Re: ความผิดของเธอ...หรือของฉัน? By: Rusnii717 Date: มี.ค. 05, 2015, 09:18 PM
ปล.อีกที...โดยส่วนตัว ไม่แน่ใจว่าเป็นศิลปะในการตักเตือนหรือเปล่านะคะ
แต่ถ้าเราใช้ความจริงใจ ความบริสุทธิ์ใจ (อิคลาส) + เมตตาธรรม + หวังดี
+ ห่วงใย
^___^
อัสสลามุอะลัยกุมค่ะ
...ขอบคุณสำหรับคำตอบนะคะ...
แต่...มันค่อนข้างจะเป็นนามธรรม และก็กว้างไปค่ะ
...อยากได้แบบตัวอย่างคำพูดค่ะ เช่น...
.....ฉันแต่งแบบนี้ไม่เชยหรอก อากาศที่นี่ก็ค่อนข้างหนาว ปกปิดไว้อย่างนี้อุ่นดีออก ที่สำคัญ---คือ???
.......หรือ!!!เธอว่าแบบนี้เชยเหรอ แล้วอะไรจะเป็นข้อบชี้ได้ล่ะว่าเราเป็นมุสลิม???
.........หรือ?

.........
อะไรประมาณนี้อ่ะค่ะ จะใช้ศิลปะยังไงดี
เผื่อจะได้นำไปใช้เตือนเพื่อนได้แบบบัวไม่ให้ช้ำ น้ำไม่ให้ขุ่น
..."รบกวนชี้แนะด้วยนะคะพี่น้อง น้องพี่"...
ผิดพลาดประการใด ขอมาอัฟด้วยนะคะ
^______^
Re: ความผิดของเธอ...หรือของฉัน? By: nada-yoru Date: มี.ค. 06, 2015, 02:48 AM
ปล.อีกที...โดยส่วนตัว ไม่แน่ใจว่าเป็นศิลปะในการตักเตือนหรือเปล่านะคะ
แต่ถ้าเราใช้ความจริงใจ ความบริสุทธิ์ใจ (อิคลาส) + เมตตาธรรม + หวังดี
+ ห่วงใย
^___^
อัสสลามุอะลัยกุมค่ะ
...ขอบคุณสำหรับคำตอบนะคะ...
แต่...มันค่อนข้างจะเป็นนามธรรม และก็กว้างไปค่ะ
...อยากได้แบบตัวอย่างคำพูดค่ะ เช่น...
.....ฉันแต่งแบบนี้ไม่เชยหรอก อากาศที่นี่ก็ค่อนข้างหนาว ปกปิดไว้อย่างนี้อุ่นดีออก ที่สำคัญ---คือ???
.......หรือ!!!เธอว่าแบบนี้เชยเหรอ แล้วอะไรจะเป็นข้อบชี้ได้ล่ะว่าเราเป็นมุสลิม???
.........หรือ?
.........
อะไรประมาณนี้อ่ะค่ะ จะใช้ศิลปะยังไงดี
เผื่อจะได้นำไปใช้เตือนเพื่อนได้แบบบัวไม่ให้ช้ำ น้ำไม่ให้ขุ่น
..."รบกวนชี้แนะด้วยนะคะพี่น้อง น้องพี่"...
ผิดพลาดประการใด ขอมาอัฟด้วยนะคะ
^______^
ถ้าเอาเป็นรูปธรรมเลยนั้น ต้องยกตัวอย่างของตัวเองแล้วล่ะค่ะ...
ถ้าเป็นในแบบที่เราพูดกับต่างศาสนิกเป็นการเตือนเขากรายๆ
หรืออธิบายเขาให้เข้าใจเรื่องละหมาดกับฮิญาบไปด้วย เตือนเขาเป็นนัยๆไปด้วยนัั้น
โดยส่วนตัวเจอมาหนักเหมือนกัน เพราะทำงานกับคนญี่ปุ่นที่ไม่ยอมรับเรื่องนี้เท่าไหร่
เขาให้เหตุผลว่า...ฮิญาบเป็นสิ่งที่เขาไม่คุ้นตา...ละหมาดทำให้เสียเวลางาน
ก็เลยบอกเขาไปว่า...
ฮิญาบสำหรับมุสลิมถือว่าเป็นเครื่องแต่งกาย เปรียบไปเหมือนชุดยูนิฟอร์มของบริษัทและองค์กรต่างๆ
และศาสนานั้นย่อมใหญ่กว่าองค์กร ซึ่งอิสลามมีชุดให้ผู้นับถือศาสนาส่วมใส่...
