ภูมิแพ้...โรคที่ไม่ควรมองข้าม By: al-firdaus~* Date: มิ.ย. 11, 2009, 11:55 AM
salam
ใครเป็นภูมิแพ้บ้างคะ ยกมือสูงๆค่ะ 0/
Re: ภูมิแพ้...โรคที่ไม่ควรมองข้าม By: reem Date: มิ.ย. 11, 2009, 12:28 PM
ขอยกมือสูงๆสองข้าง แพ้ฝุ่น แพ้อากาศ
Re: ภูมิแพ้...โรคที่ไม่ควรมองข้าม By: มัยซูน Date: มิ.ย. 11, 2009, 01:18 PM
ขอยกมือสูงๆสองข้าง แพ้ฝุ่น แพ้อากาศ
ไม้เด็ดวิธีแก้คือ ออกกำลังกายแบบเหงื่อท่วม และในบ้านควรปลอดฝุ่นด้วยค่ะ
Re: ภูมิแพ้...โรคที่ไม่ควรมองข้าม By: al-firdaus~* Date: มิ.ย. 11, 2009, 01:32 PM
salam
โรคภูมิแพ้คืออะไร
ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายมีหน้าที่ที่จะจดจำสิ่งแปลกปลอมที่จะทำร้ายร่างกายเรา เช่นเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัสโดยการสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นต่อสู้กับเชื้อโรค โรคภูมิแพ้เป็นภาวะที่ภูมิของร่างกายมีปฏิกิริยากับโปรตีนหรือสารก่อภูมิแพ้ allergen จากสิ่งแวดล้อมซึ่งปกติจะไม่มีอันตรายสำหรับผู้ที่ไม่แพ้ ปฏิกิริยานี้เริ่มเมื่อเราได้รับสารก่อภูมิแพ้ก็จะเกิดการสร้างภูมิที่เรียกว่า IgE antibody ตัว antibody นี้จะกระตุ้น Mast cell ให้มีการหลั่งสาร Histamin ขึ้นที่เนื้อเยื่อต่าง เช่น ผิวหนัง ปอด จมูก ลำไส้ ทำให้เกิดการอักเสบของอวัยวะต่างๆ อาการแสดงจะเกิดตามอวัยวะต่างๆ เช่นลมพิษที่ผิวหนัง คัดจมูก แน่นหน้าอกเนื่องจากหอบหืด บางรายอาจจะรุนแรงถึงกับเสียชีวิตได้ Anaphylaxis shock 
คนเราเป็นภูมิแพ้ได้อย่างไร
เนื่องจากเกิดโรคภูมิแพ้เป็นจำนวนมากจึงได้มีการวิจัยหาสาเหตุของโรคภูมิแพ้
กรรมพันธุ์ ผู้ที่มีประวัติภูมิแพ้ในครอบครัว เช่นพ่อแม่ พี่น้อง ก็จะเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าจะเป็นโรคภูมิแพ้ได้ง่าย เด็กชายเป็นมากกว่าเด็กหญิงหากพ่อหรือแม่เป็นโรคภูมิแพ้เด็กจะเป็นภูมิแพ้ได้ร้อยละ 30 แต่หากทั้งพ่อและแม่เป็นภูมิแพ้เด็กจะมีโอกาศเป็นโรคภูมิแพ้ร้อยละ 50-60
สิ่งแวดล้อมของเด็กในขวบปีแรกสำคัญมาก การสัมผัสควันบุหรี่ ไรฝุ่น เกสรดอกไม้ สะเก็ดรังแคสัตว์ การใช้ยาปฏิชีวนะ การรับประทานอาหารสำเร็จรูป เหล่านี้จะทำให้เกิดโรคภูมิแพ้
การติดเชื้อไวรัสในวัยเด็ก การที่มีเชื้อ lactobacillus ในลำไส้หรือการอาศัยใกล้ฟาร์มสัตว์จะลดอุบัติการณ์ของภูมิแพ้
