วิจารณ์คำตอบเรื่องเมาลิดของ อ.ฟาริด By: นูรุ้ลอิสลาม Date: ต.ค. 27, 2006, 06:08 AM
بسم الله الرحمن الرحيم
คำถามที่ 16 เมาลิด
คำถามโดยคุณยะห์ยา
การจัดงานเมาลิดผิดศาสนาหรือไม่ครับขอให้วิทยากรตอบโดยอย่างละเอียด
คำตอบโดย อาจารย์ฟารีด เฟ็นดี้
ผู้ถามต้องการให้ตอบคำถามนี้อย่างละเอียด แต่ความจริงแล้วเรื่องเมาลิดนี้มีการพูดกันมาเนินนาน ซึ่งมีการนำเสนอหลักฐานและข้อโต้แย้งกันอย่างแพร่หลาย และตราบใดที่ยังมีการกระทำกันอยู่ก็คงต้องพูดกันไม่รู้จักจบ โดยฝ่ายที่ทำก็อ้างว่าเป็นการแสดงความรักต่อท่านนบีแม้จะไม่มีหลักฐานจากนบีหรือศอฮาบะห์ก็ตาม และฝ่ายที่ไม่ทำก็พูดว่า รักนบีต้องตามคำสอนของนบี ไม่ใช่รักนบีแล้วทำบิดอะห์
เรื่องนี้ถ้าเรามีสติ และไม่ใช้อารมณ์เป็นใหญ่ก็คงเจอข้อเท็จจริงได้ไม่ยาก เพราะเรื่องศาสนานั้นต้องมีที่มา ไม่ใช่ใครคิดจะทำอย่างไรก็ได้ เพราะนั่นไม่ใช่อิสลาม และศาสนาก็ไม่ได้อยู่ที่ความนิยมของผู้ใด เรื่องศาสนาต้องมีหลักฐานจากอัลกุรอาน,ฮะดีษ หรือร่องรอยการปฏิบัติจากเหล่าศอฮาบะห์
แต่ ณ.ที่นี้ผมขอชี้แจงอีกมุมหนึ่งที่อาจทำให้ท่านได้เห็นข้อเท็จจริงได้ไม่ยากคือ หลักฐานโดยตรงที่ใช้หรือสนับสนุนให้ทำเมาลิดนั้นไม่มีสักบทเดียว ขอยืนยันว่า หลักฐานโดยตรงไม่มีสักบทเดียว ดังนั้นผู้ที่นิยมกระทำจึงต้องหาหลักฐานอ้างอิงโดยทางอ้อม นั่นคือการนำตัวบทในเรื่องอื่นมาเปรียบเทียบ หรือตีความเอา เช่น หลักฐานเรื่องการถือศีลอดซุนนะห์วันจันทร์ ซึ่งผู้ที่นิยมกระทำเมาลิดได้นำเรื่องนี้ไปชี้ประเด็นว่า ท่านนบีให้ความสำคัญต่อวันจันทร์ซึ่งเป็นวันเกิดของท่าน แต่การนำเรื่องเมาลิดไปเปรียบเทียบกับเรื่องถือศีลอดนั้นเป็นเรื่องที่ไกลจากความเป็นจริงเพราะ
1 ? เงื่อนไขและวิธีการปฏิบัติต่างกัน
2 ? ซุนนะห์ถือศีลอดวันจันทร์นั้นเป็นซุนนะห์รายสัปดาห์ (มีซุนนะห์ทุกวันจันทร์) แต่เราทำเมาลิดรายปีไม่ได้ทำทุกวันจันทร์
3 ? หรือหากท่านทำเมาลิดทุกวันจันทร์จริงก็เป็นการเปรียบเทียบที่ไกลจากตัวบทเหลือเกินเพราะวันจันทร์มีซุนนะห์ให้บวช ไม่ใช่ซุนนะห์ให้ทำเมาลิด บวชกับเมาลิดเป็นการเปรียบเทียบคนละเรื่อง
4 ? ตัวบทหลักฐานเรื่องซุนนะห์ถือศีลอดวันจันทร์นี้เป็นคำสอนของท่านนบี ผ่านคนในยุคแรกมาแล้ว เช่นเหล่าศอฮาบะห์และตาบีอีนและตาบีอิตตาบีอีน แต่บุคคลเหล่านี้เขาไม่ได้เข้าใจเช่นเรา
5 ? พิธีกรรมในการทำเมาลิดเป็นพิธีกรรมประยุกต์ซึ่งคิดสูตรกันเอง จึงทำให้เราเห็นความแตกต่างของพิธีนี้ในแต่ละท้องที่
6 ?ผู้ที่อ้างตนว่าสังกัดมัซฮับชาฟีอีน่าจะตรึกตรองสักนิด เพราะอิหม่ามชาฟีอีไม่ได้ทำเมาลิด และท่านก็ไม่เคยสอนลูกศิษย์ในเรื่องนี้
7 ? เมาลิดกำเนิดในอียิปต์สมัยราชวงศ์ฟาติมีย โดยฝีมือของเหล่าชีอะห์
เรามีวิธีการแสดงความรักต่อท่านนบี ตามที่เหล่าศอฮาบะห์ได้ยึดถือปฏิบัติ นั่นคือการฏออัต หมายถึงการภักดี,น้อมรับและปฏิบัติตาม มิใช่รักนบีด้วยการฟื้นฟูพิธีกรรมของชีอะห์แล้วจะเอาสวรรค์ที่ใคร นอกจากจะไม่ได้สวรรค์แล้ว การถือว่าพิธีกรรมเมาลิดเป็นเรื่องศาสนาจึงเป็นการทึกทักเอาเอง เพราะนบีไม่รู้เรื่อง เหล่าศอฮาบะห์ก็มิได้ปฏิบัติ ฉะนั้นที่ถามว่า เมาลิดผิดศาสนาหรือไม่ ก็ตอบว่าผิดแน่นอน ถือเป็นการแอบอ้าง,ต่อเติมศาสนา ซึ่งถูกเรียกว่าบิดอะห์ หรืออุตริกรรมในศาสนานั่นเอง
ส่วนผู้ที่กล่าวว่า เมาลิดเป็นประเพณี ก็น่าที่จะสืบเสาะสักนิดว่า การทำเมาลิด หรือการจัดเบิรดเดย์ให้แก่นบีนี้เป็นประเพณีของใคร และมีที่มาอย่างไร ซึ่งเราได้พบว่าชาวนะศอรอเขาจัดเมาลิด เฉลิมฉลองวันประสูตให้กับพระเยซูคริส ในวันคริสมาส ทุกวันที่ 25 ธันวาคม ของทุกปี
ฉะนั้นที่อ้างกันว่า เมาลิดประเพณีนี้ ความจริงก็คือประเพณีศาสนาของชาวคริสเตียน ที่ชีอะห์ลอกเลียนแบบมา แล้วผู้ที่หวงแหน,ปกป้องรักษาคือเรา เหล่าผู้ศรัทธากระนั้นหรือ
น้อง al-azhary ได้ตอบไว้ในกระทู้มุสลิมไทยว่า
อ้างอิงจาก อ.ฟาริด
ดังนั้นผู้ที่นิยมกระทำจึงต้องหาหลักฐานอ้างอิงโดยทางอ้อม
ตอบ
ความจริงที่อ้างว่าเมาลิดเป็นบิดอะฮ์ที่ลุ่มหลง ก็ใช้หลักฐานอ้างอิงโดยทางอ้อมเช่นเดียว และเป็นหลักฐานที่อ่อน
อ.ฟาริดกล่าวว่า
2 - ซุนนะห์ถือศีลอดวันจันทร์นั้นเป็นซุนนะห์รายสัปดาห์ (มีซุนนะห์ทุกวันจันทร์) แต่เราทำเมาลิดรายปีไม่ได้ทำทุกวันจันทร์
3 ? หรือหากท่านทำเมาลิดทุกวันจันทร์จริงก็เป็นการเปรียบเทียบที่ไกลจากตัวบทเหลือเกินเพราะวันจันทร์มีซุนนะห์ให้บวช ไม่ใช่ซุนนะห์ให้ทำเมาลิด บวชกับเมาลิดเป็นการเปรียบเทียบคนละเรื่อง
4 ? ตัวบทหลักฐานเรื่องซุนนะห์ถือศีลอดวันจันทร์นี้เป็นคำสอนของท่านนบี ผ่านคนในยุคแรกมาแล้ว เช่นเหล่าศอฮาบะห์และตาบีอีนและตาบีอิตตาบีอีน แต่บุคคลเหล่านี้เขาไม่ได้เข้าใจเช่นเรา
ตอบ
