Re: หนังสือ ความจริงที่ไม่น่าเป็นความจริงแต่ก็เป็นจริง(พี่น้องสมควรเข้ามาอ่าน) By: sufriyan Date: เม.ย. 20, 2008, 09:23 PM
ความจริงที่ไม่น่าเป็นจริง แต่ก็เป็นจริง
UNBELIVEABLE IT'S FEASIBLE - เตือนตนให้คนอื่นฟัง -
อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสไว้ในซูเราะห์ อัศศอฟ อายะห์ที่ 2 และ 3 มีความว่า
- โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย ทำไมพวกเจ้าจึงกล้าพูดในสิ่งที่พวกเจ้าไม่ปฏิบัติ
- เป็นที่น่าเกลียดยิ่ง ณ ที่อัลลอฮฺ การที่พวกเจ้าพูดในสิ่งที่พวกเจ้าไม่ปฏิบัติ
จากทางนำของท่านร่อซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม
ท่านอะนัส อิบนุมาลิก ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ รายงานว่า ท่านร่อซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า ผู้ใดยึดเอาโลกอาคิเราะฮฺเป็นเป้าหมายของเขาแล้ว อัลลอฮฺก็จะทรงบันดาลให้ความร่ำรวยบังเกิดขึ้นในหัวใจของเขา และจะรวมกิจการงานของเขาให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและจะให้โลกดุนยามาหาเขาโดยการบังคับ และผู้ใดยึดเอาโลกดุนยามาเป็นเป้าหมายของเขาแล้ว อัลลอฮฺก็จะทรงบันดาลให้ความยากจนบังเกิดขึ้นต่อหน้าของเขา และจะแยกกิจการงานของเขาให้กระจัดกระจาย และจะไม่ให้กิจการของโลกดุนยามาหาเขา นอกจากสิ่งที่ได้ถูกกำหนดให้แก่เขาเท่านั้น ฮะดีสนี้บันทึกโดยอิหม่ามอัรติรมีซีย์
สิ่งที่เป็นภัยที่สุดต่อชีวิตความเป็นอยู่ของมุสลิมในปัจจุบันนี้ก็คือ การยึดเอาโลกดุนยามาเป็นเป้าหมาย ซึ่งหมายถึงการลุ่มหลงเพลิดเพลินความสวยงามและตัณหา ประกวดประชันกันเพื่อให้ได้มาซึ่งการครอบครองและเป็นกรรมสิทธิ์ในบุตรหลาน ทรัพย์สิน เงินทองและอสังหาริมทรัพย์
ความรักความลุ่มหลงที่เกินขอบเขต และการแข่งขันกันเพื่อครอบครองสิ่งที่เรียกกันว่าวัตถุในโลกดุนยานี้ เป็นความผิดอย่างมหันต์ เป็นบ่อเกิดแห่งความหายนะ เพราะความรัก การลืมตัว และความลุ่มหลงในโลกดุนยานี้ จึงทำให้มีการตัดพี่ตัดน้อง ตัดญาติขาดมิตร ทำให้มนุษย์คดในข้องอในกระดูก ไม่มีคำนึงเรื่องอะมานะฮฺ และไม่รักษาคำมั่นสัญญา ทำให้มนุษย์ไม่รักษาสิทธิ์ของกันและกัน ลืมหน้าที่ของแต่ละคนและก้าวก่ายหน้าที่ของผู้อื่น ทำให้ทุกคนอยากเป็นใหญ่เป็นโตทั้งๆ ที่ตนเองก็ขาดคุณสมบัตินานาประการ เพราะความรักและความลุ่มหลงในโลกดุนยานี้มนุษย์จึงหันหน้าเข้าห้ำหั่นกันเหมือนกับสัตว์ป่าที่แข็งแรงกว่าต้องการทำลายสัตว์ที่อ่อนแอกว่าให้หมดสิ้นไป ทำให้พ่อค้าพูดจาโกหกเพื่อให้ได้มาซึ่งผลกำไรมากๆ ทำให้ผู้ที่เป็นเจ้าคนนายคนอวดใหญ่อวดโต เย่อหยิ่ง จองหอง ทำให้เกิดคดีฟ้องร้องกันเอาชนะกันด้วยสิ่งที่ไม่ถูกต้อง คนรวยเอาเปรียบคนจน ไม่มีความเห็นอกเห็นใจ และใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย คนที่จิตใจอ่อนแอก็พูดจากลับกลอกไม่เคารพความจริง
เพราะความรักลุ่มหลงเพื่อเทิดทูนแต่ในเรื่องของโลกดุนยาและบุคคลใกล้ชิด เหนือกว่าความรักและความหวังของโลกอาคิเราะฮฺ และเหนือกว่าการเทิดทูนอัลลอฮฺ และร่อซูลของพระองค์ อัลกุรอานกล่าวเตือนบุคคลประเภทนี้ไว้ในซูเราะห์อัตเตาบะฮฺ
ความว่า "จงกล่าวเถิดว่า หากว่าบิดามารดาของสูเจ้า บุตรหลานของสูเจ้า พี่ๆน้องๆ ของสูเจ้า สามีภรรยาของสูเจ้า วงศ์ตระกูลของสูเจ้า ทรัพย์สมบัติที่สูเจ้าแสวงหามาได้ การค้าขายที่สูเจ้ากลัวจะขาดทุน และเคหะสถานที่สูเจ้ามีความพอใจอยู่เป็นที่รักยิ่งของสูเจ้ามากกว่าอัลลอฮฺและร่อซูลของพระองค์ และการเสียสละไปในทางของพระองค์แล้ว สูเจ้าก็จงคอยเถิด จนกว่าอัลลอฮฺจะนำการลงโทษของพระองค์มา อัลลอฮฺจะไม่ทรงฮิดายะฮฺแก่บุคคลจำพวกที่ดื้อดึง และออกนอกขอบเขต" ( 9 : 24 )
เพราะความลืมตัวและสำคัญผิดนี้เอง ผู้ที่มีความรู้ก็ปิดบังวิชาไม่กล้าพูดความจริง ทั้งๆ ที่รู้ว่าอะไรคือความจริง และกล้าตัดสินในเรื่องต่างๆ ทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นสิ่งเท็จ นักเขียน นักหนังสือพิมพ์ก็บิดเบือนความจริงกันได้เพราะเห็นแก่อามิสสินจ้าง เพราะความมัวเมาและความลุ่มหลงดุนยา สิ่งต้องห้ามก็กระทำกันอย่างเปิดเผยถือเป็นเรื่องธรรมดา
ทั้งหมดนี้ก็เพื่อดุนยา เพราะความล่อลวงและตัณหาของมัน เพื่อผู้หญิง เพื่อแก้วเหล้า เพื่อตึกรามบ้านช่อง เพื่อที่ดินสักแปลงหนึ่ง เพื่อตำแหน่งจะใหญ่หรือเล็กก็ตาม เพื่อเงินทองจะมากน้อยสักปานใดก็ตาม จะได้มาโดยทางหะล้าลหรือหะรอมก็ไม่คำนึงถึง เพื่อใกล้ชิดกับหัวหน้า หรือชื่อเสียงในหมู่ชน หรืออื่นจากนี้คือเรื่องปากท้องหรือตัณหาทางเพศ หรือเพื่อทุกๆ อย่างที่ปราศจากศีลธรรมหรือความเป็นมนุษย์ มนุษย์ในสมัยปัจจุบันที่วันสิ้นโลกกำลังคืบคลานมาถึงสามารถกระทำได้ ปฏิบัติได้ เพราะความเคยชินและถือเป็นเรื่องธรรมดาซึ่งส่วนใหญ่เขากระทำกัน
