วิจารณ์หนังสือ"มุสลิมต้องสังกัดมัซฮับหรือไม่? By: al-azhary Date: มี.ค. 20, 2007, 03:47 AM
السلام عليكم ورحمة الله وبركاته
บ่อยครั้งที่ผมถูกถามถึงหลักการสังกัดมัซฮับ และพี่น้องอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์คงถูกถามและคิดเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวนี้เช่นกันนะครับ การเสวนาต่อไปนี้ เกี่ยวกับการวิจารณ์หนังสือ "มุสลิมต้องสังกัดมัซฮับหรือไม่?" ซึ่งเป็นหนังสือที่มีบางแง่มุมที่ต้องปรับความเข้าใจเสียใหม่ เนื่องจากคนเอาวามทั่วไปอาจจะหลงผิดคิดว่านั่นคือสัจจะธรรมของแท้ หวังว่าพี่น้องคงใช้เวลาว่าง ๆ เข้ามาอ่านวันนิดวันละหน่อย เพื่อประดับความรู้และสร้างความเข้าใจอันถูกต้องแก่ตน อินชาอัลเลาะฮ์
والسلام
อัล-อัซฮะรีย์
วิจารณ์หนังสือ"มุสลิมต้องสังกัดมัซฮับหรือไม่? By: al-azhary Date: มี.ค. 20, 2007, 03:55 AM
al-azhary السلام عليكم ورحمة الله وبركاته وطيباته
กระทู้นี้ นับว่าเป็นกระทู้หนึ่งที่คงได้ผลประโยชน์ในแง่คิดกับท่านผู้อ่านในแง่หนึ่งของเรื่องสังกัดมัซฮับ หนังสือที่ผมจะนำมาวิจารณ์นี้ เป็นหนังสือ "มุสลิมต้องสังกัดมัซฮับหรือไม่?" ของเชค มุฮัมมัด ซุลฏอน อัลมะศูมีย์ แปลและเรียบเรียงโดย มุฮัมมัด เหมอนุกูล ซึ่งเป็นหนังสือที่วิจารณ์เกี่ยวกับมัซฮับอย่างไม่ถูกต้องนัก เราจึงจำเป็นต้องนำมาชี้แจงและแก้ต่าง ในข้อมูลต่าง ๆ ที่ผู้ประพันธ์ได้ระบุไว้ในหนังสือเล่มนั้น เราจะทำการวิจารณ์ประเด็นที่สำคัญ ๆ เท่านั้น โดยจะนำมาเสนอและวิจารณ์ไปเรื่อย ๆ อย่างเชิงวิชาการ
หากมีผู้คัดค้านและต้องการร่วมวิจารณ์ ผมก็ยินดีและขอร่วมสนทนา แต่ก็ขอให้ตรงประเด็น และไม่อยู่นอกประเด็นที่ผมได้อ้างอิงเอาไว้ การสนทนาต้องอยู่ในเชิงวิชาการ ซึ่งอันนี้เราจะพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองก่อนเป็นอันดับแรกและขอให้ท่านผู้ร่วมสนทนาสมควรให้ความร่วมมือตามนะครับ จักขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง
การวิจารณ์นี้ ผมจะนำฉบับภาษาไทยและภาษาอาหรับ ตีพิมพ์ที่ ดารฺ อิบนุ อัฟฟาน ตีพิมพ์ครั้งแรก ฮ.ศ. 2002 มาเทียบ และบางครั้งผมก็จะแปลอีกครั้งจากต้นฉบับเดิมของภาษาอาหรับเพื่อให้ตรงกับสิ่งที่ผู้แต่ง(อัลมะซูมีย์)ได้เขียนเอาไว้ อินชาอัลเลาะฮ์
والسلام
الأزهرى الشافعى
วิจารณ์หนังสือ"มุสลิมต้องสังกัดมัซฮับหรือไม่? By: al-azhary Date: มี.ค. 20, 2007, 03:59 AM
al-azhary อ้างอิงจากผู้ประพันธ์(ท่าน ชัยค์ อัลมะซูมีย์)
ในข้อหัวที่ว่าด้วยเรื่อง " การแจกแจงข้อเท็จจริงของการศรัทธาและการยอมรับในอัลอิสลาม" ผู้ประพันธ์กล่าวว่า "ท่านพึงทราบเถิด ว่า นอกเหนือจากพวกที่โง่เขลานั้น ยังมีอุลามาอ์อิสลามมากมาย ที่แอบอ้างว่า จำเป็นต่อมุสลิมต้องสังกัดมัซฮับหนึ่งที่พาดพิงไปยังบรรดาอิมามทั้งหลาย เช่น อบูหะนีฟะฮ์ มาลิก อัชชาฟิอีย์ และ อะหฺมัด ซึ่งกรณีนี้ ย่อมเป็นความผิดพลาดและความโงเขลาของผู้ที่พูด และไม่รู้จักอิสลาม !! เพราะมีรายงานหะดิษที่ซอฮิหฺของท่านญิบรีล....ที่รายงานว่าท่านญิบรีล(อะลัยฮิสลาม)ได้ถามท่านนบี(ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) เกี่ยว อิสลาม อิหม่าน และเอี๊ยะหฺซาน และกล่าวถึงหะดิษที่ท่านนบี(ซ๊อลลัลอฮุอะลัยวะซัลลัม) ได้สอนชี้แนะแก่ ชายชนบทผู้หนึ่ง เกี่ยวกับสิ่งที่เขากระทำแล้วได้เข้าสวรรค์ คือให้กล่าวสองกะลิเมาะฮ์ชะฮาดะฮ์ ทำการละหมาด ออกซะกาต และถือศีลอด....แล้วผู้ประพันธ์ก็ลงท้ายว่า นี่คืออิสลามที่อัลเลาะฮ์ทรงบัญชาใช้ต่อปวงบ่าวของพระองค์และทรงส่งบรรดาร่อซูลมาบอก" สรุปจากหนังสือ มุสลิมต้องสังกัดมัซฮับหรือไม่ ฉบับภาษาอาหรับ หน้า 49 - 54 และฉบับแปลไทย หน้า 1 - 5
วิจารณ์
จากคำกล่าวของผู้ประพันธ์หนังสือ ชี้ให้เห็นว่า บรรดามัซฮับนั้น ไม่ใช่อื่นใดเลย นอกจากความเห็นของอุลามาอ์และความเข้าใจในบางปัญหาเท่านั้นเอง ซึ่งอัลเลาะฮ์และท่านร่อซูลไม่ได้กำหนดให้แก่เราทำการเจริญรอยตาม (ดู หน้า 55 ฉบับภาษาอาหรับ และ หน้า 6 ฉบับแปลภาษาไทย) เราขอกล่าวว่า หากคิดว่าเป็นความถูกต้องกับการที่บรรดาหุกุ่มของอิสลามนั้นจำกัดเพียงแค่สิ่งที่ต่าง ๆ ที่ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ ได้ชี้แนะให้แก่ชายชนบทฟังและชายชนบทผู้นั้นก็เดินกลับหันหลังไป ก็ไม่เป็นการสมควรที่จะต้องมีบรรดาหนังสือหะดิษซอฮิหฺและบรรดาตำราที่ระบุไว้ซึ่งสายรายงานต่าง ๆ มากมายเป็นพัน ๆ หะดิษที่นำมาใช้กับบรรดาหุกุ่มอันมากมายที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของมุสลิม และไม่สมควรที่ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ทำการยืนสั่งสอนจนสองเท้าของท่านเมื่อยล้า และท่านนบีได้ทำการสอนบรรดาทูตของเมืองษะกีฟ เกี่ยวกับหลักการต่าง ๆ ของอิสลามและบทบัญญัติของอัลเลาะฮ์(ซ.บ.)อยู่หลายวันด้วยกัน
ดังนั้น การที่ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ได้สอนองค์ประกอบ(รุกุ่น)ของอิสลามนั้น ก็คือกรณีหนึ่ง และการที่ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ได้สอนวิธีการปฏิบัติรุกุ่นเหล่านั้นก็เป็นอีกกรณีหนึ่ง ซึ่งมีความต้องการในการใช้ระยะเวลา ใช้ความทุ่มเท อุตสาหะ ร่ำเรียน และฝึกฝน
ด้วยเหตุนี้เอง ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์จึงส่งบรรดาซอฮาบะฮ์ที่มีความเชี่ยวชาญติดตามไปสั่งสอนเผยแพร่หลักการต่าง ๆ กับบรรดาทูตเหล่านั้นและทำการอาศัยอยู่ทางกลางมวลชนของพวกเขา ดังนั้นท่านร่อซูลุลเลาะฮ์จึงส่ง ท่านคอลิด บิน อัลวะลีด ไปยังเมืองนัจญฺรอน ส่งท่านอาลีไปยังเยเมน ส่งท่านอบูมูซาอัลอัชอะรีย์และท่านมุอาซฺ บิน อัลญะบัลไปยังเยเมนเช่นกัน และส่งท่านอุษมาน บิน อบีอาซ ไปยังษะกีฟ โดยที่ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ได้ส่งพวกเขาเหล่านั้นทั้งหมด เพื่อทำการสั่งสอนบรรดาบุคคลที่มีสถานะภาพเหมือนกับชายชนบทที่ท่านผู้ประพันธ์หนังสือได้อ้างไว้ว่า "เขานั้นเข้าใจอิสลามได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย" แต่บรรดาซอฮาบะฮ์ทำการสั่งสอนพวกเขากับรายละเอียดต่าง ๆ ของหลักการศาสนา
เป็นสิ่งที่แน่นอนว่า ประเด็นปัญหาต่าง ๆ ที่อิสลามต้องการแก้ไขและอธิบายถึงหลักการต่าง ๆ นั้น มีน้อยมากในช่วงแรก ๆ ของอิสลาม อันเนื่องจากสาเหตุที่อาณาจักรอิสลามยังไม่กว้างขวางและบรรดามุสลิมยังเป็นชนส่วนน้อย แต่ประเด็นปัญหาต่าง ๆ ทวีคูณมากขึ้น ภายหลังจากอาณาจักรอิสลามได้แผ่ขยาย มีขนบธรรมเนียมประเพณีและปัจจัยต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมายที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ซึ่งทั้งหมดนี้ย่อมไม่พ้นจากการมีหุกุ่มต่าง ๆ มาเกี่ยวข้อง ไม่ว่าที่มาของหุกุ่มนั้น จะมีตัวบทระบุไว้ในอัลกุรอานและซุนนะฮ์ หรือมีหลักการมติของปวงปราชญ์และมีการกิยาส(เทียบเคียง)กับหลักฐานใดหลักฐานหนึ่ง ดังนั้น ทั้งหมดนี้ย่อมเป็นที่มาของหลักฐานที่เกิดขึ้นมาจากสารัตถะของอิสลามและข้อตัดสินของมัน ฉะนั้น หุกุ่มของอัลเลาะฮ์จะไม่มีขึ้น นอกจากสิ่งที่พระองค์ทรงชี้นำแก่เราจากบรรดาแหล่งที่มาของหลักฐาน โดยพิจารณาถึงเงื่อนไขต่าง ๆ ที่เฉพาะในการทำความเข้าใจมัน มีการเรียบเรียงหลักฐานและรู้ถึงวิธีการวินิจฉัยจากแหล่งที่มาของหลักฐานเหล่านั้น
ดังนั้น ผู้ประพันธ์หนังสือนี้จะมาแบ่งแยกระหว่างอิสลามกับการวินิจฉัยของบรรดาอิมามทั้งสี่และท่านอื่น ๆ ที่มาจากแหล่งที่มาของหลักฐานอันเป็นพื้นฐานอิสลามอิสลามได้อย่างไรเล่า? แล้วท่านผู้แต่ประพันธ์กล่าวได้อย่างไรว่า "แนวความคิดต่าง ๆ นั้น มันเป็นความเห็นของบรรดาผู้รู้ และความเข้าใจของพวกเขา ในบางปัญหา และการใช้ดุลยพินิจ ต่าง ๆ ของพวกเขา ความเห็นการใช้ดุลยพินิจและความเข้าใจเหล่านี้ อัลลอฮ์ตะอาลา ตลอดจนทูต(รอซู้ล)ของพระองค์มิได้ใช้ให้คนหนึ่งคนใดดำเนินตาม" (ดู ฉบับภาษาอาหรับ หน้า 55 และฉบับแปลไทยหน้า 6)
ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ได้ส่งบรรดาซอฮาบะฮ์ระดับชั้นแนวหน้าที่มีความจำ มีความเข้าใจ และมีคุณสมบัติในการวินิจฉัยที่เป็นเลิศ ไปยังบรรดาเผ่าและเมืองต่าง ๆ และท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ได้มอบภาระให้พวกเขาทำการสั่งสอนผู้คนทั้งหลายกับหลักการต่าง ๆ ของอิสลาม สอนสิ่งที่อนุมัติและสิ่งที่ต้องห้าม โดยที่ประชาชาติอิสชลามได้ลงมติแล้วว่า บรรดาซอฮาบะฮ์เหล่านั้นเป็นนักมุจญฺฮิดที่สามารถวินิจฉัยหลักการของศาสนาได้ในขณะที่พวกเขาไม่มีหลักฐานจากอัลกุรอานและซุนนะฮ์ที่ระบุข้อบ่งชี้ไว้อย่างชัดเจน และท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ก็ให้การยอมรับกับพวกเขาในสิ่งดังกล่าว
ท่านอบูดาวูดและท่านอัตติรมีซีย์ ได้รายงานจากท่าน ชั๊วะบะฮ์(ร.ฏ.)ว่า "ในขณะที่ท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ส่งมุอาซฺไปยังเยเมน ท่านร่อซูลกล่าวว่า "ท่านจะทำอย่างไรหากมีการตัดสินหนึ่งเกิดขึ้นกับท่าน ?" เขากล่าวว่า "ฉันจะตัดสินด้วยกับสิ่งที่อยู่ในกิตาบุลลอฮ์" ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์กล่าวว่า "หากไม่มีระบุไว้ในกิตาบุลลอฮ์ล่ะ?" เขากล่าวว่า "ก็ด้วยซุนนะฮ์ของร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.)" ท่านนบีกล่าวว่า "หากไม่มีระบุไว้ในซุนนะฮ์ของร่อซูลุลเลาะฮ์ล่ะ?" เขาตอบว่า "ฉันก็จะทำการวินิจฉัยกับความเห็นของฉัน โดยฉันจะไม่ทำให้บกพร่อง" ดังนั้น ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ก็ได้ตบอกของมุอาซฺ แล้วกล่าวว่า การสรรเสริญเป็นอภิสิทธิ์ของอัลเลาะฮ์ผู้ทรงชี้นำทูตของร่อซูลุลลอฮ์ให้กับสิ่งที่ทำให้ร่อซูลุลลอฮ์พอใจ"
นี้ คือบรรดาการวินิจฉัยและความเข้าใจของนักปราชญ์ซอฮาบะฮ์ ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นได้ทำการตัดสินและดำเนินอยู่ในท่ามกลางผู้คนตามวิถีทางนี้ ด้วยความเห็นพร้องและยอมรับจากท่านร่อซุลุลเลาะฮ์ ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ดังนั้น จะมากล่าวได้อย่างไรว่า "มันเป็นความเห็นของบรรดาผู้รู้ และความเข้าใจของพวกเขา ในบางปัญหา และการใช้ดุลยพินิจ ต่าง ๆ ของพวกเขา ความเห็นการใช้ดุลยพินิจและความเข้าใจเหล่านี้ อัลลอฮ์ตะอาลา ตลอดจนทูต(รอซู้ล)ของพระองค์มิได้ใช้ให้คนหนึ่งคนใดดำเนินตาม" (ดู ฉบับภาษาอาหรับ หน้า 55 และฉบับแปลไทยหน้า 6)
ดังนั้น บรรดาหลักการต่าง ๆ ของอิสลามไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำความเข้าใจ และถือว่าเป็นหลักการอันน้อยนิดเท่านั้นเอง ที่ผู้ประพันธ์(อัลมะซูมีย์)พยายามฉายภาพให้เห็น ด้วยการอ้างบรรดาหะดิษต่าง ๆ ที่ได้กล่าวมา แต่ความจริงหลักการอิสลามนั้น มันครอบคลุมและแผ่กว้างให้กับทุก ๆ สิ่งที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมในการดำเนินชีวิตทั้งในแง่ของปัจเจกชนและมหาชนทั่วไปที่สถานะภาพแตกต่างกัน และทั้งหมดนี้ ย่อมหวนกลับไปยังอัลกุรอานและซุนนะฮ์ ซึ่งบางครั้งมีข้อบ่งชี้อย่างชัดเจน หรือต้องด้วยสื่อการพิเคราะห์ ใช้ดุลยพินิจ และทำการวินิจฉัย และด้วยสื่อใดก็ตามจากทั้งสองนี้ ที่มุสลิมตัดสินมันขึ้นมา ก็ย่อมเป็นหุกุ่มของอัลเลาะฮ์ในสิทธิของเขาที่ไม่จำเป็นต้องผินออกจากมัน และมันก็ย่อมเป็นหุกุ่มของอัลเลาะฮ์เช่นกัน ในสิทธิ์ของผู้ที่ถูกถามฟัตวาและทำการฟัตวาด้วยกับหุกุ่มนั้น เพราะหากว่าไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว การที่ท่านร่อซูลุลลอฮ์ ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ส่งบรรดาซอฮาบะฮ์ไปยังบรรดาเผ่าและเมืองต่าง ๆ นั้นย่อมไร้ความหมาย เนื่องจากบรรดาผู้คนเหล่านั้นก็สามารถกล่าวได้ว่า "มันเป็นความเห็นของบรรดาผู้รู้ และความเข้าใจของพวกท่าน ในบางปัญหา และการใช้ดุลยพินิจ ต่าง ๆ ของพวกท่าน ความเห็น การใช้ดุลยพินิจและความเข้าใจเหล่านี้ อัลลอฮ์ตะอาลา ตลอดจนทูต(รอซู้ล)ของพระองค์มิได้ใช้ให้คนหนึ่งคนใดดำเนินตาม" (ดู ข้อความเช่นเดียวกันนี้ จากหนังสือ มุสลิมต้องสังกัดมัซฮับหรือไม่? ฉบับภาษาอาหรับ หน้า 55 และฉบับแปลไทยหน้า 6) !!!!
u คำถามซื่อๆ น่ะครับ
ถ้าการสังกัดมัซฮับเป็นวาญิบ
แล้วบรรดาซอฮาบะฮฺ ตาบิอีนที่เกิดก่อนยุคมัซฮับก็ไม่ได้ปฏิบัติวาญิบในเรื่องนี้สิครับ
ALee_pk อัสลามูอาลยกุม
ผมก็เคยถามคำถามเดียวกับที่คุณ u ถาม กับทีมงานหนึ่งจากกรุงเทพที่มาสอนกุรอ่านที่ภูเก็ตช่วงปิดเทอมที่ผ่านมา เขาตอบผมว่าจำเป็นต้องสังกัดมัซฮับ ไม่สังกัดไม่ได้ เพราะว่าเราๆ ท่านๆ ไม่มีความรู้พอที่จะวินัจฉัยได้ว่าอะไรถูกอะไรผิด ให้ทำตามที่ผู้รู้ทำ ไม่ต้องวินิจฉัยอะไรแล้ว ทำตามได้เลย
ก่อนทีมงานนี้จะกลับ ผมก็รีบไปอาซานที่มัสยิดตามปกติตอนซุบฮิ แต่ทีมงานนี้ก็ไม่ได้ลุกขึ้นมาละหมาดร่วมกัน พฤติกรรมไม่น่าเชื่อถือ (ที่นอนห่างจากมัสยิด 30 เมตร)
ไปสอนก่อน
วัสลาม
เปื้อนฝุ่น สำหรับผม....จะสังกัดมัศฮับหรือไม่ ไม่สำคัญ
ไม่ยึดถือท่านอุลามะอฺ(ที่เขาว่าอยู่ในสังกัด) จนเกินงาม
เพราะที่จริงอุลามะอฺเหล่านี้ ก็พยายามชี้ในทำนองที่ว่า
หากคำสอนของเขาไปขัดแย้งกับกุรฺอานหรือซุนนะฮฺ
ก็จงทิ้งคำสอนของเขาซะ หรือในทำนองที่ว่า
ผู้ใดทำตามซุนนะฮฺ แท้จริงคือแนวทางของเขา ประมาณนี้
ดังนั้น
ความตั้งใจของผม ต้องพยายามทำให้เหมือนอากิดะฮฺท่านเราะซู้ลมากที่สุด
และทำตามซุนนะฮฺท่านเราะซู้ลมากที่สุด นั่นคือ อัลกุรอานและอัซซุนนะฮฺ
หากหลักฐานใน 2 แหล่งข้างต้น ไปค้านกับครูที่เคยประสิทธิ์ประสาทวิชากับผม
ผมก็ขอแสดงความเสียใจ ที่ไม่สามารถทำตามครูได้
asan وَأَنَّ هَـذَا صِرَاطِي مُسْتَقِيماً فَاتَّبِعُوهُ وَلاَ تَتَّبِعُواْ السُّبُلَ فَتَفَرَّقَ بِكُمْ عَن سَبِيلِهِ ذَلِكُمْ وَصَّاكُم بِهِ لَعَلَّكُمْ تَتَّقُونَ
[6.153] และแท้จริงนี้คือทางของข้าอันเที่ยงตรงพวกเจ้าจงปฏิบัติตามมันเถิด และอย่าปฏิบัติตามหลาย ๆ ทาง เพราะมันจะทำให้พวกเจ้าแยกออกไปจากทางของพระองค์ นั่นแหละที่พระองค์ได้สั่งเสียมันไว้แก่พวกเจ้า เพื่อว่าพวกเจ้าจะยำเกรง
قال ابن عباس في قوله; {ولا تتبعوا السبل فتفرق بكم عن سبيله} أمر اللّه المؤمنين بالجماعة ونهاهم عن الاختلاف والتفرقة، وأخبرهم أنه إنما هلك من كان قبلهم بالمراء والخصومات في دين اللّه، وقال الإمام أحمد بن حنبل عن عبد اللّه بن مسعود رضي اللّه عنه قالخط رسول اللّه صلى اللّه عليه وسلم خطاً بيده ثم قال; (هذا سبيل اللّه مستقيماً)، وخط عن يمينه وشماله ثم قال (هذه السبل ليس منها سبيل إلا عليه شيطان يدعو إليه)، ثم قرأ {وأن هذا صراطي مستقيماً فاتبعوه ولا تتبعوا السبل فتفرق بكم عن سبيله} "رواه أحمد والحاكم والنسائي، وقال الحاكم; صحيح ولم يخرجاه
ท่านอิบนุอับบาส ได้กล่าวเกี่ยวกับคำดำรัสของอัลลอฮที่ว่า (และอย่าปฏิบัติตามหลาย ๆ ทาง เพราะมันจะทำให้พวกเจ้าแยกออกไปจากทางของพระองค์) ว่า อัลลอฮทรงบัญชาแก่มวลผู้ศรัทธาทั้งหลายให้ให้ความสำคัญกับหมู่คณะ และห้ามพวกเขาไม่ให้ขัดแย้งและแตกแยกกัน และทรงบอกพวกเขาว่า ประชาติก่อนพวกเขานั้น ได้รับความวิบัติ เพราะทะเลาะวิวาทและโต้เถียงกัน ในเรื่อง ศาสนาของอัลลอฮ และท่านอิหม่ามอะหมัด บุตร หัมบัล ได้รายงานจาก อับดุลลอฮ บุตรมัสอูด (ร.ฎ) ว่า เขากล่าวว่า ท่านรซูลุลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ขีดเส้นเส้นหนึ่ง ด้วยมือของท่าน แล้วกล่าวว่า ?นี้คือ แนวทางของอัลลอฮ อันเที่ยงตรง? และท่านได้ขีดเส้นไปทางด้านขวาและด้านซ้ายของท่าน แล้วกล่าวว่า ?นี้คือ หลายๆทาง ซึ่งไม่มีแนวทางใดจากหลายๆทางนั้น นอกจากมีชัยฏอน เชิญชวน ไปสู่แนวทางนั้น แล้วท่านก็อ่านอายะฮที่ว่า ? และแท้จริงนี้คือทางของข้าอันเที่ยงตรงพวกเจ้าจงปฏิบัติตามมันเถิด และอย่าปฏิบัติตามหลาย ๆ ทาง เพราะมันจะทำให้พวกเจ้าแยกออกไปจากทางของพระองค์? ? รายงานโดย อะหมัด อัลหากิมและอัลนะสาอีย์ และอัลหากิม กล่าวว่า เป็นหะดิษเศาะเฮียะ โดยที่อิหม่ามบุคอรีและมุสลิม ไม่ได้บันทึกมันไว้ ? ดูมุคตะศอ็รตัฟสีรอิบนิกะษีร อรรถาธิบายอายะฮที่ 153 ซูเราะฮอันอันอาม
.....................................
อายะฮนี่ แสดงให้เห็นว่า แนวทางแห่งศาสนาอิสลาม นั้นมีหนึ่งเดียว ไม่มีหลายๆแนวทาง เพราะการแตกเป็นหลายๆแนวทางนั้น เป็นสาเหตุแห่งความขัดแย้งและแตกแยก
และการแบ่งศาสนาป็นหลายนิกาย ก็เป็นมูลเหตุแห่งความขัดแย้ง และ อิหม่ามทั้งสี่ก็ไม่ได้เป็นตัวการแบ่งนิกาย นิกายคือ สิ่งที่พวกตะอัศศุบมัซฮับอุปโลกน์ขึ้นมา แล้วอ้างอีหม่ามทั้งสี่
asan إِنَّ الَّذِينَ فَرَّقُواْ دِينَهُمْ وَكَانُواْ شِيَعاً لَّسْتَ مِنْهُمْ فِي شَيْءٍ إِنَّمَا أَمْرُهُمْ إِلَى اللّهِ ثُمَّ يُنَبِّئُهُم بِمَا كَانُواْ يَفْعَلُونَ
[6.159] แท้จริงบรรดาผู้ที่แบ่งแยกศาสนาของพวกเขา และพวกเขาได้กลายเป็นนิกายต่าง ๆ นั้นเจ้า (มุฮัมมัด) หาใช่อยู่ในพวกเขาแต่อย่างใดไม่แท้จริงเรื่องราวของพวกเขานั้น ย่อมไปสู่อัลลอฮ์แล้วพระองค์จะทรงแจ้งแก่พวกเขาในสิ่งที่พวกเขากระทำกัน- อันอันอาม/159
คือ พวกเขาไม่ได้แยกตัวออกจากศาสนาของพวกเขา แต่ พวกเขาแบ่งแยกศาสนาของพวกเขา ออกเป็นนิกาย เช่น โรมันแคธอลิค โปรเตสแตนต์ ออร์โธดอกส์ เป็นต้น
ในตัฟสีรอัสสะอดีย์ ได้อธิบายอายะฮข้างต้นว่า
ودلت الآية الكريمة أن الدين يأمر بالاجتماع والائتلاف، وينهى عن التفرق والاختلاف في أهل الدين، وفي سائر مسائله الأصولية والفروعية
อายะฮอันทรงเกียรตินี้ แสดงให้รู้ว่า แท้จริง ศาสนา ใช้ให้ร่วมกัน และมีความสมานฉันท์ และห้ามการแตกแยกและขัดแย้งกัน ในบรรดาผู้ที่นับถือ ศาสนา ในในบรรดาประเด็นปัญหาที่เกี่ยวกับศาสนา ทั้งที่เป็นหลักการศาสนาและข้อปลีกย่อย - ดูตัฟสีร อัสสะอดีย เล่ม 8 อรรถาธิบาย อายะฮ 159 ซูเราะฮอันอันอาม
ในตัฟสีรอัลบัฆวีย อธิบายอายะฮข้างต้นว่า
أي: جعلوا دين الله وهو واحد-دين إبراهيم عليه السلام الحنفية-أدياناً مختلفة، فتهود قوم وتنصر قوم، يدل عليه قوله عز وجل: وكانوا شيعا ً، أي: صاروا فرقاً مختلفة وهم اليهود والنصارى في قول مجاهد و قتادة و السدي .
กล่าวคือ พวกเขา ทำให้ ศาสนาของอัลลอฮ ซึ่งเป็นศาสนาหนึ่งเดียว -คือ ศาสนาอิบรอฮีม อะลัยฮิสสลาม ที่เป็นแนวทางที่ถูกต้อง ให้กลายเป็นศาสนาต่างๆที่แตกต่างกัน แล้ว พวกหนึ่ง เป็นยะฮูดี และพวกหนึ่งเป็นนะศอรอ ซึ่งคำดำรัสของอัลลอฮ ผู้ทรงอำนาจ ผู้ทรงสูงส่ง ได้แสดงบอกมันไว้ คือ ?และพวกเขาได้กลายเป็นนิกายต่างๆ กล่าวคือ พวกเขากลายเป็น พวกที่แตกต่างกัน และพวกเขาคือ พวกยะฮูดี และ นะศอรอ ในทัศนะของ มุญฮิด เกาะตาดะฮและอัสสุดดีย ? ดูตัฟสีรอัลบัฆวีย์ อรรถาธิบาย อายะฮ 159 ซูเราะฮอันอันอาม
......................
ผมไม่ได้มีเจตนาว่า อิหม่ามทั้งสี แบ่งแยกนิกาย หรอกครับ ผมต้องการชีให้เห็นว่า การแบ่งแยกศาสนาเป็นนิกายหรือมัซฮับ แล้วพวกนั้นสังกัดนิกายนั้น พวกนี้สังกัดนิกายนี้ นี้มันเป็นพฤติกรรมที่คล้ายคลึงกับ พวกยะฮูดีและนะศอรอ ที่อัลลอฮกล่าวไว้
และมีคำอธิบายเพิ่มเติมจากตัฟสีรข้างต้นว่า
وقيل: هم أصحاب البدع والشبهات من هذه الأمة. وروي عن عمر بن الخطاب رضي الله عنه أن رسول الله صلى الله عليه وسلم قال لعائشة: يا عائشة إن الذين فارقوا دينهم وكانوا شيعاً هم أصحاب البدع والشبهات من هذه الأمة .
มีผู้กล่าวว่า พวกเขาคือ ชาวบิดอะฮ และ พวกที่มีความคลุ่มเครือ(ในศาสนา ) จากประชาชาตินี้ และมีรายงานจากอุมัร บุตร อัลคอ็ฏฏอ็บ(ร.ฏ)ว่า แท้จริงท่านรซูลุ้ลลอฮ ศอลฯ กล่าวแก่ท่านหญิงอาอิฉะฮว่า แท้จริงบรรดาผู้ที่แบ่งแยกศาสนาของพวกเขา และพวกเขาได้กลายเป็นนิกายต่าง ๆ นั้น พวกเขาคือ ชาวบิดอะฮและผู้ที่มีความคลุมเครือ(ในศาสนา)จากประชาตินี้
- ? ดูตัฟสีรอัลบัฆวีย์ อรรถาธิบาย อายะฮ 159 ซูเราะฮอันอันอาม
asan
وأخرج أبو داود , والترمذي عن الحارث بن عمرو عن أناس من أهل حمص من أصحاب معاذ { عن معاذ أن رسول الله صلى الله عليه وسلم لما بعثه إلى اليمن قال له : كيف تقضي إذا عرض لك قضاء ؟ قال : أقضي بكتاب الله , قال : فإن لم تجد في كتاب الله ؟ قال : فبسنة رسول الله , قال : فإن لم تجد في سنة رسول الله , ولا في كتاب الله ؟ قال : أجتهد رأيي , ولا آلو , فضرب رسول الله صلى الله عليه وسلم صدره , وقال : الحمد لله الذي وفق رسول رسول الله لما يرضي رسول الله
ท่านอบูดาวูดและท่านอัตติรมีซีย์ ได้บันทึจากท่าน อัลหาริษ บุตรอัมริน จากบรรดาผู้คนชาวหัมศิน จากบรรดาสหายของมุอาซ จากมุอาซว่า"ในขณะที่ท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ส่งมุอาซฺไปยังเยเมน ท่านร่อซูลกล่าวว่า "ท่านจะตัดสินอย่างไรหากมีมีคดีหนึ่งเกิดขึ้นกับท่าน ?" เขากล่าวว่า "ฉันจะตัดสินด้วยกับสิ่งที่อยู่ในกิตาบุลลอฮ์" ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์กล่าวว่า "หากไม่มีระบุไว้ในกิตาบุลลอฮ์ล่ะ?" เขากล่าวว่า "ก็ด้วยซุนนะฮ์ของร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.)" ท่านนบีกล่าวว่า "หากไม่มีระบุไว้ในซุนนะฮ์ของร่อซูลุลเลาะฮ์ล่ะ?" เขาตอบว่า "ฉันก็จะทำการวินิจฉัยกับความเห็นของฉัน โดยฉันจะไม่ทำให้บกพร่อง" ดังนั้น ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ก็ได้ตบอกของมุอาซฺ แล้วกล่าวว่า การสรรเสริญเป็นอภิสิทธิ์ของอัลเลาะฮ์ผู้ทรงชี้นำทูตของร่อซูลุลลอฮ์ให้กับสิ่งที่ทำให้ร่อซูลุลลอฮ์พอใจ"-
...ดู นัศบุรรอยะฮฟีตัครีจอะหาดีษฮิดายะฮ เล่ม 1 หน้า 39 บทว่าด้วยเรื่อง มารยาทของผู้ตัดสินคดี(كتاب أدب القاضي)
หะดิษข้างต้นกล่าวถึงเรื่อง การตัดสินคดีความ ซึ่งเกี่ยวเรื่องทางด้านสังคม การเมือง การปกครอง ปัญหาการการพิพาททางด้านสังคม นั้น ย่อมหลากหลาย ไม่มีสิ้นสุด ทุกคดีที่เกิดขึ้นแต่ละยุคแต่ละสมัย มันไม่ได้เหมือนกับที่เกิดขึ้นในยุคของท่านนบีเสมอไป เพราะฉะนั้นคดีใด ไม่ปรากฏการตัดสินเอาไว้ในอัลกุรอ่านและหะดิษ ก็ให้ผู้พิพากษาใช้การวินิจฉัยของตน ดังหะดิษที่ว่า
أخرج البخاري , ومسلم عن أبي قيس مولى عمرو بن العاص عن عمرو بن العاص أنه سمع رسول الله صلى الله عليه وسلم يقول : { إذا حكم الحاكم فاجتهد , فأصاب فله أجران , وإذا حكم وأخطأ فله أجر
บันทึกโดยบุคอรี ,มุสลิมจากอบีกอยสฺ ทาสของอัมริน บุตรอัลอาศ จากอัมริน บุตร อัลอาศ ว่า แท้จริง เขาได้ยินรซูลุ้ลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า " เมื่อผู้พิพากษาตัดสินคดี แล้วเขาได้ทำการวินิจฉัยอย่างเต็มความสามารถ แล้วปรากฏว่าถูกต้อง เขาก็ได้รับการตอบแทนสองเท่า และเมื่อเขาตัดสิน และเกิดการผิดพลาด เขาก็ได้รับการตอบแทนหนึ่งเท่า
- จากหนังสือที่อ้างอิงแล้ว
........................
เพราะฉะนั้นจะเอาหะดิษนี้ มาอ้างเรื่องการอิจญติฮาดในเรื่องอิบาดะฮไม่ได้ มันคนละเรื่องกัน และไม่ใช่หลักฐานที่มาอ้างเรื่อง การสังกัดมัซฮับ และไม่ใช่หลักฐานให้ตามความเห็นของผู้รู้ โดยปราศจากหลักฐาน
.....................
