายไว้  และเป็นที่หลีกเลี่ยงไม่พ้นว่า  เรื่องราวดังกล่าวต้องเป็นที่เลื่องลือแพร่สะพัดเหมือนกับกรณีที่ท่านได้ยกเลิกจากแนวทางของมั๊วะตะซิละฮ์  เพราะว่าไม่มีผู้ใดที่ทำการถ่ายทอดประวัติของท่านอิมามอัลอัชอะรีย์นอกจากทำการกล่าวเพียงแค่เรื่องที่ท่านได้ขึ้นมิมบัรและประกาศตนไม่เกี่ยวข้องกับแนวทางมั๊วะตะซิละฮ์  ดังนั้น  มีนักประวัติศาสตร์ท่านใดบ้างที่ได้กล่าวประเด็นที่อิมามอัลอัชอะรีย์ได้ยกเลิกจากแนวทางของท่านอับดุลเลาะฮ์ บิน สะอีด บิน กุลลาบ ??

ในขณะที่เราได้หวนกลับไปพิจารณาบรรดาตำราประวัติศาสตร์  เราจะไม่พบข้อบ่งชี้ใด ๆ ระบุถึงเรื่องดังกล่าวนี้เลยแม้แต่น้อย  ยิ่งกว่านั้นเรากลับพบว่าบรรดานักประวัติศาสตร์ทั้งหมดบันทึกสอดคล้องกันว่า  ท่านอิมามอะบูอัลหะซันอัชอะรีย์นั้น หลังจากที่ท่านได้ยกเลิกจากแนวทางมั๊วะตะซิละฮ์  ท่านก็ได้หวนกลับไปสู่แนวทางสะละฟุศศอลิหฺ  และทำการประพันธ์หนังสือต่าง ๆ ของท่านตามแนวทางของสะละฟุศศอลิห์  เช่นหนังสือ อัลอิบานะฮ์และตำราอื่น ๆ ที่ท่านได้ประพันธ์เพื่อสนับสนุนแนวทางของผู้สัจจริง

ท่านอิมาม อบูบักร บิน ฟูร๊อก ร่อฮิมะฮุลลอฮ์  กล่าวว่า "ท่านอัชชัยค์ อบูลหะซัน อะลี บิน อิสมาอีล อัลอัชอะรีย์  ร่อฏิยัลลอฮุอันฮุ  ได้ยกเลิกจากมัซฮับมั๊วะตะซิละฮ์ไปสู่การสนับสนุนมัซฮับอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์  ด้วยบรรดาหลักฐานทางด้านสติปัญญาและทำการประพันธ์ตำราต่าง ๆ เกี่ยวกับสิ่งดังกล่าว"  ตับยีนกัซบิลมุฟตะรี 127

ท่านอิบนุ อัลค่อลลิกาน  ได้กล่าวถึงท่านอิมามอัลอัชอะรีย์ ว่า "เขาเป็นปราชญ์เจ้าของวิชาอุซูลและเป็นผู้ยืนหยัดด้วยการสนับสนุนมัซฮับอัซซุนนะฮ์....และเดิมทีนั้นท่านอบูลหะซันอยู่ในแนวทางมั๊วะตะซิละฮ์  แต่หลังจากนั้นท่านได้เตาบะฮ์จากทัศนะคำกล่าวในเรื่องอัลอัดล์และเรื่องอัลกุรอานเป็นมัคโลค โดยเกิดขึ้นในมัสยิดญาเมี๊ยะอฺ  ณ เมืองอัลบัสเราะฮ์  ในวันศุกร์" วะฟะยาตุลอะอฺยาน 3/284

ท่านอัซซะฮะบีย์ กล่าวว่า "ได้ทราบถึงเราว่า  ท่านอบูลหะซัลได้เตาบะฮ์และขึ้นบนมิมบัร ที่เมืองบัสเราะฮ์ และกล่าวว่า  แท้จริงฉันได้เคยกล่าวว่าอัลกุรอานนั้นมัคโลค . . . และฉันได้เตาบะฮ์และยึดมั่นในหลักการเพื่อโต้ตอบกลุ่มมั๊วะตะซิละฮ์" ซิยัรอะลามอันนุบะลาอฺ 15/89

ท่านอัลลามะฮ์ อิบนุ ค๊อลดูน ร่อฮิมะฮุลลอฮ์  กล่าวว่า "จนกระทั่งปรากฏท่านอัชชัยค์ อบูลหะซัน อัลอัชอะรีย์ขึ้นมาและเขาได้ทำการเสวนาโต้แย้งกับบรรดาอาจารย์ของท่านบางส่วน(ที่เป็นมั๊วะตะซิละฮ์) เกี่ยวกับประเด็นอัศศ่อลาห์และอัลอัศละห์  ดังนั้นเขาจึงทำการปฏิเสธแนวทางของกลุ่มมั๊วะตะซิละฮ์  และดำเนินตามทัศนะของท่านอับดุลลอฮ์ บิน สะอีด บิน กุลลาบ , ทัศนะของท่านอบี อัลอับบาส อัลก่อลานิซีย์ , และทัศนะของท่านอัลหาริษ อัลมุฮาซิบีย์  ซึ่งเป็นบรรดานักปราชญ์ผู้เจริญรอยตามสะลัฟและแนวทางของซุนนะฮ์" มุก๊อดดิมะฮ์ อิบนุ ค๊อลดูน 583

