หลักตะกียะฮ์ของชีอะฮ์ By: อายะฮ์ Date: ต.ค. 24, 2006, 04:06 AM
อัสลามุอะลัยกุ้ม
ผมได้ทำการค้นหาการสนทนาของคุณ อัล-อัซฮะรีย์ กับชีอะฮ์อิมาม 12 ในกระทู้เก่า ๆ ในอิสลามิคโฮมเพจ ซึ่งผมเห็นว่ามีสิ่งอันน่าสนใจที่ผมอยากจะนำเสนอ
ต่อไปนี้ คือ สิ่งที่คุณ อัล-อัซฮะรีย์ ได้เคยนำเสนอ
คำนิยามของตะกียะฮ์
เชคฺอัลมุฟีด ให้คำนิยามเกี่ยวกับคำต้ากียะฮฺว่า " มันคือการซ้อนเร้นความจริง อำพรางหลักศรัทธาของความจริงนั้น การอำพรางต่อผู้ขัดแย้ง และงดการแสดงออกที่นำมาซึ่งความเสียหายในทาง ศาสนาและโลกนี้"(ชัรฮุอ้ากออิดิซซุดูก หน้า261)
ดังนั้นอัลมุฟีดจึงให้คำนิยาม ต้ากียะฮ์ว่า มันคือการอำพรางหลักความเชื่อเป็น เพราะหวั่นเกรงที่จะเกิดโทษอันตรายจากผู้ที่มีอุดมการณ์ขัดแย้ง กับตน(อัลมุคอลิฟีน)คืออะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์นั้นเอง ความหมายแห่งนัยดัง กล่าวนี้ก็คือ "แสดงออกแนวทางของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์(ซึ่งเป็นแนวทางที่ผิดในทรรศนะ ของพวกเขา)พร้อมทั้งอำพรางแนวทางของรอฟิเฏาะห์ซึ่ง พวกเขาเชื่อว่ามันเป็นสัจธรรม จาก ณ. ที่นี้จึงมีอุลามาอฺอะฮ์ลิสซุนนะฮ์บางท่านกว่าวว่า" ผู้ที่ศรัทธาเช่นนี้คือผู้ที่ชั่วช้ากว่าพวกมุนาฟิกเสีย อีก เป็นเพราะว่ามุนาฟิกนั้นมีความเฃื่อว่า สิ่งที่พวกเขาซ่อนเร้นอยู่ภายในที่ทำให้เกิดกุฟุรนั้นคือสิ่งที่่อธรรม แต่สิ่งที่พวกเขาเปิดเผยด้วยการรับ อิสลามนั้นเป็นเพราะความกล้ว แต่สำหรับพวกชีอะฮ์นั้นพวกเขามีความเห็นว่า สิ่งที่พวกเขาซ้อนเร้นอยู่นั้นเป็นสัจจะธรรมและเป็นแนวทางของร่ อซูล และบรรดาอิหม่าม
ฮุกุ่มเรื่องการต้ากียะฮ์
ชีอะฮ์ อิมามียะฮ์ได้ให้ทรรศนะว่า ฮุกุ่มในเรื่องหลักการต้ากียะฮ์นั้นมีอยู่สามอย่างด้วยกัน
1. บางครั้งหลักการต้ากียะฮ์เป็นสิ่งจำเป็น ซึ่งถ้าหากคน หนึ่งละทิ้งหลักการต้ากียะฮ์แล้ว ก็จะนำมาซึ่งความเสียหายต่อชีวิตโดยเปล่าประโยชน์
2. บางครั้งหลักการต้ากียะฮ์เป็นหลักการผ่อนปรน เช่น คนหนึ่งใช้หลักการต้ากียะฮ์ แต่ถ้าหากเขาเปิดเผยซึ่งสัจจะธรรมที่สามารถนำมาซึ่งความเข้มแข็ งแล้ว จึงเป็นการอนุญาติให้เขาพลีชีพ หรือรักษาชีวิต ของเขาได้
3. ห้ามการต้ากียะฮ์ ถ้าหากว่าการต้ากียะฮ์นั้น ทำให้แพร่หลายสิ่งที่ไม่ไช่สัจจะธรรมหรือความชั่วร้าย(เชคุกาชิ ฟฆ่อฏอ หนังสือ อิส ลุชชีอะฮ์ว่าอุซูลุฮา)
หลักการต้ากียะฮ์ดังกล่าวนี้มิไช่ชีอะฮ์เพียงอย่างเดียวที่ปฏิบ ัติกันอยู่ แต่ความเป็นจริงชีอะฮ์ยึดหลักการต้ากียะฮ์เพียงเท่า นี้หรือ ? และเพราะเหตุใดที่พวกเขาถูกโจมตีด้วยสาเหตุของอุดมการณ์การต้าก ียะฮ์ของพวกเขาเสียเอง? เป็นเพราะหลักการต้ากียะฮ์ในอิสลามนั้น ส่วนมากจะเผชิญกับพวกกาเฟร อัลเลาะห์(ซ.บ.)ทรงตรัสว่า "ยกเว้นพวกเจ้าที่มีความหวาดกลัวหนึ่งๆจากพวกเขา(พวกกาเฟร)" อิบนุญุ รีร อัตฏ๊อบรียฺ อถาธิบายอายะฮ์นี้ว่า"ต้ากียะฮ์ที่อัลเลาะห์ทรงตรัสในอายะฮ์นี้ นั้น คือการต้ากียะฮ์(อำพราง)จากพวกกาเฟรที่มิไช่ผู้อื่นจากพวก เขา"(ตัฟซีร อัตฏ๊อบรีย์ เล่ม 6 หน้า 316
ด้วยเหตุด้งกล่าวบางส่วนของอุลามะอ์ยุคก่อนจึงมีความเห็นว่า"จะ ไม่มีต้ากียะฮ์หลัง จากที่อัลเลาะฮฺ์ ทรงทำให้อิ่สลามแข็งแกร่งแล้ว" ท่านมุอ๊าซอิบนุญะบัล และท่านมุญาฮิดกล่าวว่า ความจริงต้ากียะฮ์ในอิสลามนั้นสามารถ กระทำได้ก่อนที่อิสลามจะเข้มแข็ง แต่สำหรับวันนี้อัลเลาะห์ทรงทำให้อิสลามเข้มแข็งจากการหวาดกลัว พวกกุฟฟารแล้ว" (ตัฟซีร อัลกุรตูบีย์ เล่ม4 หน้า57 / ฟัตฮุลก้อดีร ของท่านเชากานีย์ เล่ม1 หน้า331)
ขอบเขตการใช้หลักการต้ากียะฮ์
แต่หลักการต้ากียะฮ์ของชีอะฮ์นั้น สามารถกระทำได้กับคนมุสลิมีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ จนกระทั้งพวกเขากล่าวว่า ในยุคสมัยที่ประเสริฐ(คือยุคซาลัฟ)นั้น คือยุคแห่งการต้ากียะฮ์ ซึ่งเชคฺของพวกคืออัลมุฟีดก็ได้ยืนยันเอาไว้ตามนัยดังกล่าวนี้( ดู หนังสือชัรฮุอ้ากออิดิสซุดู๊ก หน้า 43-44 ) เช่นเดียวกันนั้น ท่านจะสังเกตุได้ว่า ตัวบทต่าง ๆ ที่พวกเขาอ้างในเรื่องต้ากียะฮ์นี้ พวกเขาจะพาดพิงไปยังบรรดาอิหม่ามของพวกเขา เป็นเพราะชีอะฮ์นั้นมีความ เห็นว่า อะฮ์ลิสซุนนะฮ์เป็นผู้ที่กุฟุรอย่างร้ายกาจมากกว่าพวกยิวและดริ สต์เสียอีก เพราะการปฏิเสธอิหม่ามสิบสองนั้นเป็นเรื่องที่ร้ายแรงกว่าการปฏ ิเสธ บรรดานบีทั้งหมดเลยทีเดียว
