กระดานเสวนานักศึกษาอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ มุอัลลัฟและความเข้าใจเกี่ยวกับอิสลาม
Pages: 1
"ทำไมข้าพเจ้าจึงเข้ารับอิสลาม " By: - ครูจริงใจ- Date: ก.พ. 10, 2008, 05:10 PM
 salam


อัลอัมดูลิลละห์ กับบุคคลที่อัลลอฮฺ ทรงประทานฮิดายัตแก่พวกเขาเหล่านี้ yippy:
^
^
มาดูที่ไป - ที่มาของการเข้ารับอิสลาม ของพี่น้องของเรากันดี กว่า   wink:
Re: "ทำไมข้าพเจ้าจึงเข้ารับอิสลาม " By: - ครูจริงใจ- Date: ก.พ. 10, 2008, 05:30 PM
ประเดิมด้วยคนแรก

  เค้ามีนามว่า   >>>>>[b]เอส. เอ . บอร์ด[/b]  ชาวอเมริกา
 "   รู้สึกว่าตอนนั้นเป็นปี ค.ศ. 1920  ขณะที่ผมนั่งอยู่ที่สำนักงานแพทย์แห่งหนึ่ง
      ผมเหลือบไปเห็นเอกสารชิ้นหนึ่งซึ่งมีชื่อว่า  African Times and Orient Review
     ตีพิมพ์ในลอนดอน  ผมจึงเอื้อมมือไปหยิบเอกสารชิ้นนั้นขึ้นมา เพื่อจะอ่านฆ่าเวลา 
     เมื่อผมเปิดไปข้างในปรากฏว่าในเอกสารชิ้นนั้นมีบทความเกี่ยวกับอิสลามอยู่บทหนึ่ง 
     และในบทความชิ้นนั้นก้อมีสิ่งหนึ่งที่เตะตาผม จนลืมมันไม่ลงมาจนกระทั่งทุกวันนี้
    สิ่งนั้นก็คือ ประโยคที่ว่า  " ลาอิลาฮา อิลลัลลอฮฺ "
    สมบัติอันล้ำค่าที่อยู่ในหัวใจของคนมุสลิมทุกคน รวมทั้งข้าพเจ้าด้วย
             หลังจากนั้นไม่นาน ผมก็ได้เป็นมุสลิม และได้รับการตั้งชื่อ ว่า " เศาะลาฮุดดีน "
    ผมเชื่อว่า อิสลามเป็นความศรัทธาที่ถูกต้อง เพราะอิสลามสอนเรื่อง ความเป็นเอกภาพของพระผู้เป็นเจ้า
   และไม่ทรงให้เราตั้งภาคีสิ่งใดเทียบเคียงกับพระองค์  นี่เป็นคำสอนที่สอดคล้องกับความเป้นจริงทางธรรมชาติที่สุด
  เพราะมันเป็นไปไม่ได้ที่กิจการใด ๆ ก็แล้วแต่ จะมีนายสองคนเป็นผู้บังคับบัญชางาน   และความจริงอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้ข้าพเจ้าเชื่อมั่นในอิสลาม ก็คือ
  อิสลามสามารถปลุกเร้าคนอาหรับให้เชื่อมโลก เข้าเป็นอณาจักรเดียวกันได้ โดยไม่ต้องใช้เวทย์มนต์คาถาแต่อย่างใด
  แม้แต่ในอันดาลูเซีย ( ปัจจุบัน คือ สเปน ) พวกอาหรับก็เคยเข้าไป ประกาศ ชัยชนะมาแล้ว
 