ดังนั้น  ท่านอิบนุค๊อนดูนได้ยืนยันว่าท่านอิมามอัลอัชอะรีย์หลังจากยกเลิกแนวทางมั๊วะตะซิละฮ์แล้วนั้น  ท่านได้ดำเนินตามทัศนะของท่านอับดุลลอฮ์ บิน กุลลาบ  ทัศนะของท่านอัลก่อลานิซีย์  และทัศนะของท่านอัลมุฮาซิบีย์  ซึ่งพวกเขาทั้งหมดนั้นอยู่บนแนวทางสะลัฟและซุนนะฮ์

และเช่นเดียวกันนี้  หนังสือประวัติศาสตร์ทั้งหมดที่ได้ถ่ายทอดชีวประวัติของท่านอิมามอบูลหะซัน อัลอัชอะรีย์  ไม่ว่าเป็นหนังสือตารีคบุฆดาด ของท่านอัลค่อฏีบ อัลบุฆดาดีย์ , หนังสือเฏาะบะก๊อตอัชชาฟิอียะฮ์ ของท่านอัซศุบกีย์ , หนังสือชะซะร๊อตอัซซะฮับ ของท่านอิบนุอิมาด , หนังสืออัลกามิล ของท่านอิบนุอะษีร , หนังสือตับยีนกัซบิลมุฟตะรีย์ ของท่านอิบนุอะซากิร , หนังสือตัรตีบอัลมะดาริค ของท่านอัลกอฏีอิยาฏ , หนังสือเฏาะบะก๊อตอัชชาฟิอียะฮ์ ของท่านอิบนุ กอฏอ ชะฮ์บะฮ์ , หนังสือเฏาะบะก๊อตอัชชาฟิอียะฮ์ ของท่านอัลอัสนะวีย์ , หนังสืออัดดีบาจญ์อัลมุซฮับ ของท่านอิบนุฟัรฮูน , หนังสือมิรอาตุลญินาน ของท่านอัลยาฟิอีย์ และหนังสือต่าง ๆ  ซึ่งทั้งหมดได้บันทึกสอดคล้องกันว่า  ท่านอิมามอบูลหะซัน อัลอัชอะรีย์  หลังจากที่ท่านได้ทำการเตาบะฮ์จากแนวทางมั๊วะตะซิละฮ์นั้น  ท่านได้หวนกลับไปสู่แนวทางของสะลัฟและซุนนะฮ์

นอกเหนือจากนั้น  การอ้างว่าท่านอิมามอัลอัชอะรีย์ที่ยกเลิกทัศนะดังกล่าวนั้น  หากได้รับการยืนยันจริง  บรรดาบุคคลที่สมควรจะทำการบอกให้รู้หรือถ่ายทอดได้ดีที่สุด  ก็คือบรรดามิตรสหายและสานุศิษย์ของท่าน  เพราะว่ามนุษย์ที่จะรู้จักผู้ชายคนหนึ่งเป็นอย่างดีนั้นคือบรรดามิตรสหายและสานุศิษย์ที่ติดตามและอยู่ร่วมกับท่าน  ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นย่อมเป็นบุคคลที่ใกล้ชิดและรอบรู้มากที่สุดถึงบรรดาคำกล่าวและทัศนะความเห็นของท่าน  โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นสำคัญที่เหมือนกับประเด็นนี้ซึ่งสมควรเป็นอย่างยิ่งที่จะทำการถ่ายทอด  แต่เมื่อเราหวนกลับไปตรวจสอบบรรดาคำกล่าวของสานุศิษย์ของและบรรดาสานุศิษย์ของสานุศิษย์ของท่านนั้น  เราไม่พบข้อบ่งชี้ใดเลยที่สามารถอ้างอิงสิ่งดังกล่าว แต่เรากลับพบว่าพวกเขาเหล่านั้นมีความเห็นพร้องกันว่าอิมามอบูลหะซันอัลอัชอะรีย์นั้น  หลังจากที่ท่านได้ยกเลิกจากแนวทางมั๊วะตะซิละฮ์  ท่านได้หวนกลับมาสู่แนวทางของสะลัฟและซุนนะฮ์ที่ท่านอัลมุหาซิบีย์ , ท่านอิบนุกุลลาบ , ท่านอัลก่อลานิซีย์ , ท่านอัลก่ารอบิซีย์ , และคนอื่น ๆ ได้ดำเนินอยู่  ดังนั้น  หากท่านได้ยกเลิกแนวทางเดิมจริง  ท่านก็จะต้องทำการประกาศตนบนมิมบัรเหมือนกับที่เคยทำมาก่อนในช่วงที่ยกเลิกจากแนวทางของมั๊วะตะซิละฮ์

ดังนั้นเรื่องราวจึงไม่ได้เป็นอย่างที่ถูกแอบอ้าง  แต่ความจริงแล้วท่านอิมามอบุลหะซันอัลอัชอะรีย์ไม่เคยผ่านช่วงระยะใดนอกจากเพียงแต่ 2 ระยะเท่านั้น  คือช่วงระยะที่อยู่แนวทางของมั๊วะตะซิละฮ์  หลังจากนั้น  ท่านก็หวนกลับไปสู่แนวทางสะลัฟ!

