ความจริง 2 ด้านที่มัสยิดแดง By: قطوف من أزاهير النور Date: ก.ย. 04, 2007, 03:20 PM
ปฏิบัติการเงียบบุกมัสยิดแดง
เมื่อเจรจาไกล่เกลี่ยไม่เป็นผล
การเผชิญหน้าคุมเชิงระหว่างกองกำลังความมั่นคงปากีสถาน กับกลุ่มหัวรุนแรงทางศาสนาที่ปักหลักอยู่ภายในมัสยิดแดง ในเมืองหลวงกรุงอิสลามาบัดก็ถึงขั้นแตกหัก ฝ่ายแรกใช้กำลังบุกเข้าจัดการขั้นเด็ดขาด ใช้เวลา 2 วัน รหัส “ปฏิบัติการเงียบ” อังคาร-พุธ บุกยึดควบคุมสถานที่ได้เรียบร้อย เบื้องต้น
พบศพผู้เสียชีวิตฝ่ายหัวรุนแรง 75 ศพ ฝ่ายทหารสูญเสีย 11 ศพ รวม 86 ศพ มัสยิดแดง หรือลาล มัสยิด ตั้งอยู่ใจกลางย่านที่อยู่อาศัยแถบชานกรุงอิสลามาบัด ห่างจากย่านสถานทูตต่างชาติและบ้านพักของ ประธานาธิบดี พล.อ.เปอร์เวซ มูชาร์ราฟ ผู้นำประเทศราวกิโลเมตรเศษ แต่ที่อยู่ใกล้กว่าคือสำนักงานใหญ่หน่วยข่าวกรองแห่งชาติ ซึ่งว่ากันว่ามีความสัมพันธ์ในเชิงลึกกับมัสยิดแดงมานาน
ภายในอาณาบริเวณมัสยิดแดง
มีมาทราสหรือโรงเรียนสอนศาสนาอยู่ด้วย 2 แห่งคือ ยามิอะห์ ฮัฟซา ของนักเรียนหญิง และอีกแห่งของนักเรียนชาย แยกกันอยู่คนละส่วนคล้ายโรงเรียนกินนอน รวมนักเรียนของสองสำนักนี้ 5,039 คน ชายราว 2,000 คน ที่เหลือเป็นผู้หญิง โรงเรียนทั้งสองแห่งนี้ดำเนินการและควบคุมดูแลโดยครูสอนศาสนา 2 พี่น้อง นายอับดุล อาซิซ กาห์ซี และน้องชายอับดุล ราชิด กาห์ซี ซึ่งเป็น 1 ใน 75 ศพ ที่เจ้าหน้าที่พบเสียชีวิตภายในมัสยิดขณะเข้าเคลียร์พื้นที่
อับดุล อาซิซ ผู้พี่ถูกจับตัวได้ขณะพยายามหลบหนีออกจากมัสยิดก่อนหน้านี้ โดยพรางตัวแฝงกายซ่อนในชุดเบอร์กา ชุดคลุมสีดำมิดชิดของสตรีมุสลิม แต่ไม่รอดสายตาเจ้าหน้าที่ที่ตรึงกำลังปิดล้อมอยู่รอบด้าน
ระหว่างการเข้าเคลียร์พื้นที่พ
บอาวุธหนักอยู่ข้างในจำนวนมาก ในจำนวนนี้รวมถึงปืนกลมือ 6 กระบอก เครื่องยิงจรวดอาร์พีจี 4 ชุด ระเบิดต่อต้านรถถัง ชุดเสื้อระเบิดฆ่าตัวตาย ระเบิดเพลิง ปืนไรเฟิลจู่โจมหลายสิบกระบอก ในบริเวณมีการขุดสนามเพลาะ หลุมบังเกอร์ คล้ายเตรียมพร้อมรับมือการบุกจู่โจมเต็มที่ ต้นตอของปัญหาที่ดำเนินมาจนถึงจุดแตกหัก เริ่มจากมัสยิดแดงออกโรงเรียกร้องให้รัฐบาลนำชาเรียห์หรือศาสนบัญญัติ มาบังคับใช้เป็นกฎหมายปกครองประเทศ เพื่อให้เป็นรัฐอิสลามบริสุทธิ์ ตามแบบอย่างที่กลุ่มตาลีบันเคยใช้ปกครองอัฟกานิสถานก่อนหน้านี้
ตั้งแต่ช่วงปลายปีที่แล้วเป็นต้นมา มัสยิดแดงส่ง “หน่วยพิทักษ์ศีลธรรม” นักเรียนในสังกัดออกไปปฏิบัติการทำลายความชั่วร้าย และส่งเสริมศีลธรรมตามหลักศาสนาในเขตเมืองหลวง
ตามภาพข่าวจากปากีสถานที่เห็นเป็นระยะ นักเรียนของมัสยิดแดงซึ่งส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่นชาย ไปกันเป็นกลุ่มมีแขนงไม้ไผ่ท่อนเขื่องเป็นอาวุธถือติดมือเกือบทุกคน ตระเวนไปตามถนนสายต่าง ๆ ข่มขู่ประชาชนที่พบเห็นว่ามีการกระทำขัดต่อหลักคำสอนของศาสนาอิสลาม ที่โดนหนักเห็นจะเป็นพ่อค้าแม่ค้าขายสินค้าเกี่ยวกับความบันเทิง แผ่นซีดีเพลงหรือหนังลามก โดยเฉพาะสินค้าวัฒนธรรมตะวันตก บุกสถานเซาน่าอาบอบนวดลักพาตัวพนักงานไป โดยระบุว่าลักลอบขายตัวเป็นโสเภณี
เจ้าหน้าที่บ้านเมืองได้แต่จับตามองความเคลื่อนไหว ยังไม่กล้าดำเนินการกำราบ เพราะกลัวจะบานปลายกลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว เมื่อเป็นอย่างนี้หน่วยพิทักษ์ศีลธรรมของมัสยิดแดงจึงเหิมเกริมหนักข้อ ตอนหลังถึงขั้นสะสมอาวุธหนัก มัสยิดแดงกลายเป็นเสมือนกองบัญชาการกองกำลังติดอาวุธแห่งหนึ่ง
ปัจจุบันปากีสถานมีโรงเรียนสอนศาสนาอยู่ทั่วประเทศราว 20,000 แห่ง อันนี้เป็นตัวเลขการประเมินของกลุ่มวิกฤติสากลแห่งกรุง บรัสเซลส์ โดยนับถึงเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา และเฉพาะในกรุงอิสลามาบัดมี 88 แห่ง นักเรียนนักศึกษามากกว่า 16,000 คน นั่นหมายถึงมาทราส 2 แห่งในมัสยิดแดงมีนักเรียนเกือบ 1 ใน 3 ของมาทราสทั้งหมดในเขตเมืองหลวง
จำนวนมาทราสในปากีสถานเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1980 ส่วนใหญ่ที่เปิดใหม่ในช่วงนั้นมีเป้าหมายแอบแฝง กล่าวคือเพื่อใช้เป็นฐานเกณฑ์นักรบอาสาสมัครมูจาฮีดีน ข้ามแดนไปร่วมต่อสู้ขับไล่กองทัพโซเวียตที่เข้ายึดครองอัฟกานิสถานระหว่างปี 2522-2532 และมาทราสในมัสยิดแดงก็ก่อตั้งในช่วงนั้น
แน่นอนมาทราสเพื่อจุดประสงค์ดังกล่าว ได้รับทุนสนับสนุนจากชาติตะวันตกและกลุ่มชาติอาหรับ โดยผ่านหน่วยงานของปากีสถานที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงดำเนินการคือสำนักงานข่าวกรองแห่งชาติ
โรงเรียนสอนศาสนาแต่ละแห่งจะสอนไปตามหลักการของนิกายที่ตนเองศรัทธายึดมั่น ซึ่งรวมถึงนิกายสุดขั้ว สุหนี่ ดีโอบันดี ที่มัสยิดแดงยึดถือด้วย นิกายนี้ต่อต้านตะวันตก และสนับสนุนแนวทางจีฮัดหรือสงครามศักดิ์สิทธิ์ การต่อสู้เพื่อปกป้องศาสนา เสร็จเป้าหมายขับไล่กองทัพโซเวียตออกจากอัฟกานิสถาน และช่วยกลุ่มตาลีบันขึ้นครองอำนาจปกครองอัฟกานิสถาน แต่มาทราสแห่งต่าง ๆ ในปากีสถานที่ก่อตั้งเพื่อการนี้ยังคงอยู่ และเปิดสอนต่อไปตามแนวทางเดิม ที่สำคัญโรงเรียนนิกายสุหนี่ ดีโอบันดีแหล่งรวมกลุ่มหัวรุนแรงเพิ่มขึ้นอย่างผิดสังเกต เฉพาะปีที่แล้ว (2549) เพิ่มขึ้นถึงสองเท่า
มัสยิดแดงกลายเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการเผยแพร่เรื่องการจีฮัดมาตั้งแต่นั้น อิหม่ามคนแรกของมัสยิดแดงคือมูลานา อับดุลลาห์ มักเป็นข่าวอบรมสั่งสอนเรื่องสงครามศักดิ์สิทธิ์อยู่เสมอ
และมัสยิดแดงในอดีตยังเป็นที่ประกอบศาสนกิจของผู้นำประเทศ เจ้าหน้าที่ระดับสูงทั้ง ข้าราชการทหารและตำรวจ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ทุกระดับของสำนักงานข่าวกรองแห่งชาติ เดินทางไปทำละหมาดที่นี่
ช่วงปลายทศวรรษ 1990 มูลานา อับดุลลาห์ ถูกลอบสังหารปริศนาภายในมัสยิดแดง ลูกชายทั้งสองคนคือ อับดุล อาซิซ และอับดุล ราชิด จึงสืบทอดควบคุมดูแลมัสยิดแดงต่อมา และทำให้กลายเป็นศูนย์กลางของการสอนตามหลักการนิกายสุหนี่ ดีโอบันดี และประกาศตัวต่อต้านรัฐบาลอย่างเปิดเผย
สองพี่น้องเคยให้สัมภาษณ์ตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุการณ์วินาศกรรมสหรัฐอเมริกา 9/11 ว่า รู้จักสนิทสนมเป็นอย่างดีกับระดับแกนนำของเครือข่ายก่อการร้ายอัล-เคดา รวมทั้งโอซามา บิน ลาเดน หัวหน้าใหญ่ และช่วงหลัง ๆ ได้แสดงท่าทีเปิดเผยมาตลอดในการสนับสนุนจีฮัดต่ออเมริกาและ พล.อ.เปอร์เวซ มูชาร์ราฟ ผู้นำประเทศ
ด้วยแรงกดดันส่วนหนึ่งจากอเมริกาและชาติตะวันตก ปี 2545 มูชาร์ราฟออกคำสั่งปฏิรูป จัดระเบียบใหม่โรงเรียนสอนศาสนาทั้งหมดในประเทศ ท่ามกลางการต่อต้านอย่างหนักของโรงเรียนเหล่านี้ รวมทั้งหลายกลุ่มองค์กรศาสนาที่เป็นแนวร่วม
นักเรียนต่างชาติราว 1,400 คนถูกคำสั่งทางการปากีสถานขับออกนอกประเทศภายในเดือน ก.ค. 2548 แต่มีประมาณ 700 คนได้รับอนุญาตให้อยู่ต่อ หลังจากรัฐบาลประเทศของนักเรียนเหล่านั้นให้คำรับรอง (ผู้ชายคนนี้ใครอ่ะ)
หลังเหตุการณ์นองเลือดครั้งนี้ คงจะมีภาคสองและภาคสามต่อไปอีกหลายยก เพราะแนวร่วมมัสยิดแดงทั้งในและนอกปากีสถานจำนวนมากคงไม่นิ่งดูดายแน่ อับดุล อาซิซ ผู้พี่ซึ่งถูกควบคุมตัวไปร่วมพิธีฝังศพน้องชายเมื่อวันก่อน กล่าวทำนายว่า เหตุการณ์นี้จะเป็นแรงผลักดันให้ปากีสถานไปสู่ “การปฏิวัติอิสลาม”
ขณะที่มูชาร์ราฟเองก็ประกาศพร้อมจะกวาดล้างกลุ่มหัวรุนแรงทางศาสนาทั่วประเทศหนักหน่วงขึ้นอีก และดำเนินการจัดระเบียบมาทราส แบบมัสยิดแดงอีกรอบ.