ท่านอิบนุ อัลหาจญ์ได้ตอบว่า "ดังนั้น จึงจำเป็นต้องเพิ่มพูนการกระทำบรรดาอิบาดะฮ์และความดีงามในเดือนร่อบิอุลเอาวัล เพื่อชุโกรกตัญญูรู้คุณต่ออัลเลาะฮ์ ในสิ่งที่พระองค์ทรงให้เรามีความดีเลิศจากบรรดาเนี๊ยะมัตอันยิ่งใหญ่นี้ และถึงหากแม้นว่าท่านนบี(ซ.ล.) ไม่ได้ทำการเพิ่มอะมัลอิบาดะฮ์มากไปกว่าเดือนอื่นๆก็ตาม โดยที่สิ่งดังกล่าวนั้น ไม่ใช่อื่นใดเลยนอกจาก เป็นความเมตตาเอ็นดูของท่านนบี(ซ.ล.)ที่มีต่อประชาชาติของท่าน เนื่องจากท่านนบี(ซ.ล.)ได้ละทิ้งอะมัลหนึ่งนั้น เพราะเกรงว่าจะถูกกำหนดฟัรดูแก่ประชาชาติของท่าน นั่นก็เพราะเป็นความเมตตาเอ็นดูของท่านนบี(ซ.ล.) แต่ท่านนบี(ซ.ล.) ได้บ่งชี้ ถึงความประเสริฐของเดือนร่อบิอุลเอาวัลที่ยิ่งใหญ่นี้ ด้วยคำตอบกับผู้ที่ถามถึงการถือศีลอดในวันจันทร์ ว่า ( ذلك يوم ولدت فيه ) "ดังกล่าว(เพราะ)เป็นวันที่ฉันเกิด" เพราะฉะนั้น การในวันจันทร์นี้ ย่อมผนวจถึงการให้เดือนอันมีเกียรติที่ท่านนบีประสูติด้วย...เป็นที่ทราบดีว่า บรรดาสถานที่และกาลเวลานั้นไม่ใช่มีเกียรติด้วยตัวของมันเอง แต่ที่ความมีเกียรติได้เกิดขึ้นแก่มันนั้นด้วยเหตุมีบรรดาความหมายนัยยะที่เฉพาะอยู่ ดังนั้น พวกท่านทั้งหลาย โปรดพิจารณาความพิเศษที่อัลเลาะฮ์ทรงเฉพาะไว้ในเดือนร่อบิอุลเอาวัลและวันจันทรเถิด ท่านไม่เห็นดอกหรือว่า การถือศีลอดในวันจันทร์นั้นเป็นความประเสริฐที่ยิ่งใหญ่ อันเนื่องจากท่านนบีได้ประสูติ ดังนั้น เมื่อเราได้ยอมรับตามนี้ ก็เป็นการสมควรที่จะนำเดือนรอบิอุลเอาวัลที่มีเกียรตินี้ เข้าไปอยู่ในการให้เกียรติ ให้ความสำคัญ อย่างเหมาะสมเพื่อที่จะเจริญรอยตามท่านนบี(ซ.ล.) ที่ได้เจาะจงช่วงเวลาต่างๆ ที่ประเสิรฐ ด้วยการเพิ่มการกระทำความดีงามและทำให้มากๆกับคุณงามความดีในช่วงเวลาที่ประเสริฐนั้น " ท่านอิมามอัศสะยูฏีย์ได้ถ่ายทอดคำพูดของท่านอิบน อัลหาจญ์ จากหนังสือ อัลมัดค๊อล ไว้ในหนังสือ อัลหาวีย์ อัลฟะตะวา เล่ม 1 หน้าที่ 227
และท่านอิบนุอัลหาจญ์ได้กล่าวไว้ใน บทย่อยหนึ่งว่า "หากมีคนกล่าวว่า แท้จริงท่านร่อซุลเลาะฮ์(ซ.ล.)ได้ปฏิบัติอย่างเคร่งครัดในบรรดาช่วงเวลาที่ประเสริฐ ซึ่งท่านนบีได้ปฏิบัติจากสิ่งที่ทราบกันดีและท่านนบีก็ไม่ได้ปฏิบัติเคร่งครัดในเดือนนี้(ร่อบิอุลเอาวัล) เหมือนกับเดือนอื่นๆ ตอบ สิ่งกล่าวนั้น เพราะเป็นที่ทราบดีจากปกติวิสัยอันมีเกียรติของท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ว่า ท่านนั้นต้องการจะให้มีความสะดวกแก่ประชาชาติของท่าน โดยเฉพาะสิ่งที่ท่านนบีเจาะจงเป็นพิเศษเอาไว้ ท่านไม่เห็นดอกรู้หรือว่า ท่านนบี(ซ.ล.) ทรงทำให้มะดีนะฮ์เป็นเขตหวงห้ามเหมือนกับท่านนบีอิบรอฮีมได้ทำให้มักกะฮ์เป็นเขตหวงห้าม โดยพร้อมกับสิ่งดังกล่าวนั้น คือ ไม่อนุญาตให้ทำการล่าสัตว์ ตัดต้นไม้ เพื่อให้ความสะดวกและเป็นความเมตตาแก่ประชาชาติของท่าน......(แล้วท่านอิบนุ อัลหาจญ์กล่าวว่า)
فعلى هذا فتعظيم هذا الشهر الشريف إنما يكون بزيادة الأعمال الزاكيات فيه والصدقات إلى غير ذلك من القربات ، فمن عجز عن ذلك فأقل أحواله أن يجتنب ما يحرم عليه ويكره له لهذا الشهر الشريف
"เมื่อเราได้ดำเนินตามนี้ ดังนั้น การให้เกียรติเดือน(ร่อบิอุลเอาวัล)ที่มีเกียรตินี้ คือการเพิ่มพูนบรรดาอะมัลที่ดีงาม และบรรดาการบริจากทานทั้ง และอื่นๆ อีกจากบรรดาความดีที่สร้งความใกล้ชิด(ต่ออัลเลาะฮ์) ดังนั้น หากผู้ใดที่ไม่สามารถกระทำสิ่งดังกล่าว ก็ให้เขาทำให้น้อยกับบรรดาสภาวะการกระทำต่างๆ ของให้ เขาพ้นจากสิ่งที่ถูกห้ามหรือสิ่งที่น่ารังเกียจ เพื่อให้เกียรติแก่เดือน(ร่อบิอุลเอาวัล)ที่มีเกียรตินี้" หนังสือ อัลหาวีย์ ลิลฟาตาวา ของท่านอิมามอัศศะยูฏีย์ ในเล่ม 1 หน้าที่ 227 - 228 วัลลอฮุอะลัม
อ.ฟาริดกล่าวว่า
5 ? พิธีกรรมในการทำเมาลิดเป็นพิธีกรรมประยุกต์ซึ่งคิดสูตรกันเอง จึงทำให้เราเห็นความแตกต่างของพิธีนี้ในแต่ละท้องที่
ตอบ
ท่าน อิมาม อัซซัยยิด มุหัมมัด บิน อะละวีย์ อัลมาลิกีย์ อัลหะสะนีย์ (ร.ฮ.) ตอบว่า
การเฉลิมฉลองเมาลิด หมายถึง "การแสดงความยินดี การชูโกรในเนี๊ยะมัตที่อัลเลาะฮ์ทรงประทานให้ ด้วยการกระทำความดีงาม" นั่นคือความหมายของการเฉลิมฉลองใน ณ ที่นี้ ดังนั้น การเฉลิมฉลอง ด้วยการชุโกรเนี๊ยะมัตที่อัลเลาะฮ์ทรงประทานอัลกุรอานมาให้นั้น ย่อมมีรูปแบบที่ต่างกันออกไปที่ไม่เคยมีในสมัยท่านนบี(ซ.ล.)มาก่อน โดยที่อัลเลาะฮ์และร่อซูลุลเลาะฮ์ ไม่ได้สั่งให้กระทำเอาไว้
ส่วนหลักการวินิจฉัยนั้น มีประเด็นมากมาย ที่หลักการพื้นฐานของมันได้ระบุเอาไว้ตามหลักของศาสนา แต่วิธีการนั้น ถูกมอบให้กับประชาชาติอิสลามทำการวินิจฉัยได้ อย่างเช่น เรื่องของอัลกุรอาน ซึ่งไม่มีผู้ใดคัดค้านในเรื่องของความดีงามและความประเสริฐของการท่องจำ การเรียน การสอนและเผยแพร่อัลกุรอาน
แต่วิธีการสอน การท่องจำ การเรียน และการเผยแพร่อัลกุรอานนั้น มันมีรูปแบบและวิธีการต่างกันหรือไม่? และอย่างไร?