วัลลอฮุอะลัม
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

นูรุ้ลอิสลาม

  • บุคคลทั่วไป
ญะซากัลลอฮ์ครับ  ;)

ออฟไลน์ asha-ira

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 23
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
จะติดตามการแก้ต่างการกล่าวหาและความไม่เข้าใจของกลุ่มวะฮาบีที่มีต่อกลุ่มอัลอะชาอิเราะฮ์ครับ

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
คิดถึงกระทู้นี้จังครับ  สักครู่ ๆ   ;D
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com

بسم الله الرحمن الرحيم

ผู้เขียน (ขออัลเลาะฮ์ทรงชี้นำเขา) กล่าวว่า

อะชาอิเราะฮฺเป็นชื่อเดียวที่เป็นที่รู้จักมากที่สุด แม้ว่าจะมีบางอุละมาอฺเรียกกลุ่มนี้ว่า อัสสับอียะฮฺ หมายถึง กลุ่ม 7 สาเหตุที่เรียกกลุ่มนี้ว่ากลุ่ม 7 ก็เป็นเพราะพวกเขาอิษบาต (ยืนยันว่า) อัลลอฮฺ ทรงมีคุณลักษณะแค่ 7 คุณลักษณะเท่านั้น ส่วนที่นอกเหนือจากนั้นให้ตีความ(ตะวีลฺ) (‘Awajiy,1998 : 1/1059 )

ผู้เขียน (ขออัลเลาะฮ์ทรงชี้นำเขา) กล่าวเช่นกันว่า

คือ นับตั้งแต่ท่านได้ทอดทิ้งแนวทางมุอฺตะซิละฮฺหันมาสูแนวทางใหม่ ซึ่งเป็นแนวทางที่สองที่ท่านได้ยืดถือ คือแนวทางของกุลลาบียะฮฺที่นำโดยอับดุลลอฮฺ เบ็น สะอีด เบ็น
กุลลาบ อัลบัสรียฺ ซึ่งมีแนวความคิดที่ว่า คุณลักษณะของอัลลอฮฺที่สามารถจะยอมรับได้มีแค่ 7 คุณลักษณะเท่านั้นคือ

1.อัลอิลมุ ( العلم ) หมายถึงความรู้ , 2.อัลกุดเราะฮฺ ( القدرة ) หมายถึงความสามารถ , 3.อัลอิรอดะฮฺ ( الإرادة ) หมายถึงความประสงค์ , 4.อัลหะยาต ( الحياة ) หมายถึงการมีชีวิต , 5.อัลสัมอู ( السمع ) หมายถึงการฟัง , 6.อัลอัลบาสอรู ( البصر ) หมายถึงการมองเห็น , 7.อัลกะลามู ( الكلام ) หมายถึงการพูด การกล่าว
และปฏิเสธในคุณลักษณะที่เหลือทั้งหมดโดยให้เหตุผลเพียงข้อเดียวว่าไม่เข้ากับปัญญา

วิจารณ์

การกล่าวอ้างว่าของวะฮาบีย์ที่ว่า  อุลามาอ์บางส่วนของอัลอะชาอิเราะฮ์ที่แบ่งซีฟัตหลัก ๆ ของเป็น 7 ซีฟัต  ได้ทำการปฏิเสธคุณลักษณะ(ซีฟัต)ที่เหลือทั้งหมดนั้น  ถือว่าเป็นความมุสาต่อพวกเขา  ความเข้าใจอันบกพร่องและแอบแฝงไปด้วยความอคติและการตักลีด  จึงเป็นเหตุให้ทำการกล่าวหาต่อพวกเขาเฉกเช่นนี้

อนึ่ง  อุลามาอ์อัลอะชาอิเราะฮ์มิได้ปฏิเสธและไม่เคยปฏิเสธคุณลักษณะหรือซีฟัตของอัลเลาะฮ์ตาอาลา  เนื่องจากพวกเขาจะทำการปฏิเสธซีฟัตของอัลเลาะฮ์ที่ได้ถูกกล่าวไว้ในอัลกุรอานและฮะดิษที่ซอฮิห์ได้อย่างไร?  ดังนั้น  ผู้ใดที่กล่าวว่าอัลอะชาอิเราะฮ์ปฏิเสธซีฟัตของอัลเลาะฮ์  ถือว่าเขาผิดพลาดและมุสา  เพราะว่าอัลอะชาอิเราะฮ์ให้การยอมรับและยืนยันในซีฟัตต่าง ๆ ของอัลเลาะฮ์ตาอาลา  เช่น ซีฟัต อัลอิสติวาอ์ (ที่วะฮาบีย์แปลว่า การนั่งของอัลเลาะฮ์)  แต่ทว่าพวกเขาได้ทำการอธิบายความหมายและมีจุดยืนที่แตกต่างจากการอธิบายความหมายของวะฮาบีย์  ดังนั้นวะฮาบีย์จึงทำการรีบแอบว่าอัลอะชาอิเราะฮ์ปฏิเสธซีฟัตของอัลเลาะฮ์  ซุบฮานัลลอฮ์! ทั้งที่ความจริงอัลอะชาอิเราะฮ์ยอมรับและยืนยันในซีฟัตของอัลเลาะฮ์ แต่พวกเขาปฏิเสธการอธิบายความหมายของวะฮาบีย์ที่เกี่ยวกับซีฟัตของอัลเลาะฮ์ต่างหาก

ดังนั้น  การที่อุลามาอ์อัลอะชาอิเราะฮ์บางส่วนยืนยัน 7 ซีฟัตเป็นอันดับแรก  มิใช่หมายว่าพวกเขาปฏิเสธซีฟัตอื่น ๆ  เนื่องสาเหตุการยืนยัน 7 ซีฟัตเป็นอันดับแรกนั้น  มีดังนี้

1. เพราะอัลกุรอานและซุนนะฮ์เรียกร้องให้มีการศรัทธาต่อบรรดาซีฟัตดังกล่าวเป็นการเฉพาะ  หมายถึง  ตัวบทของอัลกุรอานได้ระบุไว้อย่างชัดเจนและเด็ดขาดให้เราทำการศรัทธาต่อมัน  ดังนั้น  เราจะพบว่าอัลเลาะฮ์ได้เรียกร้องให้เรารู้ว่า  อัลเลาะฮ์ทรงรอบรู้ทุก ๆ สิ่ง  อัลเลาะฮ์ทรงสามารถเหนือทุก ๆ สิ่ง   อัลเลาะฮ์ทรงเห็นทุก ๆ สิ่ง  พระองค์ทรงต้องการกระทำสิ่งใดก็ได้ตามที่พระองค์ทรงประสงค์  เช่น