การหลีกเลี่ยงหรือนำสิ่งที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้ออกจากสิ่งแวดล้อมใกล้ตัวเป็นการรักษาที่สำคัญที่สุดในการรักษาโรคภูมิแพ้ ซึ่งจะทำให้ลดอาการของโรคภูมิแพ้และลดปริมาณการใช้ยา
ทำไมคนในเมืองถึงเป็นโรคภูมิแพ้มากขึ้น
พบว่าปัจจัยที่สำคัญคือการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมจากสังคมชนบทเป็นสังคมเมือง
คนในเมืองอยู่บ้านมาก ติดเครื่องปรับอากาศ ไม่ออกกำลังกายทำให้ร่างกายอ่อนแอ เกิดการติดเชื้อได้ง่าย
เด็กกินนมแม่น้อยลง คนรับประธานอาหารจานด่วนมาก ทำให้ได้รับสารอาหารไม่ครบถ้วน และได้รับสิ่งแปลกปลอมเข้ามามาก เช่น สี สารกันบูด
คนนิยมเลี้ยงสัตว์เลี้ยงในบ้านเพิ่ม
การตกแต่งบ้าน ติดตั้งพรมและติดเครื่องปรับอากาศทำให้อากาศถ่ายเทไม่ดี เชื้อไรฝุ่นเจริญได้ดี
มลภาวะจากอุตสาหกรรม และการจราจร
การสูบบุหรี่
สารที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้ในบ้าน
สารก่อโรคภูมิแพ้ในบ้านจะพบได้ตลอดปีและเป็นสาเหตุสำคัญในการเกิดโรค ภูมิแพ้คัดจมูก โรคหอบหืด ผื่นแพ้ eczema สารก่อภูมิแพ้ในบ้านที่สำคัญได้แก่
ไรฝุ่นพบมากบนที่นอน โซฟา
สะเก็ดรังแคสัตว์ น้ำลาย และเหงื่อของสัตว์เลี้ยง
ขนนก ของเสียแมลงสาบ รา
จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นโรคภูมิแพ้
อาการของโรคภูมิแพ้ขึ้นอยู่กับว่า ภูมิแพ้นั้นเกิดขึ้นที่ระบบใด สำหรับผู้ใหญ่สามารถที่จะให้ประวัติและบอกอาการได้ก็จะช่วยในการวินิจฉัยอาการของโรคภูมิแพ้ที่พบได้มีดังนี้
ผื่นที่ผิวหนัง เช่นผื่นแพ้ ลมพิษ คันตามผิวหนัง
คัดจมูก น้ำมูกไหล จาม
ไอแน่นหน้าอก หายใจมีเสียงหวีด โรคหอบหืด
เคืองตาและตาแดง เคืองจมูก
บวมรอบปาก อาเจียนและถ่ายเหลว
แสบคอ น้ำมูกไหลลงคอ หูอื้อ
การทดสอบภูมิแพ้
เมื่อเกิดโรคภูมิแพ้ขึ้นก็มีความจำเป็นจะต้องทราบว่าแพ้อะไร เนื่องจากการรักษาที่ดีที่สุดคือการหลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้ หากทดสอบแล้วรู้ว่าแพ้อะไรก็ต้องหลีกเลี่ยง หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็ต้องใช้ยารักษา
เป็นการยากที่จะบอกว่าท่านแพ้อะไรโดยอาศัยเพียงประวัติและการตรวจร่างกาย หากท่านสงสัยว่าเป็นภูมิแพ้ท่านต้องปรึกษาแพทย์ เพื่อซักประวัติภูมิแพ้และตรวจร่างกาย หากอาการภูมิแพ้ของท่านเป็นมากแพทย์ก็จะทดสอบภูมิแพ้