เป็นรูปแบบเครื่องแต่งกายที่เป็นอัตลักษณ์ แน่นอนว่า ย่อมไม่ปรากฏชุดแบบนี้ในองค์กรอื่นๆ
นอกจากทุกสายตาที่เห็นจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า นี่แหล่ะมุสลิมล่ะ...
แค่พวกเขาเห็นชุดปุ๊บ เขาก็รู้ได้ทันทีว่าคนสวมคือมุสลิม...แม้ไม่รู้ว่าอิสลามคืออะไร
และทำอะไรกันบ้างในแต่ละวัน แต่พอเห็นชุดเขาก็รู้ได้ทันทีว่านี่แหล่ะมุสลิม...
มันเป็นชุดที่แน่นอนว่าแตกต่าง ไม่เหมือนใคร ไม่คุ้นตาไปบ้างก็มิใช่เรื่องแปลกเลย...
บางคนยังยอมใส่ชุดสีส้มซึ่งเป็นสีที่ตัวเองไม่ชอบเลยสักนิด
แต่ก็ยังสวมใส่มันเลย เพราะเป็นคนของบริษัทนั้นเป็นคนขององค์กรนั้นๆ...
และแน่นอนว่ามุสลิมก็รู้สึกไม่แตกต่างกันนักกับความรู้สึกเช่นกัน แล้วแต่คนแล้วแต่ใจ
แต่เชื่อมั้ยคะ ผู้ที่ไม่ใช่มุสลิมบางคนก็อยากสวมใส่ชุดนี้เพื่อเป้าหมายบางอย่างเหมือนกัน
และก็มีมุสลิมอีกมากมายเช่นกันที่ปฏิเสธที่จะสวมใส่ชุดยูนิฟอร์มนี้...
ลองคิดดูว่าถ้าบริษัทคุณมีชุดยูนิฟอร์มที่ออกแบบมาเป็นพิเศษให้แตกต่างกับบริษัทอื่นๆ
เพื่อบ่งชี้ความเป็นเอกลักษณ์ของบริษัท แต่พนักงานในบริษัทไม่ยอมสวมใส่มันมาทำงาน
เจ้าของบริษัทจะกริ้วโกรธแค่ไหน...เมื่อสั่งไม่เป็นสั่ง...
นั่นแหล่ะ...เราซึ่งนับถือศาสนาอิสลามก็รู้สึกเช่นกันว่าถ้าไม่สวมชุดที่พระเจ้าสั่งให้สวมใส่
ในชีวิตประจำวัน เราจะถูกพระองค์กริ้วโกรธแล้วจะลงโทษเรา...
เราไม่คิดว่าชุดนั้นต้องสวยหรือต้องทันสมัยหรือไม่...เมื่อถูกสั่งใช้เราก็น้อมรับ
เช่นดั่งพนักงานที่คงมิได้ชอบใจชุดยูนิฟอร์มของบริษัทเสียทุกคนไป
แต่เชื่อเถิดค่ะว่า...มีคนที่ภูมิใจมากมายที่ได้สวมใส่ชุดยูนิฟอร์มของบริษัทยักษ์ใหญ่
ที่มีชื่อเสียงเพื่อโชว์ให้คนอื่นๆรู้ว่าตนเป็นคนขององค์กรนั้น...
และเช่นกัน...ฉันภูมิใจในการสวมใส่ชุดยูนิฟอร์มของอิสลามมาก...
นั่นเพราะฉันภาคภูมิใจในศาสนาของฉัน...
มิใช่เพราะศาสนาของฉันกำลังยิ่งใหญ่หรือกำลังตกต่ำหรือกำลังโดนเหยียบย่ำ
แต่เพราะพระเจ้าของฉันนั้นยิ่งใหญ่เหลือเกิน...เกินกว่าที่ฉันจะกล้าฝ่าฝืนบัญชาของพระองค์...
(รอบนั้น เจ้านายคนก่อนยอมให้ค่ะ...ยอมให้สวมฮิญาบในขณะปฏิบัติงานได้
แถมยังได้รับคำชมว่าในความมั่นคงในศาสนาด้วย...ไม่มีใครคิดว่าจะสอบสัมภาษณ์งาน
ที่นั่นผ่านด้วยซ้ำตอนที่สวมฮิญาบไปสอบสัมภาษณ์งาน...แต่ก็ผ่านค่ะ...