อัลเลาะฮ์ทรงตรัสว่า

 إِنَّ اللّهَ عَلَى كُلِّ شَيْءٍ قَدِيرٌ

"แท้จริงอัลเลาะฮ์ทรงสามารถ(กุดเราะฮ์)เหนือทุก ๆ สิ่ง" อัลบะกอเราะฮ์ 148

พระองค์ทรงตรัสว่า

فَعَّالٌ لِّمَا يُرِيدُ

"พระองค์กระทำตามสิ่งที่ทรงประสงค์"

พระองค์ทรงตรัสว่า

وَاللّهُ بِكُلِّ شَيْءٍ عَلِيمٌ

"และอัลเลาะฮ์ทรงรู้เหนือทุก ๆ สิ่ง" อันนิซาอฺ 176

พระองค์ทรงตรัสเช่นกันว่า

وَهُوَ السَّمِيعُ البَصِيرُ

"และพระองค์ทรงได้ยินยิ่ง ทรงเห็นยิ่ง"
 
ฉะนั้นพระองค์จึงมุ่งเน้นให้เรารู้ถึงคุณลักษณะเหล่านี้เป็นพิเศษ  ซึ่งแตกต่างกับคุณลักษณะอื่น ๆ ที่มีระบุกล่าวแบบโดยนัย  เช่นซีฟัตมือของอัลเลาะฮ์  ซีฟัตใบหน้า ซีฟัตนิ้ว  ซีฟัตดวงตา  ซีฟัตหน้าแข้ง  และซีฟัตอื่น ๆ (ที่วะฮาบีย์ให้ความหมายแบบคำแท้และตรงตัวตามหลักภาษา!)  ดังนั้น  เราจึงไม่พบว่าอัลกุรอานได้เรียกร้องให้ไปทำการรู้ถึง ซีฟัตมือของอัลเลาะฮ์  ซีฟัตใบหน้า  ซีฟัตนิ้ว  และอื่น ๆ  ที่วะฮาบีย์มักจะเรียกร้องและนำมาเป็นประเด็น  และนี้ก็คือแก่นแท้ของการแยกแยะระหว่างซีฟัตทั้ง 7 และซีฟัตอื่น ๆ

2.  เพราะซีฟัตทั้ง 7 นั้น ถือว่าเป็นซีฟัตหลัก (อุซูล) ที่บรรดาซีฟัตอื่นหวนกลับไปยังซีฟัตทั้ง 7  แต่ซีฟัตทั้ง 7 นี้ไม่หวนกลับไปยังอื่น ๆ เช่น ซีฟัต يَدٌ  ( ยะดุน - มือของอัลเลาะฮ์ที่วะฮาบีย์เชื่อว่ามันมีความหมายแบบคำแท้และตรงตัว) ซึ่งส่วนหนึ่งจากบรรดาความหมายของคำว่า يَدٌ  นี้  คือ อัลกุดเราะฮ์ (อัลเลาะฮ์ทรงเดชานุภาพ)  ดังนั้นซีฟัต  يَدٌ  นี้จึงเป็นซีฟัตหนึ่งที่หวนไปกลับยังซีฟัตอัลกุดเราะฮ์  اَلْقُدْرَةُ  ซึ่งเป็นหลักการนี้ ถือว่าเป็นไปได้  สอดคล้องและอนุญาตให้เชิงภาษาอาหรับให้กับคำว่า يَدٌ  ดังนั้นซีฟัต يَدٌ  นี้จึงหวนกลับไปอยู่ภายใต้ซีฟัตอัลกุดเราะฮ์  โดยที่ซีฟัตอัลกุดเราะฮ์(อัลเลาะฮ์ทรงเดชานุภาพและทรงสามารถ)เองนั้นจะไม่กลับไปยังความหมายอื่นนอกจากความหมายที่ชัดเจนในตัวของมันอยู่แล้ว คืออัลเลาะฮ์ทรงเดชานุภาพและสามารถ  ดังนั้น จึงชี้ให้เห็นว่า  ซีฟัตอัลกุดเราะฮ์  ซึ่งเป็นซีฟัตหลักและเป็นซีฟัตที่ไม่ต้องการไปยังการตีความหมายใด ๆ ซึ่งแตกต่างกับซีฟัต يَدٌ  (ยะดุน) 

3.  เพราะซีฟัตทั้ง 7 นั้น เป็นซีฟัตหลัก ๆ หรือซีฟัตแม่  ซึ่งบรรดาซีฟัตอื่น ๆ อีกมากมายย่อมเข้าอยู่ภายใต้ซีฟัตทั้งง 7 นี้  เช่น ซีฟัตเราะห์มะฮ์ (คุณลักษณะความเมตตาของอัลเลาะฮ์) , ซีฟัตอัลมะฮับบะฮ์(คุณลักษณะความรักของอัลเลาะฮ์) , ซีฟัตอัรริฏอ (คุณลักษณะความพึงพอพระทัยของอัลเลาะฮ์) , ซีฟัตอัลฆ่อฏ๊อบ (คุณลักษณะความกริ้วของอัลเลาะฮ์)  ซึ่งทั้งหมดนี้เข้าอยู่ภายใต้ซีฟัต อัลอิรอดะฮ์ (อัลเลาะฮ์ทรงเจตนาหรือต้องการ)  หรืออธิบายอีกนัยยะหนึ่งก็คือ  ไม่มีการแบ่งแยกในแง่ของความหมายอย่างชัดเจนระหว่างซีฟัตอิรอดะฮ์กับบรรดาซีฟัตข้างต้น  หรือบรรดาซีฟัตข้างต้นเหล่านี้  เมื่อเราได้ตรวจสอบความหมาย  ปรากฏว่ามีความหมายที่กลับไปสู่ความหมายของซีฟัตอิรอดะฮ์  เช่น  ซีฟัตอัลเลาะฮ์ทรงพึงพอพระทัย หมายถึง  อัลเลาะฮ์ทรงประสงค์ที่จะให้ผลบุญ , ซีฟัตทรงกริ้ว  หมายถึง  อัลเลาะฮ์ทรงประสงค์ที่จะลงโทษ  เป็นต้น