Re: "ทำไมข้าพเจ้าจึงเข้ารับอิสลาม " By: - ครูจริงใจ- Date: ก.พ. 10, 2008, 05:49 PM
          เมื่อก่อนหน้านี้ พวกมุสลิมมัวร์( !!)   พบว่าสเปนยังคงเป็นป่าทึบอยู่   แต่ต่อมาพวกมัวร์ ก็เปลี่ยนป่าทึบแห่งนั้นเป็น " สวนดอกไม้ "
  เรื่องนี้ผมต้องขอบคุณพระผู้เป็นเจ้าที่ส่งคนชื่อ John W. Draper มาบอกความจริงแก่คนทั้งโลกไว้ในหนังสือเรื่อง The Intellectual Development
  of  Europe
      ของเขา ว่า อิสลามมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่ก่อให้เกิดอารยธรรมสมัยใหม่ และ คนผู้นี้ก็ได้แสดงความรู้สึกเสียใจที่นักประวัติศาสตร์
  คริสเตียนบางคนพยายามปิดบังมิให้ชาวโลกรู้ว่า  ยุโรปนั้นเป็นหนี้อิสลาม อยู่
       
         คำอธิบายของ นาย Draper ถึงสภาพของชาวยุโรปที่พวกมัวร์ไปพบ ขณะนั้น ว่า

"    คนสมัยนั้นยังคงอยู่ในสภาพป่าเถื่อน  กักขฬะ ร่างกายสกปรกมอมแมม  จิตใจมืดทึบ
      อาศัยอยู่ในกระท่อมที่ปูด้วยหญ้าพวกกก และมีเสื่อฟางกั้น เป็นผนัง ซึ่งสภาพเช่นนี้ ถือว่า มั่งมีแล้ว
      พวกยุโรปสมัยนั้น ดำรงชีพด้วยการกินถั่ว  รากไม้ และแม้กระทั่งเปลือกไม้ ห่มร่างกายด้วยหนังสัตว์ที่ยังไม่ได้ฟอก"
   
     นอกจากนั้นแล้ว  พวกยุโรปยังเป็นหนี้บุญคุณ พวกซาราเซ้นอีกด้วย  เพราะพวกซาราเซ็น สอน ให้พวกนี้ รู้จักการทำความสะอาด
     และเปลี่ยนเสื่อผ้า ซึ่งก่อนหน้านี้  พวกยุโรปใส่มันจนขาดรุ่งริ่ง แล้วจึงเปลี่ยน

     
Re: "ทำไมข้าพเจ้าจึงเข้ารับอิสลาม " By: - ครูจริงใจ- Date: ก.พ. 10, 2008, 05:57 PM
         


            พวกอาหรับจะต้องมีพระผู้เป็นเจ้า อยู่กับพวกเขาอย่างแน่นอน จึงสามารถเปลี่ยนคนที่มีสภาพกักขฬะ  หยาบช้าป่าเถื่อน โง่เง่า
   และเชื่อโชคลาง ผีสางเทวดาให้มาเป็นประชาชาติที่ก้าวหน้า ในปัจจุบันได้
     พระผู้เป็นเจ้า  ศาสดามูฮัมหมัด และคัมภีร์อัลกุรอ่าน  ได้เปลี่ยนประวัติศาสตร์ของโลกมาแล้ว และถ้าปราศจาก 3 สิ่งนี้
    สิ่งมหัศจรรย์อันยิ่งใหญ่ในวงการวิทยาศาตร์ก็คงไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน
                "   จงศึกษาหาความรู้ แม้ว่าท่านจะต้องไปไกลถึงเมืองจีนก็ตาม "

 นี่คือ คำสอนของท่านศาสดาฮัมหมัด
Re: "ทำไมข้าพเจ้าจึงเข้ารับอิสลาม " By: - ครูจริงใจ- Date: ก.พ. 10, 2008, 06:09 PM
คนที่สอง

อิบรอฮีม  เคาะลีล อะห์มัด ( Ibrahim Khalil Ahmad)         ชาวอิยิปต์

อัลฮัจญ์  อิบรอฮิม เคาะลีล อะห์มัด   เดิมชื่อ  อิบรอฮิม  เคาะลีล ฟิโลบุส
เป็นพระในศาสนาคริสต์นิกาย ค๊อบติก  ได้ศึกษา วิชา เทววิทยา จนได้รับปริญญา ขั้นสูง จากมหาวิทยาลัย ปริ๊นส์ตัน USA

