-ฉันไม่มีเงิน- By: - ครูจริงใจ- Date: ต.ค. 19, 2012, 04:01 PM
ในโลกที่นักวิทยาศาสตร์เรียกว่า ดาวเคราะห์ดวงสีน้ำเงิน
โลกที่บรรจุและเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า ‘มนุษย์' อาศัยรวมอยู่ด้วย
โลกที่มนุษย์ส่วนใหญ่ แข่งขันกันอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อการได้มาซึ่งการเป็นคนที่ถูกยอมรับในสังคม
การมีหน้าที่ทำงานที่ดี มีเงินเดือนงามๆ มีบ้านหลังใหญ่โตราวกับว่าพวกเขาจะอาศัยอยู่ในดาวเคราะห์ดวงนี้ตลอดไป
ใช่! โลกนี้แหละ-โลกที่ผู้คนต่างพากันสร้างสรรค์ตกแต่งบ้านเรือนที่นับวันพวกเขาเองกำลังจากมันไป แต่กลับละทิ้งการสร้างสรรค์ตกแต่งบ้านเรือนที่ในไม่ช้าพวกเขาเองจะต้องเดินทางไปอาศัยในมัน
ฉัน คือมนุษย์คน๑ ที่พระเจ้าทรงเมตตาให้อุบัติขึ้นมาบนดาวเคราะห์ดวงนี้
และอีก๑ อภิมหึมามหาความเมตตามากกว่าอินฟินิตี้ นั่นคือ ‘ความเป็นมุสลิม’
...ที่พระเจ้าทรงเลือกให้เป็นของขวัญวันเกิดให้แก่ฉัน อ่อ รวมถึงการได้เป็น๑ ในสมาชิกของครอบครัวที่มีไออุ่นของอิสลามเป็นรั้วรักนั่นด้วย
ด้วยประการฉะนี้ ฉันจึงขอโมเมอย่างมั่นใจเอาเองว่า ฉันคือคนโชคดีที่สุดคน๑
และถ้าเปรียบเทียบกับคนอื่นโดยทั่วไปในโลกนี้
ฉันจัดเป็นครอบครัว๑ ไม่ได้ร่ำรวยและไม่ใช่ผู้ดีแน่ๆ แต่ฉันมั่นใจว่าฉันคือคนโชคดีคน๑ นะ-อินชาอัลลอฮฺ
ฉันเกิดมาในบ้านที่ฉันกล้าเรียกได้เต็มปากเต็มฟันว่า ‘บ้าน’-อินชาอัลลอฮฺ
(แอบทึกทักและนิยามมั่วเอาเองว่า บ้านน่ะไม่ใช่แค่สิ่งประดิษฐ์ชนิด๑ ที่มีเสา ผนังและหลังคาเป็นองค์ประกอบหลัก
จริงๆแล้วบ้านคือ สถานที่มีสมาชิกอันประกอบไปด้วยพ่อแม่ลูกและที่ขาดไม่ได้คือความรัก! ใช่ โฮมสวีทโฮมเลยแหละ)
บ้านฉันไม่มีรั้วกั้นสวยๆรอบบ้านอย่างในละคร ไม่มีเสาโรมันหน้าบ้าน ไม่มีเฟอร์นิเจอร์งามๆ ประดับประดา
และไม่ห่างไกลเท่าไหร่กับคำว่ากระท่อม เพียงแต่บ้านฉันแอบดูดีกว่าพี่กระท่อมนิด๑ แค่นั้นจริงๆ
..หลายครั้งเราจึงแทบไม่ต้องกังวลว่าอะไรจะหายไป เมื่อยามที่เราต้องออกจากบ้านไปไหน
พ่อสอนพวกเราเสมอว่า ผู้ที่อัลลอฮฺรักที่สุด อย่างอัลหะบีบ (ซ.ล.) มีชีวิตที่สมถะที่สุด เรียบง่ายที่สุด
ถ้าเราเคยชินกับความสุขสบาย เราจะเอาหัวใจที่ไหนไปใคร่ครวญและแสวงหาการได้เจอความสุขที่แท้จริงอย่างที่ทุกประสาทสัมผัสเราไม่เคยสัมผัสล่ะลูก..