เดิมทีหลักการต้ากียะฮ์นั้นสามารถกระทำได้ในสภาวะการที่ขับขันเ ท่านั้น ด้วยเหตุดังกล่าวนี้ อัลเลาะห์ทรงอำ นายความสะดวกและผ่อนปรนจากหลักการที่ห้ามเป็นมิตรกับพวกกาเฟร พระองค์ทรงตรัสว่า"บรรดาผู้ศรัทธาจะต้องไม่ยึดเอาบรรดาผู้ปฏิเส ธขึ้น เป็นมิตร นอกจากมวลผู้ศรัทธา(ด้วยกันเอง)และผู้ใดประฏิบัติเช่นนั้น เขาจะไม่มีจากอัลเลาะห์ในกรณีเดียว(ที่เกี่ยวข้องกัน)ยกเว้นพวก เจ้ามีความ หวาดกลัวเรื่องที่น่ากลัวหนึ่ง ๆจากด้านพวกนั้น(ก็ยอมให้พวกเขาเป็นมิตรได้)และอัลเลาะห์ทรงกำช ับพวกเจ้าให้เกรงกลัวพระองค์เพียงอย่างเดียวและ ยังอัลเลาะห์เท่านั้นย่อมเป็นเป้าหมาย(ของพวกเจ้าทั้งมวล)"
ดังนั้นอัลเลาะห์ทรงห้ามจากการเป็นมิตรกับพวกกาเฟรและทรงสัญญา จะลงโทษเนื่องจากเหตุดังกล่าวนั้นด้วย พระองค์ทรงตรัสว่า" ผู้ใดที่ทำการดังกล่าวนั้นเขาจะไม่มี(ข้อเกี่ยวข้องใด)จากอัลเล าะห์สักกรณี เดียว" ย่อมหมายความว่า ผู้ใดที่ทำการดังกล่าว แน่นอนเขาย่อมไม่มีพันธะใดๆกับอัลเลาะห์ จากนั้นพระองค์ทรงตรัสว่า" ยกเว้นพวกเจ้า มีความหวาดกลัวเรื่องที่น่ากลัวหนึ่ง ๆ" ย่อมหมายความว่า เว้นแต่ผู้ที่หวาดกลัวความชั่วร้ายของพวกกาเฟรในขณะที่เขาอยู่ใ นเมื่องใดเมือง หนึ่งหรือในเวลาใดเวลาหนึ่งกับพวกเขา ดังนั้นจึงอนุญาติให้ใช้หลักการต้ากียะฮ์ด้วยการแสดงออกเพียวภา ยนอกมิไช่ภายในและกระทำด้วยความ ตั้งใจ(ตัฟซีรอิบนุกะซีร เล่ม1 หน้า371)
บรรดาอุลามาอฺจึงลงมติเป็นเอกฉันท์ว่า"แท้จริงหลักการต้ากียะฮ์ เป็นหลักการผ่อนปนใน สภาวะที่คับขันเท่านั้น ท่านอิบนุกะซีรกล่าวว่า"อุลามาอฺต่างลงมติว่าผู้ใดที่ถูกบังคับ ในเรื่องการกุฟุรจนทำให้เขามีความหวั้นเกรงที่จะเกิดความ เสียหายต่อชีวิต ดังนั้นเขาก็สามารถที่จะทำการกุฟุรได้ในสภาพที่หัวใจของเขามั่น คงในอีหม่านและแท้จริงเขาย่อมไม่ได้รับการตัดสินว่าเป็นกา เฟร"(ฟัตฮุลบารีย์ เล่ม1 หน้า371)
แต่ผู้ใดที่เลือกหลักการเดิมที่ศาสนากำหนดมาแล้ว(อัลอะซีมะฮ์)ใ นสภาวะเฉกเช่นดังกล่าวนี้ แน่ นอนการกระทำดังกล่าวย่อมเป็นสิ่งที่ประเสริฐแก่เชา ท่านอิบนุบัตฏอนกล่าวว่า"บรรดาอุลามาอฺต่างลงมติว่า แท้จริงผู้ที่ถูกบังคับในการกุฟุรและ เขาเลือกที่จะยอมพลีชีพ แน่นอนเขาย่อมได้รับการตอบแทนอันยิ่งใหญ่จากอัลเลาะห์(ซ.บ.)"(ฟ ัตฮุลบารียฺ เล่ม12 หน้า314)
แต่หลัก การต้ากียะฮ์ของชีอะฮ์นั้นชัดแย้งต่อสิ่งดังกล่าวเพราะการต้ากี ยะฮ์ในทรรศนะของพวกเขานั้นมิไช่เป็นข้อผ่อนปรนแต่มันเป็นหลักกา ร(รู่กุ่น)ของ ศาสนาพวกเขา ซึ่งหลักการต้ากียะฮ์ในทรรศนะของพวกเขานั้นเสมือนกับหลักการของ การละหมาดหรือมีความสำคัญมากกว่านั้น อิลนุบาบะวัยฮฺกล่าว ว่า"หลักการศรัทธาของเราในเรื่องต้ากียะฮ์นั้นเป็นสิ่งจำเป็น(ว ายิบ)ผู้ใดทิ้งหลักการต้ากียะฮ์ก็เสมือนกับเขาทิ้งหลักการละหมา ดเช่นเดียว กัน"(อัลเอี๊ยะติกอดาต 114)
ท่านอิหม่ามญะฟัรอัศศอดิกกล่าวว่า"หากท่านกล่าวว่า ผู้ที่ทิ้งหลักการต้ากียะฮ์เสมือนกับผู้ทิ้ง หลักการละหมาดแล้ว แน่นอนท่านย่อมพูดถูกต้องแล้ว" ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาพาดพิงคำดังกล่าวนี้ไปยังท่านนบีอีกด้วย พวกเขาอ้างว่า ท่าน นบี(ซ.ล.)กล่าวว่า"ผู้ทิ้งหลักการต้ากียะฮ์เสมือนกับเขาทิ้งหลั กการละหมาด" ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังให้ความสำคัญกับหลักการต้ากียะฮ์ เป็นทวีคูณจนกระทั้งพวกเขาเชื่อว่ามันเป็นเก้าในสิบส่วนของศาสน า(ชีอะฮ์)เลยทีเดียว แต่ยังดูเหมือนว่ายังไม่เพียงพอสำหรับพวกเขาเพียงเท่านั้น ดัง นั้นชีอะฮ์จึงทำให้หลักการต้ากียะฮ์เป็นเรื่องของศาสนาและย่อมไ ม่มีศาสนาสำหรับผู้ไม่มีต้ากียะฮ์ให้กับเขา ได้มีรายงานจากหนังสืออุซูลลุกาฟีและ แหล่งอื่น ๆว่า แท้จริงท่านญะฟัรอิบนุมุฮัมหมัดกล่าวว่า "แท้จริงเก้าในสิบส่วนของศาสนานี้อยู่ในการต้ากียะฮ์และย่อมไม่ มีศาสนาสำหรับผู้ไม่มี ต้ากียะฮ์"(อุซูลลุลกาฟียฺ์ เล่ม2 หน้า218/อัลบัรกีย์ หนังสืออัลม่าฮาซิน หน้า259/ว่าซาอิลุชชีอะฮ์ เล่มที่11 หน้า460/อัลมัจญลิซีย์ หนังสือบิฮารุ ลอันวาร เล่ม75 หน้า423 )
ชีอะฮ์ถือว่าการทิ้งหลักการต้ากียะฮ์นั้นเป็นบาปที่ไม่ได้รับกา รอภัยโทษ ถึงขนาดอยู่ในขอบช่ายชีริกต่ออัลเลาะห์ เลยทีเดียว มีนักรายงานฮาดิษของพวกเขา กล่าวว่า"อัลเลาะห์จะทรงอภัยโทษให้กับมุอฺมินในทุก ๆความผิดที่เกิดชึ้นกับเขาทั้งโลกนี้และโลกหน้า เว้นแต่สองประการเท่านั้น(ที่พระองค์จะไม่ทรงอภัยโทษให้)คือการ ทิ้งหลักการต้ากียะฮ์และริดรอนสิทธิของบรรดาพี่น้อง"(ตัฟซีรุลฮ าซันอัลอัซ การียฺ หน้า130 /ว่าซาอิลุชชีอะฮ์ เล่ม11 หน้า474 /บิฮารุลอันวาร เล่ม75 หน้า415)