>>>เขาได้ศึกษาอิสลาม เพื่อหาข้อบกพร่อง ช่องโหว่ไว้สำหรับโจมตีต่อต้านอิสลาม
แต่แทนที่จะเป็นไปตามนั้น  ในที่สุดเขาก็ได้ ยอมรับอิสลามพร้อมด้วยบุตร ของเขาทั้ง 4 คน
หนึ่งในจำนวนนั้น ปัจจุบันได้เป็ฯศาตราจารย์ผู้เปรื่องปราชญ์ในมหาวิทยาลัย ซอร์บอร์น  ปารีส ฝร้งเศส
เขาได้เปิดเผยเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเขาไว้อย่างน่าสนใจ ดังนี้ :
Re: "ทำไมข้าพเจ้าจึงเข้ารับอิสลาม " By: - ครูจริงใจ- Date: ก.พ. 10, 2008, 06:22 PM
เด๋วมาต่อให้ เจ้า ค่ะ พี่น้อง
Re: "ทำไมข้าพเจ้าจึงเข้ารับอิสลาม " By: สวรรค์ชั้น 7 Date: ก.พ. 11, 2008, 08:53 AM
อืม 

อัลฮัมดูลิลละห์กับพี่น้องจริงๆ

อัลลอฮูอักบัร อัลลอฮูอักบัร อัลลอฮูอักบัร party:
Re: "ทำไมข้าพเจ้าจึงเข้ารับอิสลาม " By: - ครูจริงใจ- Date: ก.พ. 11, 2008, 05:18 PM
ต่อ ค่ะ
^
^
ผมได้ถูกส่งไปยังโรงเรียนอเมริกันมิชชั่นนารี  จนกระทั่งผมจบมัธยมศึกษา
ในปี ค.ศ. 1942  ผมได้ประกาศนียบัตรจากขั้นสูงจาก มหาวิทยาลัยอัสยูต  ทำให้มีความรู้ด้านเทววิทยา เพื่อเตรียมศึกษาต่อ 
ผมยังได้คำรับรองจาก สถาบันคริสตจักร อัล-อัตตะรีน ในอเล็คซานเดรีย  และยังได้รับคำรับรองจากสภาคริสตจักร แห่ง อิยิปต์ใต้
( The Church Assembly of Lower Egypt )   และยังได้คำรับรองใบที่สาม จาก สภาคริสตจักร แห่ง สะโนดัส เพื่อรับรองถึงคุณสมบัติการเป็นนักศาสนา
ซึ่งเป็นแหล่งรวมบรรดานักบวช คริสเตียน จากซุดาน และ อิยิ  ทางสะโนดัสได้ท้วงติงการเข้าศึกษาของผม ในฐานะที่เป็นนักศึกษาต่างชาติ
ณ ที่นั่น ผมได้ศึกษากับบรรดาครูทั้งชาวอิยิปต์ และอเมริกัน จนจบการศึกาในปี 1948
         ผมได้รับการสนับสนุนให้ถูกแต่งตั้งไปประจำที่เยรูซาเล็ม  ขณะนั้นยังไม่เกิดสงคราม  พอเกิดสงครามผมถูกส่งไปยังเมือง อัสนา  ในอิยิปต์ ตอนเหนือ
ในปีเดียวกันผมได้รับอนุญาติให้ทำวิทยานิพนธ์ ที่มหาวิทยาลัยอเมริกันในกรุงไคโร  เป็นเรื่องเกี่ยวกับกิจกรรม ต่างๆ ที่พวกมิชชั่นนารีในหมุ่พวกมุสลิม
ความสนิทสนมของผม กับอิสลามนั้น ได้เริ่มมาแล้ว ในคณะเทววิทยา ณ ที่นั้น 
ผมได้ศึกษาอิสลามตลอดทั้งวิธีการต่างๆ ทั้งหมดที่เราสามารถเขย่าความศรัทธาของมุสลิม  และยกประเด็นที่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดต่างๆ เพื่อเป็นการทำลายความเข้าใจในศาสนาของบรรดามุสลิม
ชาวอเมริกันรับอิสลามมากขึ้น โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ By: - ครูจริงใจ- Date: มี.ค. 05, 2008, 06:48 PM
ชาวอเมริกันรับอิสลามมากขึ้น โดยเฉพาะคนรุ่น
ใหม่