Skin Prick Test
โดยการฉีดสารที่สงสัยว่าจะทำให้เกิดภูมิแพ้เข้าใต้ผิวหนัง จะทดสอบบริเวณแขน สำหรับเด็กจะทดสอบบริเวณหลัง การทดสอบนี้ไม่เจ็บและทราบผลทันที การทดสอบให้ผลบวกจะต้องมีตุ่มแดง นูนและคันบริเวณที่ฉีด ตุ่มยิ่งมีขนาดใหญ่เท่าใดยิ่งแพ้มากขึ้นเท่านั้น

หากให้ผลลบแสดงว่าไม่ได้แพ้สารนั้นขั้นตอนในการตรวจมีดังนี้
หากท่านรับประทานยาเป็นประจำต้องแจ้งให้แพทย์ทราบโดยเฉพาะ ยาแก้แพ้ ยาแก้โรคซึมเศร้า และจะต้องหยุดยาตั้งแต่ 2 วัน-6สัปดาห์
แพทย์จะซักประวัติโรคภูมิแพ้ ความรุนแรงของโรค แล้วจึงเลือกชนิดของสารก่อภูมิแพ้เพื่อทดสอบ
ทำความสะอาดผิวด้วยแอลกอฮอร์
ใช้ไม้บรรทัดวัดตำแหน่งที่จะทดสอบ
หยดสารก่อภูมิแพ้ตามตำแหน่ง
ใช้เข็มเล็กสะกิดผิวหนังให้น้ำยาลงไป เปลี่ยนเข็มทุกครั้งที่เปลี่ยนตำแหน่ง
รอดูผลการทดสอบ 15 นาที
วักดูขนาดของผื่นที่เกิดและจดว่าแพ้อะไรบ้าง
การเจาะเลือดตรวจ Blood test เป็นการเจาะเลือดเพื่อหาภูมิต้านทาน(IgE)ต่อสารภูมิแพ้เช่นต่อไรฝุ่น ต่ออาหาร นม ไข่ ถั่วเหลือง
Patch test เป็นการทดสอบภูมิแพ้ที่เกิดหลังสัมผัส เช่นผื่นแพ้จากการสัมผัส contact dermatitis วิธีการตรวจโดยใช้สารที่สงสัยว่าจะแพ้ใส่แผ่นเทปและปิดที่ผิวหนังไว้ 48 ชั่วโมงส่วนใหญ่ทดสอบการแพ้ ยาง nickle สี เครื่องสำอาง รวมทั้งยา
Challenge test การทดสอบนี้ควรจะทำในโรงพยาบาลโดยให้รับสิ่งที่สงสัยว่าจะแพ้แล้วดูปฏิกิริยา ก่อนการทดสอบควรเตรียมยาเพื่อช่วยชีวิตไว้ให้พร้อม
การรักษาโรคภูมิแพ้
โรคภูมิแพ้ส่วนใหญ่เมื่อหลีกเลี่ยงจากสิ่งที่แพ้ และรับประทานยาแก้แพ้ก็จะสามารถควบคุมอาการได้ สำหรับผู้ที่มีอาการคัดจมูกมากอาจจะต้องให้ยาลดอาการคัดจมูก( Decongestant) สำหรับผู้ที่มีอาการเรื้อรังอาจจะต้องใช้ยาหยอดจมูก steroid หลักการรักษาประกอบด้วย
หลีกเลี่ยงหรือป้องกันสารที่เป็นภูมิแพ้้การหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ ได้กล่าวในหัวข้อของการแพ้สารก่อภูมิแต่ละชนิด สำหรับเครื่องฟอกอากาศก็มีประโยชน์ บางชนิดใช้ไฟฟ้า บางชนิดใช้ fiberglass ซึ่งก็สามารถลดสารก่อภูมิแพ้ในอากาศลง และอาจจะใช้เสริมกับระบบเครื่องปรับอากาศ ก่อนที่ท่านจะซื้อจะต้องเช่า 1-2 เดือนลองใช้กับห้องที่ค่อนข้างมิดชิดแล้วดูว่าอาการภูมิแพ้ลดลงหรือไม่ และต้องคำนึงอีกข้อหนึ่งคืออัตราการไหลของอากาศต้องมากพอที่จะฟอกอากาศ ถ้าอัตราการไหลต่ำก็ไม่มีประโยชน์ ไม่ควรใช้โอโซนเพราะจะระคายเคืองเยื่อจมูก
