ผู้เขียน หัวข้อ: การขัดเกลาจิตใจและทำให้หัวใจรำลึกถึงอัลเลาะฮ์(บทเรียนฮิกัมที่ 13)  (อ่าน 6687 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com

بِسْمِ اللهِ الرَّحْمَنِ الرَّحِيْم

اَلْحَمْدُ للهِ رَبِّ الْعَالَمِيْنَ وَ الصَّلاَةُ وَالسَّلاَمُ عَلىَ سَيِّدِنَا مُحَمَّدٍ وَعَليَ آلِهِ وَصَحْبِهِ أَجْمَعِيْنَ ،،، وَبعْدُ ؛

ท่าน อิมาม  อิบนุ  อะฏออิลและฮ์  กล่าวว่า

كَيْفَ يُشْرِقُ قَلْبٌ صُوَرُ الأَكْوَانِ مُنْطَبِعَةٌ فِى مِرَأتِهِ ، أَمْ كَيْفَ يَرْحَلُ إِلىَ اللهِ وَهُوَ مُكَبَّلٌ بِشَهْوَاتِهِ ، أَمْ كَيْفَ يَطْمَعُ أَنْ يَدْخُلَ حَضَرَةِ اللهِ ، وَهُوَ لَمْ يَتَطَهَّرْ مِنْ جَنَابَةِ غَفَلاتِهِ ، أَمْ كَيْفَ يَرْجُوْ أَنْ بَفْهَمَ دَقَائِقِ الأَسْرَارِ وَهُوَ لَمْ يَتُبْ مِنْ هَفَوَاتِهِ

?หัวใจจะส่องรัศมี(แห่งอีหม่าน)ได้อย่างไร  ในเมื่อบรรดาภาพของสิ่งที่ถูกสร้างทั้งหลาย  ได้เกาะประทับอยู่ในกระจกเงาของหัวใจ ?  หรือหัวใจจะเดินทางไปสู่อัลเลาะฮ์ได้อย่างไร  ในเมื่อมันถูกพันธนาการอยู่กับอารมณ์ใฝ่ต่ำ ?  หรือหัวใจมีความปรารถนาจะอยู่ภายใต้ปกเกล้าของอัลเลาะฮ์(ด้วยการเพ่งพิศต่อพระองค์)ได้อย่างไร  ในเมื่อมันยังไม่ทำการปลดเปลื้องความโสมมจากบรรดาการหลงลืม(อัลเลาะฮ์) ?  หรือหัวใจมีความหวังที่จะเข้าใจบรรดาความลึกซึ้งของวิทยาการต่าง ๆ ที่เร้นลับได้อย่างไร  ในเมื่อเขายังไม่เตาบะฮ์จากบรรดาความผิด??

เราจะเริ่มทำการวิเคราะห์ฮิกัมของท่านอิมาม อิบนุ อะฏออิลและฮ์  ที่ว่า ?หัวใจจะส่องรัศมี(แห่งอีหม่าน)ได้อย่างไร  ในเมื่อบรรดาภาพของสิ่งที่ถูกสร้างทั้งหลาย  ได้เกาะประทับอยู่ในกระจกเงาของหัวใจ ??  

เป็นที่ทราบกันดีว่า   ร่างกายของมนุษย์จะมีอวัยวะที่มีองค์ประกอบเป็นสอง  เช่น สองมือ  สองแขน  สองตา  สองเท้า  สองสีข้าง  เป็นต้น  แต่ร่างกายของมนุษย์จะไร้ประโยชน์  หากปราศจากองค์ประกอบพื้นฐานที่ทำให้ความเป็นมนุษย์มีความสมบูรณ์  นั่นก็คือ  สติปัญญาและหัวใจ

อันร่างกายของมนุษย์ย่อมมีส่วนประกอบที่เหมือนกับสาราสัตว์อื่น ๆ ทั่วไป  แต่ทว่า  ร่องรอยหรือผลงานต่าง ๆ  จากอารยะธรรม  ความเจริญรุ่งเรือง  ขนบธรรมเนียมประเพณี  และวิทยาการต่าง ๆ ที่มนุษย์ได้สืบทอดเป็นมรดกทิ้งไว้ให้นั้น  ย่อมเป็นผลงานของสติปัญญาที่ใช้ในการรับรู้และความเข้าใจ  และยังเป็นศูนย์รวมของความเมตตาสงสารและความรู้สึกอีกด้วย  ดังนั้น  สองปัจจัยนี้  มนุษย์ได้นำมาสร้างอารยะธรรมและค้นคว้าวิเคราะห์วิทยาการต่าง ๆ   หากทั้งสองนั้นดี  ก็จะทำให้มีความเจริญรุ่งเรือง  และถ้าหากทั้งสองไม่ดี   ก็จะยังความเสื่อมโทรมเกิดขึ้นบนหน้าแผ่นดิน

ดังนั้น   ความเป็นมนุษย์ของท่านจะเกิดขึ้นด้วยปัจจัยสองประการ   หนึ่งคือสติปัญญาที่ทำหน้าที่ในการรับรู้เข้าใจและพยายามให้เข้าถึงสิ่งเร้นลับของสรรพสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้น   ส่วนประการที่สองคือหัวใจ  ซึ่งเป็นศูนย์รวมความรู้สึกที่อยู่ในการดำเนินชีวิตของท่าน  กล่าวคือ  ทำให้มีความรัก  ความเกลียด  และทำให้เกิดความรู้สึกกลัวและยำเกรง  เป็นต้น

ใน  ณ  ที่นี้  เราจะไม่กล่าวถึงเรื่องของสติปัญญา  แต่ทว่าเราจะกล่าวถึงเรื่องของหัวใจ   กล่าวคือ  เราสามารถที่จะจิตนาการได้ว่า  หัวใจนั้นประหนึ่งกระจกบานหนึ่งที่มีความรู้สึกที่บอบบาง   หากสายตาของท่านได้มองไปยังสิ่งหนึ่งที่ท่านมีความปรารถนาอยากได้  และอัลเลาะฮ์ก็ทรงทำให้ท่านมีความหวังและใฝ่ฝันที่จะได้มัน  สิ่งดังกล่าว  ก็จะเป็นความรู้สึกที่สะท้อนไปสู่บานกระจกของหัวใจ  ซึ่งจะทำให้เกิดสิ่งหนึ่งที่เราเรียกมันว่า  ความรัก   และหากสายตาของท่านได้มองสิ่งที่ไม่สบอารมณ์  แน่นอนว่า  สิ่งดังกล่าวก็จะเป็นความรู้สึกที่สะท้อนไปสู่บานกระจกของหัวใจ  ซึ่งจะทำให้เกิดสิ่งหนึ่งที่เราเรียกมันว่า  ความรังเกียจ  และหากท่านเห็นว่าในสังคมมีบรรดาผู้คนได้ล้ำหน้าท่านในด้านของเกียรติยศและทรัพย์สิน  ความรู้สึกดังกล่าวก็จะสะท้อนสู่บานกระจกหัวใจของท่าน  ซึ่งความรู้สึกนั้น  เราเรียกมันว่า  ความอิจฉา  ริษยา

ดังกล่าวนั้น  คือภาระหน้าที่ของหัวใจ  ซึ่งประหนึ่งบานกระจกที่มีความรู้สึกละเอียดอ่อน  สามารถถ่ายทอดและสำแดงความรู้สึกต่าง ๆ ออกมาได้

ต่อไปเราก็จะมาพิจารณาถึงคำพูดของท่านอิมาม อิบนุ อะฏออิลและฮ์  ที่ได้เปรียบเทียบหัวใจประหนึ่งกระจกเงา  เนื่องจากมันได้สะท้อนให้เห็นถึงบรรดาความรู้สึกของมนุษย์

ท่านมีความเห็นว่าอย่างไร? ในขณะที่ท่านได้นำบานกระจกส่องไปที่บ่อที่มีน้ำขุ่นดำสนิท  ซึ่งท่านจะพบว่าบานกระจกจะมีสีดำมืดมิดไปด้วย  และในขณะที่ท่านได้นำบานกระจกส่องไปที่ดวงอาทิตย์ที่เจริดจ้า   ท่านก็จะพบว่าบานกระจกจะมีแสงระยิบระยับเหมือนกับดวงอาทิตย์   และในขณะที่ท่านได้ส่องกระจกไปยังเรือกสวนที่เขียวชอุ่มซึ่งปะปนไปด้วยต้นไม้และดอกไม้หลากสี  ท่านก็จะพบว่าบานกระจกได้แบกรับรูปภาพเหล่านั้นเข้ามา  ฉันท์ใดฉันท์นั้น   หัวใจ  ก็เฉกเช่นเดียวกัน  ฉะนั้น  หัวใจจึงมิใช่อื่นใด  นอกจากเป็นเสมือนกระจกเงาที่สะท้อนภาพต่าง ๆ ที่มีอยู่ในตัวของมนุษย์นั่นเอง

ดังนั้น   เมื่อหัวใจของมนุษย์ถูกครอบงำไปด้วยความมืดมนและบรรดาบาป  จุดดำต่าง ๆ จึงเพิ่มทวีคูณขึ้นในหัวใจ  ดังที่ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์  ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ได้กล่าวไว้  จนกระทั่งจุดดำนี้ได้ครอบคลุมหมดทั้งหัวใจ  ซึ่งมันเป็น الران รอยตรึงประทับที่อยู่บนหัวใจ  อัลเลาะฮ์ตะอาลา  ได้ตรัสไว้ว่า

كَلَّا بَلْ رَانَ عَلَى قُلُوبِهِم مَّا كَانُوا يَكْسِبُونَ

?หามิได้  แต่ทว่าได้ตรึงประทับอยู่บนหัวใจของพวกเขา  โดยสิ่งที่พวกเขาได้พากเพียร(ความชั่ว)เอาไว้?  อัลมุฏอฟฟิฟีน 14    

  แต่ในขณะเดียวกัน  มนุษย์คนหนึ่งอาจจะทุกข์ระทม  อันเนื่องจากเขาศรัทธาด้วยสติปัญญาเท่านั้น  เพราะสติปัญญาสามารถรับรู้ข้อเท็จจริงต่าง ๆ โดยใช้เพียงแค่สื่อหรือวิธีการเท่านั้น  เช่น  เขาสามารถรู้ได้ว่า  1 + 1  เท่ากับ 2    สติปัญญาเขารับรู้และยอมรับสัจจะธรรมว่าอัลเลาะฮ์ทรงมี  ด้วยการอ้างหลักฐานมากมาย  เช่น  โลกนี้ชี้ถึงอัลเลาะฮ์ทรงมี  แต่ทว่า  ทำไมเขายังต้องยอมสยบให้กับกิเลสและอารมณ์ใฝ่ต่ำของตน!