สุพจน์ อุ้ยนอก
ที่มา
http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?ColumnId=42655&NewsType=2&Template=1***จบการนำเสนอข่าวจากสื่อไทย ***
Re: ความจริง 2 ด้านที่มัสยิดแดง By: قطوف من أزاهير النور Date: ก.ย. 04, 2007, 03:30 PM
บทสัมภาษณ์มุสลิมะฮฺผู้ร่วมอยู่ในมัสยิดแดง :
“มันคือการฆาตรกรรมหมู่มุสลิมะฮฺ 1,500 คน”
17 กรกฎาคม 2007
“มุสลิมะฮฺประมาณ 1,500 คนถูกสังหารภายในญามิอะฮฺฮัฟเซาะฮฺ”
“ไม่มีใครถูกจับเป็นตัวประกัน”
“ไม่มีทั้ง ‘กลุ่มหัวรุนแรง’ และ ‘ผู้ก่อการร้าย’ อยู่ในมัสยิด”
“รัฐบาลได้ซ้อนเร้นร่างของผู้เสียชีวิต”
“ความกลัวตายหมดสิ้นไปเมื่อได้เห็นร่างไร้วิญญาณของบรรดาพี่น้องมุสลิมีนและมุสลิมะฮฺ”
“การปฏิวัติฟื้นฟูอิสลามด้วยกำลังเลือดเนื้อเป็นสิ่งจำเป็น”…นี่คือคำให้การของมุสลิมะฮฺผู้รอดชีวิตจากมัสยิดแดง
[บันทึกจากผู้เรียบเรียง (ภาษาอังกฤษ) :
อัลฮัมดุลิลลาฮฺ ที่เราได้รับโอกาสให้เผยแพร่บทสัมภาษณ์นักศึกษามุสลิมะฮฺที่รอดชีวิตมาจากเหตุการณ์ฆาตรกรรมแห่งมัสยิดแดง
ซึ่งนำเสนอโดย urdupoint.com …ถ้าโลหิตของคุณยังไม่ได้เดือดพล่านมาก่อนหน้านี้ มันก็จะต้องได้เดือดภายหลังจากอ่านบทสัมภาษณ์ต่อไปนี้]
อิสลามาบัด : นักศึกษามุสลิมะฮฺผู้รอดชีวิตจากการฆาตกรรมที่กองกำลังนอกศาสนาของปากีสถานกระทำ ณ มัสยิดแดง ได้ให้สัมภาษณ์แก่สถานีโทรทัศน์ท้องถิ่นถึงประสบการณ์อันเลวร้ายที่พวกเธอได้ประสบมา
อะมามะฮฺ, มุสลิมะฮฺผู้รอดชีวิตได้เล่าว่าในวันที่ 6 ของการปิดล้อมมัสยิดแดง เธอจำต้องยอมออกมาจากบริเวณมัสยิด ในขณะนั้นมีพี่น้องมุสลิมะฮฺอยู่ในญามิอะฮฺฮัฟเซาะฮฺ (ซึ่งอยู่ภายในบริเวณของมัสยิดแดง) ประมาณ 1,500 คน เธอยืนยันว่าผู้คุมมัสยิดไม่ได้ใช้การกดดันใดใดทั้งสิ้นเพื่อให้นักศึกษาคงอยู่ภายในบริเวณที่ถูกปิดล้อม และไม่มีใครถูกจับเป็นตัวประกันแม้แต่คนเดียว
อะมามะฮฺบอกว่ามุสลิมะฮฺทุกคนในนั้นมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะเป็นชะฮีด
และทุกคนก็หวังว่าร่างของตนจะถูกฝังไว้ในญามิอะฮฺฮัฟเซาะฮฺ ไม่มีใครเต็มใจจะละทิ้งที่นั่นออกมา อุมมุฮัซซานผู้เป็นครูใหญ่สั่งให้พวกเธอออกมาจากที่นั่น แต่ทุกคนก็ปฏิเสธที่จะทำตาม
อะมามะฮฺเล่าต่อไปว่า “เรายอมออกจากบริเวณมัสยิดมาก็เมื่ออุมมุฮัซซานบอกกับเราว่าให้พวกเราออกมาก่อน แล้วเธอจะตามออกมาทีหลัง…แต่เมื่อเราออกมาแล้ว ก็พบว่าทั้งอุมมุฮัซซานและครอบครัวของเธอไม่ได้ตามเราออกมา…นี่คือสิ่งที่เราทุกคนรู้สึกขุ่นเคืองเป็นอย่างมาก”
หลังจากการให้สัมภาษณ์ครั้งนี้จบลง หน่วยข่าวกรองของรัฐบาลนอกศาสนาก็เข้ามาควบคุมความเคลื่อนไหวของบรรดามุสลิมะฮฺที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์มัสยิดแดงอย่างใกล้ชิด ทำให้สถานีโทรทัศน์ท้องถิ่นอื่น ๆ ยกเลิกแผนที่จะสัมภาษณ์พวกเธอไป
อย่างไรก็ตาม ในระหว่างการให้สัมภาษณ์ครั้งนี้ อะมามะฮฺได้เปิดเผยว่า
“ในวันที่หกของการปิดล้อมซึ่งพวกเราจำต้องยอมจำนนออกมานั้น มีพี่น้องมุสลิมะฮฺของเราประมาณ 100 คน
และพี่น้องมุสลิมีนอีกราว ๆ 200 คน ตายชะฮีดไปแล้วภายในบริเวณที่ถูกปิดล้อม
ห้องเรียนของเราเต็มไปด้วยร่างไร้วิญญาณของบรรดาชุฮะดาอฺทั้งมุสลิมีนและมุสลิมะฮฺ…
บรรดามุสลิมีนพยายามต่อต้านกองกำลังของมารร้ายด้วยปืน เอ.เค.47 ที่มีอยู่เพียง 15 กระบอก พวกเขาได้พิสูจน์ให้เห็นว่าการยืนหยัดเพื่อสัจธรรมนั้นต้องการเพียงความเชื่อมั่นและความศรัทธาที่มั่นคง
ไม่ใช่อาวุธยุทโธปกรณ์หรือกำลังพล”อะมามะฮฺยังได้ปฏิเสธคำโฆษณาชวนเชื่ออันตลบตะแลงของรัฐบาลมุชาราฟที่กล่าวหาผู้คนในมัสยิดแดงเป็นพวกผู้ก่อการร้ายด้วยว่า
“นักสู้ทุกคนในมัสยิดแดงคือนักศึกษามุสลิมีนของพวกเรา และถ้าข้อกล่าวหาของรัฐบาลเป็นความจริงแล้ว ทำไมถึงไม่ยอมให้บรรดาสื่อมวลชนเข้ามาทำข่าวภายในบริเวณที่ถูกปิดล้อมล่ะ?”
อะมามะฮฺได้ร้องไห้ขณะกล่าวต่อไปว่า
“ขณะที่พี่น้องมุสลิมีนและมุสลิมะฮฺของเราอ้าแขนรับการตายชะฮีดนั้น
ขวัญและกำลังใจของเราได้เพิ่มพูนขึ้น เราไม่หวั่นเกรงเลยต่อลูกปืน และความเสียหายที่มันได้สร้างขึ้น”
สำหรับข้อกล่าวหาที่ว่ามีแหล่งที่ซ่อนอาวุธหนักอยู่ภายในมัสยิดแดงนั้น เธอกล่าวว่า
“มันเป็นการกล่าวหาที่ไร้มูลความจริงอย่างสิ้นเชิง รัฐบาลได้ปล่อยข่าวว่าถ้าเราไม่มีคลังแสงเก็บอาวุธอยู่ภายในแล้ว เราจะต่อต้านกองกำลังของพวกเขาอย่างรุนแรงแข็งขันเช่นนี้ได้อย่างไร?…
ความจริงก็คือพวกเราได้รับความช่วยเหลือจากอัลลอฮฺ พระองค์ได้ทำให้สัญญาของพระองค์เป็นความจริง…สัญญาที่ว่า ผู้ใดที่ต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮฺนั้น อัลลอฮฺจะประทานความช่วยเหลือลงมาให้กับเขา แม้ว่ามันจะเป็นความช่วยเหลือที่มองไม่เห็นก็ตาม…อัลลอฮฺได้ทำให้ความทรงจำเกี่ยวกับสงครามบัดรฺและอุฮุดกลับคืนมา บรรดากองกำลังทรราชย์เหล่านั้นไม่ได้ถูกฆ่าโดยอาวุธของพี่น้องมุสลิมีนของเรา…อัลลอฮฺต่างหากที่ฆ่าพวกเขา!”