เจ้าของหนังสือที่ถูกพาดพิง ไม่มีโอกาสที่จะมาโต้คำกล่าวหาในที่นี้ เพราะฉะนั้น อยากให้เกิดความเป็นธรรม จึงเข้ามาชี้แจง
หวังว่าท่านเว็บคงจะไม่ลบนะครับ ผมไม่เห็นด้วยที่จะกล่าวถึงบุคคลที่สามในด้านลบ โดยบุคคลนั้น ไม่มีโอกาสชี้แจง
วิจารณ์หนังสือ"มุสลิมต้องสังกัดมัซฮับหรือไม่? By: al-azhary Date: มี.ค. 20, 2007, 04:04 AM
al-azhary อ้างอิงจากบังอะสัน
หะดิษข้างต้นกล่าวถึงเรื่อง การตัดสินคดีความ ซึ่งเกี่ยวเรื่องทางด้านสังคม การเมือง การปกครอง ปัญหาการการพิพาททางด้านสังคม นั้น ย่อมหลากหลาย ไม่มีสิ้นสุด ทุกคดีที่เกิดขึ้นแต่ละยุคแต่ละสมัย มันไม่ได้เหมือนกับที่เกิดขึ้นในยุคของท่านนบีเสมอไป เพราะฉะนั้นคดีใด ไม่ปรากฏการตัดสินเอาไว้ในอัลกุรอ่านและหะดิษ...... เพราะฉะนั้นจะเอาหะดิษนี้ มาอ้างเรื่องการอิจญติฮาดในเรื่องอิบาดะฮไม่ได้ มันคนละเรื่องกัน และไม่ใช่หลักฐานที่มาอ้างเรื่อง การสังกัดมัซฮับ และไม่ใช่หลักฐานให้ตามความเห็นของผู้รู้ โดยปราศจากหลักฐาน
ตอบ
บังอะสันครับ เรายังไม่ได้พูดถึงเรื่องอิจญฺฮาด ใดว่าเกี่ยวกับเรื่องอิบาดะฮ์หรือว่าไม่ใช่เรื่องอิบาดะฮ์เลยนะครับ ทำไมถึงชอบตีตนไปก่อนไข้ ทำไมชอบสมมุติขึ้นมาเอง แล้วก็โต้แย้งเอง บังอะสันอยากจะสนทนาในกระทู้ที่ผมตั้งขึ้นนั้น ก็โปรดตามระเบียบที่ผมขอร้องไว้สักหน่อยนะครับ หากจะพูดสมมุติขึ้นมาเองแล้วตอบเองแบบนี้ ผมว่าบังอะสันไปตั้งกระทู้ขึ้นมาเองแล้วโพสต์เองดีกว่านะครับ
การอิจญฺฮาดในเรื่องอิบาดะฮ์นั้น ไม่ได้หรือครับ แล้วหลักฐานต่าง ๆ เกี่ยวกับอิบาดะฮ์นั้น ผู้รู้ถูกห้ามวินิจฉัยกันตั้งแต่เมื่อไหร่ ซอฮาบะฮ์ได้ทำการวินิจฉัยในเรื่องอิบาดะฮ์ เช่นการเสียน้ำละหมาด บรรดาตาบิอีนก็อิจญฺฮาดในเรื่องอิบาดะฮ์ บรรดาตาบิอิตตาบิอีนก็วินิจฉัยในเรื่องของอิบาดะฮ์จากหลักฐานต่าง ๆ ของศาสนา เนื่องจากอุลามาอ์สะลัฟแต่ละยุคสมัยนั้นที่มีคุณสมบัติในการวินิจฉัยได้นั้น ก็จำเป็นต้องทำการวินิจฉัย จะไปตักลีดไม่ได้ และเป็นไปได้หรือที่นักปราชญ์มุจญฺฮิดเหล่านั้นมีหลัการอิจญฺาดตามหลักฐานต่าง ๆ โดยมีความเห็นตรงกันทั้งหมด ? คำตอบก็คือ พวกเขามีความแตกต่างกันในทัศนะในการวินิจฉัย ซึ่งทัศนะนี้แหละ เขาเรียกว่ามัซฮับ แนวทางของนักปราชญ์ท่านนั้น ของนักปราชญ์ท่านนี้ ของนักปราชญ์ท่านโน้น แบบนี้อิสลามแตกแยกไหมครับ ในเมื่อตัฟซีร ท่านซะอฺดีย์ ที่บังอะสันยกอ้างอิงมานั้น บอกว่า อิสลามแตกแยกไม่ได้แม้กระทั้งเรื่อง ฟุรั๊วะ ข้อปลีกย่อย !! ซึ่งหากยึดตามบังอะสันแบบนี้ ก็หุกุ่มบรรดาซอฮาบะฮ์ ตาบิอีน และตาบิอิดตาบิอีน กันมโหฬารเลยนะครับ ซึ่งประเด็นเหล่านี้ ผมขอหยุดวิจารณ์ก่อน เพราะว่ามันไม่ตรงประเด็นในสิ่งที่ผมอ้างอิงมานะครับ พอถึงประเด็นนั้นเมื่อไหร่ ผมจะเชิญบังอะสันมาร่วมสนทนาครับ
al-azhary อ้างอิงจากบังอะสัน
เจ้าของหนังสือที่ถูกพาดพิง ไม่มีโอกาสที่จะมาโต้คำกล่าวหาในที่นี้ เพราะฉะนั้น อยากให้เกิดความเป็นธรรม จึงเข้ามาชี้แจง หวังว่าท่านเว็บคงจะไม่ลบนะครับ ผมไม่เห็นด้วยที่จะกล่าวถึงบุคคลที่สามในด้านลบ โดยบุคคลนั้น ไม่มีโอกาสชี้แจง
ตอบ
แม้เจ้าของหนังสือจะไม่มีโอกาสเข้ามาโต้ แต่สิ่งที่เขาได้เขียนยังมีผลกระทบในแง่ลบต่อผู้อ่านมากมาย ผมจึงต้องทำการชี้แจงข้อเท็จจริง แต่หากใครมีทัศนะตรงกับเจ้าของหนังสือ ก็ทำการแก่ต่างแทนเขาได้ตามสบายเลยครับโดยเฉพาะบังอะสัน การวิจารณ์หนังสือนั้น มันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะนักปราชญ์เขาก็ทำกันอย่างนี้ แต่ต้องให้อยู่ในเชิงวิชาการ อย่างเช่นท่านอิบนุตัยมียะฮ์ ได้ทำการวิจารณ์หนังสือของท่าน ฟัครุดดีน อัรรอซีย์ ซึ่งอยู่คนละสมัยกัน แต่สมัยต่อ ๆ มาก็มีอุลามาอ์ทำการวิจารณ์หนังสือของท่านอิบนุตัยมียะฮ์ที่ได้ทำการวิจารณ์หนังสือของท่านฟุครุดดีนอัรรอซีย์อีกทีหนึ่ง ดังนั้น การนำเสนอวิจารณ์นี้ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
และท่านผู้จัดการเวปเขาไม่ลบหรอก เพราะว่าเราวิจารณ์ในเชิงวิชาการ ไม่ใช่ไปด่าทอหรือสาปแช่งอะไร และผมก็ไม่ได้ไปหมิ่นเกียรติส่วนตัวของเจ้าของหนังสือ แต่ผมวิจารณ์ข้อเขียนของเขาเท่านั้น ดังนั้น บังอะสันโปรดเข้าใจการสนทนาในเชิงวิจารณ์แนวนี้ด้วย
al-azhary คุณ u และคุณ ALee_pk ครับ ประเด็นการสังกัดมัซฮับวายิบหรือไม่อย่างไร และสมัยซอฮาบะฮ์และตาบิอีนมีมัซฮับกันหรือเปล่านั้น หากไม่สังกัดอัลเลาะฮ์จะรับอะมัลหรือเปล่า? ผมมีคำตอบและรายละเอียดให้นะครับ แต่ว่ายังไม่ถึงเวลา เนื่องจากการวิจารณ์หนังสือเล่ม ก็จะมีอยู่ตอนหนึ่งที่เราจะวิจารณ์ถึงเรื่องที่คุณกล่าวด้วยนะครับ คือผมอยากจะสนทนาในตามระบบและตามขั้นตอนของเนื้อหาหนังสือดังกล่าวนะครับ เพื่อจะได้ไม่สับสน
คุณ lekmamsar สิ่งที่ผมได้นำเสนอนั้น เป็นเรื่องมัซฮับในเชิงฟิกห์เท่านั้นครับ เราไม่รวมการสนทนาไปถึงเรื่องอากิดะฮ์ เพราะมันจะทำให้สับสนและเนื้อหาผิดเป้าหมายของหนังสือที่เราจะทำการวิจารณ์นะครับ หวังว่าคุณคงเข้าใจ
บัง อะสัน ผมไม่คิดว่า บังอะสันจะเป็นคนแรกที่แหกกฏการสนทนาที่ผมได้นำเสนอไว้แล้วข้างต้น เพื่อให้เป็นระเบียบของการสนทนา ซึ่งผมได้กล่าวไว้แล้วว่า "หากมีผู้คัดค้านและต้องการร่วมวิจารณ์ ผมก็ยินดีและขอร่วมสนทนา แต่ก็ขอให้ตรงประเด็น และไม่อยู่นอกประเด็นที่ผมได้อ้างอิงเอาไว้" ซึ่งหากว่าบังอะสันไม่มีความสามารถในการสนทนาวิจารณ์ตรงประเด็น ก็ขอให้บังอะสันเป็นผู้อ่านที่ดีไปก่อน เมื่อถึงประเด็นของมันจริง ๆ ที่ผมจะนำเสนอในครั้งต่อ ๆ ไปเมื่อไหร่ ผมขอเชิญบังอะสันร่วมสนทนาด้วยนะครับ
แต่ผมพอสรุปจากจุดยืนของบังอะสันที่อ้างอายะฮ์อัลกุรอานและคำอธิบายของนักตัฟซีร เพื่อนำมาสนองความเชื่อของบังอะสันนั้น ผมสามารถสรุปได้ดังนี้
1. บรรดานักปราชญ์มัซฮับทั้ง 4 สร้างความแตกแยกในอิสลาม
2. บรรดานักปราชญ์มัซฮับทั้งสี่ ดำเนินอยู่บนหนทางของชัยฏอน
3. บรรดานักปราชญ์มัซฮับทั้งสี่ ไม่ได้ดำเนินอยู่บนแนวทางของศาสนาอิสลาม
4. บรรดานักปราชญ์มัซฮับทั้ง 4 ดำเนินอยู่บนหนทางของยาฮูดีย์และนาซอรอ
5. ดูเหมือนว่า แนวทางของบังอะสันเท่านั้นที่ไม่ใช่อยู่ในหนทางของยาฮูดีย์ นาซอรอ ไม่ได้อยู่บนหนทางของชัยฏอน และไม่ได้สร้างความแตกแยกในอิสลาม
ประเด็นทั้ง 5 ตามความเชื่อของบังอะสันนี้ ความจริงผมไม่ต้องโต้แย้งแก้ต่างก็ได้ โดยให้มันอยู่ในสภาพแบบนี้และจะได้ยืนยันถึงความเชื่อของบังอะสันที่มีต่อพี่น้องมุสลิมที่อยู่คนละแนวทางของบังอะสัน แต่เมื่อผมได้วิจารณ์หนังสือดังกล่าวถึงเรื่องการสังกัดมัซอับเมื่อไหร่ ผมจะทำการแก้ต่างสิ่งที่บังอะสันอ้างอิงมาทั้งหมดครับ อินชาอัลเลาะฮ์ ดังนั้น หากบังอะสันไม่สามารถสนทนาวิจารณ์ในตรงประเด็นที่ผมอ้างอิง แสดงว่าบังอะสันไร้ความสามารถในการวิจารณ์ประเด็นนั้น ๆ แล้ว ซึ่งผมก็ขอให้บังอะสันเป็นผู้อ่านที่ดีนะครับ แล้วค่อยรอประเด็นต่อ ๆ ไปที่บังอะสันมีศักยภาพพอที่จะร่วมสนทนาแบบตรงประเด็น
asan อัลอัฃฮารีย์กล่าวว่า
ผมพอสรุปจากจุดยืนของบังอะสันที่อ้างอายะฮ์อัลกุรอานและคำอธิบายของนักตัฟซีร เพื่อนำมาสนองความเชื่อของบังอะสันนั้น ผมสามารถสรุปได้ดังนี้
1. บรรดานักปราชญ์มัซฮับทั้ง 4 สร้างความแตกแยกในอิสลาม
2. บรรดานักปราชญ์มัซฮับทั้งสี่ ดำเนินอยู่บนหนทางของชัยฏอน
3. บรรดานักปราชญ์มัซฮับทั้งสี่ ไม่ได้ดำเนินอยู่บนแนวทางของศาสนาอิสลาม
4. บรรดานักปราชญ์มัซฮับทั้ง 4 ดำเนินอยู่บนหนทางของยาฮูดีย์และนาซอรอ
5. ดูเหมือนว่า แนวทางของบังอะสันเท่านั้นที่ไม่ใช่อยู่ในหนทางของยาฮูดีย์ นาซอรอ ไม่ได้อยู่บนหนทางของชัยฏอน และไม่ได้สร้างความแตกแยกในอิสลาม
.................
ตอบ
ใจเย็นๆ อย่าสรุปตามอารมณ์ 5 ข้อที่สรุปมา นั้น หากไม่จริง มันก็จะกลับไปหาตัวผู้สรุปเอง เพราะที่กล่าวถึง อายะฮข้างต้น เพื่อแสดงให้เห็นว่า ศาสนาห้ามแตกแยกกออกเป็นนิกายเช่นยิวและนะศอรอ และไม่เคยเห็นว่าอิหม่ามทั้งสี่ สอนว่า ศาสนาแบ่งออกเป็นสี่มัซฮับนี่ครับ ในหนังสือดังกล่าวคัดค้านความเชื่อที่ว่า "วาญิบต้องสังกัดมัซฮับ" แล้วน้องบ่าวเราก็เป็นเดือดเป็นแค้นผู้เขียนและผู้แปลหนังสือเล่มนี้ ทางที่ดีเอาเวลาไปเรียนหนังสือดีกว่า การที่น้องบ่าวทำตัวเป็นรอบรู้แล้วออกมาท้าชนพวกที่ไม่สังกัดมัซฮับ ที่ถูกเรียกว่า วะฮบีย แล้วมาวิจารณ์หนังสือเขา แล้วที่อ้างมานั้น ถูกหรือเปล่า แล้วจะปิดปากไม่ให้บังอะสันพูดอะไรเลยหรือ งงอยู่เหมือนกัน ว่าทำไมไม่ตั้งกระทู้ที่สร้างสรรค์ ไม่ล่อแหลม นังดูอยู่เหมือนกันว่า น้องบ่าวเราและสหายตั้งกระทู้ที่ไร เป็น hot ทุกที่ อาบังรู้นะว่า น้องต้องการจะประกาศศักดาว่า "ข้าเก่งโว้ย"
sufriyan ขอบคุณคุณal-azhary ที่ให้ความกระจ่างในเรื่องดังกล่าว ความจริงเรารับรู้เรื่องนี้จากบรรดาอูลามาในประเทศไทยมานานแสนนานแล้ว ทั้งจบจากไคโร อินเดีย มาเลเซีย อินโดนีเซียและซาอุดี้เอง แต่เพียงท่านเหล่านั้นไม่สามารถมานั่งโพสต์ให้เราได้รับทราบได้ เพราะท่านเล่นเน็ตไม่เป็นและไม่มีเวลาว่างเพราะต้องสอนหนังสือตลอดชีวิต เลยหาดูเรื่องอย่างนี้ทางเน็ตไม่ค่อยได้ ดีที่ว่าคุณal-azhary มาทดแทนสิ่งที่ขาดเหล่านั้นไปได้ เมืองไทยส่วนใหญ่ใช้ฟิกห์ของท่านอิหม่ามชาฟีอีมาตั้งนานแล้ว และก็ดีแล้ว ไม่แตกแยกกัน ไม่เห็นต้องมาปรับเปลี่ยนให้แตกแยกกันเลย ภาคใต้ก็เหมือนกันส่วนใหญ่ใช้ฟิกห์ของอิมามชาฟีอี ดาโต๊ะยุติธรรมในภาคใต้ก็ใช้ฟิกห์ของแนวมัซฮับชาฟีอี หนังสือหนังหาที่เป็นแนวทางของท่านอิมามชาฟีอี เกลื่อนเมือง หาดูง่ายและเป็นที่เข้าใจและยอมรับเวลาพิพาท ก็ยุติด้วยคำตัดสินแนวมัสฮับชาฟีอี พอก่อน เหนื่อยแล้ว สุดท้ายขอบคุณ คุณal-azhary มากๆนะครับที่ช่วยพูดแทนบรรดาอูลามา เหล่านั้น เค้าไม่มีเวลาครับ เค้าต้องสอนหนังสือ
al-azhary อ้างอิงจากบังอะสัน
ใจเย็นๆ อย่าสรุปตามอารมณ์ 5 ข้อที่สรุปมา นั้น หากไม่จริง มันก็จะกลับไปหาตัวผู้สรุปเอง เพราะที่กล่าวถึง อายะฮข้างต้น เพื่อแสดงให้เห็นว่า ศาสนาห้ามแตกแยกกออกเป็นนิกายเช่นยิวและนะศอรอ และไม่เคยเห็นว่าอิหม่ามทั้งสี่ สอนว่า ศาสนาแบ่งออกเป็นสี่มัซฮับนี่ครับ
ตอบ
อย่าเข้าใจผิดครับบังอะสัน กรุณาอย่าเอาอารมณ์ร่วมของตนเองมาผสมผสานในการอ่าน แล้วมาตัดสินอารมณ์ของผม บังอะสันคิดผิดถนัดเลยครับ ผมไม่จำเป็นต้องใจร้อนอะไรเลยนี่ครับ เห็นไหมครับ ผมยังไม่ได้แก้ต่างหลักฐานที่บังอะสันอ้างมาเลย เพียงแค่ผมสรุปจากหลักฐานต่าง ๆ ที่บังอะสันอ้างอิงมา แค่นี้ก็เพียงพอสำหรับการที่บังอะสันต้องเข้ามาแก้ต่างตนเอง ผมก็ไม่ต้องเหนื่อยนะครับ
ผมขอถามหน่อยว่า อัลกุรอานและคำตัฟซีรที่บังอะสันอ้างอิงมาสนับสนุนความเชื่อของตนเองนั้น มันเกี่ยวข้องกับมัซฮับทั้ง 4 หรือไม่? หรือว่าบังอะสันต้องการจะวิจารณ์มัซฮับที่อื่นจากทั้งสี่ ? และคำว่า"แนวทาง" ที่บังอะสันวิจารณ์ออกมานั้น "คือมัซฮับ" หรือเปล่าละครับ ?
และบังอะสันมาแก้ต่างให้กับตนเองว่า "และไม่เคยเห็นว่าอิหม่ามทั้งสี่ สอนว่า ศาสนาแบ่งออกเป็นสี่มัซฮับนี่ครับ" คือบังอะสันจะเจาะจงแค่อิมามทั้งสี่ แต่ที่ผมสรุปไปนั้น (ไม่ใช่อิมามมัซฮับทั้งสี่ ที่หมายถึง อิมามชาฟิอีย์ อิมามหะนาฟีย์ อิมามมาลิก และอิมามอะหฺหมัด) แต่มันเป็น "บรรดานักปราชญ์มัซฮับทั้งสี่" หมายถึงบรรดาอุลามาอ์นักปราชญ์ที่บอกว่าตนเองอยู่มัซฮับของอิมามนั้น อิมามนี้ ซึ่งผมได้ใช้คำพูดที่รัดกุมแล้ว และไม่กล่าวหาบังอะสันในการลามไปถึงอิมามทั้ง 4 หรอก และบรรดาอุลามาอ์ทั้งหลายของมัซฮับทั้งสี่นั้น พวกเขาก็ยังพาดพิงแนวทางของตนไปยังอิมามทั้งสี่ แต่บังอะสันบอกว่าอิมามทั้งสี่ไม่ได้สอนว่าศาสนาแบ่งออกเป็นสี่มัซฮับ เพราะการแยกออกเป็นสี่มัซฮับ(เป็นอย่างน้อย)นั้น คือแนวทางที่ไม่ถูกต้องตามทัศนะของบังอะสัน ทั้งที่บรรดานักปราชญ์ในสี่มัซฮับหลายยุคหลายสมัยก็ยังพาดพิงตนเองไปยังมัซฮับอิมามทั้ง 4 ก็มีมากมายจวบจนปัจจุบัน ดังนั้น เมื่อพวกเขายังมีมัซฮับกันอยู่ ก็แสดงว่าพวกเขาเหล่านั้น มีหลักการไม่เหมือนกับบังอะสัน เพราะว่าหลักการเหล่านั้น มันคือ
สรุปจากจุดยืนของบังอะสันที่อ้างอายะฮ์อัลกุรอานและคำอธิบายของนักตัฟซีร เพื่อนำมาสนองความเชื่อของบังอะสันนั้น ผมสามารถสรุปได้ดังนี้
1. บรรดานักปราชญ์มัซฮับทั้ง 4 สร้างความแตกแยกในอิสลาม
2. บรรดานักปราชญ์มัซฮับทั้งสี่ ดำเนินอยู่บนหนทางของชัยฏอน
3. บรรดานักปราชญ์มัซฮับทั้งสี่ ไม่ได้ดำเนินอยู่บนแนวทางของศาสนาอิสลาม
4. บรรดานักปราชญ์มัซฮับทั้ง 4 ดำเนินอยู่บนหนทางของยาฮูดีย์และนาซอรอ
5. ดูเหมือนว่า แนวทางของบังอะสันเท่านั้นที่ไม่ใช่อยู่ในหนทางของยาฮูดีย์ นาซอรอ ไม่ได้อยู่บนหนทางของชัยฏอน และไม่ได้สร้างความแตกแยกในอิสลาม
แล้วผมเขียนผิดเป้าหมายหรือเปล่าครับบังอะสัน
al-azhary อ้างอิงจากบังอะสัน
ในหนังสือดังกล่าวคัดค้านความเชื่อที่ว่า "วาญิบต้องสังกัดมัซฮับ" แล้วน้องบ่าวเราก็เป็นเดือดเป็นแค้นผู้เขียนและผู้แปลหนังสือเล่มนี้ ทางที่ดีเอาเวลาไปเรียนหนังสือดีกว่า การที่น้องบ่าวทำตัวเป็นรอบรู้แล้วออกมาท้าชนพวกที่ไม่สังกัดมัซฮับ ที่ถูกเรียกว่า วะฮบีย แล้วมาวิจารณ์หนังสือเขา
ตอบ
หนังสือดังกล่าวคัดค้านความเชื่อที่ว่า"วาญิบต้องสังกัดมัซฮับ" นั้น ผมไม่มีปัญหา เพราะทัศนะตรงกัน แต่หนังสือดังกล่าวไม่ได้กล่าวแค่นั้น ซึ่งยังบอกอีกว่า การสังกัดมัซฮับเป็นบิดอะฮ์ เป็นแนวทางของฟิรอูนที่สกปรก และอีกมากมาย แบบนี้มันนอกประเด็นแล้ว ซึ่งผมต้องนำมาชี้แจงในเชิงวิชาการ และหนังสือเล่มนี้ก็ถูกแปลไทยออกมา ทั้งแจกฟรี ทั้งจำหน่าย ซึ่งทำให้คนอื่นที่รู้เท่าไม่ถึงการเข้าใจผิดอย่างมากมายต่อมัซฮับ แต่เหตุไฉน?บังอะสันถึงต้องการให้คนอื่นที่อ่านยังเข้าใจเนื้ออยู่แบบนั้นในทางที่มิดีมิร้ายต่อมัซฮับกระนั้นหรือ? ช่วงปิดเทอมครับบังอะสัน ไม่มีเรียน และผมก็ไม่ได้มาท้าชน แต่ผมขอให้ผู้ที่มีใจเป็นธรรมมาร่วมวิจารณ์ และคำว่า "วะฮาบีย์" นั้น ผมไม่เคยพูดถึงเลยในกระทู้นี้ และผมก็จะไม่หยิบยกมาพูด แต่ทำไมบังอะสันถึง ชอบยกคำว่า "วะฮาบีย์" มาก่อนละครับ ฟิตนะฮ์มันอาจจะเกิดเพราะบังอะสัน ไม่ใช่ผม แต่ผมขอบอกว่าเสียใจด้วย ที่ผมคงไม่รับมุกในการโจมตีวะฮาบีย์ เพราะผมจะวิจารณ์ข้อมูลในหนังสือเล่มนี้เท่านั้น ไม่ลามไปเรื่องอื่น และหนังสือของเขาคืออัลกุรอานหรือครับ ถึงวิจารณ์ไม่ได้ หรือว่ามันเสียผลประโยชน์ทางอุดุมการณ์ ผมขอบอกว่า บังอะสันหยุดการยึดติดทัศนะของตนเองเถิดครับ เปิดใจมารับฟังของถูกผิดบ้าง เพื่อจะได้ระวังเอาไว้ สำหรับคำว่า "เดือดแค้น" ที่บังอะสันพยายามสรรหามายัดเยียดให้ผมนั้น ย่อมไร้ผลครับ เพราะผมสนทนาในเชิงวิชาการ ไม่ได้ด่าทออะไรถึงเจ้าของหนังสือเลย
al-azhary อ้างอิงจากบังอะสัน
แล้วที่อ้างมานั้น ถูกหรือเปล่า แล้วจะปิดปากไม่ให้บังอะสันพูดอะไรเลยหรือ งงอยู่เหมือนกัน ว่าทำไมไม่ตั้งกระทู้ที่สร้างสรรค์ ไม่ล่อแหลม นังดูอยู่เหมือนกันว่า น้องบ่าวเราและสหายตั้งกระทู้ที่ไร เป็น hot ทุกที่ อาบังรู้นะว่า น้องต้องการจะประกาศศักดาว่า "ข้าเก่งโว้ย"
ตอบ
ถ้าผมจะประกาศศักดาตามที่บังอะสันกล่าวหาผมล่ะก็ ผมก็ใช้ ชื่อจริง นามสกุลจริง ให้ที่อยู่ เหมือนกับบังอะสันทำอยู่แล้วละครับ แต่ผมไม่ทำตามแบบอย่างบังอะสัน กระทู้ที่ผมตั้ง จะฮอทหรือไม่ฮอท ก็ไม่มีผลต่อเรา เพราะแค่ชื่อ อัล-อัซฮะรีย์ นั้น ย่อมไม่ได้ทำให้ ตัวจริง ของผมมีชื่อเสียงอะไรขึ้นมาเลย หากคนรู้จัก ก็แค่อัล-อัซฮะรีย์ ไม่ใช่ ชื่อจริง อย่าง บังอะสัน หมัดอาดัม อยู่บ้านเลขที่........(ไปตรวจสอบดูได้ที่เวปซุนนะฮ์ตามที่บังอะสันเคยประกาศไปแล้วในบอร์ดมุสลิมไทย) แต่สำหรับผมนั้น ตรวจสอบไม่ได้ ไม่มีชื่อจริงและสกุลจริงให้ แต่มีแค่ความรู้เล็ก ๆ น้อย ๆ มานำเสนอให้ท่านผู้อ่านเท่านั้นเอง
และผมอยากให้กระทู้นี้ สนทนาในเชิงวิชาการนะครับ ไม่อยากจะมาสนทนาตอบเรื่องแบบนี้นะครับ
al-azhary เรามาเข้าประเด็นในการวิจารณ์หนังสือดังกล่าวที่ผมอ้างอิงไว้นะครับ สรุปประเด็นแล้วก็คือ ท่านผู้ประพันธ์หนังสือ พยายามบอกว่า มัซฮับทั้งสี่และมัซฮับอื่น ๆ นั้น เป็นเพียงแค่คำวินิจฉัย ความเข้าใจ และความเห็นเท่านั้น โดยพยายามแยกคำวินิจฉัยของพวกเขาให้ออกจากอิสลาม ด้วยคำกล่าวอ้างที่ว่า "อัลลอฮ์ตะอาลา ตลอดจนทูต(รอซู้ล)ของพระองค์มิได้ใช้ให้คนหนึ่งคนใดดำเนินตาม" ดังนั้น บรรดามัซฮับก็เป็นแค่การวินิจฉัย ความเข้าใจ และความเห็นของนักปราชญ์เท่านั้นเอง
ซึ่งคำกล่าวของผู้ประพันธ์หนังสือนี้ มีหลักการเดียวกับ นักบูรพาคดีชาวเยอร์มัน ที่ชื่อว่า "ชาคิต" ซึ่งเขาได้กล่าวว่า
"นิติศาสตร์อิสลามที่บรรดานักปราชญ์มัซฮับได้ประพันธ์มันขึ้นมา ซึ่งไม่ใช่อื่นใดเลย นอกจาก เป็นหลักปฏิบัติในแง่ของกฏหมาย ที่บรรดามันสมองของนักกฏหมายชั้นเยี่ยมได้ร่างมันขึ้นมา และทำให้ดูดีโดยอ้างอิงไปยังอัลกุรอานและซุนนะฮ์"
ตำราของนักบูรพาคดี ชาคิต นี้ เป็นตำราเล่มแรกที่ถูกนำมาเป็นบทเรียนการสอนในมหาวิทยาลัยของยุโรป ดังนั้น เมื่อคำพูดของเจ้าของหนังสือ(อัล-มะซูมีย์) และนักบูรพาคดีชาวเยอร์มัน ชาคิต เป็นคำพูดที่ถูกต้องจริงแล้ว แน่นอนว่า สิ่งดังกล่าวย่อมหมายถึงว่า ไม่มีสิ่งใดที่จำเป็นต่อเราตามหลักของศาสนา ที่จะปฏิบัติกับหลักการของกฏหมายครอบครัว(อิสลาม) الأحوال الشخصية เนื่องจากมันไม่พ้นจากการเป็นเรื่องของบรรดาข้อวินิจฉัยและความเห็นของบรรดามัซฮับ ที่อัลเลาะฮ์และร่อซู้ลของพระองค์ไม่ได้ใช้ให้ผู้ใดดำเนินตามในแง่ของสำนวนคำพูดที่ท่านอัล-มะซูมีย์ได้เขียนยอมรับเอาไว้ และเฉกเช่นเดียวกัน คือไม่มีสิ่งใดที่เราจำเป็นต้องปฏิบัติตาม ตามหลักของศาสนาต่อกฏหมายแพ่งอิสลามที่กลุ่มหนึ่งจากบรรดาอุลามาอ์ได้ร่างมันขึ้นมา เพราะส่วนมากจากหลักการต่าง ๆ นั้น เป็นเพียงแค่บรรดาความเห็นและหลักวินิจฉัยที่อัลเลาะฮ์และร่อซูลของพระองค์ไม่ได้บัญญัติให้เราปฏิบัติตาม
เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจำกล่าวได้อย่างไรล่ะว่า อิสลามคือ ศาสนาและการเมือง ส่วนมากของกฏหมายบ้านเมืองที่อุลามาอ์ได้วินิจฉัยขึ้นมา ถูกละเลยเพราะอ้างว่าอัลเลาะฮ์ไม่ได้ใช้ให้ตาม!!!
บังอะสัน ตรงใหนที่ผมอ้างอิงผิดหรืออย่างไร ก็ช่วยติติงมาด้วยนะครับ แต่ผมอ้างอิงโดยใช้สองฉบับนะครับ หากไม่ตรงกับฉบับแปลไทย ก็ตรงกับฉบับภาษาอาหรับแน่นอน อินชาอัลเลาะฮ์
วิจารณ์หนังสือ"มุสลิมต้องสังกัดมัซฮับหรือไม่? By: al-azhary Date: มี.ค. 20, 2007, 04:11 AM
asan ท่านอุมัร บุตร อัลคอฏฏอ็บ (ร.ฎ)กล่าวไว้ว่า
: ثلاث يهدمن الدين: زلة عالم، وجدال منافق، وأئمة مضلون
สามประเภทที่ทำลายศาสนา
1. ความผิดพลาดของผู้รู้
2. การโต้แย้งของมุนาฟิก
3. บรรดาผู้นำที่หลงผิด
บันทึกโดย อัดดาเราะมีย์ ด้วยสายสืบที่เศาะเฮียะ 1/71
จะเห็นได้ว่า คำว่า"ผู้รู้"และผู้นำ ยอ่มมีการผิดพลาด ดังนั้น ถ้าวายิบตามผู้รู้ ทุกเรื่อง น่าจะไม่ปลอดภัยเน่อะ
al-azhary บังอะสันครับ เรากำลังพูดถึงเรื่องบทบาทของอุลามาอ์หรือนักปราชญ์มุจญฺฮิดที่มีบทบาทในการวินิจฉัยตัวบทต่าง ๆ ของศาสนา อย่าอย่าเอาประเด็นความผิดพลาดมาเป็นข้ออ้างเลยครับ แม้อุลามาอ์จะไม่มะอฺซูม แต่ว่าพวกเขามีสิทธิ์ที่จะทำการวินิจฉัยตามที่อัลเลาะฮ์ทรงประทานให้แก่พวกเขา คนเอาวามที่ไม่เข้าใจและไม่รู้ซึ่งถึงหลักคำสอนอัลกุรอานและซุนนะฮ์นั้น ผมอยากถามว่าพวกเขาจะไปพึ่งใคร?
ท่าน อิมาม อัชชาฏิบีย์ ได้กล่าวไว้เช่นกันว่า
إذا كان الحق هو المعتبر دون الرجال ، فالحق أيضا لا يعرف دون وسائطهم ، بل بهم يتوصل اليه ، وهم الأدلاء عليه
"เมื่อสัจจะธรรม คือ สิ่งที่ได้รับพิจารณา นอกจากด้วยบรรดานักปราชญ์ ดังนั้น สัจจะธรรมย่อมไม่สามารถรู้จักได้โดยปราศจากบรรดาสื่อกลางจากพวกเขา แต่ด้วยกับพวกเขานั้น จะนำไปสู่สัจจะธรรม และพวกเขาคือผู้ที่ชี้แนะต่อสัจจะธรรมนั้น"
ท่านอัชชาฏิบีย์ ได้กล่าวหลักการไว้เช่นกันว่า
فتاوى المجتهدين بالنسبة إلى العوام ، كالأدلة الشرعية بالنسبة إلى المجتهدين والدليل عليه أن وجود الأدلة بالنسبة الى المقلدين وعدمها إذا كانوا لا يستندون منها شيئا . فليس النظر فى الأدلة والإستنباط من شأنهم ولا يجوز ذلك لهم البتة ، وقد قال تعالي فأسألوا أهل الذكر إن كنتم لا تعلمون) والمقلد غير عالم فلا يصح له إلا سؤال أهل الذكر، وإليهم مرجعه فى أحكام الدين على الإطلاق، فهم إذاً القائمون له مقام الشرع، وأقوالهم قائمة مقام الشارع
ความว่า " บรรดาฟัตวาของบรรดาอุลามาอฺมัจญฺตะฮิด โดยคำนึงถึงคนเอาวามทั่วไปนั้น เปรียบเสมือนหลักฐานของหลักศาสนาที่พาดพิงไปยังอุลามาอฺมุจญฺติฮิดีน และหลักฐานยืนสิ่งดังกล่าว ก็คือ การมีหลักบรรดหลักฐานหรือไม่มีสำหรับคนบรรดามุก๊อลลิดนั้น เมื่อพวกเขาไม่สามารถอ้างอิงวินิจฉัยหลักฐานอะไรได้ (คือไม่สามารถวินิจฉัยหลักฐานนั้นได้) ดังนั้น การพิจารณาในหลักบรรดาหลักฐานและการวินิจฉันหุกุ่มนั้น ไม่ใช่เป็นเรื่องของพวกเขา และสิ่งดังกล่าวไม่อนุญาตให้กับพวกเขาโดยเด็ดขาด โดยที่อัลเลาะฮฺ(ซ.บ.)ทรงตรัสว่า " ดังนั้น พวกเจ้าจงถามผู้มีความรู้ หากพวกเจ้าไม่รู้ " และคนมุก๊อลลิดคือคนที่ไม่มีความรู้ ดังนั้น จึงไม่ถูกต้องสำหรับเขา นอกจากถามบรรดาผู้รู้มุจญฺฮิดเท่านั้น และไปยังพวกเขานั้น(คือมุจญฺตะฮิด) ย่อมสิ่งที่อ้างอิงสำหรับเขา(มุก๊อลลิด) ต่อบรรดาหุกุ่มต่างๆของศาสนาอย่างไม่มีข้อแม้ใดๆ ดังนั้นพวกเขา(มุจญฺติฮิด) คือผู้ที่อยู่ในตำแหน่งของหลักการศาสนาสำหรับคนมุก๊อลลิด และบรรดาคำพูดของพวกเขานั้น(อุลามาอฺมุจญฺฮิด)อยู่ในตำแหน่งของผู้บัญญัติศาสนา(สำหรับคนมุก๊อลลิด) " ดู หนังสือ อัล-มุวาฟิก๊อด เล่ม 4 หน้า 290 - 292
al-azhary ผู้ประพันธ์หนังสือ (ท่านชัยค์ อัลมะซูมีย์) กล่าวว่า
"ฉันขอถามท่าน ด้วยอัลลอฮ์ผู้ทรงยิ่งใหญ่ โอ้ผู้เป็นมุสลิมเอ๋ยว่า มนุษย์นั้นเมื่อเขาได้ตายไป เขาจะถูกถาม ในหลุมศพของเขาหรือวันปรดลกว่า ทำไมเขาสังกัดอยู่ในแนวความคิดของคนนั้น ..หรือทำไมเขาไม่เข้าอยู่ในแนวปฏิบัติของคนนี้..ฉันขอสาบานต่อัลลอฮ์ว่าแท้จริง ท่านนั้นจะไมถูกถามถึงการนั้นเลยหากแต่จะถูกถามว่า ทำไมท่านได้สังกัดอยู่ในแนวความคิดของคนนั้น หรือยึดเอนาแนวปฏิบัติของคนนี้!! (ดู หนังสือ มุสลิมต้องสังกัดมัซฮับหรือไม่? ฉบับภาษาไทยหน้าที่ 15 และฉบับภาษาอาหรับหน้าที่ 65)
วิจารณ์
จากคำกล่าวของเจ้าของหนังสือนี้ ได้ระบุอย่างชัดเจนว่า เขาเชื่อว่า มาตราวัดในการรู้จักภาระหน้าที่อันจำเป็น(วายิบ)ที่อัลเลาะฮ์ ตาอาลา ทรงให้มนุษย์รับผิดชอบนั้น เป็นบรรดาคำถามของมะลาอิกะฮ์ในกุบูร ดังนั้น ทุก ๆ สิ่งที่มะลาอิกะฮ์ได้เสนอถามนั้น คือสิ่งวายิบบังคับใช้ และสิ่งที่มะลาอิกะฮ์ไม่ได้เสนอถาม สิ่งนั้นย่อมไม่ใช่สิ่งวายิบและสิ่งที่ไม่มีบทบัญญัติในศาสนา!!
ดังนั้น เราจึงไม่ทราบว่า มีการยืนยันในหลักฐานใดบ้าง จากบรรดาหลักฐานต่าง ๆ ของอากิดะฮ์อิสลามที่ระบุว่า มะลาอิกะฮ์ทั้งสองท่านนั้น จะถามผู้ตายจากเรื่องหนี้สิ้น หรือสิทธิที่เขาติดค้างกับบรรดามนุษย์ทั้งหลาย หรือถูกถามจากการค้าขายที่โมฆะและผิดบทบัญญัติ หรือถูกถามจากการที่เขาละเลยจากการดูแลครอบครัวและอบรมสั่งสอนบรรดาบุตรของเขา หรือถูกถามจากเวลาต่าง ๆ ที่เขาได้ใช้ไปกับการละเล่นและทำสิ่งที่ไร้ประโยชน์ ? !
และมีหลักฐานใดบ้าง ที่ระบุว่า ต่อไปมะลาอิกะฮ์ทั้งสองท่านนั้น จะถามมุสลิมในกุบูรว่า "ทำไมท่านถึงสังกัดแนวคิดของชาฟิอีย์ โดยที่ท่านไม่ทำการวินิจฉัย ? เหตุใดท่านถึงตามอิมามคนหนึ่งหรือนักวินิจฉัย(มุจญฺฮิด)คนหนึ่ง โดยไม่เปลี่ยนไปตามคนอื่น?? " ดังนั้น หากว่ามะลาอิกะฮ์ได้สอบถามถึงสิ่งดังกล่าวนี้จริง เราจะขอยืนยันรับรองว่า ผู้แต่งหนังสือเล่มนี้อยู่บนสัจจะธรรม และบรรดานักปราชญ์แห่งโลกอิสลามและเราทั้งหมดอยู่บนความหลงผิดในวันที่เราคิดว่า การสอบถามของมะลาอิกะฮ์ได้ประมวลถึงบรรดาหลักการทั่วไปของอิสลามซึ่งเป็นคำถามที่สามารถนับได้ด้วยการประการต่าง ๆ ที่ระบุไว้ในบรรดาหะดิษซอฮิหฺ และภาระกิจจำเป็นของมะลาอิกะฮ์ในการสอบถามที่กุบูรนั้นก็คือ ภาระกิจสอบสวนแบบรายละเอียดและครอบคลุม??!!
asan น้องบ่าวอัล-อัซฮารีย์กล่าวว่า
บังอะสันครับ เรากำลังพูดถึงเรื่องบทบาทของอุลามาอ์หรือนักปราชญ์มุจญฺฮิดที่มีบทบาทในการวินิจฉัยตัวบทต่าง ๆ ของศาสนา อย่าอย่าเอาประเด็นความผิดพลาดมาเป็นข้ออ้างเลยครับ แม้อุลามาอ์จะไม่มะอฺซูม แต่ว่าพวกเขามีสิทธิ์ที่จะทำการวินิจฉัยตามที่อัลเลาะฮ์ทรงประทานให้แก่พวกเขา คนเอาวามที่ไม่เข้าใจและไม่รู้ซึ่งถึงหลักคำสอนอัลกุรอานและซุนนะฮ์นั้น ผมอยากถามว่าพวกเขาจะไปพึ่งใคร?
..................
ตอบ
น้องบ่าวคนเก่งครับ เราไม่ได้พูดว่าห้ามไม่ให้ตามอุลามมาอฺ แต่การตามอุลามาอฺนั้น เราจะมาเทียบชั้นกับท่านนบีไม่ได้ ท่านนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
إِنَّ الْعُلَمَاءَ وَرَثَةُ الْأَنْبِيَاءِ إِنَّ الْأَنْبِيَاءَ لَمْ يُوَرِّثُوا دِينَارًا وَلَا دِرْهَمًا إِنَّمَا وَرَّثُوا الْعِلْمَ فَمَنْ أَخَذَ بِهِ أَخَذَ بِحَظٍّ وَافِرٍ
แท้จริงบรรดาผู้รู้(อุละมาอฺ)นั้น เป็นทายาทของบรรดานบี แท้จริงบรรดานบีนั้น ไม่ได้ทิ้งดินารและไม่ได้ทิ้งดิรฮัมไว้ให้เป็นมรดก ความจริง พวกเขาได้ทิ้งวิชาความรู้ไว้เป็นมรดก ดังนั้นใคร เอามันไว้ ผู้นั้นก็ได้ประสบโชคอันเต็มเปี่ยม -รายงานโดยอัตติมิซีย์
........................
ความหมายหะดิษขอชัดเจนอยู่ในตัวแล้วว่า ทายาททางวิชาการของบรรดานบี นั้น เขาจะต้องรับวิชาความรู้จากบรรดานบี ไปถ่ายทอดให้แก่ผู้ไม่รู้ ส่วนวิชาความรู้ที่เกิดจากการอิจญติฮาดด้วยปัญญาของพวกเขา ในเรื่องศาสนา ย่อมมีผิด มีถูก ซึ่งต่างกับบรรดานบี ที่ได้รับการปกป้องจากอัลลอฮจากความผิดพลาดในการถ่ายทอดคำสอนศาสนา อัลกุรอ่าน ได้ระบุว่า
قل انما أنا بشر مثلكم يوحي الي
จงกล่าวเถิด แท้จริง ฉันเป็นมนุษย์ปุถุชน เหมือนพวกท่าน มีโองการ(วะหยู)แก่ฉัน
เพราะฉะนั้น ตามนบี และตามอุลามาอฺแตกต่างกัน
al-azhary บังอะสันครับ เราไม่ได้พูดเรื่องการตามนบีกับตามอุลามาอ์ใครจะดีกว่ากัน? การตามท่านนบีนั้นย่อมจำเป็นกว่าบรรดาอุลามาอ์อย่างไม่ต้องสง และใคร ๆ ก็ไม่เอาประเด็นแบบนี้มาพูดกันหรอกครับ
แต่เรื่องมัซฮับนี้ มันสำหรับคนมุก๊อลลิดหรือคนเอาวามทั่ว ๆ ไป ซึ่งหากบังอะสันเอาหนังสือซอฮิหฺบุคคอรีย์หรือสุนันทั้ง 6 ไปกองให้คนเอาวามทั่ว ๆ ไปนั้น เขาก็ทำอะไรไม่ได้ วินิจฉัยไม่ได้ นอกจากการชี้แนะของอุลามาอ์ ที่เป็นสื่อไปสู่ความเข้าใจในซุนนะฮ์ของท่านนบี และมีความเข้าใจตัวบทของอัลกุรอานและซุนนะฮ์ ดังนั้น บังอะสันลองจับประเด็นใด้ดี ๆ ซิครับว่า เรากำลังพูดถึงเรื่องอะไร กับบุคคลระดับใหน ? มุจญฺฮิดที่มีความสามารถวินิจฉัยได้นั้นจะตักลีดตามก้นไม่ได้ อันนี้เราตรงกัน เลยไม่ต้องหยิบยกมาพูด การตามท่านนบีย่อมสำคัญกว่าตามอุลามาอ์ อันนี้เราตรงกัน เลยไม่ต้องหยิบยกมาพูด แต่คนเอาวามทั่ว ๆไป ที่ไม่เข้าใจอัลกุรอานและซุนนะฮ์ ไม่สามารถวิเคราะห์วินิจฉัยได้ล่ะครับ จะให้พวกเขาทำอย่างไร ? พวกเขาก็ไม่ได้อยู่กับท่านนบีแล้ว มีแต่ตำราถ่ายทอดมาให้จนถึงปัจจุบัน แบบนี้ต้องให้พวกเขาถามผู้รู้หรือไม่? หรือว่าบังอะสันจะให้พวกเขาวินิจฉัยกันเอง แบบนี้ศาสนาอิสลามพังแน่ครับ
ดังนั้น การสนทนาบังอะสันต้องแยกแยะประเด็นหน่อยครับ
asan บังอะสันครับ เราไม่ได้พูดเรื่องการตามนบีกับตามอุลามาอ์ใครจะดีกว่ากัน? การตามท่านนบีนั้นย่อมจำเป็นกว่าบรรดาอุลามาอ์อย่างไม่ต้องสง และใคร ๆ ก็ไม่เอาประเด็นแบบนี้มาพูดกันหรอกครับ
แต่เรื่องมัซฮับนี้ มันสำหรับคนมุก๊อลลิดหรือคนเอาวามทั่ว ๆ ไป ซึ่งหากบังอะสันเอาหนังสือซอฮิหฺบุคคอรีย์หรือสุนันทั้ง 6 ไปกองให้คนเอาวามทั่ว ๆ ไปนั้น เขาก็ทำอะไรไม่ได้ วินิจฉัยไม่ได้
...............
