กระดานเสวนานักศึกษาอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ นิติศาสตร์อิสลาม( ฟิกห์ )
Pages: 12
วะฮาบีชอบอ้างว่า الأصل فى العبادة التوقف أو التحري  By: الأزاهرة Date: ม.ค. 17, 2008, 08:31 AM
สลามครับ

วะฮาบีชอบอ้างว่า الأصل فى العبادة التوقف أو التحريم  คือ หลักการเดิมในอิบาดะฮ์นั้นคือหยุดกระทำหรือห้ามกระทำ นอกจากมีหลักฐานมาระบุ 
แล้วความเข้าใจที่ถูกต้องอย่างไร?  ก่อวาอิดหรือกออิดะฮ์(หลักการ)ฟิกห์นี้  เมื่อไปตรวจดูในตำราหนังสือก่อวาอิดฟิกห์  ก็ไม่พบเลยครับ
แล้วกออิดะฮ์ใน  ใครคนแรกที่ตั้งมันมาครับ อยากทราบครับ? เพราะวะฮาบีชอบนำมาใช้เรื่อย  ทำไมอุลามาอ์ทั้งหลายถึงไม่นำกออิดะฮ์ดังกล่าว
มาบันทึกไว้ในหนังสือ ก่อวาอิดฟิกห์ของพวกเขา  แล้วความเข้าใจถูกต้องของกออิดะฮ์นี้มันอย่างไร ?  พี่น้องช่วยกันชี้แจงหน่อยครับ  oh:
Re: วะฮาบีชอบอ้างว่า الأصل فى العبادة التوقف أو التحري& By: yala Date: ม.ค. 17, 2008, 02:29 PM
 salam
ผมมีความเห็นว่า พวกเขาจะดูหลักฐาน จากบรรดาซอฮาบัต มากกว่าครับ คือการกระทำที่ ท่านนบี(ศล)ไม่ได้กระทำหรือสั่งหรือยอมรับ บรรดาซอฮาบัตก็จะไม่กระทำ ผมหมายถึ่งการอีบาดัตนะครับ ส่วนเรื่องราวที่เกี่ยวกับสังคม นั้น ต้องเจริญตามโลกนะครับ

Re: วะฮาบีชอบอ้างว่า الأصل فى العبادة التوقف أو التحري& By: الأزاهرة Date: ก.พ. 04, 2008, 06:59 AM
 salam

คุณ yala มีหลักฐานที่ซอฮาบะฮ์กระทำหลายอย่างที่วะฮาบีย์ได้ปฏิเสธยิ่งกว่านั้นยังฮุกุ่มว่าเป็นชิริก  ผมจึงไม่ทราบว่าหลักการแอบอ้างว่ายึดการกระทำของซอฮาบะฮ์นั้น  จริงหรือเปล่า  หรือว่าซอฮาบะฮ์ที่กระทำสิ่งที่ไม่ตรงกับทัศนะของตนนั้นผิดทั้งหมด
Re: วะฮาบีชอบอ้างว่า الأصل فى العبادة التوقف أو التحري& By: Qortubah Date: ก.พ. 04, 2008, 07:22 AM
สลามครับ

วะฮาบีชอบอ้างว่า الأصل فى العبادة التوقف أو التحريم  คือ หลักการเดิมในอิบาดะฮ์นั้นคือหยุดกระทำหรือห้ามกระทำ นอกจากมีหลักฐานมาระบุ 
แล้วความเข้าใจที่ถูกต้องอย่างไร?  ก่อวาอิดหรือกออิดะฮ์(หลักการ)ฟิกห์นี้  เมื่อไปตรวจดูในตำราหนังสือก่อวาอิดฟิกห์  ก็ไม่พบเลยครับ
แล้วกออิดะฮ์ใน  ใครคนแรกที่ตั้งมันมาครับ อยากทราบครับ? เพราะวะฮาบีชอบนำมาใช้เรื่อย  ทำไมอุลามาอ์ทั้งหลายถึงไม่นำกออิดะฮ์ดังกล่าว
มาบันทึกไว้ในหนังสือ ก่อวาอิดฟิกห์ของพวกเขา  แล้วความเข้าใจถูกต้องของกออิดะฮ์นี้มันอย่างไร ?  พี่น้องช่วยกันชี้แจงหน่อยครับ  oh:


เคยลองหาดูแล้ว ปรากฎว่ามีอุละมาอ์ที่เป็นที่ยอมรับหลายๆท่านกล่าวถึงกออิดะฮฺข้อนี้ในตำราของท่านครับ ยกตัวอย่างได้ดังนี้


1-ท่านอิหม่ามอับนุ หะญัรฺ อัลอัสเกาะลานีย์ เราะหิมะฮุลลอฮฺ

- وفي فتح الباري (3/54): وَرَوَى اِبْن عَبْد اَلْبَرّ فِي اَلتَّمْهِيدِ مِنْ طَرِيقِ عِكْرِمَة بْن خَالِد عَنْ أُمّ هَانِئ قَالَتْ " قَدِمَ رَسُولُ اَللَّهِ صَلَّى اَللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ مَكَّةَ فَصَلَّى ثَمَان رَكَعَات ، فَقُلْت مَا هَذِهِ ؟ قَالَ : هَذِهِ صَلَاة اَلضُّحَى " وَاسْتُدِلَّ بِهِ عَلَى أَنَّ أَكْثَرَ صَلَاة اَلضُّحَى ثَمَان رَكَعَات . وَاسْتَبْعَدَهُ اَلسُّبْكِيّ وَوُجِّهَ بِأَنَّ اَلْأَصْلَ فِي اَلْعِبَادَةِ اَلتَّوَقُّف ، وَهَذَا أَكْثَرُ مَا وَرَدَ فِي ذَلِكَ مِنْ فِعْلِهِ صَلَّى اَللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ

وفيه أيضا (2/80): التقرير فى العبادة إنما يؤخذ عن توقيف



2- อิหม่ามร็อมลีย์ เราะหิมะฮุลลอฮฺ

- وفي شرح زُبَدِ ابن رسلان للشافعي الصغير (1/79): الأصل في العبادات التوقيف



3- อิหม่ามซะกะริยา อันอันศอรีย์ เราะหิมะฮุลลอฮฺ

- زكريا الأنصاري في الغرر البهية (4/150) : وَمَا قِيلَ مِنْ أَنَّ هَذَا لَا يَدُلُّ عَلَى أَنَّ ذَلِكَ أَكْثَرُهَا رُدَّ بِأَنَّ الْأَصْلَ فِي الْعِبَادَاتِ التَّوْقِيفُ ، وَلَمْ تَصِحَّ الزِّيَادَةُ عَلَى ذَلِكَ ، وَفِي الرَّوْضَةِ كَأَصْلِهَا أَفْضَلُهَا ثَمَانٍ ، وَأَكْثَرُهَا ثِنْتَا عَشْرَةَ



4- อิหม่าม อิบนุดะกีก อัลอีด เราะหิมะฮุลลอฮฺ

- ابن دقيق العيد في إحكام الأحكام: قد منعنا إحداث ما هو شعار في الدين . ومثاله : ما أحدثته الروافض من عيد ثالث ، سموه عيد الغدير . وكذلك الاجتماع وإقامة شعاره في وقت مخصوص على شيء مخصوص ، لم يثبت شرعا . وقريب من ذلك : أن تكون العبادة من جهة الشرع مرتبة على وجه مخصوص . فيريد بعض الناس : أن يحدث فيها أمرا آخر لم يرد به الشرع ، زاعما أنه يدرجه تحت عموم . فهذا لا يستقيم ؛ لأن الغالب على العبادات التعبد ، ومأخذها التوقيف .

وقال أيضاً : اختلف الناس : هل تعم الأركان كلها بالاستلام ، أم لا ؟ والمشهور بين علماء الأمصار : ما دل عليه هذا الحديث . وهو اختصاص الاستلام بالركنين اليمانيين . وعلته : أنهما على قواعد إبراهيم عليه السلام . وأما الركنان الآخران فاستقصرا عن قواعد إبراهيم . كذا ظن ابن عمر . وهو تعليل مناسب . وعن بعض الصحابة : أنه كان يستلم الأركان كلها ، ويقول " ليس شيء من البيت مهجورا " واتباع ما دل عليه الحديث أولى . فإن الغالب على العبادات : الإتباع

وقال أيضاً : المختار عند أهل الأصول : أن قوله " أمر " راجع إلى أمر النبي صلى الله عليه وسلم . وكذا " أمرنا " و " نهينا " ؛ لأن الظاهر : انصرافه إلى من له الأمر والنهي شرعا . ومن يلزم إتباعه ويحتج بقوله ، وهو النبي صلى الله عليه وسلم . وفي هذا الموضع زيادة على هذا . وهو أن العبادات والتقديرات فيها : لا تؤخذ إلا بتوقيف .



5- อิหม่ามนะสะฟีัย์ เราะหิมะฮุลลอฮฺ

- النسفي في كشف الأسرار (2/210) : لا مدخل للرأي في معرفة ما هو طاعة الله ولهذا لا يجوز إثبات أصل العبادة بالرأي



6- อิหม่าม ชาฏิบีย์ เราะหิมะฮุลลอฮฺ

- الشاطبي في الموافقات : الأصل في العبادات عدم الإقدام عليها إلا بدليل



7- อัซซัรกอนีย์ เราะหิมะฮุลลอฮฺ

- وفي شرح الزرقاني على الموطأ (1/434): الأصل في العبادة التوقيف



8- เชากานีย์ เราะหิมะฮุลลอฮฺ

- وفي نيل الأوطار للشوكاني (2/20): ... لا سِيَّمَا في أُمُورِ الْعِبَادَةِ فَإِنَّهَا إنَّمَا تُؤْخَذُ عن تَوْقِيفٍ



9- อิบนุ มุฟลิหฺ เราะหิมะฮุลลอฮฺ

- وفي الآداب الشرعية لابن مفلح (2/265)
 الأعمال الدينية لا يجوز أن يتخذ شيء منها سببا إلا أن تكون مشروعة فإن العبادات مبناها على التوقيف


ส่วนความหมาย ความเข้าใจ ต่อกออิดะฮฺนี้นั้น คงต้องให้เป็นหน้าที่ของคณาจารย์เว็บฯ ผู้ทรงเกียรติ แล้วละครับ ตัวผมนั้นเปรียบเสมือนจับกังที่ช่วยขนไม้มาให้ ส่วนคณาจารย์เว็บฯนั้นก็คือช่างฝีมือที่จะขัดเกลา ตกแต่ง เป็นเฟอร์นิเจอร์สวยๆต่อไป  ;D



Re: วะฮาบีชอบอ้างว่า الأصل فى العبادة التوقف أو التحري& By: yala Date: ก.พ. 04, 2008, 07:50 AM
 salam
ผมจะตอบแทน พวกที่คุณแอบอ้างมาไม่ได้นะครับ เพราะไม่รู้ว่าเป็นใคร เอาเป็นว่าตัวผมเอง จะพยายามหลีกเลี้ยงในหลักฐานที่อ่อน เพราะคิดว่า มันเป็นทางที่ ปลอดภัยจาก สิ่งที่ถูกประดิฐ ขึ้นใหม่ เพราะบางที่อาจจะเป็นจากผู้ที่ประสงค์ร้ายต่อศาสนาอิสลาม
 ฮะดิษ ที่กล่าวว่า จงยึดซุนนะห์ของฉัน ด้วยฟันกราม นั้นแสดงว่า ยังจะมีซุนนะที่ปลอม ตามมา
ซุนนะห์ของซอฮาบัต ก็เช่นกัน ถ้าเป็น อิจมะอ์ และได้ทำกันมา ตั้งแต่ สมัยของท่าน บันดาซอฮาบัต และได้ปฎิบัติ มาเรื่อยๆ ก็เป็นที่ทางที่ปลอดภัยเช่นกัน ผมจะยึดแบบนี้นะครับ
Re: วะฮาบีชอบอ้างว่า الأصل فى العبادة التوقف أو التحري& By: al-azhary Date: ก.พ. 04, 2008, 07:59 AM
بسم الله الرحمن الرحيم

เรื่องกออิดะฮ์  รู้สึกว่าท่านอิบนุตัยมียะฮ์เป็นคนแรกที่ทำการวางมันขึ้นมา  หากไปดูหนังสือก่อวาอิดฟิกห์  เช่นหนังสือ อัชบาฮุนนะซออิร  ของท่านอิมามอันสะยูฏีย์  ก็จะไม่พบกออิดะฮ์นี้ ทั้งที่น่าจะมีระบุไว้อย่างชัดเจน

ส่วนความเข้าใจของกออิดะฮ์นี้  ผมได้เคยเขียนไว้ในเรื่องเมาลิดอยู่ตอนหนึ่งและเคยถามอุลามาอ์อาหรับในยุคปัจจุบันผ่านทางเว็บไซต์มานานสักระยะหนึ่งแล้ว  แต่ไม่ได้บันทึกตัวบทเอาไว้

หลักการนิติศาสตร์อิสลาม(กออิดะฮ์)อันหนึ่งที่ผู้คัดค้านมักจะนำมาใช้อ้างสนับสนุนฝ่ายตน คือ

الأصل في العبادة التوقف أو التحريم

"แรกฐานเดิมในเรื่องอิบาดะฮ์นั้น คือการหยุด หรือห้าม (ปฏิบัติจนกระทั้งมีหลักฐานที่มาบัญญัติ)"

ซึ่งความเข้าใจที่ถูกต้องจากหลักการนี้  คือ 

أنه لا يجوز التقرب إلى الله تعالى بعمل ليس له مستند شرعي.

"ไม่อนุญาตให้ทำการสร้างความใกล้ชิด ต่ออัลเลาะฮ์(ซ.บ.) ด้วยการปฏิบัติ ที่ไม่มีหลักฐานที่มาของหลักศาสนา"

แต่การกระทำขึ้นมาใหม่ที่ดีนั้น มีหลักฐานที่มาของหลักศาสนา หากเราทำการตรวจสอบที่มาในหลักวิชาการฟิกห์นั้น คือ

หลักฐานที่มา ตามหลักของศาสนา มี อยู่ 2 ประเภท

1. مستند إجمالى หลักฐานที่มาแบบสรุป คือ

هو: الأحكام الشرعية الأصليَّة المكتَسَبة من أدِلتها الإجمالية

คือ บรรดาหุกุ่มต่างๆ  ของศาสนา ที่เป็นรากฐานที่ถูกนำมาจาก บรรดาหลักฐาน(ของหุกุ่มต่างๆ)แบบสรุป

เช่น  อนุญาติให้ทำการส่งเสริม ให้มีวโรกาศต่างๆ ในการกระทำคุณงามความดี ที่ได้รับมาจาก การส่งเสริมการกระทำคุณงามความดี ของท่านร่อซูล(ซ.ล.) ในคืน ลัยละตุลเกาะดัร เนื่องจากเป็นคืนที่อัลกุรอานได้ประทานลงมา การเฉลิมฉลองส่งเสริมให้กระทำคุณงามความดี เนื่องในวโรกาศวันเกิดของท่านนบี(ซ.ล.) ด้วยการถือศีลอดในวันจันทร์ การเฉลิมฉลองส่งเสริมให้มีการกระทำคุณงามความดี เนื่องในวโรกาสวันที่ท่านบีมูซา อะลัยฮิสลาม ได้รอดพ้นจากเงื้อมมือของฟิรอูน ด้วยการถือศีลอดในวัน อาชูรออ์ พร้อมกับท่านนบี(ซ.ล.) ก็ไม่ได้ห้ามเราทำการเฉลิมฉลองส่งเสริมในการกระทำความดี ด้วยวโรกาสอื่นๆ นอกเสียจากมันเป็นการส่งเสริมในสิ่งที่เป็นภัยพิบัติที่ขัดกับหลักศาสนา และนบี(ซ.ล.)ก็ไม่ได้กล่าวว่า วายิบ ต้องทำการส่งเสริมในการกระทำความดี ด้วยการเฉลิมฉลองวโรกาสดังกล่าวด้วย

2. مستند تفصيلي หลักฐานที่มาแบบรายละเอียด

هو: الأحكام الشرعية الفرعيَّة المكتسبة من أدلتها التفصيلية

คือ บรรดาหุกุ่มของศาสนาในข้อปลีกย่อยที่ได้รับมาจาก บรรดาหลักฐานที่อยู่ในเชิงรายละเอียด
เช่น หุกุ่มของอิบาดะฮ์ต่างๆ ที่ศาสนาได้ระบุไว้เป็นการเฉพาะแล้ว เช่น  การละหมาดห้าเวลา การถือศีลอด ทำฮัจญี ซะกาต การเชือดสัตว์ และอื่นๆ

ดังนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นมาใหม่ที่ดีหลังจากสมัยท่านนบี(ซ.ล.)นั้น จึงไม่คัดค้านกับ (อัลกออิดะฮ์) ที่ผู้คัดค้านเข้าใจเลย  แต่ยิ่งไปกว่านั้น มันกลับเข้าไปอยู่ภายใต้หลักการ(อัลกออิดะฮ์) ดังกล่าว ด้วยสาเหตุ 2 ประการ

1. ท่านนบี(ซ.ล.)ส่งเสริมให้ ริเริ่มการกระทำแนวทางที่ดีขึ้นมา ที่สอดคล้องและไม่ขัดกับอัลกุรอานและซุนนะฮ์

من سن في الإسلام سنة حسنة فله أجرها وأجر من عمل بها بعده من غير أن ينقص من أجورهم شيء ومن سن في الإسلام سنة سيئة كان عليه وزرها ووزر من عمل بها من بعده من غير أن ينقص من أوزارهم شيء

" ผู้ใด ที่ได้ทำขึ้นมา ในอิสลาม กับหนทางที่ดี แน่นอน เขาจะได้รับผลบุญและได้รับผลบุญของผู้ที่ได้ปฏิบัติตามหลังจากเขาได้(เสียชีวิตไปแล้ว) โดยไม่มีสิ่งบกพร่องลงเลย จากผลบุญของพวกเขา และผู้ใด ทีได้ทำขึ้นมา ในอิสลาม กับหนทางที่เลว แน่นอน บาปของมันก็ตกบนเขา และบาปของผู้ที่ปฏิบัติมัน  หลังจากเขา(เสียชีวิตไปแล้วก็ตกบนเขา) โดยไม่มีสิ่งใดบกพร่องลงไปเลย  จากบรรดาบาปของพวกเขา" (รายงานโดย ท่านอิมาม มุสลิม ไว้ในซอเฮี๊ยะหฺของท่าน หะดิษที่ 1017)

และท่านนบี(ซ.ล.) ก็สั่งห้ามให้ริเริ่มกระทำขึ้นมาใหม่กับสิ่งที่เลว ดังที่ท่านนบี(ซ.ล.)กล่าวว่า

كل بدعة ضلالة

"ทุกบิดอะฮ์นั้น ลุ่มหลง"

หมายถึง ทุกบิดอะฮ์ ที่ขัดกับหลักศาสนานั้น ย่อม ลุ่มหลง 

2. บิดอะฮ์ที่วางอยู่บนพื้นฐานหลักการของหุกุ่มศาสนานั้น  ซึ่งหากบิดอะฮ์นั้น อยู่ในหุกุ่มวายิบ ก็ถือว่าเป็นบิดอะฮ์ที่วายิบ และบิดอะฮ์ที่อยู่ในมาตรฐานของหะรอม ก็เป็นบิดอะฮ์ที่หะรอม

ท่านนบี(ซ.ล.) กล่าวว่า

ท่าน อัล-บัซฺซฺาร ได้รายงานจาก อบี อัดดัรดาอ์ ว่า ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.)กล่าวว่า

وما أحل الله فى كتابه فهو حلال وما حرم فهو حرام ، وما سكت عته فهو عفو ، فأقبلوا من الله عافيته ، فإن الله لم يكن لينسى شيئا ، ثم تلا  وما كان ربك نسيا
قال البزار : إسناده صالح، وصححه الحاكم

"สิ่งที่อัลเลาะฮ์ทรงอนุมัตในคำภีร์ของพระองค์นั้น คือสิ่งที่หะลาล และสิ่งที่พระองค์ทรงห้ามนั้น คือสิ่งที่หะรอม และสิ่งที่พระองค์ทรงนิ่งจากมัน ย่อมเป็นการอนุโลมให้ ดังนั้น พวกท่านตอบรับการผ่อนปรนของพระองค์เถิด เพราะแท้จริงแล้ว อัลเลาะฮ์ไม่ทรงเคยลืมเลย จากนั้นท่านร่อซูลได้อ่านอายะฮ์ที่ว่า "และพระผู้อภิบาลของเจ้านั้น ไม่ทรงลืม" ท่านอัล-บัซฺซฺารกล่าวว่า หะดิษนี้ ดี และท่านหะกิมถือว่า หะดิษนี้ซอฮิหฺ

ข้อควรระวัง

ผู้คัดค้านเรื่องเมาลิด โปรดอย่าสับสนระหว่าง การจำกัด คุณลักษณะของอิบาดะฮ์ تحديد الوصف และการจำกัดของขนาดของอิบาดะฮ์ تحديد المقدار ในเรื่องของอิบาดะฮ์ เพราะหลักการศาสนาได้จำกัด คุณลักษณะของอิบาดะฮ์ เช่น การละหมาด คือ เริ่มด้วยการตักบีร และ จบด้วยการให้สลาม โดยมีบรรดาลักษณะและรุกุ่นต่างๆ ของการละหมาด แต่หลักการของศาสนาก็ไม่ได้ จำกัด บรรดาอะมัลที่อยู่ในความหมายแบบกว้างๆ ที่อนุญาติให้กระทำได้ เช่น การอ่านอัลกุรอาน การกล่าวสรรเสริญอัลเลาะฮ์ และการกล่าวซิกรุลเลาะฮ์ เป็นต้น และเฉกเช่นเดียวกัน คือ หลักศาสนา ได้จำกัดบรรดาละหมาดฟัรดู ด้วยบรรดาร่อกะอัตต่างๆ  ไว้เรียบร้อยแล้ว และได้จำกัดเวลาของละหมาดห้าเวลาไว้พร้อมสรรพ และได้กำหนดการละหมาดสุนัตร่อวาติบหลังละหมาดห้าเวลาแล้ว แต่ว่า หลักศาสนา ไม่ได้จำกัด จำนวนหรือขนาดของอิบาดะฮ์ที่เป็นสุนัต ที่สมัครใจให้กระทำ และไม่ได้กำหนดเวลาเอาไว้

ท่านผู้อ่านที่เคารพครับ คำว่า อิบาดะฮ์นั้น ก็คือ "การภักดีและการยอมมอบตนต่ออัลเลาะฮ์(ซ.บ.) ในการกระทำสิ่งที่เป็นฟัรดู สุนัต หรือสิ่งที่มุบาห์โดยพร้อมกับมีการเหนียตเจตนาเพื่อสร้างความใกล้ชิดกับอัลเลาะฮ์(ซ.บ.) โดยอยู่ภายใต้พื้นฐานและหลักการของศาสนา"

ดังนั้น การอ่านประวัติและเรื่องราวของท่านนบี(ซ.ล.)เกี่ยวกับวันประสูติและเหตุการณ์อื่นๆ  ของท่านนั้น มันคือการตออัต(ภักดี) ที่ผนวกไว้ซึ่งการตอกย้ำให้บรรดามุสลิมีนทราบถึงเกียรติของท่านนบี(ซ.ล.) โดยปลูกฝังความรักและการให้เกียรติต่อท่านนบี(ซ.ล.)ให้อยู่ในบรรดาหัวใจของมุสลิมีน ไม่ว่าจะด้วยสื่อในรูปแบบใดก็ตามที่เหมาะสมในแต่ละยุคสมัย ดังนั้น หลักการอิสลามไม่ได้ห้ามรูปแบบหรือวิธีการในรูปแบบใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละประเทศ แต่ละท้องที่ โดยที่รูปแบบดังกล่าวนั้น ต้องไม่ไปค้านหรือขัดกับหลักการของศาสนาหรือตัวบทที่ถูกระบุเอาไว้แล้ว ตามหลักอุซูลุลฟิกห์(มูลฐานนิติศาสตร์อิสลาม)ที่บรรดานักปราชญ์แห่งโลกอิสลามวางหลักการเอาไว้นั้น ก็คือ الوسائل لها حكم المقاصد "บรรดาสื่อ(ในการกระทำ)นั้น สำหรับมันแล้ว คือหุกุ่มของบรรดาเจตนา(ในกระทำ)" ดังนั้น เมื่อการกระทำมีเป้าหมายหรือมีเจตนาที่อยู่ในหลักการของศาสนา ก็ย่อมไม่มีช่วงโหว่ใดๆ ที่จะนำไปสู่การทำบิดอะฮ์ที่ลุ่มหลงเหมือนกับที่ผู้คัดค้านชอบกล่าวหา