บ้านฉันไม่มีรถยนต์คันงามจอดเหมือนหน้าบ้านของคนอื่นเขา
สำหรับฉันหากต้องไปไหนไกลๆ รถประจำทางนี่อย่างโก้หรูดูดีสุดแล้ว
พ่อสอนพวกเราว่า เราจะหาความสุขสบายเหล่านั้นไปทำไมกัน ?
ในเมื่อผู้ที่อัลลอฮฺรักที่สุด ยังรักและสนิทสนมกับความยากลำบากเลย
รถประจำทางที่เราอัลลอฮฺเมตตาให้เราได้นั่งก็สบายโขแล้ว คนบางคนไม่มีโอกาสนั่งอย่างเราเลยนะลูก..
นี่คือตัวอย่างเล็กน้อยจากหลายร้อยเรื่องราวในบ้านที่ฉันภูมิใจและสุขใจเรียกมันว่า ‘บ้าน’
แม้ครอบครัวของฉันถูกจัดอยู่ในประเภทของคนรากหญ้า ไม่มีบ้านหลังโต ไม่มีรถยนต์คันโก้หรู ฉันไม่ได้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจใดๆ เลยสักนิด ขอสาบานด้วยผู้ที่ส่งอิสลามมาเป็นของขวัญแก่ฉันและครอบครัวฉันว่า ไม่มีความดีใจและการขวนขวายใดๆ อีกแล้วในหัวใจดวงนี้เว้นแต่ การได้เป็นบ่าวที่น่ารักของพระองค์และความหวังที่จะได้เจอเจ้าของชีวิตและเจ้าของของขวัญล้ำค่า..
นั่นคือ สิ่งที่ฉันหวังที่สุดและคือสุขสุดที่สุดในชีวิต
เวลาพวกเรางอแงพ่อมักหยิบฮะดิษและดุอาอ์บท๑ มาพูดให้ฟังเสมอว่า
ให้พวกเราลองพิจารณาดุอาอ์ของผู้ที่อัลลอฮฺรักที่สุดขอดูสิ ทั้งๆที่แม้นท่านจะขออะไร
อัลลอฮฺก็พร้อมตอบรับเสมออย่างทันทีทันใจ เพียงแต่ให้ท่านขอ..
อัลหะบีบทรงขอต่ออัลลอฮฺเป็นประจำว่า ;
«اللَّهُمَّ أَحْيِنِي مِسْكِينًا، وَأَمِتْنِي مِسْكِينًا، وَاحْشُرْنِي فِي زُمْرَةِ الْمَسَاكِينِ» “โอ้ อัลลอฮฺ ขอทรงโปรดให้ข้าได้อยู่อย่างคนจน ตายอย่างคนจน และรวบรวมข้า(ในวันกิยามะฮฺ)ในหมู่คนจน”
[หะดีษ หะสัน บันทึกโดยอิบนุ มาญะฮฺ : 4126 ดู เศาะฮีหฺ สุนัน อิบนิ มาญะฮฺ : 3328 ดู อัล-อิรวาอ์ : 861 และดู อัส-สิลสิละฮฺ อัศ-เศาะฮีหะฮฺ : 308]
พร้อมกับทิ้งท้ายอย่างสวยงามจนพวกเราใบ้รับประทานกันเลยทีเดียวว่า;
ลูกๆ เราเป็นนักเดินทางใช่ไหม ?
นักเดินทางชนิดไหนกัน จะขะมักขะเม่นและจริงจังต่อการปักหลักปักฐานที่นี่
เวลาคนเขาเดินทางกัน เขามีแค่เสื้อผ้าน้อยชิ้น กินอยู่อย่างง่ายๆ ที่อยู่ที่นอนแค่พอหลับซักงีบ เพราะเขาสำเหนียกอยู่เสมอว่า
พรุ่งนี้ก็ต้องเดินทางต่อแล้ว เป้าหมายอันงดงามรออยู่อยู่ข้างหน้านู้น
ธรรมดาของชีวิตมนุษย์ที่ต้องเจอนานาบทดสอบ แต่ผู้ศรัทธาจะเก็บเกี่ยวอะไรได้มากกว่ามนุษย์ธรรมดาเสมอ
นั่นเพราะผู้ศรัทธาเชื่อมั่นอยู่เสมอว่า ขวากหนามทุกชิ้นตลอดเส้นทางคือความดีงาม อุปสรรคทุกอย่างคือ ผลตอบแทนและปลายทางที่อัลลอฮฺและนบีบอกเราไว้ก็หอมหวานชนิดที่ไม่เดิน ไม่ได้แล้ว! ..จริงไหมลูก ?