อีกตัวอย่างหนึ่ง   เช่น  เมื่อเราได้พิจารณาพระนามของอัลเลาะฮ์  ที่ชื่อว่า  الخبير (อัลค่อบีร)   ซึ่งเราจะไม่พบความหมายของพระนามนี้  นอกจากหมายความว่า  การรอบรู้  ด้วยหลักฐานที่มีผู้ที่อธิบาย พระนาม "อัลค่อบีร"  นี้ว่า  "พระองค์ผู้รอบรู้กิจการงานต่าง ๆ ของปวงบ่าว"  ดังนั้น  จึงไม่เป็นการดีแน่ หากนับซีฟัต  ค่อบีร  นี้  เป็นซีฟัตหนึ่งที่แตกต่างกับซีฟัต อัลอิลมุ (อัลเลาะฮ์ทรงรอบรู้) และซีฟัตอื่น ๆ ก็เช่นกัน  เช่น พระนาม อัลอะซีซฺ  แปลว่า  อัลเลาะฮ์ทรงอำนาจยิ่ง  ซึ่งอยู่ภายใต้ซีฟัต อัลกุดเราะฮ์  เป็นต้น

4.  เพราะ 7 ซีฟัตนี้  ได้ถูกรับรองจากหลักฐานที่มุตะวาติรที่แน่นอนและเด็ดขาด  เช่น  หลักฐานจากอัลกุรอาน ,  ซุนนะฮ์ที่มุตะวาติร(ที่แน่นอนและเด็ดขาด ,  และมติของปวงปราชญ์  ซึ่งแตกต่างกับซีฟัต อะซอเบี๊ยะอฺ (ซีฟัตนิ้ว) เป็นต้น  เพราะส่วนมากของซีฟัตเช่นนี้  ไม่มีระบุไว้ในอัลกุรอาน , ไม่มีระบุไว้ในซุนนะฮ์ที่มุตะวาติร ,  และมติของปวงปราชญ์ไม่ได้รับรองไว้  ดังนั้น  ซีฟัต อะซอเบี๊ยะอฺ (ซีฟัตนิ้ว) นี้ก็ยังมีนักวิชาการ ทำการ ตีความ(ตะวีล) บ้างก็ทำการมอบหมาย(ตัฟวีฏ) บ้างก็นับเป็นซีฟัตหนึ่งเป็นเอกเทศ  ฉะนั้นประเด็นนี้  จึงเหมือนกับประเด็นกิรออาต (วิธีการอ่านอัลกุรอาน)ทั้ง 7 กิรออะฮ์  หรือ 14 กิรออะฮ์ เป็นต้น  ซึ่งบางกิรออะฮ์นั้นมีรายงานแบบมุตะวาติร  แต่บางกิรอดะฮ์รายงานมาแบบซาตฺคือไม่ถึงขั้นมุตะวาติร  แม้บังกิรออะฮ์จะถูกบันทึกไว้ในซอฮิห์บุคอรีย์และมุสลิม  แต่นักปราชญ์ไม่นับว่าเป็นอัลกุรอาน  ก็เพราะว่าแหล่งที่มาไม่มุตะวาติร  ไม่เด็ดขาด  ทั้งที่อัลกุรอานก็เป็นกะลามุลลอฮ์  เป็นซีฟัตของอัลเลาะฮ์  แต่ไม่สามารถนำมารับรองเป็นซีฟัตของอัลเลาะฮ์หรือเป็นกุลามุลลอฮ์ได้เพราะแหล่งที่มาไม่มุตะวาติร   

5.  ซีฟัตทั้ง 7 นี้  เป็นซีฟัตที่จำเป็นต้องรู้  ซึ่งมุสลิมจะหลีกเลี่ยงและทำการปฏิเสธไม่ได้  กล่าวคือ  หากไม่กล่าวและเชื่อว่าอัลเลาะฮ์ทรงเดชานุภาพ  อัลเลาะฮ์ทรงรอบรู้ และมีการสงสัยในซีฟัตเหล่านี้  บางครั้งอาจจะนำไปสู่การกุฟุร  แต่ซีฟัตนิ้วของอัลเลาะฮ์  ซีฟัตเท้าของอัลเลาะฮ์  ที่วะฮาบีย์ให้ความหมายแบบคำตรงนี้  อยู่ในหมวดของซีฟัตที่มีความหมายหลายนัยและคลุมเครือต่อคนทั่วไป  ดังนั้น  หากมุสลิมคนหนึ่งไม่รู้  ก็ถือว่าไม่เป็นโทษอันใดด้วยมติของปวงปราชญ์  ซึ่งแตกต่างกับซีฟัตทั้ง 7   

ดังนั้น  การกำหนดซีฟัตทั้ง 7 นั้น  พวกเขาย่อมมีหลักการ  พร้อมกันนั้นก็มิได้ทำการปฏิเสธซีฟัตอื่น ๆ ตามที่วะฮาบีย์ได้ทำการกล่าวอ้าง