แน่นอนที่สุดไม่ต้องสงสัยว่า ความรักและความหวังในชีวิตเป็นส่วนหนึ่งในสัญชาติญาณมนุษย์ มิเช่นนั้นแล้วโลกเราก็จะไม่ก้าวหน้าและมีชีวิตชีวา และก็จะไม่สอดคล้องกับเคล็ดลับที่ว่าเป็นการล่อลวงให้มนุษย์รักและลุ่มหลงในความใคร่ต่างๆ แต่สิ่งที่เป็นภัยและอันตรายที่สุดก็คือ มนุษย์เรามัวเมาอย่างลืมตัวในความรักและลุ่มหลงต่อดุนยา และตั้งเป้าหมายในระยะยาวไว้โดยมิได้คำนึงเลยว่า การดำรงชีวิตอยู่ในโลกนี้ ถึงแม้จะยาวนานสักปานใดก็ตาม แต่ก็สั้นในทัศนะของการมีชีวิตของแต่ละคน เพราะบุคคลประเภทนี้เปรียบเสมือนผู้ไม่หวังที่จะกลับไปหาพระองค์ อัลลอฮฺ ตะอาลา และไม่มีความศรัทธาต่อวันที่จะมีการชำระสะสางผลงานของแต่ละคน หรือว่ามีความศรัทธาต่อวันปรโลกแต่มีความยุ่งมากมายก่ายกองจนกระทั่งลืม ลืมว่าตนเองนั้นเป็นใครมาจากไหน ? ด้วยเหตุนี้ ท่านร่อซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จึงได้สอนให้เราวิงวอนขอดุอาอฺ ต่อองค์พระผู้อภิบาลอยู่เสมอ
มีความว่า "โอ้ อัลลอฮฺ ขอพระองค์ทรงอย่าทำให้ดุนยาเป็นที่กังวลอันสำคัญยิ่งแก่เรา และอย่าให้ความรู้ของเรามีเพียงแต่ดุนยาเท่านั้น"
ดังนั้นจะมีอะไรอีกเล่า ที่จะมีความสำคัญยิ่งกว่า และจีรังกว่าการรักและลุ่มหลงแห่งการดำรงชีวตอยู่ในโลกดุนยานี้โยมีเป้าหมายเพื่อวันปรโลก ด้วยการรำลึกถึงการตอบแทนที่เที่ยงธรรมที่สุด ความหวังจะพบกับองค์พระผู้อภิบาล โดยอยู่ร่วมและพร้อมกับบรรดานบีและผู้กระทำความดีทั้งหลาย มีความโลภและอยากได้รับการตอบแทนที่ดี หวังในความยินยอมและโปรดปรานของพระองค์ มีความกลัวในการคิดบัญชีและการลงโทษของพระองค์ ความหมายดังกล่าวมาทั้งหมดนี้ คือความรัก ความหวัง ความโลภ และความกลัว สิ่งเหล่านี้แหละที่จะเป็นเครื่องป้องกันความหลงผิดต่างๆ และจะเป็นโล่ห์ป้องกันภัยของเราในการดำเนินชีวิต
( เอกสาร อัล-อิศลาหฺ อันดับที่ 218-221 เมษายน พ.ศ. 2525 )
Re: หนังสือ ความจริงที่ไม่น่าเป็นความจริงแต่ก็เป็นจริง(พี่น้องสมควรเข้ามาอ่าน) By: al-fantazy Date: เม.ย. 20, 2008, 11:08 PM
อยากให้แปลที่เด็ดๆ เลยอะคับ.....ส่วนเรื่องรายละเอียดอื่นๆ ให้ไปหาอ่านกันเองดีกว่าคับ สงสารคนพิมพ์เค้า .....
Re: หนังสือ ความจริงที่ไม่น่าเป็นความจริงแต่ก็เป็นจริง(พี่น้องสมควรเข้ามาอ่าน) By: คะลัคคะลุย Date: เม.ย. 21, 2008, 05:30 PM
ต่อครับ...