การใช้ยาอย่างเหมาะสมเพื่อลดอาการ หรือป้องกันอาการ ยาที่ใช้รักษามีดังนี้
ยาแก้แพ้ Antihistamin
Decongestant
Antihistamin-Decongestant
Steroid
Mast cell stabilizer
Anticholinergic
การรักษาโดยการฉีดภูมิแพ้ Immunotherapy ผู้ป่วยจะได้รับสารก่อภูมิแพ้เพื่อให้ร่างการสร้างภูมิชนิด IgG การฉีดจะเลือกฉีดเฉพาะสารก่อภูมิแพ้ที่ได้ทดสอบทางผิวหนังแล้วว่าแพ้ และจะค่อยเพิ่มขนาดยาตามตารางเวลา หลังจากฉีดแต่ละครั้งควรอยู่ในสถานพยาบาลครึ่งชั่วโมง และระหว่างการรักษาไม่ควรรับประทานยา beta-block และยา monoamine oxidase
inhibitors (MAOIs) ผลข้างเคียงจากการฉีดก็มีผื่นเฉพาะที่แดง คันผื่นจะอยู่นาน 4-8 ชั่วโมง ส่วนข้างเคียงอีกชนิดหนึ่งคืออาการคัดจมูก แน่นหน้าอก คัดจมูกและน้ำมูกไหล อาการเหล่านี้มักจะเกิดภายใน 30 นาทีหลังฉีด
การรักษาอื่นที่บรรเทาอาการได้แก่
การล้างจมูกด้วยน้ำเกลืออุ่นๆ
การดมไอน้ำร้อนครั้งละ10-15 นาทีวันละ 2-4ครั้ง
ที่มา : siamhealth
Re: ภูมิแพ้...โรคที่ไม่ควรมองข้าม By: al-firdaus~* Date: มิ.ย. 11, 2009, 01:43 PM
20 วิธีพิชิตโรคภูมิแพ้หากอาการน้ำมูกไหล จมูกฟึดฟัด จาม และคันจากโรคภูมิแพ้เป็นหนักทำให้คุณต้องชื้อกระดาษทิชชูมาตุนไว้เต็มบ้านเพื่อรับมือกับอาการเหล่านี้คุณน่าจะหันมาปรับเปลี่ยนร่างกายให้ทำสงครามตอบโต้การโจมตีจากโรคภูมิแพ้ที่ทำเอาคุณย่ำแย่มานานปีเสียที จะได้จบสิ้นอาการที่น่ารำคาญลงได้ ภาวะภูมิแพ้อาจไม่เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต แต่ก็เป็นสิ่งที่มองข้ามไม่ได้เช่นกัน 20 วิธีต่อไปนี้เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่ใช้ป้องกันตัวเองจากโรคนี้
1.) เลือกกินเนื้อไก่แทนเนื้อวัว ผลงานวิจัยโครงการ 2 ปี ที่ศึกษาผู้ใหญ่ที่เป็นโรคหวัดแพ้อากาศ 334 ราย และผู้ที่ปกติดี 1,336 ราย พบว่าผู้ที่ได้รับกรดไขมันแปรรูปทรานส์โอเลอิก (รูปแบบหนึ่งของไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว) ในอาหารโดยเฉพาะเนื้อวัวและผลิตภัณฑ์จากนมวัวปริมาณสูงสุด มีแนวโน้มเป็นโรคหวัดแพ้อากาศมากเป็น 3 เท่าของผู้ที่ได้รับกรดไขมันดังกล่าวในปริมาณต่ำสุด ยังดีที่น้ำมันมะกอกแม้จะมีกรดโอเลอิกอยู่มากแต่ก็ไม่ได้อยู่ในรูปของไขมันแปรรูปหรือ ไขมันทรานส์