ท่านผู้อ่านที่เคารพครับ เมื่อเราได้ดำเนินอยู่แนวทางดังกล่าวนี้ เราจะพบว่า الأصل في العبادة التوقف أو التحريم นั้น ก็คือ  การละหมาดซุบหฺ 4 ร่อกะอัต การละหมาดอัสริ 6 ร่อกะอัต การถือศีลอดฟัรดูในเดือนอื่นจากร่อมะฏอน การทำฮัจญฺอื่นจากเดือนทำฮัจญี ที่มาจากเรื่องอิบาดะฮ์หลักๆ  ของศาสนา แต่อิบาดะฮ์ที่อยู่ในประเด็นข้อปลีกย่อยที่มีรากฐานจากหลักการของศาสนานั้น การวินิจฉัย (อิจญฺฮาด) ย่อมเข้ามามีบทบาทอย่างไม่ต้องสงสัย ตัวอย่างเช่น

ท่านอัซซะฮะบีย์ กล่าวไว้ใน หนังสือ ซิยัร อะลาม อันนุบะลาอ์ว่า

قال عبد الله بن الإمام أحمد بن حنبل : كان أبى يصلى كل يوم ثلاثمائة ركعة ، فلما مرض من تلك الأسواط أضعفته فكان يصلى كل يوم وليلة مئة وخمسين ركعة

"ท่านอับดุลเลาะฮ์ บุตร ท่านอิมามอะหฺมัดบินหัมบัล กล่าวว่า บิดาของฉันเคยละหมาด 300 ร่อกะอัต ทุกวัน แต่เมื่อขณะที่ท่านป่วยจากการถูกโบยดังกล่าวนั้น ท่านจึงทำการละหมาดเพียง 150 ร่อกะอัต ในหนึ่งวันและหนึ่งคืน " ดู ซิยัร อะลาม อันนุบะลาอ์ เล่ม 11 หน้า 212

ท่าน อบู นุอัยม์ ได้รายงานไว้ว่า

وكان لأبى هريرة رضى الله عنه خيط فيه ألف عقدة لا ينام حتى يسبح به

"ท่านอบูหุรอยเราะฮ์(ร.ฏ.) มีเชื่อกที่มีหนึ่งพันปุ่ม เขาจะไม่นอน จนกระทั้งทำการตัสบีห์ด้วยกับมัน" ดู หนังสือ อัลหุลยะฮ์ เล่ม 1 หน้า 383

ได้รับการยืนยันด้วยบรรดาสายรายงานที่ซอฮิหฺ ว่า " ท่านอิบนุมัสอูด(ร.ฏ.) ได้ทำการเจาะจงในช่วงเย็นของวันพฤหัสบดี เพื่อทำการเล่าเรื่องราวของท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.) " รายงานโดย ท่านอิบนุ ชัยบะฮ์ ไว้ในหนังสือ อัลมุซ๊อนนัฟ เล่ม 8 หน้า 565 , ท่านอัลหากิม รายงานไว้ในหนังสือ อัลมุสตัดร๊อก เล่ม 1 หน้า 111 , ท่านอัลฏ๊อบรอนีย์ ได้รายงานไว้ในหนังสือ มั๊วะญัมอัลกะบีร เล่ม 9 หน้า 123

ดังนั้น ท่านอย่าไปหลงกลกับหลักการความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องอิบาดะฮ์ของผู้ที่คัดค้านเมาลิดในปัจจุบัน ที่วางกฏขึ้นมาเพื่อทำการหุกุ่มแนวทางอื่นโดยอธรรม!
Re: วะฮาบีชอบอ้างว่า الأصل فى العبادة التوقف أو التحري& By: al-azhary Date: ก.พ. 04, 2008, 08:01 AM
ผู้คัดค้านเมาลิดนบีมักจะอ้างว่า "ท่านนบีไม่เคยทำ บรรดาซอฮาบะฮ์ไม่เคยทำ และสะลัฟไม่เคยทำ"  พวกเขาก็เลยเอาหลักการนี้ มาหุกุ่มหะรอม บิดอะฮ์ในเรื่องของศาสนา โดยไม่คำนึงว่าอะไรเป็นหลักการที่สอดคล้องกับศาสนาและอะไรที่ขัดแย้งกับศาสนา  โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาสะลัฟ  ไม่ว่าจะเป็นซอฮาบะฮ์  ตาบิอีน  และตาบิอิตตาบิอีนนั้น  ไม่มีผู้ใดกล่าวอ้างเลยว่า  หากสิ่งที่พวกเขาไม่ได้กระทำนั้น  ย่อมเป็นสิ่งที่หะรอม!!

ดังนั้น การที่ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.)หรือสะละฟุศศอลิหฺไม่ได้ทำนั้น ไม่ใช่เป็น"หลักฐาน" ( دليل ) แต่มันชี้ถึง"การไม่มีหลักฐาน" ( عدم دليل ) หรือพูดอีกสำนวนหนึ่งก็คือ การที่ท่านนบี(ซ.ล.)และสะละฟุศศอลิหฺไม่ได้ทำนั้น ไม่ใช่เป็น"หลักฐาน" (دليل ) ว่าห้ามทำเมาลิดรำลึกท่านนบี(ซ.ล.) แต่มันบ่งถึง "การไม่มีหลักฐาน" ( عدم دليل ) หรือ "หลักฐานในเชิงไม่มีและไม่รู้ว่ามีหุกุ่มมาระบุ" ( الدليل العدمى )ในการห้ามเมาลิดรำลึกท่านนบี(ซ.ล.) ดังนั้น หลักฐานที่ชี้ถึงการห้าม ( دليل التحريم ) นั้น คือการมีตัวบทหลักฐานที่บ่งถึงการต้องห้าม(النهى) กับการกระทำสิ่งหนึ่ง หรือมีการตำหนิจากท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.)ในการกระทำสิ่งหนึ่ง และหากว่ามีตัวบทมาระบุห้าม ก็ย่อมไม่มีข้อกังขาแต่ประการใดอย่างแน่นอน

ดังนั้น หลักการที่ท่านนบี(ซ.ล.)ละทิ้งการกระทำหรือท่านนบี(ซ.ล.)และสะละฟุศศอลิหฺไม่ได้กระทำนั้น  จะนำมาเป็นหลักฐาน(دليل)ในศาสนา เพื่อทำการตำหนิ ทำการหุกุ่มหะรอม ทำการกล่าวหาบิดอะฮ์ตกนรก และนำมากล่าวหาเป็นการกระทำที่ชั่วนั้น ย่อมไม่ใช่หลักการหุกุ่มของศาสนาและหลักพื้นฐานของฟิกห์ที่บรรดานักปราชญ์มุจญฺฮิดแห่งโลกอิสลามได้วางหลักการวินิจฉัยหุกุ่มเอาไว้ เพราะฉะนั้น การที่สะละฟุศศอลิหฺไม่ได้กระทำ  ย่อมไม่ใช่หลักฐาน แต่มันบ่งถึง ไม่มีหลักฐาน และหลักฐานหนึ่งจะสามารถบ่งถึงการห้ามและตำหนิได้นั้น ก็ด้วยสิ่งที่อัลเลาะฮ์(ซ.บ.)ทรงบัญญัติห้ามและสิ่งที่ท่านร่อซูลุเลาะฮ์(ซ.ล.)ได้ห้ามไว้ในซุนนะฮ์ที่ซอฮิหฺของท่าน

ดังนั้น ประเด็นเมาลิดนี้ มันอยู่ในเรื่องของการ "ละทิ้งการกระทำ" ( الترك ) ซึ่งความหมายก็คือ ท่านนบี(ซ.ล.)ได้ทิ้งกับสิ่งหนึ่ง - คือไม่เคยกระทำมัน - หรือสะละฟุศศอลิหฺไม่เคยกระทำมัน โดยที่ "ไม่มี" หะดิษ หรือ ร่องรอย มารายงานระบุห้ามจากการกระทำดังกล่าวที่ให้ความเข้าใจถึงหะรอมหรือมักโระฮ์

บรรดาผู้รู้ยุคหลังๆ  บางท่านเลยเถิดในการอ้างหลักฐานที่คุมเคลือเช่นนี้ โดยทำการหุกุ่มหะรอม หรือกล่าวหาบิดอะฮ์ลุ่มหลงในเรื่องของศาสนา ด้วยคำกล่าวที่ว่า นบีไม่เคยทำอย่างนี้ หรือไม่ได้รับการยืนยันว่านบี(ซ.ล.)กระทำอย่างนั้น เป็นต้น

อุลามาอ์บางท่านกล่าวไว้ว่า

الترك ليس بحجة فى شرعنا
لا يقتضى منعا ولا إيجابا
فمن ابتغى حظرا لترك نبينا
ورأه حكما صادقا وصوابا
قد ضل عن نهج لأدلة كلها
بل أخطأ الحكم الصحيح وخابا

"การละทิ้ง(นบีไม่ได้กระทำ)ไม่ใช่เป็นหลักฐานในชาริอัตของเรา"
"มันไม่ได้ให้นัยยะถึงการห้ามหรือจำเป็น"
"ดังนั้น ผู้ใดปรารถนา (หุกุ่ม) ห้ามเพราะนบีของเราไม่ได้ทำ"
"โดยเขาเห็นว่ามันเป็นหุกุ่มที่สัจจริงและถูกต้อง"
"แน่แท้แล้ว เขาย่อมหลงจากวิถีทางของ(การอ้าง)บรรดาหลักฐานทั้งหมด"
"ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็ผิดพลาดกับหุกุ่มที่ถูกต้องและเขาก็สิ้นหวัง"
ดู หนังสือ อัตตะหฺซีร มินัลอิฆติยาร ของชัยค์ อับดุลหัยฺ อัลอัมรอวีย์และชัยค์อับดุลกะรีม มุร๊อด หน้า 75

ท่านชัยค์  อัลฆุมารีย์กล่าวว่า "การที่ท่านนบี(ซ.ล.)ละทิ้งการกระทำสิ่งหนึ่ง หรือบรรดาสะละฟุสซอและหฺละทิ้งไม่ได้กระทำมัน โดยไม่มีหะดิษ หรือคำกล่าวรายงานของซอฮาบะฮ์  มาระบุห้ามสิ่งที่ถูกทิ้งนั้น มันไม่ได้หมายถึงฮะรอมหรือมักโระฮ์ทำสิ่งนั้น " (ดู หุสนุด ตะฟะฮฺฮุม วัดดัรกฺ หน้า 12 ของท่าน ชัยค์ อัลฆุมารีย์ )

ดังนั้น การทิ้งการกระทำนี้ มีหลายประเภท อาธิ เช่น

1. ท่านนบี(ซ.ล.) ได้ละทิ้งมันนั้น เพราะมีสิ่งที่มาหักห้ามตามอุปนิสัยตามธรรมชาติ หรือมีอุปนิสัยที่ไม่ชอบ เช่น ท่านนบี(ซ.ล.) ได้ละทิ้งการกินเนื้อ ฏ๊อบ เมื่อมันได้ถูกนำมาให้แก่ท่าน  ซึ่งในหะดิษนี้นั้น ท่านนบี(ซ.ล.) ได้ถูกถามว่า "มันเป็นสิ่งที่ต้องห้ามหรือ ? ท่านนบี(ซ.ล.)ตอบว่า "ไม่หรอก" เพราะฉะนั้นเรื่องที่กล่าวมานี้  ชี้ให้เห็นว่า การละทิ้งการกระทำของท่านนบี(ซ.ล.)นั้น ไม่ถือว่า เป็นการหะรอมห้ามกระทำมัน

