พินัยกรรม ตามหลักการศาสนา 1 By: ابن سفيان السراجى Date: ก.พ. 01, 2009, 01:07 PM
salam
พินัยกรรมเป็นนิติกรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งกฎหมายอิสลามได้ให้การยอมรับ แม้จะมีลักษณะขัดกับหลักการก็ตาม กล่าวคือตามหลักการนั้นการทำนิติกรรมจะทำได้ในขณะที่บุคคลยังมีชีวิตอยู่เท่านั้นหากบุคคลได้ตายไปแล้วไม่สามารถทำนิติกรรมใดๆเกี่ยวกับทรัพย์สินของตนได้อีกต่อไป เพราะทรัพย์สินทั้งหมดได้ตกเป็นของทายาทไปแล้ว อย่างไรก็ตามการทำพินัยกรรมนั้น แม้ว่าจะกระทำในช่วงเวลาที่ผู้ทำยังมีชีวิตอยู่ก็จริง แต่ก็กำหนดให้มีผลหลังจาก ผู้ทำได้เสียชีวิตแล้ว จึงเหมือนกับการทำนิติกรรมหลังจากผู้ทำได้เสียชีวิตไปแล้ว แต่กฎหมายอิสลามได้เปิดช่องหรือโอกาสให้
เจ้าของทรัพย์สินมีโอกาสกำหนดการเผื่อตายด้วยการให้เขาสามรถกระทำบางอย่างโดยหวังผลบุญ หรือเพื่อตอบแทนบุคคลที่เคยมีบุญคุณต่อเขา หรือแม้แต่เพื่อหวังให้ความช่วยเหลือเพื่อนพ้องหรือญาติมิตรสหายบางคน ซึ่งไม่ใช่ทายาทโดยธรรมของเขา ขณะเดียวกันหากเขาได้ยกทรัพย์ให้ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ก็กลัวว่าจะทำให้มีผลกระทบต่อฐานะของตัวเองได้กฎหมายอิสลามจึงเปิดโอกาสให้เขาทำนิติกรรมโดยให้มีผลเมื่อเขาได้เสียชีวิตไปแล้ว
พระองค์อัลลอฮฺได้ตรัสว่า
“การทำพินัยกรรมให้แก่ผู้บังเกิดเกล้าทั้งสองและญาติสนิทโดยชอบธรรมนั้น ได้ถูกกำหนดแก่พวกเจ้า เมื่อความตายได้มายังคนหนึ่งคนใดในพวกเจ้าทั้งหลายหากพวกเจ้าได้ทิ้งทรัพย์สมบัติไว้ ทั้งนี้เป็นหน้าที่ของผู้ยำเกรงทั้งหลาย”
(ซูเราะฮฺอัลบะเกาะเราะฮฺ อายะฮฺที่ 180)
พระองค์อัลลอฮฺได้ตรัสไว้อีกว่า
“ทั้งนี้หลังจากพินัยกรรมที่เขาได้สั่งเสียไว้ หรือหลังจากหนี้สิน”
(อันนิสาอฺ อายะฮฺที่ 11)
พระองค์อัลลอฮฺได้ตรัสไว้อีกว่า
“หลังจากพินัยกรรมที่พวกเจ้าสั่งเสียมันไว้หรือหลังจากหนี้สิน”
(อันนิสาอฺ อายะฮฺที่ 12)
พระมหาคัมภีร์อัลกุรอานอายะฮฺแรกได้บ่งบอกถึงบทบัญญัติการทำพินัยกรรมให้กับบิดามารดาและญาติสนิท ส่วนสองอายะฮฺถัดมาได้บ่งบอกถึงการดำเนินการจัดการตามพินัยกรรมนั้นต้องกระทำภายหลังจากการใช้หนี้เสียก่อน