ความจริงหลักการต้ากียะฮฺในอิสลามนั้นมิได้เป็นแนว ทางและพฤติกรรมในสังคมมุสลิม มิไช่เป็นเอกลักษ์ใด ๆในสังคมอิสลาม แต่ว่ามันเป็นเพียงสภาวะการชั่วคราวเฉพาะบุคคลเท่านั้น หลักการต้ากียะฮ์ ต้องอยู่ในสภาวะคับชัน ต้องเกี่ยวกับสภาวะที่ไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงจากสิ่งชั่วร้าย และตราบใดที่สภาวะการดังกล่าวหายไป ความจำเป็นจำเป็นที่จะ ต้องใช้หลักการต้ากียะฮ์นั้นย่อมหมดไปด้วย
แต่ท่าว่าหลักการต้ากียะฮ์ในแนวทางของชีอะฮ์นั้นถือว่าเป็นเรื่ องปกติวิสัยอยู่ในตัวของมันเอง เพื่อจะเหนี่ยวรั้งแนวทางของชีอะฮ์ให้อยู่ได้ อบูอับดิลลาห์กล่าวว่า"แท้จริงพวกท่านอยู่บนศาสนาหนึ่ง ส่วนผู้ใดที่ซ้อนเร้นมันไว้ อัลเลาะห์จะทำให้ เขาเข้มแข็งและผู้ใดที่ประกาศมันแน่นอน พระองค์จะทำให้เขาตกต่ำ"(อุซูลุลกาฟียฺ เล่ม1 หน้า222 ) ท่านกล่าวอีกว่า"อัลเลาะห์จะทรงไม่ ยอมรับให้กับเราและพวกท่านในศาสนาของพระองค์ นอกจากว่ามีหลักต้ากียะฮ์"(อุซูลุลกาฟียฺ เล่ม2 หน้า218)
หลักการต้ากียะฮ์ใน ทรรศนะของพวกเขานั้น คือสภาพการที่ต้องมีอยู่เป็นเนืองๆ และเป็นพฤติกรรมตายตัวเลยทีเดียว อิบนุบาบะวัยฮูกล่าวยืนยันหลักการดังกล่าว ว่า"หลักการต้ากียะฮ์เป็นสิ่งจำเป็น(วายิบ)ซึ่งไม่อนุญาติให้ยก หลักการดังกล่าวออกไป จนกระทั้ง(อิหม่ามมะฮฺดี)ผู้ยืนหยัด(ไว้ซึ่งคุณธรรม) ปรากฏตัว ดังนั้นผู้ใดที่ละทิ้งหลักการต้ากียะฮ์ก่อนที่เขาจะปรากฏตัวนั้ น แน่นอนเขาย่อมออกจากศาสนาของอิมามียะฮ์และขัดต่ออัเลาะห์ ร่อซูลและ บรรดาอิหม่าม"(อัลเอี๊ยะติกอดาต หน้า114-115)
ตำราต่างๆของชีอะฮ์ได้รายงานจากท่านอลีบินมูซา(อ.)ว่า ท่านกล่าวว่า" ย่อมไม่มีการศัรทธาสำหรับผู้ไม่มีต้ากียะฮ์และแท้จริงผู้ที่มีเ กียรติที่สุดในหมู่พวกเจ้านั้นคือผู้ทำการต้ากียะฮ์" ท่านจึงถูกถามว่า"โอ้หลาน ร่อซูลลุลลอฮ์(การใช้หลักการต้ากียะฮ์นั้น)สิ้นสุดเมื่อใดหรือ? " ท่านกล่าวว่า"เมื่อถึงเวลาที่รู้กันเป็นอย่างดี คือวันที่ผู้ยืนหยัดในคุณธรรม( อิหม่ามมะห์ดี)ของเราได้ปรากฏตัว ดังนั้นใครก็ตามที่ทิ้งหลักการต้ากียะฮ์ก่อนที่เขาจะปรากฏตัวนั ้น เขาย่อมมิใช่พวกเรา"(อิบนุบาบะวัยฮฺ หนังสืออิคมาลุดดีน หน้า355 /อัตฏ่อบัรซีย์ หนังสืออะอฺลามุลว่ารอ หน้า408 /บิฮารุลอันวาร เล่ม75 หน้า412 /อะบุลกอเซ็มอัรรอซี หน้งสือกิฟายะตุ ลอะซัร หน้า323 /ว่าซาอิลุชีอะฮ์ เล่ม11 หน้า465-466)
หลักการต้ากียะฮ์นั้นจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีอะฮ์ในทุกเมืองข องชนมุสลิมีน จน กระทั้งเขาเรียกเมืองอิสลามว่า"เมืองแห่งการต้ากียะฮ์" ได้มีรายงานจากพวกเขาว่า"และหลักการต้ากียะฮ์ในเมืองต้ากียะฮ์น ั้นเป็น สิ่งจำเป็น"(ญามิอุลอิคบาร หน้า110 /บิฮารุลอันวาร เล่ม75 หน้า411)
บ้างก็เรียกว่าอาณาจักรที่ฉ้อฉล พวกเขากล่าวว่า"ผู้ใด ที่ศรัทธาในอัลเลาะห์และวันสุดท้าย เขาจะต้องไม่พูดในอณาจักรที่ฉ้อฉลเว้นแต่ด้วยการต้ากียะฮ์"(ญาม ิอุลอัคบาร หน้า110 /บิฮารุลอันวาร เล่ม75 หน้า412)
บ้างก็เรียกว่า อาณาจักรแห่งผู้อธรรม พวกเขากล่าวว่า"หลักการต้ากียะฮ์เป็นสิ่งจำเป็นต่อพวกเราในอาณา จักร ของผู้อธรรม ดังนั้นใครที่ละทิ้งการต้ากียะฮ์ แท้จริงเขาคือผู้ขัดกับศาสนาอิมามียะฮ์และออกจากแนวทาง"(บิฮารุ ลอันวาร เล่ม75 หน้า412)
หลักต้ากียะฮ์และสังคม
ผู้รู้ชีอะฮ์ต่างย้ำว่า การตำเนินชีวิตร่วมกับอะฮ์ลิสซุนนะฮ์นั้นต้องมีการต้ากียะฮ์ อัลฮุร อัลอามิลีย์ จึงตั้งบทที่ว่าด้วยเรื่อง"ความจำเป็นในการอยู่ร่วมกับชนทั่วไป (คืออะฮ์ลิสซุนนะฮ์)ด้วยหลักการต้ากียะฮ์"(ว่าซาอิลุชชีอะฮ์ เล่ม11 หน้า470)
จากนั้นพวกเขาได้พาดพิงคำดังกล่าวนี้ไปยังอบีอับดิลลาห์(ท่านญะ ฟัรอัศศอดิก)ว่า ท่านกล่าวว่า"ผู้ใดทำการละหมาด ตามพวกเขา(อะฮ์ลิสซุนนะฮ์)ในแถวแรก แน่แท้แล้วเขาเสมือนกับผู้ที่ละหมาดพร้อมกับร่อซูลุลลอฮ์(ซ.ล.) ในแถวแรกเช่นเดียวกัน"(บิฮารุลอันวาร บทว่าด้วยเรื่องต้ากียะฮ์ เล่ม75 หน้า421)และท่านกล่าวอีกว่า"ผู้ใดละหมาดตามหลังพวกมุนาฟิกีน(อะ ฮ์ลิสซุนนะฮ์)ด้วยหลักการต้ากียะฮ์ แน่ นอนเขาย่อมเสมือนกับผู้ละหมาดตามหลังบรรดาอิหม่าม"(ญามิอุลอัคบ าร หน้า110 /บิฮารุลอันวาร เล่ม75 หน้า412)
เจ้าของหนังสือ กัชฟุลฆ่อฏออฺ กล่าวว่า"หลักการต้ากียะฮ์นั้นในขณะที่มีความจำเป็นแล้วเขาได้ท ำอิบาดะฮ์ขัดต่อหลักการต้ากียะฮ์แล้ว อิบาดะฮ์ของเขาย่อมใช้ ไม่ได้" และแท้จริงได้มีการรายงานมากมายที่ส่งเสริมในเรื่องต้ากียะฮ์คง เป็นเพราะหลักต้ากียะฮ์เป็นส่วนหนึ่งจากแนวทางวงศ์วานมุฮัมหมัด และ ผู้ใดไม่มีต้ากียะฮ์ ก็ย่อมไม่มีอิหม่ามสำหรับเขา(ญะอฺฟัรอันนะญะฟีย์ หนังสือกัชฟุลฆ่อฏออฺ หน้า61)