2.) กินน้ำมันปลาหนึ่งเม็ดเป็นอาหารเสริมทุกเช้าหลังแปรงฟัน การศึกษาผู้ที่เป็นโรคหอบหืดชนิดเกิดจากภูมิแพ้ พบว่าผู้ที่กินน้ำมันปลาเป็นประจำทุกวันนาน 1 เดือนจะมีระดับลูไคไทรอีนส์ซึ่งเป็นสารเคมีที่ก่อเกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้ลดลง
3.) เปิดเครื่องปรับอากาศ เพราะไม่เพียงช่วยขจัดความชื้นซึ่งอาจก่อเชื้อรา แต่ยังกรองสารก่อภูมิแพ้ที่จะเข้ามาในบ้าน หมั่นทำความสะอาดหรือเปลี่ยนที่กรองบ่อยๆ มิฉะนั้นอาจกลับทำให้แย่ลงได้
4.) กินกีวี1 ผลทุกเช้า วิตามินซีในผลกีวีเป็นสรต้านฮิสตามีนตามธรรมชาติ การศึกษาบางชิ้นพบว่าการมีระดับวิตามินซีต่ำมักทำให้เกิดภูมิแพ้ จึงควรกินวิตามันซีเสริมทันทีเมื่อมีอาการกำเริบ เราอาจเลือกผลไม้อื่นที่มีวิตามินซีสูงเช่น มะขามป้อม
5.) ทำความสะอาดเครื่องเรือนและพรมด้วยเครื่องดูดฝุ่นไอน้ำ เติมสารละลายไดโซเดียมออกตาบอเรตเตตร้าไฮเดรต หรือ ดีโอที ซึ่งได้จากธาตุโบรอนลงในน้ำด้วย วารสารAllergy ฉบับปี 2547 ตีพิมพ์ผลการศึกษาหนึ่งว่า สารดีโอทีช่วยลดปริมาณตัวไรฝุ่นและลดสารภูมิแพ้จากไรฝุ่นลงในระดับที่ปลอดปฏิกิริยาต่อร่างกายได้นาน 6 เดือน
6.) กินเคอร์ซิทินขนาด 250 มก. วันละ 3 เม็ด สารเสริมที่สกัดจากธรรมชาติชนิดนี้นับเป็นฟลาโวนอยด์ หรือสารจากพืชที่มีสรรพคุณต้านการอักเสบ เป็นยาแก้โรคภูมิแพ้จากสารธรรมชาติที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย
7.) หมั่นทำความสะอาดรางน้ำไม่ให้อุดตัน เพราะจะเป็นที่เติบโตของเชื้อราซึ่งเป็นตัวทำให้อาการภูมิแพ้กำเริบหนักขึ้น
8.) เปิดพัดลมดูดอากาศขณะอาบน้ำหรือเปิดหน้าต่างให้มีอากาศถ่ายเทอยู่เสมอ หลังการอาบน้ำ หมั่นดูแลห้องน้ำให้แห้งเพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อรามีโอกาศเจริญเติบโต
9.) ใช้น้ำร้อนล้างม่านกันส่วนอาบน้ำ และนำออกซักด้วยน้ำยาฟอกขาวทุกเดือน รวมถึงถอดฝักบัวอาบน้ำออกทำความสะอาดทุก 2-3 เดือน
10.) เปิดหน้าต่างรับแสงแดดในฤดูหนาว แสงแดดธรรมชาติช่วยขับไล่ความชื้น ทำให้อากาศแห้ง ไม่เหมาะแก่การเจริญเติบโตของเชื้อรา