ตอบ
ท่านนบีสอนว่า
طلب العلم فريضة على كل مسلم
การแสวงหาวิชาความรู้ เป็นข้อบังคับแก่มุสลิมทุกคน -รายงานโดยอิบนิมาญะฮ จากอะนัส
การศึกษาศาสนาเป็นหน้าที่มุสลิมทุกคน จะอ้างว่า เราคนอาวาม ต้องตักลิดตามอุลามาอฺ เราต้องไม่ลืมว่า ศาสนาสอนให้เราแสวงหาสัจธรรม สอนให้ตามอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ เพราะฉะนนั้นเราคนอาวามก็ต้องศึกษาสิ่งเหล่านี้กับผู้รู้
ท่านนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
من يُرِدِ اللهُ به خيراً يفقهه في الدين
ผู้ใดอัลลอฮต้องการให้เขาได้รับความดีงาม พระองค์จะให้เขามีความเข้าใจในศาสนา -รายงานโดยมุสลิม กิตาบุลอิลมิ
ความเข้าใจในศาสนา ไม่ใช่หมายถึง ปิดตาให้คนอื่นป้อน คือเขาจะต้องลืมตาให้เห็น ให้รู้ด้วยว่า สิ่งที่อุลามาอฺป้อนนั้น คือ อะไร ศาสนานาทีมาจากอัลลอฮและจากรอซูลของพระองค์หรือเปล่า
وقال ابن عباس في قوله : { اتبعوا ما أنزل إليكم من ربكم } , الكتاب والسنة
และอิบนุอับบาสได้กล่าวในคำตรัสของอัลลอฮที่ว่า ("พวกเจ้าจงปฏิบัติตาม สิ่งที่ถูกประทานให้แก่พวกเจ้า จากพระผู้อภิบาลของพวกเจ้า) หมายถึง อัลกิตาบ และอัสสุนนะฮ
- قواعد الأحكام في مصالح الأنام เกาะวาอิดุลอัลอะหกาม ฟี มะศอลิหิลอะนาม เล่ม 1 หน้า 19
เพราะฉะนั้น ผู้เรียนต้องลืมตาดูด้วยว่า สิ่งที่อุลามาอฺป้อน และเขาบริโภคเข้าไปคือ อะไร อัลกุรอ่าน และอัสสุนนะฮ หรือเปล่า หรือ บิดอะฮ
aswar ผมว่าคุณ al-azhary ตั้งกระทู้มาอยู่ในเชิงวิชาการดีแล้วครับ การวิจารณ์ของเขาก็อยู่ในกรอบไม่ได้กล่าวหาใครในเชิงลบ และผมก็ยังไม่เห็นว่าเขาอวดเบ่งว่าเขาเก่งตรงไหน การวิจารณ์หนังสือ หรือข้อเขียนก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ทั่วไปเขายอมรับกัน หากในท่อนใดท่านคิดว่าเขาวิจารณ์ไม่ถูกก็สามารถแย้งได้ หากไม่มีก็ควรอ่านไปก่อน บางอย่างอยู่ใน "หัวข้อเรื่อง"เดียวกันก็จริง แต่ยังไม่เข้า "ประเด็น"ที่เขาวิจารณ์ การเข้ามายิงคำถาม หรือยกอะไรที่ยังไม่เข้าประเด็นมาย่อมทำให้เสียเวลา และบรรยากาศไปอีก บางทีการนิ่งก็เป็นการดีกว่า
ผมแค่ต้องการให้การเสนอวิชาการดำเนินไปอย่างดี บางท่านรีบร้อนออกตัวเกินไป ท่านมีสิทธิถามเขาก่อนก็ได้ครับว่า มีประเด็นนั้นประเด็นนี้หรือไม่? พอเข้าประเด็นแล้วจะยกอะไรมาก็เชิญเลยครับ เดี๋ยวเจ้าของกระทู้เขาก็ตอบเอง แบบนี้เป็นระเบียบกว่านะครับ
วัสสลาม
sunshine ตกลงหลังๆ เวปบอร์ดนี้ หนีไม่พ้นอยู่สองสามเรื่องเนี๊ยะ...สรุปคือ กลุ่มไม่กลุ่ม...
งั้นแจมหน่อยนึงละกันค่ะ...ไอ้หนังสือที่ว่า ก็อ่านมาเหมือนกันค่ะ....ที่เป็นหนังสือก็เล่มเดียวกันเป๊ะค่ะ...แต่ไม่ได้อ่านฉบับแปลไทย...นอกจากนั้น ก็อ่านจากคำวิจารญ์ในประเด็นเดียวกับที่หนังสือตั้งชื่อไว้เนี๊ยะอยู่เหมือนกัน...เวปต่างๆ เชค หลายๆท่าน....(และก็ไม่ลืม ใช้ความคิดตัวเองบ้าง....)
สรุป...เหตุผลที่คนแต่ง แต่งหนังสือนี้...เพราะมีคนถามเค้าว่า..เราจำเป็นต้องสังกัด มัสฮับไหนอันใดอันหนึ่งเป็นเรื่องเป็นราวหรือปล่าว...และนั่นเป็นสิ่งที่เค้าเขียน...และก็คือ ไม่จำเป็นต้องสังกัดเป็นเรื่องเป็นราว...ว่าฉันคือ..อันใดอันหนึ่ง ในสี่มัสฮับนั้น...แต่ถามว่าเค้าเขียนโดยไม่ได้เราตามใครเลยเหรอ ก็ไม่ใช่งัย... ก็ถ้างงเรื่องประเด็นศาสนา...นึกไม่ออก ไม่มีความรู้พอ...เราก็ไปอ่านได้.. ศึกษาแนวความคิดของทั้งสี่ อีหม่ามได้...จากนั้น...ก็ใช้ความคิดตัวเอง..ว่าหลังจากอ่านมาหมดแล้ว..อันไหน ที่ make sense ที่สุด...
ไอเดีย เรื่องตามอันใดอันหนึ่งซะแบบไม่เล่นเช็คข้อมูลกันเลย...ฉัน..ซาฟีอี...จบ....จะยังงัย ให้ความเห็นนั้นยังงัยก็ช่าง...ฉัน ซาฟีอี .....อันนี้ต่างหาก ที่ผู้แต่งเค้าไม่แนะนำให้ทำ....เพราะจริงๆแล้ว (เขียนมันซะรอบสามเลยละกัน) คือ...
สำหรับหลายต่อหลายคนที่จะเรียกตัวเองว่า ฉันตาม ฮานาฟี, หรือมาลีกี, หรือฮัมบาลี, หรือซาฟีอีนั้น...ขอให้ตระหนักถึงสิ่งที่ทั้งสี่อีหม่ามได้บอกไว้ นั่นคือ??? (สรุปๆนะค่ะ)
1- ถ้าฮาดีสที่ค้นพบนั้น มันเป็นฮาดีส ซอแฮะ นั่นหล่ะเป็น มัสฮับของฉัน
2- จะไม่อนุญาติให้ใครก็ตามยอมรับในความคิดเห็นของฉันถ้าเค้าคนนั้นไม่ทราบว่าฉันได้ให้ข้อคิดเห็นอย่างนั้นโดยเอามาจากไหน (แหล่งไหน)
3- ถ้าฉันได้กล่าวอะไรไป ที่ขัดแย้งกับกุรอ่านหรือซุนนะแล้ว ให้ละทิ้งสิ่งที่ฉัน (อีหม่าม) ได้กล่าวไว้ซะ
4- จริงๆแล้ว ฉันเป็นแค่ มนุษย์คนหนึ่ง ย่อมทำผิดในบางอย่างและถูกในบางอย่าง เพราะฉะนั้น จงเชื่อถึงความคิดเห็นของฉัน ทุกอย่างที่ตรงกับกุรอ่านและซุนนะ และละเว้น ความคิดเห็นของฉันที่ขัดแย้งกับสองสิ่งนั้น
ผลลัพธ์ของการตามผู้รู้ทางศาสนากลุ่มใดหรือคนใดคนหนึ่ง โดยไม่ได้เช็คกันเลยว่า เค้าวิจารย์อย่างนั้น อย่างนี้เพราะอะไร...ผลเสียหน่ะมันมีแน่....ผู้แต่งเค้าถึงเขียนหนังสือเล่มนี้....อ้อ...ถ้างงว่า ไอ้ผลเสียจากการหลับหูหลับตาเชื่อ มันเป็นอย่างไร...แนะนำให้ลองศึกษาศาสนาอื่นบ้างก็ดีนะ..เช่น คริสต์เป็นต้น..หลับตาเชื่อ ทุกอย่างที่โบสถ์สอนโดยไม่เช็คเลยว่าไบเบิลเขียนว่าอย่างไร...ความเชื่อ มันถึงออกมาอย่างที่เห็นงัยหล่ะ..
asan ขอชมเชยน้อง ดวงอาทิตย์สอ่งแสง หรือ น้องสาว sunshine ที่สรุปได้ดีที่เดียว
สำหรับ คุณ aswar ต้องขอขอบคุณที่เตือน แต่ผมคิดว่า การวิจารณ์หนังสือทั้งเล่ม ก็ควรจะวิจารณ์โดยทำเป็นบทวิจารณ์ ในเว็บของเขาก็ได้ แต่นี้เว็บบอร์ดสนทนา เมื่อมีการวิจารณ์ ก็จะมีคนที่ไม่เห็นด้วยก็มี จะให้เขานั่งรอจนจบเล่มคงไม่ได้ เพราะมีผู้อ่านเข้ามาอ่านตลอดเวลา และเขาควรจะได้รับรู้ข่าวสารสองทางไปพิจารณา
วิจารณ์หนังสือ"มุสลิมต้องสังกัดมัซฮับหรือไม่? By: al-azhary Date: มี.ค. 20, 2007, 04:18 AM
al-azhary ถึงคุณaswar
السلام عليكم ورحمة الله وبركاته
ขอบคุณมากครับที่คุณเข้าใจเจตนาผมเป็นอย่างที่สุดในการสนทนา แต่กระนั้นแหละครับ ก็ยังมีผู้ร่วมสนทนาที่ใจร้อน อยากจะได้หลักการที่ตนเองต้องการเท่านั้น ผมน่ะ ไม่ใช่จะอยู่หน้าคอมพ์ตลอด ช่วงนี้ปิดเทอม หากผมว่างผมก็สามารถเข้าได้วันละ 2 ครั้ง อย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง หากไม่มีธุระจำเป็นหรือเจ็บไข้ได้ป่วย
คุณ sunshine
กลัวคนอื่นจะเข้าใจผิดในสิ่งที่ผมนำเสนอหรือครับ ถึงเข้ามาสรุปเสียแล้ว อ่านไปเรื่อย ๆ และทำใจให้เย็น ๆ ไม่ได้หรือครับ สิ่งที่คุณสรุปมานั้น ก็ตรงกับสิ่งที่ผมจะนำเสนอในประเด็นต่อ ๆ ไปนั่นแหละครับ แต่รายละเอียดจะมีมากกว่านี้ การที่ผู้แต่งหนังสือมีเจตนาที่จะบอกว่า "ไม่จำเป็นต้องสังกัดมัซฮับ" นั้น ประเด็นนี้ผมก็เห็นด้วยในแง่มุมหนึ่ง แต่หากคุณอ่านหนังสือฉบับแปลไทยหรือต้นฉบับภาษาอาหรับจริง คุณจะพบว่า ผู้แต่งหนังสือ ไม่ต้องการที่จะบอกว่ามัซฮับไม่จำเป็นต้องสังกัดเท่านั้น แต่ผู้แต่งหนังสือยังละเมิดต่อผู้สังกัดมัซฮับสี่ ทำการวิจารณ์มัซฮับทั้งสี่โดยไม่เป็นธรรม ตรงนี้ต่างหากละครับ ที่เราจะพยายามนำเสนอและสร้างความเข้าใจ ผมไม่อยากให้ผู้ที่อ่านหนังสือเล่มดังกล่าวต้องมาอคติและมีฑิธิต่อผู้มีมัซฮับ ทำไมการที่เราไม่มีมัซฮับ ต้องไปกล่าวหาว่าผู้มีมัซฮับด้วย นี่คือผลตามมาที่ได้จากการอ่านหนังสือเล่มดังกล่าว
บังอะสัน
ผมยินดีและสนับสนุนให้มีการนำเสนอข่าวสารสองทางไปพร้อม ๆ กัน แต่ต้องตามกฏระเบียบของกระทู้นี้สักนิดนะครับ คือการนำเสนอหลักการทั้งสองแนวทางนั้น สมควรที่จะดำเนินไปตามประเด็นที่ผมนำเสนอไป เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่ต้องหวั่นเกรงหรอกว่าผมจะไม่สนทนาเรื่องมัซฮับอย่างทุกแง่มุม การวิจารณ์หนังสือนั้น ผมไม่ได้วิจารณ์กันทั้งเล่ม แต่ผมจะหยิบยกวิจารณ์แบบครอบคลุม นำประเด็นที่สำคัญ ๆ อันเป็นจุดต่างและจุดเปลี่ยนของทัศนะผมคุยกันเท่านั้น ส่วนเนื้อหาที่เรามีความเห็นต้องกัน ผมคิดว่าไม่จำเป็นต้องนำมาเสนอ เพราะมันจะเสียเวลาและเปลืองเนื้อที่ อีกทั้งไม่ตรงประเด็นที่เราต้องการเน้นให้ท่านผู้อ่านทำความเข้าใจ
ไม่ใช่ว่า บังอะสันไปค้นหาข้อมูล เซิททางเวปไซท์ ตรงใหนที่น่าสนใจตามทัศนะของบังอะสัน แล้วก็นำมาโพสต์โดยที่ไม่ตรงประเด็นนั้น ๆ ซึ่งผมไม่เห็นด้วยนะครับ เพราะว่ามันไม่มีระเบียบ และบางครั้งอาจจะทำให้บังอะสันเป็นคนที่ขาดระเบียบในเชิงวิชาการหลักศาสนาได้นะครับ
al-azhary อ้างอิงจากบังอะสัน
ความเข้าใจในศาสนา ไม่ใช่หมายถึง ปิดตาให้คนอื่นป้อน คือเขาจะต้องลืมตาให้เห็น ให้รู้ด้วยว่า สิ่งที่อุลามาอฺป้อนนั้น คือ อะไร ศาสนานาทีมาจากอัลลอฮและจากรอซูลของพระองค์หรือเปล่า
وقال ابن عباس في قوله : { اتبعوا ما أنزل إليكم من ربكم } , الكتاب والسنة
และอิบนุอับบาสได้กล่าวในคำตรัสของอัลลอฮที่ว่า ("พวกเจ้าจงปฏิบัติตาม สิ่งที่ถูกประทานให้แก่พวกเจ้า จากพระผู้อภิบาลของพวกเจ้า) หมายถึง อัลกิตาบ และอัสสุนนะฮ" เกาะวาอิดุลอัลอะหกาม ฟี มะศอลิหิลอะนาม เล่ม 1 หน้า 19
เพราะฉะนั้น ผู้เรียนต้องลืมตาดูด้วยว่า สิ่งที่อุลามาอฺป้อน และเขาบริโภคเข้าไปคือ อะไร อัลกุรอ่าน และอัสสุนนะฮ หรือเปล่า หรือ บิดอะฮ
ตอบ
บังอะสันต้องแยกแยะประเด็นและเรื่องให้ถูกต้อง ไม่ใช่อะไรก็ กิตาบุลลอฮ์และซุนนะฮ์ ซึ่งประเด็นนี้เราเห็นตรงกันอยู่แล้ว แต่ตอนนี้เรากำลังพูดเรื่องในเชิง นิติศาสตร์อิสลาม(ฟิกห์อิสลาม) ที่บรรดานักปราชญ์นิติศาสตร์ย่อมมีบทบาทสำคัญในการเข้ามาวินิจฉัยหลังจากที่ท่านนบี(ซ.ล.)ไม่อยู่แล้ว
หากบังอะสันศึกษาประวัตินิติศาสตร์อิสลามตั้งแต่สมัยของซอฮาบะฮ์ลงมาเรื่อย ๆ บังอะสันจะพบว่า ไม่มีนักปราชญ์ท่านใดหรอกที่บอกว่า "ฉันจะตัดสินด้วยอัลกุรอานและซุนนะฮ์เท่านั้น ซึ่งหากไม่มีหุกุ่มจากทั้งสองฉันไม่รู้" บรรดานักปราชญ์ของโลกอิสลามตั้งแต่ซอฮาบะฮ์ลงมาเรื่อย ๆ จึงถึงตาบิอิตตาบิอีน เราจะพบว่าพวกเขามี ลำดับการอ้างหลักฐาน มีการวินิจฉัยตัวบทต่าง ๆ ของอัลกุรอานและซุนนะฮ์ ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม เพราะมีเหตุการณ์เกิดขึ้นมากมายที่อัลกุรอานและซุนนะฮ์ไม่ได้ระบุไว้อย่างตรงไปตรงมา ดังนั้น บทบาทในการวินิจฉัยตัวบทจึงต้องเข้ามาในนิติศาสตร์อิสลามอย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้น เมื่อแต่ละยุคสะลัฟแห่งนิติศาสตร์อิสลามผ่านเรื่อย ๆ บทสรุปการอ้างอิงบรรดาหลักฐานจากแนวทางของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ ก็คือ อัลกุรอาน ซุนนะฮ์ อิจญฺมาอฺ กิยาส และอื่น ๆ อีกที่มีทัศนะในการใช้หลักฐานที่แตกต่างกัน
และการลำดับหลักฐานมาใช้นั้น ต้องมีเงื่อนไขมากมาย เพื่อความรัดกุมในหลักนิติศาสตร์อิสลาม ไม่ใช่ว่าจะกิยาสแล้ว ใคร ๆ ก็ทำได้ ย่อมไม่ใช่อย่างแน่นอน เพราะการกิยาสนั้นต้องผ่านเงื่อนไขที่นักปราชญ์ได้กำหนดเอาไว้เพื่อให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของชาริอัตอิสลาม ดังนั้น บังอะสันก็สมควรพูดในตรงกับความเป็นจริงตามนัยยะของนิติศาสตร์อิสลามนะครับ อย่าปิดกั้นหลักการที่แท้จริงของนิติศาสตร์ตามทัศนะของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์
sunshine ผู้อ่านอย่างฉัน..รออ่าน แล้วเดี๋ยวฉันจะตัดสินใจของฉันเองว่า ย้ำ...เดี๋ยวจะตัดสินใจเองว่า อะไรดีที่สุดสำหรับฉัน... สิ่งที่เราสรุปอย่างที่เขียนไป มันก็เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในคำวิจารญ์ที่เขียนโดยคนๆนึง ที่มีชื่อในที่นี้ว่า sunshine ซึ่งเป็นคนๆนึง ที่อ่านหนังสือเล่มดังกล่าวเหมือนกัน...ต่างคนต่างเคารพสิทธิของกันและกันเรื่องการวิจารณ์ โอเค้?
al-azhary คุณ sunshine
คุณจะพบว่า ผมได้นำเสนอการวิจารณ์หนังสือดังกล่าวมา 2 ประเด็นแล้ว ซึ่ง 2 ประเด็นนี้ คือ หลักการและหลักฐานของผู้แต่งหนังสือที่จะพยายามบอกว่า "การสังกัดมัซฮับนั้น บิดอะฮ์" คือ 1. มัซฮับมากการวินิจฉัยของนักปราชญ์อิสลามที่อัลเลาะฮ์และร่อซูลไม่ได้กำหนดให้ตาม และ 2. มะลาอิกะฮ์ มุงกัรและนะกีร จะถามในกุบูรว่า ทำไมท่านได้สังกัดอยู่ในแนวความคิดของคนนั้น หรือยึดเอาแนวปฏิบัติของคนนี้!!??
นั่นคือหลักฐานและหลักการของผู้แต่งหนังสือที่เราต้องวิจารณ์ครับ จะให้คนทั่วไปเชื่อว่า มะลาอิกะฮ์จะถามคนตายในกุบูรเกี่ยวกับ การตามมัซฮับนั้น ไม่มีในอิสลามและเป็นการบัญญัติหลักการขึ้นมาเอง แบบนี้คุณ sunshine ต้องการให้ผู้อ่านทั่ว ๆ ไปที่อ่านหนังสือเล่มนี้เชื่ออย่างนี้หรือครับ?? ทั้งที่ไม่อัลกุรอานและซุนนะฮ์ อิจญมาอ์ กิยาส มารับรอง
..... มีต่อครับ
sunshine ...ขอต่ออีกหน่อย...
เรื่องกลัวไม่กลัวคนสรุปไม่เหมือนกันหน่ะ...โฮ๊ะๆ ไม่กลัวค่ะ....เพราะอะไร? ชีวิตหลังความตาย..ต่างคนต่างรับผิดชอบกันเอง....ฉันเข้าใจอย่างนี้...ฉันคิดอย่างนี้...เพราะคิดอย่างนี้..เลยเขียนไป..บอกไป...แนะนำไป...คนฟังเค้าชอบไม่ชอบ ไม่เห็นด้วยในสิ่งที่ฉันคิด...โฮ๊ะๆ นั่นมันเรื่องของเค้า..ไม่คิดจะยัดเยียดความคิดใส่คนอื่นอยู่แล้ว....มันสมองมีด้วยกันทุกคน...คิดกันเองได้...
เอาเป็นว่า ถ้าคนทั้งโลกตัดสินว่าฉันผิด ฉันไม่ได้เรื่อง สรุปไร้สาระ...ฉันไม่แคร์...เพราะ อัลลอฮ์ต่างหากที่จะเป็นคนตัดสิน...ที่สำคัญ..ไอ้นรกที่ว่า...ก็เป็นเรื่องหลังความตาย... เฮอ..(ถอนหายจาย....เฮือกหญ่ายๆ หนึ่งครั้ง)
al-azhary คุณ sunshine ครับ ดีแล้วที่คุณคิดอย่างนั้น แล้วคุณมั่นได้สักแค่ใหนละครับว่า คนที่ชอบอ่านหนังสือเล่มดังกล่าว สามารถแยกแยะอะไรได้ว่า อันนี้ถูกต้อง อันนั้นไม่ถูกต้อง การที่เราได้นำเสนอ ก็เพื่อให้ท่านผู้อ่านหนังสือเล่มดังกล่าวได้ตระหนักถึงข้อเท็จจริง ไม่ใช่ว่าเอาสิ่งที่ไม่ใช่ความจริงบางอย่างจากหนังสือเล่มดังกล่าว มาเข้าใจและคิดในแง่ไม่ดีต่อพี่น้องมุสลิมที่มีมัซฮับ การศึกษาความรู้นั้น โอเคว่าเป็นสิ่งที่ดี แม้จะไปอ่านหนังสือที่มีข้อหลงผิดบางประการ ก็จะถูกอภัยให้ในสิ่งที่เราไม่รู้ ตามทัศนะที่คุณว่ามา แต่หากเอาสิ่งที่ไม่รู้นั้น ไปเข้าและคิดในแง่ไม่ดีต่อบรรดาพี่น้องมุสลิมีนที่มีมัซฮับนั้น อันนี้ผมไม่ขอยืนยันว่าจะได้รับการอภัยให้หรือไม่? เพราะผมไม่รู้นะครับ
หากคุณเป็นผู้หญิงละก็ ไม่สมควรใช้คำว่า "ไอ้" นะครับ
al-azhary ก่อนที่จะสนทนาเข้าประเด็น กระผมอยากที่จะนำเสนอคำนิยามของคำว่า "มัซฮับ" ให้ท่านผู้สนทนาและผู้อ่านทราบก่อนครับ เพื่อจะได้สนทนากันตรงประเด็นและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นในวันหลัง
คำนิยามของ มัซฮับ
"มัซฮับ ตามหลักภาษา เป็นนามที่ชี้ถึงสถานที่ หมายถึง "ที่ไปหรือหนทางไป" และมัซฮับ ตามหลักวิชาการ หมายถึง "ข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับขนบธรรมเนียมในเชิงปฏิบัติของปวงปราชญ์ ที่ถูกนำมาใช้กับฮุกุ่มต่าง ๆ ซึ่งอิมามที่อยู่ในระดับมุจญฺตะฮิดได้วินิจฉัยออกมา หรือหมายถึงฮุกุ่มต่าง ๆ ที่ได้วินิจฉัยออกมาตรงตามกฏเกณฑ์และหลักการต่าง ๆ ของอิมามที่อยู่ในระดับมุจญฺตะฮิด โดยบรรดาสานุศิษย์ที่อยู่ในระดับมุจญฺฮิดได้ปฏิบัติตามกฏเกณฑ์และหลักการต่าง ๆ ของอิมามในการวิเคราะห์ วินิจฉัยฮุกุ่มออกมา"
al-azhary ผู้แต่งหนังสือ(ท่านอัลมะอฺซูมีย์) กล่าวว่า
นี่คือ ศาสนาอิสลาม ที่แท้จริง หลักสำคัญของมัน และพื้นฐานของมันคือ คัมภีร์และแนวทางมันทั้งสอง.......และทุกคนจากพวกเขา ห้ามปรามอย่างนัก ไม่ให้ทำอุตริกรรม(บิดอะฮ์)ในศาสนา และการลอกเลียนแบบผู้ที่ไม่ได้รับการปกป้องจากความผิด(มะศู้ม)และผู้ที่ได้รับการปกป้องจากความผิด(มะซูม)นั้นแท้ที่จริงแล้ว เขาคือทูตของอัลลอฮ์คือรอซู้ล(ซล) ส่วนอื่นจากท่าน เขาจะเป็นใครก็ตาม เขาไม่ได้เป็นผู้ที่ได้รับการปกป้องจากความผิด(มะซูม) " ดู หนังสือ มุสลิมต้องสังกัดมัซฮับหรือไม่? หน้า 9 -10 ฉบับแปลไทย และหน้า 57 - 59 ฉบับภาษาอาหรับ และคำกำกับในวงเล็บมาจากผู้วิจารณ์เอง
วิจารณ์
ตามเป้าหมายของผู้แต่งหนังสือเล่มนี้ ก็คือ รากฐานในการยึดมั่นในอิสลาม คือ การยึดตามอัลกุรอานและซุนนะฮ์ ซึ่งทั้งสองนั้นถูกปกป้องจากความผิด(มะซูม) ส่วนการตามบรรดาอิมามมัซฮับต่าง ๆ เหล่านั้น เป็นการหวนกลับในการตามผู้ที่ถูกปกป้องจากความผิด(มะซูม) ไปสู่การตามผู้ที่ไม่ถูกปกป้องจากความผิด คือบรรดาอิมามมัซฮับต่าง ๆ
เราขอวิจารณ์คำพูดที่แปลกชอบกลนี้ว่า ใครกันหรือ ? ที่ถูกใช้ให้อยู่ในหลักการนี้ และใครกันที่ถูกเรียกร้องให้ไปสู่หลักการดังกล่าว ?? ซึ่งหากพวกเขาเหล่านั้น คือผู้ที่มีศักยภาพพอในการเข้าใจหลักการต่าง ๆ จากอัลกุรอาน ซุนนะฮ์ และการกิยาสจากทั้งสองโดยตรงได้ โดยไม่ต้องมีสื่อกลางของมุฟตีหรือผู้รู้ แน่นอนว่า คำพูดของผู้แต่งหนังสือนั้นมีหลักการที่ถูกต้อง เนื่องจากไม่มีหนทางใดที่ผู้วินิจฉัยได้(มุจญฺตะฮิด) จะไปตามบรรดาคำกล่าวของบรรดาอิมาม โดยที่เขาก็มีความสามารถเข้าใจอัลกุรอานและซุนนะฮ์ได้โดยตรง ซึ่งประเด็นนี้เราไม่ขอพูดถึงเพราะมันไม่ใช่เรื่องที่เรากำลังเสวนาและถกประเด็นกันและไม่มีมุสลิมคนใดคัดค้านในเรื่องนี้
แต่ประเด็นที่เรานำมาเสวนานี้ คือ ประเด็นของคนเอาวามทั่วไปและผู้ที่ไม่มีคุณสมบัติหรือไม่มีเครื่องมือที่เป็นสื่อในการวินิจฉัย วิเคราะห์ หรือมีความเข้าใจอย่างถ่องแท้ ด้วยบรรดาหลักฐานต่าง ๆ และบรรดาสิ่งที่สามารถเข้าใจได้จากมัน
ดังนั้น คำว่า หลักการที่ มะซูม ที่ถูกปกป้องจากความผิดในคำตรัสของอัลเลาะฮ์(อัลกุรอาน) นั้นก็คือ ความถูกต้องของฮุกุ่มที่อัลเลาะฮ์ทรงประสงค์จากคำตรัสของพระองค์ และหลักการที่มะซูม ถูกปกป้องจากความผิดในซุนนะฮ์นั้น ก็คือความถูกต้องของฮุกุ่มตามที่ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ต้องการและเป็นเป้าหมายจากคำพูดของท่าน แต่สำหรับความเข้าใจของมนุษย์ที่มาจากอัลกุรอานและซุนนะฮ์นั้น ย่อมไม่มะซูม ไม่ว่าเขาจะเป็นนักปราชญ์มุจญฺฮิด ผู้รู้ระดับธรรมดา หรือคนไม่รู้หลักศาสนาก็ย่อมเท่าเทียมกัน
แต่หากความเข้าใจจากอัลกุรอานและซุนนะฮ์จะมะซูมได้นั้น ก็ต้องเป็นตัวบทจากอัลกุรอานและซุนนะฮ์ที่มีข้อบ่งชี้ชัดอย่างแน่นอนและเด็ดขาดและได้รับการยืนยันว่าซอฮิหฺในระดับขึ้นมุตะวาติร และผู้ที่วินิจฉัยนั้น ต้องเป็นคนที่เข้าใจภาษาอาหรับอย่างถ่องแท้และลึกซึ้ง ดังนั้น ความเข้าใจที่ถูกปกป้องจากความผิดพลาด ต้องมาจากข้อบ่งชี้ชัดอย่างแน่นอนและเด็ดขาด
เมื่อสื่อในการได้รับฮุกุ่มจากอัลกุรอานและซุนนะฮ์นั้น คือ การวินิจฉัยและความเข้าใจ ดังนั้น ความเข้าใจอันนี้ จึงเป็นความเพียรพยายามที่ไม่สามารถถึงขั้นระดับมะซูมได้เลย นอกจากรูปแบบที่เราได้ฉายให้เห็นแล้วข้างต้น เมื่อเป็นเช่นนี้ แล้วอะไรคือข้อแตกต่างระหว่างความพยายามของคนเอาวามทั่วไปและนักมุจญฺฮิดที่จะทำความเข้าใจในตัวบท นอกจากเสียว่า ความพยายามในการเข้าใจของคนเอาวามทั่วไปนั้น ย่อมห่างไกลความถูกต้อง(มะซูม)มากกว่านักปราชญ์มุจญฺฮิดอย่างไม่ต้องสงสัย !!??
แล้วอะไรคือเป้าหมายในการเรียกร้องเชิญชวนให้คนเอาวามทั่วไปในการให้ละทิ้งการตามมัซฮับ โดยอ้างว่าอัลกุรอานนั้นมะซูมและอิมามที่ถูกตามนั้นไม่มะซูม !!?? ตั้งแต่อดีตกาลมาแล้ว ที่มนุษย์นั้นถูกแบ่งออกเป็น คนเอาวามทั่วไปและผู้ทรงความรู้ หรือคนมุก๊อลลิดและนักมุจญฺฮิด ดังนั้น ถ้าหากคนอาวามทั่วไปและคนไม่มีความรู้ถูกเปิดโอกาสให้เข้ามามีบทบาทในความเข้าใจตัวบทของอัลกุรอานที่ปราศจากความผิดและอ้างว่ามันคือความเข้าใจที่อัลเลาะฮ์ทรงประสงค์เอาไว้ แบบนี้อิสลามคงยุ่งเหยิงเป็นแน่ !!??
ยังมีต่อ....
วิจารณ์หนังสือ"มุสลิมต้องสังกัดมัซฮับหรือไม่? By: al-azhary Date: มี.ค. 20, 2007, 07:55 AM
al-azhary ดูเหมือนผู้แต่งหนังสือสร้างความเข้าใจว่า ข้อวินิจฉัยของมัซฮับของอิมามทั้งสี่เหล่านั้น ได้เอาจากสิ่งที่เป็นเอกเทศน์ซึ่งไม่ได้เอามาจากอัลกุรอานและซุนนะฮ์ คือมัซฮับเหล่านั้น เหมือนกับว่าเป็นมัซฮับที่แยกตัวออกจากแนวทางของท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม และเหมือนกับว่ามัซฮับต่าง ๆ เหล่านั้น เกิดขึ้นมาเพื่อแข่งขัน ชิงดีชิงเด่นต่อแนวทางของท่านร่อซูลุเลาะฮ์
ดังนั้น จึงดูเหมือนว่า ผู้แต่งหนังสือเองพยายามผินความสนใจของผู้ที่เข้าใจผิดไปยังมัซฮับหนึ่งหรือแนวทางหนึ่งที่เขาต้องการ โดยอ้างหลักการที่ว่า บรรดามัซฮับทั้งสี่นั้นไม่มะซูม แต่มัซฮับของท่านนบีมุฮัมมัด ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม นั้นมะอฺซูม แล้วเราจะเปลี่ยนจากมัซฮับที่มะซูมในสู่แนวทางที่มะอฺซูมได้อย่างไร??
ดังนั้น ท่านผู้อ่านผู้มีความชาญฉลาดครับ โปรดพิจารณาคำวิจารณ์หลังสุดนี้ว่าจะมีความเข้าใจในแง่อื่นอีกหรือเปล่า? ซึ่งเราคิดว่าคงไม่สรรหาไม่เจออีกแล้วนอกจากความเข้าใจอย่างนี้ตามที่เราได้ฉายภาพให้เห็น
ยังมีต่อ.....
786 ก่อนหน้านี้ในเน็ตก็จะมีข้อมูลจากกลุ่มเดียว ก่อนนี้ผมสับสนเมื่อเจอหลักฐานที่มีการนำเสนอในเน็ต ยอมรับว่าตอนเด็กๆเรียนคุรุสัมพันธ์เราไม่ได้เห็นหลักฐานเท่าไหร่
พอมาเจอในเน็ตก็เริ่มคล่อยตามซึ้งก็ไม่น่าจะเสียหายอะไร แต่ตอนมีคนพยายามนำเสนอหลักฐานต่างๆ เหมือนกับที่เคยเรียนมาตอนเด็กๆ ก็คิดว่าน่าจะดีนะครับ
ไม่น่าจะมีข้อมูลฝ่ายเดียวเหมือนเมื่อก่อน ให้คนได้รู้มากขึ้นแล้วเขาจะได้ตัดสินใจเอง
al-azhary ผู้แต่งหนังสือกล่าวว่า
จงรู้ไว้เถิดว่า แนวความคิด(มัสหับ)ที่แจริงแล้ว ที่จำเป็นจักต้องมีการมุ่งไปสู่ และดำเนินตามนั้น แท้จริงแล้วมันคือแนวคิดของนายของเรามูฮำมัดทูตของอัลลอฮ์ (ซล) และท่านเป็นผู้นำ(อิม่าม)ที่ยิ่งใหญ่ ที่จำเป็นต้องดำเนินตาม หลังจากนั้นคือแนวความคิดของผู้ทำหน้าที่แทน(เคาะลีฟะ)ของท่านที่อยู่ในร่องรอย ขออัลลอฮ์ตะอาลาได้ทรงพอใจพวกเขาด้วยเถิด และไม่มีคนหนึ่งคนใดถูกใช้ให้ดำเนินรอยตามท่านโดยเฉพาะ นอกจากมูฮำมัด ทูตของอัลลอฮ์(ซล)เท่านั้น " ดู หนังสือ มุสลิมต้องสังกัดมัซฮับหรือไม่? หน้า 18 ฉบับแปลไทย และหน้า 69 ฉบับภาษาอาหรับ
วิจารณ์
หากเราพิจารณาจากคำกล่าวของผู้แต่งหนังสือนี้ เราจะพบว่า ผู้แต่งหนังสือได้บอกไว้ชัดเจนโดยพยายามฉายภาพให้เราเห็นว่า มีบรรดามัซฮับมากมายที่เกิดขึ้นมาตามที่หน้าประวัติศาสตร์ได้ระบุเอาไว้ หนึ่งนั้นก็คือ มัซฮับทั้ง 4 ที่มีความพยายามในการเผยแพร่และเรียกร้องให้มนุษย์ไปสู่แนวทางของตน และท่ามกลางมัซฮับเหล่านั้นที่อยู่บนสัจจะธรรม ก็คือ มัซฮับท่านนบีมุฮัมมัด (ซ.ล.) และมัซฮับอื่นนั้นไม่อยู่บนสัจจะธรรม
ท่านผู้อ่านครับ แม้ว่าบางท่านอาจจะไม่ทราบถึงประวัติความเป็นมาของนิติศาสตร์อิสลามก็ตาม แต่ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นจริงนั้นคงไม่เลือนหายไปจากท่าน จนกระทั้งทำให้ท่านมีความเข้าใจไปแบบนั้นที่มีต่อมัซฮับทั้ง 4
แล้วอะไรคือข้อแตกต่างระหว่างมัซฮับทั้งสี่กับมัซฮับท่านซัยด์ บิน ษาบิต มัซฮับท่านมุอาษ บิน ญะบัล มัซฮับท่านอับดุลลอฮ์ อิบนุ อับบาส ในการเข้าใจหลักการต่าง ๆ ของอิสลาม และอะไรคือข้อแตกต่างระหว่างมัซฮับทั้ง 4 กับบรรดาผู้มีมัซฮับ ( مذهب الرأى) ที่มีเอกลักษณ์ในด้านการวินิจฉัยออกความเห็นที่อยู่ในอิรัก และบรรดาผู้มัซฮับ (مذهب الحديث) ที่มีรับหะดิษมาได้มากกว่าที่อยู่แถบฮิญาซฺ(มักกะฮ์ มะดีนะฮ์ เป็นต้น) โดยที่ทั้งสองมัซฮับนี้ ก็มีแกนนำของบรรดาซอฮาบะฮ์และตาบิอีนที่มีคุณธรรม ซึ่งพวกเขาเหล่านั้น ก็มีบรรดามุสลิมีนทั้งหลายตักลีดเจริญรอยตาม และมัซฮับทั้ง 4 เหล่านั้นก็มีบรรดดามุสลิมีนตักลีดเจริญรอยตาม
หรือผู้แต่งหนังสืออาจจะกล่าวว่า มัซฮับนั้นมีเป็นสิบ ๆ มัซฮับ ไม่ใช่เพียงแค่มัซฮับทั้ง 4 เท่านั้น ที่ทั้งหมดต่างเกิดขึ้นมาเพื่อคัดค้านและแข่งขันกับมัซฮับของท่านนบีมุฮัมมัด ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม หรือบางทีผู้แต่งหนังสืออาจจะกล่าวได้ว่า บรรดามัซฮับที่ไม่ได้อยู่บนหลักการของศาสนาที่มาแข่งขันกับมัซฮับท่านนบีมุฮัมมัด ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม นั้น คือมัซฮับทั้ง 4 เท่านั้น ส่วนบรรดามัซฮับอื่นที่อยู่ก่อนจากมัซฮับทั้ง 4 คือมัซฮับที่ดีถูกต้องที่อยู่เคียงข้างกับมัซฮับของท่านนบีมุฮัมมัด ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม
ดังนั้น เราจึงไม่ทราบว่า ท่านผู้แต่งหนังสือและผู้ที่เห็นด้วยกับท่าน จะเลือกคำกล่าวอันใหน? แต่เรารู้ว่า สองคำกล่าวนี้เป็นสิ่งที่ขมขื่น และที่ดีสุดจากสองคำตอบนี้ คือความไม่ชอบธรรมต่อมัซฮับทั้งหลาย
เป็นที่ทราบดีว่า การตามมัซฮับเกิดขึ้นมานั้น เพราะมีคนเอาวามทั่วไป ที่ไม่สามารถวินิจฉัยหุกุ่มได้...