อาห์หมัด (ดรูว์) มาร์แชล (Ahmad Drew Marshall) อายุ 23 ปี นักศึกษามหาวิยาลัยเดลาแวร์ เขารู้จักอิสลามตอนเรียนวิชาศิลปะอิสลาม ดรูว์ถูกเลี้ยงดูมาอย่างโปรแตสแตนท์เพรสไบทีเรียน ก่อนจะหันมารับอิสลามเมื่อสองปีก่อน


โดย SUMMER HARLOW, The News Journal
แปลโดย วาริษาฮ์ อัมรีล

เดลาแวร์, สหรัฐอเมริกา – ดรูว์ มาร์แชล (Drew Marshall) เป็นเหมือนเด็กนักเรียนทั่วๆ ไปในมหาวิทยาลัย ซึ่งเข้าห้องเรียนและยามว่างก็นั่งดื่มกาแฟที่คาเฟ่น้วก

มาร์แชลสูง 6 ฟุต (183 ซม.) ไว้เคราบางๆ สวมเสื้อเชิร์ตสีฟ้าอ่อน ไม่มีอะไรสะดุดตา...

...จนกระทั่งเขาทักทายคนรู้จักเป็นภาษาอารบิกว่า “อัสลามุอลัยกุม”

ดรูว์ มาร์แชล หนุ่มอเมริกันผิวขาววัย 23 ซึ่งตอนนี้เรียกตัวเองว่า อาห์หมัด มาร์แชล (Ahmad Marshall) เปลี่ยนมารับอิสลามเมื่อสองปีก่อน

เขาสวมเสื้อเชิร์ต กางเกงสแล็ค ถือกระเป๋าหิ้วแบบหนุ่มออฟฟิศ เขาดูเหมือนเป็นอาจารย์มากกว่าจะเป็นนักเรียนชั้นปีที่ 4

มาร์แชลบอกว่า เมื่อเขาแต่งตัวแบบนี้ดูเหมือนคนทั่วไปจะให้เกียรติเขามากขึ้นกว่าเดิม การเปลี่ยนแปลงทั้งการแต่งตัวและชื่อเป็นการแปลกแยกตัวเขาเองออกจากชีวิตในวันเก่า

มาร์แชลเรียนวิชาเอกด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ วิชาโทด้านอิสลามศึกษา เขาอ้างฮะดิษและโองการจากอัล-กุรอานอย่างคล่องแคล่ว พูดสลับไปมาระหว่างภาษาอังกฤษกับอารบิกอย่างว่องไว มาร์แชลบอกว่าเรื่องนี้ง่ายมากๆ ภาษาอารบิกก็คล้ายๆ กับสูตรคณิตศาสตร์ ฝึกง่ายจะตาย

เมื่อ 6 ปีก่อนสมัยเรียนชั้นไฮสกูล เช้าวันที่ 11 กันยายน 2001 เขานั่งในคาเฟทีเรียของโรงเรียน ตอนนั้นการเรียนภาษาอารบิกไม่เคยอยู่ในสมองเลย

และก็คล้ายๆ กับทุกคนในอเมริกา มาร์แชลจำได้ถึงตอนที่นั่งดูทีวีเครื่องบินชนตึกเวิร์ลด์เทรดเซ็นเตอร์ (มหกรรมแหกตาระดับโลก แหกตาซะยิ่งกว่านีล อาร์มสตรองเหยียบดวงจันทร์อีก! แต่บังเอิญหนนี้ไม่ได้ถ่ายในสตูดิโอ แถมมีคนบริสุทธิ์ตายหลายร้อยคนด้วย – ผู้แปล) ตอนนั้นทุกคนมีแต่ความกลัว สับสน และโกรธแค้น