คำตอบก็คือ ให้ผู้อ่านพิจารณาสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในปัจจุบัน ท่านผู้อ่านจะเห็นและทราบว่า วิธีการสอน การเรียน และการเผยแพร่อัลกุรอานนั้น มีอยู่ในทั้งรูปแบบของ โรงเรียน หรือ มหาวิทยาลัย มีคณะอัลกุรอาน มีสมาคมสอนอัลกุรอาน มีการแข่งขันอ่านอัลกุรอาน ท่องจำอัลกุรอาน มีการมอบรางวัลให้กับผู้ท่องจำอัลกุรอาน มีประกาศนียบัตรให้กับผู้สำเร็จในหลักสูตรวิชาอัลกุรอาน และมีการสัมมนาเกี่ยวกับการเรียนการสอนและความสำคัญของอัลกุรอาน มีการบันทึกอัลกุรอานในรูปแบบ เทป หรือ ซีดี มีการเผยแพร่อัลกุรอาน ที่อยู่ในรูปแบบของโรงพิมพ์ มีการตีพิมพ์อัลกุรอานที่มีสีสันเน้นคำตัจญวีด มีการทำเล่มที่มีหลากหลายรูปแบบ และบางทีการเผยแพร่อัลกุรอานที่อยู่ในรูปแบบของสมาคมนักกอรีย์ เป็นต้น ดังนั้น รูปแบบต่างๆ เหล่านี้ มีอยู่ในสมัยของท่านนบี(ซ.ล.)หรือไม่?? ท่านผู้อ่านโปรดพิจารณาครับ " ดู หนังสือ เฮาล่า อัลอิหฺติฟาล บิซิกรอ อัลเมาลิด อันนะบะวีย์ หน้า 19 - 20
อ. ฟาริด กล่าวว่า
6 ?ผู้ที่อ้างตนว่าสังกัดมัซฮับชาฟีอีน่าจะตรึกตรองสักนิด เพราะอิหม่ามชาฟีอีไม่ได้ทำเมาลิด และท่านก็ไม่เคยสอนลูกศิษย์ในเรื่องนี้
ตอบ
อิมามชาฟิอีย์กล่าวว่า
สิ่งที่ต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาใหม่นั้น มี 2 ประเภท
ประเภทที่หนึ่ง สิ่งที่ถูกทำขึ้นมาใหม่ ที่ขัดแย้งกับอัลกุรอาน ซุนนะฮ์ คำพูดที่ถูกรายงานมา และอิจญฺมาอ์ สิ่งนี้ย่อมเป็นบิดอะฮ์ที่ลุ่มหลง
ประเภทที่สอง สิ่งที่ถูกทำขึ้นมาใหม่จากคุณงามความดี ที่ไม่ขัดกับอันหนึ่งอันใด(ที่กล่าวมาแล้ว)นี้ และนี้ย่อมเป็นสิ่งที่ถูกทำขึ้นมาใหม่โดยไม่ถูกตำหนิ
ดู หนังสือ มะนากิบ อัช-ชาฟิอีย์ เล่ม1 หน้า 468 - 469
อิมามอัชชาฟิอีย์(ร.ฏ.) กล่าวว่า
كل ما له مستند من الشرع فليس ببدعة فلو لم يعمل به السلف
"ทุกๆสิ่งที่มีสิ่งที่อิงถึงหลักศาสนา มันย่อมไม่เป็นบิดอะฮ์(ที่ลุ่มหลง) ถึงแม้นว่า สะลัฟไม่เคยปฏิบัติด้วยกับมันก็ตาม" ดู หนังสือ อิตกอน อัลซ๊อนอะฮ์ ฟี ตะหฺกีก มะอฺนา บิดอะฮ์ ของท่าน มุหัดดิษ ชัยค์ อัลฆุมารีย์ หน้า 14 ตีพิพม์ มัตตักอัลกอฮิเราะฮ์ ปี ฮ.ศ. 1426 - ค.ศ. 2005
อ.ฟาริดกล่าวว่า
7 ? เมาลิดกำเนิดในอียิปต์สมัยราชวงศ์ฟาติมีย โดยฝีมือของเหล่าชีอะห์
ตอบ
หลักฐานที่ดีที่สุดสำหรับผู้คัดค้านในการแอบอ้างว่า ผู้ริเริ่มทำเมาลิด คือ ราชวงศ์ฟาฏิมียะฮ์ ชีอะฮ์อิสมาอีลียะฮ์ โดยยึดคำพูดของท่าน อัลมุกรีซีย์ (เสียชีวิตปี 845 ฮ.ศ.) ในหนังสือ อัลมะวาอิซฺ วะ อัลเอี๊ยะติบาร บิ ซิกร อัลคุฏ๊อฏ วะ อัลอาษาร ซึ่งเป็นหนังสือที่รู้จักกันนาม อัลคุฏ๊อฏ อัลมุกรีซียะฮ์ของเขา ว่า
وكان للخلفاء الفاطميين في طول السنة اعياد ومواسم وهي :
مواسم راس السنة ، وموسم اول العام ، ويوم عاشوراء ، ومولد النبي صلى الله عليه وسلم ، ومولد علي بن ابي طالب رضي الله عنه ، ومولد الحسن ومولد الحسين عليهما السلام ، ومولد فاطمة الزهراء عليهما السلام ، ومولد الخليفة الحاضر ، وليلة اول رجب ، وليلة نصفه ، وليلة اول شعبان ، وليلة نصفه ، وموسم ليلة رمضان ، وغرة رمضان ، وسماط رمضان ، وليلة الختم ، وموسم عيد الفطر وموسم عيد النحر وعيد الغدير ووكسوة الشتاء ، وكسوة الصيف ، وموسم فتح الخليج ، ويوم النوروز ، ويوم الغطاس ، ويوم الميلاد ، وخميس العدس وايام الركوبات
"ในตลอดทั้งปีนั้น บรรดาคอลิฟะฮ์ ได้มีบรรดาวันอีดและเทศกาลต่างๆ คือ เทศกาลต้นปี , เทศกาลวันแรกของปี , วันอาชูรออ์ , เมาลิดนบี(ซ.ล.) , เมาลิดท่านอาลี(ร.ฏ.) , เมาลิดท่านอัลหะซัน , เมาลิดท่านอัลหุซัยน์ , เมาลิดท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ , เมาลิดคอลิฟะฮ์ปัจจุบัน , คืนแรกของเดือนร่อญับ , คืนนิศฟูร่อญับ , คนแรกของเดือนชะบาน , คืนนิสฟูชะอ์บาน , เทศกาลคืนรอมะฏอน , เทศกาลช่วงแรกของรอมะฏอน , เทศกาลปูโต๊ะเลี้ยงอาหารเดือนรอมะฏอน , คืนสุดท้ายร่อมะฏอน , เทศกาลอีดฟิตร์ , เทศกาลอีดอัฏหา , อีดฆ่อดีร , เทศกาลสวมเสื้อฤดูหนาว , เทศกาลสวมเสื้อฤดูร้อน , เทศกาลพิชิตคราบสมุทรอาหรับ , เทศกาลปีใหม่ของเปอร์เซีย , เทศกาลพิธีฉลองการเสด็จลงมาของเยซู , เทศกาลวันคริสต์มาส , เทศกาลค่อมีสอะดัส , เทศกาลบรรดาวันร่อกูบาต" ดู หนังสือ อัลคุต๊อฏ อัลมุกรีซียะฮ์ เล่ม 1 หน้า 384
ข้อสังเกตุจากคำกล่าวของท่าน อัลมุกรีซีย์