ส่วนหลักฐานจากอัลหะดีษนั้น หะดีษของท่านสะอัด บุตรอบีวักก็อศที่ต้องการทำพินัยกรรมเศษหนึ่งส่วนสามหรือครึ่งหนึ่งของทรัพย์สินทั้งหมดของเขา เพราะไม่มีทายาทที่จะรับมรดก นอกจากบุตรสาวของเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น โดยท่านนบี (ซล.) ได้กล่าวกับเขาว่า
ส่วนหลักฐานจากอัลหะดีษนั้น หะดีษของท่านสะอัด บุตรอบีวักก็อศที่ต้องการทำพินัยกรรมเศษหนึ่งส่วนสาม
หรือครึ่งหนึ่งของทรัพย์สินทั้งหมดของเขา เพราะไม่มีทายาทที่จะรับมรดก นอกจากบุตรสาวของเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น โดยท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ได้กล่าวกับเขาว่า
ท่านนบีได้กล่าวไว้อีกว่า
“แท้จริงอัลลอฮฺได้ทรงมอบให้แก่พวกเจ้าหนึ่งในสามจากทรัพย์สินของพวกเจ้าตอนที่พวกเจ้าเสียชีวิต เพื่อ
เพิ่มความดีของพวกเจ้า ทั้งนี้เพื่อพระองค์จะได้ทรงเพิ่มผลงานของพวกเจ้า”
ท่านนบีได้กล่าวไว้อีกว่า
“ไม่ใช่สิทธิของมุสลิมคนหนึ่งที่เขาจะนอนเป็นเวลาสองคืน โดยที่เขามีสิ่งที่ต้องการทำพินัยกรรม นอกเสีย
จากว่าพินัยกรรมของได้ถูกบันทึกไว้อยู่ที่เขา”
ความหมายของพินัยกรรม
พินัยกรรม ตามคำนิยามของนักกฎหมายอิสลามหมายถึง การยกกรรมสิทธิ์ให้กับผู้อื่นที่มีผลภายหลังจากการตายโดย
ความเสน่หา จะเป็นวัตถุหรือผลประโยชน์ก็ตาม
องค์ประกอบของพินัยกรรม
องค์ประกอบของการทำพินัยกรรมมี 4 ประการ
ผู้ทำพินัยกรรม
ผู้รับพินัยกรรม
ทรัพย์สินพินัยกรรม
ศีเฆาะฮฺ
ผู้ทำพินัยกรรม
ผู้ทำพินัยกรรมมีเงื่อนไขดังต่อไปนี้
ก. จะต้องเป็นบุคคลที่บรรลุนิติภาวะตามกฎหมายอิสลาม มีสติปัญญาที่สมบูรณ์ เป็นอิสระชนจะเป็นเพศชายหรือหญิง มุสลิมหรือมิใช่มุสลิมก็ตาม นักกฎหมายอิสลามมีความเห็นสอดคล้องกันว่า ผู้ทำพินัยกรรมจะต้องเป็นบุคคลที่มีสติปัญญาสมบูรณ์ และจะต้องเป็นอิสระชน ฉะนั้นการทำพินัยกรรมของบุคคลที่มีสติปัญญาฟั่นเฟือน วิกลจริตและผู้ที่เป็นทาสจึงไม่มีผลบังคับใช้
ส่วนการทำพินัยกรรมของผู้เยาว์ที่มีความรู้สึกรับผิดชอบแล้ว (المميز ) นั้น ตามทัศนะของ มัซฮับมาลิกีย์ มัซฮับหัมบะลีย์และทัศนะหนึ่งของอิหม่ามชาฟิอีย์มีความเห็นว่า พวกเขาสามารถทำพินัยกรรมได้ เพราะพินัยกรรมมิได้ทำให้กรรมสิทธิ์ของเขาหมดไปในขณะนั้นทันที และพินัยกรรมยังทำให้เขาได้รับผลบุญภายหลังจากที่เขาเสียชีวิตไปแล้งอีกด้วย (al-Sharbini, 1958 : 39)