ใช่ ใครๆก็ว่า บ้านเราไม่มีเงิน ฉันขำในใจทุกครั้งที่ได้ยิน และอดสุขใจไม่ได้เมื่อนึกถึงคำของอัลอะมีน-ผู้ชายที่ไม่เคยพูดโกหกใคร
มันเป็นการยืนยันสถานะของครอบครัวที่ว่า ‘คนจนจะได้เข้าสวรรค์ก่อนคนรวย’
และคำสอนของพ่อที่ดังก้องในใจอันสงบของฉันอยู่เสมอว่า
‘การได้เกิดเป็นมุสลิมอย่างเรานี่แหละลูก ร่ำรวยที่สุดแล้ว เพราะ ‘แค่เรามีอัลลอฮฺ ต่อให้เราไม่มีอะไรอื่นสักอย่าง เราก็พอ แต่ถ้าหัวใจของเราไม่มีอัลลอฮฺต่อให้เรามีอะไรอื่นทุกอย่าง เราก็ไม่พอ! ไม่มีวันพอเลยหล่ะลูก’
และแล้วทุกๆ วันฉันก็เป็นคนไม่มีเงินที่มีความสุขที่สุดในโลก !
[หนังสืองานว่ะลีมมะฮตุ้นนิกาห์ รอฮานี-อัลอามีน | พี่ฅนโต | สำนักพิมพ์อาลีพานิชย์ กันยายน 2555]
Re: -ฉันไม่มีเงิน- By: nada-yoru Date: ก.ย. 11, 2014, 01:14 AM
อ่านตรงนี้แล้วได้แต่ยิ้มอย่างซาบซึ้งใจและเหมือนโดนปลอบใจว่า
เรานั้นมีสิ่งที่มีค่ามากที่สุดอยู่กับตัว นั่นคือ อิสลาม...
ดังนั้น...เราจึงไม่ควรเศร้าใจเลย หากจะไร้คนเข้าใจถึงจุดยืนของเรา
หรือไร้ซึ่งการยอมรับจากผู้อื่น...
บทความนี้ดูเหมือนจะกระแทกใจอยู่ไม่น้อยทีเดียว
เพราะว่า....ขึ้นมาสัมภาษณ์งานที่กทม.ถึง 5 ที่แล้ว
แต่ยังไม่พบที่ที่เขายอมรับความเป็นอิสลามได้สักที...
บางที่เหมือนจะยอมรับ...แต่ก็ไม่อาจมอบโอกาสในการปฏิบัติศาสนกิจให้อย่างเต็มที่ได้...
พ่อบอกว่า...หนทางของอัลลอฮฺนั้น ใช่ว่าใครๆจะเดินกันง่ายๆ
เพราะอิบลิสและวงวานของมันย่อมจะนอนขวางทางอยู่ร่ำไป...
เมื่อเลือกจะเดินแล้ว ก็อย่าท้อ...เหนื่อยแค่ไหนก็จงก้าวต่อไปอย่างอดทน...
อดทนในทุกๆสิ่ง อดทนจนเป็นที่พึงพอใจของอัลลอฮฺ
และเมื่อนั้น การช่วยเหลือจะถูกประทานลงมา...อย่างแน่นอน...
ก็เชื่อเช่นนั้นค่ะ...เพราะจาก 5 ที่ที่เรียกไปสัมภาษณ์เราอย่างรวดเร็ว
เมื่อทางบริษัทรับจัดหางานให้ส่งประวัติเราไป...เพียงไม่กี่วัน
ก็มีหลายๆบริษัทติดต่อให้ไปสัมภาษณ์งาน...อัลฮัมดุลลิลลาฮฺ...