จะพูดจาอ่อนหวานสักปานใด ย่อมพูดได้ถ้ารู้จักหลักภาษา
แต่หากขาดความจริงใจในวาจา จะมีค่าแด่ผู้ฟังอย่าหวังเลย
ประเด็นแรก "แล้วใครจะให้ความเป็นธรรมต่อ อัล-กุรอาน"จากข้อเขียนของนายริฎอ สมะดี ในหนังสือ "เมื่อความจริงแรกฏ" หน้า 24 กล่าวว่า
ถึงแม้ว่าข้าพเจ้าต้องการที่จะช่วยเหลือผู้ถูกอธรรม ( อาจารย์อิบรอฮีม กุเรชี ) และต้องการอธิบายข้อเท็จจริงมากเพียงใด แต่ข้าพเจ้าไม่เคยยกยอปอปั้นหรือชมเชยอาจารย์อิบรอฮีม กุเรชี แม้แต่น้อย ข้าพเจ้ากลับบอกข้อผิดพลาดของเขาและเตือนมิให้เผยแพร่ข้อผิดพลาดดังกล่าว ซึ่งการตักเตือนของข้าพเจ้าโดยเฉพาะต่อครอบครัวของเขาและทุกคนที่พิมพ์หนังสือของเขา เป็นเรื่องระหว่างข้าพเจ้ากับพวกเขาและอัลลอฮฺเท่านั้น ไม่มีผู้ใดรับรู้ เพราะเรามิได้เป็นคนกล่าวร้ายคนอื่นหรือเปิดเผยเรื่องราวไม่ดีต่างๆ ต่อหน้าผู้อื่นบทวิเคราะห์นายริฎอ สมะดี ได้ยอมรับว่า กุรอานมะญีด พิมพ์ปี พ.ศ. 2544 มีข้อผิดพลาดจริง และจะต้องแก้ไขก่อนที่จะนำไปเผยแพร่ แต่ในทางปฏิบัติที่สวนทางกัน
ได้มีการนำเอากุรอานมะญีดที่ยังคงมีข้อผิดพลาดเหล่านั้นนำไปจ่ายแจก ในเชิงให้เปล่า ก่อนการแก้ไขมาโดยตลอด จนทุกวันนี้ ก็ยังไม่ได้แก้ไขข้อผิดพลาดเหล่านั้น
Re: หนังสือ ความจริงที่ไม่น่าเป็นความจริงแต่ก็เป็นจริง(พี่น้องสมควรเข้ามาอ่าน) By: คะลัคคะลุย Date: เม.ย. 21, 2008, 05:32 PM
ประเด็นที่ 2 "แก้หรือไม่แก้ แท้จริงใครโกหก"จากข้อเขียนของ ชมรมหนังสือ "วิทยปัญญา" ธันวาคม 2549 ผู้สนับสนุนต่อการจัดพิมพ์ ได้เขียนไว้ในหนังสือ หน้า 118 ว่า
ถึงแม้ว่าขณะนี้ ( 2549 ) อ.ดิเรก กุลศิริสวัสดิ์ ได้กลับไปสู่ความเมตตาของอัลลอฮฺ สุบหฯ แล้ว คนกลุ่มนี้ก็ยังไม่ลดละเลิกที่กล่าวใส่ร้ายต่อท่านในเรื่องก๊อดยานีย์อยู่อย่างต่อเนื่องทั้งทางเอกสาร รายการวิทยุ หรือแม้แต่ในการบรรยายศาสนาตามสถานที่ต่างๆ โดยเนื้อหาที่นำมากล่าวหาใส่ร้ายนั้นไม่ได้มีข้อมูลใหม่ๆ ใดๆ เลยแม้แต่น้อย พวกเขายังคงใช้ข้อมูลเก่าๆ ที่ผิดพลาดของ อ.ดิเรก เมื่อกว่าสี่สิบปีที่แล้วมาตอกย้ำเพื่อที่จะสร้างความเข้าใจผิดให้กับพี่น้องมุสลิมว่า อ.ดิเรก เป็นก๊อดยานีย์จริง ทั้งๆ ที่ความผิดพลาดเหล่านั้นได้มีการยอมรับและแก้ไขแล้ว ก่อนที่ท่านจะเสียชีวิตบทวิเคราะห์นายริฎอ สมะดี ได้แสดงให้เห็นว่า ข้อผิดพลาดดังกล่าวนั้นมีจริงตามคำยืนยันในหนังสือ "เมื่อความจริงปรากฏ" หน้า 24