โดยอาศัยทัศนะหนึ่งของท่านอุมัรตามรายงานดังต่อไปนี้
“ จากอบีบักรฺ บุตรมุฮัมมัด บุตรอัมรฺ บุตรหัซมฺว่า มีเด็กชายคนหนึ่งกำลังจะตายที่มะดีนะฮฺ ขณะที่ทายาท
โดยชอบธรรมของเขาอยู่ที่ประเทศซาม (ซีเรีย) จึงได้มีการเล่าเรื่องของเขาแก่ท่านอุมัร บุตรค็อฏฏ็อบ และได้
มีการถามท่านว่า “เด็กคนหนึ่งกำลังจะตาย เขาทำพินัยกรรมได้หรือไม่ ?” ท่านอุมัรตอบว่า “ให้เขาทำพินัย
กรรมเถิด” เด็กคนนั้นจึงได้ทำพินัยกรรมด้วยกับบ่อใบหนึ่งเรียกว่าบ่อ”ญัชม์”และทายาทของเขาได้ขายบ่อ
ด้วยกับราคาสามหมื่น ท่านอบูบักรฺได้เล่าอีกว่า “เด็กชายคนนั้นมีอายุสิบปีหรือสิบสองปี”
การผ่อนปรนในเรื่องอายุของผู้ทำพินัยกรรมนั้นเป็นสิ่งที่ควรกระทำเป็นอย่างยิ่ง ทั้งนี้เพราะการทำพินัยกรรมนั้น
เป็นนิติกรรมอย่างหนึ่งที่ไม่มีผลเสียต่อผู้กระทำแต่อย่างใด เพราะพินัย กรรมจะมีผลหลังจากที่ผู้ทำพินัยกรรมเสียชีวิตไป
แล้ว การห้ามผู้ที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะทำพินัยกรรมนั้นก็เพื่อรักษาผลประโยชน์ของผู้ทำนิติกรรมเองซึ่งในการทำพินัยกรรม
นั้นผลประโยชน์ของผู้ทำนิติกรรมจะไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด โดยเฉพาะกรณีที่ทำพินัยกรรมยกทรัพย์แก่ผู้มีบุญคุณ
ต่อผู้เยาว์ที่มิได้เป็นทายาทโดยธรรมของผู้เยาว์ และทายาทโดยธรรมนั้นไม่มีบุญคุณต่อผู้เยาว์ในช่วงเจ็บ ป่วยก่อน
จะตายแต่อย่างใด
ข. ผู้ทำพินัยกรรมจะต้องทำด้วยความสมัครใจ เพราะการทำพินัยกรรมเป็นการโอนกรรม สิทธิ์จึงจำเป็นต้องทำโดย
สมัครใจ ฉะนั้นการทำพินัยกรรมเพราะถูกบังคับ จากความผิด พลาดโดยไม่ได้ตั้งใจ หรือหลงลืมจึงไม่มีผลบังคับใช้
ส่วนเงื่อนไขของการจัดการตามพินัยกรรมของผู้ทำพินัยกรรมนั้น ผู้ทำพินัยกรรมจะต้องไม่เป็นผู้ที่มีหนี้สินเท่ากับจำนวน
ของทรัพย์มรดก เพราะการจัดการใช้หนี้นั้นต้องกระทำก่อนการจัดการพินัยกรรมโดยมติของนักกฎหมายอิสลาม และหาก
ทรัพย์สินที่ระบุในพินัยกรรมนั้นไปเกี่ยวข้องกับสิทธิของผู้อื่น คือหนี้สินดังกล่าว การทำพินัยกรรมในลักษณะนี้จึงขึ้นอยู่
กับการอนุญาตของเจ้าหนี้ทั้งหลาย หากเขาเหล่านั้นอนุญาตก็ถือว่าพินัยกรรมนั้นมีผลใช้ได้และสามารถจัดการให้เป็นไป
ตามคำสั่งของผู้ทำพินัยกรรมได้ แต่หากเขาเหล่านั้นไม่ยินยอมก็ถือว่าพินัยกรรมนั้นใช้ไม่ได้