ดังนั้น  เมื่อบุคคลดังกล่าวถามว่า  ฉันเองก็มีความยาเกนมั่นใจกับสัจจะธรรมที่ฉันได้รับจากกิตาบุลลอฮ์  แล้วอะไรคือสิ่งที่มากั้นขวางระหว่างฉันกับการน้อมรับคำบัญชาใช้ของพระองค์ ?   คำตอบ  ก็คือคำพูดของท่านอิบนุอะฏออิและฮ์  ที่ว่า ?หัวใจจะส่องรัศมี(แห่งอีหม่าน)ได้อย่างไร  ในเมื่อบรรดาภาพของสิ่งที่ถูกสร้างทั้งหลาย  ได้เกาะประทับอยู่ในกระจกเงาของหัวใจ ??  หัวใจของท่านมืดมนไปด้วยสนิมที่ทับถมอยู่  ดังนั้น  หัวใจของท่านได้ถูกครอบงำจากอำนาจของสนิมร้ายอันนี้   หัวใจของท่านจึงไม่มีสถานที่ว่างสำหรับความรักที่จะชักนำไปสู่การน้อมรับคำบัญชาใช้ของอัลเลาะฮ์  และในหัวใจของท่านก็ไม่จะมีสถานที่ว่างสำหรับความเกรงกลัวที่จะมายับยั้งจากการฝ่าฝืนพระองค์  และไม่มีการให้ความสำคัญต่อบทบัญญัติต่าง ๆ ของพระองค์!  เพราะความรัก , ความเกรงกลัว , และการให้ความสำคัญนั้น  สถานที่ประทับของมันคือหัวใจไม่ใช่สติปัญญา

หัวใจที่เต็มไปด้วยเงามืด  จากการหลงใหลดุนยา   แก่งแย่งชิงดีชิงเด่น  มีความรู้สึกอิจฉาริษยา   จะทำให้ท่านอยู่ในความเพลิดเพลินจนกระทั่งสิ่งดังกล่าวกลายเป็นสนิมที่ประทับติดอยู่ในหัวของท่าน   ดังนั้นเมื่อสติปัญญาขออนุญาตหัวใจของท่านเพื่อทำการปลูกต้นกล้าหรือเมล็ดพันธุ์ให้เจริญงอกงาม  เพื่อสร้างความรักที่มีต่ออัลเลาะฮ์  ตะอาลา   สติปัญญาก็จะค้นหาแล้วค้นหาอีก   ก็จะไม่พบสถานที่ว่างในหัวใจสำหรับการเพาะปลูกนั้นเลย!

ฉะนั้นสติปัญญาต้องมุ่งเน้นไปยังหัวใจเพื่อให้เจ้าของหัวใจได้บรรลุถึงสารของอัลเลาะฮ์  ซึ่งพระองค์ทรงกล่าวว่า

أَلَمْ يَأْنِ لِلَّذِينَ آمَنُوا أَن تَخْشَعَ قُلُوبُهُمْ لِذِكْرِ اللَّهِ وَمَا نَزَلَ مِنَ الْحَقِّ وَلَا يَكُونُوا كَالَّذِينَ أُوتُوا الْكِتَابَ مِن قَبْلُ فَطَالَ عَلَيْهِمُ الْأَمَدُ فَقَسَتْ قُلُوبُهُمْ

?ยังไม่ถึงเวลาอีกหรือ  สำหรับบรรดาผู้มีศรัทธาที่หัวใจของพวกเขาจะนอบน้อมเพราะระลึกถึงอัลเลาะฮ์  และระลึกถึงสัจธรรม (แห่งอัลกุรอาน) ที่ลงมา (สู่พวกเขา) ?  และพวกเขาจงอย่าได้เป็นเช่นบรรดาผู้ที่เคยถูกประทานคัมภีร์ให้เมื่อยุคก่อน ๆ แต่แล้วที่กาลเวลาได้ผ่านพวกเขาไปอย่างยาวนาน  หัวใจของพวกเขา  ก็แข็งกระด้าง?  อัลหะดีด : 16
แต่ทว่าหัวใจของพวกเขาไม่พบที่ว่างใด ๆ สำหรับการตอบรับและนอบน้อม  เพราะว่าบรรดาภาพสิ่งที่ถูกสร้างทั้งหลายได้เข้ามาครอบงำหัวใจพวกเขาเสียแล้ว

ดังนั้น  สื่อของหัวใจที่อยู่ในวิชาความรู้นั้นก็มีความสำคัญในแง่หนึ่ง  แต่ข้อเท็จจริงในเชิงปฏิบัติก็จำเป็นต้องมีสถานที่บ่มเพาะความรู้ให้เจริญเติบโตและงอกงาม  ซึ่งสถานที่บ่มเพาะความรู้ในชีวิตของมนุษย์นั้น  ก็คือหัวใจนั่นเอง   ฉะนั้น  เมื่อบรรดาประตูหัวใจถูกปิด   จนห้องของหัวใจมืดมิดเพราะสาเหตุที่ท่านอิบนุอะฏออิลและฮ์ได้กล่าวไว้นั้น  แน่นอนว่า   สื่อความรู้ต่าง ๆ ของสติปัญญาก็จะเหี่ยวเฉาและร่วงโรย


เมื่อหัวใจที่มีบรรดาภาพแห่งสิ่งที่ถูกสร้างทั้งหลาย (หมายถึงจากการหลงใหลดุนยา   แก่งแย่งชิงดีชิงเด่น  มีความรู้สึกอิจฉาริษยา   จะทำให้ท่านอยู่ในความเพลิดเพลิน)ได้เกาะกุมทับถมอยู่ในหัวใจ  แน่นอนว่าเจ้าของหัวใจนั้นก็จะถูกปิดกั้นจากพระเจ้าผู้ทรงสร้าง   แต่อาจจะมีบางคนถามว่า   เพราะเหตุใดบรรดาภาพของสิ่งที่ถูกสร้างทั้งหลายถึงสถิตอยู่ในหัวใจทั้งที่สติปัญญาเองก็มีความยาเกนมั่นใจต่ออัลเลาะฮ์   มั่นใจในความเอกะและบรรดาคุณลักษณะต่าง ๆ ของพระองค์?   ซึ่งคำถามนี้ท่านอิมามอิบนุอะฏออิลและฮ์ได้ให้คำตอบจากฮิกัมส่วนที่สองซึ่งท่านได้กล่าวว่า ?หรือหัวใจจะเดินทางไปสู่อัลเลาะฮ์ได้อย่างไร  ในเมื่อมันถูกพันธนาการอยู่กับอารมณ์ใฝ่ต่ำ ??  หมายถึง  หากหัวใจไม่ถูกครอบงำด้วยกับอารมณ์ใฝ่ต่ำแล้ว  แน่นอน  เขาก็จะมุ่งไปสู่อัลเลาะฮ์ตาอาลา  แสวงหาเรื่องที่เกี่ยวกับดุนยาทั้งหมดทำให้กลับกลายเป็นความพึงพอพระทัยของอัลเลาะฮ์ ตาอาลา   และเมื่อดังกล่าวได้มีความสมบูรณ์สำหรับเขาแล้ว  แน่นอนว่าเขาจะต้องไม่ให้ความสำคัญกับบรรดาสิ่งที่ถูกสร้างทั้งหลาย  โดยที่จิตใจของเขาจะมุ่งสู่อัลเลาะฮ์พระเจ้าผู้ทรงสร้าง  และบรรดาภาพสิ่งที่ถูกสร้างทั้งหลายก็จะไม่เกาะกุมอยู่ในกระจกหัวใจของเขา

ต่อไปเราจะอธิบายถึงวิธีการเยียวยาปัญหาดังกล่าว   ที่เกี่ยวกับภาพต่าง ๆ ของมัคโลคทั้งหลายที่มาเกาะกุมทับถมในหัวใจจนทำให้เขาผินห่างจากอัลเลาะฮ์ผู้ทรงสร้าง  ดังนั้น  เราสามารถที่จะพิจารณาในอีกแง่มุมหนึ่งได้ว่า  หากบรรดาภาพของสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายที่สถิตอยู่ในบรรดาหัวใจนั้น  ประหนึ่งดังรูปภาพหรือภาพแกะสลักที่ถูกวาดในกระดาษหรือบนฝาผนัง  แน่นอนว่าวิธีที่จะลบมันออกไปนั้นย่อมง่ายดาย  เพียงแค่ใช้เครื่องมือลบที่ฝาผนังหรือยางลบกระดาษก็สามารถลบออกได้แล้ว  แต่ทว่าภาพต่าง ๆ ที่วาดขึ้นมาในบรรดาหัวใจนั้นไม่สามารถลบได้ด้วยเครื่องมือที่เป็นวัตถุตามที่เรานิยมใช้กัน

ดังนั้นภาพแห่งโลกทั้งหลายจะไม่เกาะกุมในหัวใจของท่านนอกเสียจากด้วยสาเหตุของอารมณ์ใฝ่ต่ำที่ท่านตกเป็นทาสและถูกครอบงำอยู่  แล้วมันก็ทำให้เกิดจุดดำในหัวใจ  ซึ่งการรักษาที่สามารถลบภาพแห่งโลกให้ออกจากหัวใจของท่านเพื่อเตรียมพร้อมตอบรับบรรดาคุณลักษณะ(ซีฟาต)ต่าง ๆ ของอัลเลาะฮ์และเนี๊ยะมัตต่าง ๆ ของพระองค์นั้น  ก็คือการปลดตัวเองออกจากพันธนาการของกิเลสอารมณ์ใฝ่ต่ำที่มาครอบงำ  และแท้จริงการปลดตัวออกจากพันธนาการดังกล่าวจะมีได้ก็ต้องด้วยการมีความรักต่ออัลเลาะฮ์ตาอาลา

แต่วิธีการอย่างไรที่จะทำให้ไปสู่ความรักดังกล่าวได้?