เขาสนใจประวัติการเรียนและประสบการณ์การทำงานและผลงานเรา
เขาจึงเรียกไปสัมภาษณ์...เขาสนใจถึงประโยชน์ที่เขาจะได้รับจากความสามารถของเรา
จนเขาลืมผลประโยชน์ที่เราจะได้รับไปเสีย...
แน่นอนค่ะว่า บริษัทที่เรียกไปสัมภาษณ์
เขาย่อมจะไม่ขัดขวางเรื่องที่เราคลุมฮิญาบ เนื่องจากเขาเห็นภาพถ่ายเราแล้ว
ว่าเราเป็นใคร...และเขายอมรับสิ่งนั้นได้แล้ว เขาจึงเรียกไป...
แต่จะติดตรงเรื่องใหญ่กว่านั้นค่ะ...
"เรื่องเวลาละหมาด"
เรื่องเล็กๆสำหรับเรา แต่กลับกลายเป็นเรื่องใหญ่สำหรับมุมมองของเขา
กับการจะเจียดเวลาระหว่างทำงานเพื่อจะให้เราได้ละหมาด
และอีกเช่นกัน...เรื่องผลประโยชน์นั้นย่อมไม่เข้าใครออกใคร
เจ้าของบริษัทไหนๆ เขาก็เพียรต้องการให้พนักงานของตัวเอง
ทำงานให้เขาอย่างคุ้มค่าคุ้มเวลา ก็เขาอุตส่าห์ทุ่มเงินให้เราเพื่อจะให้เรา
มาทำงานให้แล้วนี่นา...ซึ่งการจะเอาเวลาทำงานไปละหมาด(แม้จะเพียงไม่กี่นาที)
จึงดูเหมือนเป็นการเบียดบังเวลาการทำงานไปเสียสำหรับมุมมองของเขา
สำหรับเขา เวลาในการแสวงหาปัจจัยยังชีพย่อมเป็นเงินเป็นทอง...
มากกว่าเวลาในการแสวงหาความพอใจจากอัลลอฮฺ...
ในแว้บแรก...แอบเสียใจอยู่ลึกๆว่าทำไมมนุษย์เราจึงคิดเช่นนี้หนอ
แต่เมื่อมองลึกลงไป ก็ให้เข้้าใจ เนื่องจากเขาไม่ได้เป็นมุสลิม
เขาไม่ได้ศรัทธาต่ออัลลอฮฺ เขาไม่เคยจะเชื่อด้วยซ้ำไปว่าอัลลอฮฺทรงสร้างเขามา
และให้เขามีชีวิต ให้ปัจจัยยังชีพแก่เขาอยู่ เพราะถ้าเขาเชื่อและเขาคิด
แน่นอน...ไม่ใช่เรื่องยากเย็นที่เขาจะมอบเวลาละหมาดให้กับเราอย่างง่ายดาย...
โดยไม่มามัวนั่งคิดมากอยู่...
เขาขอให้เรายอมปรับเข้าหาเขา...เพราะเขาให้เหตุผลว่า...
มันจะไม่เป็นการยุติธรรมสำหรับพนักงานคนอื่นๆ...
ซึ่งพนักงานคนอื่นๆหาได้มีสิทธิพิเศษดังกล่าว
แล้วตัวเราเองก็ไม่ได้อยากได้รับอะไรที่พิเศษกว่าใครเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
แต่จะให้ไม่ละหมาดในระหว่างเวลาทำงานอยู่ มันจะได้อย่างไรกัน...
เนื่องจากเวลานี้มันเป็นเวลาที่มีค่าสำหรับมุสลิมเรา
หากเพียงเพื่อแสวงหาริสกีจากอัลลอฮฺด้วยการขว้างเวลาอันมีค่านี้ไปเสีย
ริสกีที่ได้มาจะมีค่าหรือ?
ในเมื่อเราเองก็ไม่สามารถจะรักษาเวลาอันมีค่าไว้กับเราได้...
เป็นอีกหนึ่งความเจ็บใจที่ไม่ว่าจะไปสัมภาษณ์กี่ที่ๆ
ก็ต้องพบกับสภาพเช่นนี้...