ฟาติมะฮฺ, นักศึกษามุสลิมะฮฺอีกคนหนึ่งที่ให้สัมภาษณ์ร่วมกับอะมามะฮฺเล่าว่า
“พี่น้องมุสลิมะฮฺของเราได้ตายชะฮีดไปราว ๆ 1,500 คน แต่รัฐบาลรายงานว่าพวกเขาตายเพียง 200 คน ครอบครัวของเพื่อนรักคนหนึ่งของเราได้ถามถึงลูกสาวของเขา เราไม่รู้จะบอกพวกเขาอย่างไร…อันที่จริงแล้วมีทารกและเด็กหลายคนรวมอยู่ในบรรดาชุฮะดาอฺด้วย…
เด็ก ๆ เหล่านั้นอายุประมาน 2-8 ขวบเท่านั้น”
ฟาติมะฮฺยังได้โจมตีรัฐบาลนอกศาสนาด้วยว่า
“ร่างของนักศึกษาผู้เสียชีวิตซึ่งเป็นชะฮีดนั้นถูกดูหมิ่น
พวกเขาพยายามซ่อนเร้นร่างเหล่านั้นเพื่ออำพรางอาชญากรรมที่พวกเขาได้ก่อขึ้น ฉันขอเรียกร้องไปยังศาลพิจารณาคดีสูงสุดให้เปิดเผยอาชญากรรมอันโหดเหี้ยมป่าเถื่อนครั้งนี้ออกมา…
ประเทศปากีสถานถูกสถาปนาขึ้นในนามของกะลีมะฮฺอันสูงส่ง นั่นคือคำปฏิญาณว่า “
ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮฺ” แต่หกสิบปีที่ผ่านมา กะลีมะฮฺนี้ถูกล่วงละเมิดครั้งแล้วครั้งเล่า…
การปฏิวัติด้วยกำลังเลือดเนื้อจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการประกาศใช้กฎหมายของอัลลอฮฺในประเทศนี้…
เลือดของบรรดานักศึกษาทั้งมุสลิมีนและมุสลิมะฮฺที่นี่ต้องไม่สูญเปล่า”
“ที่จริงแล้ว…รัฐบาลมุชาราฟสังหารหมู่นักศึกษาที่นี่ก็เพื่อจะปกป้องตัวเอง และเพื่อเอาความดีความชอบจากสหรัฐอเมริกา หลักฐานในเรื่องนี้ก็คือการที่อเมริกาได้จัดเตรียมเครื่องบิน เอฟ16 ไว้ให้รัฐบาลปากีสถานแล้วถึง 2 ลำ” ฟาติมะฮฺตั้งข้อสังเกตเพิ่มเติม
อะมีนะฮฺ เป็นนักศึกษามุสลิมะฮอีกคนหนึ่งซึ่งถูกแยกมาให้มาให้สัมภาษณ์ต่างหาก
เธอได้ยืนหยัดต่อสู้อยู่ในญามิอะฮฺฮัฟเซาฮฺจนกระทั่งถึงวันที่ 6 กรกฎาคม 2007 ก่อนจะจำยอมออกมาจากบริเวณที่ถูกปิดล้อม ด้วยคำสั่งเด็ดขาดของอุมมุฮัซซานผู้เป็นครูใหญ่ เธอได้บอกเล่าช่วงเวลาอันเป็นเสมือนประสบการณ์อันแสนสาหัสของชีวิตเธอ
และเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายในมัสยิดแดง…มีน้ำตาไหลเอ่ออกมาจากดวงตาของเธอเกือบตลอดการให้สัมภาษณ์ โดยชื่อจริงของอะมีนะฮฺจะถูกปิดบังไว้ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย และนี่คือประสบการณ์จากคำบอกเล่าของเธอ :
ผู้สัมภาษณ์ : คุณอายุเท่าไหร่ และเรียนอะไรบ้างในญามิอะฮฺฮัฟเซาะฮฺ?
อะมีนะฮฺ : ฉันอายุ 17 ปี เรียนเกี่ยวกับอัล-กุรอาน, อัล-หะดีษ และวิชาอื่น ๆ ในญามิอะฮฺฮัฟเซาฮฺมาได้ 3 ปีแล้ว
ผู้สัมภาษณ์ : ขอถามตรง ๆ ว่า คุณยืนยันจะอยู่ภายในโรงเรียนของคุณด้วยความสมัครใจ หรือว่าคุณถูกบังคับ?
อะมีนะฮฺ : ไม่เลย! ไม่มีใครบังคับฉัน ฉันยืนยันจะยู่ในนั้นด้วยความเต็มใจของฉันเอง ฉันต้องการจะอยู่สู้ต่อไปด้วยซ้ำ แต่อุมมุฮัซซานใช้อุบายหลอกให้ฉันออกมาในวันที่สามของการปิดล้อม พี่น้องมุสลิมะฮฺของเราราว ๆ 95 คน และมุสลิมีนอีก 75 คน เป็นชะฮีดไปแล้วขณะที่ทำการต่อสู้ พวกเราทุกคนช่วยกันเก็บร่างของบรรดาชุฮะดาอฺเหล่านี้ มือของฉันกลายเป็นสีแดงด้วยเลือดของพวกเขา และในขณะที่เรากำลังเก็บร่างผู้เป็นชะฮีดไปแล้วนั้น ก็จะมีพี่น้องมุสลิมะฮฺของเราเป็นชะฮีดเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ กุรอานที่พวกเรามีอยู่ถูกเปิดทิ้งไว้โดยไม่รู้ว่าจะมีใครได้ปิดมันหรือไม่ เราไม่มีอาวุธอะไรเลยนอกจากจำนวนเล็กน้อยที่บรรดามุสลิมีนใช้ พวกเราทำหน้าที่ขนส่งน้ำไปให้บรรดามุญาฮิดีนมุสลิมีนของเรา
กิจวัตรของเราดำเนินไปเช่นนี้เป็นเวลาประมาน 3 วัน อุมมุฮัซซานก็แจ้งให้เราทราบว่า
ขณะนี้มีพี่น้องมุสลิมะฮฺอยู่ร่วมกันที่นี่ประมาน 1,500 คน และไม่มีอาหารเพียงพอสำหรับจะรับประทาน
อุมมุฮัซซานเรียกพวกเราไป และขอร้องให้เราออกไปจากที่นี่ เธอยังได้ขอร้องให้รุ่นพี่มุสลิมะฮฺส่วนหนึ่งรับผิดชอบดูแลให้รุ่นน้องไปถึงบ้านโดยปลอดภัย
แต่มุสลิมะฮฺทุกคนรวมทั้งฉันปฏิเสธที่จะออกไปจากที่นี่
อุมมุฮัซซานจึงบอกว่าให้พวกเราออกไปก่อน แล้วเธอจะตามออกไป
เมื่อเธอยืนยันเช่นนี้อีกครั้ง พวกเราจึงยอมออกมา แต่แล้วเธอก็ไม่ได้ตามเราออกมา (เช็ดน้ำตา) พวกเราทุกคนไม่มีใครอยากออกมาจากที่นั่น…ทุกคนได้เขียนความปรารถนาสุดท้ายของตนเอาไว้แล้ว นั่นคือการเป็นชะฮีด และทุกคนก็หวังว่าร่างของตนจะถูกฝังเอาไว้ในญามิอะฮฺฮัฟเซาะฮฺ
มีต่อ
Re: ความจริง 2 ด้านที่มัสยิดแดง By: قطوف من أزاهير النور Date: ก.ย. 04, 2007, 03:35 PM
ผู้สัมภาษณ์ : บอกเราหน่อยเถิดอะมีนะฮฺว่ามีมุสลิมะฮฺเหลืออยู่กี่คน ขณะที่คุณออกมาจากที่นั่น?