วิธีการที่บุคคลหนึ่งต้องการที่จะปลดปล่อยตนเองออกจากพันธนาการของอารมณ์ใฝ่ต่ำที่กำลังครอบงำเขานั้น  ก็คือคำกล่าวของท่านอิมามอิบนุอะฏออิลและฮ์วรรคต่อไปความว่า ?หรือหัวใจมีความปรารถนาจะอยู่ภายใต้ปกเกล้าของอัลเลาะฮ์(ด้วยการเพ่งพิศต่อพระองค์)ได้อย่างไร  ในเมื่อหัวใจยังไม่ทำการปลดเปลื้องความโสมมจากบรรดาการหลงลืม(อัลเลาะฮ์) ??  

ดังนั้น  ประเด็นปัญหาก็คือ การหลงลืมอัลเลาะฮ์  ผู้ทรงอำนาจในการสร้างสรรและบริหาร  พระองค์ทรงเป็นผู้ประทานปัจจัยอำนวยสุขต่าง ๆ ที่เราชื่นชอบยินดีกับมัน   แต่กิเลสอารมณ์ใฝ่ต่ำมักจะเพ้อฝันทำให้ท่านรู้สึกมีความสุขอร่อยเมื่ออารมณ์ใฝ่ต่ำเข้ามาสนองและท่านจะรู้สึกทนทุกข์กังวลเมื่อความสุขได้หายไป

เมื่อปัญหาคือการหลงลืมอัลเลาะฮ์   วิธีการเยียวยานั้นย่อมซ่อนเร้นในอยู่ตัวของท่านเองกล่าวคือท่านต้องมีความพยายามอย่างจริงจังเพื่อให้หลุดพ้นจากสิ่งดังกล่าว   หมายความว่า  เมื่อท่านต้องการให้หลุดพ้นจากความหลงลืมต่ออัลเลาะฮ์   ก็ให้หัวใจของท่านมุ่งไปยังพระเจ้าผู้ซึ่งบรรดาอารมณ์ใฝ่ต่ำนั้นอยู่ภายใต้อำนาจของพระองค์   สิ่งอำนวยสุขต่าง ๆ ของท่านมาจากการสรรสร้างของพระองค์  ความสุขของท่านมาจากความโปรดปรานของพระองค์  ดังนั้นท่านจงทำให้ความหวังต่าง ๆ ผูกพันอยู่กับพระองค์  และมีความรักอันบริสุทธิ์ต่อพระองค์  ในขณะนั้นแหละ  ตัวของท่านก็จะเป็นอิสระจากพันธนาการของอารมณ์ใฝ่ต่ำที่มาครอบงำท่าน  จากนั้นกระจกหัวใจของท่านก็จะหมดสิ้นจากภาพต่าง ๆ ที่ถูกสร้าง  โดยมีคุณลักษณะ(ซีฟาต)ต่าง ๆ ของพระองค์เข้ามาอยู่แทนที่

แต่อะไรคือการเยียวยาที่จะไม่ทำให้ท่านตกลงไปอยู่ในพันธนาการของอารมณ์ใฝ่ต่ำ?  ตอบ  การเยียวยาดังกล่าวก็คือการห่างไกลจากบรรดาบาปและความผิดต่าง ๆ  ดังที่ท่านอิมาม อิบนุ อะฏออิลและฮ์ได้กล่าวฮิกัมวรรคสุดท้ายความว่า ?หรือหัวใจมีความหวังที่จะเข้าใจบรรดาความลึกซึ้งของวิทยาการต่าง ๆ ที่เร้นลับได้อย่างไร  ในเมื่อเขายังไม่เตาบะฮ์จากบรรดาความผิด?? ดังนั้น  การมีบาปมาก ๆ ย่อมเป็นสาเหตุที่ทำให้ตกอยู่ในการหลงลืมอัลเลาะฮ์  และการจมปลักอยู่กับการหลงลืมคือสาเหตุที่ทำให้ท่านต้องยอมจำนนท์ต่อพันธนาการของอารมณ์ใฝ่ต่ำ  และการยอมจำนนท์ต่ออารมณ์ใฝ่ต่ำก็คือสาเหตุที่ทำให้ภาพต่าง ๆ ของสิ่งถูกสร้างมาครอบงำหัวใจจนเป็นเหตุให้จุดดำที่เป็นสนิม ( الران ) มาประทับและแผ่คลุมอยู่ในหัวใจ

ฉะนั้น  การเยียวยาต้องเริ่มด้วยการพิชิตปัญหาแรกเสียก่อน  ก็คือปัญหาการยอมจำนนท์ต่อการทำบาปและความผิดทั้งหลาย  ซึ่งจำเป็นจะต้องพิชิตมันด้วยการห่างไกลและปลดเปลื้องตนเองจากการฝ่าฝืนเหล่านั้น   แต่บางครั้งท่านอาจจะกล่าวว่า  เป็นไปได้หรือที่เราจะถูกปกป้อง(มะซูม) จากการกระทำบาป  ทั้งที่เราทราบดีว่ามนุษย์ทุกคนล้วนมีความผิดพลาดทั้งสิ้น?  คำตอบ  คือการห่างไกลจากกระทำบาปนั้นไม่ใช่ความบริสุทธิ์หรืออยู่ในสภาวะไร้บาป  แต่จุดมุ่งหมายนั้นคือให้ท่านพยายามห่างไกลจากการกระทำบาปให้สุดความสามารถ  ดังนั้น  เมื่อท่านถูกทดสอบด้วยการกระทำบาปหนึ่ง  ท่านก็จงปลดเปลื้องจิตใจของท่านให้สะอาดด้วยการ ?เตาบะฮ์?  มั่นใจอย่างเด็ดขาดว่าจะไม่หวนกลับไปทำอีก  และเมื่อนัฟซูของท่านชักจูงให้หวนไปกระทำบาปอีกครั้งหนึ่ง  ท่านก็จงรีบหลับไปเตาบะฮ์อย่างรีบด่วน  เพราะผู้ที่เตาบะฮ์จากบาปนั้นเหมือนกับผู้ที่ไม่มีบาป  และนั่นก็คือสภาวะการไร้บาปของบรรดาผู้ที่อ่อนแอเฉกเช่นพวกเรา  ซึ่งอัลเลาะฮ์ได้กล่าวถึงโดยตอบรับคำสัญญาจากชัยฏอนที่มันจะพยายามหลอกลวงบรรดาบ่าวของพระองค์  ซึ่งพระองค์ทรงตรัสความว่า

إِنَّ عِبَادِي لَيْسَ لَكَ عَلَيْهِمْ سُلْطَانٌ إِلاَّ مَنِ اتَّبَعَكَ مِنَ الْغَاوِينَ

?แท้จริงบรรดาบ่าวของข้านั้น   เจ้าไม่มีอำนาจที่จะ (ทำความหลงผิด) แก่พวกเขาหรอก  นอกจากผู้ที่ตามเจ้าจากพวกที่หลงทางทั้งหลาย?  อัลฮิจริ์ 42

หมายถึง  บรรดาผู้ซึ่งมีคุณลักษณะยอมจำนนท์เป็นข้าทาสต่อข้านั้น  เจ้าไม่มีหนทางใดที่จะไปหลอกลวงพวกเขาให้หลงผิดได้หรอก   เพราะความรู้สึกของความเป็นบ่าวต่ออัลเลาะฮ์นั้น  จะผลักดันให้พวกเขามีความโศกเศร้าเสียใจต่อการฝ่าฝืนและทำให้พวกเขาสารภาพผิด(เตาบะฮ์)อย่างบริสุทธิ์ใจ

ดังนั้น  เมื่อมนุษย์คนหนึ่งได้ใช้วิธีการดังกล่าวเพื่อให้หลุดพ้นจากการกระทำความผิดและสิ่งต้องห้ามต่าง ๆ  และเขาก็เดินอยู่บนหนทางของการฏออัตต่ออัลเลาะฮ์อย่างมั่นคงแล้วนั้น    แน่นอนว่าความหลงลืมต่อพระองค์ที่เข้ามาครอบงำก็จะออกไปจากตัวเขา   และความรู้สึกของเขาก็จะตื่นตระหนักในการรำลึกถึงอัลเลาะฮ์ตาอาลาอยู่เสมอ  และเมื่อเขาได้เป็นอิสระจากการหลงลืมต่ออัลเลาะฮ์ที่เข้ามาครอบงำแล้วนั้น   ก็คงถึงเวลาแล้วที่เขาจะได้เข้าไปอยู่ในปกเกล้าหรืออยู่ในห้วงแห่งความโปรดปรานของพระองค์ตามที่ท่านอิมามอิบนุอะฏออิลและฮ์ได้กล่าวไว้  โดยอ้างอิงไปยังคำกล่าวของท่านร่อซูลุลเลาะฮ์  ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ที่เกี่ยวกับ  อัลอิห์ซาน  ความว่า

أن تعبد الله كأنك تراه ، فإن لم تكن تراه فإنه يراك

?ให้ท่านทำอิบาดะฮ์ต่ออัลเลาะฮ์เสมือนกับท่านเห็นพระองค์  ดังนั้น  หากแม้นว่าท่านไม่เห็นพระองค์  แท้จริงแล้วพระองค์ทรงเห็นท่าน?