บางที่ตอบรับมาว่าสนใจให้เราไปร่วมงานหลังจากสัมภาษณ์เสร็จ...
ยอมจ่ายยอมทุ่มให้เงิน แต่กลับเพิกเฉยเวลาละหมาดที่เราขอไป...
แล้วเราจะไปได้อย่างไร...ในเมื่อรู้อยู่แก่ใจว่าถึงได้เงินมาเลี้ยงชีพ
มากแค่ไหน แต่เงินเหล่านั้นได้ทำให้เราห่างไกล
จากหนทางของอัลลอฮฺไป...
พิจารณาดูแล้ว ปรากฏว่าการลงทุนครั้งนี้
เราย่อมขาดทุนอย่างมิต้องสงสัย...
แล้วก็จบด้วยการปฏิเสธงาน ท้ังๆที่อยากได้งานทำอยู่...
คนที่ไม่เข้าใจย่อมมองว่าเรานั้น "เรื่องเยอะ"
หาเป็นเช่นนั้น...พวกเขาที่ไม่ให้โอกาสเราต่างหากที่ "คิดเยอะ"
คิดไปได้อย่างไรว่าเราเอาเวลาละหมาดไปเบียดบังเวลางาน
เคยมีการต่อรองกันด้วยหลากหลายวิธีสำหรับเรื่องนี้...
เขาก็อยากได้คนมาร่วมงาน
ส่วนเราก็เพียรมาหาที่ที่จะให้เราได้ทำงานไปด้วยได้ทำละหมาดไปด้วย
แต่แล้วก็ยังหาที่ที่มันจะไปด้วยกันไม่ได้...
เลยต้องตกอยู่ในสภาพ "รอคอย" การช่วยเหลืออย่างไม่ย่อท้อ...
แน่นอน...อัลลอฮฺจักไม่ทอดทิ้งบ่าวของพระองค์...
นี่คือ...บททดสอบ! เพื่อ วัดใจ!
แน่นอน ถ้าเราเลือกหนทางของอัลลอฮฺ...เราจะปลอดภัย...
ความทุกข์ยากย่อมต้องประสบแก่มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้
อย่างที่ใครก็ปฏิเสธไม่ได้...
แต่ถ้าเราอดทนและต่อสู้เพื่อให้ได้เดินอยู่บนหนทางของอัลลอฮฺต่อไป
แม้โลกนี้จะพบแต่ขวากหนามและความยากลำบากในการเดินทาง
หากโลกหน้า...อันนิรันดร์...ย่อมง่ายดายเสมอ
สำหรับบ่าวของอัลลอฮฺ...
และเราจะไม่ขาดทุน หากเราเลือกที่จะเดินบนหนทางอันเที่ยงตรง
เราจะปลอดภัย...
โลกนี้ใช่ว่าจะมาอยู่กันนานๆ...แถมยังหาอะไรมายึดไว้ไม่ได้อีก
เพราะไม่มีสิ่งใดจีรังยั่งยืน...ลาภ ยศ สรรเสริญ อำนาจ เงินทอง
ชื่อเสียง....ย่อมเป็นที่ปรารถนาของใครต่อใครอยู่แล้ว
หากบ่าวของอัลลอฮฺ ย่อมรู้ว่า...นั่นคือ...น้ำตาลที่ทำให้มด
ที่หลงเข้าไปในนั้นไม่สามารถกลับออกมาได้อีก...
มดกินน้ำตาลจนอิ่มหนำสำราญแล้วก็ดำดิ่งอยู่ในน้ำตาลที่ชอบ
และปรารถนาอยากจะลิ้มลองมาตลอดก่อนจะตายลงในที่สุด!
ไม่แตกต่างจากแมงเม่าที่บินเข้ากองไฟอย่างที่วาดหวังมาตลอด...
เพราะอยากลองเล่นกับไฟ...ไฟที่แสนจะอบอุ่น...และสวยงาม
แล้วสุดท้ายก็โดนไฟเผาจนตายในที่สุด...