อะมีนะฮฺ : มีนักศึกษามุสลิมะฮฺอยู่ที่นั่นราว ๆ 1,800 คน กลุ่มที่ออกมาพร้อมกับฉันมีประมาณ 300 คน ในขณะนั้นมีพี่น้องมุสลิมะฮฺของเราเป็นชะฮีดไปแล้วประมาน 100 คน ในจำนวนนี้มีเด็ก ๆ ที่อายุเพียง 2 ขวบรวมอยู่ด้วย มุสลิมะฮฺหลายคนถึงกับเป็นลมหมดสติไปขณะเก็บร่างไร้วิญญาณของเด็ก ๆ เหล่านี้
ผู้สัมภาษณ์ : คุณบอกว่ามีมุสลิมะฮฺเพียง 300 คนที่ออกมาตามคำสั่งของอุมมุฮัซซาน แล้วที่เหลือไปอยู่เสียที่ไหนล่ะ?
อะมีนะฮฺ : นั่นคือสิ่งที่เราทุกคนและผู้ปกครองผู้สิ้นหวังในการตามหาลูกสาวของตัวเองอยากจะรู้ ฉันมั่นใจว่าไม่มีพี่น้องมุสลิมะฮฺคนไหนอยากจะออกมาจากที่นั่น และทุกคนก็พร้อมที่จะเสียสละชีวิตของตนเอง
พี่น้องมุสลิมะฮฺของเราถูกพวกเขาสังหารหมู่อย่างไร้ความเมตตา
แล้วพวกเขาก็เร่งรีบนำร่างของพวกเธอไปฝังท่ามกลางความมืดมิดของกลางคืน
มีมุสลิมะฮฺเหลืออยู่ในญามิอะฮฺฮัฟเซาะฮฺประมาน 1,500 คน…พวกเธอทั้งหมดนั้นเป็นชะฮีด!ผู้สัมภาษณ์ : คุณช่วยเล่าความเป็นไปภายในญามิอะฮฺฮัฟเซาะฮฺก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ครั้งนี้ให้พวกเราฟังได้ไหม?
อะมีนะฮฺ :
เราใช้ชีวิตประจำวันกันที่นี่ เหมือน ๆ กับตอนที่เราอยู่บ้าน เราจัดเตรียมทุกสิ่งไว้ภายในญามิอะฮฺ และนี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ครอบครัวของฉันส่งฉันมาเรียนที่นี่ หลังละหมาดอัสริ์เราจะมาเล่นกันที่สนามหญ้าพร้อม ๆ กับบรรดาลูกสาวของอุมมุฮัซซานกับเมาลานาอับดุลอะซีซ
แต่หลังจากรัฐบาลประกาศเคอร์ฟิวและตัดน้ำตัดไฟภายในญะมิอะฮฺฮัฟเซาะฮฺ เราก็มีปัญหาเพิ่มขึ้น
แต่ขวัญและกำลังใจของเรายังคงมีอยู่สูงมาก
ฉันรู้สึกเหมือนพวกเรากำลังอยู่ในสมรภูมิรบ แม้ว่าสภาพการณ์ภายในญามิอะฮฺจะยากลำบากเหลือทนเมื่อกองกำลังของรัฐบาลระดมยิ่งแก๊สน้ำตาและระเบิดเข้ามา แต่เราก็ยังสามารถอยู่หลังจากนั้นได้ถึงสามวัน ขณะที่พี่น้องมุสลิมีนและมุสลิมะฮฺที่เหลือของเราสามารถยืนหยัดต่อสู้อยู่ภายในนั้นได้อีกเกือบสัปดาห์ผู้สัมภาษณ์ : แล้วคุณวางแผนไว้ยังไงกับอนาคตของคุณหลังจากนี้?