แต่ในหนังสือเล่มเดียวกันนั้นเอง กลับยืนยันตรงข้ามกันว่า ข้อผิดพลาดดังกล่าวได้รับการแก้ไขแล้ว ( หน้า 118 ) ลักษณะหนึ่งของมุนาฟิก
"เมื่อพูด ก็จะโกหก"ขอถามนายริฎอ ว่า ข้อผิดพลาดก่อนการแก้ไขมันอยู่ส่วนไหน และหากได้แก้ไขแล้วก่อนเสียชีวิตนั้น ความถูกต้องหลังการแก้ไขมันอยู่ที่ไหน
แล้วทำไมนักวิชาการศาสนาปัจจุบันยังคงสามารถชี้ให้เห็นถึงข้อผิดพลาด บิดเบือนเหล่านั้นได้อีก ซึ่งหาใช่เป็นข้อมูลเก่าที่ผิดพลาดและได้แก้ไขแล้ว เมื่อกว่า 40 ปีที่แล้ว
แต่มันเป็นข้อผิดพลาดขั้นร้ายแรง ซึ่งปรากฏในกุรอานมะญีด พิมพ์ปี พ.ศ. 2544 นี้เอง
Re: หนังสือ ความจริงที่ไม่น่าเป็นความจริงแต่ก็เป็นจริง(พี่น้องสมควรเข้ามาอ่าน) By: คะลัคคะลุย Date: เม.ย. 21, 2008, 05:33 PM
ประเด็นที่ 3 "นายริฎอ รักสามัคคี จริงหรือ?"จากข้อเขียนของนายริฎอ สมะดี ในหนังสือ "เมื่อความจริงปรากฏ" หน้า 6-7 กล่าวว่า
ข้าพเจ้าได้พยายามเรียกร้องความสามัคคีในกลุ่มซุนนะฮฺ มานานพอสมควร และได้เสียสละแม้กระทั่งศักดิ์ศรี เพื่อให้ความเป็นปึกแผ่นเดียวปรากฏในสังคม ซึ่งทุกคนที่คยร่วมงานกับข้าพเจ้าไม่สามารถปฏิเสธเรื่องเหล่านี้ได้ ข้าพเจ้ายังยืนยันในแนวทางเผยแผ่ที่ระบุข้างต้น และเรียกร้องให้พี่น้องทุกท่านมีบทบาทในทางการสร้างความสามัคคีให้สังคมของเราเข้มแข็ง เป็นญามาอะฮฺที่มีพลังแห่งความศรัทธาและการปฏิบัติหน้าที่บทวิเคราะห์นายริฎอ สมะดี คงมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเป็นอย่างดีถึงความหมายของคำว่า "ศักดิ์ศรี" มิเช่นนั้นคงไม่กล้าพอที่จะกล่าวว่าตนเป็นผู้เสียสละแม้กระทั่งศักดิ์ศรี คงหมายถึงคำว่าเกียรติยศที่มีอยู่ในตัวของนายริฎอ มันคืออะไรกันแน่ ? มันคือวิชาความรู้ระดับปริญญาโท หรือมันคือคำสอนที่ไพเราะกับบทวิเคราะห์ที่น่าอ่าน หรือมันคือพฤติกรรมที่ค้านกับคำสอน หรือมันคือการโฆษณาชวนเชื่อ หรือมันคือการระรานไม่ให้เกียรติผู้อาวุโส หรือมันคือการเป็นชาวบางกอกน้อย
การเรียกร้องพี่น้องมุสลิมให้มีความสามัคคี เป็นญะมาอะห์ ที่มีพลังแห่งการศรัทธาและปฏิบัติ
ถือเป็นการเสียสละศักดิ์ศรี เกียรติยศ เยี่ยงจิตสำนึกของนายริฎอ กระนั้นหรือ แต่หาใช่เป็นอะมานะห์ของทุกคนที่มีความบริสุทธิ์ใจต่ออัลลอฮฺ ตะอาลา เพียงผู้เดียวหรือ ?