ผู้รับพินัยกรรม
ผู้รับพินัยกรรมแบ่งได้ 2 ประเภทดังนี้
ก. ประเภทที่เป็นองค์กรหรือหน่วยงาน
ประเภทที่เป็นองค์กร หรือหน่วยงานนั้นมีเงื่อนไขว่าจะต้องไม่เป็นองค์กรหรือหน่วยงานที่กระทำความผิดต่อหลักการ
ศาสนาหรือสร้างความเสียหายให้กับสังคม หากผู้รับพินัยกรรมเป็นองค์กรหรือหน่วยงานที่กระทำความผิดต่อหลักการ
ศาสนาหรือสร้างความเสียหายให้กับสังคมก็ถือว่าการทำพินัยกรรมนั้นเป็นโมฆะโดยความเห็นของนักนักกฎหมายอิสลาม
ที่สอดคล้องกัน เช่นการทำพินัยกรรมให้สโมสรการพนัน สโมสรการบันเทิง การสร้างโดมครอบสุสาน การร้องให้โอด
ครวญกับผู้ตาย การสร้างหรือการซ่อมแซมโบสถ์ การเขียนคัมภีร์เตารอฮฺและอินญีล การเขียนหนังสือไสยศาสตร์และ
หนังสือที่ต้องห้ามทั้งหลาย การทำพินัยกรรมให้กับคู่สงครามและการจัดซื้อเครื่องดนตรีต่าง ๆ เพราะการทำพินัยกรรมนั้น
ถูกบัญญัติขึ้นเพื่อการสร้างความสัมพันธ์และการทำความใกล้ชิดกับพระผู้เป็นเจ้า จึงไม่อนุญาตให้ทำพินัยกรรมในสิ่งที่เป็น
ความชั่ว
ข. ประเภทบุคคล
ผู้รับพินัยกรรมประเภทบุคคลนั้นมีเงื่อนดังต่อไปนี้
(1) จะต้องเป็นบุคคลที่มีสภาพเป็นบุคคลในขณะทำพินัยกรรม คือจะต้องมีชีวิตอยู่แล้ว แม้ว่าจะยังเป็นทารกอยู่ในครรภ์ก็
ตาม ทั้งนี้หากคลอดออกมาอยู่รอดเป็นทารกภายในกำหนดเวลาของการตั้งครรภ์ที่สั้นที่สุดสำหรับหญิงผู้เป็นมารดา
ที่ร่วมหลับนอนตามปกติกับสามี หรือไม่เกินช่วงเวลาของการตั้งครรภ์ที่ยาวที่สุด หากหญิงผู้เป็นมารดาขาดจากการ
สมรสแล้วหรือมีสามีแต่มิได้ร่วมหลับนอนกับสามี
(2) เป็นบุคคลที่เป็นที่รู้จักในขณะที่ทำพินัยกรรม หากผู้ทำพินัยกรรมให้กับผู้รับพินัยกรรมที่ไม่ถูกรู้จักแล้ว ก็ไม่สามารถ
จัดการทรัพย์พินัยกรรมให้กับผู้รับพินัยกรรมได้ เพราะพินัยกรรมคือการโอนกรรมสิทธิ์ให้ในขณะที่ผู้ทำพินัยกรรมสิ้นชีวิต ตามทัศนะส่วนใหญ่ของนักกฎหมายอิสลาม หากบุคคลหนึ่งใดทำพินัยกรรมให้กับนาย มุฮัมมัดหรือนายคอลิด 1/3
ของทรัพย์หรือให้กับกลุ่มบุคคลที่เป็นมุสลิม โดยที่ไม่ได้ระบุจำนวนและไม่ได้กล่าวลักษณะที่มีความรู้สึกว่าเขาเหล่านั้น
มีความต้องการ เช่น กลุ่มคนมุสลิมที่ยากจน ถือว่าพินัยกรรมนั้นเป็นโมฆะในทัศนะของมัซฮับหะนะฟีย์ เพราะผู้รับพินัย
กรรมไม่เป็นที่รู้จัก จึงไม่สามารถส่งทรัพย์ที่ระบุในพินัยกรรมให้กับเขาได้ เช่นกับการทำพินัยกรรมของบุคคลหนึ่งให้กับ