11.) ซักเครื่องนอนในน้ำร้อนทุกสัปดาห์ นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการกำจัดไรฝุ่นตัวจิ๋วที่น่ารำคาญ ซึ่งพิสมัยเตียงนอนของคุณมากกว่าเจ้าของเตียงเสียอีก
12.) ตามไปดูที่ปลายช่องระบายอากาศของเครื่องอบผ้า ให้แน่ใจว่ามันยื่นออกไปนอกบ้าน ในกระบวนการอบผ้าหลังการซักทุกครั้งจะมีความชื้นราว 20 ปอนด์เล็ดลอดออกไปอยู่ที่ไหนสักแห่ง ควรตามท่อไปดูว่าเชื้อราได้ก่อตัวอยู่ตรงบริเวณช่องระบายอากาศนั้นหรือไม่
13.) ทำความสะอาดถาดรองน้ำใต้ตู้เย็นด้วยสารฟอกขาวแล้วโรยเกลือ การเติมเกลือลงไปช่วยลดอัตราการเจริญเติบโตของเชื้อราและเชื้อแบคทีเรียอื่นๆ
14.) รดน้ำไม้กระถางแต่พอประมาณ อย่าลืมโรยก้อนกรวดบนหน้าดินในกระถางทุกใบเพื่อป้องกันไม่ให้สปอร์เชื้อราลอยฟุ้งขึ้นไปในอากาศ
15.) ใช้เวลาในวันหยุดสุดสัปดาห์จัดเก็บบ้านให้สะอาด โละเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายที่คุณไม่เคยใช้ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมาทิ้งไป ย้ายอุปกรณ์กีฬาให้เข้าที่เข้าทาง ทำความสะอาดรองเท้าทุกคู่ เก็บใส่ถุงแขวนให้เป็นระเบียบ เมื่อทำเสร็จคุณจะมองเห็นพื้นตู้และฝาหลังตู้ได้อีกครั้ง ที่นี้ดูดฝุ่นทุกสิ่งทุกอย่างให้สะอาด ปริมาณฝุ่นในบ้านจะลดลงมากทีเดียว
16.) ปิดประตูห้องนอนไม่ให้แมวเข้ามาได้ วิธีนี้ช่วยลดรังแคหรือสะเก็ดผิวหนังแมวที่หลายคนมีอาการแพ้ได้ดี
17.) เลือกพรมเช็ดเท้าชนิดที่ทำจากสารสังเคราะห์ พรมเช็ดเท้าที่ทำจากวัสดุธรรมชาติ(พวกเครื่องจักรสาน) อาจเปื่อยหรือผุจนกลายเป็นแหล่งอาหารของเห็บ หรือเชื้อรา จนกระทั่งมันมาสถิตย์อยู่ในบ้าน จึงควรซักล้างพรมเช็ดเท้าทุกอาทิตย์
18.) ทำความสะอาดเศษแมลงที่ค้างอยู่ที่ระเบียงหรือซุ้มประตูทางเข้าบ้าน เมื่อเศษแมลงย่อยสลาย มันจะกลายเป็นแหล่งสารก่อภูมิแพ้เลยทีเดียว
19.) ทำชั้นวางรองเท้าไว้หน้าบ้าน และถอดรองเท้าก่อนเข้าบ้าน เพื่อลดปริมาณฝุ่น เชื้อราและสารก่อภูมิแพ้อื่นๆที่อาจติดเข้ามา
20.) อ่านฉลากให้ดี หลีกเลี่ยงอาหารที่ใส่สารเติมแต่งชนิดโมโนโซเดียมเบนโซเอต มีกรณีศึกษาของอิตาลีพบว่าสารชนิดนี้สามารถกระตุ้นให้เกิดอาการคล้ายอาการภูมิแพ้ เช่น น้ำมูกไหล จาม แน่นจมูก ในกลุ่มผู้ที่ได้ได้เป็นโรคภูมิแพ้มาก่อน นอกจากนี้ยังมักพบสารกันบูดในน้ำส้มคั้น ใส้ขนมพาย อาหารดอง มะกอก และน้ำสลัดอีกด้วย
วัลลอฮฺอะลัม
Re: ภูมิแพ้...โรคที่ไม่ควรมองข้าม By: al-firdaus~* Date: ธ.ค. 22, 2009, 10:24 AM