1. จากคำพูดของท่าน อัลมุกรีซีย์ ไม่ได้ระบุอย่างชัดเจนว่า ราชวงศ์ฟาฏิมีย์ คือบุคคลแรกที่ทำการเฉลิมฉลองเมาลิดท่านนบี(ซ.ล.) และคำกล่าวของท่านอัลมุกรีซีย์นั้น ได้พูดแบบรวมๆ ว่าการเฉลิมฉลองเมาลิดนบี(ซ.ล.)นั้น เป็นส่วนหนึ่งจากเทศกาลต่างๆ ที่บรรดาคอลิฟะฮ์ฟาฏิมีย์ให้การควบคุมดูแล แต่ถ้าหากว่าพวกเขาเป็นบุคคลแรกที่ริเริ่มการทำเมาลิดขึ้นมา แน่นอนว่า ท่านอัลมุกรีซีย์ต้องกล่าวออกมาอย่างชัดเจนและชัดถ้อยชัดคำลงไป อย่างเช่นวันอีดนัสร์ عيد النصر (เทศกาลวันแห่งชัยนะ) ในหัวข้อที่ว่า "ในวันที่ 16 เดือนมุหัรรอม คอลิฟะฮ์ อัลหาฟิซฺ ลิดีนิลลาฮ์ ได้จัดการเกี่ยวกับวันอีดนัสร์ เพราะมันเป็นวันที่เขาได้ออกมาจากที่ทำการและได้ปฏิบัติสิ่งที่ได้ถูกปฏิบัติกันเหมือนกับบรรดาวันเทศกาลต่างๆ " ดู หนังสือ อัลคุต๊อฏ อัลมุกรีซียะฮ์ เล่ม 1 หน้า 385
2. หลักฐานจากคำกล่าวของท่านอัลมุกรีซีย์นั้น เป็นการเพียงนำเสนอแบบทั่วไปๆ สำหรับวันอีดและเทศกาลต่างๆ ที่บรรดาคอลิฟะฮ์ฟาฏิมียะฮ์ให้การดูแล ซึ่งไม่ใช่ระบุว่าพวกเขาเป็นบุคคลแรกที่ริเริ่มทำเมาลิดนบีขึ้นมา และส่วนหนึ่งบรรดาวันอีดและเทศกาลต่างๆ ที่ท่านอัลมุริซีย์ได้ระบุไว้ คือบรรดาวันอีดหรือวันเทศกาลของชาวคริสต์ เช่นวันคริสตร์มาส ซึ่งท่านอัลมุกรีซีย์ ได้กล่าวว่า "มันเป็นวันที่ท่านอีซา บุตร พระนางมัรยัม (อะลัยฮัสลาม)ได้ประสูติ ซึ่งชาวคริสต์เอาคืนของวันดังกล่าวเป็นวันเฉลิมฉลองคริสต์มาสและชาวคริสต์อียิปต์ได้ปฏิบัติเฉลิมฉลองในวันที่ 29 และวันเทศกาลพิธีฉลองการเสด็จลงมาของเยซู ซึ่งเป็นวันเทศกาลของชาวคริสต์อียิปต์ได้ฉลองวันในวันที่ 21 และวัน ค่อมีส อัลอะดัส ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งจากเทศกาลของชาวคริสต์อียิปต์" ดู หนังสือ อัลคุต๊อฏ อัลมุกรีซียะฮ์ เล่ม 1 หน้า 391
ดังนั้น บรรดาวันอีดและเทศกาลของชาวคริสต์เหล่านี้ เป็นวันที่ราชวงศ์ฟาฏิมียะฮ์ได้อุตริและริเริ่มทำขึ้นมาหรือไม่?? ซึ่งเสมือนกับสิ่งที่ผู้อ้างคำกล่าวของท่านอัลมุกรีซีย์มาอ้างเกี่ยวกับเรื่องเมาลิดนบีด้วยกระนั้นหรือ??
3. หลักฐานจากคำกล่าวของท่านอัลมุกรีซีย์นั้น เป็นการเพียงนำเสนอแบบทั่วไปๆ สำหรับวันอีดและเทศกาลต่างๆ ที่บรรดาคอลิฟะฮ์ฟาฏิมียะฮ์ให้การดูแล ซึ่งไม่ใช่ระบุว่าพวกเขาเป็นบุคคลแรกที่ริเริ่มทำเมาลิดนบีขึ้นมา และส่วนหนึ่งบรรดาวันอีดและเทศกาลต่างๆ ที่ท่านอัลมุริซีย์ได้ระบุไว้ คือวันอีดิลฟิตร์ และอีดิลอัฏฮา แล้ววันอีดทั้งสองนี้ ราชวงศ์อัลฟาฏิมียะฮ์เป็นผู้ริเริ่มทำขึ้นมาหรือไม่??
ท่านอัลมุกรีซีย์ ได้กล่าวเกี่ยวกับวัน "อีดอัลฆ่อดีร" ว่า "ท่านพึงทราบเถิดว่า วันอีดฆ่อดีรนั้น ไม่ใช่เป็นวันอีดตามหลักการของศาสนา และไม่มีสะลัฟของประชาชาติอิสลามคนใดได้ปฏิบัติกระทำขึ้น และอีดฆ่อดีรนี้ เป็นที่รู้จักครั้งแรกในอิสลาม ที่อิรัก ในสมัยของ มุอิซฺ อัลเดาละฮ์ อาลี บิน บุวัยฮ์ (แห่งราชวงศ์ บุวัยฮ์ชีอะฮ์เปอร์เซีย) ซึ่งเขาได้ริเริ่มทำมันขึ้นมาในปี 352 ฮ.ศ. ตั้งแต่นั้นพวกชีอะฮ์จึงนำมาทำเป็นวันอีดของพวกเขา...จากนั้น อัลมุอิซฺ (ลิดีนิลและฮ์)(กษัตริย์ราชวงศ์ฟาฏิมียะฮ์) รู้สึกประทับใจต่อสิ่งดังกล่าวจากการกระทำของพวกเขา(ที่อิรัก) และวันอีดฆ่อดีรจึงถูกทำขึ้นมาครั้งแรกในอียิปต์!!" ดู หนังสือ อัลคุต๊อฏ อัลมุกรีซียะฮ์ เล่ม 1 หน้า 222 - 223
วิจารณ์
คำตัวบทที่ท่านอัลมุกรีซีย์ได้ระบุไว้นี้ เราจะสังเกตุได้ว่า ราชวงศ์ฟาฏิมียะฮ์ ไม่ได้ริเริ่ม อีดอัลฆ่อดีร ขึ้นมา แต่ราชวงศ์ฟาฏิมียะฮ์ฉลองวันอีดฆ่อดีรขึ้นมาโดยสือทอดการอุตริกรรมขึ้นมาของพวกมุวัยฮียูนชีอะฮ์เปอร์เซียที่ครองอิรักอยู่ในสมัยนั้น หากเราได้ศึกษาเบื้องหลังประวัติศาสตร์ระหว่างราชวงศ์(ชีอะฮ์)ฟาฏิมีย์และราชวงศ์บุวัยฮียูน(ชีอะฮ์เปอร์เซีย)นั้น จะทราบว่ามีความสัมพันธ์กันอย่างแนบแน่น เพราะฉะนั้นหากว่าราชวงศ์ฟาฏิมียะฮ์เป็นผู้ริเริ่มทำเมาลิดนบีขึ้นมานั้น แน่นอน ราชวงศ์บุวัยฮิยูนก็ต้องทำเมาลิดขึ้นมาด้วยที่อิรัก(แบกแดด) แต่ไม่มีตำราประวัติศาสตร์ของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์สักเล่มเดียวที่ระบุว่า ราชวงศ์บุวัยฮียูน(ชีอะฮ์เปอร์เซีย) ได้ทำเมาลิดนบี(ซ.ล.) และในทางตรงกันข้าม เราจะพบว่าการฉลองอีดฆ่อดีร ที่พวกอัลบุวัยฮิยูนได้อุตริขึ้นมานั้น ได้สืบทอดกระทำจากแบกแดดไปยังอียิปต์
แต่ตำราประวัติศาสตร์ของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ได้ระบุได้อย่างชัดเจนว่า ท่านชัยค์ อุมัร อัลมุลลา คือบุคคลแรกที่ทำเมาลิดในรูปแบบเฉลิมฉลองขึ้นและกษัตริย์ มุซ๊อฟฟะรุดดีน ได้ปฏิบัติตาม ดังนั้น จึงไม่เป็นที่สงสัยว่า การถ่ายทอดของท่านอัลมุกรีซีย์นั้น ไม่ได้เป็นหลักฐานระบุว่าราชวงศ์ฟาฏิมียะฮ์เป็นบุคคลแรกที่ริเริ่มการทำเมาลิดขึ้นมาได้เลย