ยังมีต่อ....
al-azhary ท่านอัลอามิดีย์ ได้กล่าวไว้ในหนังสือ อัลเอี๊ยะหฺกาม ฟี อุซูลิลอะหฺกาม ว่า
وأما الإجماع فهو أنه لم تزل العامة فى زمن الصحابة والتابعين قبل حدوث المخالفين يستفتون المجتهدين ، ويتبعونهم فى الأحكام الشرعية ، والعلماء منهم يباردون الى إجابة سؤالهم من غير إشارة الى ذكر الدليل ، ولا ينهونهم عن ذلك من غير نكير ، فكان إجماعا على جواز اتباع العامى للمجتهد مطلقا
" สำหรับมติของปวงปราชญ์นั้น คือ บรรดาคนเอาวามทั่วไปยังคงมีอยู่ในสมัยของซอฮาบะฮ์และตาบิอีน ก่อนที่จะมีผู้มีความเห็นแตกต่างเกิดขึ้น(ในเรื่องอิจญฺมาอ์) บรรดาคนเอาวามทั่วไปก็จะไปขอคำฟัตวากับบรรดานักปราชญ์มัจญฺฮิด และบรรดาคนเอาวามก็ตามนักปราชญ์มุจญฺฮิดเกี่ยวกับหลักการของศาสนา และบรรดานักปราชญ์จากพวกเขา(คือซอฮาบะฮ์และตาบิอีน) ก็ทำการตอบคำถามคนเอาวามโดยไม่ได้บ่งถึงการกล่าวหลักฐาน และพวกเขา(บรรดาซอฮาบะฮ์และตาบิอีน)ก็ไม่ด้ห้ามคนเอาวามจากสิ่งดังกล่าวเลย อีกทั้งไม่มีการตำหนิ ดังนั้น จึงเป็นมติเอกฉันท์ว่า อนุญาติให้คนเอาวามทั่วไปตามนักปราชญ์มุจญฺฮิดได้" ดู เล่ม 3 หน้า 171
บรรดานักปราชญ์ที่ทำการวินิจฉัยออกฟัตวา ในสมัยของซอฮาบะฮ์นั้น อยู่ในลักษณะเป็นรายบุคคลที่ถูกจำกัดเอาไว้ ซึ่งพวกเขาเป็นผู้ที่มีความรอบรู้ในเรื่องนิติศาสตร์(ฟิกห์) รอบรู้ถึงสายรายงานหะดิษ และมีคุณสมบัติในการวินิจฉัยได้ และบรรดาบุคคลที่เลื่องลือเหล่านั้น ก็คือ คอลิฟะฮ์ทั้ง 4 ท่านอับดุลลอฮ์ อิบนุ มัสอูด ท่านอบูมูซา อัลอัชอะรีย์ ท่านมุอาซฺ บิน ญะบัล ท่านอุบัย บิน กะอับ ท่านซัยด์ บิน ษาบิต ส่วนบรรดาผู้คนที่ทำการตักลีดตามมัซฮับและฟัตวาของพวกเขาเหล่านั้น มีมากมายไม่สามารถนับได้
ท่านอิบนุ ก๊อยยิม กล่าวได้ไว้ในหนังสือ เอี๊ยะลาม อัลมุวั๊กกิอีน ว่า
والدين والفقه والعلم انتشر فى الأمة عن أصحاب ابن مسعود وأصحاب زيد بن ثابت وأصحاب عبد الله بن عمر وأصحاب عبد الله بن عباس ، فعلم الناس عامة عن أصحاب هؤلاء الأربعة ، فأما أهل المدينة فعلمهم عن أصحاب زيد بن ثابت وعبد الله بن عمر ، وأما أهل مكة فعلمهم عن أصحاب ابن عباس ، وأما اهل العراق عن أصحاب عبد الله ابن مسعود
"เรื่องศาสนา นิติศาสตร์อิสลาม และวิชาการกนั้น ได้แพร่หลายในประชาชาติอิสลาม จากหนทางสานุศิษย์ ของท่านอิบนุ มัสอูด สานุศิษย์ของท่าน ซัยด์ บิน ษาบิต สานุศิษย์ของท่าน อับดุลลอฮ์ บิน อุมัร และสานุศิษย์ของท่าน อับดุลลอฮ์ อิบนุ อับบาส ดังนั้น ความรู้ของคนเอาวามทั่วไปนั้น ได้จากบรรดาสานุศิษย์ของซอฮาบะฮ์ทั้งสี่ท่านนี้ ฉะนั้น สำหรับชาวนครมะดีนะฮ์ ความรู้ของพวกเขาได้รับจากสานุศิษย์ของท่านซัยด์ บิน ษาบิต และสานุศิษย์ของท่าน อับดุลลอฮ์ บิน อุมัร ส่วนชาวนครมักกะฮ์ ได้รับความรู้จากสานุศิษย์ของท่าน อับดุลลอฮ์ อิบนุ อับบาส และส่วนชาวอิรัก จะได้รับความรู้จากสานุศิษย์ของท่าน อับดุลลอฮ์ อิบนุ มัสอูด" ดู เล่ม 1 หน้า 21
ส่วนในสมัยของตาบิอีน เราจะพบว่าในแวดวงของการวินิจฉัยนั้นเปิดกว้างยิ่งขึ้น บรรดานักปราชญ์สมัยนั้น ก็ดำเนินตามแนวทางของบรรดาซอฮาบะฮ์ของท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม แต่ว่าการอิจญฺฮาดในสมัยตาบิอีนนี้ ได้มีมัซฮับที่เป็นแกนนำเกิดขึ้น 2 มัซฮับด้วยกัน คือ
1. มัซฮับ ( مذهب الرأى) ที่มีเอกลักษณ์ในด้านการวินิจฉัยออกความเห็นที่อยู่ในอิรัก
2. มัซฮับ (مذهب الحديث) ที่มีการรับหะดิษมาได้มากกว่าที่อยู่แถบฮิญาซฺ(มักกะฮ์ มะดีนะฮ์ เป็นต้น)
ดังนั้น 2 มัซฮับที่เกิดขึ้นมานี้ ก็ด้วยสาเหตุของปัจจัยต่าง ๆ ในการวินิจฉัย เช่นที่อิรักได้รับหะดิษน้อยกว่าที่ฮิญาซฺ และมีกลุ่มบิดอะฮ์และกุหะดิษขึ้นมากมาย จึงต้องมีความเข้มงวดในการรับหะดิษและพยายามทุ่มเทวินิจฉัยตัวบทที่ได้รับมาแล้วดึงหลักการและเหตุผล(อิลละฮ์)ต่าง ๆ ที่ได้รับจากหะดิษนั้น ๆ และนำมากิยาสเปรียบเทียบกับหลักการของหะดิษต่าง ๆ ที่ได้ถูกวินิจฉัยไว้ในกรณีที่ปัญหาหนึ่งหรือเหตุการณ์หนึ่งได้เกิดขึ้นโดยไม่มีตัวบทมาระบุอย่างชัดเจน เป็นต้น
แกนนำของมัซฮับ ( مذهب الرأى) ที่มีเอกลักษณ์ในด้านการวินิจฉัยออกความเห็นที่อยู่ในอิรัก คือ ท่านอัลเกาะมะฮ์ บิน ก๊อยซฺ อันนะค่าอีย์ ท่านมุสรูก บิน อัลอัจญฺดะอฺ อัลฮัมดานีย์ ท่านอิบรอฮีม บิน ซัยด์ อันนะค่าอีย์ ท่านสะอีด บิน ญุบัยร์ และบรรดาคนเอาวามทั่วไปที่อยู่ในอิรักและที่อยู่ใกล้เคียงนั้น ต่างก็ตักลีดตามมัซฮับนี้โดยไม่มีผู้ใดมาตำหนิแต่ประการใด
แกนนำของมัซฮับ (مذهب الحديث) ที่มีการรับหะดิษมาได้มากกว่าที่อยู่แถบฮิญาซฺ(มักกะฮ์ มะดีนะฮ์ เป็นต้น) คือ ท่านสะอีด บิน มุซัยยิบ อัลมัคซูมีย์ ท่านอุรวะฮ์ บิน ซุบัยร์ ท่านซาลิม บุตร ท่านอับดุลเลาะฮ์ อิบนุ อุมัร ท่านสุไลมาน บิน ยะซาร ท่านนาฟิอ์ ทาศของท่านอับดุลลอฮ์ บิน อุมัร และบรรดาคนเอาวามทั่วไปในแถบฮิญาซฺและที่อยู่ใกล้เคียงต่างก็ตักลีดตามมัซฮับนี้โดยไม่มีผู้ใดมาตำหนิแต่ประการใด
สิ่งที่ผมได้นำเสนอมานี้ เราจะสามารถกล่าวได้อีกว่า "มัซฮับได้เกิดขึ้นมาตั้งแต่สมัยของสะละฟุศศอลิหฺ จากซอฮาบะฮ์และตาบิอีนแล้ว" อัลหัมดุลิลลาห์ วันนี้ขอตัวก่อนครับ แล้วค่อยมาเสวนากันไหม่ครับ
والسلام
الأزهرى الشافعى
วิจารณ์หนังสือ"มุสลิมต้องสังกัดมัซฮับหรือไม่? By: al-azhary Date: มี.ค. 20, 2007, 07:59 AM
asan al-azhary กล่าวว่า
สิ่งที่ผมได้นำเสนอมานี้ เราจะสามารถกล่าวได้อีกว่า "มัซฮับได้เกิดขึ้นมาตั้งแต่สมัยของสะละฟุศศอลิหฺ จากซอฮาบะฮ์และตาบิอีนแล้ว" อัลหัมดุลิลลาห์ วันนี้ขอตัวก่อนครับ แล้วค่อยมาเสวนากันไหม่ครับ
..........
ตอบ
แล้วมัซฮับดังกล่าวตอนนี้ ไปอยู่ที่ใหนหรือครับ มัซฮับเคาะลิฟะฮอัรรอชิดีนอยู่ใหน ทำไม่ต้องมาสังกัดมัซฮับทั้งสี่
ช่วยเฉลยให้ทราบหน่อยได้ไหม ท่านมุหัมหมัด สุลฏอนอัลมะอ๋ศูมีย์ ไม่ได้ปฏิเสธเรื่อง ทัศนะหรือมัซฮับ แต่ที่ท่านเขียน เพื่อต้องการสื่อให้เห็นว่า ไม่จำเป็นจะต้องไปยึดติดกับมัซฮับหนึ่งมัซฮับใด โดยเฉพาะ แบบแบ่งคนละแนวทาง
เช่น ฉันชาฟิอี ฉันหะนะฟี ฉันสังกัดหัมบะลีย์ จนถึงกับละหมาดตามกันไม่ได้ ระดับผู้อย่างน้องบ่าวอัลอัซฮารีย บอกว่าไม่วายิบสังกัดมัซฮับ ลองไปถามชาวบ้านที่สังกัดมัซฮับดู 90 เปอร์เซ็น ต้องบอกเป็นเสียงเดียวว่า "วาญิบ" ลองไปสำรวจดู อ้างว่าสังกัดมัซฮับชาฟิอี แม้แต่ชื่อบางคนยังไม่รู้จักเลยว่าอิหม่ามชาฟิอีมีชื่อจริงว่าอย่างไร แต่ทุกอย่างที่ทำ ก็อ้างมัซฮับชาฟิอีหมด นี้คือความเป็นจริง คือ คนอาวามมีอะกีดะฮว่า วาญิบต้องสังกัดมัซฮับ" ไม่เชื่อลองทำแบบสำรวจดู
أساس دين الاسلام إنما هو العمل بكتاب الله وسنة رسوله صلى الله عليه وسلم ، هذا هو دين الاسلام ، وأصله وأساسه الكتاب والسنة ، فهما المرجع كل ما تنازع فيه المسلمون ، ومن رد التنازع الى غيرهما فهو غير مؤمن !! كما قال الله تعالى : ( فلا وربك لايؤمنون حتى يحكموك فيما شجر بينهم ثم لايجدوا في أنفسهم حرجا مما قضيت ويسلموا تسليما )
ولم يقل أحد من الأئمة اتبعوني فيما ذهبت اليه ، بل قالوا خذوا من حيث أخذنا
รากฐานของศาสนาอิสลาม คือ การปฏิบัติตามคัมภีร์ของอัลลอฮ และสุนนะฮของรอซูลของพระองค์ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เท่านั้น นี่คือ ศาสนาอิสลาม ที่มาและรากฐานของมันคือ อัลกิตาบและอัสสุนนะฮ แล้วทั้งสองประการนี้คือ ที่บรรดามุสลิมนำทุกประเด็นขัดแย้งกลับไป(ตัดสิน) , และผู้ใดนำปัญหาขัดแย้งไปยังอื่นจากทั้งสองนั้น เขาก็ไม่ใช่ผู้ศรัทธา ดังที่อัลลอฮ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาตรัสว่า
فَلاَ وَرَبِّكَ لاَ يُؤْمِنُونَ حَتَّىَ يُحَكِّمُوكَ فِيمَا شَجَرَ بَيْنَهُمْ ثُمَّ لاَ يَجِدُواْ فِي أَنفُسِهِمْ حَرَجاً مِّمَّا قَضَيْتَ وَيُسَلِّمُواْ تَسْلِيماً
[4.65] มิใช่เช่นนั้นดอก ข้าขอสาบานด้วยพระเจ้าของเจ้าว่า เขาเหล่านั้นจะยังไม่ศรัทธาจนกว่าพวกเขาจะให้เจ้าตัดสินในสิ่งที่ขัดแย้งกันระหว่างพวกเขาแล้วพวกเขาไม่พบความ คับใจใด ๆ ในจิตใจของพวกเขาจากสิ่งที่เจ้าได้ตัดสินใจ และพวกเขายอมจำนนด้วยดี ,
......
ไม่มีบรรดาอิหม่ามท่านใด กล่าวว่า "จงปฏิบัติตามฉัน ในสิ่งที่ฉันได้แสดงทัศนะเอาไว้ แต่ตรงกันข้าม พวกเขากลับกล่าวว่า "จงเเอา ตามที่เราได้เอามา
จากหนังสือ هل المسلم ملزم بإتباع مذهب معين من المذاهب الأربعة
MUSTAKEEM อ่านข้อเขียนของ al-azharyแล้วคล้ายๆกับ หนังสือของเชคอับดุลกอเดร์ อัลมันดีลี ในเรื่องการสังกัดมัซฮับ ที่ท่านเขียนโต้ตอบ อูลามะของอินโดนีเซียชื่อ ฮัซซันอัล บันดง นะครับ
asan อิบนิตัยมียะอ( ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)
واتباع شخص لمذهب شخص بعينه لعجزه عن معرفة الشرع من غير جهته إنما هو مما يسوغ له ، ليس هو مما يجب على كل أحد إذا أمكنه معرفة الشرع بغير ذلك الطريق ، بل كل أحد عليه يتقي الله ما استطاع ، ويطلب علم ما أمر الله به ورسوله ، فيفعل المأمور ، ويترك المحظور ، والله أعلم {أهـ.
และการที่บุคคลหนึ่ง ปฏิบัติตามมัซฮับ(ทัศนะ)ของบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ เพราะเขาไม่มีความสามารถ รู้เรื่องศาสนาได้อื่นจากวิธีนั้น แท้จริง มันคือ ส่วนหนึ่งจากสิ่งที่อนุญาตให้แก่เขาเทานั้น มันไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นแก่ทุกคน เมื่อเขาสามารถ รู้ศาสนา ด้วยอื่นจากหนทางดังกล่าวนั้น แต่ทว่า ทุกคน จำเป็นจะต้องยำเกรงต่ออัลลอฮ เท่าที่เขาสามารถ และ เขาจะต้องแสวงหา ความรู้เกี่ยวกับสิ่งที่อัลลอฮและรอซูลของพระองค์ทรงใช้ แล้วปฏิบัติตามสื่งที่ถูกใช้ และละทิ้งสิ่งที่ถูกห้าม - วัลลอฮุอะลัม - อัลฟะตาวา 20/116
..............
เพราะฉะนั้น ทุกคนจะต้องพัฒนาตัวเอง ต้องพยายามแสวงหาสิ่งที่ถูกต้อง ไม่ใช่อ้างแต่ว่า เราคนอาวาม วาญิบต้องตามมัซฮับหนึ่งมัซฮับใดโดยเฉพาะเท่านั้น
al-azhary وعليكم السلام ورحمة الله
อ้างอิงจากคุณMUSTAKEEM
อ่านข้อเขียนของ al-azharyแล้วคล้ายๆกับ หนังสือของเชคอับดุลกอเดร์ อัลมันดีลี ในเรื่องการสังกัดมัซฮับ ที่ท่านเขียนโต้ตอบ อูลามะของอินโดนีเซียชื่อ ฮัซซันอัล บันดง นะครับ
ตอบ
อัลหัมดุลิลาห์ครับ หากสิ่งที่ผมนำเสนอนั้น ตรงกับตำราดังกล่าว แต่ตอนนี้ผมไม่มีหนังสือเล่มนั้นหรอกครับ และตอนที่ผมเรียนอยู่ปอเนาะช่วงใหม่ ๆ ผมก็ได้มีโอกาสอ่านหนังสือเล่มนั้นด้วย แต่อ่านไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่ เนื่องจากตอนนั้นผมยังเด็กอยู่ ผมเป็นหลานศิษย์ของ เชคอับดุลกาเดร์ อัลมันดีลี(ร.ฏ.) ครับ เพราะอาจารย์ที่ประสิทธิ์ประสาทวิชาแก่ผมนั้น เป็นศิษย์ของเชคอับดุลกอเดร์ อัลหัมดุลิลลาห์ ที่หลานศิษย์อย่างผมได้ตามเจตนารมณ์ของอาจารย์ของอาจารย์ผม
การตอบโต้นี้ มันอาจจะข้อมูลคล้าย ๆ กันก็ไม่แปลกอะไร เพราะเราอยู่แนวทางเดียวกัน และมีหลักการเดียวกันที่อุมมะฮ์อิสลามตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบันได้เข้าใจอย่างนั้น แต่ถ้าผู้ใดมีหนังสือเล่มดังกล่าว แล้วมาอ่านเทียบกับสิ่งที่ผมนำเสนอไปนั้น อาจจะสร้างความเข้าใจเพิ่มขึ้นหลายเท่าเลยทีเดียวครับ อินชาอัลเลาะฮ์
al-azhary ผมต้องขอวิจารณ์และแนะนำวิธีการสนทนาของบังอะสันสักนิดครับ บังอะสันครับ การสนทนาหรือจะหยิบยกอะไรมาอ้างนั้น ต้อง تحرير المسألة แยกแยะประเด็นเสียก่อน ว่าเรากำลังสนในเรื่องอะไร เกี่ยวกับมุสลิมประเภทใด มุก๊อลลิด หรือ มุจญฺฮิด ไม่ใช่ยกอ้างอิงมาเหมือนข้าวยำ สับสนไปหมด บังอะสันต้องแยกแยะประเด็นให้ได้ว่า คนมุก๊อลลิดหรือคนเอาวามชาวนาคนทำสวนตาดำ ๆ นั้น ต้องมีมัซฮับหรือไม่? เมื่อหากเขาไม่มีมัซฮับแล้วจะให้เขาไปพิจารณาอัลกุรอานและซุนนะฮ์อย่างไร? หากพิจารณาไม่ได้เขาจะตามใคร? หากตามอนุญาต(ไม่วายิบ)ให้ตามตลอดไปเลยได้ไหม? ซึ่งถ้าหากบังอะสันสนทนาแยกแยะประเด็นได้อย่างนี้ ผมคิดว่าบังอะสันก็จะเป็นคนที่สนทนาในเชิงวิชาการโดยพัฒนาขึ้นมานิดหน่อยแล้วครับ
อ้างอิงจากบังอะสัน
เช่น ฉันชาฟิอี ฉันหะนะฟี ฉันสังกัดหัมบะลีย์ จนถึงกับละหมาดตามกันไม่ได้ ระดับผู้อย่างน้องบ่าวอัลอัซฮารีย บอกว่าไม่วายิบสังกัดมัซฮับ ลองไปถามชาวบ้านที่สังกัดมัซฮับดู 90 เปอร์เซ็น ต้องบอกเป็นเสียงเดียวว่า "วาญิบ" ลองไปสำรวจดู อ้างว่าสังกัดมัซฮับชาฟิอี แม้แต่ชื่อบางคนยังไม่รู้จักเลยว่าอิหม่ามชาฟิอีมีชื่อจริงว่าอย่างไร แต่ทุกอย่างที่ทำ ก็อ้างมัซฮับชาฟิอีหมด นี้คือความเป็นจริง คือ คนอาวามมีอะกีดะฮว่า วาญิบต้องสังกัดมัซฮับ" ไม่เชื่อลองทำแบบสำรวจดู
ตอบ
ในเมืองไทยบังเคยเจอคนเอาวามที่ถือมัซฮับหะนาฟีย์ และหัมบะลีย์ ด้วยหรือครับ แล้วคนเอาวามเมืองไทยที่ถือมัซฮับหะนะฟีย์และหัมบะลีย์บอกบังอะสันหรือครับว่าละหมาดตามมัซฮับอื่นไม่ได้?? แบบนี้ใส่ร้ายคนเอาวามหรือเปล่าครับ? บังอะสันไปถามสำรวจชาวบ้านมาแล้วกี่คนกี่หลังคาเรือนหรือครับ ถึงการันตีแบบยกเมฆว่า 90 เปอร์เซ็น บอกว่าวายิบต้องสังกัดมัซฮับ ขนาดชื่อจริงของอิมามชาฟิอีย์ คนเอาวามยังไม่ค่อยรู้เลย แต่คนเอาวามจะตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำได้อย่างไรว่า "วายิบต้องสังกัดมัซฮับ" ซึ่งความจริงแล้ว หากเราถามคนเอาวามทั่วไป "วายิบต้องสังกัดมัซฮับหรือไม่? ผมคิดว่าพวกเขา 90 เปอร์เซ็น ต้องตอบว่า "ฉันไม่รู้" นี่คือตอนอันน่าจะเป็นจริงสุดสำหรับคนเอาวาม ไม่ใช่ยกเมฆมาเหมือนกับบังอะสัน คนเอาวามไม่รู้ลึกจนกระทั้งตอบไปว่า "วายิบต้องสังกัดมัซฮับหรอกครับ" มากสุดก็แค่บอกว่า โต๊ะอิมามเขาบอกให้ทำละหมาดอย่างนี้ อิมามบอกให้ออกซะกาตฟิตริเท่านั้นเท่านี้ อิมามบอกว่าหากเสื้อเปื้อนนะยิสนั้น ละหมาดไม่ได้ อิมามบอกว่าหากขี้จิ้งจกตกอยู่บนสะญะดะฮ์นั้น ละหมาดใช้ได้เพราะเราไม่ได้ถูกสัมผัสนะญิส นี่คือของจริงที่ชาวบ้านตาดำ ๆ ได้รับจากผู้รู้
และผมขอยืนยันว่า "คนเอาวามนั้นวายิบต้องมีมัซฮับ" แต่ไม่วายิบต้องสังกัดมัซฮับชาฟิอีย์ตลอดไป แต่อนุญาติให้สังกัดมัซฮับชาฟิอีย์ตลอดไป มัซฮับคนเอาวามนั้น คือมัซฮับของมุฟตี หรือมัซฮับของผู้รู้ที่เขาถ่ายทอดมาบอก แต่ที่แน่ ๆ คนเอาวามวายิบต้องมีมัซฮับ ซึ่งหากไม่มีมัซฮับแล้วจะให้คนเอาวามทำอย่างไร จะไปศึกษาอายะฮ์อัลกุรอานและหะดิษกระนั้นหรือ? อย่าว่าแต่ไปศึกษาเลย บางคนอ่านอัลกุรอานก็ยังไม่ออก ได้แต่อัลฟาติหะฮ์ กุลฮู เพื่อละหมาดได้เซาะฮ์
ดังนั้น หากบังอะสันจะสนทนาให้มีประสิทธิ์ภาพ ก็ต้องแยกแยะประเด็นให้ถูกต้องนะครับ ไม่งั้นบังอะสันก็ยังไม่เป็นคนที่เข้าใจเรื่องนี้อย่างแท้จริง
al-azhary อ้างอิงจากบังอะสัน
แล้วมัซฮับดังกล่าวตอนนี้ ไปอยู่ที่ใหนหรือครับ มัซฮับเคาะลิฟะฮอัรรอชิดีนอยู่ใหน ทำไม่ต้องมาสังกัดมัซฮับทั้งสี่
ช่วยเฉลยให้ทราบหน่อยได้ไหม ท่านมุหัมหมัด สุลฏอนอัลมะอ๋ศูมีย์ ไม่ได้ปฏิเสธเรื่อง ทัศนะหรือมัซฮับ แต่ที่ท่านเขียน เพื่อต้องการสื่อให้เห็นว่า ไม่จำเป็นจะต้องไปยึดติดกับมัซฮับหนึ่งมัซฮับใด โดยเฉพาะ แบบแบ่งคนละแนวทาง
ตอบ
มัซฮับเคาะลิฟะฮ์อัรรอชิดีนอยู่ใหน? ทำไมต้องมาสังกัดมัซฮับทั้งสี่ ? อันนี้ผมจะตอบประเด็นสุดท้าย เพระต้องพิมพ์นานหน่อย แต่ผมขอชี้แจงประเด็นอื่นก่อน
หากจะให้ผมช่วยเฉลยนั้น รอหน่อยได้ไหมครับบังอะสันเพราะผมจะวิจารณ์ไปเรื่อย ๆ ทุก ๆวัน และถ้าหากว่า ท่านมุฮัมมัด สุลฏอน อัลมะอฺซูมีย์ ไม่ได้ปฏิเสธเรื่องทัศนะหรือมัซฮับ จริงแล้ว ผมไม่มานั่งพิมพ์นำเสนอให้เสียเวลาหรอกครับ แต่ท่านอัลมะอฺซูมีย์บอกว่าไม่ยึดติดกับมัซฮับใดนั้นไม่มีปัญหาครับ แต่ท่านอัลมะอฺซูมีย์กลับบอกในหนังสือของเขาว่า การสังกัดมัซฮับเป็นบิดอะฮ์ สกปรกโสมมอยู่ในหนทางของฟิรอูน การสังกัดมัซฮับเป็นความโง่เขลา ซึ่งวันต่อ ๆ ไป ผมจะนำมาเสนอวิจารณ์อย่างเชิงวิชาการครับ อินชาอัลเลาะฮ์
การที่บังอะสันถามอย่างนี้ แสดงว่าบังอะสันไม่มีหนังสือเล่มดังกล่าวใช่ป่ะล่ะ ถ้าหากบังอะสันมีน่ะ บังอะสันจะไม่ถามผมอย่างนี้หรอก บังอะสันจะเงียบกริบไม่กล้าแก้ต่างให้ท่านอัลมะอฺซูมีย์อย่างแน่นอน
al-azhary อ้างอิงจากบังอะสัน
أساس دين الاسلام إنما هو العمل بكتاب الله وسنة رسوله صلى الله عليه وسلم ، هذا هو دين الاسلام ، وأصله وأساسه الكتاب والسنة ، فهما المرجع كل ما تنازع فيه المسلمون ، ومن رد التنازع الى غيرهما فهو غير مؤمن !! كما قال الله تعالى : ( فلا وربك لايؤمنون حتى يحكموك فيما شجر بينهم ثم لايجدوا في أنفسهم حرجا مما قضيت ويسلموا تسليما )
ولم يقل أحد من الأئمة اتبعوني فيما ذهبت اليه ، بل قالوا خذوا من حيث أخذنا
รากฐานของศาสนาอิสลาม คือ การปฏิบัติตามคัมภีร์ของอัลลอฮ และสุนนะฮของรอซูลของพระองค์ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เท่านั้น นี่คือ ศาสนาอิสลาม ที่มาและรากฐานของมันคือ อัลกิตาบและอัสสุนนะฮ แล้วทั้งสองประการนี้คือ ที่บรรดามุสลิมนำทุกประเด็นขัดแย้งกลับไป(ตัดสิน) , และผู้ใดนำปัญหาขัดแย้งไปยังอื่นจากทั้งสองนั้น เขาก็ไม่ใช่ผู้ศรัทธา ดังที่อัลลอฮ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาตรัสว่า
ตอบ
นี่คือคำพูดตอนหนึ่งของท่านอัลมะซูมีย์นี่ครับบังอะสัน ซึ่งผมอธิบายไปแล้ว ลองกลับไปทบทวนดู และผมก็บอกแล้วว่า เรากำลังพูดถึงคนมะก๊อลลิดและคนเอาวามที่ไม่สามารถวินิจฉัยได้
ผมขอถามหน่อยครับว่า หากคนเอาวามมีปัญหาเกิดขึ้น จะให้พวกเขาไปหาใคร? ไปหยิบอัลกุรอานมาเปิดอ่านและทำความเข้าใจกันใช่ไหม? อ่านไม่ออกแล้วทำไงล่ะครับ? จะไปเปิดตำหะดิษใช่ไหมครับ ? เปิดแล้วอ่านไม่ออก หากอ่านออกก็ไม่แปลไม่ได้ไม่เข้าใจ ? แล้วพวกเขาจะกลับไปหาใครครับบังอะสัน ? หรือว่าคนเอาวามพวกนี้ต้องไม่ใช่เป็นผู้ศรัทธาเพราะหวนกลับไปยังอัลกุรอานและซุนนะฮ์ไม่ได้ เลยต้องไปถามผู้รู้??
แล้วอายะฮ์ดังกล่าวที่บังอะสันยกมานั้น มันสำหรับมุจญฺฮิดหรือคนเอาวาม ถ้าหากสำหรับคนมุจญฺฮิดนั้น ผมไม่เถียงนะครับ แต่หากบังอะสันโยนไปให้คนเอาวามด้วยละก็ ผมขอค้านนะครับและถือว่าบังอะสันยังขาดความเข้าใจและยังไม่แยกแยะประเด็นอย่างถูกต้อง
al-azhary อ้างอิงจากบังอะสัน
อิบนิตัยมียะอ( ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)
واتباع شخص لمذهب شخص بعينه لعجزه عن معرفة الشرع من غير جهته إنما هو مما يسوغ له ، ليس هو مما يجب على كل أحد إذا أمكنه معرفة الشرع بغير ذلك الطريق ، بل كل أحد عليه يتقي الله ما استطاع ، ويطلب علم ما أمر الله به ورسوله ، فيفعل المأمور ، ويترك المحظور ، والله أعلم {أهـ.
และการที่บุคคลหนึ่ง ปฏิบัติตามมัซฮับ(ทัศนะ)ของบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ เพราะเขาไม่มีความสามารถ รู้เรื่องศาสนาได้อื่นจากวิธีนั้น แท้จริง มันคือ ส่วนหนึ่งจากสิ่งที่อนุญาตให้แก่เขาเทานั้น มันไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นแก่ทุกคน เมื่อเขาสามารถ รู้ศาสนา ด้วยอื่นจากหนทางดังกล่าวนั้น แต่ทว่า ทุกคน จำเป็นจะต้องยำเกรงต่ออัลลอฮ เท่าที่เขาสามารถ และ เขาจะต้องแสวงหา ความรู้เกี่ยวกับสิ่งที่อัลลอฮและรอซูลของพระองค์ทรงใช้ แล้วปฏิบัติตามสื่งที่ถูกใช้ และละทิ้งสิ่งที่ถูกห้าม - วัลลอฮุอะลัม - อัลฟะตาวา 20/116
..............
เพราะฉะนั้น ทุกคนจะต้องพัฒนาตัวเอง ต้องพยายามแสวงหาสิ่งที่ถูกต้อง ไม่ใช่อ้างแต่ว่า เราคนอาวาม วาญิบต้องตามมัซฮับหนึ่งมัซฮับใดโดยเฉพาะเท่านั้น
ตอบ
บังอะสันอย่าไปใส่ร้ายและยัดเยียดความผิดให้กับคนเอาวาม โดยบังอะสันยกเมฆและผ่าหัวใจพวกเขามาดูแล้วหรือครับ แล้วบังก็มาบอกว่า"คนเอาวามมีอากิดะฮ์ว่าวายิบต้องสังกัดมัซฮับ"?? แล้วคนเอาวามตาดำ ๆ ทำนาทำสวน ทำงานเลี้ยงลูก ฯลฯ ละครับ จะให้พวกเขาพัฒนาอย่างไร? เราใช้และตักเตือนให้พวกเขาละหมาดให้ครบก็ถือว่าบุญแล้ว บังอะสันทำเหมือนกับว่ามีหลักการดีแต่ก็ตรงกับสภาพความจริงหน่อยครับ หากไปถามคนเอาวามว่าวายิบต้องสังกัดมัซฮับหรือไม่? พวกเขาก็จะตอบว่า "ไม่รู้" ไม่ใช่ตอบว่า "วายิบ"
แต่หากว่าคนเอาวามต้องการจะสังกัดมัซฮับชาฟิอีย์ตลอดไป บังอะสันก็อย่าไปยุ่งและวิจารณ์พวกเขา เพราะการสังกัดมัซฮับเดียวเป็นการเฉพาะตลอดไปนั้น เป็นที่อนุญาติ ตามที่ท่านอิบนุตัยมียะฮ์กล่าวยืนยันหลักการไว้แล้วข้างต้นว่า
واتباع شخص لمذهب شخص بعينه لعجزه عن معرفة الشرع من غير جهته إنما هو مما يسوغ له
"และการที่บุคคลหนึ่ง ปฏิบัติตามมัซฮับ(ทัศนะ)ของบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ เพราะเขาไม่มีความสามารถรู้เรื่องศาสนาได้อื่นจากด้านของเขา "
ซึ่งทัศนะของท่านอิบนุตัยมียะฮ์นี้ แตกต่างกับท่านอัลมะอฺซูมีย์ เพราะอัลมะอฺซูมีย์ถือว่า การสังกัดมัซฮับเป็นเฉพาะนั้นหะรอมบิดะฮ์ แล้วผมจะนำเสนอต่อไป อินชาอัลเลาะฮ์
al-azhary เพิ่มเติมคำตกหล่น
แต่หากว่าคนเอาวามต้องการจะสังกัดมัซฮับชาฟิอีย์ตลอดไป บังอะสันก็อย่าไปยุ่งและวิจารณ์พวกเขา เพราะการสังกัดมัซฮับเดียวเป็นการเฉพาะตลอดไปนั้น เป็นที่อนุญาติ ตามที่ท่านอิบนุตัยมียะฮ์กล่าวยืนยันหลักการไว้แล้วข้างต้นว่า
واتباع شخص لمذهب شخص بعينه لعجزه عن معرفة الشرع من غير جهته إنما هو مما يسوغ له
"และการที่บุคคลหนึ่ง ปฏิบัติตามมัซฮับ(ทัศนะ)ของบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ เพราะเขาไม่มีความสามารถรู้เรื่องศาสนาได้อื่นจากด้านของเขา แท้จริงมันย่อมเป็นสิ่งที่อนุญาตสำหรับเขา "
ซึ่งทัศนะของท่านอิบนุตัยมียะฮ์นี้ แตกต่างกับท่านอัลมะอฺซูมีย์ เพราะอัลมะอฺซูมีย์ถือว่า การสังกัดมัซฮับเป็นเฉพาะนั้นหะรอมบิดะฮ์ แล้วผมจะนำเสนอต่อไป อินชาอัลเลาะฮ์
วิจารณ์หนังสือ"มุสลิมต้องสังกัดมัซฮับหรือไม่? By: al-azhary Date: มี.ค. 20, 2007, 08:04 AM
al-azhary อ้างอิงจากบังอะสัน
มัซฮับเคาะลิฟะฮ์อัรรอชิดีนอยู่ใหน? ทำไมต้องมาสังกัดมัซฮับทั้งสี่ ?
ตอบ
มัซฮับเคาะลิฟะฮ์อัรรอชิดีนนั้น ผ่านการวินิจฉัยอยู่ในมัซฮับทั้งสี่แล้ว และเหตุใดจึงต้องจำกัดการตักลีดตามแค่มัซฮับทั้งสี่นั้น คำตอบก็คือ
เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า บรรดานักปราชญ์ที่มีคุณสมบัติในการวินิจฉัย(อิจญฺฮาด) ในประชาชาติอิสลามที่มีสิริมงคลนี้ มีจำนวนมากมายที่คณานับไม่ได้เลยทีเดียว ไม่ว่าจะมาจากบรรดาซอฮาบะฮ์ ตาบิอีน และบรรดานักปราชญ์ยุคหลังจากพวกเขา แต่เพราะเหตุใดเล่าที่การตัดลีดมัซฮับทั้งสี่ถึงยังมีอิทธิพลต่อประชาชาติอิสลามจนถึงปัจจุบันนี้?? ดังนั้น เราขอมอบให้ท่าน อิบนุ รอญับ ทำการตอบคำถามนี้ให้แก่พวกเรา
ท่านอิบนุ รอญับ กล่าวว่า " หากถูกกล่าวว่า เรายอมรับถึงหลักการที่มีการห้ามคนเอาวามทั่วไปเข้ามาทำการวินิจฉัย เนื่องจากดังกล่าว จะนำไปสู่ความเสียหายอันใหญ่หลวง แต่เราไม่ยอมรับกับการห้ามตักลีดตามอิมามมุจญฺฮิดที่อื่นจากบรรดาอิมาม(ทั้งสี่)ผู้โด่งดังเหล่านั้น ? (ท่านอิบนุรอญับ) ตอบว่า " เรามีความตระหนักดีต่อเหตุผลในการห้ามจากสิ่งดังกล่าว(คือการห้ามตักลีดตามผู้อื่นจากอิมามมัซฮับทั้งสี่) กล่าวคือ บรรดามัซฮับอื่น ๆ นั้น ไม่มีความเลื่องลือ และไม่ได้ถูกกำหนดหลักการเอาไว้ เพราะว่าบางครั้งอาจจะมีการแอบอ้างกับสิ่งที่พวกเขาไม่ได้กล่าวแสดงทัศนะมันเอาไว้ หรือทำความเข้าใจไม่ตรงกับตามจุดประสงค์ที่พวกเขาต้องการ และบรรดามัซฮับเหล่านั้น ไม่มีผู้ใดทำการปกป้องและคอยบอกให้ทราบถึงความบกพร่องที่อาจจะเกิดขึ้นกับประเด็นนั้น ๆ ได้ ซึ่งแตกต่างกับมัซฮับทั้งสี่ที่มีความเลื่องลือ" ดู หนังสือ อัรร๊อด อะลา มัน อิตตะบะอะ ฆ๊อร อัลมะซาฮิบ อัลอัรบะอะฮ์ หน้า 33
ดังนั้น สิ่งที่ท่านอิบนุรอญับได้กล่าวไว้ข้างต้น ย่อมมีความชัดเจน เนื่องจากคนหนึ่งจะไม่สามารถรู้ถึงมัซฮับของซอฮาบะฮ์ได้ แม้ว่าจะเป็นประเด็นหลัก ๆ ก็ตาม เช่นการละหมาดที่เป็นรุกุ่นที่ 2 ของอิสลาม ซึ่งบุคคลหนึ่งจะไม่สามารถแยกแยะได้ว่า สิ่งใดเป็นฟัรดู สิ่งใดเป็นสุนัต ตามทัศนะของท่านอบูบักร (ร.ฏ.) ท่านอุมัร ท่านอุษมาน และท่านอลี (ร่อฏิยัลลอฮุอันฮุม) และซอฮาบะฮ์ท่านอื่น ๆ
ด้วยเหตุที่มัซฮับของซอฮาบะฮ์ไม่ได้ถูกบันทึกหลักการเอาไว้ เราจึงพบว่า บรรดานักปราชญ์ระดับอาวุโสได้ห้ามทำการตัดลีดบรรดาซอฮาบะฮ์(ร.ฏ.) ยิ่งไปกว่านั้น บรรดานักปราชญ์ผู้ทรงคุณวุฒิได้มีมติต่อการห้ามตัดลีกซอฮาบะฮ์ที่กล่าวมาแล้วอีกด้วย
ท่านอิมาม อัลหะรอมัยน์ อัลญุวัยนีย์ เกิดปี 417 ฮ.ศ. เสียชีวิต ปี 478 ได้กล่าวไว้ในหนังสือ อัลบุรฮานของท่านว่า "บรรดานักปราชญ์ผู้แน่แฟ้นในความรู้ลงมติเห็นพร้อมว่ากันว่า ไม่อนุญาติให้บรรดาคนเอาวาม ทำการยึดมัซฮับของบรรดาซอฮาบะฮ์(ร.ฏ.) แต่จำเป็นเหนือพวกเขา ต้องดำเนินตามมัซฮับของปวงปราชญ์ ที่ได้ทำการตรวจสอบ สังเคราะห์ จัดวางระเบียบบทต่าง ๆ มีการกล่าวถึงสถานะภาพของประเด็นปัญหาต่าง ๆ (ของฟิกห์) และมีการนำทัศนะทำกล่าวไปเทียบกับมัซฮับของนักปราชญ์ก่อนหน้านั้น และสาเหตุจากการนั้น ก็คือ บรรดาปวงปราชญ์ที่ล่วงผ่านมาแล้วนั้น ถึงแม้ว่าจะเป็นแบบอย่างในศาสนา เป็นแบบฉบับของบรรดามุสลิมีนก็ตาม แต่พวกเขาไม่ได้ทุ่มเทและทิ้งผลงานในการจัดระเบียบแนวทางของการวินิจฉัย แจกแจงถึงวิธีการวิเคราะห์ วิธีโต้แย้ง หรือกำหนดหลักการพูดเอาไว้ และบรรดานักปราชญ์นิติศาสตร์ที่อยู่ช่วงหลังจากสมัยของพวกเขานั้น ก็มีความเพียงพอในการวิเคราะห์ถึงบรรดามัซฮับของซอฮาบะฮ์ ดังนั้น คนเอาวามทั่วไป ถึงถูกใช้ให้ตามมัซฮับของนักปราชญ์ผู้ตรวจสอบและวินิจฉัยได้เท่านั้น"
ท่านอิบนุหะญัร อัลฮัยตะมีย์ ได้กล่าวไว้ในหนังสือ อัลฟะตาวา อัลฟิกฮียะฮ์ อัลก๊อบรอ เล่ม 4 หน้า 340 ว่า "ท่านอิบนุซอลาห์ได้มีความมั่นใจด้วยคำกล่าวเสริมของท่าน อัลหะรอมัยน์ ที่ว่า แท้จริง คนเอาวามทั่วไปจะไม่ตักลีดตามตาบิอีน และผู้ที่เป็นเจ้าของมัซฮับที่ไม่ได้ถูกบันทึกหลักการเอาไว้ แต่เขาสามารถตักลีดตามมัซฮับของนักปราชญ์มุจญฺฮิดที่มีความแพร่หลายและถูกบันทึกหลักการเอาไว้ คือ จนกระทั่งมีหลักการ จำกัดคำ(มุก๊อยยัด)ที่มีความหมายแบบกว้าง ๆ(มุฏลัก) หรือมีการทอนความหาย(ตักซีซ)กับคำที่มีความครอบคลุม(อาม)อยู่ในมัซฮับด้วย ซึ่งแตกต่างกับมัซฮับของตาบิอีน ซึ่งมีเพียงฟัตวาเท่านั้นที่ถูกถ่ายทอดมาจากพวกเขา แต่บางครั้งฟัตวาเหล่านั้น ยังต้องถูกเสริมให้สมบูรณ์ ต้องถูกจำกัดความหรือทอนความหมายให้กับมัน ซึ่งหากมีนักปราชญ์ผู้หนึ่งได้ทำการขยายความ(เกี่ยวกับกรณีดังกล่าว)แล้ว ความแตกต่างของทัศนะก็จะเกิดขึ้น ดังนั้น จึงห้ามการตักลีดตาบิอีน อันเนื่องจากมีอุปสรรคในการทราบถึงข้อเท็จจริงจากมัซฮับของพวกเขา"
และจากคำกล่าวของนักปราชญ์ที่ผ่านมานั้น ย่อมมีความชัดเจนแล้วว่า สาเหตุที่ห้ามการตัดลีดตามมัซฮับอื่นจากมัซฮับทั้งสี่นั้น (เช่นมัซฮับของคอลาฟาอ์อัรรอชิดีน บรรดาซอฮาบะฮ์ และตาบิอีน) เพราะไม่มีหลักการที่ชัดเจนและแน่นอนจากมัซฮับของพวกเขา แต่หากว่าความชัดเจนได้เกิดขึ้น ก็อนุญาติให้ตักลีดตามนักปราชญ์มุจญฮิดจากซอฮาบะฮ์และตาบิอีนได้ แต่กรณีนี้สามารถนำมาปฏิบัติเพียงส่วนตัวเท่านั้น คือจะนำมาฟัตวาหรือตัดสินปัญหาใดปัญหาหนึ่งย่อมไม่ได้ ส่วนผู้ทำการฟัตวาหรือพิพากษา ก็จะต้องไม่ออกจากมัซฮับทั้งสี่ ซึ่งกรณีนี้ย่อมเป็นที่ชัดเจนและถูกยอมรับโดยประชาชาติอิสลามได้ลงมติเห็นพร้องในเชิงปฏิบัติไว้แล้ว เพราะประเทศอิสลามทั้งหมดต่างก็ทำการตัดสินตามมัซฮับทั้งสี่และผู้ดำรงตำแหน่งมุฟตีในประเทศอิสลามนั้น ก็มาจากมัซฮับทั้งสี่
al-azhary ผู้แต่งหนังสือกล่าวว่า
การวิเคราะห์ของดะลาวีย ในสารอัลอินศ้อฟว่า แนวความคิด(มัสหับ) นั้นเป็นอุตริกรรม??!!