“ผมจำได้ว่าตอนเกิดเหตุการณ์ 9/11 ผมบอกว่าเนี่ยเดี๋ยวต้องเกิดสงครามโลกครั้งที่สามแน่ๆ พวกเราต้องจัดการกับบินลาเดนซะ” เขากล่าว “ผมก็เหมือนกับเด็กอเมริกันคนอื่นๆ ที่มีแต่ความเคียดแค้น เราทุกคนตำหนิผู้ก่อการร้ายมุสลิม”

แต่เหตุการณ์ครั้งนั้นกลับนำชาวอเมริกันนับพันนับหมื่นเข้าสู่หนทางแห่งอิสลาม

“คนทั่วไปอยากรู้ในสิ่งที่พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อน และ 9/11 เป็นตัวกระตุ้นที่ดี ผลก็คือ คนจำนวนมากหันมาตระหนักว่ามีอะไรบางอย่างในอิสลามที่เหมาะกับพวกเขา” อิสมัท ชาห์ กล่าว, เขาเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ภาควิชาฟิสิกส์และคณิตศาสตร์ มหาวิทยาลัยเดลาแวร์ และเป็นที่ปรึกษาของสมาคมนักเรียนมุสลิมของมหาวิทยาลัย (MSA หรือ Muslim Students Association)

บางทีอาจเป็นเพราะ 9/11 ที่ทำให้ชาวอเมริกันหันมารับอิสลามเพิ่มขึ้นอย่างมาก ทำให้อิสลามเป็นศาสนาที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก, มุคตาดาร์ ข่าน กล่าว, เขาเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์สาขารัฐศาสตร์และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของมหาวิทยาลัยเดลาแวร์

จากผลการศึกษาของ Pew Research ที่ออกมาเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาพบว่า 1 ใน 4 ของชาวอเมริกันมุสลิมทุกวันนี้เป็นพวกมุสลิมใหม่ ครึ่งหนึ่งหันมารับอิสลามเมื่ออายุยังไม่เต็ม 21 ปี     

“ตอนนี้คนอยากรู้ว่าอิสลามคืออะไร” ข่านกล่าว “อิสลามเป็นเรื่องที่ฮ็อตที่สุดที่คนทั้งโลกกำลังพูดถึง”

แต่ อิบราฮิม ฮูเปอร์ โฆษกของ CAIR หรือ สภาความสัมพันธ์อเมริกันอิสลาม (Council on American-Islamic Relations) บอกว่ามุสลิมใหม่เจอกับการท้าทายอย่างมาก ทันทีที่รับอิสลามพวกเขาอาจโดนกล่าวหาว่าหันหลังให้ชาติพันธุ์และภูมิหลังของตัวเอง หรือไม่ก็ไม่สนใจเพื่อนหรือครอบครัว

อิบราฮิม ฮูเปอร์ ก็เป็นมุสลิมใหม่เช่นเดียวกัน

เรย์ ดูแรน (Ray Duran) นักเรียนชั้นปีที่สาม มหาวิทยาลัยเดลาแวร์ หันมารับอิสลามหลังเหตุการณ์ 9/11 และเจอคำถามว่าเขาจะกลายไปเป็นพวกหัวรุนแรงหรือเปล่า

แต่ดูแรนบอกว่า ในฐานะที่เป็นลูกของชาวเม็กซิกันอพยพ บอกได้เลยว่าเขารู้วิธีจัดการกับความเห็นของพวกเหยียดผิว เรื่องพวกนี้ชาวอพยพเจอมานักต่อนักแล้ว

“ผมรู้ว่ามีคนพูดจาแย่ๆ เยอะโดยไม่ได้ศึกษาอะไรเลย พวกนี้ชอบทึกทักเอาเอง” เขากล่าว

เมื่อต้องเจอกับความท้าทายดังกล่าว ชาวมุสลิมใหม่จึงต้องหันเข้าหาชุมชนมุสลิมเพื่อการสนับสนุนทั้งด้านความรู้และสังคม