ชายคนหนึ่งจากชายสองคน ถือว่าพินัยกรรมนั้นเป็นโมฆะในทัศนะของมัซฮับทั้งสี่ เพราะไม่ได้เจาะจงผู้รับพินัยกรรม
(3) เป็นบุคคลที่มีสิทธิ์ในการปกครองกรรมสิทธิ์ได้ การทำพินัยกรรมเป็นการโอนกรรมสิทธิ์จากผู้ทำพินัยกรรมให้กับผู้รับ
พินัยกรรม ผู้รับพินัยกรรมจึงต้องเป็นบุคคลที่ปกครองกรรมสิทธิ์ได้ เงื่อนไขข้อนี้เป็นความเห็นที่สอดคล้องกันระหว่าง
บรรดานักกฎหมายอิสลาม ฉะนั้นการทำพินัยกรรมให้กับสัตว์ต่างๆ โดยมี เจตนาให้ปกครองสิทธิ์หรือการทำพินัยกรรม
ให้โดยมิได้ตั้งใจให้ปกครองสิทธิ ถือว่าพินัยกรรมนั้นเป็นโมฆะ เพราะเป็นพินัยกรรมให้กับผู้ที่ไม่สามรถปกครองสิทธิได้
ในทัศนะของมัซฮับหะนะฟีย์ ชาฟิอีย์และมาลิกีย์ ส่วนการที่ผู้ทำพินัยกรรมกล่าวว่า “เพื่อใช้เป็นอาหารแก่สัตว์ตัวนี้”ถือ
ว่าพินัยกรรมนั้นมีผลบังคับใช้ โดยพิจารณาตามคำพูดของเขามิได้พิจารณาถึงเจตนาของเขา ในกรณีนี้ไม่จำเป็นต้องมี
การสนองรับ เพราะเหมือนกับมรดกจึงไม่จำเป็นต้องมีการสนองรับ เนื่องจากอุปสรรค และเช่นเดียวกับการวักฟฺ
( الوقف ) ให้กับบรรดาคนยากจน แต่สำหรับทัศนะของมัซฮับซาฟิอีย์แล้วมีเงื่อนไขว่า เจ้าของสัตว์จะต้องสนองรับพินัย
กรรม พินัยกรรมนั้น จึงจะมีผลบังคับใช้
(4) ไม่เป็นบุคคลที่ฆ่าผู้ทำพินัยกรรม ผู้รับพินัยกรรมจะต้องไม่เป็นผู้ที่ฆ่าผู้ทำพินัยกรรมตามทัศนะของมัซฮับหะนะฟีย์และ มัซฮับหัมบะลีย์หากผู้ทำพินัยกรรมได้ทำพินัยกรรมให้หลังจากการทำร้ายของผู้รับพินัยกรรม ต่อมาเขาก็เสียชีวิต ถือว่า
พินัยกรรมนั้นเป็นโมฆะ หรือผู้ทำพินัยกรรมได้ทำพินัยกรรมไว้ก่อนการทำร้าย ผู้รับพินัยกรรมก็ไม่มีสิทธิ์รับพินัยกรรมนั้น
ได้ เพราะการฆ่านั้นเป็นสิ่งทำให้พินัยกรรมเป็นโมฆะ ดังมีหะดีษของท่านนบีเล่าว่า
“ผู้ที่ฆ่านั้นไม่มีสิทธิในสิ่งหนึ่งสิ่งใด”
ท่านอิหม่ามอบูหะนีฟะฮฺได้กล่าวว่า
หากทายาททั้งหลายยินยอมหรือไม่มีทายาทอื่นเลยก็ถือว่าพินัยกรรมนั้นมีผลบังคับใช้
ส่วนมัซฮับชาฟีอีย์ถือว่า การทำพินัยกรรมให้กับผู้ที่ฆ่านั้นมีผลบังคับใช้ ถึงแม้จะเป็นการฆ่าโดยการละเมิดก็ตาม หากผู้รับ
พินัยกรรมฆ่าผู้ทำพินัยกรรมโดยการละเมิด ผู้รับพินัยกรรมก็ยังมีสิทธิในการรับพินัยกรรมนั้น เพราะการทำพินัยกรรมเป็น