2. การที่ท่านนบี(ซ.ล.)ทิ้งหรือไม่ได้ทำนั้น เพราะเกิดจากการลืม  เช่นการที่ท่านนบี(ซ.ล.)ได้ลืมในละหมาด โดยท่านได้ละทิ้งสิ่งหนึ่ง ท่านจึงถูกถามว่า "มีสิ่งใดเกิดขึ้นในละหมาดหรือ?" ท่านนบี(ซ.ล.) จึงตอบว่า "ที่จริงแล้ว ฉันนั้นก็เป็นมนุษย์ ฉันลืมเหมือนกับที่พวกท่านลืม ดังนั้น เมื่อฉันลืม พวกท่านก็จงเตือนฉัน"

ดังนั้น เมื่อท่านนบี(ซ.ล.) ได้ละทิ้งสิ่งหนึ่งจากละหมาด พวกเขาก็ไม่คิดเลยว่ามันเป็นหุกุ่มใดหุกุ่มหนึ่ง แต่พวกเขากลับไปทบทวนถามกับท่านนบี(ซ.ล.) แล้วท่านนบี(ซ.ล.) ก็ตอบพวกเขา ด้วยคำตอบที่ชี้ให้เห็นว่า การทิ้งการกระทำของท่านนบี(ซ.ล.) ไม่ได้ทำให้เกิดขึ้นหุกุ่มใด ๆ ขึ้นมา

3. การที่ท่านนบี(ซ.ล.) ได้ทิ้งการกระทำนั้น เพราะเกรงว่า จะเป็นฟัรดูภาระกิจจำเป็นแก่ประชาชาติของท่าน เช่นท่านได้ทิ้งละหมาดญะมาอะฮ์ ตะรอวิหฺ ในขณะที่บรรดาซอฮาบะฮ์ได้ทำการรวมตัวกันละหมาด เนื่องจากเกรงว่าจะเป็นฟัรดูเหนือพวกเขา

4. การที่ท่านนบี(ซ.ล.)ทิ้งการกระทำ ก็เพราะเกรงถึงฟิตนะฮ์(ความวุ่นวายหรือทำให้ซอฮาบะฮ์บางคนที่พึ่งเข้าอิสลามใหม่ ๆ เกิดความรวนเรหรืออาจจะละทิ้งศาสนา)ที่อาจเกิดขึ้นได้ อาธิเช่น ท่านนบี(ซ.ล.)ละทิ้งการรื้นถอนบัยตุลลอฮ  เพื่อนำมาสร้างไว้ที่ฐานเดิมของท่านนบีอิบรอฮีม(ซ.ล.) ตามที่ได้ระบุไว้ในซอฮิหฺบุคอรีย์และมุสลิม  เพราะฉะนั้น การละทิ้งหรือไม่ได้กระทำสิ่งดังกล่าวนั้น เพื่อถนอมน้ำใจของบรรดาซอฮาบะฮ์บางคนที่เพิ่งเข้ารับอิสลามใหม่ ๆ 

5. บางครั้ง ท่านนบี(ซ.ล.)ได้ทิ้ง เนื่องจากสาเหตุเฉพาะตัวของท่าน เช่นท่านนบี(ซ.ล.) ทิ้งการรับประทานหัวหอม และสิ่งที่มีกลิ่นไม่ดี เนื่องจากเกรงว่าจะสร้างความเดือดร้อนแก่มะลาอิกะฮ์ ในขณะที่รับวะหฺยุ โดยที่ไม่มีผู้ใดกล่าวว่า การรับประทานหัวหอมนั้น เป็นสิ่งที่หะรอม เพราะว่านบี(ซ.ล.)ได้ละทิ้งการรับประทานมัน

จากตัวอย่างที่เราได้กล่าวมานั้น เราจะเห็นว่า การที่ท่านนบีได้ละทิ้ง หรือ ไม่ได้กระทำสิ่งหนึ่งนั้น ไม่ได้ชี้ถึงว่า สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่หะรอม  โดยจะนำมาแอบอ้างว่าสิ่งที่ท่านนบี(ซ.ล.) ไม่ได้กระทำนั้น คือสิ่งที่บิดอะฮ์ลุ่มหลงไปเสียทั้งหมด

ท่าน อบู อัลฟัฏลฺ อัลฆุมารีย์ กล่าวว่า " การละทิ้งการกระทำเพียงอย่างเดียว โดยที่ไม่มีหลักฐานมาระบุว่าสิ่งที่ถูกทิ้งนั้นหะรอม ย่อมไม่เป็นหลักฐานชี้ว่าสิ่งนั้น เป็นสิ่งที่หะรอม แต่จุดมุ่งหมายนั้นก็คือ การที่ท่านนบี(ซ.ล.)ได้ละทิ้งการกระทำดังกล่าว ย่อมเป็นสิ่งที่อนุญาติให้ละทิ้งการกระทำได้ และส่วนการที่ท่านนบี(ซ.ล.)ได้ละทิ้งการกระทำ ที่เป็นสิ่งที่หะรอมนั้น ไม่ได้หมายถึงว่า เพราะท่านนบี(ซ.ล.)ได้ละทิ้งมัน แต่เป็นเพราะว่า มีหลักฐานมาระบุถึงการห้ามต่างหาก " ดู หุสนุด ตะฟะฮฺฮุม วัดดัรกฺ หน้า 15

จากตัวอย่างที่เราได้กล่าวมานั้น เราจะเห็นว่า การที่ท่านนบีได้ทิ้ง หรือ ไม่ได้กระทำสิ่งหนึ่งนั้น ไม่ได้ชี้ถึงว่า สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่หะรอม

ท่าน อบู อัลฟัฏลฺ อัลฆุมารีย์ กล่าวว่า " การละทิ้งการกระทำเพียงอย่างเดียว โดยที่ไม่มีหลักฐานมาระบุว่าสิ่งที่ถูกทิ้งนั้นหะรอม ย่อมไม่เป็นหลักฐานชี้ว่าสิ่งนั้น เป็นสิ่งที่หะรอม แต่จุดมุ่งหมายนั้นก็คือ การที่ท่านนบี(ซ.ล.) ได้ละทิ้งการกระทำดังกล่าว ย่อมเป็นสิ่งที่อนุญาตให้ละทิ้งการกระทำได้ และสำหรับการที่ท่านนบี(ซ.ล.)ได้ละทิ้งการกระทำสิ่งที่หะรอมนั้น ไม่ได้เข้าใจว่า เพราะท่านนบี(ซ.ล.)ได้ละทิ้งมัน แต่เป็นเพราะว่า มีหลักฐานมาระบุถึงการห้ามมันต่างหาก " ดู หุสนุด ตะฟะฮฺฮุม วัดดัรกฺ หน้า 15

ทั้งหมดที่กล่าวมานั้น สามารถสรุปได้ว่า "การทิ้ง" (ไม่ได้กระทำ) มีสองประเภทใหญ่ๆ คือ

1. การทิ้งที่มีจุดมุ่งหมาย ( ترك مقصود ) ซึ่งนักปราชญ์มูลฐานนิติศาสตร์อิสลามได้ให้สำนวนว่า "การละทิ้งเชิงการมี" ( الترك الوجودى ) คือ ท่านนบี(ซ.ล.)ได้ทิ้งการกระทำสิ่งที่ท่านนบี(ซ.ล.)ได้เคยมีการกระทำมันมาแล้ว หรือท่านนบี(ซ.ล.)ได้หยุดกระทำกับสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งที่ท่านนบี(ซ.ล.)กระทำได้

2. การละทิ้ง(การกระทำ)ที่ไม่มีจุดมุ่งหมาย ( ترك غير مقصود ) ซึ่งนักปราชญ์มูลฐานนิติศาสตร์อิสลามได้ให้สำนวนว่า"การละทิ้งเชิงไม่มี" ( الترك العدمى ) คือ สิ่งที่ท่านนบีไม่เคยกระทำและไม่เคยกล่าวมัน โดยที่ไม่ได้นำเสนอหุกุ่มออกมา เนื่องจากไม่มีความต้องการหรือมีนัยยะให้กับการหุกุ่มสิ่งดังกล่าว
ดังนั้น ในความเป็นจริงแล้ว การทิ้งการกระทำที่ไม่มีจุดมุ่งหมาย ( ترك غير مقصود ) นั้น ย่อมไม่เหมาะสมที่จะนำมาเป็น"หลักฐาน"( دليل ) ได้ ในแง่ของหลักการศาสนา

ในแง่หลักการของศาสนาก็คือ คำตรัสของอัลเลาะฮ์(ซ.บ.)ที่ว่า

وما أتاكم الرسول فخذوه وما نهاكم عنه فأنتهوا

"สิ่งใดที่รอซูลนำมาให้กับพวกท่านนั้น พวกท่านจงยึดมัน และสิ่งใดที่ร่อซูลห้ามพวกท่านจากสิ่งนั้น พวกท่านจงก็ยุติ" อัลหัชรฺ 7

ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.)กล่าวว่า

فإذا نهيتكم عن شيء فأجتنبوه ، وإذا أمرتكم بأمر فأتوا منه ما أستطعتم

"ดังนั้น เมื่อฉันห้ามพวกท่านจากสิ่งหนึ่ง พวกท่านก็จงห่างไกลมัน และเมื่อฉันใช้พวกท่านด้วยกับสิ่งหนึ่ง พวกท่านก็จงทำมันเท่าที่พวกท่านสามารถ" รายงานโดยบุคคอรีย์และมุสลิม

ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.)กล่าวว่า

الحلال ما أحل الله فى كتابه ، والحرام ما حرم الله فى كتابه ، وما سكت عنه فهو مما عفا عنه

"หะล้าลก็คือสิ่งที่อัลเลาะฮ์ทรงอนุมัติไว้ในคำภีร์ของพระองค์ และหะรอมก็คือสิ่งที่อัลเลาะฮ์ทรงห้ามไว้ในคำภีร์ของพระองค์ และสิ่งที่พระองค์ทรงนิ่งจากมัน ก็คือสิ่งที่พระองค์ผ่อนปรนให้" รายงานโดยท่านติรมีซีย์

ท่านผู้อ่านโปรดลองพิเคราะห์ถึง สถานะภาพของผู้คนในปัจจุบัน ท่านจะพบว่าการกระทำหรือไม่กระทำของพวกเขานั้น อยู่หลักการใหญ่ๆ  เกี่ยวกับหลัก "การใช้" ( أمر ) และหลัก "การห้าม" ( نهى ) ดังนั้น เมื่อเรื่องหนึ่งที่ไม่มี "การใช้ให้กระทำ” หรือไม่มี  “การห้ามให้กระทำ” ก็ย่อมจะหุกุ่ม "หะรอม" ไม่ได้ แต่สมควรอยู่ในกรอบของ มุบาหฺ อนุญาตให้กระทำได้ หรืออยู่ในกรอบของสิ่งที่ไม่มีหุกุ่มาระบุแล้วก็นำไปวางบนมาตรฐานของหุกุ่มศาสนา

จากสิ่งที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น เราสามารถสรุปได้ดังนี้

1. บรรดานักปราชญ์อิสลาม ให้คำนิยามของ ซุนนะฮ์ ว่า "คือสิ่งที่ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.)ได้พูด กระทำ และยอมรับ" บรรดานักปราชญ์ไม่ได้นำการ "ทิ้งของท่านนบี" หรือ "การไม่ได้ทำ" ของท่านนบี(ซ.ล.) เข้าไปอยู่ใต้คำว่าซุนนะฮ์ เนื่องจากว่ามันไม่ใช่ "หลักฐาน" ( دليل ) เพราะฉะนั้น  การที่ท่านนบี(ซ.ล.)ไม่กระทำ  ย่อมไม่ใช่ซุนนะฮ์และนำมาเป็นหลักฐานไม่ได้