แต่หลังๆมานี้ไปสัมภาษณ์งานทีี่อื่นๆหลายที่ที่เป็นบริษัทญี่ปุ่น แต่ก็กินแห้วตลอด...
ก็เลยคิดเสียว่าอัลลอฮฺไม่ประสงค์จะให้เราไปยืนตรงจุดนั้น...พระองค์ย่อมมีจุดให้เรา
ไปยืนที่ดีกว่านั้นแน่ๆ...มอบหมายต่ออัลลอฮฺค่ะ ตะวักกัล...)
ส่วนเรื่องละหมาด...อินชาอัลลอฮฺ จะนำมาร่วมเสวนาดูค่ะ...
(อันนี้กรณีที่ต้องพูดคุยอธิบายกับต่างศาสนิกนะคะ...หากเป็นมุสลิมด้วยกันจะง่ายกว่านี้เยอะเลย
อย่างน้อยก็ไม่โดนกระแสต่อต้านที่รุนแรงกลับมา...)
วันนี้...ขอไปนอนก่อนค่ะ...
(^_______^)
วัสลามค่ะ
Re: ความผิดของเธอ...หรือของฉัน? By: Rusnii717 Date: มี.ค. 06, 2015, 05:55 AM
^
^
^
:salam:ค่ะ
...ญะซากิลลาฮุค็อยร็อนค่ะสำหรับคำตอบน่ารักๆของน้องพี่---คุณnadayoru...

.....อัลลอฮ์ทรงตอบแทน.....
Re: ความผิดของเธอ...หรือของฉัน? By: Rusnii717 Date: มี.ค. 06, 2015, 06:11 AM
...ฉันคงทำได้เพียงขอดุอาอ์ให้เธอมาพบข้อความข้างต้น...
.....ในเมื่ออัลลอฮ์กำหนดให้เราต้องเดินไปในเส้นทางที่พระองค์ได้กำหนดไว้.....
.......ความจริงบางอย่างบนโลกใบนี้อาจทำให้ปวดร้าว.......
.........กับการยิงหมัดตรงของเธอด้วยกับสิ่งเหล่านี้.........
-มองกลับมาด้วยสายตาสำรวจตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า
--ตอบฉันด้วยคำถามว่าทำไมฉันถึงไม่สวมชุดดำ แทนเสื้อผ้าสีสดใส
---ทำไมไม่ปิดปากปิดจมูกจนเหลือเพียงดวงตาแค่สองดวงล่ะ
เป็นเพราะฉันเองคงยังไม่ดีและควรค่าพอที่จะตักเตือนอะไรเธอได้
ฉันจึงทำได้เพียงหลบมาอยู่ที่เดิมเพื่อดุอาอ์ให้ทั้งกับฉันและกับเธอ
"อิฮ์ดีนัซซีรอฏ็อลมุสตากีม" อามีน
Re: ความผิดของเธอ...หรือของฉัน? By: nada-yoru Date: มี.ค. 06, 2015, 04:52 PM
...ฉันคงทำได้เพียงขอดุอาอ์ให้เธอมาพบข้อความข้างต้น...
.....ในเมื่ออัลลอฮ์กำหนดให้เราต้องเดินไปในเส้นทางที่พระองค์ได้กำหนดไว้.....
.......ความจริงบางอย่างบนโลกใบนี้อาจทำให้ปวดร้าว.......
.........กับการยิงหมัดตรงของเธอด้วยกับสิ่งเหล่านี้.........
-มองกลับมาด้วยสายตาสำรวจตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า
--ตอบฉันด้วยคำถามว่าทำไมฉันถึงไม่สวมชุดดำ แทนเสื้อผ้าสีสดใส
---ทำไมไม่ปิดปากปิดจมูกจนเหลือเพียงดวงตาแค่สองดวงล่ะ
เป็นเพราะฉันเองคงยังไม่ดีและควรค่าพอที่จะตักเตือนอะไรเธอได้
ฉันจึงทำได้เพียงหลบมาอยู่ที่เดิมเพื่อดุอาอ์ให้ทั้งกับฉันและกับเธอ
"อิฮ์ดีนัซซีรอฏ็อลมุสตากีม" อามีน
เรื่องฮิญาบ เรื่องนิกอบ หรือผ้าปิดหน้านั้น เป็นเรื่องของทัศนะค่ะ
บรรดาอุลามาอ์มีข้อวินิจฉัยแตกต่างกันไป...