วัลลอฮุอะลัม               
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ الأزاهرة

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 139
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด

بسم الله الرحمن الرحيم

ผู้เขียน (ขออัลเลาะฮ์ทรงชี้นำเขา) กล่าวว่า

อะชาอิเราะฮฺเป็นชื่อเดียวที่เป็นที่รู้จักมากที่สุด แม้ว่าจะมีบางอุละมาอฺเรียกกลุ่มนี้ว่า อัสสับอียะฮฺ หมายถึง กลุ่ม 7 สาเหตุที่เรียกกลุ่มนี้ว่ากลุ่ม 7 ก็เป็นเพราะพวกเขาอิษบาต (ยืนยันว่า) อัลลอฮฺ ทรงมีคุณลักษณะแค่ 7 คุณลักษณะเท่านั้น ส่วนที่นอกเหนือจากนั้นให้ตีความ(ตะวีลฺ) (‘Awajiy,1998 : 1/1059 )

วะฮาบีย์ผู้ที่เขียนนี้เอาหลักการตำราเล่มใหนกัน  ทำไมถึงผิดเพี้ยน  ดูเท่านี้ก็รู้แล้วครับ  จากอักษรสีแดง ชี้ชัดเจนว่า  เขากล่าวหาอัลอิชาอิเราะฮ์  เพราะอัลอิชาอิเราะฮ์นั้น  เกี่ยวกับเรื่องซีฟัตที่ชัดเจน  เขาจะไม่ตีความแต่อย่างใด  ส่วนซีฟัตที่มุตะชาบิฮาต  พวกเขามี 2 แนวทาง  คือ ตะวีล(ตีความ) หรือ ทำการมอบหมาย(ตัฟวีฏ)  ดังนั้น  วะฮาบีย์ผู้เขียนคนนี้พูดได้อย่างไรว่า "ส่วนที่นอกเหนือจากนั้นให้ตีความ(ตะวีล)"  ::)

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ม.ค. 10, 2008, 05:48 PM โดย elharm »
อัลเลาะฮ์ทรงตรัสความว่า "ฟิรอูนกล่าวว่า ข้ามิได้ให้พวกท่านออกความเห็นนอกจากสิ่งที่ฉันมีความเห็นเท่านั้น และข้าจะไม่ชี้นำพวกเจ้านอกจากชี้ลู่ทางอันถูกต้องเท่านั้น"  ฆอฟิร 29  ดังนั้น ฟิรอูนจึงเป็นแบบฉบับผู้ที่ชอบกล่าวและเชื่อว่า "ข้าเท่านั้นที่ถูกและข้าเท่านั้นที่เป็นผู้ชี้ทางนำ"

Al Fatoni

  • บุคคลทั่วไป
อัสสลามุ อลัยกุม

                 อัลหัมดุลิลละฮฺ ญาซากั้ลลอฮุ ค็อยร็อยมากๆ ครับสำหรับกระทู้นี้ ผมได้นำคำตอบที่บังอัลฯ ตอบ ไปเรียบเรียงเรียบร้อยแล้วนะครับ แต่ต้องการให้ตอบให้ด้วยนะครับ เพราะน่าสนใจ และครอบคลุมมากๆ ตรงกับเนื้อหาที่เรียนอยู่เปะๆ ครับ กำลังรอคำตอบข้อต่อๆ ไปอยู่นะครับบัง เป็นกำลังใจให้ ผมทำอะไรให้บัง หรือใครเกิดความลำบากใจ กรุณาส่งเมลล์มาตักเตือนกันได้นะครับ เพราะขี้ตาตัวเอง ผมมองไม่เห็นหรอกครับ ต้องให้ท่านช่วยบอกให้ ผมถึงจะรู้ - วัลลอฮุ อะอฺลัม

วัสสลามุ อลัยกุม

ออฟไลน์ almadany

  • เพื่อนสนิท (._.")
  • ***
  • กระทู้: 346
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
อัสลามุอะไลกุ้ม...

พอได้อ่านคำแก้ต่าง...ก็จะนึกเสมอว่า...ขนาดวะฮาบีย์...ยังกล่าวหาอะฮ์ลิสซุนนะฮ์อะชาอิเราะฮ์แบบไม่เข้าใจถึงเพียงนี้....แล้วแนวทางอื่นจะไปเหลืออะไร... :-X

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
ผู้เขียนกล่าวว่า

อัลอะชาอิเราะฮ์ได้ปฏิเสธซีฟัต  ริฎอ (ความพอใจ) และซีฟัตความโกรธ (อัลฆ่อฎ็อบ)

วิจารณ

อัลอะชาอิเราะฮ์  ไม่เคยปฏิเสธซีฟัต “อัรริฎอ” (คุณลักษณะความพอใจของอัลเลาะฮ์)  และซีฟัตอัลฆ่อฎ๊อบ (คุณลักษณะความโกรธกริ้วของอัลเลาะฮ์)  ดังนั้น  อะฮ์ลิสซุนนะฮ์อัลอะชาอิเราะฮ์จะปฏิเสธซีฟัต อัรริฎอและซีฟัตอัลฆ่าฎ๊อบได้อย่างไรในเมื่ออัลกุรอานและซุนนะฮ์ได้ยืนยันเกี่ยวกับซีฟัตนี้เอาไว้   ฉะนั้นผู้ใดที่กล่าวอ้างว่าอัลอะชาอิเราะฮ์ปฏิเสธสองซีฟัตดังกล่าว  ถือว่าเขาได้กระทำการอันผิดพลาดแล้ว  แต่ทว่าอัลอะชาอิเราะฮ์ได้ปฏิเสธการอธิบายเกี่ยวกับซีฟัตนี้ตามหลักอะกีดะฮ์วะฮาบีย์ต่างหาก