2. หุกุ่มนั้น คือ (คิฏ๊อบ) คำบัญชาของอัลเลาะฮ์ บรรดานักปราชญ์มูลฐานนิติศาสตร์อิสลามกล่าวว่า หุกุ่มก็คือ สิ่งที่ หลักฐานจากอัลกุรอาน ซุนนะฮ์ อัลอิจญฺมาอ์ และกิยาส มาบ่งชี้ถึงมัน โดยที่การละทิ้งหรือการไม่ได้กระทำนั้น ก็ไม่ใช่หนึ่งจาก สี่ หลักฐานที่กล่าวมา ดังนั้น การที่ไม่ได้กระทำ จึงไม่ใช่ "หลักฐาน" ที่จะนำมาอ้าง

3. การละทิ้ง ก็คือ การที่ไม่ได้กระทำ และการที่ไม่ได้กระทำ ก็หมายถึง การที่ไม่มี"หลักฐาน" ( دليل ) มาระบุ ดังนั้น การละทิ้งหรือการไม่ได้กระทำนั้น ย่อมไม่ได้ชี้ถึงหะรอม นอกจากมีหลักฐานมาบ่งชี้ชัดว่าหะรอม จากอัลกุรอาน ซุนนะฮ์ อิจญฺมาอ์ และกิยาส

ดังนั้น การทำเมาลิดรำลึกถึงนบี(ซ.ล.) โดยอ้างหะรอมว่า ท่านนบี(ซ.ล.)ไม่เคยกระทำนั้น จึงเป็นคำอ้างที่ฟังไม่ขึ้นตามหลักการของศาสนา

การทำเมาลิดรำลึกท่านนบี(ซ.ล.) แม้รูปแบบไม่ได้ปรากฏการกระทำขึ้นในสมัยของบรรดาซอฮาบะฮ์ แต่บรรดาซอฮาบะฮ์เองก็ทำการำลึกถึงท่านนบี(ซ.ล.)อยู่เสมอ หัวใจของบรรดาซอฮาบะฮ์ล้วนแต่คำนึงถึงท่านนบี(ซ.ล.)ในทุกการตัดสินใจและการเคลื่อนไหวของพวกเขา ดังนั้น หัวใจของพวกเขาจึงตื่นตัวอยู่เสมอด้วยการรำลึกถึงแบบฉบับบุคลิกภาพของท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.) ท่านอิบนุอับบาส(ร.ฏ.)กล่าวว่า"หากฉันไม่รำลึกถึงท่านนบี(ซ.ล.)สักช่วงเวลาเดียว มันเหมือนกับว่าฉันไม่ใช่เป็นส่วนหนึ่งจากมุสลิมีน"  ฉะนั้น ความรักที่มีต่อท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ (ซ.ล.) ระหว่างบรรดาซอฮาบะฮ์กับเรานั้น ย่อมห่างไกลกันเหลือเกิน บรรดาซอฮาบะฮ์จึงไม่จำเป็นมากนักที่จะต้องมาทำเมาลิดรำลึกถึงท่านนบีเหมือนกับพวกเรา สถานะภาพปัจจุบัน อิหม่านของมุสลิมทั่วไปยิ่งถดถอย การส่งเสริมตอกย้ำให้มีการรำลึกถึงท่านนบี ด้วยรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง เช่นเมาลิดนั้น ย่อมไม่ใช่เป็นสิ่งที่บิดอะฮ์ลุ่มหลงถึงกับลงนรกตามทัศนะของผู้คัดค้านหรอกครับ


และการกล่าวว่า ซอฮาบะฮ์ไม่ได้ทำเป็นหลักการบัญญัติที่ "หะรอม" ย่อมไม่ใช่หลักการของศะละฟุศศอลิหฺและไม่ใช่เป็นหลักฐานตามหลักวิชานิติศาสตร์อิสลาม(ฟิกห์) และการกล่าวว่า "หากสิ่งนั้น เป็นสิ่งที่ดี บรรดาสะละฟุศศอลิหฺย่อมกระทำมาก่อนเรา" ซึ่งคำกล่าวนี้ ไม่ใช่เป็นหลักฐานของศาสนาตามหลักนิติศาสตร์อิสลาม ที่จะมาบ่งชี้ว่ามันเป็นสิ่งที่"หะรอม" ต้องห้าม หรือบิดอะฮ์ตกนรก ซึ่งหลักการนี้ ไม่ใช่หลักการของสะละฟุศศอลิหฺ

ดังนั้น หากว่าประเด็นหนึ่ง หรือปัญหาหนึ่ง ที่สะละฟุศศอลิหฺ(หรือผู้ที่อยู่ก่อนจากเขา)นั้นไม่ได้กระทำไว้ เป็นหลักฐาน ที่ชี้ว่า ไม่มีบทบัญญัติในศาสนาแล้ว แน่นอนว่า บรรดานักปราชญ์ตาบิอีน ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะพูดและพิจารณาเกี่ยวกับประเด็นปัญหาที่บรรดาซอฮาบะฮ์ได้นิ่งเฉยไม่ได้กระทำและกล่าวกับมัน และแน่นอนว่า บรรดานักปราชญ์ตาบิอิตตาบิอีน ก็ไม่ได้มีสิทธิ์ที่จะพูดและพิจารณาเกี่ยวกับประเด็นปัญหาที่บรรดานักปราชญ์ตาบิอีนได้นิ่งเฉยไม่ได้กระทำและกล่าวกับมัน ซึ่งหลักการนี้ ขัดแย้งกับคำกล่าวและหลักการของท่านอะหฺมัด อิบนุ หัมบัล ท่าน อิบนุตัยมียะฮ์ได้กล่าวไว้ในหนังสือ อุซุลุลฟิกห์ของท่านว่า

قال أبو داود: قال أحمد بن حنبل:... فإذا وجدت عن رسول الله صلى الله عليه وآله وسلم لم أعدل إلى غيره، فإذا لم أجد... فعن الخلفاء الأربعة... فإذا لم أجد فعن أصحابه الأكابر فالأكابر... فإذا لم أجد فعن التابعين وتابع التابعين“، ولو كان عدم الرواية حجة على عدم المشروعية لكان ينبغي للتابعين أن يقولوا لو كان خيراً لسبقنا إليه الصحابة، وكان ينبغي لأتباعهم أن يقولوا: لو كان خير لسبقنا إليه التابعون

" ท่านอบู ดาวูด กล่าวว่า ท่าน อะหฺมัด บิน หัมบัลกล่าวว่า เมื่อฉันพบ(หลักฐาน) จากท่านรอซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.) ฉันก็ไม่เคยผินไปยังผู้อื่นจากท่านร่อซูล และเมื่อฉันไม่พบ ก็เอาจากบรรดาคอลิฟะฮ์ทั้ง 4 และเมื่อฉันไม่พบ ก็จากบรรดาซอฮาบะฮ์ผู้อาวุโส และอาวุโสถัดๆ  ไป และเมื่อฉันไม่พบอีก ก็เอาจากตาบิอีน และตาบิอิตตาบิอีน และถ้าหากว่าการไม่มีการรายงานมานั้นเป็นหลักฐานว่าไม่มีบทบัญญัติในศาสนา แน่นอนว่า เป็นการสมควรแก่บรรดา ตาบิอีน โดยการกล่าวว่า หากมันเป็นสิ่งที่ดี แน่แท้ว่า บรรดาซอฮาบะฮ์ย่อมกระทำล่วงหน้ามันมาก่อนแล้ว และเป็นการสมควรแก่บรรดา ตาบิอิตตาบิอีน กล่าวว่า หากมันเป็นสิ่งที่ดี แน่แท้ว่า บรรดาซอฮาบะฮ์ย่อมกระทำล่วงหน้ามาก่อนแล้ว (แต่ตาบิอีนไม่ได้กล่าวอย่างนั้นเพราะมันไม่ใช่หลักฐาน)" ดู หนังสือ มุเซาวะดะฮ์ อาลิ ตัยมียะฮ์ หน้า 336

จากสิ่งที่ผมได้อ้างอิงมานั้น ย่อมชี้ให้เห็นว่า หากมีไม่มีสายรายงานมาระบุ  บรรดาตาบิอีน และตาบิอิตตาบิอีน ก็ไม่ได้เอาคำกล่าวที่ว่า" บรรดาซอฮาบะฮ์ย่อมกระทำล่วงหน้ามาก่อนแล้ว และเป็นการสมควรแก่บรรดา ตาบิอิตตาบิอีน กล่าวว่า หากมันเป็นสิ่งที่ดี แน่แท้ว่า บรรดาซอฮาบะฮ์ย่อมกระทำล่วงหน้ามาก่อนแล้ว" มาเป็นหลักการและหลักฐาน ในการห้ามหรือหุกุ่มหะรอมสิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย

والله تعالي أعلي وأعلم
Re: วะฮาบีชอบอ้างว่า الأصل فى العبادة التوقف أو التحري& By: al-azhary Date: ก.พ. 04, 2008, 08:02 AM
มะอัฟด้วยนะครับ  สิ่งที่ผมได้นำเสนอชี้แจงไปนั้น  มันมีเรื่องเมาลิดปะปนมาด้วย 
Re: วะฮาบีชอบอ้างว่า الأصل فى العبادة التوقف أو التحري& By: al-azhary Date: ก.พ. 04, 2008, 08:16 AM
salam
ผมจะตอบแทน พวกที่คุณแอบอ้างมาไม่ได้นะครับ เพราะไม่รู้ว่าเป็นใคร เอาเป็นว่าตัวผมเอง จะพยายามหลีกเลี้ยงในหลักฐานที่อ่อน เพราะคิดว่า มันเป็นทางที่ ปลอดภัยจาก สิ่งที่ถูกประดิฐ ขึ้นใหม่ เพราะบางที่อาจจะเป็นจากผู้ที่ประสงค์ร้ายต่อศาสนาอิสลาม
 ฮะดิษ ที่กล่าวว่า จงยึดซุนนะห์ของฉัน ด้วยฟันกราม นั้นแสดงว่า ยังจะมีซุนนะที่ปลอม ตามมา
ซุนนะห์ของซอฮาบัต ก็เช่นกัน ถ้าเป็น อิจมะอ์ และได้ทำกันมา ตั้งแต่ สมัยของท่าน บันดาซอฮาบัต และได้ปฎิบัติ มาเรื่อยๆ ก็เป็นที่ทางที่ปลอดภัยเช่นกัน ผมจะยึดแบบนี้นะครับ

ดีมากครับ  จุดยืนของคุณหรือของใครก็ตามที่ต่างจากเราในบางแง่มุมนั้น  เราไม่เคยไปตำหนิหรือคาดคั้นให้ต้องมาตามเราเลย  อนึ่ง  ตั้งแต่สมัยซอฮาบะฮ์นั้นมีการขัดแย้งในเรื่องฟิกห์มันแล้วครับ  สมัยตาบิอีน  และตาบิอิตตาบิอีน  ก็มีการขัดแย้งในเรื่องฟิกห์กันหลายทัศนะเหลือเกิน  ดูได้จากหนังสือ  อัลมุซันนัฟ ของท่านอิบนุ อบี ชัยบะฮ์   แต่การคิลาฟของพวกเขา  ก็มิได้ไปคัดคั้นหรือคิดว่าตนเองเท่านั้นที่ถูก  ส่วนคนอื่นต้องมาทำตามทัศนะของตน  และไม่มีซอฮาบะฮ์  ตาบิอีน  ตาบิอิตตาบิอีน เท่าใดหรอก  ที่พยายามคิดว่าทัศนะของตนเท่านั้นที่ถูก  ส่วนคนอื่นผิด  ทัศนะอื่นบิดอะฮ์ของตนตามซุนนะฮ์  หรือต้องหายนะ  เป็นต้น