โดยส่วนตัวยึดของท่านมุฟตีย์ อะลีย์ ญุมอะฮฺ...
ดังที่เคยมีการถกถึงประเด็นดังกล่าวยังด้านล่่างนี้ล่ะค่ะ
คือ นิกอบไม่ใช่วายิบ(สิ่งจำเป็น) แต่หากเกรงว่าการเปิดหน้าจะก่อฟิตนะ
เราก็เลือกที่จะปิดหน้า...เป็นการเลือกปฏิบัติ...
ซึ่งเป้าหมายของแต่ละคนนั้นแตกต่างกันไป เราเองก็ไม่รู้ว่าแต่ละคน
เลือกปฏิบัติในการปิดหน้าด้วยนิกอบเพราะอะไร
แต่ถ้าปิดหน้าเพื่อให้คนอื่นๆเข้าใจว่าตัวเองนั้นเคร่งกว่า
เห็นจะไม่ใช่เรื่องที่ดีกับการเลือกปฏิบัติด้วยเหตุผลนี้ค่ะ...
ส่วนมากแล้วเลือกทำเพราะหมายจะป้องกันฟิตนะค่ะ...
กระทรวงศาสนสมบัติและกิจการศาสนาของอิยิปต์ เตรียมแจกจ่ายหนังสือกว่า 1 แสนเล่ม ซึ่งมีเนื้อหาระบุว่า "นิกอบ" หรือการปิดหน้าของมุสลิมะฮฺนั้น เป็นบิดอะฮฺ ไม่มีที่มาที่ไปในศาสนา และเป็นวัฒนธรรมทางสังคมที่น่ารังเกียจ!! ที่ตลกคือ คนที่พูดเช่นนั้น คือตัวรัฐมนตรีเอง...
ในหนังสือเล่มนี้ยังประกอบด้วยทัศนะต่างๆของชัยคุลอัซฮัร มุหัมมัด สัยยิด ฏ็อนฏอวีย์ และเชคมุฟตีใหญ่ อาลี ยุมอะฮฺอยู่ด้วย
เค้ามีแต่คิลาฟกันว่า การปิดหน้าเป็นวาญิบหรือไม่? หรือเป็นสุนัต? หรือจะปิดก็ได้ไม่ปิดก็ได้..
ยังไม่เคยพบอุละมาอ์อิสลามคนไหนในหน้าประวัติศาสตร์อิสลามที่มีทัศนะเช่นนี้
ลองเข้าไปอ่านรายละหมาดใน
http://www.islamonline.net/servlet/Satellite?c=ArticleA_C&cid=1225698021403&pagename=Zone-Arabic-News/NWALayout
ข้าพเจ้าเองก็ได้เข้าไปลองอ่านดูแล้วเช่นกัน ซึ่งในเวปอ้างถึงคำกล่าวของท่าน เชค อะลีย์ ญุมอะฮฺ มุฟตีย์ อียิปต์ไว้ด้วย
โดยบอกไว้แบบ เน้นๆ ในเครื่องหมายคำพูดของท่านมุฟตีย์ ที่ว่า....
"الدكتور علي جمعة مفتي الجمهورية قال في الكتاب: إن النقاب "ليس بواجب"
ท่านด็อกเตอร์ อะลีย์ ญุมอะฮฺ มุฟตีย์แห่งอียิปต์กล่าวว่า "แท้จริงการปิดหน้านั้น ไม่ใช่สิ่งที่วาญิบ"(มีต่ออีก.......)