หมายถึง  ท่านจงขจัดบรรดาความรู้สึกของท่านให้พ้นจากสภาพของดุนยาและร่องรอยต่าง ๆ ของมัน  จนทุก ๆ สิ่งได้เลือนหายไปจากท่าน  โดยที่ความรู้สึกของท่านนั้นไม่คงเหลืออะไรอยู่เลยนอกจากท่านรู้สึกว่ากำลังอยู่ในห้วงความการแลเห็นของอัลเลาะฮ์   และเหมือนกับว่าท่านกำลังเข้าเฝ้าทำอิบาดะฮ์ต่อเบื้องหน้าโดยกำลังทำการสนทนากับพระองค์  ไม่ว่าจะด้วยการอ่านอัลกุรอาน  ซิกรุลลอฮ์  หรือดุอาอ์  เหมือนกับว่าท่านกำลังเห็นพระองค์  ฉะนั้น  ท่านจงรู้ไว้เถิดว่า  มุสลิมคนหนึ่งจะสามารถห่างไกลจากความชั่วได้  ก็ขึ้นอยู่กับระดับการมี  อัลอิห์ซาน  ตัวนี้นั่นเอง

ดังนั้นท่านจงพิจารณาถึงผลของหัวใจที่ตื่นตระหนักในการเพ่งพิศต่ออัลเลาะฮ์ตาอาลา  เพื่อยับยั้งและให้ห่างไกลจากอารมณ์ใฝ่ต่ำที่มาครอบงำจิตใจ

การที่บ่าวได้ตื่นตระหนักเพ่งพิศอัลเลาะฮ์ (อัชชุฮูด) นั้นไม่มีความหมายใดที่จะมากไปกว่าการเพ่งพิศในบรรดาคุณลักษณะ(ซีฟาต) และเนี๊ยะอ์มัตต่าง ๆ ของพระองค์  เพ่งพิศถึงปรากฎการณ์แห่งความโปรดปรานและความเมตตาของพระองค์   หมายความว่าเขาจะไม่ตอบรับเนี๊ยะอ์มัต(สิ่งอำนวยสุข)หนึ่ง ๆ นอกจากเขาจะนำมันมาผูกพันกับอัลเลาะฮ์ผู้ทรงประทานเนี๊ยะอ์มัตและความโปรดปรานนั้น  และจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงและการเคลื่อนไหวจากสภาพหนึ่งไปสู่อีกสภาพหนึ่ง  นอกจากเขาเห็นว่าอัลเลาะฮ์คือผู้ทรงบริหารและทำให้มันเป็นไป   และความรู้สึกเช่นนี้นั้นเมื่อมันมีอยู่สม่ำเสมอ  หัวใจของเขาก็จะผันเปลี่ยนจากการรักสิ่งอื่น ๆ ไปสู่การรักต่ออัลเลาะฮ์ตาอาลา  เนื่องจากพระองค์คือบ่อเกิดของทุก ๆ ความโปรดปรานและการหยิบยื่นให้

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าในทุกสภาพการณ์นั้นมนุษย์จะมีธรรมชาติที่รักในทรัพย์สินเงินทอง  รักทุกสิ่งที่สามารถให้ความสุขได้  แต่ในขณะที่เขารู้ว่าผู้ที่ประทานความโปรดปรานและสิ่งอำนวยสุขต่าง ๆ นั้น  คืออัลเลาะฮ์  และผู้ที่บันดาลให้มีรู้สึกถึงเอร็ดอร่อยและมีความสุขนั้นคืออัลเลาะฮ์  แน่นอนว่าหัวใจของเขาก็จะมีความรักต่อพระองค์  เพราะบรรดาหัวใจนั้นจะรักต่อผู้ที่ปฏิบัติดีต่อเขา  และผู้ที่มีจิตที่เพ่งพิศเช่นนี้ก็จะรู้ว่าไม่มีผู้ใดที่จะประทานสิ่งดีงามในจักรวาลทั้งหมดจากอัลเลาะฮ์ตาอาลาเท่านั้น  บรรดาสื่อและมูลเหตุต่าง ๆ (เช่นทรัพย์สินเงินทองและปัจจัยอำนวยสุขต่าง ๆ ) ที่ท่านได้เห็นมันนั้น  ไม่ใช่อื่นใดหรอกนอกจากเป็นเหมือนบรรดาข้าบริวารผู้รับใช้ที่อยู่ภายใต้อำนาจของอัลเลาะอ์ตาอาลาเท่านั้น  แล้วจะมีผู้ใดอีกเล่าที่จะเอาพวกมันเหล่านั้นมาเป็นหุ้นส่วนที่เขาลุ่มหลงรักพวกมันเหมือนกับการรักอัลเลาะฮ์!?  ดังนั้นเมื่อผู้ที่มีจิตที่เพ่งพิศนี้มีความเชื่อมั่นอยู่สม่ำเสมอว่าผู้ประทานสิ่งอำนวยสุขและความโปรดปรานนั้นคืออัลเลาะฮ์  และผู้ที่ถูกหวังในการประทานผลประโยชน์และคุ้มครองจากสิ่งที่ให้โทษนั้นมีองค์เดียวไม่มีสองนั่นก็คืออัลเลาะฮ์  เพราะฉะนั้นจึงไม่เป็นที่สงสัยเลยว่า  ผู้เป็นที่รักอันดับแรก  ผู้ที่ถูกให้เกียรติอันดับแรก  และผู้ที่ถูกยำเกรงเป็นอันดับแรกนั้นก็คืออัลเลาะฮ์ตาอาลา  หลังจากนั้นก็ให้เขารักสิ่งอำนวยสุขต่าง ๆ ตามธรรมชาติที่เขาถูกสร้างมาเป็นอันดับที่สองและอันดับที่สาม  ยิ่งกว่านั้นผู้ที่มีจิตอันเพ่งพิศต่ออัลเลาะฮ์นั้น  หัวใจของเขาจะไม่มีความรักในสิ่งใดนอกจากอัลเลาะฮ์  แต่ความโปรดปรานและความเมตตาของอัลเลาะฮ์นั้น  พระองค์ไม่ทรงบังคับให้ที่มีความรักต่อพระองค์เพียงอย่างเดียวมาเป็นมาตรฐานของความสมบูรณ์ในอีหม่าน  แต่ทว่าพระองค์ทรงกำหนดมาตรฐานดังกล่าวให้มีความรักต่อพระองค์ให้มากกว่าสิ่งอื่น  ซึ่งนั่นก็คือความโปรดปรานแห่งพระเจ้า  อันเนื่องจากพระองค์ทรงสร้างมนุษย์ให้อยู่บนธรรมชาติของการรักต่อลูกหลาน  ทรัพย์สิน  และสิ่งอำนวยสุขต่าง ๆ   แต่ขอให้เขามีความรักต่อพระองค์มากกว่าสิ่งเหล่านั้นก็ถือว่าใช้ได้แล้ว

อัลเลาะฮ์ทรงตรัสเกี่ยวกับความสุขของดุนยาพร้อมกับให้มีความผูกพันกับอาคิเราะฮ์มากกว่า

พระองค์ทรงตรัสความว่า

إِنَّمَا هَذِهِ الْحَيَاةُ الدُّنْيَا مَتَاعٌ وَإِنَّ الْآخِرَةَ هِيَ دَارُ الْقَرَارِ

?อันที่จริงชีวิตทางโลกนี้เป็นเพียงความรื่นรมย์ (ชั่วคราว) เท่านั้น และที่จริงโลกหน้า  เป็นโลกแห่งความจีรังโดยแท้?  อัลมุอฺมิน : 39

พระองค์ทรงตรัสความว่า

 لاَ يَغُرَّنَّكَ تَقَلُّبُ الَّذِينَ كَفَرُواْ فِي الْبِلاَدِ

?เจ้าจงอย่าทำให้การเคลื่อนไหวของบรรดาผู้เนรคุณในตัวเมือง (เพื่อการค้าและดำเนินชีวิตอย่างมีความสุข) ลวงเจ้า?

مَتَاعٌ قَلِيلٌ ثُمَّ مَأْوَاهُمْ جَهَنَّمُ وَبِئْسَ الْمِهَادُ

?(เหล่านั้น) ล้วนเป็นความภิรมย์เพียงเล็กน้อย  แล้วหลังจากนั้น  ที่พำนักของพวกเขาคือนรกยะฮันนัม  และมันเป็นที่อยู่อันเลวร้ายยิ่ง?  อาลิอิมรอน : 196 ? 197

พระองค์ทรงตรัสว่า

قُلْ مَتَاعُ الدَّنْيَا قَلِيلٌ وَالآخِرَةُ خَيْرٌ لِّمَنِ اتَّقَى

?เจ้าจงประกาศเถิดว่า  อันสิ่งภิรมย์แห่งโลกนี้นั้น  เล็กน้อยนัก  แต่โลกหน้าซิ  เป็นความประเสริฐล้ำนักแก่ผู้ยำเกรง? อันนิซาอฺ : 77
 
อัลเลาะฮ์ทรงตรัสเช่นกันว่า

 وَمِنَ النَّاسِ مَن يَتَّخِذُ مِن دُونِ اللّهِ أَندَاداً يُحِبُّونَهُمْ كَحُبِّ اللّهِ وَالَّذِينَ آمَنُواْ أَشَدُّ حُبّاً لِّلّهِ

?และบางส่วนจากมวลมนุษย์  มีผู้ที่ยึดเอาสิ่งอื่นจากอัลเลาะฮ์มาเป็นคู่เคียง(กับพระองค์) พวกเขารักสิ่งเหล่านั้น  ประดุจเดียวกันกับพวกเขารักอัลเลาะฮ์  และบรรดาผู้มีศรัทธานั้นมีความรักต่ออัลเลาะฮ์ลึกซึ้งยิ่งกว่า?  อัลบะกอเราะฮ์ : 125

ดังนั้น  จึงเป็นที่แน่นนอนแล้วว่า  บางครั้งในหัวใจของมุอฺมินนั้นจะรักอัลเลาะฮ์พร้อมกับรักสิ่งอื่น  แต่ความรักต่ออัลเลาะฮ์นั้นต้องมากกว่าและเหนือกว่าทุก ๆ สิ่ง

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พ.ย. 16, 2008, 10:18 AM โดย al-azhary »
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
Re: การเตาบะฮ์ 1 (บทเรียนฮิกัม)
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: ก.ค. 10, 2007, 10:15 PM »
0
บางครั้งท่านอาจจะถามว่า   จะทำอย่างไรหรือกับการที่สองตาได้เป็นภาพต่าง ๆ จากสิ่งที่ถูกสร้างทั้งหลาย  โดยไม่ให้ภาพดังกล่าวนั้นเข้าไปอยู่ในความนึกคิด  แล้วหลังจากนั้นก็ไม่สามารถสถิตอยู่ในหัวใจ?