ท่านอบู นุอัยม์ รายงานถึง ท่านอิมาม ซุฟยาน อัษเษารีย์ ท่านกล่าวว่า

إذا رأيت الرجل يعمل العمل الذى أختلف فيه وأنت ترى غيره فلا تنهه

" เมื่อท่านเห็นบุรุษท่านหนึ่งได้ปฏิบัติอะมัลหนึ่งที่นักปราชญ์ฟิกห์มีความเห็นแตกต่างกัน และท่านก็มีทัศนะอีกอย่างหนึ่ง ดังนั้น ท่านจงอย่าไปห้ามเขา " ดู หุลยะตุล เอาลิยาอฺ เล่ม 6 หน้า 367

ท่านอัลคอฏีบ อัลบุฆดาดีย์ รายงานถึง ท่านอิมาม ซุฟยาน อัษเษารีย์ ท่านกล่าวว่า

إختلف فيه الفقهاء فلا أنهى أحدا من إخوانى أن يأخذ به

" สิ่งที่บรรดานักปราชญ์ฟิกห์มีความเห็นขัดแย้งกันนั้น ฉันจะไม่ห้ามคนหนึ่งคนใดจากบรรดาพี่น้องของฉัน ให้เอากับทัศนะนั้น " ดู อัลฟะกีฮ์ วะ อัลมุตะฟักกิฮ์ เล่ม 2 หน้า 69

ท่านอิบนุตัยมียะฮ์กล่าวว่า

إن العلماء إنما ينكرون ما أجمع على إنكاره ، أما المختلف فيه فلا إنكار فيه

" แท้จริงบรรดานักปราชญ์นั้น จะตำหนิในเรื่องที่มีมติให้ทำการตำหนิ แต่สำหรับสิ่งที่ขัดแย้งกันนั้น ย่อมไม่มีการตำหนิแต่ประการใด " ดู ฟะตาวา อิบนุตัยมียะฮ์ เล่ม 20 หน้า 225

ท่านอิมามอัสสะยูฏีย์ ได้กล่าวหลักการหนึ่งของนิติศาสตร์ ที่ 35 ไว้ว่า

لا ينكر المختلف فيه ، وإنما ينكر المجمع عليه

"สิ่งที่มีการขัดแย้งกัน จะไม่ถูกตำหนิ และแท้จริงการถูกตำหนินั้น คือ(ขัด) กับสิ่งที่ถูกลงมติแล้ว"

แล้วใครบ้างที่ตามแนวทางของสะละฟุศศอลิหฺ กัลยาณชนแห่งยุคแรกของอิสลามอย่างแท้จริง ?? 
Re: วะฮาบีชอบอ้างว่า الأصل فى العبادة التوقف أو التحري& By: al-azhary Date: ก.พ. 04, 2008, 09:13 AM
6- อิหม่าม ชาฏิบีย์ เราะหิมะฮุลลอฮฺ

- الشاطبي في الموافقات : الأصل في العبادات عدم الإقدام عليها إلا بدليل


สรุปง่าย ๆ คือ  หลักเดิมในเรื่องอิบาดะฮ์นั้น  คือสอดคล้องหรือหยุดบนหลักฐาน  หรือห้ามทำอิบาดะฮ์จนกระทั่งมีหลักฐาน  ดังนั้นประเด็นมันได้อยู่ที่กออิดะฮ์  แต่อยู่ที่ความเข้าใจของกออิดะฮ์  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง  คำว่า  "หลักฐาน"  คือต้องมีหลักฐาน 

แต่หลักฐานคืออะไร? หลักฐานมีกี่ประเภท  เช่น  หลักฐานแบบมุฏลัก (แบบกว้าง ๆ)  หรือแบบมุก๊อยยัด (แบบจำกัดความ)  หรือหลักฐานมาอาม (ครอบคลุม) หรือแบบค๊อซ (แบบทอนความหมาย)  ซึ่งบางทีเราปฏิบัติอิบาดะฮ์ด้วยหลักฐานมุฏลัก  บางทีด้วยหลักฐานแบบมุก๊อยยัด  บางทีด้วยหลักฐานแบบอาม  หรือบางทีปฏิบัติด้วยหลักฐานแบบค๊อซ  เป็นต้น  เช่นวันนี้เราจะซิกิรสักหมื่นครั้ง  หากมีคนอื่นมาบอกว่า  การที่คุณซิกิรหมื่นครั้งนั้น นบีเคยทำหรือ?  นบีกำหนดไว้หรือ?  เราก็ตอบว่า  นบีไม่ได้กำหนดเจาะจงไว้  แต่เราทำเพราะหลักฐานอามหรือมุฏลัก ที่บอกว่า  "โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย  พวกเจ้าจงซิกรุลลอฮ์ให้มาก ๆ"  ซึ่งจะมากเท่าไหร่แล้วแต่เรา  เป็นต้น

ดังนั้น  คำว่าหลักฐาน  มิใช่จำกัดเฉพาะเจาะ(ค๊อซ)ว่า นบีทำหรือไม่ได้ทำ 
Re: วะฮาบีชอบอ้างว่า الأصل فى العبادة التوقف أو التحري& By: Qortubah Date: ก.พ. 04, 2008, 09:50 AM

ญะซากัลลอฮุค็อยร็อน

ขออัลลอฮฺทรงตอบแทนท่านอัซฮารีย์ครับ
ยินดียิ่งที่ได้ศึกษาความรู้จากท่าน


Re: วะฮาบีชอบอ้างว่า الأصل فى العبادة التوقف أو التحري& By: al-azhary Date: ก.พ. 04, 2008, 10:07 AM

ญะซากัลลอฮุค็อยร็อน

ขออัลลอฮฺทรงตอบแทนท่านอัซฮารีย์ครับ
ยินดียิ่งที่ได้ศึกษาความรู้จากท่าน


ตรงใหนที่ผิดพลาด  ขอให้ท่านชี้แนะด้วย  ขออัลเลาะฮ์ทรงเมตตาผู้ที่ชี้แนะของผิดพลาดของเรา  และขออัลเลาะฮ์ทรงตอบแทนความดีต่อท่าน  ที่ช่วยกันร่วมนำเสนอความรู้แก่พี่น้องครับ
Re: วะฮาบีชอบอ้างว่า الأصل فى العبادة التوقف أو التحري& By: al-azhary Date: ก.พ. 05, 2008, 03:51 PM
بسم الله الرحمن الرحيم

เรื่องกออิดะฮ์  รู้สึกว่าท่านอิบนุตัยมียะฮ์เป็นคนแรกที่ทำการวางมันขึ้นมา  หากไปดูหนังสือก่อวาอิดฟิกห์  เช่นหนังสือ อัชบาฮุนนะซออิร  ของท่านอิมามอันสะยูฏีย์  ก็จะไม่พบกออิดะฮ์นี้ ทั้งที่น่าจะมีระบุไว้อย่างชัดเจน

ท่านอิบตัยมียะฮ์ได้ถูกถามเกี่ยวกับ ผู้ที่กล่าว ตะฮ์ลีล ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮ์70000 ครั้ง แล้ว ฮะดียะฮ์มอบผลบุญให้แก่มัยยิด โดยที่มัยยิดจะพ้นจากไฟนรกน้น เป็นหะดิษที่ซอเฮี๊ยะหฺหรือไม่? และผู้ที่ทำการกล่าวตะฮฺลีล และฮะดียะฮ์มอบผลบุญให้แก่มัยยิดนั้น ผลบุญจะไปถึงเขาหรือไม่?

ท่านอิบนุตัยมียะฮ์ตอบว่า

إذا هلل الإنسان هكذا : سبعون الفا، أو أقل أو أكثر وأهديت إليه نفعه الله بذلك، وليس هذا حديثا صحيحا ولا ضعيفا

"เมื่อคนหนึ่งได้ทำการกล่าว ตะฮ์ลีล(ลาอิลาฮะอิลลัลเลาะฮ์) เช่นนี้70000 ครั้ง หรือน้อยกว่านั้น หรือมากกว่านั้น แล้วดังกล่าวก็ถูกฮะดียะฮ์ให้แก่มัยยิด แน่นอน อัลเลาะฮ์จะทรงให้ดังกล่าวมีผลประโยชน์แก่มัยยิด และหะดิษดังกล่าวนั้น ไม่ใช่หะดิษที่ซอฮิหฺ และฏออีฟ" ดู ฟาตาวา อิบนุตัยมียะฮ์ เล่ม24 หน้า301

แสดงว่ากออิดะฮ์ดังกล่าว  ที่บอกว่าอิบาดะฮ์ต้องขึ้นอยู่กับหลักฐานนั้น  ซึ่งหลักฐานตามทัศนะของท่านอิบนุตัยมียะฮ์เอง  ย่อมมีความหมายกว้าง  ไม่ใช่เพียงแค่นบีทำหรือไม่ทำ
Re: วะฮาบีชอบอ้างว่า الأصل فى العبادة التوقف أو التحري& By: งดงาม Date: ก.พ. 03, 2009, 01:09 AM
 salam

เห็นว่ามันตรงกับกระทู้นี้เป็นอย่างมากและอธิบายหลักการดังกล่าวได้เป็นอย่างดี

http://www.sunnahstudents.com/forum/index.php?topic=3968.0

อ. ปราโมทย์  ได้อ้างอิงคำกล่าวของอิมามอะห์มัดและนักวิชาการฟิกหฺท่านอื่น ๆ  ว่า   :  แท้จริง พื้นฐานของเรื่อง “อิบาดะฮ์” ทั้งมวลก็คือ ให้ระงับ (จากการปฏิบัติ)...เพื่อจะบอกเป็นนัยว่า  การอ่านอัลกุรอานที่กุบูรต้องมีหลักฐานเจาะจงว่าท่านนบีเคยกระทำไว้เท่านั้น!     

ท่านอิบนุตัยมียะฮ์กล่าวว่า

كَانَ أَحْمَدُ وَغَيْرُهُ مِنْ فُقَهَاءِ أَهْلِ الْحَدِيْثِ يَقُوْلُوْنَ :  إِنَّ اْلأَصْلَ فِى الْعِبَادَاتِ التَّوْقِيْفُ، فَلاَ يُشْرَعُ مِنْهَا إِلاَّ مَا شَرَعَهُ اللهُ

"ท่านอิหม่ามอะห์มัดและท่านอื่นๆจากนักวิชาการฟิกฮ์ผู้เชี่ยวชาญหะดีษต่างกล่าวว่า :  แท้จริง พื้นฐานของเรื่อง “อิบาดะฮ์” ทั้งมวลก็คือ ให้ระงับ (จากการปฏิบัติ) ..ดังนั้นจะไม่มีอิบาดะฮ์ใดถูกกำหนดขึ้นมา (เพื่อปฏิบัติ) เว้นแต่ต้องเป็นสิ่งที่พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. ทรงบัญญัติ (คือสั่ง) มันเท่านั้น"มัจญฺมั๊วะอัลฟะตาวา 29/17

ท่านอิมามอัชชาฎิบีย์กล่าวเช่นกันว่า

اَلأَصْلُ فِي العِبَادَاتِ عَدَمُ الإِقْدَامِ عَلَيْهَا إِلاَّ بِدَلِيْلٍ

"พื้นฐานเดิมในเรื่องอิบาดะฮ์นั้น  ไม่ให้ย่างก้าวเข้าไปกระทำมัน นอกจากด้วยหลักฐาน" หนังสืออัลมุวาฟะก็อต

เมื่อบางคนได้ยินหลักการนี้  ก็จะคิดไปว่า  อิบาดะฮ์นั้นต้องมีหลักฐานมายืนยันเจาะจง(ค็อซ)หรือจำกัด(มุก็อยยัด)ให้กระทำเท่านั้น  แต่เมื่อเราได้ยินคำว่า "เว้นแต่ต้องมีหลักฐาน" دَلِيْلٌ นั้น  เราก็สมควรต้องเข้าใจตามหลักพื้นฐานนิติศาสตร์อิสลามเกี่ยวกับประเภทของหลักฐานว่ามีอะไรบ้าง?  ซึ่งตัวอย่างของหลักฐานแบบสรุป ๆ มีดังนี้  อาทิเช่น 

1.  หลักฐานแบบมัฏลัก الدَّلِيْلُ المُطْلَقُ  คือหลักฐานที่บ่งชี้แบบกว้าง ๆ 

2.  หลักฐานแบบมุฏ็อยยัด الدَّلِيْلُ المُقَيَّدُ คือหลักฐานที่มาจำกัดหลักฐานที่มีข้อบ่งชี้แบบกว้าง ๆ