อะมีนะฮฺ : ฉันต้องการจะแบกรับภาระในฐานะตัวแทนของอัลลอฮฺต่อไป สำหรับชีวิตของฉัน…การตายชะฮีดคือเป้าหมายสูงสุดที่มาก่อนสิ่งอื่นใดทั้งหมด
หลังการกระทำครั้งนี้ของรัฐบาล ปากีสถานดูเหมือนจะไม่ใช่ประเทศมุสลิมอีกต่อไป ฉันรู้สึกว่าพี่น้องมุสลิมะฮฺโดยเฉพาะเด็กเล็ก ๆ
ที่อายุเพียง 2-8 ขวบนั้นโชคดีเหลือเกินที่ได้สละชีวิตของพวกเขาไปในหนทางของอัลลอฮฺ ในการต่อสู้เพื่อจะทำให้กฎหมายของอัลลอฮฺถูกประกาศใช้
เวลานี้…ฉันไม่มีความปรารถนาที่จะรับประทานอาหารหรือทำงานอะไรเลย ฉันได้แต่เฝ้าขอดุอาอฺหลังละหมาดทุกเวลาให้ฉันได้ตายชะฮีดในหนทางของอัลลอฮฺ
ฉันเชื่อว่าแม้เมาลานาอับดุรรอชีดจะเสียชีวิตไปแล้ว
แต่การเคลื่อนไหวเพื่อให้กฎหมายของอัลลอฮฺถูกประกาศใช้จะไม่มีวันจบลง
และการปฏิวัติอิสลามจะต้องมาถึงอย่างแน่นอน
ฉันรู้สึกเหมือนปากีสถานไม่ใช่ประเทศของมุสลิมอีกต่อไป แม้มันจะถูกเรียกว่า “รัฐอิสลาม” ฉันรู้สึกราวกับว่าพวกเราเป็นชาวอิรักที่ถูกกองทัพอเมริกันโจมตี
เมาลานาอับดุรรอชีดจะยังคงมีชีวิตอยู่หลังจากการเป็นชะฮีด
และเขาจะเป็นเสมือนเสียงเรียกร้องในหัวใจของฉัน
การเคลื่อนไหวเพื่อการปกครองในระบอบอิสลามจะต้องดำรงอยู่ต่อไป
และการปฏิวัติเพื่อจัดตั้งระบอบอันนั้นจะต้องมาถึงในวันหนึ่งอย่างแน่นอน
ผู้สัมภาษณ์ : ช่วยเล่าเหตุการณ์ขณะที่ญามิอะฮฺฮัฟเซาะฮฺถูกโจมตีให้เราฟังหน่อย
อะมีนะฮฺ : (ร้องไห้) มือทั้งสองของฉันกลายเป็นสีแดงด้วยเลือดขณะที่ช่วยกันเก็บร่างของบรรดาชุฮะดาอฺ
ฉันเคยได้ฟังคุตบะฮฺ และเคยได้ยินข่าวเกี่ยวกับพี่น้องมุสลิมะฮฺที่ต้องคอยเก็บศพบรรดาชุฮะดาอฺในแคชเมียร์ แต่ตอนนี้พี่น้องมุสลิมะฮฺที่นี่รวมทั้งฉันได้ทำให้คำบอกเล่านั้นกลายมาเป็นภาพจริงที่ในมัสยิดแดง และญามิอะฮฺฮัฟเซาะฮฺ
พวกเราแต้มสีให้แก่มือของเราด้วยเลือดของบรรดาชุฮะดาอฺ
ฉันไม่สามารถอธิบายประสบการณ์ในช่วงเวลาแบบนั้นออกมาเป็นคำพูดได้
เมื่อกองกำลังรักษาความปลอดภัยเปิดฉากโจมตีเรา มันเป็นเหมือนวันโลกาวินาศสำหรับพวกเราเลยทีเดียว ฉันเรียนหนังสือที่นี่มาเป็นระยะเวลาพอสมควร แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ต้องพบกับสถานการณ์ที่ตัวเองถูกเรียกว่า
“ผู้ก่อการร้าย” ในดินแดนที่ถูกเรียกว่า “ประเทศมุสลิม”
ห้องเรียนทั้งหลายภายในญามิอะฮฺถูกปกคลุมด้วยกลุ่มควันตลอดสามวัน ทำให้พี่น้องมุสลิมะฮฺจำนวนหนึ่งเริ่มสำลักควัน เราทุกคนตัดสินใจแล้วว่าตายด้วยลูกกระสุนปืนย่อมดีกว่าตายเพราะสำลักควัน
แต่บรรดามุสลิมีนก็ขอร้องไม่ให้เราออกไปร่วมรบในแนวหน้า
ถึงอย่างนั้นพวกเราก็ยังยืนกรานอย่างแข็งขันที่จะต่อสู้หรือไม่ก็ตายในการต่อสู้
จนกระทั่งอุมมุฮัซซานได้มาส่งเราออกไปจากที่นี่ ขณะนั้นกุรอานบางเล่มของเราหล่นจากตู้ลงมาอยู่บนโต๊ะ โดยที่ฉันไม่มีโอกาสได้รู้เลยว่าจะมีใครเก็บมันใส่กลับเข้าตู้หรือเปล่า…ที่ส่วนหน้าของอาคารญามิอะฮฺฮัฟเซาะฮฺ มีกุรอานหลายเล่มตกอยู่ในบริเวณที่มีการเปิดฉากยิงใส่กัน มีพี่น้องมุสลิมะฮฺของเราหลายคนพยายามที่จะเข้าไปเก็บมันขึ้น…
โปรดเชื่อฉันเถิดว่า ขณะนั้นเองที่พวกเธอถูกกราดกระสุนใส่ และเสียชีวิตลงบนตักของพวกเราที่เหลือนี่เอง(ถึงตรงนี้…อะมีนะฮฺก็ไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้อีก)
มีต่อ
Re: ความจริง 2 ด้านที่มัสยิดแดง By: قطوف من أزاهير النور Date: ก.ย. 04, 2007, 03:38 PM
พี่น้องมุสลิมะฮฺผู้ศรัทธาของเราจำนวนหนึ่งยังคงตกอยู่ในความควบคุมของรัฐบาลนอกศาสนา ขณะที่ครอบครัวของพวกเธอยังคงรอคอยการกลับมาของพวกเธออยู่ เจ้าหน้าที่รัฐบาลบอกว่าลูกสาวของพวกเขาจะได้รับการปล่อยตัวออกมาในไม่ช้า แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าเมื่อไหร่…เกียรติยศของพวกเธอจะไม่ได้รับการประกันความปลอดภัยเลย ตราบใดที่พวกเธอยังต้องตกอยู่ในมือของบรรดาอาชญากรผู้ทรยศต่อศาสนาเหล่านั้น
มัสยิดแดงได้ถูกโจมตีจนเสียหายแล้วโดยกองกำลังนอกศาสนาของปากีสถาน เลือดอันบริสุทธิ์ของพี่น้องมุสลิมะฮฺได้ถูกชำระทำความสะอาดแล้วจากที่นั่น และร่างของพวกเธอก็ถูกเคลื่อนย้ายสู่สุสานอย่างรวดเร็วท่ามกลางความมืดมิดของค่ำคืน
การฆาตรกรรมอันโหดเหี้ยมและการทำลายล้างอย่างไร้ความปรานีที่ถูกกระทำ ณ มัสยิดแดง
และญามิอะฮฺฮัฟเซาะฮฺได้แสดงให้เห็นแล้วว่า บรรดาทรราชนอกศาสนาจะดำเนินนโยบายอันไร้ศีลธรรมของพวกเขาต่อไป
ไม่มีผู้ชายที่กล้าหาญเหลืออยู่เลยหรือในปากีสถาน…ขณะที่เลือดของมุสลิมะฮฺได้รินหลั่ง
บรรดาทหารมุสลิมไปอยู่เสียที่ไหน
…ในขณะที่เสียงเรียกร้องไปสู่อิสลามถูกทำลายอย่างโหดร้าย
โอ้ประเทศปากีสถาน!
…จงลุกขึ้นและล้มล้างพวกนอกศาสนาที่ล่วงละเมิดคำสั่งของอัลลอฮฺเถิด
โอ้อุละมาอฺแห่งปากีสถาน!