ช่วง 6 ปีที่ผ่านมา การเป็นมุสลิมในสหรัฐฯ เป็นเรื่องยุ่งยากทีเดียว, หนึ่งในสมาชิกของสมาคมนักเรียนมุสลิม มหาวิทยาลัยเดลาแวร์กล่าว






จากซ้าย: รอย ดูแรน (Roy Duran), อาห์เมด เซแบอร์, ดีมาร์ กัซซิม, และ อัมเบอร์ มาจิด กำลังสนทนากับเด็กนักเรียนคนอื่นๆ ในสมาคมนักเรียนมุสลิม มหาวิทยาลัยเดลาแวร์ ในการประชุมครั้งล่าสุดของพวกเขาที่เซ็นทรัลพาร์กในเมืองน้วก


‘บางคนชอบตัดสินโดยไม่รู้จริง”

ตอนที่ อมานี อัลคอต เข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย พ่อของเธอกังวลว่าการที่เธอคลุมฮิญาบอาจโดนล้อได้

“คนบางคนชอบตัดสินคนอื่น” อัลคอตกล่าว เธออายุ 18 ปี เรียนชั้นปีสองมหาวิทยาลัยเดลาแวร์ “บางคนคิดว่าฉันคลุมฮิญาบ ก็เลยเป็นพวกหัวรุนแรง”

อัลคอตเป็นเด็กนักเรียนเพียงที่คลุมฮิญาบในชั้นเรียนวิชาอิสลามและความสัมพันธ์ต่างประเทศของผู้ช่วยศาสตราจารย์มุคตาดาร์ ข่าน

เธอบอกว่าก็สังเกตเหมือนกันว่า มีคนมองตอนเธอเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำละหมาด

อัลคอตประหลาดใจมากๆ ที่พบว่าทุกวันนี้มีชาวอเมริกันจำนวนมากหันมารับอิสลาม “ทั้งๆ ที่พวกเขาได้ยินแต่ภาพพจน์แย่ๆ ของมุสลิมเนี่ยแหละ” เธอบอก

มาจอรี เบเลส เด็กนักเรียนชั้นปีหนึ่งของมหาวิทยาลัยเดลาแวร์ กล่าวว่า เธอรู้ว่าคนจำนวนมากคิดว่ามุสลิมเกี่ยวข้องกับการก่อการร้าย แต่เธอไม่เคยเจอพฤติกรรมที่ไม่ดีจากผู้อื่นต่อความเป็นมุสลิมของเธอ

“คนก็ให้เกียรติฉันดีนี่” เธอบอก “ฉันไม่คิดหรอกนะว่า พอรู้ว่าใครเป็นมุสลิมแล้ว จะมีคนบอกว่า หลีกให้ห่างจากยัยคนนี้เหอะ!”

สำหรับมาร์แชลแล้ว ตอนเขาสนใจศึกษาอิสลาม เขาไม่สนใจเรื่องการก่อการร้าย

มาร์แชลบอกว่าเมื่อก่อนเขาใช้ชีวิตแบบเยาวชนอเมริกันทั่วไป ไปปาร์ตี้สนุกสนานตลอด ไม่เคยสนใจพ่อแม่

แต่ตอนนี้, เมื่อเป็นมุสลิม, เรื่อง “ปาร์ตี้, ปาร์ตี้, ปาร์ตี้” นั้นเลิกไปเลย

“ผมมีความเป็นปัจเจกชนมากขึ้น” มาร์แชลกล่าว

เขาเติบโตมาใน Hockessin ในครอบครัวอเมริกันจ๋า มีน้องสาวคนนึง ที่บ้านเลี้ยงหมา มีเรือไว้ตกปลาตอนสุดสัปดาห์ ครอบครัวเขาไปโบสถ์ไลม์สโตนเพรสไบทีเรียน แม่เขาสอนโรงเรียนศาสนาวันอาทิตย์ที่นี่