"ดังนั้นผู้ใดที่ได้ยึดเอา คำกล่าวของอบูหะนีฟะทั้งหมด คำกล่าวของมาลิกทั้งหมด คำกล่าวของชาฟีอีทั้งหมด คำกล่าวของอะหมัดทั้งหมด หรือคำกล่าวของคนอื่นทั้งหมดมายึดถือ และไม่ได้อาศัยสิ่งที่มาจากคัมภีร์และแนวทาง(ซุนนะ)ก็เท่ากับว่าเขาฝ่าฝืน การเห็นพ้องต้องกันของประชาชาติทั้งหมดหรือเขาไม่ได้ดำเนินตามหนทางของบรรดาผู้ศรัทธา" สรุปจาก หนังสือ มุสลิมต้องสังกัดมัซฮับหรือไม่ ? ฉบับแปลไทย หน้าที่ 20 และฉบับภาษาอาหรับ หน้า 91
วิจารณ์
เราขอกล่าวว่าคำกล่าวนี้ไม่ได้รับการยืนยันจากท่าน อัดดิฮ์ลาวีย์ ในประเด็นของคนมุก๊อดลิดที่ไม่สามารถทำการวินิจได้ ไม่ว่าจะเป็นหนังสืออัลอินซ๊อฟและหนังสืออัลหุจญฺตุลบาลิเฆาะฮ์ของท่าน
แต่ในทางตรงกันข้าม เมื่อเราไปดูหนังสือของอัลอินซ๊อฟ และหนังสืออัลหุจญฺตุลบาลิเฆาะฮ์ ของท่านอัดดิฮ์ลาวีย์ ซึ่งท่านได้กล่าวไว้ว่า
إن هذه المذاهب الأربعة المدونة المحررة قد إجمعت الأمة أو من يعتد به منها على جواز تقليدها إلى يومنا هذا ، وفى ذلك من المصالح مالا يخفى ، لا سيما فى هذه الأيام التى قصرت فيها الهمم جدا وأشربت النفوس الهوى وأعجب كل ذى رأى برأيه
ความว่า " แท้จริง บรรดามัซฮับทั้งสี่ที่ได้ถูกบันทึกหลักการไว้เรียบร้อยแล้ว อุมมะฮฺอิสลามได้ลงมติหรือผู้ที่ถูกนับด้วยกับเขาจากการลงมติได้ มีมติเห็นพร้องว่า อนุญาติให้ทำการตักลีดตามบรรดามัซฮับทั้งสี่ได้ จนกระทั้งถึงวันของเรานี้ และในสิ่งดังกล่าวเป็นการรักษาไว้ซึ่งประโยชน์อย่างชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในบรรดายุคสมัยนี้ ซึ่งบรรดาปฏิธานความุ่งมั่นได้ถดถอยลงไปอย่างมาก และบรรดาจิตใจได้ดื่มด่ำกับอารมณ์ และทุก ๆ ผู้มีความเห็น ต่างก็อวดว่าดีด้วยความเห็นของเขา " ดู หนังสือ อัลอันซอฟ ของอิมามอัดดะฮฺละวีย์ หน้า 53 และหนังสือ อัลหุจญฺตุลบาลิเฆาะฮฺ ของอิมามอัดดะฮฺละวีย์ เล่ม 1 หน้า 123 ตีพิมพ์ที่ อัลค๊อยรียะฮ์
ท่านอัดดะฮฺละวีย์ ซึ่งท่านได้กล่าวต่อจากหน้าที่ 123 จากหนังสือ อัลหุจญฺตุลบาลิเฆาะฮฺ โดยที่ท่านอัดดะฮฺละวีย์ได้กล่าวอย่างชัดจนว่า ไม่ห้ามในการเฉพาะเจาะจงอิมามคนหนึ่งคนใด ท่านวะลียุลเลาะฮฺ อัดดะฮฺละวีย์ กล่าวต่อว่า
وكيف ينكر هذا أحد مع أن الإستفتاء والإفتاء لم يزل بين المسلمين من عهد النبى صلى الله عليه وسلم ، ولافرق بين أن يستفتى هذا دائما ، أو يستفتى هذا حينا وذاك حينا، بعد أن يكون مجمعا على ماذكرنا ، كيف لا ولم نؤمن بفقيه أياً كان أنه أوحى الله إليه الفقه وفرض علينا طاعته وأنه معصوم، فإن إقتدينا بواحد منهم فذالك لعلمنا بأنه عالم بكتاب الله وسنة رسوله ، فلا يخلو قوله إما أن يكون من صريح الكتاب والسنة أو مستنبطاً منهما بنحو من الإستنباط أو عرف بالقرائن أن الحكم فى صورة ما منوطة بعلة كذا وإطمأن قلبه لتلك المعرفة فقاس غير المنصوص على المنصوص ، فكأنه يقول : ظننت أن رسول الله صلى الله عليه وسلم قال : كلما وجدت هذه العلة فالحكم هكذا ، والمقيس مندرج فى هذا العموم ، فهذا أيضاً معزى إلى النبى صلى الله عليه وسلم ولكن فى طريقه ظنون ، ولولا ذلك لما قلد مؤمن مجتهدا .
ความว่า " บุคคลหนึ่ง จะปฏิเสธกับกรณีนี้ได้อย่างไร ? ทั้งที่การถามเพื่อขอฟัตวา หรือการทำการฟัตวา ยังคงมีอยู่ระหว่างบรรดามุสลิมีน ตั้งแต่จากยุคสมัยของท่านนบี(ซ.ล.) โดยที่ไม่มีการแบ่งแยกใด ๆ ระหว่างการขอฟัตวากับ(อิมาม)คนนี้ตลอดไป หรือขอฟัตวากับ(อิมาม)คนนี้ชั่วขณะหนึ่ง หรือ(อิมาม)คนนั้น ชั่วขณะหนึ่งไม่ได้หลังจากที่มันได้เป็นมติแล้วตามสิ่งที่เราได้กล่าวมา ทำไมจะไม่ได้ล่ะ โดยที่เราไม่เคยเชื่อว่าจะมีนักวิชาการฟิกหฺคนใดคนหนึ่งที่อัลเลาะฮฺได้ทรงประทานวะหฺยูกับวิชาฟิกหฺไปยังเขา และพระองค์ทรงกำหนดให้เราภักดีต่อเขา และเชื่อว่าเขานั้นปราศจากความผิด ดังนั้น แท้จริง การที่เราได้เจริญรอยตาม คนหนึ่งคนใดจากพวกเขา โดยที่เป็นแบบนั้น อันเนื่องจากเรารู้ว่า เขาเป็นผู้ที่มีความรู้ในอัลกุรอานและซุนนะฮฺของร่อซูล ดังนั้น คำพูดของเขาไม่พ้นจากการที่ว่า บางทีเขาพูด(วินิจฉัย)มาจากอัลกุรอานและซุนนะฮฺที่ชัดเจน หรือทำการวินิจฉัยจากทั้งสองด้วยวิธีการหนึ่งจากการวิจัยหรือเขารู้บรรดาข้อความแวดล้อมที่บ่งชี้ว่า แท้จริงหุกุ่มที่อยู่ในรูปแบบหนึ่งรูปแบบใดนั้น จะเกี่ยวพันธ์อยู่กับเหตุผลอย่างนั้น อย่างนี้ และหัวใจของเขาก็มีความมั่นคง ให้กับการรับรู้สิ่งดังกล่าว ดังนั้นเขาก็ทำการอนุมาณสิ่งที่ไม่ได้ระบุตัวบทเอาไว้ ไปเทียบเคียงกับสิ่งที่ได้ระบุตัวบทเอาไว้ ซึ่งเหมือนกับเขาได้กล่าวว่า ฉันคาดว่า ร่อซูลได้กล่าวไว้ว่า ทุกครั้งที่มีเหตุผล(ของหุกุ่มนั้น) หุกุ่มของมันก็เช่นนั้นด้วย และสิ่งที่ถูกเทียบเคียงนั้น ย่อมอยู่ภายใต้ความหมายที่ครอบคลุมนี้(คือเมื่อมีเหตุผลเหมือนกัน หุกุ่มก็เป็นเช่นนั้นด้วย เช่นเหล้านั้นเมา และหะรอม นะบีซฺ(เหล้าองุ่น)ก็ทำให้เมา ดังนั้นนะบีซฺก็หะรอมด้วย) ดังนั้น อันนี้ก็เช่นกัน ที่ถูกอ้างอิงไปยังท่านนบี(ซ.ล.)ได้ แต่หนทางของมัน(การอ้างอิงไปหานบี)นั้น เพียงแค่ค่อนข้างถูกต้องเท่านั้นเอง ซึ่งหากไม่มีสิ่งดังกล่าว มุอฺมินคนหนึ่งก็จะไม่ตักลีดตามมุจญฺฮิด " ดู หนังสืออัลหุจญฺตุลบาลิเฆาะฮฺ หน้า 124 - 125
เมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านผู้อ่านโปรดลงพิจารณาคำพูดของท่านอัดดิฮ์ลาวีย์ที่ไปค้านคำกล่าวของผู้แต่งหนังสือที่อ้างว่าท่านอัดดิฮ์ลาวีย์ได้กล่าวตามที่ผู้อ้างอิงไว้ข้างต้นทั้งที่มันไม่เป็นความจริงแต่ประการใด? ดังนั้น เราจึงไม่ทราบว่าแรงผลักดันอันใดที่ทำให้ผู้แต่งหนังสือเล่มถึงอ้างไปยังท่านอัดดิฮ์ลาวีย์อย่างนั้น
asan น้องบ่าว al-azhary ถามว่า
ผมขอถามหน่อยครับว่า หากคนเอาวามมีปัญหาเกิดขึ้น จะให้พวกเขาไปหาใคร? ไปหยิบอัลกุรอานมาเปิดอ่านและทำความเข้าใจกันใช่ไหม? อ่านไม่ออกแล้วทำไงล่ะครับ? จะไปเปิดตำหะดิษใช่ไหมครับ ? เปิดแล้วอ่านไม่ออก หากอ่านออกก็ไม่แปลไม่ได้ไม่เข้าใจ ? แล้วพวกเขาจะกลับไปหาใครครับบังอะสัน ? หรือว่าคนเอาวามพวกนี้ต้องไม่ใช่เป็นผู้ศรัทธาเพราะหวนกลับไปยังอัลกุรอานและซุนนะฮ์ไม่ได้ เลยต้องไปถามผู้รู้??
ตอบ
น้องบ่าวมีความรู้ เป็นปัญญาชน แค่คำถาม เหมือนเด็กอนุบาลถามครู น้องบ่าวครับ คนไม่รู้ มีหน้าที่(วาญิบ)ต้องถาม ผู้มีความรู้ และต้องเป็นผู้ที่มีความรู้จริงด้วย ดังที่อัลกุรอ่าน ระบุว่า
فاسألوا أهل الذكر إن كنتم لاتعلمون
พวกเจ้าจงถามผู้รู้ หากพวกเจ้าไม่รู้ - อัลนะหลิ/43
ألا سألوا إذ لم يعلموا، فإنما شفاء العي السؤال
พวกท่านไม่ถามหรอกหรือ เมื่อพวกท่านไม่รู้ ความจริง ยาของความโง่ คือ การถาม - อบูดาวูด หะดิษหมายเลข 384
رواه أبو داود في باب الطهارة 1: 142 رقم: 336.
...........
เพราะฉะนั้น อิสลามสอนให้แสวงหาความรู้ ไม่ใช่ยอมอยู่ในสภาพโง่ดักดาน ไม่ยอมเรียน ไม่ยอมศีกษาหาความจริง และการแสวงหาความจริง ต้องศึกษาจากผู้รู้จริง และความจริงนั้น ในศาสนานั้น ต้องมาจากอัลลอฮและรอซูล มาดูตัวอย่างคนที่ไม่อยากโง่
وقال أبو العسيف إنّ ابني كان عسيفاً على هذا فزنى بامرأته فافتديت منه بمائة شاه وخادم ثم سألت رجالاً من أهل العلم فأخبروني أن على ابني جلد مائة، وتغريب عام وعلى امرأته هذا الرجم
และอบูอุสัยฟ์ กล่าวว่า ?แท้จริงบุตรชายของข้าพเจ้า ได้ทำการละเมิดต่อชายผู้นี้ แล้วเขา(บุตรชาย)ได้เล่นชู้กับภรรยของเขา แล้วข้าพเจ้าได้ไถ่ตัวเขา ด้วยแพะหนึ่งร้อยตัวและ คนรับใช้หนึ่งคน ต่อมา ข้าพเจ้าได้ถาบบรรดาชายที่มีความรู้ แล้วพวกเขาบอกข้าพเจ้าว่า แท้จริง บุตรขายของข้าพเจ้าจะต้องถูกลงโทษโดยการโบย 100 ครั้งและเนรเทศหนึ่งปี และภรรยาของชายผู้นี้ จะมีโทษโดยการขว้างด้วยก้อนหินจนตาย
البخاري 4: 1672، مسلم 2: 69 باب الاعتراف بالزنى.

..
จากหะดิษข้างต้น จะพบว่า ตอนแรกอบูอุสัยฟ์ ทำไปเพราะความไม่รู้ แต่ต่อมาก็พยายามถามผู้มีความรู้ หลายคน จนได้ข้อเท็จจริง นี้คือ ตัวอย่างของผู้แสวงหาสัจธรรม ไม่ใช่นั่งโง่ดักดาน ยอมอยู่ในสภาพคนอาวาม โดยไม่แสวงหาความจริง และคอยที่จะปิดตาให้คนอื่นมาป้อน ซี่งไม่รู้ว่า สิ่งที่คนมาป้อนให้ มันเป็นอะไร
.....................
ที่นี้มาดูฝ่ายผู้มีความรู้ นั้น ก็ต้องรู้จริง และมีจรรยาบรรในการถ่ายทอดความจริงให้กับผู้ไม่รู้ จะถูกสอนอะกีดะฮให้แก่ผู้ไม่รู้ว่า ศาสนาอิสลาม ต้องมาจากอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ ไม่ใช่การตักลิดมัซฮับ แบบหูหนวกตาบอด ไม่ใช่ปิดตาชาวบ้านโดยสอนว่า คนอาวามต้องตามมัซฮับ
من أفتى بغير علم كان إثم ذلك على الذي أفتاه".
ผู้ใดฟัตวา(ตอบปัญหาศาสนา) โดยไม่มีความรู้ ความผิด(บาป)นั้น จะตกอยู่ที่ผู้ที่ฟัตวามัน ? รายงานโดย อะหมัดและอิบนุมาญะฮ
อัลลอฮ ซุบฮานะฮูวะตาอาสอนไม่ใช่หรือว่า
يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آمَنُواْ أَطِيعُواْ اللّهَ وَأَطِيعُواْ الرَّسُولَ وَأُوْلِي الأَمْرِ مِنكُمْ فَإِن تَنَازَعْتُمْ فِي شَيْءٍ فَرُدُّوهُ إِلَى اللّهِ وَالرَّسُولِ إِن كُنتُمْ تُؤْمِنُونَ بِاللّهِ وَالْيَوْمِ الآخِرِ ذَلِكَ خَيْرٌ وَأَحْسَنُ تَأْوِيلاً
[4.59] ผู้ศรัทธาทั้งหลาย ! จงเชื่อฟังอัลลอฮ์ และเชื่อฟังร่อซู้ลเถิด และผู้ปกครองในหมู่พวกเจ้าด้วย แต่ถ้าพวกเจ้าขัดแย้งกันในสิ่งใด ก็จงนำสิ่งนั่นกลับไปยังอัลลอฮ์ และร่อซู้ล หากพวกเจ้าศรัทธาต่ออัลลอฮ์และวันปรโลก นั่นแหละเป็นสิ่งที่ดียิ่งและเป็นการกลับไป ที่สวยยิ่ง - 4/59
.....................
จะสอนให้ชาวบ้านโง่ หรือสอนให้พวกเขาตาสว่าง ก็พิจารณาเอาเอง
asan إن هذه المذاهب الأربعة المدونة المحررة قد إجمعت الأمة أو من يعتد به منها على جواز تقليدها إلى يومنا هذا
ความว่า " แท้จริง บรรดามัซฮับทั้งสี่ที่ได้ถูกบันทึกหลักการไว้เรียบร้อยแล้ว อุมมะฮฺอิสลามได้ลงมติหรือผู้ที่ถูกนับด้วยกับเขาจากการลงมติได้ มีมติเห็นพร้องว่า อนุญาติให้ทำการตักลีดตามบรรดามัซฮับทั้งสี่ได้ จนกระทั้งถึงวันของเรานี้
...............
ตอบ
ข้างต้น คือ ความเห็นที่ถูกนักมาเป็นหุกุม ศาสนาว่า ด้วยการตักลิดมัซฮับ จึงอยากจะถามว่า ตักลิดแบบใหน
ตามแบบเชื่อตามโดยไม่รู้ข้อเท็จจริง หรือ เจริญรอยตามคำสอนที่ถูกถ่ายทอดมาโดยมีหลักฐานจากอัลลอฮและรอซูล ? ตามแบบไม่มีเงื่อนไข หรือ ตามหลักฐาน? มาดูคำตอบ
قال شيخ الإسلام ابن تيمية:
وإذا نزلت بالمسلم نازلة فإنه يستفتي من اعتقد أنه يفتيه بشرع الله ورسوله من أي مذهب كان، ولا يجب على أحد من المسلمين تقليد شخص معين من العلماء في كل ما يقول، ولا يجب على أحد من المسلمين التزام مذهب شخص معين من العلماء في كل ما يوجبه ويخبر به، بل كل أحد من الناس يؤخذ من قوله ويترك إلا رسول الله صلى الله عليه وسلم، واتباع شخص لمذهب بعينه لعجزه عن معرفة الشرع من غير جهته إنما هو مسوغ له، ليس هو مما يجب على كل أحد إذا أمكنه معرفة الشرع بغير ذلك الطريق، بل كل أحد عليه أن يتقي الله ما استطاع ، ويطلب علم ما أمر الله به ورسوله ، فيفعل المأمور ويترك المحظور. أ.هـ (مجموع الفتاوى 20/208-209).
และเมื่อมุสลิมประสบกับความยุ่งอยากลำบาก(ในกรณีคนอาวามค้นหาหลักฐานเองไม่ได้) ความจริง ให้เขาขอคำฟัตวา กับผู้ที่เขาเขื่อว่า เขาผู้นั้น ฟัตวา ตามบัญญัติของอัลลอฮและรอซูลของพระองค์ จากมัซฮับใหนก็ได้ที่มีอยู่ และไม่วาญิบแก่มุสลิมคนใด ให้ตักลิด(เชื่อตาม)คนหนึ่งคนใดโดยเฉพาะจากบรรดาอุลามาอ ในทุกคำพูดที่เขากล่าว และไม่วาญิบแก่มุสลิมคนใด ยึดติดอยู่กับมัซฮับของบุคคลใดโดยเฉพาะ จากบรรดาอุลามาอ ในทุกสิ่งที่เขาว่าจำเป็น และที่เขาไห้เลือกมัน แต่ทว่า มนุษย์ทุกคน คำพูดของเขาถูกนำเอามาปฏิบัติและถูกะทิ้ง ยกเว้น คำพูดของท่านรซูลุ้ลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม และการที่บุคคลหนึ่ง ปฏิบัติตามมัซฮับ(ทัศนะ)ของบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ เพราะเขาไม่มีความสามารถ รู้เรื่องศาสนาได้อื่นจากวิธีนั้น แท้จริง มันคือ ส่วนหนึ่งจากสิ่งที่อนุญาตให้แก่เขาเทานั้น มันไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นแก่ทุกคน เมื่อเขาสามารถ รู้ศาสนา ด้วยอื่นจากหนทางดังกล่าวนั้น แต่ทว่า ทุกคน จำเป็นจะต้องยำเกรงต่ออัลลอฮ เท่าที่เขาสามารถ และ เขาจะต้องแสวงหา ความรู้เกี่ยวกับสิ่งที่อัลลอฮและรอซูลของพระองค์ทรงใช้ แล้วปฏิบัติตามสื่งที่ถูกใช้ และละทิ้งสิ่งที่ถูกห้าม - วัลลอฮุอะลัม - อัลฟะตาวา 20/308-309
..............
นี้คือ แนวทางการตามมัซฮับ ไม่ใช่สังกัดมัซฮับ
asanท่านอิหม่ามชาฟิอี(ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)กล่าวว่า
: أجمع الناس على أن من استبانت له سنة عن رسول الله صلى الله عليه وسلم لم يكن له أن يدعها لقول أحد من الناس
อิหม่ามชาฟิอีย์ กล่าวว่า "เป็นมติของบรรดามนุษย์(หมายถึงอุลามาอ)ว่า บุคคลใดก็ตามที่สุนนะฮจากท่านรซูลุ้ลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ปรากฏชัดเจนแก่เขา ก็ไม่อนุญาตให้เขาละทิ้งมัน(สุนนะฮ) เพื่อไปเอาคำพูดคนหนึ่งคนใดจากมนุษย์" - อะอลามุลมุวักกิอีน เล่ม 2 หน้า 263
...........
ข้างต้นคือ คำสอนอิหม่ามชาฟิอีย์ ส่วนการสังกัดมัซฮับตามภาษาชาวบ้าน จะถือเอาคำสอนมัซฮับเป็นหลัก หะดิษใดไม่ตรงกับมัซฮับของตน ก็ไม่เอามาปฏิบัติ นี้คือความเป็นจริงในสังคม
MUSTAKEEM ผมขอวิจารณ์ว่าในหนังสือ "มุสลิมต้องสังกัดมัซฮับหรือไม่?"นั้น ท่านผู้เขียนต้องการที่จะสื่อให้รู้ว่าผู้ที่ ตามมัซฮับโดยตาบอดหลับหูหลับตาตาม ทั้งๆที่สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ค้านกับของท่าน รอซูล(ศล)เขาก็ยังจะตามบุคคลผู้เป็นเจ้าของมัซฮับนั้น ไม่ได้จงใจว่าจะเป็นแค่ มัซฮับทั้ง 4 เท่านั้นแต่ก็เป็นทุกๆ ผู้คนที่ได้ฟัตวาซึ่งที่ขัดกับ ฮะดิษ อย่างนี้ ฮะรอม และผู้ที่ตามผู้ฟัตวานั้นได้รู้ถึ่ง ฮะดิษ ซอเฮียะแล้ว เขาก็ยังจะตามผู้ที่ฟัตวานั้น นี่ก็ฮะรอม เพราะทั้ง 4 มัซฮับใหญ่ๆ ก็ได้แน่นเรื่อง ฮะดิษซอเฮียะนั้นคือมัซฮับของพวกเขา แต่ที่เป็นปัญหาก็คือไม่มีฟัตวาจากเจ้าของมัซฮับ แต่ผู้ตามได้โยนไปให้เขาโดยอ้างว่าได้มาจากพวกเขา(4มัซฮับ)และผู้ตามก็ได้ทำการเรียนการสอนจนทุกวันนี้โดยบางที่การเรียนการสอนนั้นในขนะนั้นผู้ที่ทำการสอนยังไม่รู้เลยว่าฮะดิษที่ทำการสอนนั้น อ่อน ปล่อม เพื่อที่จะนำมาปฎิบัติเป็นศาสนะกิจหรือไม่อย่างไร.
เจ้าของ 4 มัซฮับนั้นก็คือโต๊ะครูผู้ที่มีความรู้มากคนหนึ่งและพวกเขาได้พยายามที่จะสอนให้แก่ลูกหลานให้เอาท่าน รอซูล(ศล)เป็นเยี่ยงอย่างและพวกเขาได้ถ่ายทอดความรู้เหล่านั้นมาให้รุ่นเราๆ ได้เข้าใจกัน ก็เหมือนกับบรรดาซอฮาบัต(รฎ)ได้สอนลูกหลานของเขาว่าท่าน ศาสดา(ศล)ได้กระทำอย่างนั้นทำอย่างนี้และให้ทำตามเท่านั้นนะครับ และพวกเขาก็ไม่ได้กล่าวว่าให้ทำตามพวกเลย
Salafy อัสลามมุอะลัยกุม
ถ้ามุสลิมต้องสังกัดมัซฮับ....ใครก้อได้ช่วยบอกหน่อยครับว่า
1.มัซฮับไหนดีที่สุด??? (เลือกมาอันเดียวนะ...อย่าบอกว่าทุกอันดีหมด..เพราะถามไปว่า อันไหน"ดีที่สุด" น่ะครับ)
2.แล้วทำไมถึงเลือกมัซฮับนี้??
...เผื่อว่าบางคนอาจจะได้คำตอบจากการตอบคำถามนี้
วิจารณ์หนังสือ"มุสลิมต้องสังกัดมัซฮับหรือไม่? By: al-azhary Date: มี.ค. 20, 2007, 08:09 AM
al-azhary อ้างอิงจากบังอะสัน
เพราะฉะนั้น อิสลามสอนให้แสวงหาความรู้ ไม่ใช่ยอมอยู่ในสภาพโง่ดักดาน ไม่ยอมเรียน ไม่ยอมศีกษาหาความจริง และการแสวงหาความจริง ต้องศึกษาจากผู้รู้จริง และความจริงนั้น ในศาสนานั้น ต้องมาจากอัลลอฮและรอซูล มาดูตัวอย่างคนที่ไม่อยากโง่
ตอบ
ใจเย็น ๆ ครับบังอะสัน คำว่า "โง่ดักดาน" นั้น ไม่สมควรนำมาพูดนะครับ การศึกษาและแสวงหาความวิชาความรู้ ก็อีกประเด็นหนึ่ง ซึ่งไม่เกี่ยวกับประเด็นของคนมุก๊อลลิด ที่ไม่สามารถวินิจฉัยในเรื่องของศาสนาได้ และผู้ที่ศึกษาชอบอ่านหนังสือ ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะได้เป็นมุจญฺฮิด ดังนั้น บังอะสันสมควรจะตอบให้ตรงประเด็นในกรณีที่เอาวามไม่สามารถวินิจฉัยได้ว่าเป็นอย่างไรตามหลักของศาสนา ไม่ใช่ไปด่าทอประนามคนเอาวาม
จริงอยู่ว่าอิสลามสอนให้แสวงหาความรู้ โดยไม่ให้อยู่ในสภาพที่ดักดาน(ที่บังอะสันใช้สำนวนนี้) แต่บางครั้งบังอะสันน่าจะพูดถึงความเป็นจริงที่อัลเลาะฮ์ทรงวางแบบแผนมาให้กับมนุษย์ ไม่ใช่จะเอาแต่ทฤษฏีที่สวยหรูว่าเราต้องศึกษาหาความรู้ เราคนเรานั้นอัลเลาะฮ์ให้มาต่างกัน เรียนแทบตาย แต่บางครั้งอัลเลาะฮ์ให้ความรู้ไม่มาก บางคนพ่อแม่ส่งเรียนอย่างเต็มที่ แต่ลูกเกเร เรียนรู้ได้แค่พอทำสิ่งที่วายิบประจำวันเท่านั้น บางคนเรียนสามัญจนไม่ค่อยได้ศึกษาหลักการของศาสนา บังอะสันจะใช้หลักการของตนที่ว่า ต้องศึกษาวิชาความรู้ แล้วทุกคนทำได้ไหม? ทุกคนเป็นอย่างนั้นไหม? ผมเห็นคนไปโพสต์ถาม อ.มุรีด และ อ.ริฏอ สะมะดี ที่เวปของเขา แล้วทำไมอาจารย์ทั้งสองนั้น ไปตอบคนที่ถามว่า คุณจงไปศึกษาความรู้ให้มากกว่านี้ซิ จะได้ไม่ต้องมาถาม??
al-azhary แต่อาจารย์ทั้งสอง ตอบคำถาม(ฟัตวาออนไลน์) ซึ่งมากมายเหลือเกินที่คำตอบ(ฟัตวา) ไม่ระบุหลักฐานจากอัลกุรอานและซุนนะฮ์ แล้วทำไมคนถามถึงต้องเชื่อและทำไมถึงไม่ถาม อาจารย์ทั้งสองว่า "ใหนล่ะหลักฐานที่ท่านตอบมา?" หรือว่า หากอาจารย์ทั้งสอง ป้อนข้อมูลให้โดยทางการตอบคำถาม ทั้งที่คนถามก็ไม่รู้ว่าอ้างอิงกันมาจากใหน? แต่บังอะสันก็สนับสนุนให้น้อมรับนำไปใช้!! เพราะอยู่แนวทางเดียวกัน
อ.มุรีด ได้ตอบฟัตวาออนไลน์ว่า
คำถามที่ : 3178
คำถาม : มีเลือดออก จะเสียศีลอดมั้ย
คำตอบ คืออย่างนี้นะครับ การที่เลือดออกตามร่างกายไม่ทำให้เสียศีลอดนะครับ (ยกเว้นเลือดประจำเดือนเท่านั้นที่ทำให้เสียศีลอด) ฉะนั้น การที่มีเลือดไหลออกมาทางทวารหนักของเรานั้น ไม่ทำให้เสียศีลอดเหมือนกัน ดังนั้นคุณมุอัลลัฟสามารถถือศีลอดต่อไปได้เลยนะครับ. والله أعلم
คำถามที่ : 3171
คำถาม การอาบน้ำก่อนเวลาละศีลอด ถือว่าเสียศีลอดหรือเปล่าครับ ขอให้ อ.อธิบายครับ?
คำตอบ ผู้ถือศีลอดจะอาบน้ำก่อนจะละศีลอด หรือผู้ศีลอดจะอาบน้ำช่วงไหนของกลางวันก็ตาม ศาสนาอนุญาตให้กระทำได้ทั้งสิ้น ไม่ทำให้เสียศีลอด และไม่ทำให้ผลบุญการถือศีลอดขาดตกบกพร่องแต่ประการใดนะครับ. والسلام
ชัยค์ ริฏอ ได้ตอบฟัตวาไว้ว่า
1055 คำถาม : ในหนังสือวิธีละหมาดตามบัญญัติอิสลาม บางกอกน้อย หน้า 209 ข้อ 8 หน้าที่ของมะฮฺมูม ไม่ต้องกล่าว "สะมิอัลลอฮุลิมันหะมิดะฮฺ" แต่กล่าวคำรับของอิม่ามที่ว่า "ร็อบบะนา ละกัลฮัมดฺ" ถ้าเรากล่าว "สะมิอัลลอฮุลิมันหะมิดะฮฺ" จะผิดไหม? จะเป็นบิดอะฮฺไหม ท่านนบีปฏิบัติอย่างไรเมื่อท่านเป็นมะอฺมูม ?
คำตอบ
อัสสลามุอะลัยกุม วะเราะหฺมะตุ้ลลอฮฺ วะบะร่อกาตุฮฺ
การกล่าว "สะมิอัลลอฮุลิมันหะมิดะฮฺ" สำหรับมะอฺมูมมีข้อขัดแย้งระหว่างบรรดาอุละมาอฺ แต่ทัศนะที่ถูกต้องมะอฺมูมควรกล่าว "สะมิอัลลอฮุลิมันหะมิดะฮฺ" และ "ร้อบบะนาวะละกัลฮัมดฺ" ด้วย และไม่ถือว่าเป็นบิดอะฮฺแต่อย่างใด และโปรดทราบว่าไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าเมื่อท่านนบีเป็นมะอฺมูมท่านกระทำอย่างไร แต่จะมีหลักฐานเกี่ยวกับการละหมาดทั่วไป ซึ่งจะมีการตีความที่แตกต่างกัน จึงมีทัศนะที่ไม่เหมือนกัน สำหรับผมให้น้ำหนักกับทัศนะที่ให้มะอฺมูมกล่าว "สะมิอัลลอฮุลิมันหะมิดะฮฺ" ด้วย
วัสสลามุอะลัยกุม วะเราะหฺมะตุ้ลลอฮฺ วะบะร่อกาตุฮฺ
ริฎอ อะหมัด สมะดี
13 ต.ค. 48
1054 คำถาม : ชี้หรือกระดิกนิ้ว ท่านนบีทำอย่างไร? และจะชี้เมื่อใด? หยุดชี้ตอนไหน? ตาควรมองที่นิ้วชี้ทางกิบลัตหรือไหม? ทัศนะที่ว่า เมื่อกล่าวตะฮีย้าต ถึง คำว่า "ลาอิลาฮะ อิลลัลลอฮฺ" ควรยกนิ้วหรือกระดิกนิวให้สูงหรือไม่อย่างไร?