ท่านอิมามอัลบากิลลานีย์  กล่าวว่า  “ความโกรธกริ้วของอัลเลาะฮ์ที่มีต่อผู้ที่พระองค์ทรงโกรธกริ้วและความพอใจของพระองค์ต่อผู้ที่พระองค์ทรงพอใจนั้น  ทั้งสองคุณลักษณะนี้หมายถึง  ความต้องการ(อัลอิรอดะฮ์)ของพระองค์ที่จะให้ผลบุญแก่ผู้ที่พระองค์ทรงพอใจและการลงโทษต่อผู้ที่พระองค์ทรงกริ้ว” หนังสืออัตตัมฮีด  ของท่านอิมามอัลบากิลลานีย์  หน้า 27

ท่านอิมามอัลบัยฮะกีย์  กล่าวว่า  “ความพอใจและความโกรธกริ้วของอัลเลาะฮ์ตามทัศนะบางส่วนแห่งนักปราชญ์ของเรานั้น  เป็นซีฟัตในเชิงการกระทำ  ซึ่งซีฟัตทั้งสองนี้  ตามทัศนะของท่านอบุลฮะซัน (อัลอัชอะรีย์) แล้วก็คือ  ซีฟัตความพอใจและความโกรธกริ้วย่อมกลับไปหาซีฟัตอิรอดะฮ์(ซีฟัตพระองค์ทรงประสงค์หรือเจตนา)  ดังนั้นคุณลักษณะอัรริฎอ  คือ  พระองค์ทรงประสงค์ (อิรอดะฮ์)ที่จะให้เกียรติบรรดาผู้ศรัทธาและให้ผลบุญต่อพวกเขาตลอดไป  และคุณลักษณะความโกรธกริ้วนั้น  คือพระองค์ทรงประสงค์ (อิรอดะฮ์) จะลงโทษพวกกุฟฟารตลอดไป  และทรงประสงค์ที่จะลงโทษบรรดามุสลิมที่ประพฤติชั่วตามที่พระองค์ทรงประสงค์” หนังสืออัสมาอ์วัสศิฟาต  หน้า 641

อุลามาอ์มัซฮับฮัมบาลีย์  คืออัลกอฏี อบูยะลา ได้กล่าวว่า  “อนุญาตให้พระองค์ทรงมีคุณลักษณะความโกรธกริ้วและความพอใจ...ซึ่งทั้งสองนั้น คือการที่พระองค์ทรงประสงค์ที่จะให้ผลบุญต่อผู้ที่ถูกพอใจและจะทรงลงโทษผู้ที่ถูกโกรธกริ้ว”  หนังสือ อัลมั๊วะตะมัด ฟี อุศูลุดดีน  ของท่านอัลกอฏี อบูยะลา  หน้า 61

จากสิ่งที่ได้กล่าวมาข้างต้น   จะเห็นได้ว่าอัลอะชาอิเราะฮ์นั้น  ไม่ได้ปฏิเสธซีฟัตอัรริฎอและซีฟัตอัลฆ่อฎ๊อบ  แต่ที่แตกต่างระหว่างอัลอะชาอิเราะฮ์กับมัซฮับวะฮาบีย์  คือการอธิบายซีฟัตทั้งสองที่แตกต่างกันต่างหาก  ดังนั้นเมื่อเราอธิบายแตกต่างจากวะฮาบีย์  เขาก็จะรีบอ้างสรุปไปว่า  เราปฏิเสธซีฟัตอัรริฏอและอัลฆ่อฎ๊อบ

เมื่อเราถามวะฮาบีย์ว่า  ซีฟัตอัรริฏอและซีฟัตอัลฆ่อฎ๊อบนั้นหมายถึงอะไร?  เขาก็จะตอบว่า  โกรธกริ้วก็คือโกรธกริ้ว  แต่เราไม่เข้าใจความหมายที่ว่าโกรธกริ้วตามทัศนะของวะฮาบีย์ว่ามันคืออะไร?  แต่เขาก็จะตอบว่า “มีความหมายตามหลักภาษาแบบฮะกีกัต(คำแท้)ที่ผู้คนทั่วไปเข้าใจกันดี”    ดังนั้นหากวะฮาบีย์ยืนยันซีฟัตโกรธกริ้วที่มีความหมายเช่นนี้  แน่นอนว่า  เราอัลอะชาอิเราะฮ์ปฏิเสธความหมายดังกล่าวตามที่วะฮาบีย์ได้หมายถึง  แต่หากวะฮาบีย์ถามเราว่า  ความหมายโกรธกริ้วตามทัศนะของเรานั้นคืออะไร?  เราขอตอบว่า  “ความโกรธกริ้วตามที่มนุษย์เข้าใจกันนั้น  ถูกประกอบขึ้นจาก 2 ปัจจัย  คือ  มีปฏิกิริยา( إنفعالات ) +  มีเจตนา الإرادة (อิรอดะฮ์) (คือมีปฏิกิริยาที่แสดงออกมาถึงความโกรธแล้วมีความประสงค์เจตนาที่จะโกรธตามมา  สำหรับการอยู่ดี ๆ ก็โกรธ หรือมีปฏิกิริยาแบบละเมอโกรธกริ้วแล้วไม่ตั้งใจโกรธนั้นคงเป็นการโกรธกริ้วไปไม่ได้)  ดังนั้น  การมีปฏิกิริยาถึงความโกรธ ( إنفعالات ) นั้นอัลเลาะฮ์ทรงบริสุทธิ์พ้นจากสิ่งดังกล่าวและเป็นไปไม่ได้ที่จะมีที่พระองค์เพราะมันเป็นอาการหนึ่งของมนุษย์  อัลเลาะฮ์ทรงตรัสว่า “ไม่มีสิ่งใดคล้ายเหมือนกับพระองค์  พระองค์ทรงทรงได้ยินและทรงเห็นยิ่ง” อัชชูรอ 11