ตอบ :  ภาพต่าง ๆ ของสิ่งที่ถูกสร้างนั้นจำเป็นต้องถ่ายทอดจากสองตาไปสู่ความนึกคิดหรือจินตนาการดังที่ท่านได้กล่าวมา  ดังนั้นเมื่อความนึกคิดและจินตนาการได้ผ่านเข้าไปสู่หัวใจที่ทุกจังหวะการเต้นนั้นด้วยความรักและ(ซิกิร)รำลึกแต่อัลเลาะฮ์ตาอาลาแล้วนั้น  หัวใจลักษณะนี้ก็จะไม่สนองรับภาพเหล่านั้น  แต่มันจะกลับกลายเป็นสัญลักษณ์ต่าง ๆ ที่บ่งบอกถึงการมีอัลเลาะฮ์  บ่งชี้ถึงความเอกกะของพระองค์  บ่งบอกถึงบรรดาคุณลักษณะ(ซีฟาต)พระองค์และความยิ่งใหญ่ของเนี๊ยะอ์มัตต่าง ๆ ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้น

ดังบทความกวีที่ได้กล่าวว่า

وفى كل شيء له أية    تدل على أنه واحد

?ในทุก ๆ สิ่งนั้น  ล้วนมีสัญลักษณ์ให้กับมัน  ที่บ่งชี้ถึงว่าพระองค์นั้นทรงเอกะ?

ดังนั้น  ผู้เป็นเจ้าของหัวใจที่มีความรักต่ออัลเลาะฮ์และรำลึกถึงพระองค์นี้  เมื่อเขาได้เห็นสรรพสิ่งที่ถูกสร้างต่าง ๆ แน่นอนว่าภาพต่าง ๆ ของมันก็จะสะท้อนกลับไปสู่หัวใจของเขา  ซึ่งภาพเหล่านั้นจะไม่ประทับอยู่ในหัวใจนอกจากเสียว่าสรรพสิ่งเหล่านั้นจะเผยการตัสบีห์(สดุดีแซ่ซ้อง)ถึงความบริสุทธิ์ของอัลเลาะฮ์ตาอาลาจากภาคีทั้งหลาย (การตัสบีห์ก็คือการยืนว่าอัลเลาะฮ์ทรงบริสุทธิ์จากภาคีทั้งหลายโดยพระองค์นั้นทรงเอกะนั่นเอง)  ดังนั้น  การตัสบีห์ของสรรพสิ่งเหล่านี้นั้น  มนุษย์ทั้งหมดไม่สามารถเข้าใจได้  นอกจากผู้ที่เป็นเจ้าของหัวใจลักษณะดังกล่าวเท่านั้นที่สามารถเข้าใจมันได้เป็นอย่างดี  ซึ่งอัลเลาะฮ์ทรงตรัสยืนยันไว้ความว่า

وَإِن مِّن شَيْءٍ إِلاَّ يُسَبِّحُ بِحَمْدَهِ وَلَـكِن لاَّ تَفْقَهُونَ تَسْبِيحَهُمْ

?และไม่ว่าสิ่งใดก็ตาม  นอกจากเสียว่ามันจะแซ่ซ้องสดุดีพระบริสุทธิคุณ  พร้อมกับการสรรเสริญพระองค์  แต่ทว่าพวกเจ้าไม่เข้าใจการแซ่ซ้องของพวกนั้น? อัลอิสรออ์ : 44

และผู้เป็นเจ้าของหัวใจที่มีความรักต่ออัลเลาะฮ์และรำลึกถึงพระองค์นี้นั้น  เขาจะได้เห็นถึงความสิวิไลของโลกนี้  ไม่ว่าจะเป็นความเขียวชอุ่มและความงดงามของพฤกษาดอกไม้ในเรือกสวนที่มีกลิ่นหอมอบอวน  เหมือนกับที่บรรดาคนโง่เขลาและคนหลงลืมอัลเลาะฮ์ได้แลเห็นมัน  แต่ทว่าหัวใจของผู้ที่มีความรักและรำลึกต่ออัลเลาะฮ์จะทำให้ความสิวิไลของโลกนี้หลอมละลายให้ไปอยู่ในการคำนึงถึงความวิจิตงดงามของอัลเลาะฮ์ตาอาลา  มีความทึ่งพิศวงในความยิ่งใหญ่และความประณีตในการสรรสร้างของอัลเลาะฮ์ 

และเขาจะเห็นท้องฟ้าในยามค่ำคืนโดยมีหมู่ดาวส่องแสงระยิบระยับ  มีจันทร์เพ็ญที่เจิดจ้า  แต่ทว่าหัวใจของเขาไม่ได้รับสิ่งใดเลยนอกจากสะท้อนให้เห็นถึงความวิจิต  ความยิ่งใหญ่  และความประณีตในการสรรสร้างของอัลเลาะฮ์  ดังนั้น  ไม่ว่าหัวใจของเขาจะมองไปสารทิศใดก็ตาม   หัวใจของเขาจะไม่ประจักษ์เห็นนอกจากมีการรำลึกต่ออัลเลาะฮ์   

และเขายังได้มองไปยังฟากฟ้าที่ฝนกำลังตกและผืนแผ่นดินมีความเจริญงอกงาม  มีอาหารหลากชนิด  มีผลไม้หลากรสชาติ  หลากสีและหลากกลิ่น  แต่ทว่าหัวใจของเขาที่มีความรักและรำลึกแต่อัลเลาะฮ์นั้นจะไม่สนองรับสิ่งใดนอกจากสะท้อนให้เห็นว่ามันเป็นปัจจัยอำนวยสุขที่ส่งมาจากอัลเลาะฮ์ผู้ทรงประทานความโปรดปรานและทรงเผื่อแผ่ยิ่ง  และกระจกหัวใจของเขาก็จะไม่ประทับสิ่งใดไว้นอกจากอายะฮ์อัลกุรอานที่ว่า

كُلُوا مِن رِّزْقِ رَبِّكُمْ وَاشْكُرُوا لَهُ بَلْدَةٌ طَيِّبَةٌ وَرَبٌّ غَفُورٌ

?พวกท่านจงบริโภคเถิดจากโชคผลแห่งองค์อภิบาลของพวกท่าน  และพวกท่านจงขอบคุณพระองค์ (อันเมืองของพวกท่านนั้น) เป็นเมืองที่ดี (อุดุมสมบูรณ์) และ (พระเจ้าของพวกท่านก็เป็น) พระเจ้าที่ให้อภัยยิ่ง? สะบะอฺ : 15

และดังกล่าวนี้ถือเป็นเรื่องของหัวใจที่ตื่นตระหนักด้วยความรักต่ออัลเลาะฮ์  ให้ความสำคัญและมีความยำเกรงต่อพระองค์  ซึ่งไม่ว่าภาพต่าง ๆ ของสิ่งที่ถูกสร้างทั้งหลายจะสะท้อนเข้ามาในหัวใจก็ตาม  เขาก็จะไม่เห็นอะไรในมันเลยนอกจากจะเห็นประจักษ์ถึงการมีผู้ทรงสร้าง  และสภาวะจิตใจดังกล่าวนั้นนักปราชญ์ตะเซวุฟเขาเรียกว่าวะห์ดะตุชชุฮูด ( وَحْدَةُ الشُّهُوْدِ ) ?เอกภาพแห่งการเห็นประจักษ์ด้วยจิตใจ? ซึ่งเป็นตำแหน่งของจิตใจที่สูงสุดที่เราทุกคนสมควรต่อสู้กับจิตใจของตนเองเพื่อให้ถึงจุดหมายนั้นโดยย้อมความรู้สึกให้เกิดขึ้นหลังจากที่สติปัญญาได้ยาเกนมั่นใจของความเอกะของอัลเลาะฮ์ตาอาลา  ซึ่ง  ( وَحْدَةُ الشُّهُوْدِ ) ?เอกภาพแห่งการเห็นประจักษ์ด้วยจิตใจ? นี้แตกต่างจากวะห์ดะตุลวุญูด ( وَحْدَةُ الْوُجُوْدِ ) ?เอกภาพแห่งการมี?ตามความหมายของพวกปรัชญาคืออัลเลาะฮ์ทรงเป็นหนึ่งเดียวกับสิ่งที่ถูกสร้าง  สรรพสิ่งทั้งหมดคือพระองค์และพระองค์นั้นคือทุก ๆ สิ่ง  และพระองค์นั้นคือแก่นแท้ในตัวของสรรพสิ่งทั้งหลาย  ซึ่งความหมายนี้ย่อมเป็นกุฟุรและออกนอกศาสนา