คำตอบ
อัสสลามุอะลัยกุม วะเราะหฺมะตุ้ลลอฮฺ วะบะร่อกาตุฮฺ
ให้ชี้นิ้วขณะกล่าวตะฮียาตตั้งแต่ต้นจนจบโดยไม่ต้องกระดิกเลยแม้กระทั่งในช่วงที่กล่าว "อัชฮะดุอันลาอิลาหะอิลลัลลอฮฺ" นั่นคือทัศนะที่ถูกต้อง ซึ่งมีรายงานจากท่านนบีที่มีน้ำหนักมากที่สุด และให้มองไปยังนิ้วชี้ขณะนั่งตะฮียาต นั่นคือสภาพที่ถูกต้อง
วัสสลามุอะลัยกุม วะเราะหฺมะตุ้ลลอฮฺ วะบะร่อกาตุฮฺ
ริฎอ อะหมัด สมะดี
13 ต.ค. 48
ผมอยากถามบังอะสันหน่อยเถอะว่า อ.มุรีด และชัยค์ ริฏอ ทำไมถึงไม่อ้างหลักฐานในการฟัตวาตอบปัญหาที่น้องมุสลิม? แล้วจำเป็นที่คนถามต้องเชื่ออาจารย์ทั้งสองนี้หรือไม่? เพราะไม่มีหลักฐานมายืนยัน และคนที่ถามนี้ถือว่าเป็นคนมุก๊อลลิดหรือไม่? แล้วเวลาคนเอาวามทั่วไป ไปถามโต๊ะครู (ที่อยู่ละแนวทางของบังอะสันนั้น) จะได้หรือไม่? และมันแตกต่างกันอย่างไร กับระหว่างไปถามโต๊ะครู กับการถามอ.มุรีด และชัยค์ริฏอ หรือว่าอาจารย์ทั้งสองอยู่แนวทางเดียวกับบังอะสัน จึงตามได้โดยบังอะสันไม่คัดค้าน และถ้าหากไปตามโต๊ะครูที่หุกุ่มตามอุลามาอ์มัซฮับชาฟิอีย์ อันนี้บังอะสันไม่ยอมรับใช่ไหม เพราะว่าโต๊ะครูไม่ได้อยู่แนวทางของบังอะสัน? การที่คนถามอ.มุรีด และชัยค์ริฏอ แล้วได้คำตอบจากทั้งสองโดยไม่ได้ระบุหลักฐานจากอัลกุรอานและซุนนะฮ์มายืนยันในคำตอบฟัตวานั้น อยากถามว่าผู้ที่ถามได้ตามแบบตาบอด หูหนวกหรือไม่? ใหนละที่บังอะสันบอกนักหนาและชอบยกอัลกุรอานมากำกับเพื่อให้คำพูดของตนเองดูว่า "ต้องกลับไปยังอัลกุรอานและซุนนะฮ์" แต่ อ.มุรีด และชัยค์ ริฏอ ไม่ได้อ้างอัลกุรอานและซุนนะฮ์เลยในคำถามที่ผ่านมา แบบนี้คนถามก็ไม่ได้กลับไปยังอัลกุรอานและซุนนะฮ์นะซิครับ แต่กลับไปยัง อ.มุรีด และชัยค์ ริฏอ .. ยังไงบังอะสันก็ชอบตอบอธิบายผมมาด้วย
al-azhary อ้างอิงจากบังอะสัน
ไม่ใช่ปิดตาชาวบ้านโดยสอนว่า คนอาวามต้องตามมัซฮับ
ตอบ
คนเอาวามจำเป็นต้องมีมัซฮับครับ แต่ฮะกีกัตคำว่ามัซฮับตรงนี้ บังอะสันไม่มีความเข้าใจอะไรเลยในประเด็นตรงนี้ ซึ่งผมจะทำการอธิบายในครั้งต่อ ๆ ไป เมื่อผมได้วิจารณ์หนังสือ"มุสลิมต้องสังกัดมัซฮับหรือไม่?" โดยถึงประเด็นการตัดลีดของคนเอาวามจริง ๆ แม้บังอะสันจะถามอะไรมาก็ตาม ผมจำเป็นต้องวิจารณ์หนังสือเล่มดังกล่าวไปเรื่อย ๆ แล้วเราก็จะเข้าประเด็นเรื่องที่กำลังคุยกันโดยอัตโนมัต ...โปรดติดตามครับ
ดังนั้น การที่บังอะสันจะพูดถึงประเด็นตักลีดนี้ ผมขอให้บังอะสันสลัดอุดมการณ์และแนวทางที่บังอะสันเป็นอยู่ก่อน แล้วก็เปิดใจมาสนทนาในเรื่องตัดลีดและมัซฮับอย่างตรงไปตรงมา อย่าเพิ่งไปยัดเยียดความผิดและกล่าวหาให้กับคนเอาวามทั่วไป ซึ่งการกล่าวหานั้น ย่อมมีเครื่องหมายถึงที่บังอะสันไม่สามารถจะสนทนาในประเด็นอย่างแท้จริงได้
al-azhary อ้างอิงจากบังอะสัน
ข้างต้นคือ คำสอนอิหม่ามชาฟิอีย์ ส่วนการสังกัดมัซฮับตามภาษาชาวบ้าน จะถือเอาคำสอนมัซฮับเป็นหลัก หะดิษใดไม่ตรงกับมัซฮับของตน ก็ไม่เอามาปฏิบัติ นี้คือความเป็นจริงในสังคม
ตอบ
ประเด็นนี้ ผมว่าบังอะสันนั่นแหละที่ต้องพิจารณาตัวเองเสียก่อน ก่อนที่จะไปยัดเยียดหลักการให้คนเอาวาม บังอะสันต่างหากที่ยึดแนวทางของตนเอง แม้หะดิษที่ไม่ตรงกับแนวทางที่บังอะสันเลือก บังอะสันก็ไม่ยอมรับฟังและไม่ยอมปฏิบัติ อย่างเช่นเรื่องกุนูตซุบห์ ผมอธิบายให้ตาย บังอะสันก็ไม่ยอมรับ เพราะไม่ตรงกับสิ่งที่ตนจะเอา หะดิษกุรัยบ์ที่ซอฮิหฺรายโดยมุสลิม บังอะสันก็ไม่รับ เพราะไม่ตรงกับแนวทางที่ตนจะเอา (ยังไงบังอะสันก็ไปวิจารณ์ที่กระทู้เข้ารอมะฏอนและออกอีดซิครับผมรออยู่) เมื่อเป็นเช่นนี้ คำพูดบังอะสันจึงฟังไม่ขึ้น เพราะว่าตัวของบังอะสันเองก็ยังไม่ปฏิบัติตามสิ่งที่ตนพูด อัลเลาะฮ์ทรงตรัสว่า
كبر مقتا عند الله أن تقولوا ما لا تفعلون
"เป็นความโกรธกริ้วอันใหญ่หลวง ณ อัลเลาะฮ์ กับการที่พวกเจ้าพูดในสิ่งที่พวกเจ้าไม่ได้กระทำ"
al-azhary อ้างอิงจากบังอะสัน
นี้คือ แนวทางการตามมัซฮับ ไม่ใช่สังกัดมัซฮับ
ตอบ
บังอะสันอ้างคำกล่าวของท่านอิบนุตัยมียะฮ์ โดยที่บังอะสันไร้ซึ่งความเข้าใจในคำตอบของท่านอิบนุตัยมียะฮ์
ตามที่ท่านอิบนุตัยมียะฮ์กล่าวยืนยันหลักการไว้แล้วข้างต้นว่า
واتباع شخص لمذهب شخص بعينه لعجزه عن معرفة الشرع من غير جهته إنما هو مما يسوغ له
"และการที่บุคคลหนึ่ง ปฏิบัติตามมัซฮับ(ทัศนะ)ของบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ เพราะเขาไม่มีความสามารถรู้เรื่องศาสนาได้อื่นจากด้านของเขา แท้จริงมันย่อมเป็นสิ่งที่อนุญาตสำหรับเขา"
โปรดพิจารณาคำพูดของท่านอิบนุตัยมียะฮ์ครับบังอะสัน การที่คนเอาวามไม่สามารถวินิจฉัยหุกุ่มได้ ก็อนุญาติให้เขาตามมัซฮับของคน ๆ หนึ่งเป็นการเฉพาะได้ นี่แหละเขาเรียกว่า "สังกัดมัซฮับ" ดังนั้นการสังกัดมัซฮับเป็นการเฉพาะนั้น ไม่ใช่เป็นสิ่งวายิบ แต่เป็นสิ่งที่ อนุญาติ ดังนั้น เมื่อคนเอาวามที่เมืองไทยสังกัดมัซฮับชาฟิอีย์เพียงอย่างเดียวนั้น ก็เป็นที่อนุญาติ บังอะสันก็ไม่ต้องไปยุ่งหรือไปยัดเยียดความผิดให้พวกเขานะครับ
และเมื่อผมนำหลักการความจริงมานำเสนอเกี่ยวกับมัซฮับแล้วบังอะสันก็โต้ตอบไม่ได้ ก็อย่าไปใส่อารมณ์และกล่าวหาชาวบ้านพี่น้องมุสลิมที่เป็นคนเอาวามนะครับ สงสารพวกเขา เพราะคนเอาวามที่ไม่ค่อยรู้หนังสือสักเท่าไหร่นั้น เขาอาจจะกำลังทำงานหามรุ่งหามค่ำ เหน็ยดเหนื่อยเมื่อยล้าทุก ๆ วัน เพื่อส่งลูก ๆ ทำการศึกษาหาความรู้ แม้คนเอาวามที่ไม่สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้แล้ว แต่ตอนนี้เขาอาจะยอมสละแรงกายเพื่อส่งเสียลูกของเขาทำการศึกษาวิทยาการศาสนาเพื่อให้เป็นยอดคน ดังนั้น บังอะสันก็อย่าชอบเป็นคนเห็นแก่ตัวไปว่าคนเอาวามทั่วไปที่มีความรู้น้อยที่ยอมเสียสละส่งลูกเรียนให้มากนัก เพราะว่ามันโดนพ่อผมด้วย!
sunshine ถ้าคิดว่าตัวเองเก่ง ตัวเองถูก...ก็นำเสนอมา... นำเสนอแนวทางหรือแนวความคิดที่ตัวเองคิดว่าสุดยอด และถูกต้องที่สุด..แต่การที่พยายามจะบอกว่า ตัวเองถูกตัวเองเก่ง...โดยใช้วิธีโจมตีผู้อื่นให้ดูแย่...เราว่ามันเป็นวิธีที่ไม่ค่อยฉลาดเท่าไหร่นัก..
รอซูลลุลเลาะห์ (ซล) ของเรา สมัยที่ท่านเผยแพร่ศาสนา...เท่าที่จำจากความรู้อันน้อยนิดที่มี...ท่านได้นำเสนอความรู้เกี่ยวกับอิสลาม เกี่ยวกับแนวทางที่ถูกต้อง มากกว่าไปเที่ยวโจมตีศาสนาอื่นไม่ใช่เหรอ? (ในที่นี้...ขอแทนเรื่องศาสนาเป็นแนวความคิดเรื่องอิสลาม)
...
ที่คุณๆทั้งหลายพยายามเขียนมา..จะบอกว่าหนังสือที่ว่านั้นไม่ดี? ใช่ปะ? โอเค....ข้อมูลคุณก็ใช้ได้...ดูเป็นวิชาการดี (อย่างน้อยก็ดูจากความยาว...)...ยังงัยปล่อยเป็นหน้าที่ผู้อ่าน...เค้าจะตัดสินใจเองว่าอะไรดีไม่ดีสำหรับเค้า...ยุคหลับหูหลับตาเชื่ออาจารย์ท่านนั้น ท่านนั้น ....ไม่มีแล้ว..อย่างน้อย ก็ไม่มีสำหรับโลกอินเตอร์เน็ต...
ปล...
สำหรับใครบางคน...ผมลูกศิษฐ์อาจารย์นั้น...ซึ่งเป็นลูกศิษฐ์ของอาจารย์อีกท่าน...คำถาม???...คุณมีอาจารย์คนเดียวเองเหรอ? อืม....
al-azhary อ้างอิงจากคุณsunshine
ถ้าคิดว่าตัวเองเก่ง ตัวเองถูก...ก็นำเสนอมา... นำเสนอแนวทางหรือแนวความคิดที่ตัวเองคิดว่าสุดยอด และถูกต้องที่สุด..แต่การที่พยายามจะบอกว่า ตัวเองถูกตัวเองเก่ง...โดยใช้วิธีโจมตีผู้อื่นให้ดูแย่...เราว่ามันเป็นวิธีที่ไม่ค่อยฉลาดเท่าไหร่นัก..
ตอบ
คุณ sunshine ครับ เราเพียงชี้แจงในสิ่งที่ถูกต้อง คุณสมควรจะคิดว่าหนังสือที่คุณอ่านนั้น จะถูกไปเสียทั้งหมด ผมไม่ได้โจมตีตัวผู้แต่งหนังสือ แต่ผมวิจารณ์คำพูดและหลักการของเขาเท่านั้น และผมก็ไม่พยายามเรียกชื่อผู้แต่งหนังสือ ว่า "ท่านอัลมะซูมีย์" แต่ส่วนมากผมจะใช้แทนชื่อท่านว่า "ผู้ประพันธ์หรือผู้แต่งหนังสือ" เพื่อให้ทราบว่าผมวิจารณ์หนังสือ ไม่ใช่ วิจารณ์ตัวของผู้แต่ง
การวิจารณ์หนังสือเล่มนี้ เป็นเรื่องที่ดี เพราะผู้คนทั่วไปจะได้เข้าใจคำว่ามัซฮับที่ผู้คนส่วนมากอยู่ในทัศนะดังกล่าว คุณจะมาปิดกั้นและปกป้องแนวทางของคุณเองนั้น ด้วยการกล่าวหาว่าผมทำการโจมตีผู้แต่งหนังสือนั้น ย่อมไม่ถูกต้องหรอกครับ
al-azhary ผู้แต่งหนังสือกล่าวว่า
การวิเคราะห์ของอิบนุลฮุมานว่า การสังกัดอยู่ในแนวความคิดหนึ่งแนวความคิดใดโดยเฉพาะ ไม่เป็นสิ่งจำเป็น..
อัลกะมาล อิบนุลฮุมานได้กล่าวว่าในหนังสือ(อัตตะหฺรีร วะ อัตตักรีร)ในหลักนิติศาสตร์(ฟิกฮ์)ในแนวของอิม่ามอะบูฮานีฟะว่า....การสังกัดอยู่ในแนวคิดหนึ่ง แนวคิดใดโดยเฉพาะไม่เป็นสิ่งจำเป็นตามทรรศนะที่ถูกต้อง เพราะว่า การสังกัดอยู่ในแนวคิดหนึ่ง แนวคิดใด มิได้ถูกบังคับ โดยไม่เป็นสิ่งจำเป็นนอกจากสิ่งที่อัลลอฮ์ และทูตของพระองค์ได้กำหนดเท่านั้น และอัลลอฮ์และทูตของพระองค์จะไม่กำหนดแก่คนหนึ่งคนใดจากผู้คนทั้งหลายให้สังกัดอยู่ในแนวคิดหนึ่ง แนวคิดใดของคนหนึ่งคนใดจากประชาชาตินี้แล้วลอกเลียนแบบเขาในศาสนาของเขาในสิ่งที่มีมาและละทิ้งสิ่งอื่นจากนั้น...และศตวรรษที่ประเสริฐได้ม้วนพับไปโดยไม่มีการกล่าวในความจำเป็นที่ต้องการสังกัดอยู่ในแนวคิดหนึ่ง แนวคิดใดโดยเฉพาะ ในขณะที่ส่วนมากของพวกผู้ลอกเลียนแบบกล่าวว่าฉันเป็นเป็นผู้สังกัดแนวความคิดของอิม่ามอะบูหะนีฟะหรือชาฟีอีและเขาไม่มีความรู้ในแนวปฏิบัติของอิม่ามของเขา เขาก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้น" ดู หนังสือ มุสลิมต้องสังกัดมัซฮับหรือไม่? ฉบับแปลไทย หน้า 25 และต้นฉบับภาษาอาหรับหน้า 75
วิจารณ์
คำกล่าวที่ท่านผู้แต่งหนังสืออ้างอิงมานี้ ไม่ใช่เป็นคำพูดของท่าน อัลกะมาล บิน อัลฮุมาม เนื่องจากหนังสือ (อัตตะหฺรีร วะ อัตตักรีร) ( التحرير والتقرير ) นั้น น่าจะเป็นของ ท่าน อิบนุ อะมีร อัลหาจญฺ ซึ่งชื่อหนังสือที่ถูกต้องของ ท่าน อิบนุ อะมีร อัลหาจญฺ ก็คือ ( التقرير والتحبير ) (อัตตักรีร วะ อัตตะหฺบีร) และหนังสือของท่าน อัลกะมาล อิบนุ อัลฮุมาม ก็คือ ( التحرير) (อัตตะหฺรีร) สรุปคือคำที่ผู้แต่งหนังสืออ้างมานั้น ไม่ใช่ของท่าน อัลกะมาล บิน อัลฮุมาม ครับ
asan น้องบ่าวal-az-hary กล่าวว่า
และเมื่อผมนำหลักการความจริงมานำเสนอเกี่ยวกับมัซฮับแล้วบังอะสันก็โต้ตอบไม่ได้ ก็อย่าไปใส่อารมณ์และกล่าวหาชาวบ้านพี่น้องมุสลิมที่เป็นคนเอาวามนะครับ สงสารพวกเขา เพราะคนเอาวามที่ไม่ค่อยรู้หนังสือสักเท่าไหร่นั้น เขาอาจจะกำลังทำงานหามรุ่งหามค่ำ เหน็ยดเหนื่อยเมื่อยล้าทุก ๆ วัน เพื่อส่งลูก ๆ ทำการศึกษาหาความรู้ แม้คนเอาวามที่ไม่สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้แล้ว แต่ตอนนี้เขาอาจะยอมสละแรงกายเพื่อส่งเสียลูกของเขาทำการศึกษาวิทยาการศาสนาเพื่อให้เป็นยอดคน ดังนั้น บังอะสันก็อย่าชอบเป็นคนเห็นแก่ตัวไปว่าคนเอาวามทั่วไปที่มีความรู้น้อยที่ยอมเสียสละส่งลูกเรียนให้มากนัก เพราะว่ามันโดนพ่อผมด้วย!
ตอบ
โอ้..น้องบ่าวของบังอะสัน คราวนี้สวมวิญญาณนักการเมือง ที่อ้างว่า เห็นอกเห็นใจประชาชนระดับรากญ้า ,น้องบ่าวครับ คำว่า" ฉันไม่รู้ เรื่องศาสนา เพราะไม่มีเวลา เนื่องต้องทำงานเลี้ยงดูครอบครัว" คำนี้ใช้อ้างกับอัลลอฮได้หรือ ?
น้องบ่าวครับ คำว่า"บ่าวของอัลลอฮ" ที่ปฏิญานด้วยสองคำปฏิญาน เวลาละหมาด เขาให้คำมั่นสัญญาว่า
وَجَّهْتُ وَجْهِيَ لِلَّذِي فَطَرَ السَّمَاوَاتِ وَالأَرْضَ حَنِيفاً وَمَا أَنَاْ مِنَ الْمُشْرِكِينَ
แท้จริงข้าพระองค์ขอผินหน้าของข้าพระองค์แด่ผู้ที่ทรงสร้างบรรดาชั้นฟ้า และแผ่นดิน ในฐานะผู้ใฝ่หาความจริง ผู้สวามิภักดิ์ และข้าพระองค์มิใช่คนหนึ่งในหมู่ผู้ให้มีภาคีขึ้น
إِنَّ صَلاَتِي وَنُسُكِي وَمَحْيَايَ وَمَمَاتِي لِلّهِ رَبِّ الْعَالَمِينَ
แท้จริงการละหมาดของฉัน และการอิบาดะฮ์ ของฉัน และการมีชีวิตของฉัน และการตายของฉันนั้นเพื่ออัลลอฮ์ผู้เป็นพระเจ้าแห่งสากลโลกเท่านั้น
لاَ شَرِيكَ لَهُ وَبِذَلِكَ أُمِرْتُ وَأَنَاْ من الْمُسْلِمِينَ
ไม่มีภาคีใด ๆ แก่พระองค์ และด้วยสิ่งนั้นแหละข้าพระองค์ถูกใช้ และข้าพระองค์คือส่วนหนึ่งในหมู่ผู้สวามิภักดิ์ทั้งหลาย
.........
เวลาพูดบอกว่า" แท้จริงการละหมาดของฉัน และการอิบาดะฮ์ ของฉัน และการมีชีวิตของฉัน และการตายของฉันนั้นเพื่ออัลลอฮ์ผู้เป็นพระเจ้าแห่งสากลโลกเท่านั้น "
..........
แล้วกลับมาอ้างว่า ไม่มีเวลาเรียนรู้เรื่องศาสนา เพราะ สาละวนอยู่กับเรื่อง การประกอบอาชีพส่งลูกเรียน"
น้องบ่าวครับ "คนที่ยอมเลือกอยู่ในที่มืด เพื่อให้คนอื่นได้รับแสงสว่าง" มันไม่ฉลาดเลยนะครับ
น้องบ่าวครับ การเรียนรู้เรื่องศาสนา หากเรามีความศรัทธาที่แท้จริง เราต้องหาโอกาสเรียนรู้จนได้ เพราะการเรียนศาสนา ไม่จำเป็นต้องเรียนในรั้วโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยเสมอไป ที่ศูนย์อิสลามศึกษา สถานี 2 หาดใหญ่ เราเปิดอบรมศาสนาแก่พี่น้องมุสิม ประจำวันอาทิตย์ มาไม่ต่ำกว่า 30 ปีแล้ว ผู้มาเรียน ก็ไม่ได้เป็นมหาเศรษฐี อะไรหรอก บางคนอยู่ต่างจังหวัดก็ยังมาเรียน ดังนั้น กรุณาปลูกฝังทัศนคติแก่ชาวบ้านเสียใหม่เรื่องการศึกษา
asan เพิ่มเติม
ส่วนที่น้องบ่าวเอาคำฟัตวาของอ.มุรีด มาดิสเครดิตแล้วมาถามบังอะสัน จริงๆน่าจะไปถาม อ.มุรีดมากกว่า มากกว่าที่จะเอาข้อความของเขามาโพสต์ที่นี่
ขอบอกน้องบ่าวนิดหนึ่งว่า คนที่เข้ามาศึกษาในอินเตอร์เน็ตนั้น ส่วนใหญ่เป็นปัญญาชนที่มีการศึกษาและมีวุฒิภาวะ พอที่จะพิจารณาได้ว่า การที่น้องบ่าวไปวิจารณ์ หนังสือของ อัลมะอศูมีย์ มันสมเหตุสมผลไหม และน้องบ่าวมีเครดิตมากน้อยเพียงใด วิจารณ์ต่อไปเถอะ ถ้ามือถึง
วิจารณ์หนังสือ"มุสลิมต้องสังกัดมัซฮับหรือไม่? By: al-azhary Date: มี.ค. 20, 2007, 08:11 AM
al-azhary บางคนเข้ามาไม่ต้องการจะร่วมวิจารณ์ แต่เพียงแค่เข้ามาป่วน และพยายามวิจารณ์ตำหนิผมในเรื่องวิจารณ์หนังสือดังกล่าว คือพูดง่ายว่า หนังสือเล่มนั้น ฉันชอบ จะมาวิจารณ์ไม่ได้ หากแม้นว่ามีข้อบกพร่อง ฉันก็ไม่ยอมรับฟัง ไม่ยอมแสวงหาว่าตรงใหนบ้างที่บกพร่อง ตรงใหนบ้านที่ไม่ถูกต้องตามหลักการ พฤติกรรมอย่างนี้ เขาเรียกว่า ตะอัศศุบและตะอัศศุฟ มีมานะทิฑิอยู่ในอุดมการณ์ของตน
การที่ผมได้วิจารณ์หนังสือดังกล่าวนั้น ผมไม่ได้ความถ้อยคำที่หยาบคายมาวิจารณ์ผู้แต่ง แต่ผมพยายามนำหลักการเรื่องมัซฮับที่ถูกต้องมานำเสนอ มีผู้คนมากมายที่ยังไม่เข้าใจเรื่องมัซฮับอย่างแท้จริงและจริงจัง อาจยังมีบางคนเชื่อว่า การสังกัดมัซฮับเป็นการเฉพาะนั้นวายิบ แต่เขาผู้นั้นอาจจะเพิ่งมาเข้าใจก็ได้นะว่า "อ๋อ...ที่แท้การตามมัซฮับเดียวเป็นการเฉพาะนั้นไม่วายิบนั่นเอง" ซึ่งนั่นก็ย่อมเป็นผลดี ดังนั้น ความรู้เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ผมนำเสนอนั้น ก็อาจจะมีประโยชน์แก่ท่านผู้อ่านและสามารถสร้างความเข้าใจอันดีกับผู้มีมัซฮับและมีไม่มีมัซฮับได้ไม่มากก็น้อย
al-azhary อ้างอิงจากบังอะสัน
ส่วนที่น้องบ่าวเอาคำฟัตวาของอ.มุรีด มาดิสเครดิตแล้วมาถามบังอะสัน จริงๆน่าจะไปถาม อ.มุรีดมากกว่า มากกว่าที่จะเอาข้อความของเขามาโพสต์ที่นี่
ตอบ
ทำไมบังอะสันถึงคิดอะไรในแง่ร้ายไปเสียทั้งหมด จิตใจไม่มีความคิดในแง่ดีต่อทัศนะของผู้อื่นเลย ผมยกฟัตวาของ อ.มุรีด และ ชัยค์ ริฏอ มา เพื่อจะโต้ตอบฟัตวาของทั้งสองหรือครับ? เปล่าเลย แล้วสิ่งที่ผมยกมานั้น เพื่ออะสันก็ทำเป็นไม่เข้าใจเสียอย่างนั้น การที่ผมยกฟัตวาของ อ.มุรีด และ ชัยค์ ริฏอ มานั้น เพื่อจะชี้ให้เห็นว่า การที่คนเราไม่มีความรู้ในเรื่องของศาสนามากนัก โดยที่เมื่อมีปัญหาประเด็นหนึ่งเกิดขึ้นมา เราต้องไปถามผู้รู้ เมื่อผู้รู้ตอบมา โดยไม่อ้างหลักฐานจากอัลกุรอานและซุนนะฮ์ ก็สามารถนำมาปฏิบัติได้ อย่างเช่น อ.มุรีด และ ชัยค์ ริฏอ ก็ตอบฟัตวา โดยไม่ได้อ้างอัลกุรอานและซุนนะฮ์ก็มีเหมือนกัน แต่ทำไมล่ะครับ เมื่อคนเอาวามไปถามโต๊ะครู ถามโต๊ะอิมามเกี่ยวกับเรื่องศาสนา บังอะสันก็กล่าวหาว่า คนถามนั้นตามแบบตาบอด เพราะไม่รู้ว่า โต๊ะครูและโต๊ะอิมามที่อยู่มัซฮับอิมามชาฟิอีย์ นั้น ไม่ทราบว่าเอาหลักฐานมาจากใหน? ทำไมบังอะสันถึงโจมตีความเอาวามที่ตามโต๊ะครู บอบอปอเนาะ และโต๊ะอิมามละครับ ทำไมบังอะสันไม่ตามคนเอาวามที่ตามฟัตวาของ อ.มุรีด และ ชัยค์ริฏอ ด้วย ดังนั้น ผมจึงไม่ทราบว่า บังอะสันมีทัศนะที่เป็นกลางและอยู่ในหลักการของอิสลามอย่างแท้จริงหรือเปล่า? หรือเพียงแค่วิจารณ์คนเอาวามที่ไม่ได้อยู่ในฝ่ายตนเท่านั้น ??
ผมไม่นึกว่า เมื่อบังอะสันไม่สามารถวิจารณ์ในเชิงวิชาการได้อย่างตรงประเด็นและมีประสิทธิภาพแล้ว บังอะสันกลับหันไปโจมตีและระบายหลักอารมณ์กับพี่น้องมุสลิมคนเอาวาม ยัดเหยียดกล่าวหาว่าพวกเขารู้และเชื่อว่า "การสังกัดมัซฮับนั้นวายิบ" ทั้งหากว่าเราไปถามเขาจริง ๆ นั้น พวกเขาตอบว่า "ไม่รู้" ถ้าจะวิจารณ์กันในเชิงวิชาการละก็ วิจารณ์กับผมนี่ อย่าไปวิจารณ์กับคนเอาวามทั่วไป ที่ไม่ได้เข้ามาสนทนาในเน็ท
al-azhary อ้างอิงจากบังอะสัน
แล้วกลับมาอ้างว่า ไม่มีเวลาเรียนรู้เรื่องศาสนา เพราะ สาละวนอยู่กับเรื่อง การประกอบอาชีพส่งลูกเรียน"
น้องบ่าวครับ "คนที่ยอมเลือกอยู่ในที่มืด เพื่อให้คนอื่นได้รับแสงสว่าง" มันไม่ฉลาดเลยนะครับ
ตอบ
คนทำงานส่งลูกเรียนนั้น ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้เรื่องศาสนา แต่เขามีความพอเพียงพ้นระดับฟัรดูอีนและสามารถปฏิบัติอะมัลอิบาดะฮ์ให้ครบสมบูรณ์ตามที่อิสลามบัญญัติใช้ แต่การที่เขาต้องรู้ว่าทุกสิ่งที่เขาทำนั้น ต้องมีรู้หลักฐานมาทั้งหมดนั้น ไม่ใช่สิ่งที่เป็นฟัรดูอีนสำหรับพวกเขาเลย เมื่อเป็นเช่นนี้ พ่อแม่ที่สละแรงกายเพื่อส่งบุตรหลานเรียน ก็ไม่ได้อยู่ในมุมมืดแต่อย่างใด แต่พวกเขาต้องการให้บุตรหลานของพวกเขานั้น เป็นผู้มีความรู้ขั้นระดับฟัรฏูกิฟายะฮ์ ดังจันทร์เพ็ญอันสวยเด่นในหมู่ดวงดารา ตามที่ท่านร่อซูลุลลอฮ์ได้รับรองเอาไว้ในหะดิษเกี่ยวกับความประเสร็ฐของผู้รู้
และการที่พ่อแม่ได้ส่งลูกเรียนให้มีความวิชาความรู้นั้น ท่านทั้งสองย่อมได้รับผลบุญทุก ๆ อณูวิชาความรู้ที่บุตรได้รับทั้งในโลกนี้และโลกหน้า แล้วทำไมพวกเขาจึงต้องอยู่ในที่มือ ตามที่จิตใจอันอคติของบังอะสันที่มีต่อบรรดามุสลิมมีนคนเอาวามที่ทำงานเป็นเบื้องหลังหนุนให้ลูกหลานเป็นอุลามาอ์ เป็นผู้รู้ในสังคมต่อไป
วิจารณ์หนังสือ"มุสลิมต้องสังกัดมัซฮับหรือไม่? By: al-azhary Date: มี.ค. 20, 2007, 08:16 AM
อรูชาห์^^ จริง ๆ กระทู้ก็เข้าท่าดี นำเสนอการวิเคราะห์อีกแบบให้เราให้คัดสรรกันเลือกใช้ ขออัลลอฮฺ ซบ. ตอบแทนบังอะสันกับ บังal-azhary ที่ช่วยกันนำเสนอ
al-azharyค่อยติดตามครั้งต่อไปน่ะ เพราะการเสวนาเรื่องนี้เยอะเหลือเกิน จะทะยอยนำเสนอไปเรื่อย ๆ จนจบเสวนา อินชาอัลเลาะฮ์

วิจารณ์หนังสือ"มุสลิมต้องสังกัดมัซฮับหรือไม่? By: al-azhary Date: มี.ค. 24, 2007, 09:21 AM
al-azhary ผู้แต่งหนังสือกล่าวว่า
และเช่นนี้ อิม่าม อัลอิซ อับดุลสลาม
ได้กล่าวไว้ในหนังสือของเขา(เกาะวาดุลอะห์กามฟีมะซอลลีหิ้ลอะนาม) ดู หนังสือมุสลิมต้องสังกัดมัซฮับหรือไม่? หน้า 20 - 21 และฉบับภาษาอาหรับหน้า 71
และได้อ้างการวิเคราะห์ของท่าน อัลกะมาล อิบนุ อัลฮุมาม ฉบับแปลไทย หน้า 25 และต้นฉบับภาษาอาหรับหน้า 75
และได้อ้างคำกล่าวของท่านอิบนุก๊อยยิม หลายที่ด้วยกัน หนึ่งในนั้นคือ ฉบับแปลไทย หน้า 87-89 และฉบับภาษาอาหรับ หน้าที่ 122 )
วิจารณ์
เราจะสังเกตุได้ว่า ผู้แต่งหนังสือพยายามอ้างคำพูดของท่าน อิซฺซุดดีน บิน อับดุสลาม ท่านอิบนุก๊อยยิม และท่านอัลกะมาล อัลฮุมาม เพื่อมาสนับสนุนทัศนะของตนเองในการห้ามยึดถือมัซฮับหนึ่งมัซฮับเป็นการเฉพาะ โดยที่มุสลิมทั้งหมดจำเป็นต้องยึดอัลกุรอานและซุนนะฮ์โดยตรง หรือต้องไม่ตามอุลามาอ์เป็นการเฉพาะเจาะจง
และทุกการอ้างอิงจากบรรดาอุลามาอ์เหล่านั้น ย่อมเป็นการอ้างที่ไร้ความจริงโดยปราศจากหลักฐาน และคำกล่าวของบรรดาอุลามาอ์เหล่านั้น จะนำมาเป็นหลักฐานได้ทัศนะของผู้แต่งหนังสือได้อย่างไร? ในเมื่อเจ้าของคำพูดเหล่านั้นอยู่ในมัซฮับที่เฉพาะโดยไม่ย้ายไปยังมัซฮับอื่น เช่น ท่านอิซฺซุดดีน บิน อับดุสลาม อยู่มัซฮับชาฟิอีย์ ท่านอิบนุก๊อยยิมอยู่มัซฮับหัมบาลีย์ และท่านอัลกะมาลอยู่มัซฮับหะนาฟีย์!!