ยิ่งไปกว่านั้นหลักการต้ากียะฮ์ของพวก เขาก็กำลังดำเนินอยู่ ถึงหากแม้ว่าพวกเขาจะไม่มีสิ่งที่จะมาแก้ใขให้ดีก็ตาม ดังนั้นเหตุที่มีการรายงานอันมากมายของพวกเขาในเรื่องต้ากียะฮ์ นี้ มันจึง เป็นหลักยึดที่จะมาส่งเสริมพวกเขาให้ปฏิบัติในเรื่องหลักการต้า กียะฮ์กับบุคคลที่ไว้เนื้อเชื่อใจพวกเขาได้ จนกระทั้งสิ่งดังกล่าวนั้นสามารถหล่อหลอม พวกเขาให้ดูเหมือนว่ามันเป็นเรื่องพฤติกรรมธรรมดาที่ปฏิบัติกัน ได้โดยที่ไม่ต้องมีการเสแสร้งที่จะกระทำมันเลย ได้มีรายงานระบุไว้จากหนังสือพวกเขา ว่า"จำเป็นบนพวกท่านนั้นด้วยหลีกการต้ากียะฮ์เพราะแท้จริงย่อมม ิไช่พวกเราสำหรับผู้ไม่ทำหลักต้ากียะฮ์ให้เป็นสัญลักษณ์กับผู้ท ี่ไว้ใจเขา ดัง กล่าวนั้นเพื่อที่จะให้เป็นสัญชาติญาณในการเตรียมพร้อมของพวกเข าที่จะใช้หลักการดังกล่าวได้ทุกเมื่อ"(อัฏตูซีย์ หนังสือ อะมาลีย์ เล่ม1 หน้า199 /ว่าซาอิลุชชีอะฮ์ เล่ม11 หน้า466 /บิฮารุลอันวาร เล่ม75 หน้า395)
มีรายงานจากหนังสือ อัลกาฟีย์และเล่มอื่นๆ ว่า รายงานจาก มุฮัมหมัดบินมัรวาน จากอบีอับดิลลาห์(ร.ฏ.)ท่านกล่าวว่า"บิดาของฉัน(อ.)กล่าวว่า ไม่มีสิ่งใดที่จะใหัดวงตาของฉันมั่นคงยิ่งไปกว่าการต้ากียะ ฮ์"(อุซูลกาฟีย์ เล่ม2 หน้า220) มีอีกรายงานหนึ่งกล่าวว่า"อัลเลาะห์มิได้สร้างสิ่งใดที่จะทำให้ ดวงตาของฉันมั่นคงยิ่งไปกว่าการต้ากียะ ฮ์"(อิบนุบาบะวัยฮฺ อัลคิซอล หน้า22 /ญามิอุลอัคบาร หน้า110 /อัลบัรกีย์ หนังสืออัลม่าฮาซิน 258 / อัลฮุร อัลอามิลีย์ หนังสือว่าซาอิลุชชีอะฮ์ เล่ม11 หน้า460-464 /บิฮารุลอันวาร เล่ม75 หน้า394)
สิ่งต่างๆเหล่านี้คือคำสอนของหลักการต้ากียะฮ์ในทรรศนะของชีอะฮ ์ เพราะอัลกุลัย นีย์กล่าวว่า "ฮาดิษต่างๆในเรื่องการต้ากียะฮ์นั้นประมวลไว้หลายบทด้วยกัน เช่น บทว่าด้วยเรื่องการต้ากียะฮ์ บทว่าด้วยเรื่องการอำพลาง และ บทว่าด้วยเรื่องการเปิดเผยหลักการ" (อุซูลุลกาฟีย์ เล่ม2 หน้า217) มัจญลิซีย์กล่าวเช่นกันว่า รายงานต่างๆ ของพวกเขามีมากถึง109สาย รายงานด้วยกัน ซึ่งได้กล่าวไว้ในบทที่ว่าด้วยเรื่อง "อัตต้ากียะฮ์วัลม่าดาเราะห์" (บิฮารุลอันวาร เล่ม75 หน้า393-443)
สาเหตุที่ พวกเขาเกินเลยในเรื่องการต้ากียะฮ์
1.ชีอะฮ์เชื่อว่า การเป็นคอลีฟะฮ์ของท่านอบูบักร อุมัร อุษมาน นั้นได้มาอย่างอธรรม พวกเขาและผู้ที่ให้ สัตยาบันกับพวกเขานั้นย่อมถือว่าเป็นกาเฟร แต่พร้อมกันนั้นท่านอลีก็ให้สัตยาบันกับพวกเขา ละหมาดตามหลังพวกเขา ต่อสู้ร่วมกับพวกเขา แต่งาน กับบรรดาสตรีของพวกเขา ในขณะท่านอลีครองอำนาจในการเป็นเป็นคอลีฟะฮ์นั้น ท่านเองก็มิได้เปลี่ยนแปลงสิ่งใดเลยที่ท่านอบูบักรและอุมัรเคย ปฏิบัติกันมา ตามที่ตำราต่างๆของชีอะฮ์ได้กล่าวไว้ สิ่งต่างๆเหล่านี้ย่อมจะมาทำลายแนวทางเดิมของพวกชีอะฮ์ ดังนั้นพวกเขาจึงพยายามที่จะทำให้ ออกจากประเด็นข้อขัดแย้งดังกล่าวที่มีอยู่ตำราต่างๆของพวกเขาเอ งด้วยการกล่าวว่า มันเป็นเพียงการต้ากียะฮ์เท่านั้นเอง
2.พวกเขาอ้างว่า บรรดาอิหม่ามนั้นคือผู้ที่ได้รับการปกป้องจากความผิด ไม่หลงลืม และไม่ผิดพลาด ข้ออ้างดังกล่าวนี้มันไปขัดแย้งกับสิ่งที่รู้กันดีในสภาพการณ์ข อง บรรดาอิหม่ามของพวกเขา จนกระทั้งได้มีรายงานต่างๆของชีอะฮ์เองที่พาดพิงไปยังอิหม่ามขอ งพวกเขานั้นมีสายรายงานเกิดการขัดแย้งกันขึ้นอย่าง มากมายจนกระทั้งไม่มีฮาดิษใดเลยที่ถูกรายงานมานอกจากเสียว่าจะม ีฮาดิษอีกตัวบทหนึ่งมาขัดแย้งกันอยู่เสมอ ซึ่งเชคฺอัฏตูซีย์เองก็ยอมรับในสิ่ง เหล่านี้ไว้ในบทนำของหนังสือ"ตะฮ์ซีบุลอะฮ์กาม"ของเขาเช่นกัน
ดังนั้น พวกชีอะฮ์จึงอ้างการต้ากียะฮ์เพื่อที่จะแก้ต่างในเรื่อง การขัดแย้งกันเองและปกปิดความโกหกของพวกเขา เจ้าของหนังสืออัลกาฟียฺได้รายงานจากมันซูนบินฮัซมินว่า เขากล่าวว่า "ฉันกล่าวกับอบี อับดิลลาห์(อ.)ว่า "ฉันไม่คิดว่า ฉันจะถามท่านกับปัญหาหนึ่ง ๆ จากนั้นท่านจึงตอบฉันในปัญหานั้นๆเพียงคำตอบเดียว หลังจากนั้นมีคนอื่นมา ถามท่าน แล้วท่านก็ตอบปัญหาเดียวกันนั้นด้วยคำตอบอื่นอีก!? ดังนั้นท่านอบีอับดิลและห์กล่าวแย้งว่า"แท้จริงเราได้ให้คำตอบก ับผู้คนทั้งหลาย บนการเพิ่มและการลดหย่อน(อุซูลุลกาฟียฺ เล่ม1 หน้า65) ผู้อธิบายหนังสืออัลกาฟียฺกล่าวว่า ความหมายก็คือ การเพิ่มฮุกุ่มบนหลักการต้ากียะฮ์และลด ย่อนฮุกุ่มในขณะที่ไม่มีมัน" ดังนั้นสิ่งดังกล่าวจึงไม่ไช่เป็นการอ้างว่ามีการหลงลืมแน่การไ ม่รู้ของบรรดาอิหม่าม แต่พวกเขารู้ดีว่า การขัดแย้ง ในคำกล่าวของพวกเขานั้นเป็นส่งที่ดีกว่าสำหรับพวกเขาที่จะนำซึ่ งผลประโยชน์ที่มากกว่าเพื่อที่จะให้ชีวิตของพวกเขาตำรงอยู่ได้ เพราะถ้าหากพวก เขาตอบให้สอดคล้องกัน(ในคำถามเดียว)แล้ว แน่นอนพวกเขาจะต้องได้รับการเปิดเผยเกี่ยวกับความนิยมในชีอะฮ์ ซึ่งดังกล่าวจะนำมาซึ่งการสังหาร พวกเขาและบรรดาอิหม่ามของพวกเขาได้"(อัลมาซินดะรอนีย์ หนังสือชัรฮุลญาเมี๊ยะ เล่ม2 หน้า379)