ท่าน อัชเชากานีย์ ได้กล่าวถึงท่าน อัลมุกรีซีย์ ไว้ในหนังสือ อัลบัดร์ อัลฏอเลี๊ยะอฺ ในการกล่าวประวัติของท่านอิบนุค๊อลดูน ว่า
"ท่านอิบนุหะญัร กล่าวว่า เป็นที่แปลกใจว่า มิตรสหายของเรา ที่ชื่อ อัลมุกรีซีย์ ได้ให้เกียรติกับท่านอิบนุค๊อลดูนอย่างเลยเถิด เพราะท่านอิบนุค๊อลดูนมั่นใจว่า สายตระกูลของ บนี อะบัยดุดดีน ที่เป็นคอลิฟะฮ์(ฟาฏิมียะฮ์)ที่อียิปต์(ว่าสืบเชื้อสายจากท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ อะลัยฮัสลาม) และบรรดานักปราชญ์ท่านอื่นมีความเห็นขัดแย้งกับท่านอิบนุค๊อลดูน และท่านอัลมุกรีซีย์ทำการคัดค้านบรรดานักปราชญ์ที่ทำการตำหนิเชื้อสายของพวกเขา(ว่าไม่ใช่สืบเชื้อสายจากท่านหญิงฟาฏิมะฮ์)....และท่านอัลมุกริซีย์ได้โน้มเอียงไปยังพวกฟาฏิมียะฮ์ ดังนั้น ท่านอัลมุกรีซีย์ จึงชอบท่านอิบนุค๊อลดูนเพราะเขาได้ยอมรับถึงสายตระกูลของพวกฟาฏิมียะฮ์..." ดู หนังสือ อัลบัดร์ อัลฏอเลี๊ยะอฺ เล่ม 1 หน้า 337 ของท่านอัชเชากานีย์
วิจารณ์
ท่าน อัศศักคอวีย์ ได้ทำการกล่าวประวัติของอัลมุกรีซีย์ ไว้ในหนังสือ อัฏเฏาอุ อัลลาเมี๊ยะอฺ เกี่ยวกับการวิจารณ์ความไร้น้ำหนักจจากหลักการของท่านอัลมุกรีซีย์ ในการทราบถึงความลึกซึ้งต่างๆ ทางประวัติศาสตร์และไม่มีความชำนาญเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ และพร้อมกับสิ่งดังกล่าวนั้น ท่านอัลมุกรีซีย์ได้ยึดคำบอกเล่าจากผู้ที่ไม่ได้รับความเชื่อถือโดยไม่มีการอ้างอิงถึงเลย แม้กระทั่งเรื่องเชื้อสายของพวกฟาฏิมียะฮ์
4. การถ่ายทอดของท่าน อัลมุกริซีย์ ในการกล่าวถึงเรื่องเมาลิดนบีนั้น ย่อมไร้น้ำหนัก เพราะว่าท่านอัลมุกรีซีย์ไม่ได้อยู่ร่วมสมัยกับราชวงศ์ฟาฏิมียะฮ์ เพราะท่านอัลมุกรีซีย์เสียชีวิตเมื่อปี 845 ฮ.ศ. และราชวงศ์ฟาฏิมียะฮ์สิ้นสุดเมื่อปี 567 ฮ.ศ. ซึ่งระยะเวลาห่างช่วงกันประมาณ 300 ปี ซึ่งแตกต่างกับการยืนยันของท่าน อิมามอบู ชามะฮ์ ที่กล่าวว่า ท่านชัยค์ อุมัร อัลมุลลา ได้ริเริ่มทำเมาลิดในรูปแบบปัจจุบันเป็นคนแรก เนื่องจากท่านอิมาม อบู ชามะฮ์ อยู่ในสมัยเดียวกับราชวงศ์ฟาฏิมียะฮ์ คือท่าน อบู ชามะฮ์ เสียชีวิตในปีที่ 566 ฮ.ศ ซึ่งท่านอบูชามะฮ์มีชีวิตอยู่ร่วมสมัยเดียวกับราชวงศ์ฟาฏิมียะฮ์ หลาย 10 ปีด้วยกัน
5. นักประวัติศาสตร์ผู้ได้รับความเชื่อถือที่อยู่ในยุคสมัยก่อนจากท่านอัลมุกรีซีย์ อย่างเช่น ท่านอบูชามะฮ์ (ผู้อยู่ร่วมสมัยของฟาฏิมียะฮ์) ท่านอิบนุกะษีร และท่านอัซซะฮะบีย์ ไม่ได้กล่าวระบุไว้เลยว่า ราชวงศ์ฟาฏิมียะฮ์ คือบุคคลแรกที่ริเริ่มทำเมาลิดนบี(ซ.ล.) ขึ้นมา แต่ในทางตรงกันข้าม พวกเขาได้ยืนยันว่าท่านชัยค์ อุมัร อัลมุลลา ได้ริเริ่มทำขึ้นมา และกษัตริย์ อัลมุซ๊อฟฟัร เจ้าแห่งเมืองอิรบิลได้เจริญรอยตาม เพราะฉะนั้น การถ่ายทอดทางประวัติศาสตร์ของท่านอัลมุกรีซีย์จึงแหวกแนวและขัดกับนักประวัติศาสตร์ที่น่าเชื่อถือมากกว่า
จากสิ่งที่ผมได้นำเสนอมานี้ สามารถสรุปได้ดังนี้
1. ไม่มีตำราประวัติศาสตร์ดั้งเดิม(อัสลีย์)ของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์เล่มใด ระบุอย่างชัดเจนว่า กษัตริย์คนใดของราชวงค์ฟาฏิมีย์ เป็นคนแรกที่ริเริ่มทำเมาลิดอย่างเป็นทางการขึ้นมา ?
2. การยกอ้างการทำเมาลิดอย่างเป็นทางการ ไปยังราชวงศ์ฟาฏิมีย์นั้น ไม่มีข้อยืนยันทางประวัติศาสตร์ที่ซอฮิหฺเลยแม้แต่น้อย ?
3. การยืนยันกล่าวอ้างว่า ราชวงศ์ฟาฏิมีย์เป็นบุคคลแรกในการทำเมาลิดนั้น เป็นการกล่าวอ้างที่แวกแนว เนื่องจากเป็นการกล่าวอ้างที่ขัดกับประวัติศาสตร์ที่ชัดเจนกว่า และขัดกับสิ่งที่เลื่องลือมากกว่าจากบรรดานักปราชญ์ที่เชื่อถือได้ เช่น ท่านอิบนุกะษีร ท่านอัซซะฮะบีย์ และท่านอบูชามะฮ์ อาจารย์ของอิมามอันนะวาวีย์ เป็นต้น
4. การกล่าวอ้างว่า มุอิซลิดีนิลลาฮ์ กษัตร์ราชวงศ์ฟาฏิมีย์ เป็นคนแรกที่ทำเมาลิดนบีอย่างเป็นทางการนั้น ไม่มีตำราฉบับดั้งเดิม(อัศลีย์) ใด ที่ระบุไว้อย่างนั้น ? แต่มีตำราบางเล่มในยุคหลังได้บันทึกอย่างนั้น โดยที่ไม่สามารถอ้างอิงด้วยสายรายงานทางประวัติศาสตร์ที่ซอฮิหฺมายืนยัน และตำรายุคหลังที่ห่างไกลจากยุคฟาฏิมีย์เป็นพันปี ได้บันทึกประวัติศาสตร์การทำเมาลิดของ มุอิซลิดีนิลและฮ์นั้น ได้ใช้หลักการของการเอาตนเองเข้าไปจิตนาการเหมือนกับอยู่ร่วมกับเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์โดยมีการคาดการณ์ว่าสิ่งนั้นน่าจะเกิดอย่างนั้น อย่างนี้ ย่อมไม่ใช่เป็นหลักการรายงานประวัติศาสตร์ตามทัศนะของอิสลาม แต่เป็นหลักการอธิบายประวัติศาสตร์แบบนักบูรพาคดี
5. เราอย่าถูกหลอกด้วยคำกล่าวที่ว่า ชีอะฮ์ ฟาฏิมียะฮ์ คือบุคคลแรกที่ทำเมาลิดนบี(ซ.ล.)