ดังนั้น เรามาลองดูทัศนะที่แท้จริงของนักปราชญ์เหล่านั้น
ท่านอิซซุดดีน บิน อับดุสลามกล่าวว่า
و ليس لأحد أن يقلد من لم يؤمر بتقليده، كالمجتهد في تقليد المجتهد أو في تقليد الصحابة. و في هذه المسائل اختلاف بين العلماء، و يرد على من خالف في ذلك قوله عز و جل: {إن الحكم إلا لله أمر أن لا تعبدوا إلا إياه} و يستثنى من ذلك العامة، فإن وظيفتهم التقليد لعجزهم عن التوصل إلى معرفة الأحكام بالاجتهاد، بخلاف المجتهد فإنه قادر على النظر المؤدي إلى الحكم. و من قلد إماما من الأئمة ثم أراد تقليد غيره فله ذلك؟ .. فيه خلاف، و المختار التفصيل. فإن كان المذهب الذي أراد الانتقال إليه مما ينقض فيه الحكم فليس له الانتقال إلى حكم يوجب نقضه، فإنه لم يجب نقضه إلا لبطلانه، فإن كان الآخذان متقاربين جاز التقليد و الانتقال، لأن الناس لم يزالوا من زمن الصحابة إلى أن ظهرت المذاهب الأربعة يقلدون من اتفق من العلماء من غير نكير من أحد يعتبر إنكاره،
"ไม่อนุญาติให้กับคนหนึ่งคนใด ทำการตัดลีดกับผู้ที่ไม่ได้ถูกใช้ให้ทำการตัดลีกเขา เช่น มุจญฺฮิดตักลีดตามมุจญฺฮิดหรือตักลีดตามซอฮาบะฮ์ และในประเด็นเหล่านี้ ได้มีการขัดแย้งกันระหว่างอุลามาอ์ ซึ่งผู้ขัดแย้งในสิ่งดังกล่าวถูกคัดค้านด้วยคำตรัสของอัลเลาะ ตาอาลา ที่ว่า "ไม่มีการตัดสินใดนอกจากเป็นสิทธิ์ของอัเลาะฮ์ ผู้ทรงบัญชาให้พวกท่านอย่าทำการอิบาดะฮ์นอกจากกับพระองค์เท่านั้น" แต่สิ่งดังกล่าวนั้นถูกยกเว้นสำหรับคนเอาวามทั่วไป เพราะหน้าที่ของพวกเขานั้น คือการตัดลีดตาม เนื่องจากพวกเขาไม่มีความสามารถจากการให้บรรลุไปถึงการรู้จักหลักการฮุกุ่มต่าง ๆ ด้วยการวินิจฉัยได้ ซึ่งแตกต่างกับนักมุจญฺฮิด เพราะเขามีความสามารถทำการวิเคราะห์ที่นำพาไปสู่ฮุกุ่มนั้นได้ และผู้ใดที่ทำการตัดลีดอิมามคนเดียวหลักจากนั้นเขาต้องการตักลีดตามอิมามท่านอื่น จะอนุญาตให้กับเขาหรือไม่? ...เกี่ยวกับประเด็นนี้มีการขัดแย้ง และทัศนะที่ถูกเลือกเฟ้นแล้ว คือต้องแยกแยะ ดังนั้น หากมัซฮับที่เขาต้องการจะย้ายนั้น มีหลักการฮุกุ่มที่ถูกตำหนิไปแล้ว ก็ไม่อนุญาตให้เขาย้ายไปยังฮุกุ่มที่ต้องมีการตำหนิเกิดขึ้น เพราะการตำหนิฮุกุ่มจะไม่เกิดขึ้น นอกจาก เพราะฮุกุ่มนั้นโมฆะ และหากว่าสองฮุกุ่มที่จะยึดถือนั้น มีความใกล้เคียงกัน ก็อนุญาตให้ตักลีดและย้ายไปยึดมันได้ เพราะบรรดาผู้คนทั้งหลายตั้งแต่ยุคสมัยของซอฮาบะฮ์จนกระทั่งเกิดมัซฮับทั้งสี่ขึ้นมา พวกเขาก็ยังคงทำการตักลีดนักปราชญ์ที่ได้รับมติรับรองโดยไม่มีการตำหนิจากบุคคลใดที่สามารถรับพิจารณาจากตำหนิของเขาได้" ดู หนังสือ ก่อวาอิด อัล-อะหฺกาม เล่ม 2 หน้า 35
ดังนั้น ท่าน อิซซุดดีน บิน อับดุสลาม (ร่อฮิมะฮุลลอฮ์) กล่าวว่า คนเอาวามทั่วไปนั้นต้องตัดลีดตามนักปราชญ์มุจญฺฮิด แต่ผู้แต่งหนังสือมีทัศนะว่าให้คนเอาวามทั่วไปตามท่านนบี(ซ.ล.) ที่มะซูม โดยละทิ้งการตามนักปราชญ์ที่ไม่มะซูม ทั้งที่ความจริงแล้วคนเอาวามไม่สามารถทำการวินิจฉัยอัลกุรอานและซุนนะฮ์ได้ และท่านอิซซุดดีน บิน อับดุสลาม มีทัศนะว่า พื้นฐานเดิมของคนมุก๊อลลิดหรือคนเอาวามทั่วไปยึดถืออิมามมุจญฺฮิดเป็นการเฉพาะ หลังจากนั้น ท่านได้อธิบายแจกแจงวิเคราะห์ จากหลักการเกี่ยวกับความปราถนาที่จะย้ายไปยังมัซฮับอื่น และท่านก็กล่าวว่ามีการขัดแย้งกัน และทัศนะที่ท่านโน้มเอียงนั้นคือ อนุญาติให้ทำการย้ายมัซฮับได้
ท่านอิซซุดดีน บิน อับดุสลาม ไม่ได้มีทัศนะว่าห้ามสังกัดมัซฮับเป็นการเฉพาะ(อิมามคนเดียว)โดยที่ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนไปยังมัซฮับอื่น แต่เจ้าของหนังสือกำหนดว่าให้คนเอาวามทำการย้ายไปทุก ๆ มัซฮับโดยไม่มีการเฉพาะเจาะจง ดังนั้น จึงเป็นเรื่องแปลกที่ผู้แต่งหนังสือกล่าวอ้างทัศนะของท่านอิซซุดดีน บิน อับดุสลาม(ร่อฮิมะฮุลลอฮ์)โดยที่ท่านไม่กล่าวเอาไว้อย่างนั้น แต่ท่านกลับกล่าวทัศนะไว้ในทางตรงกันข้าม
al-azhary อัล-กะมาล อิบนุ อัล-ฮุมาม กล่าวว่า ในหนังสือ อัตตะหฺรีร ของท่านว่า
و هل يقلد غيره في غيره؟ المختار: نعم، للقطع بأنهم كانوا يستفتون مرة واحدا و مرة غيره، غير ملتزمين مفتيا واحدا. فلو التزم مذهبا معينا كأبي حنيفة أو الشافعي فقيل يلزم، و قيل لا
"คนมุก๊อลลิดสามารถตักลีดคนอื่น(หมายถึงอิมามท่านอื่นจากอิมามที่เขาตักลีดอยู่) ในสิ่งอื่นจากมัน(หมายถึงประเด็นอื่นที่เขาได้ตักลีดตามอิมามคนแรก) ได้หรือไม่? ทัศนะที่ถูกเลือกเฟ้นแล้วก็คือ ทำได้ เพราะถือว่าเด็ดขาดแล้วว่า พวกเขา(คนมุก๊อลลิด)ทำการขอคำฟัตวาครั้งหนึ่ง กับ(มุฟตีมุจญฺฮิด)คนหนึ่ง และอีกครั้งหนึ่ง กับ(มุฟตีมุจญฺฮิด)อีกคนหนึ่ง โดยที่ไม่จำเป็นต้องยึดอยู่กับมุฟตีเพียงแค่คนเดียว ดังนั้น หากเขาต้องสังกัดมัซฮับหนึ่งเป็นการเฉพาะ เช่นอบูหะนีฟะฮ์และอิมามชาฟิอีย์ ก็มีทัศนะหนึ่งกล่าวว่า จำเป็น และอีกทัศนะหนึ่งบอกว่า ไม่จำเป็น(แต่อนุญาต)" ดู หนังสืออธิบายอัตตะหฺรีร ของท่าน อิบนุ อัลฮุมาม คือหนังสือ อัตตักรีร วะ อัตตะหฺบีร ของท่าน อิบนุ อะมีร อัลหาจญฺ เล่ม 3 หน้า 350
สรุปก็คือ ท่าน อัลกะมาล อิบนุ อัลฮุมาม นั้น ไมได้มีทัศนะสอดคล้องกับผู้แต่งหนังสือแต่ประการใด
al-azhary อิบนุ อัล-ก๊อยยิม กล่าวเกี่ยวกับสิทธิ์ของคนมุก๊อลลิตหรือคนเอาวามทั่วไป ว่า
وقد ذم الله سبحانه من أعرض عما أنزله إلى تقليد الأباء، وهذا القدر من التقليد هو مما إتفق السلف، والأئمة الأربعة على ذمه وتحريمه، وأما تقليد من بذل جهده فى إتباع ما أنزل الله، وخفى عليه بعضه ، فقلد فيه من هو أعلم منه، فهذا محمود غير مذموم ، ومأجور غير مأزور
ความว่า" แท้จริง อัลเลาะฮฺ(ซ.บ.) ทรงตำหนิ ผู้ที่หันเหออกจากสิ่งที่อัลเลาะฮฺทรงประทานมา ไปยังการตักลีดตามบรรดาบรรพบุรุษ และปริมาณจากการตักลีดแบบนี้ คือสิ่งที่บรรดาอุลามาอฺสะลัฟ และอิมามทั้งสี่ ได้มีมติเห็นพร้องว่า เป็นสิ่งที่น่าตำหนิและต้องห้าม สำหรับการตักลีดตามอุลามาอฺผู้ที่ทุ่มเทความพยายาม(วินิจฉัย)ของเขา ในการตามสิ่งที่อัลเลาะฮฺทรงประทานลงมา โดยที่มีบางประเด็นที่ซ่อนเร้น(ไม่ค่อยเข้าใจ)สำหรับเขา แล้วเขาก็ได้ทำการตักลีดในมัน(ในสิ่งที่อุลามาอฺได้วินิจฉัยทุ่มเทจากอัลกุรอาน) กับผู้ที่มีความรอบรู้มากกว่า แน่นอน กรณีนี้ ย่อมเป็นสิ่งที่ได้รับการสรรญเสริญ ไม่ถูกตำหนิ และได้รับการตอบแทน โดยที่ไม่ได้รับบาปแต่อย่างใด " ดู เอี๊ยะลาม อัลมุวักกิอีน เล่ม 2 หน้า 177
อิบนุ อัลก๊อยยิม กล่าวอีกเช่นกันว่า
الفائدة العشرون: لا يجوز للمقلد أن يفتي في دين الله بما هو مقلد فيه و ليس على بصيرة فيه سوى أنه قول من قلده دينه و هذا إجماع من السلف كلهم و صرح به الإمام أحمد و الشافعي رضي الله عنهما،
ความว่า " ผลประโยชน์ที่20 ไม่อนุญาติให้กับคนมุก๊อลลิดทำการฟัตวาในศาสนาของอัลเลาะฮฺ ด้วยกับสิ่งที่เขาตักลีดตามอยู่โดยที่เขาไม่มีความรู้เห็นแจ้งเกี่ยวกับมัน นอกเสียจากมันเป็นคำพูดของอุลามาอฺผู้ที่เขาได้ตักลีดตามเกี่ยวกับศาสนาของอัลเลาะฮฺ และนี้ก็คือมติเอกฉันท์จากอุลามาอฺสะลัฟทั้งหมด และอิมามอะหฺมัดและอิมามชาฟิอีย์(ร่อฏิยัลลอฮุอันฮุมา) ได้กล่าวไว้อย่างชัดเจน " ดู เอี๊ยะลาม อัลมุวักกิอีน เล่ม 4 หน้า 175 ตีพิมพ์ที่ อัสสะอาดะฮฺ
ท่านอิบนุ อัลก๊อยยิมกล่าวเช่นกันว่า
هل يجوز للحي تقليد الميت و العمل بفتواه من غير اعتبارها بالدليل الموجب لصحة العمل بها؟ فيه وجهان لأصحاب أحمد، فمن منعه قال: يحوز تغيير اجتهاده لو كان حيا، فإنه كان يجدد النظر عند نزول النازلة... و الثاني الجواز، و عليه عمل جميع المقلدين في أقطار الأرض، و خيار ما بأيديهم تقليد الأموات... و الأقوال لا تموت بموت قائلها كما لا تموت الأخبار بموت رواتها
"อนุญาตให้คนมีชีวิตอยู่ทำการตักลีดนักปราชญ์ที่เสียชีวิตไปแล้วและทำการปฏิบัติด้วยกับฟัตวาของเขาโดยคิดว่ามันเป็นหลักฐานที่ทำให้การปฏิบัตินั้นถูกต้องจะใช้ได้หรือไม่? ในกรณีนี้ มีอยู่ 2 ทัศนะให้กับบรรดาสานุศิษย์อิมามอะหฺมัด และผู้ที่มีทัศนะห้าม กล่าวว่า อนุญาตให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอิจญฺฮาดได้ หากเขามีชีวิตอยู่ เพราะเขาอาจจะทำการพิเคราะห์ขึ้นมาใหม่อีกในขณะที่เกิดประเด็นปัญหาขึ้น....ทัศนะที่ 2 คืออนญาติ(ให้ตักลีดและปฏิบัติตามได้) และตามทัศนะนี้นั้น คือการปฏิบัติของบรรดาผู้ทำการตักลีดทั่วผืนแผ่นดิน และสิ่งที่ดีเลิศในสิ่งที่พวกเขาได้รับนั้นคือ การตักลีดตามบรรดาปวงปราชญ์ที่เสียชีวิตไปแล้ว...โดยที่บรรดาทัศนะคำกล่าวของพวกเขานั้น จะไม่ตายด้วยเหตุการตายของผู้ที่กล่าว ซึ่งเหมือนกับกับบรรดาหะดิษที่ไม่ตายด้วยเหตุการตายของผู้รายงานมัน" เอี๊ยะลาม อัลมุวักกิอีน เล่ม 4 หน้า 215
al-azhary อิบนุ อัลกัยยิมกล่าวอีกเช่นกันว่า
الفائدة الثامنة و الأربعون: إذا كان عند الرجل الصحيحان أو أحدهما أو كتاب من سنن رسول الله صلى الله عليه و سلم موثق بما فيه، فهل له أن يفتي بما يجده فيه؟ ... و الصواب في هذه المسألة التفصيل، فإن كانت دلالة الحديث ظاهرة بينة لكل من سمعه، لا يحتمل غير المراد، فله أن يعمل به، و يفتي به، و لا يطلب التزكية له من قول فقيه أو إمام بل الحجة قول رسول الله صلى الله عليه و سلم... و إن كانت دلالته خفية لا يتبين المراد منها لم يجز له أن يعمل، و لا يفتي بما يتوهمه مرادا حتى يسأل و يطلب بيان الحديث و وجهه... و هذا كله إذا كان ثمة نوع أهلية و لكنه قاصر في معرفة الفروع و قواعد الأصوليين و العربية، و إذا لم تكن ثمة أهلية قط، ففرضه ما قال الله تعالى: فاسألوا أهل الذكر إن كنتم لا تعلمون
"เมื่อชายคนหนึ่ง มีหนังสือ ซอฮิหฺบุคอรีย์และมุสลิม หรือเล่มหนึ่งเล่มจากทั้งสอง หรือมีหนังสือเล่มหนึ่งที่เกี่ยวกับซุนนะฮ์ของท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.)ที่ถูกรับรองความเชื่อถือได้ ดังนั้น อนุญาตให้เเขาทำการฟัตวาด้วยสิ่งที่เขาได้พบในตำราหะดิษต่าง ๆ เหล่านั้นหรือไม่?... ซึ่งที่ถูกต้องเกี่ยวกับประเด็นนี้นั้น ต้องแจกแจง คือถ้าหากว่าข้อบ่งชี้ของหะดิษมีความชัดเจนให้กับทุก ๆ คนที่ได้ยินได้ฟังโดยไม่ต้องตีความจุดมุ่งหมายให้เป็นอื่น ก็อนุญาติให้เขาทำการปฏิบัติและฟัตวาด้วยกับมันได้ โดยไม่ต้องนำไปตรวจสอบจากคำกล่าวของนักปราชญ์นิติศาสตร์หรืออิมาม(มุจญฺฮิด) แต่หลักฐานนั้น คือคำกล่าวของท่านร่อซูลุลลอฮ์(ซ.ล.) และถ้าหากว่าข้อบ่งชี้ของหะดิษ มีความซ่อนเร้นที่ไม่สามารถเข้าใจจุดมุ่งหมายอย่างชัดเจนได้ ก็ไม่อนุญาตให้เขานำมาปฏิบัติและไม่อนุญาติให้เขานำมาทำการฟัตวาด้วยกับจุดมุ่งหมาย(ของหะดิษ)ที่เขายังคลุมเคลือนอกจากจนกระทั่งเขาได้ทำการถาม(ผู้รู้) และขอการอธิบายจุดมุ่งหมายของหะดิษ...ซึ่งทั้งหมดนี้(คือที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น) คือเขานั้น มีคุณสมบัติอยู่ในแง่หนึ่ง แต่เขาพกพร่องในเรื่องการรู้จักข้อปลีกย่อยและกฏเกณฑ์ต่าง ๆ ของอุลามาอฺมูลฐานนิติศาสตร์อิสลาม(อุซูลุลฟิกห์) และอุลามาอฺภาษาอาหรับ และเมื่อใดเขาไม่มีคุณสมบัติเลย (คือไม่เข้าใจในตัวบทและหลักการต่างๆในการวินิจฉัย) ดังนั้น จำเป็นต่อเขายึดสิ่งที่อัลเลาะฮฺทรงตรัสว่า " ดังนั้น พวกเจ้าจงถามผู้มีความรู้ หากพวกเจ้าไม่รู้ " ดู เอี๊ยะลาม อัลมุวักกิอีน เล่ม 4 หน้า 234
วิจารณ์หนังสือ"มุสลิมต้องสังกัดมัซฮับหรือไม่? By: al-azhary Date: มี.ค. 24, 2007, 06:44 PM
al-azhary ผู้แต่งหนังสือกล่าวว่า
ผู้คนทั่วไป(เอาวาม)นั้นก็จะไม่มีแนวความคิด(มัซฮับ)ใดสำหรับเขา แล้วเมื่อเขากล่าวว่าฉันเป็นผู้สังกัดอยู่ในแนวความคิดของอีหม่ามชาฟีอี ผู้สังกัดอยู่สังกัดอยู่ในแนวความคิดของอิม่ามอะหมัด อิบนุฮับบัล ฉันเป็นผู้สังกัดอยู่ในแนวความคิดของอิม่ามอะบูหะนีฟะ ผู้สังกัดอยู่ในแนวความคิดของอิม่ามมาลิกหรือผู้สังกัดอยู่ในแนวความคิดอื่นจากนั้นเขาจะไม่กลายเป็นเช่นนั้นเพียงการกล่าวเท่านั้น (ดู หนังสือ มุสลิมต้องสังกัดมัซฮับหรือไม่? ฉบับแปลไทย หน้า 87-89 และฉบับภาษาอาหรับ หน้าที่ 122 ) (คำกำกับในวงเล็บเป็นของผู้วิจารณ์)
วิจารณ์
ผู้แต่งหนังสือได้เลือกบางคำพูดของท่านอิบนุก๊อยยิม เพื่อมาสนับสนุนทัศนะของตนในการห้าม(หะรอม)สังกัดมัซฮับเป็นการเฉพาะ ซึ่งความจริงแล้วไม่มีช่วงทางใดเลยที่จะไปห้ามการสังกัดมัซฮับเป็นการเฉพาะของคนมุก๊อลลิด แต่ท่านผู้แต่งหนังสือพยายามคัดเลือกคำพูดของท่านอิบนุ ก๊อยยิม บางส่วนที่ว่า "คนเอาวามนั้นใช้ไม่ได้ในการมีมัซฮับ หากแม้นว่าเขาจะสังกัดมัซฮับก็ตาม เพราะคนเอาวามนั้น ไม่มีมัซฮับให้กับเขา..." ซึ่งหากเราพิจารณาในส่วนหน้าและส่วนหลังจากคำกล่าวของท่านอิบนุก๊อยยิม เราจะพบว่าท่านอิบนุก๊อยยิม ได้อธิบายถึงสิ่งที่ไม่มีการขัดแย้งเกี่ยวกับแก่นแท้(ฮะกีกัต)ของคนมุก๊อลลิด คือ "ไม่วายิบสำหรับคนมุก๊อลลิดทำการตามมัซฮับเดียวเป็นการเฉพาะในทุก ๆ ประเด็นและข้อปลีกย่อยของมัซฮับนั้น ๆ "
แต่คำพูดของท่านอิบนุก๊อยยิมบางตอนที่ผู้แต่งหนังสือนำมาถ่ายทอด โดยคิดว่าสามารถนำมาสนับสนุนทัศนะที่ให้ทิ้งการตักลีดและทำให้ผู้คนทั้งหมดยึดอัลกุรอานและซุนนะฮ์ แต่สำนวนคำพูดของท่านอิบนุก๊อยยิมนั้น ไม่ได้ชี้ถึงสิ่งดังกล่าวเลยแม้แต่น้อย แต่จุดมุ่งหมายคำพูดของท่านอิบนุก๊อยยิมที่บรรดาอุลามาอ์มากมายได้กล่าวไว้เช่นกัน ก็คือ
"คนเอาวามทั่วไปนั้น เมื่อเขาพบกับมุฟตี(มุจญฮิด)คนหนึ่ง เพื่อต้องการแก้ไขปัญหาที่เขาต้องการทราบถึงฮุกุ่มของมัน และเขาก็ได้ถามมุฟตี(มุจญฺฮิด)ถึงปัญหานั้น ดังนั้น จำเป็นบนเขา ให้ยึดคำกล่าวของมุฟตี(มุจญฮิด) และไม่อนุญาติให้คนเอาวามทำการขอคำฟัตวาปัญหานั้น ๆ ตามนัยยะของมัซฮับหนึ่งเป็นการเฉพาะ ดังกล่าว ก็เพราะว่ามุฟตีนั้นเป็นมุจญฮิด ซึ่งหากมุฟตีไม่ได้เป็นมุจญฮิด ก็ไม่อนุญาติให้เรียกเขาว่า "มุฟตี" และแต่งตั้งเขาให้เป็นมุฟตี และมุฟตีที่เป็นมุจญฮิดจะทำการตอบผู้ที่ถามด้วยสิ่งที่เขาทำการวินิจฉัย และไม่อนุญาติให้เขาทำการตักลีดตามมุฟตีที่เป็นมุจญฮิดเหมือนกับเขา แต่!! อนุญาติให้คนเอาวามทั่วไป ทำการถามมุฟตีมุจญฮิด จากสิ่งที่อิมามชาฟิอีย์ได้กล่าวไว้เกี่ยวกับประเด็นปัญหานั้น ๆ และอนุญาติให้มุฟตีมุจญฮิด ทำการรายงานคำกล่าวของอิมามชาฟิอีย์ที่เกี่ยวกับประเด็นปัญหานั้น ๆ แต่ก็ต้องอยู่ในหนทางของการถ่ายทอดคำกล่าวอิมามชาฟิอีย์เท่านั้น ไม่ใช่อยู่ในหนทางของการฟัตวา เพราะการที่คนเอาวามทั่วไปจะขอให้มุฟตีมุจญฮิดทำการฟัตวา(ไม่ใช่ถ่ายทอด)ตามมัซฮับของอิมามที่คนเอาวามยึดถือนั้น ย่อมไม่เป็นที่อนุญาติ เพราะจะทำให้มุฟตีมุจญฮิดไม่แตกต่างอะไรกับคนทั่วไปที่อ้างว่ามีความรอบรู้ถึงมัซฮับอิมามของเขาที่เฉพาะ และถ้าหากว่าเป็นเช่นนั้นจริง ก็ไม่จำเป็นต้องถามและขอคำฟัตวาและจากนักปราชญ์มุจญฮิด"
และสำนวนของจุดมุ่งหมายนี้ ย่อมเป็นสิ่งที่ชัดเจนและไม่ต้องสงสัยแต่ประการ โดยที่บรรดานักปราชญ์ได้กล่าวเอาไว้ว่า
مذهب العامى مذهب مفتيه ، وليس للعامى على هذا مذهب معين
"มัซฮับของคนเอาวาม คือมัซฮับมุฟตีของเขา และตามกรณีนี้ คนเอาวามจึงไม่มีมัซฮับที่เฉพาะเจาะจง"
แต่วิถีชีวติของคนเอาวามจะเป็นอย่างไร? หากว่าเขาได้หันมองไปรอบ ๆ ตัวของเขา แล้วไม่พบมุฟตี(มุจญฮิด)คนใดเลย โดยที่เขาไม่เห็นผู้ใดนอกจากเลยนอก บรรดาผู้รู้ที่ทำการตักลีดมัซฮับหนึ่งที่เฉพาะ และบรรดาผู้รู้เหล่านั้นที่ถูกเรียกว่า "มุฟตี" ในหมู่พวกเขา ซึ่งความจริงแล้วชื่อนี้(คือคำว่ามุฟตี)ได้ถูกนำมาใช้เพราะยืมคำพูดมาหรือเพราะมีความคล้ายคลึงตามหลักปฏิบัติเท่านั้น ฉะนั้น หลักการที่ว่า "มัซฮับของคนเอาวาม คือ มัซฮับมุฟตีของเขา" จึงไม่ได้ครอบคลุมอยู่ในกรณีนี้เลย เพราะว่าไม่มีมุฟตีที่แท้จริงให้กับเขา เพราะคำว่า "มุฟตี" ตามทัศนะของนักปราชญ์มูลฐานนิติศาสตร์(อุลามาอ์อุซูลุลฟิกห์) นั้นคือ "มุจญฮิดมุฏลัก" (ปราชญ์นักวินิจฉัยที่เป็นเอกเทศ)
ดังนั้น เมื่อไม่มีมุฟตีที่แท้จริงตามหลักมูลฐานนิติศาสตร์อิสลามนั้น ก็จำเป็นต่อคนเอาวามให้ทำการขอคำฟัตวาจากทัศนะของบรรดานักปราชญ์มุจญฮิดในอดีต ซึ่งท่านอิบนุ ก๊อยยิมได้กล่าวเอาไว้แล้วว่า " และสิ่งที่ดีเลิศในสิ่งที่พวกเขาได้รับนั้นคือ การตักลีดตามบรรดาปวงปราชญ์ที่เสียชีวิตไปแล้ว...โดยที่บรรดาทัศนะคำกล่าวของพวกเขานั้น จะไม่ตายด้วยเหตุการตายของผู้ที่กล่าว"
และบรรดาปวงปราชญ์ที่ดีเลิศ สำหรับผู้ที่จะขอฮุกุ่มคำฟัตวาจากบรรดานักปราชญ์มุจญฺฮิดในอดีต ก็คือ บรรดาอิมามทั้ง 4 ด้วยการรับรองมุติเป็นเอกฉันท์จากปวงปราชญ์แห่งประชาชาติอิสลามทั้งหมด ด้วยสาเหตุที่บรรดามัซฮับของพวกเขาเหล่านั้น ได้รับการตอบรับ มีการตรวจสอบ และได้บันทึกหลักการเอาไว้พร้อมสรรพ และปัจจัยต่าง ๆ ที่ทำให้จิตสงบและมั่นใจในความถูกต้องของอ้างอิงถึงเข้าของมัซฮับนั้นมีความสมบูรณ์พร้อม ซึ่งคนเอาวามทั่วไปนั้น สามารถที่จะถามผู้ใดก็ได้ตามที่เขาต้องการ จากหนทางของอุลามาอ์มัซฮับและผู้ที่มีความเข้าใจอันลึกซึ้งในมัซฮับนั้น หรือจะทำการศึกษาตำราของมัซฮับนั้นซึ่งหากว่าเขามีความสามารถ หลังจากนั้นก็อนุญาต(แต่ไม่วายิบ) ให้เขาทำการสังกัดมัซฮับหนึ่งมัซฮับก็ได้ และก็อนุญาตให้เขาทำการย้ายมัซฮับของอิมามคนหนึ่งไปสู่มัซฮับอิมามอื่นได้ตามเงื่อนไขต่าง ๆ ที่นักปราชญ์นิติศาสตร์และนักปราชญ์มูลฐานนิติศาสตร์อิสลามได้กล่าวไว้
ดังนั้น คนเอาวามคนหนึ่งที่ปฏิบัติเช่นนี้ เขาก็ไม่ได้ออกจากแก่นแท้ของหลักการที่ว่า "มัซฮับของคนเอาวาม คือมัซฮับมุฟตีของเขา" เพราะว่าเขาไม่พบว่ามีมุฟตีที่แท้จริงอยู่รอบ ๆ ตัวเขา ฉะนั้น เขาจึงจำเป็นต้องไปขอคำฟัตวาของอุลามาอ์มัซฮับชาฟิอีย์ เป็นต้น ดังนั้น มัซฮับของเขา ก็คือ มัซฮับชาฟิอีย์ ตามหลักการที่ระบุเอาไว้ข้างต้นนั่นเอง
al-azhary หากอักษรตกหล่นประการใด ผมขอมะอัฟด้วยนะครับ เพราะว่าพิมพ์แล้ว ก็ไม่ได้ตรวจทานอะไร
บังอะสันครับ ผมอยากให้บังอะสันพูดตามหลักการในเชิงวิชาการ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง บังอะสันสมควรอ่านสิ่งที่ผมนำเสนอให้หมดแล้วให้เข้าใจในหลักการที่นักปราชญ์แห่งโลกอิสลามได้ฉายภาพให้เห็นแก่เรา ดังนั้น เมื่อบังอะสันอ่านมันเรียบร้อยแล้ว ก็นำมาวิจารณ์ออกความคิดเห็น เพื่อจะได้อยู่ในกรอบและอยู่ในประเด็นมากที่สุด ซึ่งหากบังอะสันไม่อ่านให้หมด บังอะสันก็จะนำความคิดบังอะสันเข้ามาและทำการคิดไม่ดีต่อคนเอาวามทั่วไป ๆ ผมอยากให้บังอะสันอ่านให้เข้าใจกับสิทธิของคนเอาวามให้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง อย่าเพิ่งไปคิดไม่ดีไม่ร้ายกับพวกเขา และบังอะสันก็อย่าเอาปัญหาคิลาฟิยะฮ์เกี่ยวข้องกับกระทู้นี้ เนื่องจากบังอะสันมักคิดว่า ปัญหาคิลาฟิยะฮ์นั้นในทัศนะอื่นไม่มักมีหลักฐาน แล้วก็กล่าวหาว่าผู้อื่นตามแต่อุลามาอ์โดยไม่ตามอัลกุรอานและซุนนะฮ์ ซึ่งผมอยากให้บังอะสันพูดหลักการที่เฉพาะในเรื่องการตักลีดของคนเอาวาม(มุก๊อลลิด)ก่อนนะครับ
والسلام
الأزهرى الشافعى
asan น้องบ่าวal-azhary กล่าวว่า ท่านอิซซุดดีน บิน อับดุสลามกล่าวว่า
ไม่อนุญาติให้กับคนหนึ่งคนใด ทำการตัดลีดกับผู้ที่ไม่ได้ถูกใช้ให้ทำการตัดลีกเขา เช่น มุจญฺฮิดตักลีดตามมุจญฺฮิดหรือตักลีดตามซอฮาบะฮ์ และในประเด็นเหล่านี้ ได้มีการขัดแย้งกันระหว่างอุลามาอ์ ซึ่งผู้ขัดแย้งในสิ่งดังกล่าวถูกคัดค้านด้วยคำตรัสของอัลเลาะ ตาอาลา ที่ว่า "ไม่มีการตัดสินใดนอกจากเป็นสิทธิ์ของอัเลาะฮ์ ผู้ทรงบัญชาให้พวกท่านอย่าทำการอิบาดะฮ์นอกจากกับพระองค์เท่านั้น" แต่สิ่งดังกล่าวนั้นถูกยกเว้นสำหรับคนเอาวามทั่วไป เพราะหน้าที่ของพวกเขานั้น คือการตัดลีดตาม
...........
คำพูดของท่าน อิซซุดดีน บิน อับดุสลาม(ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)ที่ว่า " แต่สิ่งดังกล่าวนั้นถูกยกเว้นสำหรับคนเอาวามทั่วไป เพราะหน้าที่ของพวกเขานั้น คือการตัดลีดตาม"
คำนี้ท่านได้อ้างหลักฐานอะไรมาสนับสนุนหรือครับ
แล้วอายะฮ และหะดิษต่อไปนี้ ยกเว้นคนอาวามหรือเปล่า
وَلاَ تَقْفُ مَا لَيْسَ لَكَ بِهِ عِلْمٌ إِنَّ السَّمْعَ وَالْبَصَرَ وَالْفُؤَادَ كُلُّ أُولـئِكَ كَانَ عَنْهُ مَسْؤُولاً
[17.36] และอย่าติดตามสิ่งที่เจ้าไม่มีความรู้ในเรื่องนั้น แท้จริงหู และตา และหัวใจ ทุกสิ่งเหล่านั้นจะถูกสอบสวน
عليكم بسنتي وسنة الخلفاء الراشدين المهديين، تمسكوا بها، وعَضُّوا عليها بالنواجذ،
พวกท่านมีหน้าที่ปฏิบัติตามสุนนะฮของฉัน และสุนนะฮบรรดาเคาะลิฟะฮ ผู้ทรงคุณธรรม ผู้ได้รับทางนำ พวกท่านจงยึดถือมัน และจงกัดมัน ด้วยฟันกราม ผิด
Salafy อัสสลามมุอะลัยกุม
ผมว่าการนำเสนอแบบนี้ก็ถือว่ามีประโยชน์นะ ผมเห็นด้วยที่มีการวิจารณ์หนังสือแบบนี้ เพราะทำให้ผมได้มองเห็นในอีกแง่มุมนึง ขอให้อัลลอฮทรงตอบแทนทุกท่านที่มีความพยายามนำความรู้มาให้ แต่อยากจะเสนอแนะเพียงเล็กน้อยนะครับว่า
การนำเสนอนั้นไม่ได้หมายความว่า เราจะรับฟังคนอื่นบ้างไม่ได้ และเมื่อนำเสนอไปก้อควรให้อยู่ในแนวทางที่มันควรจะเป็น การทำอะไรไปเมื่อมีคนไม่เห็นด้วยก็ไม่ได้หมายความว่าเค้าเป็นศัตรูกับเรา เค้าถึงจะผิดไปซะทุกเรื่องรึว่าเราต้องตั้งใจเถียงเค้า หรือเราปิดประตูการรับฟังของเราทุกเรื่อง
เมื่อมีคนบอกเราว่าจะให้เราทำอะไร แน่นอนเราก้ออยากให้เค้าพูดกับเราดีๆ ใช่มั๊ยครับ? คงไม่มีใครอยากมานั่งให้คนอื่นต่อว่าอยู่....คงไม่มีใครอยากโดนตีหน้าไปแล้วว่าเป็นคนชั่ว เป็นคนไม่ดี เพราะในอิสลามเราขนาดผู้ที่ทำชีริกเรายังต้องมาดูเลยไม่ใช่รึครับว่า เค้าทำชีริกเล็กหรือชีริกใหญ่...แต่อิสลามเรามีจุดกลับ มีจุดตัดสินอยูในตัวอยู่แล้ว ที่ผมว่ามานี้ไม่ได้บอกจะให้ไปทำดีกับ ศัตรูของอิสลามนะ ที่พูดนี่ก้อหมายถึง พี่น้องมุสลิมเรานี่แหล่ะ ที่บางคนความเชื่อไม่ตรงกัน แต่เราเป็นพี่น้องกันนี่ครับ....ควรพูดดีๆกัน....ควรแสดงมารยาทที่ดีต่อกัน....(อันนี้เป็นวายิบรึป่าว...วานผู้รู้บอกทีครับ)
ผมยอมรับนะครับว่าผมเชื่อว่ามุสลิมไม่จำเป็นต้องสังกัดมัซฮับ....เพราะไม่มีคำสั่งใช้มา แต่...ถ้าพี่น้องท่านใดจะยึดตาม ก็ไม่มีปัญหาอะไร ถ้าการตามนั้นมันไม่เทียบเท่าหรือมากไปกว่าการเชื่อฟังในสิ่งที่อัลลอฮ และท่านนบีมุฮัมมัดฯ สั่งใช้มา....
ในบางอย่างผมไม่ให้ด้วยเลยกับที่คุณอัซฮารีย์ นำเสนอมา...แต่...แต่ครับแต่....จากความเชื่อที่คุณอัสฮารีย์นำมาเสนอ ผมเห็นว่า คุณอัซฮารีย์ยังเป็นพี่น้องมุสลิมเหมือนกับผมและอีกหลายๆคน และมีความพยายามในการนำเสนอมาก..อันนี้ผมขอชมจากใจเลยนะ(เห็นมั๊ยครับ?.....ความเห็นไม่เหมือนกันแต่ก้อยังดีกันได้นะ)
สุดท้าย...ก็ไม่มีอะไร..ท่านใดอยากจะนำเสนออะไรก้อทำไปเถอะครับ...ถ้ามันไม่เกินขอบเขตของศาสนา...และไม่เกินความเป็นพี่น้องกัน
ขอให้อัลลอฮทรงตอบแทนทุกท่านที่มีเจตนาดีในการศึกษาหาความรู้ในเรื่องศาสนาครับ
"แท้จริงบรรดาผู้ศรัทธานั้นเป็นพี่น้องกัน ดังนั้นพวกเจ้าจงไกล่เกลี่ยประนีประนอมกันระหว่างพี่น้องทั้งสองฝ่ายของพวกเจ้า และจงยำเกรงอัลลอฮฺเถิด หวังว่าพวกเจ้าจะได้รับความเมตตา" (ซูเราะฮฺ อัลหุญร๊อต : 10)
MUSTAKEEM คนเอาวามนั้นส่วนมากแล้วจะรู้แต่ชื่อมัซฮับ แต่การปฎิบัติที่แท้จริงนั้นเขาก็ยังไม่รู้เลยว่าตามมัซฮับของพวกเขาที่ยึดอยู่นั้นจะปฎิบัติอย่างไร คนพวกนี้จะไปตามกระแสของสังคม อย่างเช่นการเฝ้ากูโบร์ การอ่ารกุรอ่านให้คนตาย การละหมาดฮายัตขึ้นบ้านใหม่โดยพร้อมเพรียงกัน การขอดุอาหลังละหมาดโดยมีผู้นำขอดุอา เหล่านี้เป็นต้น ทั้งๆที่ตัวเองได้อ้างว่าฉันอยู่ในมัซฮับ ซาฟีอี แต่จริงๆแล้วไม่รู้ว่า ท่านอีหม่าม ซาฟีอี(รฮ)นั้นได้ฟัตวาว่าอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ พวกเขาไม่ค่อยสนใจที่จะเรียนรู้เพราะพวกเขาสังเกตดูจากโต๊ะครูบางคน(ที่ไม่เข้าใจ)ที่อ้างตัวว่าอยู่ในมัซฮับเดียวกับตน (นี่คือมัซฮับที่แท้จริงของพวกเขา)
กระทำการดังกล่าว แต่ที่ร้ายยิ่งไปกว่านั้นก็คือผู้ใดที่ไม่กระทำหรือปฎิเสธสิ่งดังกล่าวพวกเขาจะกล่าวหาว่าเป็นพวกที่เลวร้าย(ก็ตามกระแสเช่นกัน)และพวกเขาจะไม่ยอมละหมาดหลังอีหม่ามที่พวกเขาได้กล่าวหา .นี่คือจุดบอดของการ สังกัดมัซฮับที่ตักลีดโดยตาบอดและตาอาซุบ ซึ่งผมก็เห็นด้วยกับเจ้าของหนังสือ"มุสลิมต้องสังกัดมัซฮับหรือไม่?" ที่พยายามจะเรียกร้องอุมมะห์เพื่อกลับไปสู่ ซุนนะห์ที่แท้จริงโดยที่ทุกคนต้องเรียนรู้ว่ามันเป็นอย่างไร
ชอบนักหรือที่จะเป็นคนเอาวามตลอดไปโดยไม่ค้นหาความรู้เพื่อตัวเอง และรู้อยู่แก่ใจว่าตัวเองนั้นต้องพบกับการสอบสวนซึ่งจะหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย เราใช้เวลาเรียนทางโลกไปแล้วเพื่อปากท้องตั้งแต่ยังเล็กจนโตไม่รู้ว่าเท่าไหร เมื่อเราใกล้ตายแล้วเราจะรู้ว่า เราทำไปทำไม่?เพื่อใคร?เพื่อตัวเองหรือ?ไม่ใช่หรอก เพราะว่าตัวเองกำลังจะจากสิ่งที่ได้กระทำไว้ ....