การปกครองกรรมสิทธิ์ด้วยการสัญญา จึงเหมือนกับการให้ ซึ่งต่างกับการรับมรดก
สำหรับมัซฮับมาลีกีย์นั้น มีรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า การทำพินัยกรรมให้กับผู้ที่ฆ่านั้นมีผลบังคับใช้ จะเป็นฆ่าโดย
เจตนาหรือผิดพลาดก็ตาม เมื่อผู้ทำพินัยกรรมทราบว่าผู้รับพินัยกรรมเป็นผู้ฆ่าเขา และเขาก็มิได้เปลี่ยนแปลงพินัยกรรม
ของเขา เพราะสิ่งที่ทำให้พินัยกรรมเป็นโมฆะก็คือ การรีบเร่งของผู้รับพินัยกรรมในสิ่งหนึ่งก่อนที่จะถึงเวลาของมัน เขาจึง
ถูกลงโทษโดยการห้ามสิทธิในสิ่งนั้น การลงโทษผู้รับพินัยกรรมโดยการห้ามสิทธินี้ จะต้องเกิดขึ้นภายหลังจากการฆ่า ที่อยู่ถัดจากการทำพินัยกรรมในทันที แต่ถ้าหากผู้ทำพินัยกรรมรู้ว่ามีการทำร้าย และเขาก็ยังทำพินัยกรรมให้กับผู้ทำร้ายหรือผู้ที่ฆ่า ก็แสดงว่าเขาได้ให้อภัยและต้องการทำความดีกับผู้นั้นอีกด้วย
สรุปได้ว่าทัศนะของมัซฮับต่างๆ เกี่ยวกับการฆ่าทำให้พินัยกรรมเป็นโมฆะนั้นมีสองทัศนะด้วยกันคือ
ทัศนะที่หนึ่ง การที่ผู้รับพินัยกรรมฆ่าผู้ทำพินัยกรรม ทำให้พินัยกรรมเป็นโมฆะ ได้แก่ทัศนะของมัซฮับหะนะฟีย์และมัซฮับหัมบะลีย์
ทัศนะที่สอง ผู้รับพินัยกรรมฆ่าผู้ทำพินัยกรรมไม่ทำให้พินัยกรรมเป็นโมฆะ ได้แก่ทัศนะของมัซฮับมาลิกีย์และมัซฮับซาฟิอีย์
(5) ผู้รับพินัยกรรมมิได้เป็นทายาทโดยชอบธรรมของผู้ทำพินัยกรรม ซึ่งมีสิทธิ์รับมรดกอยู่ แล้ว
ผู้รับพินัยกรรมจะต้องไม่เป็นทายาทโดยชอบธรรมของผู้ทำพินัยกรรมที่มีสิทธิ์รับมรดกอยู่ แล้ว ขณะที่ผู้ทำพินัยกรรมเสียชีวิตหากมีทายาทผู้อื่นไม่ยินยอม แต่ถ้าหากทายาทผู้อื่นยินยอมก็ถือว่าพินัยกรรมนั้นใช้ได้ เพราะท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ได้กล่าวว่า
“ไม่มีการทำพินัยกรรมให้กับทายาท นอกจากได้รับอนุญาตจากทายาทบุคคลอื่น"
และการที่ทายาทบุคคลอื่นไม่ยินยอม จะทำให้เกิดความแตกแยก ทะเลาะวิวาท การตัดความสัมพันธ์กับเครือญาติ ทำให้เกิดความโกรธแค้นและการอิจฉาริษยากันในระหว่างทายาททั้งหลาย เงื่อนไขนี้เป็นความเห็นที่สอดคล้องกันของ
มัซฮับต่าง ๆ โดยที่เขาทั้งหลายได้กำหนดกฎเกณฑ์ว่า ไม่อนุญาตให้ทำพินัยกรรมให้กับทายาทผู้หนึ่งผู้ใดที่มีสิทธิ
รับมรดกได้ เมื่อมีทายาทบุคคลอื่นไม่อนุญาต ......................ข้อมูลโดยท่านอาจารย์ มูร็อด บินหะซัน