อ.ฟาริดกล่าวว่า
การถือว่าพิธีกรรมเมาลิดเป็นเรื่องศาสนาจึงเป็นการทึกทักเอาเอง
ตอบ
ความจริงแล้วผู้คัดค้านเมาลิดทึกทักเอาเองและไม่มีความเข้าใจ แท้จริง "การรวมตัว"(จัดงาน) กันเพื่อทำเมาลิดรำลึกถึงท่านนบี (ซ.ล.)ที่ทรงเกียตรินั้น มันไม่ใช่อื่นใดเลย นอกจากแต่ว่ามันเป็นเรื่อง มุบาหฺ مباح อาดัตธรรมดาทั่วไป العادة เท่านั้นเอง และมันก็ไม่ใช่เรื่องของอิบาดะฮ์ العبادات แต่อย่างใด ดังนั้น ผู้ไม่หวังดีเกี่ยวกับ "การรวมตัว" ทำเมาลิดรำลึกถึงท่านนบี(ซ.ล.)นั้น ก็อย่าไปแอบอ้างว่า มันเป็นอิบาดะฮ์ العبادة และไปสร้างความเข้าใจผิดกับผู้อื่นว่า มันเป็นอิบาดะฮ์ที่ท่านนบี(ซ.ล.)ไม่เคยทำ และทำการหุกุ่มพี่น้องมุสลิมมีนว่าทำบิดอะฮ์ลุ่มหลง เราหวังว่าท่านผู้อ่านคงแบ่งแยกได้ระหว่าง อาดะฮ์ العادة และ อิบาดะฮ์ العبادة นะครับ
"การรวมตัว"(จัดงาน) เพื่อรำลึกถึงท่านนบี (ซ.ล.)นั้น เป็นเรื่องอาดะฮ์ (ธรรมดา) แต่ว่ามันเป็นส่วนหนึ่งจากอาดะฮ์ที่ดี ที่รวมไว้ซึ่งผลประโยชน์อันมากมายที่ไปกลับไปสู่บรรดาพี่น้องมุสลิมทั้งหลาย หรือกล่าวอีกสำนวนหนึ่งว่า การรวมตัวคือ สื่อหนึ่งอันยิ่งใหญ่ ที่จะเรียกร้องเชิญชวนบรรดามุสลิมีนไปสู่อัลเลาะฮฺ (ซ.บ.) มันเป็นโอกาสทองที่ไม่สมควรให้มันพ้นผ่านไป แต่ยิ่งไปกว่านั้น มันเป็นความจำเป็นที่บรรดาผู้รู้สมควรทำให้ประชาชนทั่วไปมีการรำลึกถึงท่านนบี (ซ.ล.) ด้วยกับบรรดาแบบอย่างจรรยามารยาทอันสูงส่ง ประวัติศาสตร์ และการดำเนินชีวิตของท่านนบี (ซ.ล.) ดังนั้น การทำเมาลิดไม่ใช่ความการรวมไว้ซึ่งความชั่วตามที่ผู้คัดค้านเข้าใจเลยครับ
ดังนั้น อาดะฮ์ العادة ที่มุบาห์ المباح นี้ผู้กระทำจะได้รับผลบุญต่อเมื่อผู้กระทำมีเจตนาดีและมีองค์ประกอบที่ดีในการกระทำ เช่นมีการอ่านอัลกุรอาน มีการซาลาวาตท่านนบี (ซ.ล.) มีการซิกรุลเลาะฮ์ มีการฟัชีวประวัติของท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ (ซ.ล.)
ท่านอิมามอัศสะยูฏีย์ ได้กล่าวอธิบายคำพูดของท่าน อิบนุ อัลหาจญ์ว่า
وهذا إذا تحقق النظر لا يجتمع مع أول كلامه لأنه حث فيه على زيادة فعل الخير ، وما ذكر معه على وجه الشكر لله تعالى ، إذ أوجد فى هذا الشهر الشريف سيد المرسلين وهذا معنى نية المولد
"เมื่อการพิจารณาได้ทำการวิเคราะห์ คำกล่าวนี้ก็จะไม่สามารถนำร่วมกับคำพูดของท่านอิบนุอัลหาจญ์ในตอนแรกได้ เนื่องจากว่า ท่านอิบนุ อัลหาจญ์นั้น ได้ส่งเสริมในเดือนร่อบิอุลเอาวัลให้เพิ่มพูนการกระทำความดีงาม และพร้อมกับสิ่งที่ท่านอิบนุอัลหาจญ์ได้กล่าวนั้น เพื่อทำการชุโกรกตัญญูรู้คุณต่ออัลเลาะฮ์ ตะอาลา เพราะว่าเจ้านายแห่งบรรดาศาสนทูต(ซ.ล.) ได้ประสูติขึ้นมาในเดือนรอบิอุลเอาวัลที่มีเกียรตินี้ และนี้ก็คือความหมายของการเหนียตทำเมาลิด
จากนั้นอีก 2 บรรทัด ท่านอิมามอัศสะยูฏีย์ได้กล่าวว่า
إذ لا عمل الا بنية ولا نية هنا الا الشكر لله تعالى ولادة هذا النبى الكريم فى هذا الشهر الشريف ، وهذا معنى نية المولد فهى نية مستحسنة بلا شك فتأمل
"เนื่องจากว่า ไม่มีการปฏิบัติ นอกจากด้วยการเหนียต และการเหนียตใน ณ ที่นี้(คือการทำเมาลิด) ไม่ใช่อื่นใดเลย นอกจากการ ชุโกรกตัญญูรู้คุณต่ออัลเลาะฮ์ ตะอาลา กับการประสูติของท่านนบีผู้ทรงเกียรติในเดือนร่อบิอุลเอาวัลที่มีเกียรตินี้ และนี่ก็คือความหมายของการเหนียตทำเมาลิด ซึ่งมันเป็นการเหนียตเจตนาที่นับว่าดีโดยไม่ต้องสงสัยเลย ดังนั้น ท่านโปรดพิจารณา" โปรดดู หนังสือ อัลหาวีย์ ลิลฟาตาวา ของท่านอิมามอัศศะยูฏีย์ ในเล่ม 1 หน้าที่ 227 - 228 วัลลอฮุอะลัม
วิจารณ์คำตอบเรื่องเมาลิดของ อ.ฟาริด By: al-azhary Date: ต.ค. 27, 2006, 09:47 PM
หลักการข้ออ้างว่าวะฮาบีย์ในการต่อต้านเมาลิดรำลึกถึงท่านนบี(ซ.ล.) ก็วนเวียนอยู่แค่นี้แหละครับ และพวกเขาจะไม่ฟังผู้ใดทั้งนั้น นอกจากสิ่งที่ตนเองยึดถือ หรือหาคำอ้างทำวิถีทาง แม้จะถูกชี้แจงไปแล้วก็ตาม
ไม่ไปหรอก By: alissunna Date: พ.ย. 14, 2006, 03:28 PM
ดีแต่วิจารณ์ ผู้อื่น
วิจารณ์คำตอบเรื่องเมาลิดของ อ.ฟาริด By: thanit Date: พ.ย. 26, 2006, 10:41 AM
อ้างถึง ดีแต่วิจารณ์ ผู้อื่น
เห็นด้วยครับ แทนที่จะหาหลักฐานมาสนับสนุนสิ่งที่ตัวเองทำ กลับหาหลักฐานมาโจมตีคนอื่น อีกอย่างขอชัดๆหน่อยครับ ฮาดีษเกี่ยวกับการทำเมาลิด เอาแบบชัดๆครับ ที่อ้างถึงคำพูดนบี หรือกรุอาน ตามที่พวกท่านชอบอ้างหนักหนา
วิจารณ์คำตอบเรื่องเมาลิดของ อ.ฟาริด By: อายะฮ์ Date: พ.ย. 27, 2006, 01:02 AM