ซึ่งผมลองเข้าไปค้นดูในตำราของท่าน และก็พบคำกล่าวนี้จริงๆ ในตำราของท่าน มุฟตีย์ อะลีย์ ญุมอะฮฺ ซึ่งท่าน มุฟตีย์ กล่าวว่า "ส่วนนิกอบ นั้นคือ สิ่งที่ใช้ปกปิดใบหน้าของนาง จากสายตาของคนอื่นๆ ดังนั้น การที่นางปกปิดใบหน้าของนางด้วยนิกอบ และปกปิดฝ่ามือทั้งสองของนางด้วยถุงมือ หรือสิ่งที่คล้ายกันนั้น มันไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นสำหรับนาง เนื่องจากว่าไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนจากอัลกุรอานและจากสุนนะฮฺ มายืนยันในเรื่องนี้เลยว่าเป็นสิ่งที่วาญิบบนพวกนางว่า ให้ปิดใบหน้าและฝ่ามือทั้งสองของพวกนาง ส่วนการใช้นิกอบ (ผ้าคลุมหน้า) นั้น เป็นเรื่องส่วนบุคคลซึ่งเป็นสิ่งที่ดี แต่ไม่ใช่วาญิบ ดังนั้น การปิดใบหน้าและฝ่ามือทั้งสองนั้นเป็นเรื่องของการเลือกที่จะปฏิบัติ ไม่ใช่สิ่งที่บังคับใช้ และไม่ใช่สิ่งที่ต้องห้ามแต่ประการใด และถือว่าเป็นสิ่งที่ดีกว่า หากว่าเป็นการสวมเพื่อป้องกันจากฟิตนะฮฺที่อาจเกิดขึ้น ด้วยเหตุนี้เอง การสวมนิกอบ หรือการปกปิดใบหน้าและฝ่ามือทั้งสองนั้น เป็นเรื่องของการเลือกปฏิบัติ ไม่ใช่เรื่องของการสั่งใช้ หรือ การสั่งห้ามเลย"
ดู ตำรา الكلم الطيب فتاوى عصرية โดย الدكتور علي جمعة مفتي الجمهورية ในบทที่ว่าด้วย เครื่องนุ่งห่มและเครื่องประดับ เป็นคำฟัตวาของท่านในเรื่อง หุก่มการสวมนิกอบ (ผ้าคลุมหน้า) หน้าที่ 481
จากคำกล่าวนี้แสดงให้เห็นว่า ท่านมุฟตีย์อียิปต์ไม่ได้คัดค้านในเรื่องของนิกอบแต่ประการใด ไม่เคยกล่าวว่าการสวมนิกอบเป็นบิดอะฮฺ ไม่เคยกล่าวว่าการสวมนิกอบเป็นประเพณีที่น่ารักเกียจ แต่ประการใด
แต่ท่านกลับกล่าวในเชิงส่งเสริมด้วยซ้ำว่า หากเกรงว่าจะเกิดฟิตนะฮฺก็ควรปิดดีกว่า ดังนั้นหากผู้พูด อ้างคำฟัตวาของท่านเชคมุฟตีย์มาแบบตัดตอนแค่พอเข้าใจ แน่นอนว่าอาจย่อมก่อให้เกิดความเข้าใจผิดได้ หรือหากอ้างโดยไม่ยอมอธิบายต่อเพิ่มเติมในทัศนะที่ท่านเชคมุฟตีย์ยึดถือ เช่นอ้างว่า "แท้จริงนิกอบไม่ใช่วาญิบ" แล้วไม่อธิบายต่อว่าท่านเชค เองก็สนับสนุนให้สวมมัน หากเกรงว่าจะเป็นฟิตนะฮฺ และท่านเองไม่ได้คัดค้านเรื่องการสวมนิกอบเลย ซึ่งแน่นอนการกล่าวแบบสั้นๆ แบบนี้ อาจนำไปสู่การเข้าใจผิดต่อท่านเชคมุฟตีย์ได้ .... แต่ยังไงเราก็จะรอดูว่าตำราที่ถูกอ้างมานี้จะออกมาเมื่อไร มีหลักฐานเป็นอย่างไร .......... แน่นอนเราจะชี้แจงครับ....