เพราะเหตุดังกล่าวนี้ เชคุสุไล มานอิบนุญะรีรซึ่งท่านเป็นชีอะฮ์ซัยดียะฮ์ได้วิจารณ์เกี่ยวกับค ำกล่าวในเรื่องหลักการต้ากียะฮ์ที่ถูกนำมาเสนอมาข้างต้นนี้ว่า "แท้จริงหลักการ ต้ากียะฮ์นั้น มันเป็นเพียงเพื่อปกปิดการขัดแย้งกันเองที่เกิดขึ้นต่างหากเพรา ะในขณะที่พวกเขาเห็นคำกล่าวต่างๆของบรรดาอิหม่ามในปัญหาใดปัญหา หนึ่งนั้น พวกเขาจะพบว่ามันจะมีคำตอบจากบรรดาอิหม่ามที่ขัดแย้งกันอย่างมา กมาย หรือมีปัญหาข้อชีขาดที่มากมายแต่ได้รับคำตอบที่ตรงกัน(ทั้งที่ ประเด็นปัญหาต่างกัน) ดังนั้นในขณะที่พวกเขารู้ถึงสิ่งดังกล่าว(คือการเกิดข้อขัดแย้ง ขึ้น)นั้น บรรดาอิหม่ามก็จะกล่าวกับพวกเขาว่า" แท้จริงเรา ได้ให้คำตอบแบบนี้เพราะการต้ากียะฮ์และเราจะตอบในสิ่งที่เราต้อ งการจะตอบ เพราะสิ่งดังกล่าวนั้นย่อมส่งผลมายังเราและเราย่อมรู้ในสิ่งที่ มี ประโยชน์สำหรับพวกเจ้า และในสิ่งดังกล่าวนั้นจะทำให้เราและพวกเจ้าคงอยู่และสามารถยับย ั้งศรัตรูของพวกเจ้าได้" ท่านเชคฺสุไลมานอิบนุญะ รีรกล่าวเสริมอีกว่า"เมื่อไหร่หรือ? ที่จะรู้ว่าพวกเขาโกหกและเมื่อไหร่หรือ?ที่ความสัจจริงและความเ ท็จจะประจักษ์กับพวกเขา!?(อัลกุมมีย์ หน้ง สืออัลม่ากอลาตวัลฟิร๊อก หน้า78 /อันนุบัคตี หนังสือฟิร๊อกกุชชีอะฮ์ หน้า65-66)
3.เพื่อสนองความต้องการของผู้ที่โกหกต่อบรรดาอิหม่าม และพยายามที่จะหน่วงเหนี่ยวข้อเท็จจริงในแนวทางอะฮ์ลิลบัยต์ โดยที่พวกเขาจะสร้างความครางเครงให้กับผู้เจริญรอยตามอะฮ์ลิลบั ยต์ ว่าสิ่งที่พวก เขาได้รายงานและถ่ายทอดมาจากบรรดาอิหม่ามและเป็นแนวทางของพวกเข า และพวกเขายังกล่าวอีกว่า เป็นสิ่งที่รู้กันดีจากอิหม่ามจากบรรดาอิหม่าม สิ่งที่บรรดาอิหม่ามได้กล่าวหรือได้กระทำต่อหน้าบรรดามุสลิมมีน ที่วไปนั้นมิไช่เป็นการดำเนินตามแนวทางของพวกเขาที่แท้จริง แต่พวกเขาทำไปเพียง เพราะต้ากียะฮ์ดเท่านั้นเอง ดังนั้นจึงเป็นการง่ายต่อพวกเขาที่จะรายงานขัดแย้งกับคำกล่าวต่ างๆของบรราดอิหม่าม สามารถที่จะซ่อนเร้นคำกล่าวและ โกหกการรายงานข้อเท็จจริงจากบรรดาอิหม่ามด้วยการหลวกลวงอันนี้
ท่านจะพบเสมอว่าพวกเขาจะรายงานค้านกับคำกับรรดาอิหม่ามมุ ฮัมมัดบากิรและอิหม่ามศอดิกในคำกล่าวของท่านทั้งสองที่เคยกล่าว ได้ต่อหน้าชนมุสลิมีนอยู่เสมอ
จึงไคร่อยากที่จะยกตัวอย่างสักสองสาม ตัวอย่างจากสิ่งดังกล่าวว่า แท้จริงท่านอิหม่ามเซ้ดบินอลี(ร.ฏ.)ซึ่งเป็นผู้หนึ่งจากอะฮ์ลิล บัยต์ได้รายงานจากท่านอิหม่ามอลี(อ.)ว่า"ท่านอลีได้ล้าง เท้าของท่านทั้งสองในการอาบน้ำละหมาด" รายงานดังกล่าวนี้ถูกกล่าวไว้ในตำราของชีอะฮ์อิมามียะฮ์เอง แต่ผู้ที่ชีอะฮ์ได้ให้สมญานามว่า เชคุ อัตตออิฟะฮ์(อัตตูซีย์)นั้นก็ไม่รับกับฮาดิษนี้ แต่เขาเองก็ไม่มีหลักฐานใดที่จะอ้างในการไม่รับฮาดิษนี้นอกจากเ ขาอ้างว่ามันเป็นเพียงต้ากียะฮ์เท่านั้นเอง ดังนั้นเขาจึงนำเสนอกับฮาดิษที่ถูกกล่าวไว้ในหนังสืออัลอิสติบซ อร จากท่านเซ้ดบินอลี(อ.)ซึ่งได้รายงานจากปู่ของเขาว่าคืออลีบินอบ ีฏอลิบ(อ.)ว่า ท่านกล่าวว่า"ขณะที่ฉันนั่งทำวุ้ดุอฺอยู่นั้น ท่านนบี(ซ.ล.)หันมามองที่ฉันในขณะที่ฉันเริ่มทำวุ่ดุอฺ........ ....ท่านอลีกล่าวว่า....และฉันได้ล้างเท้าของ ฉันทั้งสอง ดังนั้นท่านร่อซูล(ซ.ล.)กล่าวกับฉันว่า โอ้ อลี เธอจงสรางระหว่างนิ้วเท้าของเจ้า แต่อย่าสรางมันด้วยไฟ(นรก)" (อัลอิสติบซอร เล่ม1 หน้า65-66)ท่านจะเห็นได้ว่า แท้จริงท่านอลีนั้นล้างเท้าของท่านทั้งสองในขณะทำวุดุอฺและร่อซ ูลุลลอฮ์ (ซ.ล.)ได้ย้ำให้ท่านอลีสรางนิ้วของท่านด้วย แต่ ชีอะฮ์ขัดแย้งต่อซุนนะฮ์ร่อซูลุลลอฮ์และทางนำท่านอลีในสิ่งดังก ล่าว แต่ชีอะฮ์เองก็ไม่เหลียวมองสายรายงานดังกล่าวเลยถึงแม้ว่าสายรา ยงานนั้นมา จากอะฮ์ลิลบัยต์และได้ถูกบันทีกอยู่ในตำราต่างๆของชีอะฮ์เอง แต่บรรดาผู้รู้อวุโสของชีอะฮ์เองก็มิได้ถือเป็นภาระที่หนักใจใด ๆที่จะพิจารณาและ วิเคราะห์ในสายรายงานขัดแย้งต่างๆจากอะฮ์ลิลบัยตฺเหล่านี้ เป็นเพราะว่า ณ.ที่พวกเขามีหลักฐานและคำกล่าวอ้างที่ตระเตรียมเอาไว้แล้ว นั่นก็คือ หลัก การต้ากียะฮ์นั่นเอง