เราลองหวนกลับมาพิจารณาถึงอายะฮ์ต่าง ๆ  ที่อัลเลาะฮ์ทรงใช้ให้ปวงบ่าวนำสรรพสิ่งที่ถูกสร้างทั้งหมดมาเป็นสะพานเชื่อมโยงพวกเขาไปสู่การรำลึกถึงอัลเลาะฮ์และเป็นสะพานที่ทำให้พวกเขาหลุดพ้นจากการหลงลืมอัลเลาะฮ์ตาอาลา  แล้วท่านจะพบว่าสิ่งดังกล่าวทั้งหมดนั้นจะทำให้เราเห็นแจ้งประจักษ์ถึงหนทางไปสู่ วะห์ดะตุชชุฮูด ( وَحْدَةُ الشُّهُوْدِ ) ?เอกภาพแห่งการเห็นประจักษ์ด้วยจิตใจ? ซึ่งเป็นผลที่ได้รับจากหลักเตาฮีดที่ยอดเยี่ยม  และดังกล่าวย่อมมาจากคำตรัสของอัลเลาะฮ์ตาอาลาความว่า

إِنَّ فِي خَلْقِ السَّمَاوَاتِ وَالأَرْضِ وَاخْتِلاَفِ اللَّيْلِ وَالنَّهَارِ لآيَاتٍ لِّأُوْلِي الألْبَابِ

?แท้จริงการสร้างชั้นฟ้าและแผ่นดินและการสับเปลี่ยนของกลางคืนและกลางวันนั้น  ล้วนเป็นนานาสัญลักษณ์สำหรับบรรดาผู้มีวิจารณญาน? อาลิอิมรอน : 190

และพระองค์ทรงตรัสเช่นกันว่า

إِنَّ فِي خَلْقِ السَّمَاوَاتِ وَالأَرْضِ وَاخْتِلاَفِ اللَّيْلِ وَالنَّهَارِ وَالْفُلْكِ الَّتِي تَجْرِي فِي الْبَحْرِ بِمَا يَنفَعُ النَّاسَ وَمَا أَنزَلَ اللّهُ مِنَ السَّمَاءِ مِن مَّاء فَأَحْيَا بِهِ الأرْضَ بَعْدَ مَوْتِهَا وَبَثَّ فِيهَا مِن كُلِّ دَآبَّةٍ وَتَصْرِيفِ الرِّيَاحِ وَالسَّحَابِ الْمُسَخِّرِ بَيْنَ السَّمَاء وَالأَرْضِ لآيَاتٍ لِّقَوْمٍ يَعْقِلُونَ

?แท้จริงในการบันดาลชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน  และการสับเปลี่ยนของกลางคืนกับกลางวัน  และนาวาที่วิ่งอยู่ในทะเลนำมาเป็นสิ่งที่อำนวยประโยชน์แก่มวลมนุษย์  และน้ำฝนที่อัลเลาะฮ์ได้หลั่งลงมาจากฟากฟ้า  แล้วพระองค์ได้ใช้มันชุบชีวิตแก่แผ่นดิน (ให้อุดมสมบูรณ์ขึ้น) ภายหลังจากมันได้ตาย (แห้งแล้ง) ไปแล้วและทรงบันดาลสัตว์ทุกชนิดให้แพร่กระจายอยู่ในแผ่นดิน  และการผันแปรของลม  และเมฆที่ถูกควบคุม (ให้พัดลอยอยู่) ระหว่างฟ้ากับดินเหล่านั้น  ย่อมเป็นสัญลักษณ์สำหรับมวลชนที่ใช้ปัญญาตริตรอง? อัลบะกอเราะฮ์ : 164

ดังนั้น  ในช่วงระยะแรกของการเยียวยานั้นคือท่านต้องเริ่มเตาบะฮ์และปฏิบัติสิ่งที่ทำให้ห่างไกลจากบรรดาข้อห้ามต่าง ๆ ที่เราได้กล่าวผ่านมาแล้วข้างต้น  และเมื่อท่านสามารถปฏิบัติสิ่งดังกล่าวได้แล้ว  แน่นอนท่านก็จะหลุดพ้นจากบาลอที่ทำให้ท่านหลงลืมในการเป็นทาสของอัลเลาะฮ์และลืมต่อภาระหน้าที่ต่าง ๆ ของท่านที่มีต่อพระองค์  และเมื่อได้หลุดพ้นจากการหลงลืมเหล่านี้ด้วยการหมั่นซิกรุลลอฮ์อย่างสม่ำเสมอแล้ว  แน่นอนว่าสิ่งดังกล่าวจะทำให้ท่านมีความรักต่ออัลเลาะฮ์ตาอาลา  และต่อไปจากนั้นท่านก็จะได้เลื่อนระดับไปสู่ตำแหน่งอัลอิห์ซานที่ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ได้ให้คำนิยามว่า ?ท่านจงอิบาดะฮ์ต่ออัลเลาะฮ์เสมือนท่านเห็นพระองค์...? และเมื่อตำแหน่งดังกล่าวมั่นคงอยู่กับท่าน   แน่นอนว่าหัวใจของท่านก็จะปราศจากภาพโลกต่าง ๆ ที่ท่านได้เห็นมันโดยบรรดา(ซีฟาต)คุณลักษณะต่าง ๆ ของพระเจ้าผู้ทรงสร้างมาแทนที่และบรรดาสรรพสิ่งที่ถูกสร้างทั้งหลายที่อยู่บนหัวใจก็จะกลายเป็นรัศมีที่ฉายให้เห็นถึงฮิกมะฮ์  ความเมตตา  และความโปรดปรานของอัลเลาะฮ์  และดังกล่าวนั้นก็คือแก่นแท้ของ วะห์ดะตุชชุฮูด ( وَحْدَةُ الشُّهُوْدِ ) ?เอกภาพแห่งการเห็นประจักษ์ด้วยจิตใจ? ซึ่งเป็นแก่นแท้ของเตาฮีดอันสุดยอดที่มุสลิมสมควรนำมายึดเหนี่ยวให้กับตัวเขาเอง

وَاللهُ سُبْحَانَهُ وَتَعَاليَ أعْلىَ وَأَعْلَمُ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พ.ย. 16, 2008, 10:19 AM โดย al-azhary »
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
Re: การเตาบะฮ์ 1 (บทเรียนฮิกัม)
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: ก.ค. 12, 2007, 12:58 AM »
0
เราจะเริ่มทำการวิเคราะห์ฮิกัมของท่านอิมาม อิบนุ อะฏออิลและฮ์  ที่ว่า ?หัวใจจะส่องรัศมี(แห่งอีหม่าน)ได้อย่างไร  ในเมื่อบรรดาภาพของสิ่งที่ถูกสร้างทั้งหลาย  ได้เกาะประทับอยู่ในกระจกเงาของหัวใจ ?? 

คำว่า "ภาพโลกหรือภาพของจักรวาลและสรรพสิ่งทั้งหลาย"  นั้นไม่ใช่หมายถึงสิ่งที่เป็นตัวตนเพียงอย่างเดียว  ความรู้สึกนึกคิดล้วนเป็นมัคโลค  เป็นภาพโลก  หรือเป็นสรรพสิ่งที่อัลเลาะฮ์ทรงสร้างขึ้นเช่นกัน 

อย่างเช่นท่านเห็นคนอื่นได้ดีมีเกียรติยศ (นั่นคือมัคโลค)  ท่านก็คิดอิจฉาริษยาพวกเขาโดยต้องการให้พวกเขาตกต่ำตกจากตำแหน่งที่พวกเขาดำรงอยู่  (ความคิดที่เกิดขึ้นในจิตเช่นนี้ก็เรียกว่าภาพโลกหรือมัคโลค)  ที่มันมาเกาะกุมอยู่ในจิตใจจนทำให้เกิดเป็นความริษยาอันเนื่องมาจากกิเลสและอารมณ์ใฝ่ต่ำนั่นเอง    ผู้อิจฉาริษยานี้นั้น  เขาไม่มองไปทะลุไปถึงอัลเลาะฮ์   แต่เขามองหยุดเพียงแค่อารมณ์ใฝ่ต่ำของตน   ซึ่งหากเขามองทะลุผ่านไปยังอัลเลาะฮ์   เขาก็จะรู้ว่าอัลเลาะฮ์ทรงประทานเกียรติยศนั้นให้แก่เขา  มันเป็นเนี๊ยะมัตที่อัลเลาะฮ์ทรงประทานให้   เราไม่มีสิทธิ์ในปฏิเสธเนี๊ยะมัตนั้น (กุฟุรเนี๊ยะมัต) เพราะอัลเลาะฮ์ทรงต้องการที่จะประทานเกียรติยศกับบุคคลที่พระองค์ทรงต้องการ  แล้วเราก็จะมองถึงคุณลักษณะของพระองค์ได้ว่า  เพราะองค์ทรงทรงประทานเกียรติ المُعِزّ "พระองค์ทรงทำให้เกียรติ" และเราก็จะกลับไปหาพระองค์ได้ทุกช่วงเวลาและทุกช่วงของเหตุการณ์

ตัวอย่างต่อไป  หากเราเห็นคนที่เรารักเสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุ (การเสียชีวิตนั้นเป็นมัคโลคที่อัลเลาะฮ์ทรงสร้างขึ้นและเป็นภาพแห่งโลกชนิดหนึ่งเช่นกัน)  เราก็ร้องไห้คร่ำครวญโทษโน้นโทษนี่  กล่าวหาว่าคนนั้นขับรถประมาทบ้างแหละ  อ้างว่าหากคนนั้นไม่ชวนขึ้นรถไปก็คงไม่ตายบ้างแหละ   ที่เป็นอย่างนั้นเพราะภาพโลกมันไปเกาะกุมประทับอยู่ที่จิตใจโดยไม่หวนกลับไปหาอัลเลาะฮ์ตาอาลา  กิเลสและอารมณ์ใฝ่ต่ำจึงมาครอบงำเป็นจุดดำแผ่ขยายอยู่เรื่อย ๆ ทุกวี่ทุกวัน   นี่ถ้าหากเขามองให้กลับทะลุไปหาอัลเลาะฮ์ได้แล้วนั้น  เขาก็จะรู้ว่า  อัลเลาะฮ์ต่างหากผู้ทรงทำให้ตาย  เพราะพระองค์มีพระนามว่า  المميت "พระองค์ผู้ทรงทำให้ตาย"   เมื่อเป็นดังนี้แล้วเราก็จะไม่ลืมอัลเลาะฮ์ตาอาลา  และเราก็จะรู้ถึงฮิกมะฮ์ที่อัลเลาะฮ์ทรงทำให้เป็นอย่างนั้น   เช่นหากญาติคนนั้นไม่ตายไปในช่วงนี้  ต่อไปในอนาคตเขาอาจจะเป็นคนที่พฤติกรรมไม่ดีต่ออัลเลาะฮ์ก็เป็นได้