เรื่องเมาลิดนบี ทั้งฝ่ายที่ต่อต้าน ก็ไม่มีหลักฐานชัด ๆ จากอัลกุรอานและซุนนะฮ์เหมือนกัน และหลักฐานต่าง ๆ ที่ฮุกุ่มเป็นบิดอะฮ์ของฝ่ายวะฮาบีย์นั้น เราก็ทำการแก้ต่างและแถลงไขในเชิงวิชาการไปแล้ว ดังนั้น หากคุณthanit ต้องการทราบหลักฐานของเรา ก็สมควรไปศึกษาหน้าเวปหลักที่บัง ๆ ได้นำเสนอไป ซึ่งหากคุณ thanit ข้องใจ ก็นำหลักฐานต่าง ๆ เหล่านั้น มาวิจารณ์ก็ได้ ซึ่งมันสมน้ำสมเนื้อกันหน่อย
และผมเชื่อว่า หากเสวนากันตรงประเด็นตามหลักวิชาการละก็ วะฮาบีย์ไปไม่รอด
Re: วิจารณ์คำตอบเรื่องเมาลิดของ อ.ฟาริด By: ismail Date: ธ.ค. 15, 2006, 10:45 AM
พอคุยกันได้เรื่องได้ราวเข้าประเด็นวิชาการผมไม่อยากเห็นอีกฝ่ายหนึ่งตีบทรวนหรือเฉไฉเรื่องอื่น พูดชวนทะเลาะน่ารำคาญ จะต้องมีมารยาทของผูรู้นะ
Re: วิจารณ์คำตอบเรื่องเมาลิดของ อ.ฟาริด By: นูรุ้ลอิสลาม Date: ธ.ค. 16, 2006, 01:23 AM
เห็นด้วยครับ
Re: วิจารณ์คำตอบเรื่องเมาลิดของ อ.ฟาริด By: คนอยากรู้ Date: ม.ค. 03, 2007, 02:27 PM
คุณทานิตย์ นั้นคงไมรู้เลยว่า อุลามมะนั้นเขาแบ่งบิดอะกันอย่างไร...ผมจะอธิบายให้ฟังเท่าที่ศึกษามานะครับ
บิดอะนั้นถูกแบ่งเป็น บิดอะฮ์ที่มีรากฐานมาแต่เดิมและบิดอะที่ไม่มีรากฐานมาจากศาสนา
และบิดอะที่มีรากฐานจากศาสนานั้นก็คือสิ่งที่พระองค์อัลลอฮ์ได้กล่าวว่า
من يشفع شفاعة حسنة يكن له نصيب منها ومن يشفع شفاعة سيئة يكن له كفل منها
"ผู้ใดที่ให้ความช่วยเหลือที่ดี ก็จะเป็นของเขาซึ่งส่วนหนึ่งจากความดีนั้น และผู้ใดให้ความช่วยเหลือที่ชั่ว ก็จะเป็นของเขาซึ่งส่วนหนึ่งจากความชั่วนั้น
และ คำว่า (شفاعة) นี้ หมายถึง
ซุนนะฮ์หรือแนวทางที่อัลเลาะฮ์ทรงวางแนวทางเอาไว้ และเป็นแนวทางที่ทุก ๆ ศาสนาต้องดำเนินตาม และตามแนวทางนี้นั้น อัลกุรอานและซุนนะฮ์ได้ดำรงอยู่ และด้วยสาเหตุจากแนวทางนี้ บรรดาชารีอะฮ์ต่าง ๆ ได้มีมา เพื่อแยกแยะระหว่างความดีและความชั่ว
ดังนั้น ผู้ที่กล่าวว่า มีบิดอะฮ์หะสะนะฮ์(บิดอะฮ์ที่ดี)นั้น เขาย่อมวินิจฉัยจากหลักการนี้ ที่มาจากวิญญานและบรรดาเป้าหมายหรือเจตนารมณ์ของชาริอะฮ์
สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมาใหม่นั้น มี 2 ประเภท
(1) สิ่งที่ถูกทำขึ้นมาใหม่ ที่ขัดแย้งกับอัลกุรอาน/ซุนนะฮ์ คำพูดที่ถูกรายงานมา และอิจญฺมาอ์ สิ่งนี้ย่อมเป็นบิดอะฮ์ที่ลุ่มหลง
(2)
สิ่งที่ถูกทำขึ้นมาใหม่จากคุณงามความดี ที่ไม่ขัดกับอันหนึ่งอันใด(ที่กล่าวมาแล้ว)นี้ และนี้ย่อมเป็นสิ่งที่ถูกทำขึ้นมาใหม่โดยไม่ถูกตำหนิท่านอุมัรได้กล่าว เกี่ยวกับ(การรวม)ละหมาดตะรอวิหฺ ว่า
نعمت البدعة هذه
"เป็นบิดอะฮ์ที่ดี คือ(ตะรอวิหฺ) อันนี้"
หมายความว่า"การละหมาดตะรอวิหฺ(20 ร่อกะอัต)ในคืนร่อมาฏอนนี้ คือสิ่งที่ทำขึ้นมาใหม่โดยที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และเมื่อมีการกระทำขึ้นมาแล้ว ก็ไม่เป็นการขัดต่อสิ่งที่กล่าวมา " และสายรายงานนี้ ซอเฮี๊ยะห์ ดู หนังสือ มะนากิบ อัช-ชาฟิอีย์ เล่ม1 หน้า 468 - 469
ท่านอิบนุ อัล-เญาซีย์ กล่าวว่า "บิดอะฮ์ หมายถึง
การกระทำที่ไม่เคยมีมาก่อน แล้วก็ได้อุตริกรรมกันมา และส่วนมากแล้ว บิดอะฮ์ที่ผิดหลักการนั้น มันจะค้านกับหลักชาริอะฮ์ และทำให้เกิดการเพิ่มเติมและตัดทอนขึ้นในชาริอะฮ์ เพราะฉะนั้น สิ่งใดก็ตามที่ได้อุตริกรรมขึ้นมาใหม่ โดยไม่ขัดแย้งกับหลักชาริอะฮ์และไม่ทำให้เกิดการเพิ่มเติมและตัดทอน(หลักชาริอะฮ์)แล้ว สะลัฟส่วนมากแค่รังเกียจมัน และพวกเขาพยายามหลีกเลี่ยงจากทุก ๆ คนที่ทำบิดอะฮ์ ซึ่งแม้ว่าสิ่งนั้น จะเป็นสิ่งที่ให้กระทำได้ก็ตาม ทั้งนี้เพื่อที่จะรักษาไว้ซึ่งหลักการเดิม นั่นก็คือ การเจริญรอยตาม ซึ่งจะเห็นได้จากคำพูดของท่านซัยด์ บิน ษาบิต ที่ว่า ท่านเซดฺ บิน ษาบิตได้กล่าวกับท่านอบูบักรและท่านอุมัร (ร่อฏิยัลลอฮุอันฮุมา) ในขณะที่ทั้งสองกล่าวแก่เขา ว่า
"ท่านจงรวบรวมอัลกุรอาน" (ท่านเซดฺ บิน ษาบิต จึงกล่าวว่า) ท่านทั้งสองจะกระทำการสิ่งหนึ่งที่ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ไม่เคยกระทำกระนั้นหรือ ? "หลังจากนั้น ท่านอิบนุ อัลเญาซีย์ได้กล่าวต่อไปว่า "แท้จริงกลุ่มซอฮาบะฮ์นั้น จะระวังทุก ๆ บิดอะฮ์ ถึงแม้ว่ามันจะไม่เป็นไรก็ตาม เพื่อพวกเขาจะได้ไม่ทำสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยที่บรรดาสิ่งที่เกิดขึ้นมาใหม่ที่ไม่ขัดแย้งกับหลักชะรีอะฮ์ และไม่ค้านกับชะรีอะฮ์นั้น พวกเขามีความเห็นว่า ให้กระทำมันได้
และถือว่าไม่เป็นไร เช่น การที่ท่านอุมัรได้รวบรวมผู้คนทำการละหมาดตะรอวิหฺ 20 ร่อกะอัตในเดือนร่อมาฏอน เป็นต้น.