โชคดีเหลือเกิน ที่อัลลอฮฺส่งรอซุลุ้ลลอฮฺมาบอกข่าวดีกับเรา...
บอกทางรอดให้กับเรา...
หากเราปฏิเสธหนทางดังกล่าว...เราก็ย่อมวิบัติ...
ไม่แตกต่างจากมดและแมงเม่าเหล่านั้น...
หากถามว่ารู้สึกเช่นไรกับการสัมภาษณ์งานมาถึง 5 ที่
แล้วยังไม่ได้งาน...
คำตอบคือ...ยังนับว่าเรายังใจแข็งพอ...จึงไม่มีอะไรให้ต้องเสียดาย
เพราะ ณ ที่อัลลอฮฺย่อมดีกว่าเสมอ...
ถ้าไม่ใช่เพราะอัลลอฮฺเมตตาหยิบยื่นโอกาสให้เรา
ไปใช้ชีวิตที่ญี่ปุ่นเกือบ 6 ปีท่ามกลางผู้ปฏิเสธพระองค์...
เราก็จะไม่มีวันเข้าใจเลยว่า อะไรที่สำคัญที่สุดในชีวิต...
และคงไม่รู้เลยว่า มันช่างมีค่าต่อเราอย่างหาที่เปรียบไม่ได้...
เพราะคนเรานั้น...จะรู้ว่าอะไรสำคัญที่สุด ก็ต่อเมื่อใกล้จะสูญเสียมันไป...
อัลฮัมดุลิลลาฮฺ...เรายังโชคดีที่ยังได้พึ่งพาร่มเงาอิสลามต่อไป...
และอยากให้คงเป็นเช่นนี้ต่อไปจนกระทั่งกลับคืนไปสู่อัลลอฮฺ
พี่น้องมุสลิมทั้งหลาย...อย่าย่อท้อกับการต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮฺ
เพราะนี่คือการต่อสู้ที่อัลลอฮฺทรงยอมรับ...มันคือหนทางของผู้ชนะ...
คนที่ท้อแท้แล้วเลือกที่จะหันหลังให้ย่อมเป็นผู้ขี้ขลาด...
และขาดทุน...
หากเราเกรงกลัวอัลลอฮฺแล้ว...เราก็หาได้เกรงกลัวมนุษย์หน้าไหนไม่...
หากเราตระหนักถึงความยิ่งใหญ่ของอัลลอฮฺแล้ว
มนุษย์หน้าไหนก็มิอาจยิ่งใหญ่จนกลายเป็นเจ้าชีวิตเราได้...
แม้แต่ความยากลำบาก เราก็หาได้กลัวมัน...
หรือแม้แต่ความจน ก็มิอาจพรากสิ่งสำคัญไปจากเราได้...
และเมื่อเรายกกายและใจให้เป็นทาสของอัลลอฮฺแล้ว
เราก็จะพ้นสภาพจากการเป็นทาสของสิ่งใดๆที่พระองค์สร้้างมา...
Re: -ฉันไม่มีเงิน- By: Hanata' Date: ก.ย. 15, 2014, 03:25 PM
อ่านบทความแรก ถึงกับน้ำตาซึม Alhamdulillah หัวใจยังมีความรู้สึก

..
...
อ่านบทความถัดมา
หากถามว่ารู้สึกเช่นไรกับการสัมภาษณ์งานมาถึง 5 ที่
แล้วยังไม่ได้งาน...
คำตอบคือ...ยังนับว่าเรายังใจแข็งพอ...จึงไม่มีอะไรให้ต้องเสียดาย
เพราะ ณ ที่อัลลอฮฺย่อมดีกว่าเสมอ...
ต้องนับถือการมีหัวใจที่แกร่ง เข็มแข็ง ของ nada-yoru ; หนูจะแอบให้กำลังใจ จะแอบดุอาอฺให้น่ะค่ะ แฮะๆ

ไฟท์ติ้งง !!!
สำหรับหนูแล้ว การพิสูจน์หัวใจว่าเข้มแข็งแค่ไหน มีค่าเหลือเกินค่ะ

Re: -ฉันไม่มีเงิน- By: nada-yoru Date: ก.ย. 16, 2014, 07:42 PM
อัลฮัมดุลิลลาฮฺ...