…จงมาเถิด มาร่วมมือกับบรรดาผู้บริสุทธิ์แห่งมัสยิดแดง เพื่อปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากความหวาดกลัวต่อบรรดาทรราช
โอ้ประชาชาติอิสลามแห่งปากีสถาน!
…จงละทิ้งความคลุมเครือในจุดยืนของพวกท่านไปเสียเถิด แน่นอนว่าพวกท่านจะต้องถูกสอบถาม ณ ที่อัลลอฮฺ
โอ้หนุ่มสาวแห่งปากีสถาน!
…จงลุกขึ้น และจงเตรียมให้พร้อมซึ่งการญิฮาดกับมารร้ายตัวใหญ่ นั่นคือสหรัฐอเมริกาและรัฐบาลของมุชาราฟซึ่งเป็นโฉมหน้าของผู้ที่สับปลับที่สุดในโลก
โอ้อัลลอฮฺ!
โปรดประทานความช่วยเหลือแก่ผู้หญิงที่ถูกข่มเหง และบรรดาเด็ก ๆ ที่ถูกสังหารในหนทางของพระองค์ โดยน้ำมือของกองกำลังของบรรดามุนาฟิกีนด้วยเถิด
โอ้อัลลอฮฺ!
โปรดทำลายล้างกองทัพของพวกมารและแทนที่อำนาจของพวกเขาด้วยบรรดาผู้ศรัทธา
และโปรดประทานความเข้มแข็งให้แก่บรรดามุญาฮิดีนด้วยเถิด
ขออัลลอฮฺโปรดทำลายล้างบรรดาไพร่พลของพวกมุนาฟิกีนซึ่งสนับสนุนรัฐบาลทรราชทั้งที่เปิดเผยและที่ซ่อนเร้น และขออัลลอฮฺโปรดทำลายล้างการรายงานข่าวโดยสื่อมวลชนของพวกเขาและแผนการชั่วร้ายต่าง ๆ ของพวกเขาด้วยเถิด
*****
Re: ความจริง 2 ด้านที่มัสยิดแดง By: قطوف من أزاهير النور Date: ก.ย. 04, 2007, 03:42 PM
ที่มา
http://alistishhad.wordpress.com/2007/07/22/as-sahab-lal-masjid/ื
Re: ความจริง 2 ด้านที่มัสยิดแดง By: al-azhary Date: ก.ย. 04, 2007, 04:19 PM
جزاكِ الله خيراَ สำหรับการนำเสนอครับ
Re: ความจริง 2 ด้านที่มัสยิดแดง By: musalmarn Date: ก.ย. 04, 2007, 07:14 PM
แล้วฉันจะไป ...
อีกครั้ง
อินชาอัลลอฮ :'(
Re: ความจริง 2 ด้านที่มัสยิดแดง By: sufriyan Date: ก.ย. 04, 2007, 07:38 PM
เรื่องนี้ผมก็อยากรู้มานานแล้ว ขอบคุณครับ
Re: ความจริง 2 ด้านที่มัสยิดแดง By: คนจำเป็น Date: ก.ย. 04, 2007, 10:24 PM
ญะซากัลลอฮฺ น้องอรูชา ครับ
ข้อมูลที่นำเสนอ แน่นมาก
อ่านประโยคนึงจาก อะมีนะฮฺ เธอบอกว่า ไม่สมควร จะเรียก ประเทศปากีสถาน เป็นประเทศมุสลิม
ฟังแล้ว สะเทือนใจมากครับ ผุ้นำคนเดียว เปลี่ยนแปลงโลกมุสลิมได้ขนาดนี้
:'( :'(
Re: ความจริง 2 ด้านที่มัสยิดแดง By: บาชีร Date: ก.ย. 05, 2007, 02:59 PM
อ่านแล้วหัวใจมันรุ้มร้อนตาแดง
Re: ความจริง 2 ด้านที่มัสยิดแดง By: almadany Date: ก.ย. 05, 2007, 08:15 PM
ได้อ่านแล้ว...รู้สึกว่าอยากจะไปอยู่ในมัสยิดแดงด้วย...
Re: ความจริง 2 ด้านที่มัสยิดแดง By: น้องปุ้มปุ้ยเองค่ะ ^^ Date: ก.ย. 06, 2007, 11:47 AM
ได้อ่านแล้ว...รู้สึกว่าอยากจะไปอยู่ในมัสยิดแดงด้วย...
หนูขอติดไปด้วยนะคะ พี่ kowee

อ่านแล้วเศร้าปนแค้น นิด ๆ เลยนะคะ พี่ๆ หนูไม่เข้าใจว่า ทำไมมุสลิมด้วยกันต้องมาฆ่า มุสลิมด้วยกันเองด้วย
ก็ไหนว่า พี่น้องกัน ทำไม ต้องฆ่าแกง อย่างโหดร้าย เพื่อ เอาผลประโยชน์ ทางดุนยา
ทำไม ๆๆๆๆๆๆ

แต่หนูไม่ถามอย่างเดียวหรอกนะคะ หนูแอบขอดุอา ให้พี่น้องหนูเรียบร้อยแล้วค่ะ

Re: ความจริง 2 ด้านที่มัสยิดแดง By: ILMUKALIL.. Date: ก.ย. 06, 2007, 12:11 PM
หนึ่งคนกับหนึ่งคำสั่ง ตาย
BY MUSHARAF >

Re: ความจริง 2 ด้านที่มัสยิดแดง By: قطوف من أزاهير النور Date: ก.ย. 15, 2007, 11:10 PM
เวทีวิพากษ์ : เลือดทามัสยิดแดง สงครามตัวแทนบุช - อุสามะห์ ...! 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 10:00:00
มัสยิดแดงในกรุงอิสลามาบัด ปากีสถาน ไม่เพียงเป็นศาสนสถานในการประกอบศาสนกิจเท่านั้น หากยังมีฐานะเป็นมัดรอซะห์ หรือปอเนาะในการบ่มเพาะอุดมการณ์การต่อสู้ของนักรบอิสลามด้วย
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : และที่นี้นี่เอง เป็นแหล่งผลิตนักรบตอลีบัน ซึ่งเข้าไปยึดครองอัฟกานิสถานยุคก่อนที่สหรัฐจะส่งกองกำลังทหารไปไล่ล่าอุสามะห์ บิน ลาเดน แห่งขบวนการอัล-กออิดะห์ รวมทั้งเป็นแหล่งผลิตนักรบภายใต้ร่มธงแห่งการญิฮาดที่ส่งออกไปยังทุกสมรภูมิรบ