ตัวอย่างต่อไป  บุคคลหนึ่งมีทรัพย์สินมากมาย  แล้วหลงไหลในทรัพย์สิน  ตระหนี่ไม่ยอมใช่จ่ายไปในหนทางของอัลเลาะฮ์   ดังนั้นทรัพย์สินและความโลบหลงไหลในทรัพย์สิน  ก็คือ  ภาพโลกที่ถูกสร้างขึ้นนั่นเอง   เมื่อกันเกาะกุมภายในจิตใจแล้วมันก็จะทำให้เราตระหนี่หลงไหลในทรัพย์สิน  ซะก๊าตก็ไม่ยอมจ่าย  ชอบหลีกเลี่ยงโดยทำให้พิกัดของเงินไม่ครบก่อนจะถึงรอบปี  ชอบโกงผู้อื่นในทางทรัพย์สิน  เหล่านี้ล้วนแต่เป็นภาพโลกที่มาเกาะกุมจิตใจ  แต่หากเขามองผ่านไปยังอัลเลาะฮ์  เขามองว่าอัลเลาะอ์ทรงมีพระนามว่า  الرزّاق  "พระองค์ผู้ทรงประทานปัจจัยยังชีพยิ่ง"   และ الوهاب "พระองค์ผู้ทรงมอบให้ยิ่ง"  เขาก็จะรู้ถึงบ่อเกิดหรือผู้ให้ของปัจจัยยังชีพและทรัพย์สินนั้น   ความรักความกตัญญูรู้คุณก็จะบังเกิด   เฝ้ารอเวลาครบปีเพื่อจะจ่ายซะก๊าตสักที   ไม่กล้าที่จะนำทรัพย์ไปใช้ในหนทางมิชอบ   นั่นก็เพราะว่าเขาได้มองผ่านไปถึงอัลเลาะฮ์

และสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้จะไม่บังเกิดนอกจากต้องเตาบะฮ์เสียก่อนเพื่อให้ความโสมมของจิตใจหายไป  แล้วสภาวะจิตใจที่ดีงามก็จะเข้ามา

วัลลอฮุอะลัม
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

นูรุ้ลอิสลาม

  • บุคคลทั่วไป
Re: การเตาบะฮ์ 1 (บทเรียนฮิกัม)
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: ก.ค. 12, 2007, 03:16 PM »
0
ฉะนั้นสติปัญญาต้องมุ่งเน้นไปยังหัวใจเพื่อให้เจ้าของหัวใจได้บรรลุถึงสารของอัลเลาะฮ์  ซึ่งพระองค์ทรงกล่าวว่า

أَلَمْ يَأْنِ لِلَّذِينَ آمَنُوا أَن تَخْشَعَ قُلُوبُهُمْ لِذِكْرِ اللَّهِ وَمَا نَزَلَ مِنَ الْحَقِّ وَلَا يَكُونُوا كَالَّذِينَ أُوتُوا الْكِتَابَ مِن قَبْلُ فَطَالَ عَلَيْهِمُ الْأَمَدُ فَقَسَتْ قُلُوبُهُمْ

?ยังไม่ถึงเวลาอีกหรือ  สำหรับบรรดาผู้มีศรัทธาที่หัวใจของพวกเขาจะนอบน้อมเพราะระลึกถึงอัลเลาะฮ์  และระลึกถึงสัจธรรม (แห่งอัลกุรอาน) ที่ลงมา (สู่พวกเขา) ?  และพวกเขาจงอย่าได้เป็นเช่นบรรดาผู้ที่เคยถูกประทานคัมภีร์ให้เมื่อยุคก่อน ๆ แต่แล้วที่กาลเวลาได้ผ่านพวกเขาไปอย่างยาวนาน  หัวใจของพวกเขา  ก็แข็งกระด้าง?  อัลหะดีด : 16

เราไม่ลองสนองตอบคำถามของอัลเลาะฮ์กันบ้างหรือครับว่า ถึงเวลาแล้วหรือยัง?

นูรุ้ลอิสลาม

  • บุคคลทั่วไป
Re: การเตาบะฮ์ 1 (บทเรียนฮิกัม)
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: ก.ค. 13, 2007, 12:31 PM »
0
การที่บ่าวได้ตื่นตระหนักเพ่งพิศอัลเลาะฮ์ (อัชชุฮูด) นั้นไม่มีความหมายใดที่จะมากไปกว่าการเพ่งพิศในบรรดาคุณลักษณะ(ซีฟาต) และเนี๊ยะอ์มัตต่าง ๆ ของพระองค์  เพ่งพิศถึงปรากฎการณ์แห่งความโปรดปรานและความเมตตาของพระองค์   

     ได้อ่านคำว่า เพ่งพิศบรรดาคุณลักษณะ(ซีฟาต)ของอัลเลาะฮ์นี้  บางท่านอาจจะไม่เข้าใจว่ามันเป็นอย่างไร  จำได้ว่าอัซฮะรีได้เขียนในภาคผนวก หนังสือสูตรบำบัดทำให้จิตใจเป็นสุข  ซึ่งมีข้อความที่สามารถนำมาอธิบายฮิกัมนี้ได้อย่างดีครับ   คำว่าเพ่งพิศเนี่ย  หมายถึง การมองด้วยจิตใจ

(5) คุณลักษณะอันยิ่งใหญ่ของพระองค์  เช่น พระองค์มีความความยิ่งใหญ่ ( العزيز ) ผู้ทรงอำนาจ ( القهار )  ผู้ทรงอานุภาพ( القادر ) ผู้ทรงจักรวาล สร้างฟากฟ้าและแผ่นดิน ( الفاطر )   ดังนั้น  เราจงมองด้วยจิตเราว่า จักรวาล  สรรพสิ่งทั้งหลายล้วนมาจากพระองค์  ซึ่งพระองค์เป็นผู้ทรงสร้าง  มองสรรพสิ่งทั้งหลายให้ถึงไปยังพระองค์  คือหมายถึงมองไปถึงยังผู้สรรค์สร้างมัน  มองโดยไม่ลืมว่าผู้ใดเป็นผู้ให้มันเป็นไปตามสภาวะที่ได้เกิดขึ้น  ซึ่งถ้าหากเรามองอย่างนี้  เราจะพบว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่จีรัง  ไม่ใช่อาศัยอยู่ด้วยตัวของมันเอง   แต่มันอยู่เพราะอัลเลาะฮ์ทรงให้อยู่  สิ่งนั้นมีขึ้นมา เพราะเหตุว่าอัลเลาะฮ์ทรงมี  หากเพราะองค์ไม่ทรงมี  ก็ย่อมไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย   และคุณลักษณะอันวิจิตรของพระองค์  เช่น พระองค์ทรงประณีต ( البديع ) ทรงสร้างสรรค์สรรพสิ่งทั้งหลาย ด้วยความงดงาม  สร้างธรรมชาติ  พฤษาดอกไม้ต่างๆ  ด้วยความงดงาม  นั่นก็เพราะได้สำแดงออกมาจากคุณลักษณะของอัลเลาะฮ์ผู้ทรงมีความประณีตและปรีชายาน    อีกทั้งพระองค์ทรงมีความเมตตา ( الرحمن ) ทรงปราณี ( الرحيم )  ต่อบรรดาสิ่งมีชีวิตและสรรพสิ่งทั้งหลาย  ทรงให้ปัจจัยยังชีพ ( الرزاق ) เมตตาเอ็นดู ( الرؤوف ) ต่อบรรดาปวงบ่าว  ให้อากาศลมหายใจเข้าออก  ทรงให้อาหารทุกๆ คำที่กลืนเข้าไป  แม้เรากระทำผิดพระองค์ยังคงสุขุม ( الحليم ) ผ่อนระยะเวลาการลงโทษเพื่อให้เราเตาบัตตัวกลับใจ  ซึ่งหากเราได้ประจักษ์คุณลักษณะเหล่านี้อยู่สม่ำเสมอในทุกท้วงจังหวะการเปลี่ยนไหวของเรา  เราก็จะพบว่าพระองค์ทรงยิ่งใหญ่  วิจิตรงดงาม โดยทำให้จิตใจเพ่งจิตถึงคุณลักษณะต่างๆ เหล่านี้  ว่ามันมาจากพระองค์ทั้งสิ้นทั้งปวง   

อ้างอิงจากภาคผนวก สูตรบำบัดจิตใจให้เป็นสุข

นูรุ้ลอิสลาม

  • บุคคลทั่วไป
Re: การเตาบะฮ์ 1 (บทเรียนฮิกัม)
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: ก.ค. 13, 2007, 09:09 PM »
0
อัลเลาะฮ์ทรงตรัสเช่นกันว่า

 وَمِنَ النَّاسِ مَن يَتَّخِذُ مِن دُونِ اللّهِ أَندَاداً يُحِبُّونَهُمْ كَحُبِّ اللّهِ وَالَّذِينَ آمَنُواْ أَشَدُّ حُبّاً لِّلّهِ

?และบางส่วนจากมวลมนุษย์  มีผู้ที่ยึดเอาสิ่งอื่นจากอัลเลาะฮ์มาเป็นคู่เคียง(กับพระองค์) พวกเขารักสิ่งเหล่านั้น  ประดุจเดียวกันกับพวกเขารักอัลเลาะฮ์  และบรรดาผู้มีศรัทธานั้นมีความรักต่ออัลเลาะฮ์ลึกซึ้งยิ่งกว่า?  อัลบะกอเราะฮ์ : 125