บางครั้งเราก็อ่อนแอ...จนอยากจะร้องไห้เหมือนตอนเด็กๆ...
เวลาไม่ได้ดั่งใจหรือมีคนขัดใจก็จะได้กระทืบเท้าเหมือนเด็ก...
ร้องขอโน่นขอนี่ เรียกร้องความสนใจได้โดยที่คนอื่นๆยังเอ็นดูอยู่
แต่ถึงตอนนี้จะทำอย่างนั้นไป ก็ไม่มีประโยชน์...
เมื่อก่อนเคยใช้ชีวิตเร่ือยเปื่อย มีจุดหมายคือ การเป็นที่ยอมรับของใครๆ
แต่คลื่นชีวิตหลายลูกที่ซัดเข้ามา...ทำให้เปลี่ยนเป้าหมาย...
แปลกตรงที่ เมื่อเป้าหมายของเราคืออัลลอฮฺ...
เมื่อ "อัลลอฮฺ" คือเป้าหมายสูงสุดของชีวิต
ใจที่เคยร้อนรน ทะเยอทะยาน
กลับนิ่งสงบลงได้อย่างน่าแปลกใจจริงๆ...
ไม่ว่าคลื่นลูกใดที่พัดเข้ามาจะใหญ่แค่ไหน
เราก็ "นิ่ง" ได้มากขึ้น...
ไม่ได้ตีโพยตีพายหรือต่อว่าต่อขานสิ่งนั้นสิ่งนี้อย่างแต่ก่อน...
...มนุษย์เราจะรู้ตัวว่าตัวเองนั้นอ่อนแอและเป็นผู้ไร้ซึ่งทุกสิ่ง
เมื่อเริ่มรู้จักอัลลอฮฺ...
และจิตใจมนุษย์จะเริ่มเข้มแข็งขึ้นได้ เมื่อ "อัลลอฮฺ" คือที่สุดของหัวใจ...
อัลลอฮฺเมตตาบ่าวของพระองค์ จึงบอกให้บ่าวของพระองค์ยำเกรงพระองค์
เพราะเมื่อเรามีความยำเกรง...มนุษย์หรืออะไรก็ไม่ได้น่ากลัว...
ปล.เจ้าของบริษัทญี่ปุ่นท่านหนึ่งเคยกล่าวตอนสัมภาษณ์งานว่า
คนญี่ปุ่นเวลาเขาจะจ้างใคร เขาจะจ้างกันทั้งชีวิต
เรียกได้ว่า ซื้อกันทั้งชีวิตเลย...บางคนจึงทำงานที่เดียว
ตั้งแต่หนุ่มจนแก่ตาย...รักและภักดีกับบริษัท...
(เขาพูดตอนนั้นหลังจากที่ได้คุยกันเรื่องเวลาละหมาดกันแล้ว)
เขาพูดกรายๆโดยใช้สำนวน
เหมือนกับจะขอซื้อชีวิตทั้งชีวิตของเราเลย...
ตอนนั้น ตอบเขาไปอย่างกระชับได้ใจความว่า
เรานั้นได้มอบชีวิตทั้งชีวิตให้กับอัลลอฮฺ
ซึ่งเป็นเจ้าของชีวิตไปแล้ว...
พอเล่าให้พ่อฟัง...พ่อบอกว่า...นั่นคือคำปฏิเสธงานเลยนะนั่น...
ก็เลยยิ้มๆบอกพ่อทางโทรศัพท์ไปว่า.
..มันเป็นความจริงนะพ่อนะ...ที่พูดไปนั่นน่ะสัจธรรมเลยล่ะ...
และดูเหมือนเขาจะเงียบไปเลย
ณ วินาทีนั้น แน่แก่ใจว่าคงไม่ได้งานนี้หรอก..เพราะถึงจะได้
ก็คงไม่ได้ละหมาดอยู่ดี...แปลกที่ไม่ได้รู้สึกเสียดาย
ลักษณะงานที่น่าท้าทายและเงินเดือนที่สูงลิบนั่น...
ไม่เสียใจเลยที่พูดแบบนั้นออกไป ออกจะสะใจเสียมากกว่า...