3.  หลักฐานแบบครอบคลุ  الدَّلِيْلُ العَامُّ  คือหลักฐานที่มีข้อบ่งชี้แบบครอบคลุมทุกส่วน

4.  หลักฐานแบบเจาะจง الدَّلِيْلُ الخَاصُّ คือหลักฐานที่มาเจาะจงหรือทอนความหมายหลักฐานที่มีข้อบ่งชี้แบบครอบคลุม

ดังนั้นเมื่อมีหลักฐานประเภทใดประเภทหนึ่งจากสิ่งดังกล่าวนี้มารับรอง  ก็อนุญาตให้กระทำอิบาดะฮ์ได้ตามหลักการที่กระผมได้นำเสนอมาแล้วข้างต้นนั่นเอง     

ตัวอย่างที่หนึ่ง

ท่าน อบู นุอัยม์ ได้รายงานไว้ว่า

وَكَانَ لِأَبِىْ هُرَيْرَةَ رَضِىَ اللهُ عَنْهُ خَيْطٌ فِيْهِ أَلْفُ عُقْدَةٍ لاَ يَنَامُ حَتَّى يُسَبِّحُ بِهِ

"ท่านอบูหุรอยเราะฮ์(ร.ฏ.) มีเชื่อกที่มีหนึ่งพันปุ่ม เขาจะไม่นอน จนกว่าจะทำการตัสบีห์ด้วยกับมัน(พันครั้ง)" หนังสือฮิลยะตุลเอาลิยาอฺ 1/383

การตัสบีห์นั้นมีหลักฐานของศาสนาแบบกว้าง ๆ ได้รับรองไว้  แต่จะทำการตัสบีห์ 1000 ครั้งก็กระทำได้ซึ่งเป็นรูปแบบกว้าง ๆ ที่ไม่ขัดกับหลักศาสนา  แม้ว่าท่านนบี  ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ไม่เคยกำหนดเจาะไว้ก็ตาม

ตัวอย่างที่สอง

ท่านอัซซะฮะบีย์ กล่าวไว้ใน หนังสือ ซิยัร อะลาม อันนุบะลาอ์ว่า

قَالَ عَبْدُ اللهِ بْنُ الِإمَامِ أَحْمَدَ بْنِ حَنْبَلَ : كَانَ أَبِىْ يُصَلِّىْ كُلَّ يَوْمٍ ثَلَاثَمِائَةِ رَكَعَةٍ ، فَلَمَّا مَرِضَ مِنْ تِلْكَ الأَسْوَاطِ أَضْعَفَتْهُ فَكَانَ يُصَلِّىْ كُلَّ يَوْمٍ وَلَيْلَةٍ مِئَةً وَخَمْسِيْنَ رَكَعَةً

"ท่านอับดุลเลาะฮ์ บุตร ท่านอิมามอะหฺมัดบินหัมบัล กล่าวว่า บิดาของฉันเคยละหมาด 300 ร่อกะอัต ในทุกวัน แต่เมื่อขณะที่ท่านป่วยจากการถูกโบยดังกล่าวนั้น  ทำให้ท่านสุขภาพอ่อนแอลง  ดังนั้นท่านจึงทำการละหมาดเพียง 150 ร่อกะอัต ในหนึ่งวันและหนึ่งคืน" ดู ซิยัร อะลาม อันนุบะลาอ์ เล่ม 11 หน้า 212

การละหมาดสุนัตมีหลักฐานจากศาสนามารับรองแบบกว้าง ๆ   แต่รูปแบบการละหมาดโดยกำหนดหรือจำกัด 300 ร่อกะอัต  หรือจำกัด 150 ร่อกะอัตนั้น  เป็นรูปแบบที่ไม่ขัดกับหลักศาสนา  แม้ว่าท่านนบี  ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ไม่ได้เคยระบุเจาะจงไว้ก็ตาม

ตัวอย่างที่สาม

ท่านอิบนุตัยมียะฮ์ฟัตวาไว้ว่า

إِذَا هَلَّلَ الإِنْسَانُ هَكَذَا : سَبْعُوْنَ اَلْفاً، أَوْ أَقَلَّ أَوْ أَكْثَرَ وَأُهْدِيَتْ إِلِيْهِ نَفَعَهُ اللهُ بِذَلِكَ، وَلَيْسَ هَذَا حَدِيْثاً صَحِيْحاً وَلَا ضَعِيْفاً

"เมื่อคนหนึ่งได้ทำการกล่าว ตะฮ์ลีล(ลาอิลาฮะอิลลัลเลาะฮ์) เช่นนี้70000 ครั้ง หรือน้อยกว่านั้น หรือมากกว่านั้น แล้ว(การตะลีล)ดังกล่าวก็ถูกฮะดียะฮ์ให้แก่มัยยิด แน่นอนอัลเลาะฮ์จะทรงให้(ผลบุญการตะฮ์ลีล)ดังกล่าวมีผลประโยชน์แก่มัยยิด และหะดิษดังกล่าว(ที่มาระบุเจาะจงให้ตะฮ์ลีลเจ็ดหมื่นครั้ง)นั้น ไม่ใช่หะดิษที่ซอฮิหฺ และฏออีฟ" ดู ฟาตาวา อิบนุตัยมียะฮ์ เล่ม24 หน้า 301

การที่บุคคลหนึ่งกล่าวลาอิลาฮะอิลลัลลอฮ์นั้น  มีหลักฐานมารับรองแบบกว้าง ๆ   ส่วนจะกล่าวกี่ครั้งนั้นเป็นรูปแบบกว้าง ๆ ที่จะกล่าวเจ็ดหมื่นครั้ง  มากกว่านั้นหรือน้อยกว่านั้นก็ได้  ถือว่าไม่ขัดกับหลักศาสนา  แม้ไม่มีตัวบทมารับรองเจาะจงก็ตาม  ดังนั้นสิ่งที่ไม่ขัดกับหลักศาสนาหรือตัวบท  ย่อมไม่เป็นสิ่งต้องห้ามแต่ประการใด 

ตัวอย่างที่สี่

ท่านอิบนุก็อยยิม  ศิษย์เอกของท่านอิบนุตัยมียะฮ์  ได้กล่าวว่า

 وَاخْتَلَفُوْا فِي العِبَادَةِ البَدَنِيَّةِ كَالصَّوْمِ وَالصَّلاَةِ وَقِرَاءَةِ القُرْآنِ وَالذِّكْرِ فَمَذْهَبُ الإِمَامِ أَحْمَدَ وَجُمْهُوْرِ السَّلَفِ وُصُوْلُهَا وَهُوَ قَوْلُ بَعْضِ أَصْحَابِ أَبِى حَنِيْفَةِ نَصَّ عَلىَ هَذَا الِإمَامُ أَحْمَدُ فِيْ رِوَايَةِ مُحَمَّدِ بْنِ يَحْيىَ الْكَحَّالِ قَالَ قِيْلَ لِأَبِىْ عَبْدِ اللهِ الرَّجُلُ يَعْمَلُ الشَّيْءَ مِنَ الخَيْرِ مِنْ صَلاَةٍ أَوْ صَدَقَةٍ أَوْ غَيْرِ ذَلِكَ فَيَجْعَلُ نِصْفَهُ لِأَبِيْهِ أَوْ لِأُمِّهِ قَالَ أَرْجُوْ أَوْ قَالَ الْمَيِّتُ يَصِلُ إِلِيْهِ كُلُّ شَيْءٍ مِنْ صَدَقَةٍ أَوْ غَيْرِهَا وَقَالَ أَيْضاً اِقْرَأْ آَيَةَ الْكُرْسِيِّ ثَلاَثَ مَرَّاتٍ وَقُلْ هُوَ اللهُ أَحَدٌ وَقُلِ اللَّهُمَّ إِنْ فَضْلَهُ لِأَهْلِ المَقَابِرِ

ท่าน อิบนุก๊อยยิม  ได้กล่าวไว้เช่นกันว่า  "บรรดานักปราชญ์ได้ขัดแย้งเกี่ยวกับอิบาดะฮ์ที่กระทำด้วยร่างกาย  เช่น  การถือศีลอด  การละหมาด   การอ่านอัลกุรอาน  และการซิกรุลลอฮ์   ท่านอิมามอะห์มัด  และปราชญ์สะลัฟส่วนมาก  มีทัศนะว่า  ผลบุญการถือศีลอด  การละหมาด  การอ่านอัลกุรอาน  การซิกรุลลอฮ์  นั้นถึงผู้ตาย  และมันยังเป็นทัศนะบางส่วนของสานุศิษย์อิมามอบูหะนีฟะฮ์  และท่านอิมามอะห์มัดได้กล่าวระบุไว้ในสายรายงานของมุฮัมมัด บิน อะห์มัด  อัลกะห์ฮาล  เขากล่าวว่า  "ได้กล่าวถามแก่ท่านอบีอับดิลลาฮ์ (คือท่านอิมามอะห์มัด) ว่า  ชายคนหนึ่งได้กระทำความดี  จากการละหมาด  การซอดาเกาะฮ์  และอื่น ๆ   แล้วมอบผลบุญครึ่งหนึ่งให้แก่บิดาหรือมารดาของเขา  ท่านอิมามอะห์มัดตอบว่า  "ฉันหวัง(ว่าผลบุญนั้นถึงมัยยิด)"  หรือท่านอิมามอะห์มัดกล่าวว่า "ทุก ๆ สิ่งจากการซอดาเกาะฮ์และอื่น ๆ นั้น  ผลบุญจะถึงแก่มัยยิด"  และท่านอิมามอะห์มัดกล่าวเช่นเดียวกันว่า "ท่านจงอ่านอายะฮ์กุรซีย์ 3 ครั้ง  ท่านกุลฮุวัลลอฮุอะฮัด  และท่านจงกล่าวว่า  "โอ้ผู้อภิบาลแห่งข้า  ความดีงามของมันนั้น  มอบแด่บรรดาชาวกุบูร"    หนังสือ  อัรรั๊วะห์  ของท่านอิบนุก๊อยยิม  1/117

ท่านอิมามอะห์มัดใช้ให้ชายคนหนึ่งอ่านอัลกุรอาน  เช่น อายะฮ์อัลกุรซีย์และอ่านกุลฮุวัลลอฮุอะฮัด เพราะมีหลักฐานเดิมที่ใช้ให้อ่านอัลกุรอาน  ส่วนรูปแบบให้อ่าน 3 ครั้ง  และขอดุอาต่ออัลเลาะฮ์ฮะดียะฮ์ผลบุญแก่ผู้ล่วงลับในกุบูรนั้น  ไม่ขัดกับหลักศาสนา  ยิ่งกว่านั้นยังถูกรับรองจากหลักฐานของศาสนาตามนัยยะแบบกว้าง ๆ ว่าผลบุญจะถึงบรรดาผู้ล่วงลับไปแล้ว 

ตัวอย่างที่ห้า

ท่านอิบนุก็อยยิมได้กล่าวไว้เช่นกันว่า

فَإِنْ قِيْلَ هَذَا لَمْ يَكُنْ مَعْرُوْفاً عَنِ السَّلَفِ وَلاَ أَرْشَدَهُمْ إِلَيْهِ النَّبِيُّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ، فَالْجَوَابُ: إِنْ كَانَ مُوْرِدُ هَذَا السُّؤَالِ مَتَعَرِّفاً بِوُصُوْلِ ثَوَابِ الحَجِّ وَالصِّيَامِ وَالدُّعَاءِ، قِيْلَ لَهُ: مَا الفَرْقُ بَيْنَ ذَلِكَ وَبَيْنَ وُصُوْلِ ثَوَابِ القِرَاءَةِ؟ وَلَيْسَ كَوْنُ السَّلَفِ لَمْ يَفْعَلُوْهُ حُجَّةً فِيْ عَدَمِ الْوُصُوْلِ!! وَمِنْ أَيْنَ لَنَا هَذَا النَّفْيُ الْعَامُّ؟!