al-azhary ถึงคุณ MUSTAKEEM
คุณ MUSTAKEEM ครับ หากคุณจะมาโจมตีโต๊ะครูบางคนหรือผู้มีมัซฮับในการปฏิบัติประเด็นคิลาฟิยะฮ์ละก็ ผมไม่เห็นด้วยที่คุณจะนำมาพูดในกระทู้นี้ ซึ่งหากคุณต้องการจะพูดเรื่องปัญหาคิลาฟิยะฮ์หรือความแตกต่างระหว่างในเรื่องฟิกห์และอากิดะฮ์หรือประวัติความเป็นของแนวทางของคุณและเราล่ะ เราพร้อมที่จะตั้งกระทู้ได้ทุกวันเวลาหากคุณต้องการ ดังนั้น กรุณาอย่าพยายามเอาปัญหาคิลาฟิยะฮ์เข้ามาเบี่ยงประเด็นในการสนทนาหลักพื้นฐานของคนเอาวาม เช่นการละหมาดฮายัต การอ่านอัลกุรอานอุทิศผลบุญให้แก่พี่น้องมุสลิมที่เสียชีวติไปแล้ว เป็นต้น ซึ่งผมไม่อยากจะนำมาเกี่ยวกับการสนทนาเรื่องมัซฮับและหลักพื้นฐานของการตักลีดของคนเอาวามทั่วไป การศึกษาหาวิชาความรู้นั้น อิสลามส่งเสริม คนเอาวามทั่ว ๆ ไปเขาก็หาวิชาความรู้กันทั้งนั้น แต่การที่คนเอาวามจะไปศึกษาวินิจฉัยหุกุ่มต่าง ๆ ของนิติศาสตร์อิสลาม ในอัลกุรอานและซุนนะฮ์ด้วยตนเองเพียงลำพังนั้น อันนี้ ผมไม่สนับสนุนอย่างแน่นอน แต่หากคนเอาวามอย่างเรา ๆ ทำการศึกษานิติศาสตร์อิสลามจากอัลกุรอานและซุนนะฮ์ โดยยึดการอธิบายของนักปราชญ์มุจญฮิดนั้น ก็ย่อมไม่มีปัญหาและเราก็ส่งเสริมเป็นอย่างมาก และผมไม่สนับสนุนผู้แต่งหนังสือ "มุสลิมต้องสังกัดมัซฮับหรือไม่?" เนื่องจากผู้แต่ง พยายามให้คนเอาวามทั่วไปทำการวินิจฉัยหลักการนิติศาสตร์ในอัลกุรอานและซุนนะฮ์โดยตรง ซึ่งการเรียกร้องแบบนี้ ถือว่าเป็นบิดอะฮ์ที่มาคุกคามนิติศาสตร์อิสลามโดยรวม เพราะตั้งแต่สมัยซอฮาบะฮ์ สมัยตาบิอีน และตาบิอิดตาบิอีน ไม่เคยมีนักปราชญ์ท่านใดเรียกร้องให้คนเอาวามที่ไม่มีคุณสมบัติในการวินิจฉัย มาร่วมการวิเคราะห์ วิจัย หลักการนิติศาสตร์ในอัลกุรอานและซุนนะฮ์ ดังนั้น คุณต้องรออ่านการวิจารณ์ที่ผมจะนำเสนอให้หมดเล่ม แล้วค่อยสรุปตัดสินใจ เพราะบางครั้งคุณอาจจะอ่านหนังสือเล่มนั้นแล้วก็ได้ แต่คุณอาจจะอ่านแบบตักลีด และไม่สามารถแยกแยะสิ่งถูกผิด และการที่ผมได้ทำการนำเสนอวิจารณ์นั้น ก็ถือว่าเป็นการแสวงหาวิชาความรู้อย่างหนึ่งที่อิสลามไม่ได้ปฏิเสธแต่ประการใด
al-azhary ถึงบังอะสัน
وعليكم السلام ورحمة الله وبركاته
ขอบคุณที่บังอะสันเข้าใจครับ
อ้างอิงจากบังอะสัน
คำพูดของท่าน อิซซุดดีน บิน อับดุสลาม(ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)ที่ว่า " แต่สิ่งดังกล่าวนั้นถูกยกเว้นสำหรับคนเอาวามทั่วไป เพราะหน้าที่ของพวกเขานั้น คือการตัดลีดตาม"
คำนี้ท่านได้อ้างหลักฐานอะไรมาสนับสนุนหรือครับ
แล้วอายะฮ และหะดิษต่อไปนี้ ยกเว้นคนอาวามหรือเปล่า
وَلاَ تَقْفُ مَا لَيْسَ لَكَ بِهِ عِلْمٌ إِنَّ السَّمْعَ وَالْبَصَرَ وَالْفُؤَادَ كُلُّ أُولـئِكَ كَانَ عَنْهُ مَسْؤُولاً
[17.36] และอย่าติดตามสิ่งที่เจ้าไม่มีความรู้ในเรื่องนั้น แท้จริงหู และตา และหัวใจ ทุกสิ่งเหล่านั้นจะถูกสอบสวน
عليكم بسنتي وسنة الخلفاء الراشدين المهديين، تمسكوا بها، وعَضُّوا عليها بالنواجذ،
พวกท่านมีหน้าที่ปฏิบัติตามสุนนะฮของฉัน และสุนนะฮบรรดาเคาะลิฟะฮ ผู้ทรงคุณธรรม ผู้ได้รับทางนำ พวกท่านจงยึดถือมัน และจงกัดมัน ด้วยฟันกราม
ตอบ
บังอะสันครับ บังต้องแยกประเด็นะหว่างคนเอาวามและนักมุจญฮิด อย่าเอาอายะฮ์อัลกุรอานที่มีข้อบ่งชี้สำหรับนักมุจญฮิดมาใช้กับคนเอาวามทั่วไป เพราะมันคนละประเด็นกัน ท่านอิมาม อิบนุ อับดุสลาม (ร่อฮิมะฮุลลอฮ์) ได้แยกแยะประเด็นไว้ชัดเจนแล้ว บังอะสันไม่พยายามเข้าใจเอง ซึ่งท่านอิมาม อิบนุ อับดุสลามกล่าวไว้ข้างต้นแล้วว่า
"ไม่อนุญาติให้กับคนหนึ่งคนใด ทำการตัดลีดกับผู้ที่ไม่ได้ถูกใช้ให้ทำการตัดลีกเขา เช่น มุจญฺฮิดตักลีดตามมุจญฺฮิดหรือตักลีดตามซอฮาบะฮ์ และในประเด็นเหล่านี้ ได้มีการขัดแย้งกันระหว่างอุลามาอ์ ซึ่งผู้ขัดแย้งในสิ่งดังกล่าวถูกคัดค้านด้วยคำตรัสของอัลเลาะ ตาอาลา ที่ว่า
{إن الحكم إلا لله أمر أن لا تعبدوا إلا إياه}
"ไม่มีการตัดสินใดนอกจากเป็นสิทธิ์ของอัเลาะฮ์ ผู้ทรงบัญชาให้พวกท่านอย่าทำการอิบาดะฮ์นอกจากกับพระองค์เท่านั้น............."ดู หนังสือ ก่อวาอิด อัล-อะหฺกาม เล่ม 2 หน้า 35
ดังนั้น อายะฮ์ที่บังอะสันยกอ้างอิงมาที่ว่า
وَلاَ تَقْفُ مَا لَيْسَ لَكَ بِهِ عِلْمٌ إِنَّ السَّمْعَ وَالْبَصَرَ وَالْفُؤَادَ كُلُّ أُولـئِكَ كَانَ عَنْهُ مَسْؤُولاً
"และอย่าติดตามสิ่งที่เจ้าไม่มีความรู้ในเรื่องนั้น แท้จริงหู และตา และหัวใจ ทุกสิ่งเหล่านั้นจะถูกสอบสวน" 17 : 36
ซึ่งอายะฮ์นี้ อยู่ในสิทธิของนักมุจญฮิดที่เป็นผู้มีความรู้และสามารถวินิจฉัยได้ ดังนั้น มุจญฮิดจะไปตามผู้อื่นโดยไม่นำความรู้และการวินิจฉัยมาใช้นั้นย่อมไม่ได้ เพราะ หู ตา และหัวใจ จะถูกสอบถาม
ในประเด็นของหะดิษที่บังอะสันอ้าอิงมาว่า
عليكم بسنتي وسنة الخلفاء الراشدين المهديين، تمسكوا بها، وعَضُّوا عليها بالنواجذ،
"พวกท่านมีหน้าที่ปฏิบัติตามสุนนะฮของฉัน และสุนนะฮบรรดาเคาะลิฟะฮ ผู้ทรงคุณธรรม ผู้ได้รับทางนำ พวกท่านจงยึดถือมัน และจงกัดมัน ด้วยฟันกราม"
หะดิษนี้ ไม่ไม่ได้ห้ามให้คนเอาวามตามนักมุจญฮิดในประเด็นที่เขาวินิจฉัยไม่ได้ เป็นที่ทราบดีกว่า การที่เราพูดถึงสิทธิที่คุณเอาวามตามหลักการวินิจฉัยของมุจญฮิดที่เขาไม่สามารถเข้าใจได้อย่างถ่องแท้นั้น ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ตามซุนนะฮ์และไม่ตามแนวทางของเคาะลีฟะฮ์ผู้ทรงธรรม และประเด็นไม่ได้พูดถึงการตามซุนนะฮ์หรือตามอุลามาอ์ แต่ประเด็นมันอยู่ที่ว่า คนเอาวามจะตามอัลกุรอานและซุนนะฮ์เกี่ยวกับฮุกุ่มนิติศาสตร์อิสลามอย่างถูกต้องอย่างไร?? จะให้คนเอาวามทั่วไปตามอัลกุรอานและซุนนะฮ์เกี่ยวกับบทบัญญัตินิติศาสตร์อิสลามโดยไปศึกษาเอง ไปเปิดอัลกุรอานและหะดิษอ่านเอง คิด เข้าใจ และวินิจฉัยบทบัญญัตินิติศาสตร์อิสลามกันเอาเอง หรือว่าคนเอาวามทั่วไปจะตามอัลกุรอานและซุนนะฮ์โดยผ่านการวินิจฉัยหลักนิติศาสตร์อิสลามจากอุลามาอ์มุจญฮิดที่โลกอิสลามให้การยอมรับ อย่างเช่น อิมามทั้ง 4 นี่คือประเด็นพื้นฐานที่เรากำลังคุยกันครับ ดังนั้น คนเอาวามที่ตามหลักวินิจฉัยเกี่ยวกับนิติศาสตร์อิสลามจากอิมามทั้ง 4 ผู้ตามอัลกุรอาน ซุนนะฮ์ และแนวทางของค่อลิฟะฮ์ผู้ทรงธรรม แน่นอน คนเอาวามทั่วไป ก็ย่อมได้ชื่อว่า เขาตามอัลกุรอาน ซุนนะฮ์ และแนวทางของค่อลิฟะฮ์ผู้ทรงธรรมด้วย ผมหวังว่าบังอะสันคงเข้าใจน้องบ่าวอย่างผมนะครับ
al-azhary อ้างอิงจากคุณ Salafy
1.มัซฮับไหนดีที่สุด??? (เลือกมาอันเดียวนะ...อย่าบอกว่าทุกอันดีหมด..เพราะถามไปว่า อันไหน"ดีที่สุด" น่ะครับ)
ตอบ
คำถามนี้ บรรดาผู้มีมัซฮับเขาจะไม่เอามาตั้งคำถามกัน เนื่องจากผู้มีมัซฮับนั้นถูกห้ามจากการตัดอัศศุบบรรดาอิมามของพวกเขาโดยเชื่อมั่นว่าอิมามของฉันดีที่สุด และมัซฮับอิมามของฉันประเสริฐที่สุด
ดังนั้น คำถามนี้ ผมขอมอบให้ท่าน อิมาม อัซซะฮะบีย์ อุลามาอ์ท่านหนึ่งผู้อยู่มัซฮับอิมามชาฟิอีย์ (ร.ฮ.) ตอบ ดังนี้ครับ
ท่านอัซซะฮะบีย์ กล่าวว่า
لا تعتقد أن مذهبك افضل المذاهب وأحبها إلى الله ، فإنك لا دليل لك على ذلك ، ولا لمخالفك أيضا ، بل الأئمة رضى الله عنه كلهم على خير كثير ولهم فى صوابهم أجران على كل مسألة وفى خطئهم أجر واحد
"ท่านอย่าเชื่อมั่นว่า แท้จริงมัซฮับของท่านนั้น ประเสริฐที่สุดจากมัซฮับทั้งหลาย และเป็นมัซฮับที่รักยิ่งที่สุดไปยังอัลเลาะฮ์ เพราะแท้จริง ท่านไม่มีหลักฐานสำหรับต่อการยืนยันในสิ่งดังกล่าว และไม่มีหลักฐานสำหรับผู้ที่มีมัซฮับขัดแย้งกับท่านเช่นกัน แต่บรรดาอิมาม(ร่อฏิยัลลอฮุอันฮุม) ทั้งหมดนั้น อยู่บนความดีงามอันมากมาย และทุกประเด็นปัญหาที่พวกเขามีความถูกต้องนั้น ก็จะได้รับ 2 การตอบแทนสำหรับพวกเขา และในความผิดพลาด ย่อมได้รับผลการตอบแทนเดียว" ดู หนังสือ ซัฆฺล์ อัลอิลม์ วะ อัลเฏาะลับ ของท่าน อัซซะฮะบีย์ หน้า 14
ส่วนประเด็นอื่น ๆ ที่มีคนถามมาเกี่ยวกับผมมัซฮับนั้น เช่นการอ้างคำกล่าวของอิมามชาฟิอีย์ที่ว่า "เมื่อหะดิษซอฮิหฺ นั้นคือมัซฮับของฉัน" ซึ่งคำพูดถูกต้อง แต่บางคนนำมาเข้าใจผิดเข้าข้างตัวเอง ซึ่งผมจะหาเวลาทะยอยต่อไปเรื่อย หากผมรู้ อินชาอัลเลาะฮ์
วิจารณ์หนังสือ"มุสลิมต้องสังกัดมัซฮับหรือไม่? By: al-azhary Date: มี.ค. 24, 2007, 07:05 PM
al-azhary ผู้แต่งหนังสือกล่าวว่า
และการได้มาซึ่งหนทางนี้ มันเป็นสิ่งที่ง่ายไม่ต้องการมากไปกว่ามุวัฏเฏาะ เศาะเหียะบุคคอรีย์เศาะเหียะมุสลิมสุนันอบูดาวุด ญาเมียะตริมีซีย์และนะซาอีและตำรับเหล่านี้เป็นที่รู้จักกันดีและมีชื่อเสียงสามารถจะหาได้มาภายระยะเวลาที่ใกล้ที่สุด..(ดู หนังสือมุสลิมต้องสังกัดมัซฮับหรือไม่? ฉบับแปลไทย หน้า 83 และต้นฉบับภาษาอาหรับ หน้า 115)
ตอบ
เป็นความไม่ถูกต้อง หากใช้ให้คนเอาวามที่ไม่มีความเชี่ยวชาญทำการศึกษาจากหนังสือหะดิษเองและวินิจฉัยในเรื่องนิติศาสตร์อิสลามเอง แบบนี้ไม่มีอุลามาอ์ท่านใดทำการเรียกร้องแบบนี้ และท่านอิบนุก๊อยยิมเองก็ได้อธิบายไว้ว่า
อิบนุ อัลกัยยิมกล่าวอีกเช่นกันว่า
الفائدة الثامنة و الأربعون: إذا كان عند الرجل الصحيحان أو أحدهما أو كتاب من سنن رسول الله صلى الله عليه و سلم موثق بما فيه، فهل له أن يفتي بما يجده فيه؟ ... و الصواب في هذه المسألة التفصيل، فإن كانت دلالة الحديث ظاهرة بينة لكل من سمعه، لا يحتمل غير المراد، فله أن يعمل به، و يفتي به، و لا يطلب التزكية له من قول فقيه أو إمام بل الحجة قول رسول الله صلى الله عليه و سلم... و إن كانت دلالته خفية لا يتبين المراد منها لم يجز له أن يعمل، و لا يفتي بما يتوهمه مرادا حتى يسأل و يطلب بيان الحديث و وجهه... و هذا كله إذا كان ثمة نوع أهلية و لكنه قاصر في معرفة الفروع و قواعد الأصوليين و العربية، و إذا لم تكن ثمة أهلية قط، ففرضه ما قال الله تعالى: فاسألوا أهل الذكر إن كنتم لا تعلمون
"เมื่อชายคนหนึ่ง มีหนังสือ ซอฮิหฺบุคอรีย์และมุสลิม หรือเล่มหนึ่งเล่มจากทั้งสอง หรือมีหนังสือเล่มหนึ่งที่เกี่ยวกับซุนนะฮ์ของท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.)ที่ถูกรับรองความเชื่อถือได้ ดังนั้น อนุญาตให้เเขาทำการฟัตวาด้วยสิ่งที่เขาได้พบในตำราหะดิษต่าง ๆ เหล่านั้นหรือไม่?... ซึ่งที่ถูกต้องเกี่ยวกับประเด็นนี้นั้น ต้องแจกแจง คือถ้าหากว่าข้อบ่งชี้ของหะดิษมีความชัดเจนให้กับทุก ๆ คนที่ได้ยินได้ฟังโดยไม่ต้องตีความจุดมุ่งหมายให้เป็นอื่น ก็อนุญาติให้เขาทำการปฏิบัติและฟัตวาด้วยกับมันได้ โดยไม่ต้องนำไปตรวจสอบจากคำกล่าวของนักปราชญ์นิติศาสตร์หรืออิมาม(มุจญฺฮิด) แต่หลักฐานนั้น คือคำกล่าวของท่านร่อซูลุลลอฮ์(ซ.ล.) และถ้าหากว่าข้อบ่งชี้ของหะดิษ มีความซ่อนเร้นที่ไม่สามารถเข้าใจจุดมุ่งหมายอย่างชัดเจนได้ ก็ไม่อนุญาตให้เขานำมาปฏิบัติและไม่อนุญาติให้เขานำมาทำการฟัตวาด้วยกับจุดมุ่งหมาย(ของหะดิษ)ที่เขายังคลุมเคลือนอกจากจนกระทั่งเขาได้ทำการถาม(ผู้รู้) และขอการอธิบายจุดมุ่งหมายของหะดิษ...ซึ่งทั้งหมดนี้(คือที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น) คือเขานั้น มีคุณสมบัติอยู่ในแง่หนึ่ง แต่เขาพกพร่องในเรื่องการรู้จักข้อปลีกย่อยและกฏเกณฑ์ต่าง ๆ ของอุลามาอฺมูลฐานนิติศาสตร์อิสลาม(อุซูลุลฟิกห์) และอุลามาอฺภาษาอาหรับ และเมื่อใดเขาไม่มีคุณสมบัติเลย (คือไม่เข้าใจในตัวบทและหลักการต่างๆในการวินิจฉัย) ดังนั้น จำเป็นต่อเขายึดสิ่งที่อัลเลาะฮฺทรงตรัสว่า " ดังนั้น พวกเจ้าจงถามผู้มีความรู้ หากพวกเจ้าไม่รู้ " ดู เอี๊ยะลาม อัลมุวักกิอีน เล่ม 4 หน้า 234
al-azharyผู้แต่งหนังสือกล่าวว่า
หากท่านต้องการที่จะได้เห็นสาเหตุการเกิดแนวความคิดหนึ่งแนวความคิดและแนวปฏิบัติต่างๆก็ขอให้ท่านได้อ่านประวัติศาสตร์ของอิบนุคอลดูน เพราะเขาได้ทำไว้อย่างดีในการบรรยายขออัลลอฮ์ตอบแทนเขาด้วยสิ่งที่ดีด้วยและขาได้บอกว่า แนวความคิดต่าๆนั้นการเกิดของมันและการแพร่หลายของมันแท้ที่จริงแล้ว มันเกิดขึ้นด้วยสาเหตุนโยบายต่างๆที่อธรรมและการยึดครองของพวกต่างชาติที่มีวัตถุประสงค์ต่างๆในการครอบครองท่านก็จงระวัง.!!! (ดู หนังสือมุสลิมต้องสังกัดมัซฮับหรือไม่? "ฉบับแปลไทย หน้า 94 และต้นฉบับภาษาอาหรับ หน้า 125)
วิจารณ์
หากเราทำตามผู้แต่งหนังสือ โดยกลับไปทบทวนดูหนังสือ มุก๊อดดิมะฮ์ อิบนุ ค๊อลดูน โดยตรวจสอบและอ่านบทที่ว่าด้วยเรื่องสาเหตุและการกำเนิดของบรรดามัซฮับ เราก็จะไม่พบสิ่งที่ผู้แต่งหนังสือกล่าวอ้างไว้เลย แต่ในทางตรงกันข้าม เรากลับพบสัจจะธรรมอันชัดเจนที่เป็นทัศนะสอดคล้องของปวงปราชญ์ส่วนมากของอิสลาม ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ทำให้ประทับใจกับผู้แต่งหนังสือ
ท่านอิบนุ ค๊อลดูน ได้กล่าวไว้ว่า
إن الصحابة كلهم لم يكونوا أهل فتيا و لا كان الدين يؤخذ عن جميعهم، و إنما كان ذلك مختصا بالحاملين للقرآن العارفين بناسخه و منسوخه و متشابهه و محكمه و سائر دلالاته بما تلقوه من النبي صلى الله عليه و سلم أو ممن سمعه منهم من عليتهم، و كانوا يسمون لذلك القراء... و بقي الأمر كذلك صدر الملة، ثم عظمت أمصار الإسلام و ذهبت الأمية من العرب بممارسة الكتاب، و تمكن الاستنباط و كمل الفقه و أصبح صناعة و علما، فبدلوا باسم الفقهاء و العلماء، و انقسم الفقه فيهم إلى طريقتين: أهل الرأي و القياس، و هم أهل العراق، و طريقة أهل الحديث و هم أهل الحجاز. و كان الحديث قليلا في أهل العراق لما قدمناه، فاستكثروا من القياس و مهروا فيه، فلذلك قيل أهل الرأي. و مقدم جماعتهم الذي استقر المذهب فيه و في أصحابه أبو حنيفة النعمان. و إمام أهل الحجاز مالك بن أنس و الشافعي من بعده، ثم أنكر القياس طائفة من العلماء و أبطلوا العمل به، و هم الظاهرية، و جعلوا المدارك كلها منحصرة في النصوص و الإجماع و ردوا القياس الجلي و العلة المنصوصة إلى النص، لأن النص على العلة نص على الحكم في جميع محالها. و كان إمام هذا المذهب داود بن علي و ابنه و أصحابهما، و كانت هذه المذاهب إذ ذاك هي مذاهب الجمهور المشتهرة بين الأمة
"แท้จริง บรรดาซอฮาบะฮ์นั้น ไม่ได้เป็นผู้ที่มีคุณสมบัติเป็นนักฟัตวาไปเสียทั้งหมด และเรื่องของศาสนาก็ไม่ได้เอามาจากพวกเขาทั้งหมด แต่สิ่งดังกล่าว เฉพาะเจาะจงกับบรรดาซอฮาบะฮ์ผู้แบกรับอัลกุรอาน รอบรู้ตัวบทที่มายกเลิกและตัวบทที่ถูกยกเลิก ตัวบที่ยังมีข้อบ่งชี้คลุมเคลือและตัวบทที่มีความชัดเจน และบรรดาข้อบ่งชี้อื่น ๆ ของอัลกุรอานที่พวกเขาได้รับมาจากท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม หรือได้รับมาจากผู้ซึ่งมีระดับสูงที่ได้ยินคำกล่าวของท่านนบี ซ๊อลลัลฮุอะลัยฮิวะซัลลัม และด้วยเหตุดังกล่าว พวกเขาจึงถูกเรียกว่า อัลกุรรออ์ ... และสถานะภาพยังคงเป็นเฉกเช่นดังกล่าวในยุคแรกของอิสลาม หลังจากนั้น บรรดาเมืองต่าง ๆ ของอิสลามได้ขยายใหญ่ขึ้น ความไม่รู้หนังสือของชนอาหรับได้เลือนหายไปด้วยการฝึกฝนศึกษาอัลกุรอาน มีความสามารถในการวินิฉัย นิติศาสตร์อิสลามมีความสมบูรณ์ นิติศาสตร์อิสลามได้เกิดความชำนาญและกลายเป็นวิทยาการแขนงหนึ่ง ดังนั้น พวกเขาจึงถูกขนานนามว่า อัล-ฟุกอฮาอ์ (นักนิติศาสตร์อิสลาม) และ อุลามาอ์ (นักปราชญ์) และในท่ามกลางพวกเขานั้น นิติศาสตร์อิสลามได้แบ่งออกเป็นสองแนวทาง คือมัซฮับ ( مذهب الرأى) ที่มีเอกลักษณ์ในด้านการวินิจฉัยออกความเห็นที่อยู่ในอิรัก และมัซฮับ (مذهب الحديث) ที่มีการรับหะดิษมาได้มากกว่าที่อยู่แถบฮิญาซฺ(มักกะฮ์ มะดีนะฮ์ เป็นต้น) ... ชาวอิรักจะได้รับหะดิษน่อยกว่าอันเนื่องจากสิ่งที่เราได้กล่าวอธิบายมาแล้ว ดังนั้น พวกเขาจึงใช้หลักการกิยาสและมีความชำนาญเป็นอย่างมาก ด้วยเหตุนี้แหละที่พวกเขาถูกขนานนามว่า "ผู้ชำนาญในด้านความเห็น" ซึ่งแกนนำจากพวกเขา ที่บรรดาสานุศิษย์และมัซฮับของเขายังคงมีสเถรภาพ ก็คือ ท่านอิมามอบูหะนีฟะฮ์ อันนั๊วะมาน และแกนนำของชาวฮิญาซฺ คือท่านอิมามมาลิก บิน อะนัส และอิมามอัชชาฟิอีย์ หลังจากนั้นได้มีอุลามาอ์กลุ่มหนึ่งที่ปฏิเสธการกิยาส และถือว่าการปฏิบัติด้วยกิยาสนั้นเป็นโมฆะ และพวกเขาเหล่านั้นคือ อัซฺซฺอฮิรียะฮ์ ( الظاهرية ) ซึ่งพวกเขาได้ยึดหลักฐานจำกัดอยู่เพียงแค่บรรดาตัวบทและมติ โดยปฏิเสธการกิยาสที่มีความชัดเจนและปฏิเสธเหตุผลที่ถูกระบุไว้ในตัวบทต่าง ๆ เพราะตัวบทที่ระบุเหตุผล ย่อมเป็นตัวบทที่ระบุถึงฮุกุ่มหนึ่งในสถานที่ต่าง ๆ ของมันเท่านั้น และแกนนำของมัซฮับนี้คือ ท่านดาวูด บิน อะลี , บุตรของเขา และบรรดาสานุศิษย์ และบรรดามัซฮับเหล่านี้ ซึ่งนั่นก็คือบรรดามัซฮับของนักปราชญ์ส่วนมากที่เลื่องลือในทางกลางประชาชาติอิสลาม" ดู หนังสือ มุก๊อดดิมะฮ์ อิบนุ ค๊อลดูน หน้า 216
จากนั้นท่านอิบนุค๊อลดูน ได้กล่าวถึงอิมามทั้งสี่ อธิบายถึงความประเสริฐและความรู้ของพวกเขา อธิบายถึงหลักนิติศาสตร์และหลักมูลฐานนิติศาสตร์อิสลาม และได้อธิบายถึงวิธีการที่บรรดาสานุศิษย์ของท่านอบูหะนีฟะฮ์ได้ผสมผสานระหว่างมัซฮับของชาวฮิญาซฺและมัซฮับชาวอิรัก ดังนั้น สองสำนักนี้จึงได้ประจบพบกันด้วยเหตุดังกล่าว และท่านอิบนุ ค๊อลดูน ได้อธิบายถึงความแพร่หลายของทุก ๆ มัซฮับและสถานที่ที่มัซฮับแผ่ไปถึง แล้วท่านอิบนุ ค๊อลดูได้กล่าวว่า
و سد الناس باب الخلاف و طرقه بعد ذلك، لما كثر تشعب الاصطلاحات في العلوم، و لما عاق عن الوصول إلى رتبة الاجتهاد، و لما خشي من إسناد ذلك إلى غير أهله و من لا يوثق برأيه و لا بدينه
"บรรดานักปราชญ์ได้ปิดกั้นประตูและหนทางของการขัดแย้งหลังจากสิ่งดังกล่าว อันเนื่องจากมีศัพย์เชิงวิชาการแพร่หลาย มีความยากลำบากในการบรรลุถึงระดับการวินิจฉัย เกรงว่าสิ่งดังกล่าวจะมีการพาดพิงอ้างไปยังผู้ที่ไร้คุณสมบัติและผู้ที่ไม่ได้รับความเชื่อถือในเรื่องความเห็นและเรื่องศาสนาของเขา" หนังสือ มุก๊อดดิมะฮ์ อิบนุ ค๊อลดูน หน้า 216
นี้คือบทสรุปจากสิ่งที่ท่านอิบนุค๊อลดูนได้กล่าวไว้จากประเด็นของมัซฮับและการกำเนิดมัซฮับ ซึ่งจากสิ่งทั้งหมดนี้ ย่อมเป็นเรื่องที่ผู้แต่งหนังสือไม่ให้ความประทับใจ และเป็นสิ่งไร้ประโยชน์ในการสนับสนุนทัศนะของเขา และหากเราได้กลับไปอ่านทบทวนและวิเคราะห์อย่างจริงจังกับหนังสือ มุก๊อดดิมะฮ์ ของท่านอิบนุค๊อลดูนนั้น เราจะไม่พบแม้สักคำเดียวที่กล่าวว่าการเมืองอันป่าเถื่อนเข้ามามีบทบาทในการกำเนิดมัซฮับทั้งสี่ ตามที่ผู้แต่งหนังสือได้กล่าวอ้างไว้
al-azhary ผู้แต่งหนังสือกล่าวว่า
จะมีผู้กล่าวแก่ผู้ที่ลอกเลียนแบบว่า บนสิ่งใด พวกผู้คนทั้งหลายได้ตั้งอยู่..ก่อนที่จะมีคนนั้น คนนี้ ที่ท่านทั้งหลายได้ลอกเลียนแบบพวกเขาและได้ทำให้คำกล่าวอยู่ในตำแหน่งของตัวบทของผู้วางบัญญัติ..และหากพวกท่านได้หยุดยั้งตรงนั้นเท่านั้นก็จะเป็นการดีแต่พวกท่านได้ทำให้มันเป็นสิ่งที่สมควรกับการดำเนินตามมากกว่าตัวบทของผู้วางบัญญัติ...แล้วผู้คนทั้งหลายก่อนที่จะมีพวกเขาเหล่านี้ ตั้งอยู่บนความหลงผิด ก็จำเป็นที่พวกเขาจักต้องมีการยอมรับว่าพวกเขาตั้งอยู่บนทางนำ... (ดู หนังสือมุสลิมต้องสังกัดมัซฮับหรือไม่? ฉบับแปลไทย หน้า 59 และต้นฉบับภาษาอาหรับ หน้า 97)
วิจารณ์
เราขอกล่าวว่า นี้คือหลักฐานที่แปลกของผู้แต่งหนังสือ ซึ่งเราจะตอบคำถามในกรณีของคนมุก๊อลลิดที่ผู้แต่งหนังสือได้ถามขึ้นมาที่ว่า "บรรดาผู้คนทั้งหลาย ก่อนจะมีคนนั้น คนนี้ (เช่นอิมามชาฟิอีย์ และอิมามอบูหะนีฟะฮ์ เป็นต้น) นั้น พวกเขาปฏิบัติกันอย่างไร?" และเราจะตอบคำถามด้วยคำกล่าวของท่านอิบนุค๊อลดูนที่ผู้แต่งหนังสือได้ยึดนำมาอ้างอิง ซึ่งท่านอิบนุค๊อลดูนไม่ได้กล่าวดอกหรือว่า
إن الصحابة كلهم لم يكونوا أهل فتيا و لا كان الدين يؤخذ عن جميعهم، و إنما كان ذلك مختصا بالحاملين للقرآن العارفين بناسخه و منسوخه و متشابهه و محكمه و سائر دلالاته
"แท้จริง บรรดาซอฮาบะฮ์นั้น ไม่ได้เป็นผู้ที่มีคุณสมบัติเป็นนักฟัตวาไปเสียทั้งหมด และเรื่องของศาสนาก็ไม่ได้เอามาจากพวกเขาทั้งหมด แต่สิ่งดังกล่าว เฉพาะเจาะจงกับบรรดาซอฮาบะฮ์ผู้แบกรับอัลกุรอาน รอบรู้ตัวบทที่มายกเลิกและตัวบทที่ถูกยกเลิก ตัวบที่ยังมีข้อบ่งชี้คลุมเคลือและตัวบทที่มีความชัดเจน และบรรดาข้อบ่งชี้อื่น ๆ ของอัลกุรอาน"
ดังนั้น เมื่อซอฮาบะฮ์ที่มีคุณสมบัติในการฟัตวาและวินิจฉัยมีจำนวนที่จำกัดและมีความโดนเด่นจากพวกเขา ตามที่ท่านอิบนุ ค๊อลดูนกล่าวไว้ และมีซอฮาบะฮ์ส่วนที่เหลือที่ไม่ถึงขั้นระดับวินิจฉัยได้แล้ว ดังนั้น จากผู้ใดล่ะ ที่บรรดาซอฮาบะฮ์ส่วนที่เหลือจะทำการรับหลักการเกี่ยวกับเรื่องศาสนาของพวกเขา?? ฉะนั้น ย่อมไม่เป็นบาปแต่ประการใด ที่พวกเขาจะทำการรับหลักการศาสนาจากบรรดาซอฮาบะฮ์ที่มีจำนวนที่จำกัดและและมีความโดดเด่นในความีศักยภาพในการวิเคราะห์และวินิจฉัย หรือว่าการตักลีดนั้นจะมีความหมายอื่นอีก?? ซึ่งเป็นที่แน่นอนแล้วว่า กรณีนี้ย่อมไม่มีความแตกแต่งและเปลี่ยนผันเป็นอื่นไปได้ในระหว่างช่วงสองยุคสมัยนี้ กล่าวคือ บรรดาคนเอาวามทั่วไปในยุคสมัยของซอฮาบะฮ์นั้น ได้ทำการตักลีดตามผู้ที่มีความเลื่องลือในสมัยของพวกเขาในด้านของการฟัตวาและการวินิจฉัย และคนเอาวามทั่วไปในสมัยของยุคสมัยของตาบิอีนก็ได้ปฏิบัติสิ่งดังกล่าวเช่นเดียวกันนี้ และยุคสมัยถัดไปบรรดาคนเอาวามก็ได้ปฏิบัติสิ่งดังกล่าวเช่นเดียวกัน ดังนั้น อิมามชาฟิอีย์ อิมามอบูหะนีฟะฮ์ อิมามมาลิก และอิมามอะหฺมัด นั้น พวกเขาไม่ใช่อื่นใดเลย นอกจากเป็นกลุ่มหนึ่งจากนักปราชญ์มุจญฮิดที่อนุญาตให้คนเอาวามทั่วไปสามารถตักลีดตามพวกเขาได้ ซึ่งเสมือนกับนักปราชญ์มุจญฮิดก่อนหน้านั้น(ตาบิอีน) ที่อนุญาตให้คนเอาวามทั่วไปตักลีดตามได้เช่นกัน และเสมือนกับบรรดานักปราชญ์ซอฮาบะฮ์มุจญฮิดที่อนุญาตให้คนเอาวามทั่วไปทำการตักลีดการวินิจฉัยของพวกเขาได้ เช่น บรรดาค่อลีฟะฮ์ทั้ง 4 ผู้ทรงธรรม ท่านอิบนุอับบาส ท่านอิบนุมัสอูด ท่านอิบนุอุมัร และท่านซัยดฺ บิน ษาบิต เป็นต้น
บรรดานักปราชญ์ประวัติศาสตร์และนักปราชญ์ประวัตินิติศาสตร์อิสลามไม่ได้ลงมติดอกหรือว่า ในสมัยตาบิอีนนั้น มีสองมัซฮับที่สำคัญ คือ มัซฮับ ( مذهب الرأى) ที่มีเอกลักษณ์ในด้านการวินิจฉัยออกความเห็นที่อยู่ในอิรัก และมัซฮับ (مذهب الحديث) ที่มีการรับหะดิษมาได้มากกว่าที่อยู่แถบฮิญาซฺ(มักกะฮ์ มะดีนะฮ์ เป็นต้น) ดังนั้น คนเอาวามทั่วไปของชาวฮิยาซฺ ก็ทำการตักลีดตามมัซฮับที่แพร่หลายท่ามกลางพวกเขา และคนเอาวามทั่วไปของชาวอิรัก ก็ทำการตักลีดตามมัซฮับที่แพร่หลายท่ามกลางพวกเขา และให้กับมัซฮับนี้ก็มีปวงปราชญ์มุจญฮิดเป็นแกนนำ และอีกมัซฮับหนึ่งก็มีปวงปราชญ์มุจญฮิดเป็นแกนนำเช่นเดียวกัน ??!!
ดังนั้น อะไรหรือที่ได้เกิดขึ้นมาแล้วขัดกับความเป็นจริงที่มีอยู่ในขณะที่มัซฮับทั้งสี่เกิดขึ้นมา โดยที่ไม่มีมัซฮับไหม่ขึ้นมาอีก ? ซึ่งบทสรุปก็คือ อิมามมัซฮับทั้งสี่นั้น ได้วางแนวทางและหลักสูตรในการวินิจฉัย และทำการแยกแยะหลักฐานต่าง ๆ จากอัลกุรอานและซุนนะฮ์ วางกฏเกณฑ์ในการความเห็นและการกิยาสที่ถูกต้อง และทำการแยะแยกระหว่างความเห็นและการกิยาสที่เป็นโมฆะออกไป แล้วมัซฮับมัซฮับ ( مذهب الرأى) และมัซฮับ (مذهب الحديث) จึงรวมกันเป็นเนื้อเดียวจนการละเลยและความเลยเถิดได้เลือนหายไปทีละน้อย ๆ จนหมดสิ้น ฉะนั้น อันนี้แหละ จึงเป็นปัจจัยสำคัญในการแพร่หลายของมัซฮับทั้งสี่ อีกทั้งยังเป็นฐานันดรที่สูงส่งในสนามแห่งการวิเคราะห์และวินิจฉัย และเป็นปัจจัยสำคัญในการตอบรับของกลุ่มและชนระดับชั้นต่าง ๆ ในสังกัดและยึดถือมัซฮับทั้งสี่ และนี้ก็คือความจริงที่เกิดขึ้น อันเป็นที่รู้กัน
แล้วอะไรอีกเล่าที่จะเกิดเป็นข้อขัดแย้งในสารัตถะของความเป็นจริงที่เกิดการอิจญฮาดและการตักลีดขึ้นมา?? จนกระทั้งทำให้ผู้แต่งหนังสือกล่าวว่า "บรรดาผู้คนอยู่บนสิ่งใดหรือ ก่อนจากจะมีคนนั้นและคนนี้??" ดังนั้น มันเป็นความลุ่มหลงอันใดหรือที่เกิดมีผู้คนที่ทำการตักลีดมัซฮับทั้งสี่ ซึ่งพวกเขาไม่อะไรเลยนอกจากเสมือนกับบรรดาคนเอาวามที่ทำการตักลีดนักปราชญ์ก่อนจากพวกเขาจากมัซฮับ ( مذهب الرأى) และมัซฮับ (مذهب الحديث) และเสมือนกับคนเอาวามที่ตักลีดตามนักปราชญ์ก่อนจากพวกเขาที่มาจากบรรดาซอฮาบะฮ์ชั้นนำและเป็นนักมุจญฮิด??!!
ท่าน อิมาม อัชชาฏิบีย์ ได้กล่าวไว้เช่นกันว่า
إذا كان الحق هو المعتبر دون الرجال ، فالحق أيضا لا يعرف دون وسائطهم ، بل بهم يتوصل اليه ، وهم الأدلاء عليه
"เมื่อสัจจะธรรม คือ สิ่งที่ได้รับพิจารณา นอกจากด้วยบรรดานักปราชญ์ ดังนั้น สัจจะธรรมย่อมไม่สามารถรู้จักได้โดยปราศจากบรรดาสื่อกลางจากพวกเขา แต่ด้วยกับพวกเขานั้น จะนำไปสู่สัจจะธรรม และพวกเขาคือผู้ที่ชี้แนะต่อสัจจะธรรมนั้น"
ท่านอัชชาฏิบีย์ ได้กล่าวหลักการไว้เช่นกันว่า
فتاوى المجتهدين بالنسبة إلى العوام ، كالأدلة الشرعية بالنسبة إلى المجتهدين والدليل عليه أن وجود الأدلة بالنسبة الى المقلدين وعدمها إذا كانوا لا يستندون منها شيئا . فليس النظر فى الأدلة والإستنباط من شأنهم ولا يجوز ذلك لهم البتة ، وقد قال تعالي فأسألوا أهل الذكر إن كنتم لا تعلمون) والمقلد غير عالم فلا يصح له إلا سؤال أهل الذكر، وإليهم مرجعه فى أحكام الدين على الإطلاق، فهم إذاً القائمون له مقام الشرع، وأقوالهم قائمة مقام الشارع
ความว่า " บรรดาฟัตวาของบรรดาอุลามาอฺมัจญฺตะฮิด โดยคำนึงถึงคนเอาวามทั่วไปนั้น เปรียบเสมือนหลักฐานของหลักศาสนาที่พาดพิงไปยังอุลามาอฺมุจญฺติฮิดีน และหลักฐานยืนสิ่งดังกล่าว ก็คือ การมีหลักบรรดหลักฐานหรือไม่มีสำหรับคนบรรดามุก๊อลลิดนั้น เมื่อพวกเขาไม่สามารถอ้างอิงวินิจฉัยหลักฐานอะไรได้ (คือไม่สามารถวินิจฉัยหลักฐานนั้นได้) ดังนั้น การพิจารณาในหลักบรรดาหลักฐานและการวินิจฉันหุกุ่มนั้น ไม่ใช่เป็นเรื่องของพวกเขา และสิ่งดังกล่าวไม่อนุญาตให้กับพวกเขาโดยเด็ดขาด โดยที่อัลเลาะฮฺ(ซ.บ.)ทรงตรัสว่า " ดังนั้น พวกเจ้าจงถามผู้มีความรู้ หากพวกเจ้าไม่รู้ " และคนมุก๊อลลิดคือคนที่ไม่มีความรู้ ดังนั้น จึงไม่ถูกต้องสำหรับเขา นอกจากถามบรรดาผู้รู้มุจญฺฮิดเท่านั้น และไปยังพวกเขานั้น(คือมุจญฺตะฮิด) ย่อมสิ่งที่อ้างอิงสำหรับเขา(มุก๊อลลิด) ต่อบรรดาหุกุ่มต่างๆของศาสนาอย่างไม่มีข้อแม้ใดๆ ดังนั้นพวกเขา(มุจญฺติฮิด) คือผู้ที่อยู่ในตำแหน่งของหลักการศาสนาสำหรับคนมุก๊อลลิด และบรรดาคำพูดของพวกเขานั้น(อุลามาอฺมุจญฺฮิด)อยู่ในตำแหน่งของผู้บัญญัติศาสนา(สำหรับคนมุก๊อลลิด) " ดู หนังสือ อัล-มุวาฟิก๊อด เล่ม 4 หน้า 290 - 292
ท่านอัชชาฏิบีย์ กล่าวว่า
إن العالم بالشريعة إذا اتبع في قوله و انقاد الناس في حكمه، فإنما اتبع من حيث هو عالم بها و حاكم بمقتضاها، لا من جهة أخرى، فهو في الحقيقة مبلغ عن رسول الله صلى الله عليه و آله و سلم، المبلغ عن الله عز و جل، فيتلقى منه ما بلغ على العلم بأنه بلغ أو على غلبة الظن بأنه بلغ لا من جهة كونه منتصبا للحكم مطلقا، إذ لا يثبت ذلك لأحد على الحقيقة، و إنما هو ثابت للشريعة المنزلة على رسول الله صلى الله عليه و آله و سلم، و ثبت ذلك له عليه السلام وحده دون الخلق من جهة دليل العصمة
"แท้จริง นักปราชญ์ผู้มีความรู้ ด้วยหลักการของชารีอะฮ์นั้น เมื่อเขาได้ถูกเจริญรอยตามกับคำพูดของเขาและมนุษย์ทั้งหลายก็นำหลักการของเขามาปฏิบัติ แท้จริงแล้ว เขาได้ถูกเจริญรอยตามเพราะเขาเป็นผู้รู้เกี่ยวกับชาริอะฮ์หรือทำการตัดสินตามนัยยะของชาริอะฮ์ โดยที่ไม่ได้เป็นมาจากด้านอื่นเลย ดังนั้น ผู้รู้ในแก่นแท้ของหลักความเป็นจริงนั้น คือผู้ที่เผยแพร่หลักการจากท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ที่เป็นผู้เผยแพร่หลักการจากอัลเลาะฮ์ อัซซะวะญัลล่า ดังนั้น การที่เขารับวิชาการจากที่นักปราชญ์ได้เผยแพร่มานั้น เพราะรู้เขาเป็นผู้ที่เผยแพร่หรือคาดว่าเขาเป็นผู้ที่เผยแพร่ ไม่ใช่คิดว่านักปราชญ์คือผู้ที่ตั้งฮุกุ่มขึ้นมาเองเลยแม้แต่น้อย เนื่องจากในความเป็นจริงแล้ว สิ่งดังกล่าวไม่ได้ถูกรับรองให้แก่ผู้ใด แต่นักปราชญ์เป็นเพียงผู้ยืนหยัดธำรงค์ไว้ซึ่งหลักชาริอะฮ์ที่ถูกประทานลงมาให้กับท่านร่อซูลุลอฮ์ ซ๊อลลัลฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ดังนั้น หลักฐานที่ถูกปกป้องจากความผิด ย่อมไม่ถูกรับรองให้แก่มนุษย์คนใดนอกจากท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ ซ๊อลลัลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมแต่เพียงผู้เดียว" ดู หนังสือ อัลเอี๊ยะติซอม เล่ม 2 หน้า 250
u คำถามซื่อๆ น่ะครับ
ถ้าการสังกัดมัซฮับเป็นวาญิบ
แล้วบรรดาซอฮาบะฮฺ ตาบิอีนที่เกิดก่อนยุคมัซฮับก็ไม่ได้ปฏิบัติวาญิบในเรื่องนี้สิครับ
อย่าหาว่าทวงนะครับ... แต่อยากรู้น่ะ
asan ท่านชัยคุลอิสลาม อิบนุตัยมียะฮ กล่าวว่า
واتفقوا كلهم على أنه ليس أحد معصوماً في كل ما يأمر وينهى عنه إلا رسول الله صلى الله عليه وسلم، ولهذا قال غير واحد من الأئمة كل الناس يؤخذ بكلامه ويترك إلا رسول الله صلى الله عليه وسلم، وهؤلاء الأئمة الأربعة رحمهم الله قد نهوا الناس عن تقليدهم، وذلك هو الواجب عليهم، فقال أبو حنيفة: هذا رأيي فمن جاء برأي خير منه قبلناه، ومالك كان يقول: إنما أنا بشر أصيب وأخطئ، فأعرضوا قولي على الكتاب والسنة.. والشافعي كان يقول: إذا صح الحديث فاضربوا بقولي عرض الحائط.. والإمام أحمد كان يقول: لا تقلدوني ولا تقلدوا مالكاً ولا الشافعي، ولا الثوري وتعلموا كما تعلمنا (مجموع الفتاوى 20/1
และพวกเขา(อุลามาอฺ)ทั้งหมดเห็นฟ้องกันว่า ไม่มีคนใดได้รับการปกป้องจากความผิดพลาด(มะอฺศูม) ในทุกสิ่งที่เขาใช้ และเขาห้าม นอกจากท่านรซูลุ้ลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม และเพราะเหตุนี้ บรรดาอิหม่ามหลายท่านได้กล่าวว่า "มนุษย์ทุกคน คำพูดของเขาถูกนำมา(ปฏิบัติ)และถูกทิ้ง นอกจาก รซูลุลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ,และบุคคลเหล่านี้คือ บรรดาอิหม่ามทั้งสี่ (ขออัลลอฮเมตตาต่อพวกเขาเหล่านี้) แท้จริง พวกเขาได้ห้ามมนุษย์ไม่ให้ตักลิด(เชื่อตาม)พวกเขา และดังกล่าวนั้น(การห้ามตักลิด)คือ สิ่งที่วายิบแก่พวกเขา โดยที่อบูหะนีฟะฮได้กล่าวว่า"นี้คือ ความเห็นของข้าพเจ้า ดังนั้นผู้ใดนำมาซึ่งความเห็นที่ดีกว่ามัน เราก็รับมัน ,ปรากฏว่าอิหม่ามมาลิกกล่าวว่า"ความจริงข้าพเจ้าเป็นมนุษย์ปุถุชนคนหนึ่ง มีถูก มีผิด ดังนั้นจงนำคำพูดของข้าพเจ้ามาเสนอ(ตรวจสอบ)กับอัลกิตาบ(อัลกุรอ่าน)และอัสสุนนะฮ" ,อิหม่ามชาฟิอีย์กล่าวว่า"เมื่อหะดิษเศาะเฮียะ ก็จงฟาดคำพูดของข้าพเจ้าไปที่ผนังกำแพง และอิหม่ามอะหมัดกล่าวว่า"อย่าเชื่อตาม(ตักลิด)ข้าพเจ้า,อย่าตักลิดมาลิก,อย่าตักลิดชาฟิอีและอย่าตักลิดอัษเษารีย์ และพวกท่านจงเรียนรู้ ดังที่พวกเราเรียนรู้ - มัจญมัวะฟะตาวา เล่ม 20 หน้า 120
..............
ข้างต้นคือ แนวทางการตามมัซฮับ ไม่ใช่การสังกัดมัซฮับแบบหูหนวกตาบอด แต่ ตามในสิ่งที่มีหลักฐาน ไม่ใช่ยึดติดกับความเห็นของพวกเขา
قال عمر بن الخطاب رضي الله عنه: ثلاث يهدمن الدين: زلة عالم، وجدال منافق، وأئمة مضلون
ท่านอุมัร บุตร อัลคอฏฏอ็บ กล่าวว่า"สามประการที่ทำลายศาสนา คือ ความผิดพลาดของผู้รู้ ,การโต้เถียงของมุนาฟิกและบรรดาผู้นำที่หลงผิด - บันทึกโดยอัดดาเราะมีย์ ด้วยสายสืบที่เศาะเฮียะ 1/71
MUSTAKEEM ผมยังสงสัยเลยว่าเมื่อ ท่านอีหม่าม มะห์ดีได้ลงมาแล้ว ท่านจะใช้วิธีใหนในการดะอ์วะห์ของท่าน(เพราะบางอูลามะห์มีความเห็นว่า มุจตาฮิจย์มุตลักนั้นไม่มีแล้วในสมัยนี้)ในระหว่างสังกัดมัซฮับจำเป็นหรือไม่จำเป็นและท่านจะใช้วิธีใหนในการเป็นผู้นำอุมมะห์เพื่อนำอุมมะห์ไปยังซุนนะห์ ที่ไม่ขัดแย้ง
ปล.ขอนอกเรื่องนิดนึงนะครับ คือผมขอถามบางคนว่าทำไมถึ่งใช้คำว่า รอฎียัลเลาะ กับอีหม่ามทั้ง 4 เราจะใช้คำว่า รอฮีมาฮุลเลาะมิใช่หรือครับ