ด้วยเหตุนี้อัตตูซีย์จึงกล่าวว่า"นี้คือฮาดิษที่สอดคล้องกับชนท ั่วไป(อะฮ์ลิสซุนนะฮ์)เหตุที่รายงานมานั้นเป็นเพราะ เพียงต้ากียะฮ์ เพราะเป็นสิ่งที่รู้กันอย่างไม่ต้องสงสัยในแนวทางของอะฮ์ลิลบัย ตฺ(อ.)ที่กล่าวว่าให้เช็ดเท้าทั้งสอง(ในวุดุอฺ)" เขากล่าวเสริมอีก ว่า"แท้จริงนักรายงานฮาดิษนี้นั้น ทั้งหมดเป็นชนทั่วไป(อะฮ์ลิสซุนนะฮ์)และเป็นนักสายรายงานของชีอ ะฮ์อัซซัยดียะฮ์และสิ่งที่พวกเขาเจาะจง นำมาเสนอนั้นย่อมไม่สามารถที่จะนำมาปฏิบัติได้(อัลอิสติบซอร เล่ม1 หน้า65-66)จากนั้นอัตตูซียฺได้นำสายรายงานมาเสนอจากท่านญะฟัรอั ศศอ ดิก(อ.)ในตัวบทที่ระบุว่า ท่านล้างเท้าทั้งสองในวุดุอฺ และเขา(ตูซีย์)ได้ตีความว่า การกระทำของท่านนั้นเพราะต้ากียะฮ์(อำพราง)(อัลอิสติบซอร เล่ม1 หน้า65)
เช่นเดียวกันเขาได้นำสายรายงานเรื่องอาซานซุบฮฺว่า"อัศศ่อลาตุค ้ยรุมมินันเนามฺ"ซึ่งตรงกับอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ แต่เขา ถือว่าการรายงานดังกล่าวเป็นเพียงต้ากียะฮ์เท่านั้นเอง(อัลอิสต ิบซอร เล่ม1 หน้า308)
และอีกเช่นเดียวกันในเรื่องของการแบ่งมรดก ซึ่งพวก เขากล่าวว่า สตรีจะไม่ได้รับมรดกในส่วนที่เป็นอสังหาริมทรัพย์ เช่นบ้าน ที่ดินเป็นต้น (อัลอิสติบซอร เล่ม4หน้า151-155)ในขณะที่พวกเขาเองก็มีตัว บทจากบรรดาอิหม่ามมาขัดแย้งกับสิ่งดังกล่าว คือฮาดิษที่รายงานโดย อบีญะฟัร จากอบีอับดิลลาห์(อ.)เขากล่าวว่า"ฉันได้ถามท่านเกี่ยวกับ ชายคนหนึ่งว่า เขาสามารถจะรับมรดกในส่วนที่เป็นบ้านของภรรยาเขาเขาและที่ดินขอ งภรรยาของเขาได้หรือไม่?หรือว่าส่วนดังกล่าวนั้นเป็นส่วนของ ภรรยา ดังนั้นเขาจะไม่มีสิทธิ์รับส่วนนั้นเลยหรือ? ท่านญะฟัร(อ.)กล่าวว่า"เขาสามารถรับมรดกของภรรยาของเขาได้และภร รยาก็สามารถรับ มรดกจากสามีของนางได้เช่นกันจากสิ่งที่นางและเขาได้ทิ้งไว้ให้" (อัลอิสติบซอร เล่ม4 หน้า154) อัตฏูซีย์กล่าวว่า"เราตีความฮาดิษนี้ กล่าวบนหลักการต้ากียะฮ์ เพราะผู้ที่ขัดแย้งกับเราทั้งหมดนั้น(คืออะฮ์ลิสซุนนะฮ์)ซึ่งพว กเขาย่อมขัดแย้งกับเราในปัญหานี้ด้วยและเราเองก็มิได้มีแนว ทางที่จะในสอดคล้องกับชนทั่วไปเลย(อะฮ์ลิสซุนนะฮ์)และสิ่งที่ดำ เนินกันอยู่เช่นนี้จึงอนุญาติใข้หลักการต้ากียะฮ์ได้"
เรื่องการนิกะฮ์ อีกเช่นเดียวกัน ได้มีรายงานต่างๆจากพวกเขาในเรื่องการห้ามทำนิกะฮ์มุตอะฮ์ มีรายงานจากตำราของชีอะฮ์อิมามิยะฮ์ จากท่านเซดบินอลี ซึ่ง รายงานจากปู่ของท่านจากท่านอลีบินอบีฏอลิบว่า"ร่อซูลุลลอฮ์ได้ห ้ามในวันพิชิตค๊อยบัรกับเนื้อลาบ้านและการทำนิกะฮ์มุตอะฮ์"(อัต ฏูซีย์ หนังสือตะฮ์ซีบุลอะฮ์กาม เล่ม2หน้า184 /อัลอิสติบซอร เล่ม3หน้า132 /ว่าซาอิลุชชีอะฮ์ เล่ม7 หน้า441)
ผู้รู้ชั้นอวุโสของชีอะฮ์คือ อัลฮุร อัล อามีลีย์ กล่าวว่า"ฉันขอกล่าวว่า อัชเชคฺ(ตูซีย์)และท่านอื่นๆได้ตีความฮาดิษนี้บนหลักการต้ากียะ ฮ์เพราะว่าการอนุญาตินิกะฮ์มุตอะฮ์นั้นเป็นสิ่งจำ เป็น(ที่จะต้องอยู่)ในมัซฮับอิมามียะฮ์"(ว่าซาอิลุชชีอะฮ์ เล่ม7หน้า441)
4.การวางหลักการต้ากียะฮ์นั้นเพื่อให้ชีอะฮ์ปลีกตั วออกจากมุสลิ มีน ได้มีรายงานจากพวกเขาที่เกี่ยวกับประเด็นนี้ว่า ท่านญะฟัรอัศศอดิกกล่าวว่า "สิ่งที่ท่านได้ยินจากฉันที่คล้ายกับคำกล่าวของชนทั่วไปนั้น ย่อมเป็นการต้ากียะฮ์ และสิ่งใดที่ท่านได้ยินจากฉันไม่เหมือนกับคำกล่าวของชนทั่วไปนั ้น ย่อมไม่ไช่เป็นการต้ากียะฮ์"(บิฮารุลอันวาร เล่ม2 หน้า252)
ผลที่ได้จากการต้ากียะฮ์ของชีอะฮ์
ดังนั้นแนวทางดังกล่าวจึงถือว่าอันตราย การนำมาปฏิบัตินั้นย่อมทำให้ชีอะฮ์ออกจาก แนวทางของอิสลามและสามารถที่จะเป็นแนวทางที่ทำให้พวกเขาออกจากศ าสนา เพราะพวกเขาเองได้กระทำให้การขัดแย้งต่อชนมุสลิมีนนั้นเป็น กฏเกณฑ์หลักเลยทีเดียว ดังนั้นผลที่เกิดชึ้นตามมาก็คือ พวกเขาจะมีแนวทางที่สอดคล้องกับพวกกาเฟรและขัดแย้งต่อชนมุสลิมี น ดังนั้นท่านลอง พิจารณาดูเถอะว่า แว่มุมใดบ้างที่พวกนอกศาสนาได้มีบทบาทต่อพวกเขาในยุคสมัยแรกๆ
ส่วนหนึ่งจากหลักการต้ากียะฮ์นี้จึงส่งผลต่อการ ริดรอนแนวทางของพรรดาอิหม่ามในทรรศนะของชีอะฮ์จนกระทั่งบรรดาผู ้รู้ชั้นอวุโสของพวกเขานั้นไม่สามารถที่จะปฏิบัติต่อแนวทางของช ีอะฮ์ได้มาก มายนักเพียงเพราะพวกเขาไม่รู้ว่า คำกล่าใดเป็นต้ากียะฮ์(อำพราง)หรอฮากีกะฮ์(สัจจริง)กันแน่
เจ้าของหนังสือ อัลฮะดาอิค กล่าวยอมรับว่า แท้จริงฮุกุ่มต่างๆในศาสนาของชีอะฮ์นั้นไสามารถที่จะล่วงรู้ได้ เว้นแต่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ดังกล่าวเนื่องจากสาเหตุของการใช้หลักการต้ากียะอ์ด้วย การผสมผสานกันระหว่างฮาดิษที่แท้จริงกับบรรดาฮะดิษที่ต้ากียะฮ์ (ยูซุฟอัลบะฮ์รอนี หน้งสือ อัลฮะดาอิค เล่ม1 หน้า5)ดังนั้นเมื่อเรามองด้วยตาใจแห่ง การพิเคราะห์แล้ว เราจะพบว่าหลักการต้ากียะฮ์ที่พวกเขาใช้กันอยู่นั้นไม่เกี่ยวข้ องกับสภาวะในยามขับขัน!