ที่เราสามารถชิงตัดหน้าปฏิเสธเขาได้ก่อน...เขาซึ่งหยิ่งนัก
ว่าตนนั้นยิ่งใหญ่จนเราต้องยอมสวามิภักดิ์ด้วย...
นี่มันหมดยุคทาสไปซะตั้งนานแล้ว...
และเราคือเสรีชน เป็นทาสอัลลอฮฺเท่านั้น...
เราไป "สัมภาษณ์งาน" นะ ไม่ได้ไป "ขอทำงาน"
และเราไปสมัครเป็น "ลูกจ้าง" ไม่ใช่ "ทาส"
ยังบอกพ่อต่อเลยว่า...ช่างเถอะ...ไส้แห้งอีกสักพักจะเป็นไรไป...
ก็แล้วไส้แห้งจริงๆค่ะ...พี่ชายยังแขวะว่า "ศิลปินไส้แห้ง"
เฮะๆ...
ก็ถ้าคิดจะจับไปขังไว้ใช้งานกันจริงๆ กรงขังนั่น
ก็ต้องเป็นกรงขังของมุอฺมิน...แม้จะทุกข์ยากลำบาก
ไร้อิสรภาพ แต่มันก็ไม่ใช่นรก...
เนื่องจากไปตกนรกมาแล้วหลายปี เพิ่งขึ้นมาได้ตรงปากหลุม
จะให้ลงไปอีก ก็เกรงใจ...อิอิ
เรายังสามารถเลือกได้ว่า เราจะเป็นนกนางแอ่น
ที่บินหาอาหารอย่างอิสระบนท้องฟ้า
หรือจะยอมเป็นลูกวัวที่มีคนเอาหญ้ามาป้อนให้กินทุกวัน
ก่อนจะถูกนำตัวไปที่โรงปศุสัตว์...
แน่นอน...ทุกชีวิตต้องตาย...แต่เราจะตายในสภาพไหน...
เมื่อเรายังมีโอกาสได้เลือก...เราจะเลือกอะไร...
และเมื่อเราเลือก...เราก็ต้องรับผิดชอบกับทางที่เราเลือก!
ปล.อีกที...เมื่อเราโดนหลอกในครั้งแรกเราสามารถโทษ
คนที่หลอกเราได้...แต่ถ้าเราปล่อยให้เขาหลอกเราได้ซ้ำสอง
คนที่เราต้องโทษคือ ตัวเราเอง!
เหมือนกับที่เราทำผิดพลาดไปเพราะความไม่รู้
แต่เมื่อรู้แล้วและยังทำพลาดซ้ำสองอีก...
เราจะโทษใครอีก ถ้าไม่ใช่ตัวเราเอง!
พ่อบอกว่า...คนที่ฉลาดมักจะมองเห็นความสุข
ซ่อนเร้นอยู่ท่ามกลางอุปสรรค...
และสามารถสร้างความสุขได้ในสถานการณ์ที่คนอื่นเขา
ไม่อาจมีความสุขได้...
หากความจนคืออุปสรรคขัดขวางความสุข
แล้วจะมีใครเล่าที่จะฉลาดเท่ามุอฺมิน
ที่ยังสามารถมีความสุขได้ในขณะที่ตกที่นั่งเป็นคนจนอยู่...
เพราะแค่เราก้มลงซูหยูดและสดุดีอัลลอฮฺด้วยลิ้นและหัวใจ
เราก็มีความสุขได้แล้ว...
แค่เราได้อ่านได้ฟังกุรอ่าน เราก็มีความสุขแล้ว...
ความสุขที่ใครก็เอาไปจากเราไม่ได้
นอกเสียจากเราเต็มใจจะให้เขาเอาไปเอง...
นี่คืออีกหนึ่งตัวอย่าง ของ "คนไม่มีเงิน" ค่ะ...
และก็ไม่อายเลยที่จะบอกใครๆว่า "ฉันไม่มีเงิน"
แต่ฉัน "มีความสุขดี"
^^
ขอบคุณกำลังใจจากน้อง Nuda Hanata มากๆนะคะ...