ดังนั้น  จึงเป็นที่แน่นนอนแล้วว่า  บางครั้งในหัวใจของมุอฺมินนั้นจะรักอัลเลาะฮ์พร้อมกับรักสิ่งอื่น  แต่ความรักต่ออัลเลาะฮ์นั้นต้องมากกว่าและเหนือกว่าทุก ๆ สิ่ง

การมีความรักต่ออัลเลาะฮ์นั้น  เป็นสิ่งวายิบและฟัรดูเหนือมุสลิมทุกๆคนแต่อัลเลาะฮ์ทรงสร้างมนุษย์ให้อยู่บนธรรมชาติของการรักในทรัพย์สิน  ภรรยาลูกหลาน  รักในมิตรสหาย  รักชอบสิ่งที่อำนวยสุข  ซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านี้อัลเลาะฮ์ตะอาลาทรงเปิดโอกาสให้เรารักกับมันครับ  แต่พระองค์ทรงบัญญัติไว้ว่าต้องรักพระองค์มากกว่าสิ่งเหล่านี้ทั้งปวง  ดังนั้นอัลเลาะฮ์ทรงสร้างมนุษย์และบัญญัติให้อยู่บนธรรมชาติของพวกเขาอย่างแท้จริง 

นูรุ้ลอิสลาม

  • บุคคลทั่วไป
Re: การเตาบะฮ์ 1 (บทเรียนฮิกัม)
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: ก.ค. 17, 2007, 12:57 PM »
0
ฉะนั้น  การเยียวยาต้องเริ่มด้วยการพิชิตปัญหาแรกเสียก่อน  ก็คือปัญหาการยอมจำนนท์ต่อการทำบาปและความผิดทั้งหลาย  ซึ่งจำเป็นจะต้องพิชิตมันด้วยการห่างไกลและปลดเปลื้องตนเองจากการฝ่าฝืนเหล่านั้น   แต่บางครั้งท่านอาจจะกล่าวว่า  เป็นไปได้หรือที่เราจะถูกปกป้อง(มะซูม) จากการกระทำบาป  ทั้งที่เราทราบดีว่ามนุษย์ทุกคนล้วนมีความผิดพลาดทั้งสิ้น?  คำตอบ  คือการห่างไกลจากกระทำบาปนั้นไม่ใช่ความบริสุทธิ์หรืออยู่ในสภาวะไร้บาป  แต่จุดมุ่งหมายนั้นคือให้ท่านพยายามห่างไกลจากการกระทำบาปให้สุดความสามารถ  ดังนั้น  เมื่อท่านถูกทดสอบด้วยการกระทำบาปหนึ่ง  ท่านก็จงปลดเปลื้องจิตใจของท่านให้สะอาดด้วยการ ?เตาบะฮ์?  มั่นใจอย่างเด็ดขาดว่าจะไม่หวนกลับไปทำอีก  และเมื่อนัฟซูของท่านชักจูงให้หวนไปกระทำบาปอีกครั้งหนึ่ง  ท่านก็จงรีบหลับไปเตาบะฮ์อย่างรีบด่วน  เพราะผู้ที่เตาบะฮ์จากบาปนั้นเหมือนกับผู้ที่ไม่มีบาป  และนั่นก็คือสภาวะการไร้บาปของบรรดาผู้ที่อ่อนแอเฉกเช่นพวกเรา  ซึ่งอัลเลาะฮ์ได้กล่าวถึงโดยตอบรับคำสัญญาจากชัยฏอนที่มันจะพยายามหลอกลวงบรรดาบ่าวของพระองค์  ซึ่งพระองค์ทรงตรัสความว่า

إِنَّ عِبَادِي لَيْسَ لَكَ عَلَيْهِمْ سُلْطَانٌ إِلاَّ مَنِ اتَّبَعَكَ مِنَ الْغَاوِينَ

?แท้จริงบรรดาบ่าวของข้านั้น   เจ้าไม่มีอำนาจที่จะ (ทำความหลงผิด) แก่พวกเขาหรอก  นอกจากผู้ที่ตามเจ้าจากพวกที่หลงทางทั้งหลาย?  อัลฮิจริ์ 42

หมายถึง  บรรดาผู้ซึ่งมีคุณลักษณะยอมจำนนท์เป็นข้าทาสต่อข้านั้น  เจ้าไม่มีหนทางใดที่จะไปหลอกลวงพวกเขาให้หลงผิดได้หรอก   เพราะความรู้สึกของความเป็นบ่าวต่ออัลเลาะฮ์นั้น  จะผลักดันให้พวกเขามีความโศกเศร้าเสียใจต่อการฝ่าฝืนและทำให้พวกเขาสารภาพผิด(เตาบะฮ์)อย่างบริสุทธิ์ใจ


แสดงว่าชัยฏอนจะมีถูกโรคกับมุสลิมที่มีคุณลักษณะเป็นทาสกับอัลเลาะฮ์ (ซ.บ.)  ชัยฏอนไม่สามารถครอบงำเขาได้  แต่ในทางตรงกันข้ามหากเขาอวดใหญ่  ยิ่งยะโส  เอากามเป็นนายเอากายเป็นทาสแล้วล่ะก็  ชัยฏอนชอบนักแล

นูรุ้ลอิสลาม

  • บุคคลทั่วไป
Re: การเตาบะฮ์ 1 (บทเรียนฮิกัม)
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: ก.ค. 18, 2007, 01:46 PM »
0
ดังบทความกวีที่ได้กล่าวว่า

وفى كل شيء له أية    تدل على أنه واحد

?ในทุก ๆ สิ่งนั้น  ล้วนมีสัญลักษณ์ให้กับมัน  ที่บ่งชี้ถึงว่าพระองค์นั้นทรงเอกะ?

ดังนั้น  ผู้เป็นเจ้าของหัวใจที่มีความรักต่ออัลเลาะฮ์และรำลึกถึงพระองค์นี้  เมื่อเขาได้เห็นสรรพสิ่งที่ถูกสร้างต่าง ๆ แน่นอนว่าภาพต่าง ๆ ของมันก็จะสะท้อนกลับไปสู่หัวใจของเขา  ซึ่งภาพเหล่านั้นจะไม่ประทับอยู่ในหัวใจนอกจากเสียว่าสรรพสิ่งเหล่านั้นจะเผยการตัสบีห์(สดุดีแซ่ซ้อง)ถึงความบริสุทธิ์ของอัลเลาะฮ์ตาอาลาจากภาคีทั้งหลาย (การตัสบีห์ก็คือการยืนว่าอัลเลาะฮ์ทรงบริสุทธิ์จากภาคีทั้งหลายโดยพระองค์นั้นทรงเอกะนั่นเอง)  ดังนั้น  การตัสบีห์ของสรรพสิ่งเหล่านี้นั้น  มนุษย์ทั้งหมดไม่สามารถเข้าใจได้  นอกจากผู้ที่เป็นเจ้าของหัวใจลักษณะดังกล่าวเท่านั้นที่สามารถเข้าใจมันได้เป็นอย่างดี  ซึ่งอัลเลาะฮ์ทรงตรัสยืนยันไว้ความว่า

وَإِن مِّن شَيْءٍ إِلاَّ يُسَبِّحُ بِحَمْدَهِ وَلَـكِن لاَّ تَفْقَهُونَ تَسْبِيحَهُمْ

?และไม่ว่าสิ่งใดก็ตาม  นอกจากเสียว่ามันจะแซ่ซ้องสดุดีพระบริสุทธิคุณ  พร้อมกับการสรรเสริญพระองค์  แต่ทว่าพวกเจ้าไม่เข้าใจการแซ่ซ้องของพวกนั้น? อัลอิสรออ์ : 44

เข้าใจว่า  การตัสบีห์ของสรรพสิ่งต่างๆนั้น  คือการที่สิ่งเหล่านั้นบ่งชี้ถึงการมีอัลเลาะฮ์เพียงองค์เดียว  และการบ่งชี้อย่างนี้แหละเขาเรียกว่า ตัสเบี๊ยะห์  ดังนั้นผู้ใดที่มองสรรพสิ่งต่างๆโดยสะท้อนในจิตใจของพวกเขาให้เห็นว่าอัลเลาะฮ์ทรงเอกะ  นั้นคือการที่เขาได้เข้าใจการตัสเบี๊ยะห์ของทุกๆสิ่ง  ใช่ไหมครับ?

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
 salam

ฮิกัมที่ 13 นี้  เป็นฮิกัมที่มีความต่อเนื่องและเชื่อมโยงกับฮิกัมที่ 12 นี้ครับ  การปลีกวิเวกตนเองทำให้มีประโยชน์แก่หัวใจคือแบบฉบับของท่านร่อซูล(ฮิกัมที่12)

วัสลาม
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-firdaus~*

  • ทีมงานหลังบอร์ด (-_-''')
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 5015
  • เพศ: หญิง
  • 可爱
  • Respect: +161
    • ดูรายละเอียด
อ้างถึง
สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้จะไม่บังเกิดนอกจากต้องเตาบะฮ์เสียก่อนเพื่อให้ความโสมมของจิตใจหายไป  แล้วสภาวะจิตใจที่ดีงามก็จะเข้ามา



เวลาที่เราพลั้งเผลอทำบาป  ด้วยกับการยุแหย่ ของซัยตอน  สังเกตุได้ว่า  หัวใจเราจะเต้นแรงผิดปกติ  ให้เรารีบขอเตาบะฮ์ต่ออัลลอฮ์ ณ เวลานั้นด้วยกับความรู้สึกเสียใจต่อการกระทำบาปนั้น

เพื่อลบล้างจุดด่างดำนั้นเสีย  หากเราละเลย ความโสมมของจิตใจก็จะยังคงอยู่ จนเราชาชินกับมัน  oh:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พ.ย. 16, 2008, 07:14 PM โดย zaifuddeen »

ออฟไลน์ Chanomsod

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 27
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด

 

GoogleTagged