และยังมีอีกค่ะ....ตรงนีี้ก็สำคัญ...อยากให้อ่าน
salam
ท่านชัยคุลอิสลาม ซะกะรียา อัลอันซอรีย์ กล่าวว่า
وَعَوْرَةُ الحُرَّةِ فِي الصَّلاَةِ وَعِنْدَ الأَجْنَبِيِّ وَلَوْ خَارِجَهَا جَمِيْعُ بَدَنِهَا إَلاَّ الوَجْهَ, وَالْكَفَّيْنِ
"เอาเราะฮ์ของสตรีอิสระชนในละหมาด และต่อชายอื่น หากแม้ว่าจะอยู่นอกละหมาดก็ตาม คือทั้งหมดร่างกายของนาง นอกจากใบหน้าและสองฝ่ามือ" หนังสืออัสนัลมะฏอลิบ ชัรห์เราฏ์ อัฏฏอลิบ 1/176 ตีพิมพ์ดารุลกิตาบอัลอิสลามีย์
หากเราพิจารณาถึงหลักฐานต่าง ๆ ในเรื่องการปิดหน้าของมุสลิมะฮ์นั้น ที่มีน้ำหนักแล้วแค่มุบาห์อนุญาตให้กระทำได้เท่านั้นเอง นอกจากเกรงว่าจะเกิดฟิตนะฮ์ก็จำเป็นต้องปิดหน้าครับ
วัสลาม
ดังนั้น...เรามุสลิมะฮฺจะไม่มานั่งต่อว่ากันว่า ฉันเคร่งกว่าเธอเพราะฉันปิดหน้า
แต่เธอไม่เห็นปิดหน้า หรือฉันดีกว่าเธอ ฉันมีคุณค่ากว่าเธอ
เพราะฉันปกปิดใบหน้าและฝ่ามือ ไม่เหมือนเธอ...
เราจะไม่มุ่งประเด็นไปตรงจุดนั้นค่ะ...
เพราะเรื่องปิดหน้ากับไม่ปิดหน้า ไม่ใช่จุดวัดระดับความเคร่ง...
อย่างที่บอกว่า คนที่เขาเลือกที่จะปิดหน้า เขาก็มีเหตุผล มีเนียตของเขา
ส่วนคนที่ไม่ปิดหน้าเขาก็มีเหตุผลของเขาที่เขาจะเลือกปฏิบัติเช่นนั้น
ซึ่งตามหลักฐานของการปิดหน้านั้นอย่างที่บรรดาอุลามาฮฺ
บอกไว้ว่าไม่มีชี้ชัด...แต่ส่งเสริมให้กระทำหากว่ามันช่วยลดฟิตนะลง
คือ ยึดเอาฟิตนะเป็นตัวเมนหลัก...
ซึ่งอัลลอฮฺไม่ได้มุ่งหวังให้เกิดความยากลำบากต่อเรา...
และเรารู้ดีว่าขอบเขตของมันอยู่ที่ตรงไหน...พระองค์อำนวยความสะดวก
ให้แก่เราแล้ว...
จะปิดหน้าหรือไม่ปิดหน้า ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตเท่าการโอ้อวด
ที่มีอยู่ในบรรดาหัวใจ
ขอแค่ให้เราตระหนักว่า คุณค่าของฮิญาบและนิกอบอยู่ที่ใด...แค่นั้นเอง...
เพราะฮิญาบเป็นอาภรณ์หุ้มกายภายนอก
แต่อาภรณ์ที่ห่อหุ้มใจเรานั้นคือ...ความยำเกรง...
เช่นนี้แล้ว...เราก็กล้าพอที่จะพูดและตักเตือนแล้วค่ะ...
ถ้ารอให้เราดีพร้อมไร้ซึ่งข้อบกพร่องใดๆจึงจะสามารถตักเตือนผู้อื่นได้
เชื่อแน่ว่าชีวิตนี้ทั้งชีวิต เราจะไม่มีโอกาสได้ตักเตือนใครเลย...
เพราะมนุษย์เราย่อมอยู่ในความบกพร่องเป็นปกติวิสัยอยู่แล้ว...
หากเราผิดหรือบกพร่องตรงไหน หรือรู้มาผิดๆอย่างไร แล้วมีคนเตือน
เรายอมรับและนำมาแก้ไขพร้อมขอบคุณเขา
และหากเราเห็นใครทำผิด ทำไม่ถูกต้องตามที่เราได้เรียนรู้มา
เราเตือนเขาอย่างจริงใจตามสิ่งที่เรารู้มา...
ไม่หวังว่าเขาจะรักหรือนับถือเรา เพราะเรามุ่งหวังแค่จะเตือนเขา
ในสิ่งที่เรารู้มาว่าเขาทำไม่ถูกต้อง....เพราะที่เราเตือนนั้นเราไม่ได้คิด
อยู่ในใจเลยว่าเรานั้นดีกว่าเขา...หรือเคร่งกว่าเขา...
เราหวังเพียงอยากให้ทั้งเขาและเรานั้นอยู่บนหนทางของอัลลอฮฺเหมือนๆกัน...