ชีอะฮ์ยังอ้างอีกว่า บรรดา อิหม่ามของพวกเขานั้นได้ทำการฟัตวา(ตัดสินข้อชี้ขาด)ในเรื่องที ่ห้ามในสิ่งที่อนุมัติและอนุมัติในสิ่งที่ต้องห้าม ด้วยนัยแห่งหลักการต้ากียะฮ์ มีรายงาน จากหนังสือ อัลกาฟีย์ จากอะบานอินตัฆลิบ เขากล่าวว่า "ฉันได้ยินอบูอับดุลลอฮ์ กล่าวว่า"บิดา(อ.)ของฉันทำการตัดสินข้อชี้ขาดในสมัย บนีอุมัยยะฮ์ว่า สัตว์ที่นกเหยี่ยวล่ามาได้นั้นเป็นสิ่งที่ฮาลาลในลักษณะที่ท่าน ทำการต้ากียะฮ์ และฉันไม่ต้องทำการต้ากียะฮ์ และฉันไม่ต้องการต้ากียะฮ์( ในลักษณะที่สามารถวินิจฉัยได้ว่า)สิ่งที่เยี่ยวล่ามาได้นั้นเป็ นสิ่งที่ต้องห้าม"(ฟุรั๊วอุลกาฟีย์ เล่ม6 หน้า207)
ย่อมเป็นการชี้ชัดว่าหลัก การต้ากียะฮ์นั้นไม่ไช่สิงใดเลยนอกจากเป็นเพียงการโกหกเท่านั้น กุลัยนีย์ได้รายงานจากมุฮัมมัดบินมุสลิมว่า"ฉันได้เข้าไปหาอบีอ ับดิลลาห์(ญะ ฟัรซอดิก)(อ.)ซึ่งมีอบูฮานีฟะฮ์(อิหม่ามฮานาฟี)นั่งอยู่ด้วย ดังนั้นฉันถามท่าน(อิหม่ามซอดิก)ว่า"ฉันได้ฝันเห็นเหตุการณ์ที่ แปลกมาก" ท่านจึงถามฉันว่า"โอ้ อิบนิมุสลิม เจ้าจงบอกมาซิ เพราะผู้ที่รู้ดีเกี่ยวกับการทำนายฝันนั่งอยู่"และท่านก็ชี้มือ ไปที่อบูฮานีฟะฮ์ ดังนั้นอิบนิ มุสลิมจึงเล่าความฝันให้ท่านอบูฮานีฟะฮ์ฟัง ท่านจึงตอบ(ทำนาย)เกี่ยวกับความฝันนั้นแก่เขา อบูอับดิลลาห์กล่าวว่า"ฉันขอสาบานต่ออัลเลาะห์ โอ้ อบูฮานีฟะฮ์ ว่าแท้จริงท่านนั้นทำนายถูกแล้ว" หลังจากนั้นฉันจึงกล่าวกับอบีอับดุลลาห์หลังจากที่อบูฮานีฟีะฮ์ ลากลับ ว่า"ฉันไม่ชอบ การทำนายฝันของผู้เป็นปรปักษ์ผู้นี้เลย" ท่านญะฟัร(อ.)กล่าวว่า"โอ้ อิบนุมุสลิม อัลเลาะห์ไม่ทรงอธรรมกับเจ้าหรอก ดังนั้นการทำนาย ฝันของเขาย่อมไม่สอดคล้องกับเราและการทำนายฝันของเราย่อมไม่สอด คล้องกับเขา การทำนายฝันที่ถูกต้องนั้นไม่ไช่ตามที่เขาได้ทำนายไว้" ฉันจึงถามท่านว่า"แล้วคำกล่าวของท่านเมื่อครู่นี้ล่ะครับ ที่วา"เขาทำนายถูกต้องและท่านก็สาบานยืนยันด้วยแต่หลังจากนั้นท ่านก็บอกว่า เขาทำนายผิด มันเป็นอย่างไรกันหรือ?? ท่านตอบว่า"ไช่แล้วล่ะ! ฉันสาบานยืนยันต่อเขาว่า เขานั้นแหละที่ผิดต่างหากล่ะ!"(หนังสือ เรา เฏาะตุลกาฟีย์ เล่ม8 หน้า292 ตีพิมพ์ที่อิหร่าน)
ดังนั้นการใช้หลักการต้ากียะฮ์ในตัวบทนี้นั้น จะเป็นที่อนุญาติได้อย่างไร!?? ท่านอบูฮะนีฟะฮ์เป็นผู้ที่มี อำนาจหรือ!?? จนกระทั่งทำให้อิหม่ามญะฟัร(อ.)เกรงกลัวเขาและใช้หลักการต้ากีย ะฮ์กับเขา!!! และจำเป็นด้วยหรือที่ท่านญะฟัรอัศศอดิกจะต้องให้ การสรรญเสริญและสาบานยืนยันว่า อบูฮานีฟะฮ์นั้นทำนายฝันถูกต้อง หลังจากนั้นเมื่อเขาออกไป กลับฮุกุ่มว่าเขาเป็นปรปักษ์และผิดพลาดในการ ทำนายฝันนั้น นี่!เป็นการโกหกและหลวกลวงที่ไม่อนุญาติให้กระทำได้ในอิสลาม และเราขอยืนยันว่า ท่านอิหม่ามญะฟัร(อ.)นั้นย่อมพ้นพันธะจากการ โกหกเช่นนี้ และขอยืนยันเช่นเดียวกันว่า อิบนุมุสลิมคือผู้มุสาและติหนิท่านญะฟัร(อ.) ทั้งที่เขาเองก็อ้างว่าเจริญรอยตามและมีความอาลัยรักต่อท่าน
อัล เลาะห์(ซ.บ.)ตรัสไว้ว่า"พวกเขาคิดลวงอัลเลาะห์และบรรดาผู้ศรัทธ าและพวกเขาหาได้ล่วงรู้ไม่นอกจากตัวของพวกเขาเองเท่านั้น แต่พวกเขาก็ หาสำนึกไม่"2: 9
หลักตะกียะฮ์ของชีอะฮ์ By: นูรุ้ลอิสลาม Date: ต.ค. 27, 2006, 06:33 AM
นี่ก็แสดงว่า หลักตะกียะฮ์ ตามทัศนะของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์กับชีอะฮ์อัรรอฟิเฏาะฮ์มีความแตกต่างกัน เนื่องจากการตะกียะฮ์ของชีอะฮ์ พลิกแพลงและมีลูกเล่นเยอะ จนกระทั่งว่า ชีอะฮ์ไม่น่าคบและไม่น่าร่วมงานเลยทีเดียว
หลักตะกียะฮ์ของชีอะฮ์ By: al-azhary Date: ม.ค. 10, 2007, 03:28 AM
ก็หนักใจเหมือนกันครับ หากคบค้าสมาคมกันในรูปแบบนี้
Re: หลักตะกียะฮ์ของชีอะฮ์ By: Kamarutdin Date: ม.ค. 10, 2007, 03:32 PM
ผมว่ามันไม่น่าคบตั้งแต่ขึ้นต้นด้วยชีอะห์แล้วละครับ
หลักตะกียะฮ์ของชีอะฮ์ By: al-azhary Date: ม.ค. 10, 2007, 09:03 PM
ความเป็นธรรมต่อผู้อื่น ไม่มีในอุดุมการณ์ของชีอะฮ์ หากเขาสามารถเอาผลประโยชน์จากผู้อื่นได้ นี่คือเรื่องจริงที่พบมาด้วยตนเอง
Re: หลักตะกียะฮ์ของชีอะฮ์ By: Mannan Date: พ.ค. 02, 2007, 03:55 PM
ถ้าคุณทั้งหลายไม่ยอมตะกียะห์แล้วทำไมคุณต้องใส่เสื้อผ้า คุณก็อย่าใส่สิ คุณอย่าสวมหมวกสิ คุณอย่าใส่กางเกงในสิ ถ้าคุณไม่ตะกียะห์ คุณก็อย่าไปนั่ง KFC แล้วอย่าใช้ช้อนสิ เวลาไปส่งจดหมายส่งธนานัติ บอกเขาด้วยว่าไม่ตจ้องใส่ซอง ก็เพราะว่ามีแต่คนอย่างพวกคุณไง เราชีอะห์ถึงต้องทำการตะกียะห์ พี่น้องอะห์ซุนนะห์แถวบ้านผมเขาไม่เหมือนพวกคุณ พวกคุณมันปิดโลกของตัวเองคิดจะไม่คบค้าสมาคมกับชีอะห์ เวลาผมไปนมาซที่มัสยิดที่นั่นแถวบ้านผมเขารับได้ และไม่จำเป็นเลย ผมไม่เคยตะกียะห์เลย ผมนมาซ 3เวลา ผมนมาซปล่อยมือ ผมยอมรับ ที่ศูนย์กลางอิสลามผมไปนมาซวันศุกร์หลายครั้งที่นั่นไม่เคยตะกียะห์ แต่ถ้าผมเจอพวกคุณคงต้อง
ตะกียะห์แน่ๆๆเลย
วัสลาม
หลักตะกียะฮ์ของชีอะฮ์ By: al-azhary Date: พ.ค. 02, 2007, 07:12 PM
ที่ศูนย์กลางอิสลามผมไปนมาซวันศุกร์หลายครั้งที่นั่นไม่เคยตะกียะห์ แต่ถ้าผมเจอพวกคุณคงต้อง
ตะกียะห์แน่ๆๆเลย
ตามหลักการของชีอะฮ์นั้น จะไปละหมาดศุกร์ที่ศูนย์กลาง ย่อมใช้ไม่ได้ เพราะจะละหมาดตามอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ไม่ได้ นอกจากใช้หลักตะกียะฮ์ เนื่องจากการที่ชีอะฮ์ละหมาดตามหลักอะฮ์ลิสซุนนะฮ์แบบตะกียะฮ์นั้น มันมีผลบุญอีกรูปแบบหนึ่งที่ชีอะฮ์จะได้รับ