นำเสนอโดย - ลูกกุญแจ - ศิษย์ประทีปศาสน์
Re: พินัยกรรม ตามหลักการศาสนา 1 By: al-toorab Date: ก.พ. 01, 2009, 01:44 PM
salam
ญาซากั้ลลอฮุคอยรอน

Re: พินัยกรรม ตามหลักการศาสนา 1 By: al-firdaus~* Date: ก.พ. 01, 2009, 06:36 PM
salam
เสริมค่ะ
จากอัลกุรอาน ฉบับท่านจุฬาต่วน
ได้ถูกอัลเลาะห์กำหนดไว้เป็นฟัรดูเหนือพวกเจ้าแล้ว เมื่อเหตุแห่งความตายมาสู่คนใดในหมู่พวกเจ้าที่เจ็บหนักขนาดถึงตายว่า หากผู้นั้นได้ทิ้งสมบัติไว้ ก็ให้ทำพินัยกรรมยกสมบัติเป็นของบิดามารดา และวงศ์ญาติใกล้ชิดโดยความเป็นธรรม เป็นต้นว่า มิให้ทำพินัยกรรมเกินกว่าหนึ่งในสามของสมบัติทั้งหมด และอย่าให้บิดามารดาหรือญาติใกล้ชิดที่มั่งมีได้มากกว่าที่ยากจน บัญญัติที่กล่าวข้างต้นนี้ ได้ถูกยกเลิกโดยอัล-กุรอานและอัล-หะดีธแล้ว และตกเป็นซุนนะห์โดยบรรยายว่า ผู้เจ็บป่วยจวนจะตายก็ดี ผู้มิได้เจ็บป่วยอยู่ก็ดี มีซุนนะห์ให้ถือเอาทรัพย์เพียงหนึ่งในสามจาก กองมรดกไปทำพินัยกรรมได้ดังนี้ คือ
(๑) หากผู้รับพินัยกรรมเป็นสาธารณะก็ดี เป็นบุคคลอื่นที่ไม่มีสิทธิ์ในกองมรดกก็ดี พินัยกรรมนั้นย่อมสำเร็จลงได้โดยไม่มีเงื่อนไข เว้นไว้แต่ถ้าทรัพย์ที่ทำพินัยกรรมนั้นเกินกว่าหนึ่งในสาม ส่วนที่เกินนั้นจะตกเป็นทรัพย์ในพินัยกรรมได้ก็ต่อเมื่อได้รับความยินยอมจากผู้มีสิทธิในกองมรดกเสียก่อน ตามเงื่อนไขว่า
ก.ถ้าผู้มีสิทธิในกองมรดกให้ความยินยอมกันทั้งหมด ส่วนที่เกินกว่าหนึ่งในสามจะตกเป็นทรัพย์ในพินัยกรรมได้หมด
ข.ถ้าผู้มีสิทธิในกองมรดกให้ความยินยอมแต่บางส่วน ส่วนที่เกินกว่าหนึ่งในสามจะตกเป็นทรัพย์ในพินัยกรรมได้เฉพาะส่วนของผู้ที่ยินยอมเท่านั้น แต่ส่วนของผู้ไม่ยินยอมให้ยกคืนเป็นทรัพย์ในกองมรดก
(๒) ถ้าผู้รับพินัยกรรมเป็นทายาทที่มีสิทธิในกองมรดกแล้ว จะต้องได้รับความยินยอมจากทายาทผู้มีสิทธิในกองมรดกแต่อยู่นอกพินัยกรรมตามเงื่อนไขดังในข้อ ก. และ ข. เสียก่อน พินัยกรรมนั้นจึงจะสำเร็จผล
เนื้อความซึ่งบ่งไว้นี้แหละเป็นที่เที่ยงแท้อยู่เหนือพวกที่ยำเกรงอัลเลาะห์ด้วยการปฏิบัติตามที่ทรงใช้และทรงห้าม
(อัลบะกอเราะห์ ๑๘๐)
Re: พินัยกรรม ตามหลักการศาสนา 1 By: al-firdaus~* Date: ก.พ. 01, 2009, 06:37 PM
salam