แต่มาร์แชลรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างในชีวิตของเขาที่ไม่เข้าท่า

“ผมรู้สึกว่าตัวเองไม่ใช่ตัวเองน่ะ”

สมัยเรียนไฮสกูล มาร์แชลไม่ถูกใจที่เห็นเพื่อนนักเรียนปฏิบัติต่อเพื่อนแบบไม่ให้เกียรติ เขาไม่ชอบการชกต่อย ไม่ชอบการเอารัดเอาเปรียบ วัตถุนิยม และการแข่งขันกันทำตัว “เจ๋ง”

เขาเจอคำตอบสุดท้ายตอนเรียนมหาวิทยาลัยปีสอง

เมื่อสงสัยอยากรู้ มาร์แชลเลยลงเรียนวิชาศิลปะอิสลาม ไม่ได้คิดจะเปลี่ยนมารับอิสลามหรอก; เขาแค่ประทับใจในอัล-กุรอาน บทกวี และอะไรอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับอิสลามเท่านั้น

“เรื่องใหญ่ที่สุดสำหรับผมก็คือ การได้ยินเสียงอาซาน” เขาบอก “แม้มันเป็นภาษาอื่นที่ผมไม่เข้าใจ แต่ช่างเป็นเสียงที่สวยงามบริสุทธิ์ที่นำผมเข้าไปสู่ความยิ่งใหญ่ของอิสลาม”

เขาเริ่มอ่านคัมภีร์อัล-กุรอาน และยิ่งศึกษา เขายิ่งอยากรู้มากขึ้น

แม่ของเขา, แซลลี มาร์แชล, บอกว่า เธอคิดว่าลูกชายของเธอประทับใจอิสลามเพราะความอ่อนโยนของศาสนา และความน่ารักของคนและการให้เกียรติผู้อื่นที่เขาเจอตอนไปมัสยิดทุกครั้ง

“ดรูว์ชอบเด็กนักเรียนมุสลิม เพราะพวกเขาจริงใจ ไม่จิงโจ้ สนุกสนานได้โดยไม่ต้องดื่มเบียร์” เธอกล่าว “พวกเด็กมุสลิมไม่ทะเลาะเบาะแว้ง ไม่ชกต่อยกับคนอื่น อิสลามสอนว่าต้องให้เกียรติและดูแลผู้ปกครอง โดยเฉพาะแม่ อิสลามช่วยให้ดรูว์ได้เติบโตไปเป็นชายหนุ่มที่ฉันภาคภูมิใจที่สุด”

‘ผมไม่เห็นจะคิดถึงชีวิตแบบเก่าๆ เลย’

ดูแรน, ลูกชายของผู้อพยพชาวเม็กซิกัน, เติบโตมาอย่างเด็กคาทอลิกในสแครนตัน รัฐเพนซิลวาเนีย ครอบครัวและเพื่อนของเขาตั้งคำถามว่าทำไมเขาถึงเปลี่ยนมาเป็นมุสลิม แต่ทุกคนก็เห็นว่าแม้เป็นมุสลิมแล้ว ดูแรนก็ยังเป็นดูแรนคนเดิม

“พวกเขารักที่จะเห็นผมมีศรัทธาในศาสนา แต่พวกเขาก็ยังไม่เข้าใจอิสลามอยู่ดี” ดูแรนกล่าว

ดูแรนสวมรองเท้าไนกี้ ถุงเท้าสีดำ กางเกงขาสั้นสีกากี และสวมหมวกเบสบอลตรามหาวิทยาลัยเดลาแวร์ เขามิได้แตกต่างไปจากเด็กนักเรียนอีกหลายพันคนในมหาวิทยาลัยเลย