 แต่การมีเจตนา الإرادة (อิรอดะฮ์) นั้น  เราขอยอมรับและยืนยันมันให้กับให้กับอัลเลาะฮ์ตะอาลา  กล่าวคือเรายอมรับว่าอัลเลาะฮ์ทรงประสงค์เจตนาที่จะลงโทษผู้ที่ถูกโกรธกริ้ว  หากวะฮาบีย์กล่าวว่า  แบบนี้เป็นการตะวีล(ตีความ) เราก็ขอกล่าวว่า  หากมันคือการตีความท่านก็จะเรียกมันว่าเป็นการตีความเถิด  เพราะมันเป็นความถูกต้องเกี่ยวกับประเด็นนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น

หากวะฮาบีย์กล่าวว่า  การมีเจตนา الإرادة (อิรอดะฮ์)  ก็มีความหมายถึง  “การโน้มเอียง”  เราขอกล่าวว่า  “เราไม่ยืนยันคุณลักษณะการโน้มเอียงให้กับอัลเลาะฮ์”  หากเขาถามว่า  “แล้วอะไรคือคำนิยามคำว่า การมีเจตนา الإرادة (อิรอดะฮ์) ตามทัศนะของท่าน”  เราขอตอบว่า  การมีเจตนา الإرادة (อิรอดะฮ์) ของอัลเลาะฮ์ตามทัศนะของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์นั้นคือ

تَخْصِيْصُ الْمُمْكِنِ بِبِعْضِ مَا يَجُوْزُ عَلَيْهِ

“การเจาะจงสิ่งที่เป็นมุมกินด้วยกับบางส่วนที่อนุญาตต่อมัน” ดูหนังสือ ฮาชียะฮ์อัชชัรกอวีย์  หน้า 68 

กล่าวคือสิ่งที่ “มุมกิน” หมายถึง  สิ่งที่เป็นไปได้หรือเกิดขึ้นได้จากสิ่งต่าง ๆ   เช่น  ทำให้มีก็ได้หรือทำให้ไม่มีการได้  ทำให้คนที่เกิดมาเป็นชายก็ได้เป็นหญิงก็ได้  ดังนั้น  “การเจาะจง”  ก็หมายการที่พระองค์ให้น้ำหนักสิ่งหนึ่งเหนืออีกสิ่งหนึ่ง  กล่าวคือ  พระองค์ทรงให้น้ำหนักมนุษย์ที่จะเกิดมาเป็นผู้ชายมิใช่เป็นผู้หญิงเป็นต้นหรือพระองค์จะทรงประสงค์จะโกรธกริ้วบ่าวคนนี้และบ่าวคนนั้นก็ได้  เพราะอัลเลาะฮ์จะกระทำตามที่พระองค์ทรงประสงค์ นั่นคือคำนิยามของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์       

ดังนั้น  หากเราถามวะฮาบีย์ว่า  ซีฟัตโกรธกริ้ว นั้นมีความหมายตามที่มนุษย์รู้กันนั้นมันเป็นอย่างไร?  หากท่านตอบว่า  “มันคือการมีปฏิกิริยาที่แสดงออกมาถึงความโกรธแล้วมีความประสงค์เจตนาที่จะโกรธตามมา”  เราขอกล่าวว่านี้เป็นการยืนยันการคล้ายคลึงคุณลักษณะของอัลเลาะฮ์ที่มีต่อมนุษย์  และสะละฟุศศอลิห์ก็มิได้เคยกล่าวไว้อย่างนั้น อัลเลาะฮ์ทรงตรัสว่า “ไม่มีสิ่งใดคล้ายเหมือนกับพระองค์  พระองค์ทรงทรงได้ยินและทรงเห็นยิ่ง” อัชชูรอ 11 แต่หากวะฮาบีย์ตอบว่า  “โกรธกริ้วก็คือโกรธกริ้วแต่ไม่รู้ว่าอธิบายความหมายอย่างไร?”  เราขอกล่าวว่า  หลักการตอบแบบนี้มิใช่แนวทางของวะฮาบีย์ในปัจจุบันเพราะวะฮาบีย์ปัจจุบันนั้นรู้ความหมายและตัฟซีรอธิบายได้! 

สรุปคือ  อัลอะชาอิเราะฮ์กับวะฮาบีย์นั้น  มิได้ปฏิเสธซีฟัตอัรริฎอและซีฟัตอัลฆ่อฏ๊อบ  แต่แตกต่างกันในด้านการอธิบายความหมายของสองซีฟัตดังกล่าว   ดังนั้น  การอธิบายความหมายของซีฟัตที่ต่างกัน ณ ตรงนี้  ย่อมไม่เป็นการปฏิเสธซีฟัตนั่นเองครับ  ส่วนการอธิบายความหมายของซีฟัตทั้งสองนี้  อัลอะชาอิเราะฮ์อธิบายว่า  อัลเลาะฮ์ทรงประสงค์ให้บุญและลงโทษ   ส่วนวะฮาบีย์อธิบายว่ามันอยู่ในความหมายที่มนุษย์รู้กัน

วัลลอฮุอะลัม 
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

 

GoogleTagged