salam
อยากทราบวิธีบรรเทาอาการเป็นภูมิแพ้ เนื่องจาก แพ้กลิ่นหรือควันของการเผาหญ้า
น้ำมูกน้ำตาไหลตลอด คันหยุกหยิกที่จมูก
อยากทราบว่า ระหว่างพ่นยา กับ ทานยา อย่างไหนจะบรรเทาได้ดีกว่ากัน
เคยแต่กินยาแก้แพ้ วันนั้นทั้งวันทำอะไรไม่ได้เรยค่ะ เพราะแฮงค์ไปเรย ลุกจากที่นอนไม่รอด
ทรมานค่ะ...ช่วงนี้เป็นบ่อยมาก เพราะละแวกบ้าน เผากันทุกเช้า ว่าจะย้ายบ้านหนีไปอยู่ในป่าแล้วค่ะ 
Re: ภูมิแพ้...โรคที่ไม่ควรมองข้าม By: Bangmud Date: ธ.ค. 22, 2009, 02:28 PM
salam
อ่านกระทู้นี้แล้ว มีความรู้ไปเป็นหมอรักษาโรคภูมิแพ้ได้สบาย หมอคนหนึ่งบอกให้ตอบว่า
อาการที่ท่านเจ้าของกระทู้เอ่ยถึง ผมว่าไม่ได้เปนภูมิแพ้ น่าจะเกิดจากการะคายเคืองของระบบทางเดินหายใจมากกว่า เหมือนเวลาปอกหอม เราก็จะน้ำตาไหล กินข้าวกับแกงส้มแถวนครฯ ก็น้ำตาไหล น้ำมูกไหล
ไม่ได้แปลว่าเราแพ้หอมหรือแพ้รสเผ็ด แต่เพราะมีสารระเหยหรือสารเคมีที่ทำให้เยื่อเมือกระคายเคืองจนหลั่งเมือกออกมา อย่างไรก็ตาม ถ้ามีอาการคันร่วมด้วยก็อาจจะเกิดจากการแพ้สิ่งที่ปะปนมากับควันได้
เช่น เกสรดอกหญ้าหรือเชื้อรา ในกรณีเช่นนี้ก็ควรได้รับยาต้านฮิสตามีน
ยาต้านฮิสตามีนกินดีกว่าหรือพ่นจมูกดีกว่า ขึ้นกับความชอบของแต่ละบุคคล ยาชนิดกินต้องใช้เวลาดูดซึมผ่านทางเดินอาหาร กว่าจะกระจายมาในกระแสเลือดและออกฤทธิ์ก็ใช้เวลานาน
ข้อสำคัญ ยาต้านฮิสตามีนส่วนใหญ่
ง่วง มียาบางตัวง่วงน้อย เช่น Fexofenadine(ชื่อการค้า คือTelfast หรือชื่อการค้าอื่นก็ได้ ถ้าตัวยาเดียวกัน) ขนาด 1 เม็ด 60 มก. กินครั้งละ 1 เม็ด 3 เวลาก่อนหรือหลังอาหารก็ได้
หรือจะกินตอนเช้า 3 เม็ดครั้งเดียวก็ได้ อีกตัวหนึ่ง คือ Desloratadine(ชื่อการค้า Aerius หรือชื่ออื่น) ขนาด 5 มก. กิน 1 เม็ดวันละครั้ง หรือ Loratadine(ชื่อการค้า Clarityne มีชื่ออื่นอีกหลายชื่อ ราคาถูก) 10 มก. 1 เม็ดวันละครั้ง
ยาแอนติฮิสตามีน(แก้แพ้)ตัวอื่นจากนี้
ง่วงแต่ราคาถูกกว่า อาจจะถึง 10 เท่า
ส่วนยาพ่นจมูก ถ้าเป็นยาต้านฮิสตามีน และ/หรือ ดีคอนเจสแตนท์(ยาลดบวมของเยื่อบุจมูก) มีข้อดีคือ ออกฤทธิ์เร็ว เพราะดูดซึมผ่านเยื่อเมือกได้ทันที แต่ข้อเสียคือ รสขม และถ้าใช้ติดต่อกันนาน ๆ เกิน 1 สัปดาห์