ท่านอิมาม อันนะวาวีย์กล่าวว่า " คำว่า بَدَعَ คือ บิดอะฮ์ ตามหลักศาสนานั้น หมายถึง ท่า
ทำให้เกิดขึ้นใหม่กับสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อนในยุคสมัยของท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.) และ บิดอะฮ์ ก็แบ่งออกเป็น บิดอะฮ์หะสะนะฮ์(บิดอะฮ์ที่ดี) และบิดอะฮ์ที่น่ารังเกียจ ท่านอิบนุอับบาสกล่าวว่า
ما أتى على الناس عام إلا أحدثوا فيه بدعة، وأماتوا فيه سنة حتى تحي البدع وتموت السنن
"
ปีหนึ่งจะไม่ผ่านผู้คนไป นอกจากพวกเขาจะอุตริบิดอะฮ์หนึ่งขึ้นมา และพวกเขาก็ทำให้ตายกับซุนนะฮ์หนึ่ง จนกระทั้งบรรดาบิดอะฮ์นั้นฟื้นขึ้นมาและบรรดาซุนนะฮ์ก็ได้ตายลงไป" ดู หนังสือ มัจญฺมะอ์ อัลซะวาอิด เล่ม 1 หน้า 88
อิหม่ามมาลิก บุตร อะนัสกล่าวว่า
من ابتدع في الإسلام بدعة يراها حسنة فقد زعم أن محمدا صلى الله عليه وسلم خان الرسالة، لأن الله يقول: (اليَومَ أكْمَلْتُ لَكُم دِينَكُمْ) فما لم يكن يومئذ دينا فلا يكون اليوم دينا
"ผู้ใดอุตริบิดอะฮหนึ่งขึ้นมาในอิสลาม โดยเห็นว่ามันดี แน่นอนเขาย่อมอ้างว่า แท้จริงมุหัมหมัด ศอลฯ นั้น ไม่ซื่อสัตย์ต่อสาส์นแห่งพระเจ้า เพราะว่าอัลลอฮทรงกล่าวว่า (วันนี้เราได้ให้ศาสนาของพวกเจ้าสมบูรณ์สำหรับพวกเจ้าแล้ว) เพราะฉะนั้นสิ่งใดก็ตามที่ไม่เป็นศาสนาในวันนั้น ในวันนี้มันก็ไม่เป็นศาสนาด้วย" โปรดดูอัลเอียะติศอม เล่ม 1 หน้า 149 จะได้เห็นได้ว่า คำกล่าวของซอฮาบะฮ์ที่เกี่ยวกับบิดอะฮ์นั้น ก็คือบิดอะฮ์ที่อยู่ในความหมายแบบมุฏลัก (مطلق ) ที่อยู่ในความหมายประเภทบิดอะฮ์ที่ลุ่มหลงเท่านั้น และโปรดทำความเข้าใจให้ดี ไม่เช่นนั้น หลักการศาสนาจะขัดแย้งกันเอง แต่ความเป็นจริงแล้วศาสนาอิสลามมีความสมบูรณ์ ไม่มีการขัดแย้งกันเอง
และคำกล่าวของ
อิมามมาลิกก็เช่นเดียวกัน เพราะบิดอะฮ์ที่อิมามมาลิกกล่าวถึงนั้น คือ
บิดอะฮ์ที่ลุ่มหลง บิดอะฮ์ที่ไม่มีรากฐานมาจากศาสนา หากผู้ใดเห็นว่าเป็นสิ่งที่ดี เขาย่อมเป็นผู้อ้างว่าท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ไม่ซื่อสัตย์ต่อสาส์นของอัลเลาะฮ์
ดังนั้นท่านผู้อ่านที่มีทัศนคติต่อมัสหับของท่านอีหม่าชาฟีอี ถือว่าบิดอะถุกแบ่งเป็น2นั้น พึงพิจารณาให้ดีไว้ใน ณ ที่นี้ด้วยว่า อย่าได้ใส่ร้ายป้ายสีคนอื่นโดยที่เอาเหตุผลตัวเองมาตั้ง..แล้วฮู่กมผู้อื่น ..
วิจารณ์คำตอบเรื่องเมาลิดของ อ.ฟาริด By: al-azhary Date: ม.ค. 31, 2007, 11:43 PM
Re: วิจารณ์คำตอบเรื่องเมาลิดของ อ.ฟาริด By: กูปีเยาะฮฺสะอื้น Date: ก.พ. 06, 2007, 08:59 PM
อ้างถึง ดีแต่วิจารณ์ ผู้อื่น
เห็นด้วยครับ แทนที่จะหาหลักฐานมาสนับสนุนสิ่งที่ตัวเองทำ กลับหาหลักฐานมาโจมตีคนอื่น อีกอย่างขอชัดๆหน่อยครับ ฮาดีษเกี่ยวกับการทำเมาลิด เอาแบบชัดๆครับ ที่อ้างถึงคำพูดนบี หรือกรุอาน ตามที่พวกท่านชอบอ้างหนักหนา
ถ้าคุณเปิดใจยอมรับมันคุณย่อมที่จะเห็นมันอยู่แล้ว แต่ที่ผ่านมายึดแต่เพียงฝ่ายเดียวโดยไม่สนอะไรเลย ลองคิดดูน่ะครับ
Re: วิจารณ์คำตอบเรื่องเมาลิดของ อ.ฟาริด By: นูรุ้ลอิสลาม Date: ก.พ. 07, 2007, 12:26 AM
น้อง muddee ครับ หากมีฮะดิษที่ซอฮิหฺหรือฮะซัน แต่ไม่ตรงกับแนวทางที่ตนจะเอา พวกเขาก็ไม่ยอมรับกันหรอกครับ
Re: วิจารณ์คำตอบเรื่องเมาลิดของ อ.ฟาริด By: Mido-ban Date: ก.พ. 08, 2007, 04:25 AM
อยากจะตอบมั่งจัง
ผมไม่รู้นะบิดอะไม่บิดอะ
เอาเป็นว่าอย่างแรกนะ
ตัวบทหลักฐานเรื่องซุนนะห์ถือศีลอดวันจันทร์นี้เป็นคำสอนของท่านนบี ผ่านคนในยุคแรกมาแล้ว เช่นเหล่าศอฮาบะห์และตาบีอีนและตาบีอิตตาบีอีน แต่บุคคลเหล่านี้เขาไม่ได้เข้าใจเช่นเรา
แหมเรานี่เก่งกว่า นบี กว่าซอฮาบะ กว่าตาบิอิดตาบิอีนเนอะ สุดยอดๆ
ท่านไม่เห็นดอกหรือว่า การถือศีลอดในวันจันทร์นั้นเป็นความประเสริฐที่ยิ่งใหญ่ อันเนื่องจากท่านนบีได้ประสูติ ดังนั้น เมื่อเราได้ยอมรับตามนี้ ก็เป็นการสมควรที่จะนำเดือนรอบิอุลเอาวัลที่มีเกียรตินี้ เข้าไปอยู่ในการให้เกียรติ ให้ความสำคัญ อย่างเหมาะสมเพื่อที่จะเจริญรอยตามท่านนบี(ซ.ล.)
ท่าจะเจริญรอยตามท่านนะบีเนี่ยก็คือต้องถือศีลอดสุนนะใช่ปะคับ การจัดงานเมาลิดเนี่ยมันก็เหมือนกับคริสจัดคริสมาส ผมเคยได้ยินว่าท่านนบีไม่ชอบให้เรายกย่องท่านเหมือนคริสยกย่องนบีอีซานะครับ อิกอย่างที่ยกตัวอย่างว่าสมควรที่จะนำเดือนรอบิอุลเอาวัลที่มีเกียรตินี้ เข้าไปอยู่ในการให้เกียรติ ให้ความสำคัญ นี่นบีไม่ได้พูดเลยไม่ใช่เหรอคับ ท่าสมควรจิงทำไม่ท่านนบีไม่ย้ำหล่ะคับ
ผมเห็นด้วยนะครับท่าบอกว่าเมาลิดไม่ใช่อิบาดะจึงไม่บิดอ๊ะ
ย้ำไม่ได้บอกนะครับว่าเมาลิดบิดอะรึป่าว
ผมไม่ค่อยฉลาดความรู้ไม่ค่อยมีครับ ผิดพลาดยังไงช่วยชี้แจงด้วย(พึ่งศึกษาศาสนา) เพราะไงผมก็ชอบทำตามรอซูล อะไรรอซูลไม่ทำผมก็ไม่ทำคับ(เรื่องของศาสนา) กัว...
ด้วยความเคารพ อ้อผมไม่ใช่วะฮาบีนะครับ เด๋วจาโดนว่าเหมือนกาทู้อื่น
วิจารณ์คำตอบเรื่องเมาลิดของ อ.ฟาริด By: al-azhary Date: ก.พ. 08, 2007, 05:11 AM
ไม่มีอะไรไหม่กว่านี้แล้วหรอครับ คุณ Mido-ban

Re: วิจารณ์คำตอบเรื่องเมาลิดของ อ.ฟาริด By: Mido-ban Date: ก.พ. 08, 2007, 03:10 PM
แล้วไม่มีอาไรจะตอบแล้วเหรอคับคุน al-azhary

วิจารณ์คำตอบเรื่องเมาลิดของ อ.ฟาริด By: al-azhary Date: ก.พ. 08, 2007, 10:43 PM
เรื่องเมาลิดนี้ ผมมีการเสวนาแบบรายละเอียดที่ผ่านมา ซึ่งมีคำตอบให้แก่คุณหมดเรียบร้อยแล้ว อินชาอัลเลาะฮ์ ค่อยติดตามอ่านต่อก็แล้วกันนะครับ