อีกทั้งขบวนการชนกลุ่มน้อยที่ร่วมมือให้การสนับสนุนต่อนายริฎอ โดยการจัดตั้งชมรมอัซซุนนะห์ขึ้น บนที่ของมัสยิดที่แบ่งให้เช่า และชมรมมุสลิมสายน้ำริมคลองบางกอกน้อยเพื่อเป็นฐานปฏิบัติการแทรกแซงบริหารงานมัสยิดและสมาคม
มีการแยกกลุ่ม แบ่งพวกพ้อง ออกไปละหมาดญะมาอะห์ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อภาพลักษณ์ของมัสยิดและสมาคมในชุมชนบางกอกน้อย และชุมชนอื่นๆ อีกหลายแห่งที่มีนายริฎอเข้าไปมีส่วนร่วมด้วย
หากพฤติกรรมของนายริฎอ เยี่ยงนี้ ถูกเรียกว่าเป็นการเรียกร้องพี่น้องทุกท่านให้มีบทบาทในการสร้างความสามัคคีในกลุ่มซุนนะห์
ก็คงจะหาความแตกแยก แตกความสามัคคีในสังคมมุสลิมไม่ได้อีกแล้วเป็นแน่
Re: หนังสือ ความจริงที่ไม่น่าเป็นความจริงแต่ก็เป็นจริง(พี่น้องสมควรเข้ามาอ่าน) By: คะลัคคะลุย Date: เม.ย. 25, 2008, 05:46 AM
ประเด็นที่ 4 "ทำไมนายริฎอ ไม่ละหมาดตามอิหม่าม"จากข้อเขียนของนายริฎอ สมะดี ในหนังสือ "เมื่อความจริงปรากฏ" หน้า 111 กล่าว่า
และการละหมาดตามอิมามเป็นหน้าที่ของผู้ตาม ในเมื่ออิมามยังถือว่าเป็นมุสลิม แม้ว่าจะเป็นมุบตะดิอฺ ( ผู้กระทำบิดอะฮฺ ) ก็ตามบทวิเคราะห์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันท่านอิหม่ามอับดุลลอฮฺ กรีมี ผู้ซึ่งมีคุณวุฒิด้านอิสลามศึกษาในระดับสูง ท่านมีผลงานด้านการเผยแผ่อิสลามมาช้านาน ท่านเป็นอิหม่ามประจำมัสยิดและเป็นอุปนายกฝ่ายวิชาการของอัล-อิศลาหฺ จากการที่ผมได้มีปฏิสัมพันธ์ส่วนตัวกับท่าน ปฏิบัติศาสนกิจตามท่าน สอบถามปัญหาศาสนาจากท่าน
ปรากฏว่าท่านยังคงมีสติสัมปชัญญะบริบูรณ์ มิได้ฟั่นเฟือนเสียสติ และท่านก็ยังคงมีสภาพแห่งการเป็นมุสลิมด้วยหลักการทั้งปวง จะด้วยเหตุผลอันใดเล่าที่นายริฎอ ไม่ยอมละหมาดตามท่าน
แสดงว่านายริฎอ สมะดี ได้เลิกเชื่อถืออิหม่ามอับดุลลอฮฺ ว่าเป็นมุสลิม "เป็นหน้าที่ของผู้ตามในเมื่ออิหม่ามยังถือว่าเป็นมุสลิม"
ถ้าอิหม่ามอับดุลลอฮฺ กรีมี ไม่ได้เป็นมุสลิมตามคำตัดสินของนายริฎอ แล้ว ภาคผลบุญของผู้ปฏิบัติศาสนกิจตามอิหม่ามอับดุลลอฮฺ ซึ่งปัจจุบันยังคงให้เห็นอยู่ ก็จะไร้ผล กลายเป็นโมฆียกรรมทันที
หากได้มีการพิสูจน์ตามกระบวนการแห่งหลักการอิสลามแล้ว ปรากฏว่า
ท่านอิหม่ามยังคงเป็นมุสลิม เช่นนั้น นายริฎอจะมีสถานภาพตามหลักการอิสลามเช่นไรความหมายจากหะดีษ รายงานจากท่านอบีฮุรอยเราะห์ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ ท่านร่อซูลุลลอฮฺ ศอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า
"ผู้หนึ่งผู้ใดกล่าวแก่พี่น้องของเขาว่า "โอ้กาเฟรฺ" ไม่คนหนึ่งคนใด ต้องเป็นกาเฟรฺ แน่นอน" ( อิหม่ามบุคอรี )รายงานจากท่านอิบนุอุมัร ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ ท่านร่อซูลุลลอฮฺ ศอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า