ได้เดินไปบนหนทางของอัลลอฮฺด้วยกันเท่านั้น
ถ้าเราพลัดหลง เขาฉุดเราไว้ อัลฮัมดุลิลลาฮฺ ขอบคุณเขาขอบคุณอัลลอฮฺ
ถ้าเราเห็นเขาพลัดหลงไป เราพยายามรั้งเขาเอาไว้ให้อยู่ด้วยกัน...
ไม่ทอดทิ้งให้เขาเดินไปจนสุดกู่...นั่นเพราะเรารักและหวังดีต่อเขา
จากหัวใจแท้ๆ...หาได้มีจิตริษยาหรือมุ่งร้ายต่อเขาแต่อย่างใดเลย...
สักวันเขาจะเข้าใจเรา...หากหัวใจเรานั้นมันมีความบริสุทธิ์ใจต่อเขาจริงๆ
โดยมีการเตือนทั้งเขาเตือนทั้งตัวเราไปด้วยกัน...
ก็นับว่าเราได้ทำหน้าที่ของมุสลิมคนนึงแล้ว...
เพราะถ้าเราไม่ใช้วาจา ไม่ใช่การกระทำในการต่อสู้กับความไม่ถูกต้อง
แน่นอนว่า...เราจะค่อยๆจมดิ่งลงสู่ความอ่อนแอเรื่อยๆ...
แพ้ภัยตัวเองแล้ว เรายังแพ้ให้แก่ศัตรูตัวฉกาจอย่างชัยตอนด้วย...
ส่วนเรื่องหลังจากเตือนกันแล้ว ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรนั้น
เรามอบหมายแด่อัลลอฮฺ...
ท่ีมาของข้อความอ้างอิงที่นำมาแปะให้นั้นอยู่ในลิงก์ด้านล่างนี้นะคะ
http://www.sunnahstudents.com/forum/index.php/topic,3718.15.htmlวัสลามค่ะ
Re: ความผิดของเธอ...หรือของฉัน? By: Rusnii717 Date: มี.ค. 06, 2015, 09:53 PM

Re: ความผิดของเธอ...หรือของฉัน? By: nada-yoru Date: มี.ค. 07, 2015, 02:12 AM
บุคคลที่มีศิลปะในการตักเตือนมากที่สุดเท่าที่ได้ศึกษามา
เห็นจะเป็นท่านนบีมุฮัมหมัด ซอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมค่ะ
เมื่ออ่านประวัติของท่าน ได้ศึกษาจริยวัตรของท่าน
เราจะเห็นว่าท่านนั้นมีศิลปะในการสอนสั่งและตักเตือนบรรดามนุษย์
และท่่านมีความอดทนเป็นเลิศ...และเป็นนักต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์...
ลองนำมาประยุกต์ใช้ในยุคนี้ดูได้ค่ะ...
เพราะศิลปะของท่านนบีของเราไม่ตกยุค
นั่นเพราะท่านคือ ความเมตตาจากอัลลอฮฺ
เราจึงสัมผัสได้ถึงความเมตตาและความบริสุทธิ์ใจของท่าน
ที่มีต่อประชาชาติหรืออุมมะของท่าน...
เราจึงรักท่าน...อยากเป็นอย่างท่าน อยากเดินตามรอยท่าน
ยกย่องให้ท่านเป็นแบบฉบับในการดำเนินชีวิต...
และเชื่อในสิ่งที่ท่านสอนสั่งและตักเตือนมา...
เราอาจจะเคยต้ังคำถามว่าท่านนบีมุฮัมหมัด ซอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม
ต้องการอะไรจากเราทั้งหลาย...ถึงได้ตักเตือนเรา สอนสั่งเราให้อยู่บนหนทาง
ของอัลลอฮฺ...ในเมื่อท่านอยากได้สิ่งใด เพียงยกมือวอนขอจากอัลลอฮฺ
อัลลอฮฺก็จะตอบรับสิ่งที่ท่านวอนขอ...ในเมื่อท่านเป็นผู้ใกล้ชิดอัลลอฮฺ
เป็นผู้ทีี่อัลลอฮฺทรงรัก...แล้วท่านต้องการสิ่งใดจากอุมมะของท่าน...
เราจะต้องร้องไห้กันเลยทีเดียวถ้าได้อ่านประวัติของท่าน...
วัสลามค่ะ
Re: ความผิดของเธอ...หรือของฉัน? By: Rusnii717 Date: มี.ค. 07, 2015, 03:45 PM
^^
...อัสสลามุอะลัยกุมค่ะ...