Re: หลักตะกียะฮ์ของชีอะฮ์ By: Mannan Date: พ.ค. 03, 2007, 12:39 PM
[/quote]
ตามหลักการของชีอะฮ์นั้น จะไปละหมาดศุกร์ที่ศูนย์กลาง ย่อมใช้ไม่ได้ เพราะจะละหมาดตามอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ไม่ได้ นอกจากใช้หลักตะกียะฮ์ เนื่องจากการที่ชีอะฮ์ละหมาดตามหลักอะฮ์ลิสซุนนะฮ์แบบตะกียะฮ์นั้น มันมีผลบุญอีกรูปแบบหนึ่งที่ชีอะฮ์จะได้รับ
[/quote]
ใครบอกคุณว่าใช้ไม่ได้ นมาซตามในรูปแบบญามาอะห์ได้แต่ตามการปฏิบัติไม่ได้ เช่น นมาซตาม แต่ ชีอะห์ปล่อยมือ
หลักตะกียะฮ์ของชีอะฮ์ By: al-azhary Date: พ.ค. 03, 2007, 06:56 PM
ใครบอกคุณว่าใช้ไม่ได้ นมาซตามในรูปแบบญามาอะห์ได้แต่ตามการปฏิบัติไม่ได้ เช่น นมาซตาม แต่ ชีอะห์ปล่อยมือ
หลักเดิมแล้วใช้ไม่ได้ แต่การที่ใช้ได้นั้น โดยมีการตะกียะฮ์เข้ามาร่วมด้วย
Re: หลักตะกียะฮ์ของชีอะฮ์ By: isma-il Date: พ.ค. 03, 2007, 08:38 PM
นี่ก็แสดงว่า หลักตะกียะฮ์ ตามทัศนะของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์กับชีอะฮ์อัรรอฟิเฏาะฮ์มีความแตกต่างกัน เนื่องจากการตะกียะฮ์ของชีอะฮ์ พลิกแพลงและมีลูกเล่นเยอะ จนกระทั่งว่า ชีอะฮ์ไม่น่าคบและไม่น่าร่วมงานเลยทีเดียว
ก็หนักใจเหมือนกันครับ หากคบค้าสมาคมกันในรูปแบบนี้
ผมว่ามันไม่น่าคบตั้งแต่ขึ้นต้นด้วยชีอะห์แล้วละครับ
ความเป็นธรรมต่อผู้อื่น ไม่มีในอุดุมการณ์ของชีอะฮ์ หากเขาสามารถเอาผลประโยชน์จากผู้อื่นได้ นี่คือเรื่องจริงที่พบมาด้วยตนเอง
หลังจากพยายามอ่านแล้ว เห็นด้วยกับสิ่งที่ยกมานี้ทั้งหมด
Re: หลักตะกียะฮ์ของชีอะฮ์ By: นูรุ้ลอิสลาม Date: พ.ค. 04, 2007, 12:00 PM
หลักตะกียะฮ์ ใช้ยามคับขัน อันนี้ไม่มีปัญหาครับ แต่ชีอะฮ์ใช้พร่ำเพรื่อ อันนี้น่ากลัวครับ เพราะพวกเขาจะนำมาใช้อำพรางกับพี่น้องมุสลิมทั่ว ๆ ไป
Re: หลักตะกียะฮ์ของชีอะฮ์ By: Mannan Date: พ.ค. 04, 2007, 08:21 PM
ขออัลลอฮทรงสาปแช่งผู้โกหก ใครบอกคุณว่าพร่ำเพรื่อ เดี๋ยยวนี้นะผมจะบอกอะไรคุณ ถ้าไม่ใช่ที่ที่เขาต่อต้านกับชีอะห์จริงๆๆอะนะ ไม่มีเหตุผลที่จะ ตะกียะห์ ศูนย์กลางไม่เคยตะกียะห์ วัลลอฮ
ยุคนี้มันคนละยุคกันแล้ว ไม่ใช่ยุคที่ห้ามบันทึกฮะดีษที่มาจาก อะห์ลุลบัยต์นะ
ดังนั้น ชีอะห์ในประเทศไทย 100 เปอร์เซ็น จะไม่ตะกียะห์ ในสถานที่ที่ไม่ต่อต้าน
วัสลาม
Re: หลักตะกียะฮ์ของชีอะฮ์ By: isma-il Date: พ.ค. 04, 2007, 08:37 PM
ขออัลลอฮทรงสาปแช่งผู้โกหก ใครบอกคุณว่าพร่ำเพรื่อ เดี๋ยยวนี้นะผมจะบอกอะไรคุณ ถ้าไม่ใช่ที่ที่เขาต่อต้านกับชีอะห์จริงๆๆอะนะ ไม่มีเหตุผลที่จะ ตะกียะห์ ศูนย์กลางไม่เคยตะกียะห์ วัลลอฮ
ยุคนี้มันคนละยุคกันแล้ว ไม่ใช่ยุคที่ห้ามบันทึกฮะดีษที่มาจาก อะห์ลุลบัยต์นะ
ดังนั้น ชีอะห์ในประเทศไทย 100 เปอร์เซ็น จะไม่ตะกียะห์ ในสถานที่ที่ไม่ต่อต้าน
วัสลาม
เพราะเขาไม่สนใจ หรือ เขาไม่รู้หรือปล่าว น้องมันนาน ถ้าเขารู้เขาคงจะ........
หลักตะกียะฮ์ของชีอะฮ์ By: al-azhary Date: พ.ค. 04, 2007, 09:18 PM
ยุคนี้มันคนละยุคกันแล้ว ไม่ใช่ยุคที่ห้ามบันทึกฮะดีษที่มาจาก อะห์ลุลบัยต์นะ
อะฮ์ลิสซุนนะฮ์ก็มีสายรายงานของอะฮ์ลิลบัยต์ ไม่ได้มีการห้ามรายงานจากอะฮ์ลิลบัยต์เลยครับ แม้กระทั่งสายรายงานของท่านซัยยิดินา อะลี มีมากกว่า สายรายงานของ ท่านอบูบักร ท่านอุมัร และท่านอุษมาน เสียอีก นั่นเป็นเพราะว่า ท่านอะลี อยู่ในช่วงสมัยที่นานกว่า มีการรายงานได้มากกว่า และอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ก็ไม่ห้ามในการรายงานจากอะฮ์ลิลบัยต์ และเท่าไหร่แล้ว ที่อะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ได้รายงานหะดิษถึงคุณงามความดีของอะฮ์ลิลบัยต์ เพราะฉะนั้น การตะกียะฮ์จึงไม่มีผลเกี่ยวกับเรื่องนี้
Re: หลักตะกียะฮ์ของชีอะฮ์ By: Mannan Date: พ.ค. 05, 2007, 12:08 AM
แล้วถ้าเป็นอย่างที่คุณพูด จริงละก็ คุณก็มาเป็นชีอะห์ดิ ถ้าคุณรักอะห์ลุลบัยต์ (อ) เพราะสายซุนนี่น้อยนักที่จะพูดถึงอะห์ลุลบัยต์(อ)
และถ้าคุณรายงานถึงคุณงามความดีของอะห์ลุลบัยต์ แล้วไปแย่งตำแหน่งของอะลี(อ) ทำไม ไปขอบัยอะห์จากท่านอะลี(อ)ถึง
บ้าน พอท่านอะลีผฮ)ไม่ให้ก็ทำร้ายท่าน จับกุมตัวท่าน เท่านั้นยังไม่พอ อุมัรยังถีบประตูบ้านของท่านอะลี(อ) จนประตูนั้นชน
เข้าที่หน้าท้องของท่านหญิงฟาฏิมะห์(อ) จนแท้งท่านมุฮ์ซิน(อ) แล้วคุณก็ยังสรรเสริญคนเหล่านี้ คุณไม่รู้เลยหรอว่าท่าน
หญิงฟาฏิมะห์(อ)แท้งอะ คุณไม่รู้เลยเหรอว่าท่านหญิงฟาฏิมะห์ไปประท้วงถึงมัสยิด ต่อหน้าคน และพวกคุณก็ยังยกย่องว่า
ดีนักดีหนา พวกคุณมันหน้าไหว้หลังหลอก พวกคุณไม่รักอะห์ลุลบัยต์เลยอย่าดีกว่า ถ้ารักก็มาเป็นชีอะห์ เผื่อหูตามันจะ
สว่างขึ้น จากความจริงที่ถูกปิดบัง แล้ววันนึงคุณจะเสียใจ
กับความลับ ที่คุณมองไม่เห็น และไม่อยากเข้าใจ
ทำไมไปเอาคนอื่นที่ไม่ใช่คนในครอบครัวท่านศาสดา(ศ) เป็นคอลีฟะห์ และศาสดา(ศ) ไม่เคยแต่งตั้งอบูบักรเลยให้เป็นผู้นำ
ของมุสลิม พวกคุณไปเลือกตั้งกันเอง ที่ตำบลสะกีฟะห์ มีชีอะหห์หลายคนที่ไม่ไปและไม่ให้บัยอะห์ต่ออบูบักร เพราะรู้อยู่
แล้วว่าตำแหน่งนัน้มันเป็นของอะลี(อ)หลังจากการเลือกตั้งเสร็จสิ้น
เช่น ซัลมานฟารซี มิกดาร อัมมาร บิน ยาซีร เป็นต้น พวกคุณไม่รู้บ้างเลยเหรอ อัลลอฮุอักบัร
ไปหัดอ่านหนังสือประวัติศาสตร์หลังนบี(ศ) สิ้นพระชนมั่งนะเด็กน้อย
วัสลาม