เพราะเหตุนี้เอง เลยไม่มีใครกลัวหรือล้อเลียนเขา, ดูแรนกล่าว

แต่ตอนที่เขาต้องละหมาดที่มหาวิทยาลัย แล้วเจอคนมองแบบแปลกๆ เพราะไม่รู้ว่าเขากำลังทำอะไร ดูแรนบอกว่าเขาก็รู้สึกกระอักกระอ่วนเหมือนกัน

เขาเป็นที่ปรึกษาของหอพักมหาวิทยาลัย แต่ดูแรนก็ยังไม่ได้บอกใครๆ ที่พักชั้นเดียวกันว่าเขาเป็นมุสลิม -- เขาต้องการให้ทุกคนรู้จักความเป็นดูแรนก่อน ทั้งชั้นนั้นมีแต่นักเรียนผิวขาว

“ก็น่าสนใจดีนะที่เห็นว่าพวกเขามีปฏิกิริยายังไงตอนรู้ว่าผมเป็นมุสลิม” เขากล่าวยิ้มๆ

ส่วนมาร์แชลบอกว่าเขาเคยโดนถามว่าทำไมเขาถึง “ข้ามไปอยู่ซะอีกด้านหนึ่ง”

“พวกเค้าล้อเล่นน่ะ แต่นั่นเป็นเพราะพวกเค้าไม่กล้าพูดตรงๆ” เขากล่าว

มาร์แชลไม่เคยกังวลว่าใครจะคิดยังไงต่อการที่เขาเป็นมุสลิม เขาบอกว่าความมั่นใจของเขาเต็มเปี่ยม

ซาเนียร์ มีร์ซา สาวน้อยวัย 20 ประธานของสมาคมนักเรียนมุสลิมของมหาวิทยาลัยบอกว่า ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ 9/11 เป็นต้นมาเธอรู้สึกว่าตัวเองต้องพยายามพิสูจน์ว่าตัวเองก็เป็นชาวอเมริกันคนหนึ่ง ต้องพยายามเป็นพิเศษที่จะแสดงให้เห็นว่าการเป็นมุสลิมมิได้หมายความถึงความรุนแรง

“แย่นะ ไม่แฟร์เลย” เธอกล่าว “และก็, จะพิสูจน์ยังไงล่ะว่าคุณมีความเป็นอเมริกันมากกว่า? มันไม่ใช่ว่าฉันคลุมฮิญาบแล้วฉันจะไม่ใช่อเมริกัน หรือการเป็นอเมริกันต้องแต่งตัวเปิดเผย ต้องโป๊ ต้องดื่มเหล้า ต้องปาร์ตี้ ต้องฟังเพลงที่มีข้อความสัปดน ฉันไม่คิดหรอกนะว่าแบบนั้นคือการเป็นอเมริกันชน แต่อเมริกันคือความยุติธรรม, ความเท่าเทียมกัน, และเสรีภาพในการพูดต่างหาก”

มาร์แชลและดูแรนบอกว่า การเปลี่ยนมาเป็นมุสลิมมิได้หมายความว่าพวกเขามีความเป็นอเมริกันน้อยกว่าคนอื่นๆ

ดูแรนยังคงเล่นบาสเกตบอล ยังคงทำกิจกรรมของมหาวิทยาลัย, แต่ตอนนี้, เขากล่าว, เขาอุทิศเวลาให้กับการละหมาดมากขึ้น ให้กับพระเจ้ามากขึ้น

และบางครั้งที่มาร์แชลหวลนึกถึงเบียร์เย็นๆ ในวันที่อากาศร้อนอบอ้าว เขาพบว่าน้ำเปล่าเย็นๆ ก็ทำให้เขาสดชื่นได้เช่นกัน

“ผมต้องละทิ้งสิ่งเหล่านี้ เพราะต้องการรับใช้พระผู้เป็นเจ้า” มาร์แชลกล่าว “ผมไม่ได้นึกถึงชีวิตแบบเก่าๆ เท่าไหร่ เพราะสิ่งดีๆ ในวิถีชีวิตแบบเก่านั้นผมก็ยังปฏิบัติอยู่ในทุกวันนี้”