ً"หากถามว่า  การอ่านอัลกุรอานฮะดียะฮ์ผลบุญให้ผู้ตายนั้น  ไม่เป็นที่รู้กันจากสะลัฟและท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมก็ไม่ได้แนะนำพวกเขาไว้  คำตอบก็คือ  หากผู้ที่นำคำถามนี้มา  ได้ยอมรับว่าผลบุญการทำฮัจญ์ , การถือศีลอด , และการขอดุอาอ์ , นั้นถึงไปยังผู้ตาย  ก็ขอกล่าวตอบแก่เขาว่า  อะไรคือข้อแบ่งแยก(หรือความแตกต่าง)ระหว่างสิ่งดังกล่าวกับผลบุญการอ่านอัลกุรอานถึงผู้ตาย? และการที่สะลัฟไม่เคยกระทำมันนั้นมิใช่เป็นหลักฐานว่าผลบุญไม่ถึงผู้ตาย  และแล้วจากใหนล่ะ(หลักฐาน)ที่มาปฎิเสธ(ห้าม)แบบโดยรวมต่อพวกเรา?! " หนังสืออัรรั๊วะห์ 1/143

ท่านอิบนุก็อยยิมได้กล่าวว่า  การอ่านอัลกุรอ่านฮะดียะฮ์ผลบุญแก่ผู้ตายนั้น  แม้ท่านนบี  ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ไม่เคยกระทำ  และไม่เป็นที่รู้กัน  แต่มีหลักฐานให้ทำการอ่านอัลกุรอานและยืนยันว่าผลบุญของอิบาดะฮ์นั้นถึงแก่ผู้ตาย  ก็ถือว่าไม่เป็นบิดอะฮ์แต่ประการใด  เพราะไม่มีหลักฐานมาปฏิเสธหรือห้ามแบบโดยรวม

ตัวอย่างที่หก

ท่านอิบนุก็อยยิม  กล่าวว่า

وَمِنْ تَجْرِيْبَاتِ السَّالِكِيْنَ الَّتِيْ جَرَّبُوْهَا فَأَلِفُوْهَا صَحِيْحَةٌ : أَنَّ مَنْ أَدْمَنَ يَا حَيُّ يَاقَيُّوْمُ لاَ إِلهَ إِلَّا أَنْتَ أَوْرَثَهُ ذَلِكَ حَيَاةَ الْقَلْبِ وَالْعَقْلِ وَكَان شَيْخُ الإِسْلاَمِ ابْنُ تَيْمِيَّةَ قَدَّسَ اللهُ رُوْحَهُ شَدِيْدَ اللَهْجِ بِهَا جِدًّا وَقَالَ لِيْ يَوْمًا : لِهَذَيْنِ الاِسْمَيْنِ وَهُمَا الَحَيُّ الْقَيُّوْمُ تَأْثِيْرٌ عَظِيْمٌ فِيْ حَيَاةِ الْقَلْبِ وَكَانَ يُشِيْرُ إِلَى أَنَّهُمَا الاِسْمُ الأَعْظَمُ وَسَمِعْتُهُ يَقُوْلُ : مَنْ وَاظَبَ عَلَى أَرْبَعِيْنَ مَرَّةً كُلَّ يَوْمٍ بَيْنَ سُنَّةِ الْفَجْرِ وَصَلاَةِ الْفَجْرِ يَاحَيُّ يَاقَيُّوْمُ لاَإِلَهَ إِلاَّ أَنْتَ بِرَحْمَتِكَ أَسْتَغِيْثُ حَصَلَتْ لَهُ حَيَاةُ الْقَلْبِ وَلَمْ يَمُتْ قَلْبُهُ
 
"ส่วนหนึ่งจากบรรดาการทดสอบของนักตะเซาวุฟ  ซึ่งพวกเขาได้ทดสอบมัน  แล้วพบว่ามันเป็นความถูกต้องจริง  ก็คือผู้ใดที่บากบั่นกล่าวว่า  "ยาฮัยยุ  ยาก็อยยูม  ลาอิลาฮะอิลลา  อันต้า"  แน่นอนว่าดังกล่าวนั้นจะทำให้เขามีหัวใจและสติปัญญาที่มีชีวิตชีวา  และท่านชัยคุลอิสลาม อิบนุ ตัยมียะฮ์  ขออัลเลาะฮ์ทรงปลดเปลื้องวิญญาของท่านให้บริสุทธิ์  ได้กล่าวมันอย่างสม่ำเสมอเป็นอย่างมาก  และวันหนึ่งท่านได้กล่าวแก่ฉันว่า  ให้กับสองพระนามนี้  คือ  อัลฮัยยุ  อัลก็อยยูม  ยังผลอันยิ่งใหญ่ต่อการทำให้หัวใจมีชีวิตชีวา  และท่านได้แนะนำว่า  ทั้งสองพระนามนั้นเป็นพระนามที่ยิ่งใหญ่สุด  และฉันได้ยินท่านอิบนุตัยมียะฮ์กล่าวว่า  ผู้ใดได้กล่าวเป็นประจำถึง 40 ครั้งในทุกวันระหว่างละหมาดสุนัต(ก่อน)ซุบฮ์กับละหมาดซุบฮ์ว่า  ยาฮัยยุ  ยาก็อยยูม  ลาอิลาฮะอิลลาอันต้า บิเราะห์มะติก้า อัสตะฆีษุ  การมีชีวิตชีวาของจิตใจก็จะเกิดขึ้นแก่เขาและหัวใจของเขาจะไม่ตาย" หนังสือ มะดาริจญ์ อัสสาลิกีน 1/448

เป็นที่ทราบกันดีว่า  ไม่มีซุนนะฮ์นบี  ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ระบุสั่งเจาะจงไว้เลยว่า  ให้ทำการกล่าวพระนามของอัลเลาะฮ์ทั้งสองถึง 40 ครั้งทุกวันระหว่างละหมาดสุนัตซุบฮ์กับละหมาดซุบฮ์  แต่อนุญาตได้กระทำได้เพราะยึดหลักฐานแบบกว้าง ๆ (มัฏลัก) ที่ส่งเสริมให้ทำการซิกิร

จากตัวอย่างที่ผมได้หยิบยกมานั้น แม้ท่านอิมามมอะห์มัดและท่านอิบนุตัยมียะะฮ์เอง  ก็ทำอิบาดะฮ์ประเภทที่ไม่มีซุนนะฮ์ของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม มาระบุรูปแบบเจาะจงให้กระทำ แต่เมื่อมีหลักฐานแบบกว้าง ๆ มารับรองแล้ว  ก็อนุญาตให้กระทำได้นั่นเอง
Re: วะฮาบีชอบอ้างว่า الأصل فى العبادة التوقف أو التحري& By: งดงาม Date: ก.พ. 03, 2009, 01:15 AM
ท่านอิบนุก็อยยิม  กล่าวว่า

وَمِنْ تَجْرِيْبَاتِ السَّالِكِيْنَ الَّتِيْ جَرَّبُوْهَا فَأَلِفُوْهَا صَحِيْحَةٌ : أَنَّ مَنْ أَدْمَنَ يَا حَيُّ يَاقَيُّوْمُ لاَ إِلهَ إِلَّا أَنْتَ أَوْرَثَهُ ذَلِكَ حَيَاةَ الْقَلْبِ وَالْعَقْلِ وَكَان شَيْخُ الإِسْلاَمِ ابْنُ تَيْمِيَّةَ قَدَّسَ اللهُ رُوْحَهُ شَدِيْدَ اللَهْجِ بِهَا جِدًّا وَقَالَ لِيْ يَوْمًا : لِهَذَيْنِ الاِسْمَيْنِ وَهُمَا الَحَيُّ الْقَيُّوْمُ تَأْثِيْرٌ عَظِيْمٌ فِيْ حَيَاةِ الْقَلْبِ وَكَانَ يُشِيْرُ إِلَى أَنَّهُمَا الاِسْمُ الأَعْظَمُ وَسَمِعْتُهُ يَقُوْلُ : مَنْ وَاظَبَ عَلَى أَرْبَعِيْنَ مَرَّةً كُلَّ يَوْمٍ بَيْنَ سُنَّةِ الْفَجْرِ وَصَلاَةِ الْفَجْرِ يَاحَيُّ يَاقَيُّوْمُ لاَإِلَهَ إِلاَّ أَنْتَ بِرَحْمَتِكَ أَسْتَغِيْثُ حَصَلَتْ لَهُ حَيَاةُ الْقَلْبِ وَلَمْ يَمُتْ قَلْبُهُ
 
"ส่วนหนึ่งจากบรรดาการทดสอบของนักตะเซาวุฟ  ซึ่งพวกเขาได้ทดสอบมัน  แล้วพบว่ามันเป็นความถูกต้องจริง  ก็คือผู้ใดที่บากบั่นกล่าวว่า  "ยาฮัยยุ  ยาก็อยยูม  ลาอิลาฮะอิลลา  อันต้า"  แน่นอนว่าดังกล่าวนั้นจะทำให้เขามีหัวใจและสติปัญญาที่มีชีวิตชีวา  และท่านชัยคุลอิสลาม อิบนุ ตัยมียะฮ์  ขออัลเลาะฮ์ทรงปลดเปลื้องวิญญาของท่านให้บริสุทธิ์  ได้กล่าวมันอย่างสม่ำเสมอเป็นอย่างมาก  และวันหนึ่งท่านได้กล่าวแก่ฉันว่า  ให้กับสองพระนามนี้  คือ  อัลฮัยยุ  อัลก็อยยูม  ยังผลอันยิ่งใหญ่ต่อการทำให้หัวใจมีชีวิตชีวา  และท่านได้แนะนำว่า  ทั้งสองพระนามนั้นเป็นพระนามที่ยิ่งใหญ่สุด  และฉันได้ยินท่านอิบนุตัยมียะฮ์กล่าวว่า  ผู้ใดได้กล่าวเป็นประจำถึง 40 ครั้งในทุกวันระหว่างละหมาดสุนัต(ก่อน)ซุบฮ์กับละหมาดซุบฮ์ว่า  ยาฮัยยุ  ยาก็อยยูม  ลาอิลาฮะอิลลาอันต้า บิเราะห์มะติก้า อัสตะฆีษุ  การมีชีวิตชีวาของจิตใจก็จะเกิดขึ้นแก่เขาและหัวใจของเขาจะไม่ตาย" หนังสือ มะดาริจญ์ อัสสาลิกีน 1/448

เป็นที่ทราบกันดีว่า  ไม่มีซุนนะฮ์นบี  ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ระบุสั่งเจาะจงไว้เลยว่า  ให้ทำการกล่าวพระนามของอัลเลาะฮ์ทั้งสองถึง 40 ครั้งทุกวันระหว่างละหมาดสุนัตซุบฮ์กับละหมาดซุบฮ์  แต่อนุญาตได้กระทำได้เพราะยึดหลักฐานแบบกว้าง ๆ (มัฏลัก) ที่ส่งเสริมให้ทำการซิกิร

จากตัวอย่างที่ผมได้หยิบยกมานั้น แม้ท่านอิมามมอะห์มัดและท่านอิบนุตัยมียะะฮ์เอง  ก็ทำอิบาดะฮ์ประเภทที่ไม่มีซุนนะฮ์ของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม มาระบุรูปแบบเจาะจงให้กระทำ แต่เมื่อมีหลักฐานแบบกว้าง ๆ มารับรองแล้ว  ก็อนุญาตให้กระทำได้นั่นเอง

สะดุดและน่าชุกคิดตรงนี้ครับ  ซิกิร เป็นประจำถึง 40 ครั้งในทุกวันระหว่างละหมาดสุนัต(ก่อน)ซุบฮ์กับละหมาดซุบฮ์  ท่านอิบนุตัยมียะฮ์และอิบนุกอยยิมส่งเสริมให้กระทำ ทั้งที่นบีไม่ได้บอกไว้  หากตามหลักการฮุกุ่มของพี่น้องวะฮาบีนั้น   แน่นอนว่าเป็นบิดอะฮ์ 

พี่น้องมีความคิดเห็นอย่างไรครับ.....