ถ้าแม้นว่าพยานก็ดี ผู้จัดการเรื่องพินัยกรรมก็ดี ผู้ใดได้เปลี่ยนแปลงซึ่งคำสั่งให้มันเป็นอื่น ไม่ว่าจะด้วยการปฏิเสธคำสั่ง หรือด้วยการให้บกพร่องซึ่งคำสั่ง หรือด้วยแปรคุณภาพของทรัพย์มรดกให้หย่อนลง หรือ ด้วยวิธีการอย่างอื่น ภายหลังจากพวกพยานก็ดี ผู้จัดการพินัยกรรมก็ดีที่ได้รับทราบซึ่งคำสั่งแล้ว บาปอันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงคำสั่งนั้นย่อมตกแก่บรรดาผู้เป็นพยานและผู้จัดการพินัยกรรมที่เปลี่ยนแปลงนั้นโดยเฉพาะ แต่บาปนั้นหาได้ตกแก่ผู้ให้พินัยกรรมซึ่งได้ตายลงแล้วไม่ ด้วยว่าอัลเลาะห์นั้นทรงได้ยินยิ่ง ซึ่งถ้อยคำของผู้ให้พินัยกรรม ทั้งทรงรอบรู้ยิ่งถึงพฤติการณ์ต่างๆ ของผู้จัดการพินัยกรรมอีกด้วย แล้วพระองค์ก็จะทรงสนองแก่ผู้ออกคำสั่งขั้นต้นด้วยความดี และสนองแก่ผู้จัดการเรื่องพินัยกรรมที่ละเมิดคำสั่งด้วยความชั่ว
(อัลบะกอเราะห์ ๑๘๑)
Re: พินัยกรรม ตามหลักการศาสนา 1 By: al-firdaus~* Date: ก.พ. 01, 2009, 06:38 PM
salam
แม้นว่าผู้จัดการพินัยกรรมคนใดเกรงว่าผู้ให้พินัยกรรมจะลำเอียง ไม่ถือเอาความเที่ยง หรือเกิดบาป เพราะเจตนาจะยกทรัพย์เกินกว่าหนึ่งในสามของทั้งหมด หรือเจาะจงพินัยกรรมให้แก่ผู้ร่ำรวยอยู่แล้วโดยเฉพาะ แล้วเขา (ผู้จัดการพินัยกรรม) ก็ได้ไกล่เกลี่ยกันระหว่างพวกที่ทรงสิทธิในทรัพย์พินัยกรรม และผู้ให้พินัยกรรมนั้นให้ออมชอมกันด้วยความยุติธรรมย่อมไม่เป็นบาปแก่เขา ที่จะทำการประนีประนอมไกล่เกลี่ยเช่นว่านั้น เพราะแท้จริง อัลเลาะห์ทรงอภัยโทษยิ่ง ทั้งทรงโปรดปรานยิ่ง
(อัลบะกอเราะห์ ๑๘๒)
Re: พินัยกรรม ตามหลักการศาสนา 1 By: ابن سفيان السراجى Date: ก.พ. 01, 2009, 08:20 PM
salam
ยังไงกระผมก็ขอขอบคุณสำหรับข้อมูลเสริมทุกอย่างนะครับ มีอะไรชี้แนะและเพิ่มเติมได้เลยนะครับหากข้อมูลนั้นๆถูกต้องที่สุด และเป็นไปตามหลักการศาสนา
ขอบคุณทุกๆท่านอีกครั้ง และกระผมดีใจมากครับ
اللهم انفعنا ببركنه
Re: พินัยกรรม ตามหลักการศาสนา 1 By: al-firdaus~* Date: ก.พ. 01, 2009, 08:25 PM
salam
สืบเนื่องจาก อัลกุรอานฉบับท่านจุฬาต่วน ซึ่งได้รับมอบหมายให้พิมพ์
และตรงกับเรื่องพินัยกรรมพอดี จึงได้ยกมาเสริมค่ะ

Re: พินัยกรรม ตามหลักการศาสนา 1 By: ฮัยฟาอ์ Date: ก.พ. 01, 2009, 11:13 PM
เนื้อความที่สอดคล้องกัน สามารถนำมาเสริมกันได้...