"ผู้หนึ่งผู้ใด กล่าวแก่พี่น้องของเขาว่า "โอ้การเฟรฺ" หากว่าเขาเป็นดังกล่าว หากว่าเขาไม่เป็น คำกล่าวนั้นจะกลับคืนสู่ผู้พูด" ( อิหม่ามมุสลิม )การกล่าวหาคนหนึ่งคนใดว่าเป็นการเฟรฺ เป็นบาปใหญ่ และเป็นการละเมิดสิทธิของมุสลิม ( ฮักกุลมุสลิม ) อย่างมหันต์ ( เมื่อความจริงปรากฏ หน้า 26 )
Re: หนังสือ ความจริงที่ไม่น่าเป็นความจริงแต่ก็เป็นจริง(พี่น้องสมควรเข้ามาอ่าน) By: คะลัคคะลุย Date: เม.ย. 28, 2008, 01:38 AM
ประเด็นที่ 5 "ใคร ? พิพากษาอิหม่ามอับดุลลอฮฺ ไม่ใช่มุสลิม"จากข้อเขียนของนายริฎอ สมะดี ในหนังสือ "เมื่อความจริงปรากฏ" หน้า 7 กล่าวว่า
( แต่มิได้หมายความว่าทุกคนมีสิทธิในการพิพากษาความศรัทธาของบุคคลอื่น โดยไม่ปฏิบัติตามกระบวนการกล่าวหาผู้อื่นซึ่งมีมาตรการ กติกา มารยาท อย่างชัดเจนในวิชา อะดะบุลอิคติลาฟฟิล อิสลาม - มารยาทแห่งการขัดแย้งในอัลอิสลาม การกล่าวหาผู้อื่นต้องปฏิบัติสุดความสามารถในการวิจัยและแสวงหาทุกสาเหตุที่ทำให้คนหนึ่งคนใดตกอยู่ในความบกพร่องแห่งหลักอะกีดะฮฺ และถือสาเหตุนั้นเป็นสิ่งที่จะทำให้บุคคลที่ผิดพลาดนั้นรอดพ้นจากการตกศาสนาหรือเป็นฟาสิก ดังที่บรรดาอัสสะละฟุศศอลิหฺสั่งเสียไว้ ให้ทุกคนพยายามเห็นใจผู้ผิดพลาดแม้ว่าจะมีเจ็ดสิบข้ออ้างอิงเป็นสาเหตุในการผิดพลาดนั้นควรที่จะห้ามมิให้มีการกล่าวหาเขา แต่ให้ตักเตือนเขาในฐานะเป็นพี่น้องกัน ) บทวิเคราะห์ - การที่นายริฎอ สมะดี
ไม่เชื่อถือว่าอิหม่ามอับดุลลอฮฺ กรีมี ยังคงเป็นมุสลิมอยู่นั้น ไม่ทราบว่า นายริฎอ ได้ใช้บทบัญญัติ กฎกติกามารยาทอย่างชัดเจน
ตามหลักการของศาสนาอะไร ? แต่ไม่ใช่ในอิสลามอย่างแน่นอน
- ท่านอิหม่ามอับดุลลอฮฺ กรีมี มีข้อผิดพลาดถึง 70 ข้ออ้างอิงหรือยัง ? และนายริฎอ ได้
ทำหน้าที่ในฐานะพี่น้องกันด้วยการตักเตือนท่านอิหม่าม ตามกระบวนการแห่งหลักการอิสลามหรือไม่อย่างไร
Re: หนังสือ ความจริงที่ไม่น่าเป็นความจริงแต่ก็เป็นจริง(พี่น้องสมควรเข้ามาอ่าน) By: Goddut Date: เม.ย. 29, 2008, 02:09 AM
มันรู้กันเกือบหมดทุกประเด็นแล้วล่ะครับ คนที่มีข้อมูลน่ะ
แต่ช่างเป็นที่น่าเสียดาย ที่เขา และเหล่าบรรดาลูกศิษย์ ลูกหายังคงไม่เข้าใจความหวังดี ของพี่น้องมุสลิมทางนี้อยู่
ซุบฮานัลลอฮฺ.
อัฟตักฟิรุลลอฮฺ..
วัสลาม..
Re: หนังสือ ความจริงที่ไม่น่าเป็นความจริงแต่ก็เป็นจริง(พี่น้องสมควรเข้ามาอ่าน) By: จำมัยในไซเบอร์ Date: เม.ย. 29, 2008, 05:47 PM
ไม่เคยมีข้อมูลครับ ไม่เคยรู้มาก่อนเลย ไม่เคยอ่านทั้งสองเล่มที่โต้ตอบกัน....
แต่......

....... ไม่อยากรู้อะไรแล้ว....ได้ไหม......

Re: หนังสือ ความจริงที่ไม่น่าเป็นความจริงแต่ก็เป็นจริง(พี่น้องสมควรเข้ามาอ่าน) By: al-fantazy Date: เม.ย. 29, 2008, 07:03 PM
ใครที่คิดว่าตัวเองรู้แล้วก็อย่ามาอ่านสิคับ.......ผมนี่ยังไม่รู้ และไม่มีหนังสือเล่มนั้น และอยากรู้ต่อด้วย....