ฉะนั้น 50 ศพ ที่ถูกหน่วยคอมมานโดสังหารที่มัสยิดแดง ภายใต้คำบัญชาของพล.อ.เปอร์เวซ มูชาร์ราฟ ประธานาธิบดีปากีสถาน จึงเป็นเสมือนการประกาศสงครามระหว่างสหรัฐ ที่เป็นเงาร่างของมูชาร์ราฟ และอุสามะห์ บิน ลาเดน ผู้นำขบวนการก่อการร้ายหมายเลขหนึ่ง ผู้มีสายสัมพันธ์แนบแน่นกับมัสยิดแดง นับจากยุคของมูฮัมหมัด อับดุลเลาะห์ ผู้ก่อตั้งแล้ว วิดีโอเทปชุดใหม่ที่ปรากฏเสียงของอุสามะห์ บิน ลาเดน สนับสนุนผู้นำอัล-กออิดะห์ คนใหม่ในอัฟกานิสถาน ยาวหนึ่งนาทีล่าสุด หลังจากที่เขาหายหน้าไปกว่าปี คล้ายประกาศสงครามครั้งใหม่ระหว่างสหรัฐกับนักรบมุญาดีน
นักรบศักดิ์สิทธิ์ ที่ผลิตจาก 'มัดรอซะห์' โรงงานแห่งการก่อการร้าย อาจมีความเชื่อในศาสนาแตกต่างไปจากความเชื่อโดยทั่วไป
เขาเชื่อว่าอิสลามมิใช่ศาสนา หากแต่เป็นวิถีชีวิต (Way of life) ที่ครอบคลุมทั้งกระบวนการของชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย
โครงสร้างหลักของอิสลาม ประกอบด้วยส่วนที่เป็นหลักศรัทธา หรือจินตภาพ 6 ประการ หลักปฏิบัติหรือกายภาพ 5 ประการ
เรียกกันว่ารุกุ่นอีหม่าน และรุกุ่นอิสลาม
การศรัทธาในพระเจ้า ศรัทธาในบรรดามลาอิกะฮ์ ศรัทธาในบรรดาคัมภีร์ ศรัทธาในบรรดาศาสนทูต ศรัทธาในวันพิพากษา และศรัทธาในกฎกำหนดสภาวการณ์ เหล่านี้รวมเรียกว่ารุกุ่นอีหม่าน
เมื่อเชื่อและศรัทธาแล้ว ก็ต้องปฏิบัติเพื่อยืนยันความเชื่อนั้น ด้วยการปฏิญาณตน ถือศีลอด บริจาคซะกาต ประกอบพิธีฮัจญ์ นมาซ นมัสการ หรือละหมาด 5 เวลา ในภาพเป็นอิริยาบถหนึ่งของการละหมาด อันเป็นเสาหลักสำคัญของศาสนา
ภาพของอุสามะห์ บิน ลาเดน แห่งอัล-กออิดะห์ อาจเป็นหัวหน้าใหญ่ของขบวนการก่อการร้าย หรือมหาโจรที่เป็นภัยคุกคามต่อความสงบสุขของพลโลก จากฐานข้อมูลของซีเอ็นเอ็นและสื่อตะวันตก แต่เขาคือฮีโร่ของคนมุสลิมกลุ่มหนึ่ง
คำประกาศต่อสู้อันเด็ดเดี่ยวต่อชาติมหาอำนาจอย่างสหรัฐ การเรียกร้องคืนแผ่นดินปาเลสไตน์ให้กับเจ้าของแผ่นดิน อาจมิได้ทำให้อุสามะห์โดดเด่นกว่าบรรดาผู้นำอิสลามยุคใหม่ หากแต่วิถีชีวิตที่เรียบง่าย บุคลิกภาพแบบอิสลามที่อ่อนโยน
แต่แฝงด้วยความมุ่งมั่น ถูกออกแบบมาเป็นเช่นเดียวกับศาสดาแห่งอิสลาม
อุสามะห์ มีทรัพย์สินเงินทองระดับมหาเศรษฐี เขาสามารถเลือกที่จะมีชีวิตอย่างสุขสบายได้ แต่ผืนทรายแห้งแล้ง ร้อนระอุ กลับเป็นที่นอน เถื่อนถ้ำคือที่พำนัก ที่เขาหลบเร้นกายจากการไล่ล่าของสหรัฐมานานหลายปี
ศาสดาก็เป็นเช่นนี้..
หลังปักธงแห่งอิสลามลงบนผืนทะเลทรายกว้างใหญ่ บนดินแดนญาฮิลียะห์ ในยุคแห่งความป่าเถื่อน โง่เขลา ศาสดาครองทั้งอาณาจักรและศาสนจักรทั่วทั้งคาบสมุทรอารเบีย เป็นทั้งจอร์จ บุช และโป๊ปในเวลาเดียวกัน แต่จนวันนี้ไม่มีแม้แต่เศษซาก อิฐหัก กากปูนสักชิ้นหนึ่ง ที่แสดงถึงความยิ่งใหญ่ของมุฮำมัด ไม่มีปราสาทราชวัง ปราศจากถาวรวัตถุใดๆ นอกจากบ้านหลังเล็กๆ ที่มะดีนะฮ์ เมืองที่มุฮำมัดอพยพลี้ภัยไปพำนักอยู่ ที่มะดีนะฮ์นี่เอง คือเมืองต้นแบบ รวมทั้งแหล่งความรู้เรื่องมนุษย์ต้นแบบของอิสลาม
ภารกิจแรกของศาสดา คือการสร้างมัสยิด
ศาสดาทำงานก่อสร้างเอง ไม่ต่างจากกรรมกร
มัสยิดแห่งนี้เป็นสถานที่แรกที่มุสลิมมาทำละหมาดร่วมกัน
ศาสดามุฮำมัด ได้ใช้ความพยายามยกเลิกลัทธิการถือเผ่าพันธุ์ โดยรวมชาวมะดีนะฮ์เข้าเป็นกลุ่มเดียวกันภายใต้ชื่ออันศอร
อันศอรและมุฮาญิรูน เป็นเสมือนเมล็ดพันธุ์แห่งอิสลามที่เติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่ วงปีของชีวิตที่ผ่านมานับพันปี สร้างให้พลโลกมุสลิมเป็นไม้ที่แข็งแกร่งดุจหินผา
เอกภาพที่ถูกย้ำเตือนซ้ำแล้วซ้ำเล่านี่เอง ย่อมเป็นอาวุธอันทรงพลานุภาพยิ่งในการต่อสู้กับทหารแห่งกองทัพทุน ที่กำลังอ่อนเปลี้ยเสียขาในอิรัก อัฟกานิสถาน และทุกหนแห่งในโลก
จักรกฤษ เพิ่มพูล
chakkrish@nationgroup.comhttp://www.bangkokbiznews.com/2007/07/19/WW06_0610_news.php?newsid=84937อีกมุมมอง !!!!
Re: ความจริง 2 ด้านที่มัสยิดแดง By: นูรุ้ลอิสลาม Date: ก.ย. 16, 2007, 02:53 AM
ญะซากัลลอฮ์สำหรับน้องชาฯที่ติดตามสถานการณ์แบบติดๆ แล้วนำมาเสนอแก่พี่น้อง