แล้วตกลงเรื่องมันเป็นไงต่ออะคับ....ว่าต่อมาสิ คับ....บัง บัง...
Re: หนังสือ ความจริงที่ไม่น่าเป็นความจริงแต่ก็เป็นจริง(พี่น้องสมควรเข้ามาอ่าน) By: ILHAM Date: เม.ย. 29, 2008, 07:06 PM
ผมก็ไม่รู้ เพิ่งรู้นี่แหละ
Re: หนังสือ ความจริงที่ไม่น่าเป็นความจริงแต่ก็เป็นจริง(พี่น้องสมควรเข้ามาอ่าน) By: hamzah Date: เม.ย. 30, 2008, 12:05 AM
คนเขียนคนนี้ มีประวัติอะไรกับเชคริฎอ รึป่าวอ่ะครับ?....
เท่าที่ทราบนะ....
ปล.เฮ้อ....เว็บนี้ ไม่น่าพลาดเอาข้อมูลการรายงาน ในหนังสือของบุคคล ฎออีฟ มาเผยแผ่ ได้นะ...

Re: หนังสือ ความจริงที่ไม่น่าเป็นความจริงแต่ก็เป็นจริง(พี่น้องสมควรเข้ามาอ่าน) By: hamzah Date: เม.ย. 30, 2008, 12:08 AM
يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آمَنُوا إِن جَاءكُمْ فَاسِقٌ بِنَبَأٍ فَتَبَيَّنُوا
أَن تُصِيبُوا قَوْماً بِجَهَالَةٍ فَتُصْبِحُوا عَلَى مَا فَعَلْتُمْ نَادِمِينَ
[49.6] โอ้ศรัทธาชนทั้งหลาย ! หากคนฟาสิกนำข่าวใดๆ มาแจ้งแก่พวกเจ้า พวกเจ้าก็จงสอบสวนให้แน่ชัด หาไม่แล้วพวกเจ้าก็จะก่อเคราะห์กรรมแก่พวกหนึ่งโดยไม่รู้ตัว แล้วพวกเจ้าจะกลายเป็นผู้เสียใจในสิ่งที่พวกเจ้าได้กระทำไป
Re: หนังสือ ความจริงที่ไม่น่าเป็นความจริงแต่ก็เป็นจริง(พี่น้องสมควรเข้ามาอ่าน) By: al-fantazy Date: เม.ย. 30, 2008, 08:53 PM
แล้วมันมีอะไรในก่อไผ่ละคับ......คุณ hamzah ลองบอกมาสิ เค้าจะได้รู้....
คนเค้าไม่รู้ อยู่ดีๆ เข้ามาตำหนิ...อะไรกันอะ...งง จริงๆ...งั้นเค้ามีไรกันว่ามาสิ๊....
Re: หนังสือ ความจริงที่ไม่น่าเป็นความจริงแต่ก็เป็นจริง(พี่น้องสมควรเข้ามาอ่าน) By: คะลัคคะลุย Date: พ.ค. 02, 2008, 08:23 AM
คนเขียนคนนี้ มีประวัติอะไรกับเชคริฎอ รึป่าวอ่ะครับ?....
เท่าที่ทราบนะ....
ปล.เฮ้อ....เว็บนี้ ไม่น่าพลาดเอาข้อมูลการรายงาน ในหนังสือของบุคคล ฎออีฟ มาเผยแผ่ ได้นะ... 
คนเขียนก็พูดกันด้วยหลักฐาน มีการอ้างอิงมาจากข้อเขียนของ อ.ริฏอ เอง ซึ่งมีน้ำหนัก ส่วนการตัดสินว่าคนนั้นชั่ว คนนี้ฏออีฟนั้น เอาอะไรมาเป็นบรรทัดฐาน การที่ผู้หนึ่งได้รับการไว้เนื้อเชื่อใจก็ต้องดูคนรอบข้างด้วยว่าพวกเขาให้การยอมรับมากแค่ใหน คุณบอกโดยนัยว่าผู้ที่เขียนชั่ว เพราะเขาไปวิจารณ์อาจารย์ของคุณ แล้วมหาชนของฝ่ายผู้เขียนล่ะ เขาบอกว่าอาจารย์ของคุณมีลักษณะแบบที่คุณกล่าวถึงเขาใหม....