เมื่อหยุดใช้จะเกิด Rebound effect คือเยื่อบุจมูกจะบวมและเกิดอาการคัด/แน่นจมูก เท่าเดิมหรือมากกว่าเดิม ถ้าจำเป็นต้องใช้ ให้ใช้น้อยครั้งที่สุด ยาที่ผมชอบใช้คือ Oxymetazoline(Iliadin)
ยาพ่นจมูกที่เป็นสเตียรอยด์ มีที่ใช้น้อยในภูมิแพ้เฉียบพลัน แต่จะใช้บ่อยในผู้ป่วยภูมิแพ้ที่เป็นเรื้อรังและรุนแรง
ความจริงวิธีรักษาภูมิแพ้ที่ดีที่สุดก็กล่าวถึงในกระทู้นี้แล้ว คือ
หลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้ เช่น ย้ายบ้านไปอยู่ป่า และ
การออกกำลังกายจนเหงื่อออก อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วัน ได้ผลช้า แต่ผลการรักษายืนยาว
ถ้าขนาดนี้ยังไม่หายก็ไปหาหมอเฉพาะทาง ทำ desensitization (อย่างที่นำเสนอข้างต้น)เลยครับ
วัสสลาม
Re: ภูมิแพ้...โรคที่ไม่ควรมองข้าม By: al-firdaus~* Date: ธ.ค. 22, 2009, 03:21 PM
ความจริงวิธีรักษาภูมิแพ้ที่ดีที่สุดก็กล่าวถึงในกระทู้นี้แล้ว คือ หลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้ เช่น ย้ายบ้านไปอยู่ป่า และการออกกำลังกายจนเหงื่อออก อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วัน ได้ผลช้า แต่ผลการรักษายืนยาว
แชรับมุขนู๋นะเนี่ย... 
อาการที่บอกไปข้างต้น ว่ามักคันจมูกและมีน้ำมูกทุกครั้งที่เจอกับควันการเผาหญ้า
จะส่งผลให้เราเป็นไซนัสหรือป่าวค่ะ เพราะเคยตื่นนอนตอนเช้าแล้วแสบโพรงจมูกมากๆ
บางทีปวดหัวไมเกรนซีกที่แสบโพรงจมูกร่วมด้วย
เช่นว่า เวลาสุญูดตอนละหมาด เหมือนมีอะไรคั่งที่หัว ปวดมากค่ะ แต่เป็นไม่บ่อยนะคะ
ญะซากัลลอฮ์ค็อยรอนสำหรับวิธีป้องกันและรักษาค่ะ
Re: ภูมิแพ้...โรคที่ไม่ควรมองข้าม By: Bangmud Date: ธ.ค. 22, 2009, 03:34 PM
salam
รอบ ๆ โพรงจมูก จะมีโพรงอากาศอยู่ 4 คู่ ที่อยู่ด้านหน้าคือ หว่างคิ้ว 1 คู่ และโหนกแก้ม 1 คู่ ส่วนอีก 2 คู่อยู่ด้านหลังโพรงจมูก
โพรงอากาศนี้เรียกว่า Paranasal sinus ถ้ามีการอักเสบ ก็เรียกว่า Sinusitis หรือ ไซนัสอักเสบ
คนที่เป็นภูมิแพ้เรื้อรัง มีน้ำมูกไหลตลอด มีโอกาสเป็นไซนัสอักเสบสูง เพราะบางครั้งน้ำมูกไหลเข้าไปขังอยู่ในไซนัส ติดเชื้อกลายเป็นหนอง
ทำให้มีอาการ ไข้ ปวดที่บริเวณโพรงอากาศ เช่น ปวดหว่างคิ้ว ปวดโหนกแก้มข้างใดข้างหนึ่งหรือปวดลึก ๆ หลังโพรงจมูก น้ำมูกที่เคยใสจะข้นเหมือนหนอง
ถ้าเป็นอย่างนี้อาจต้องใช้ยาปฏิชีวนะ(ยาฆ่าเชื้อ)รับประทานร่วมด้วย ถ้าสุญูดแล้วปวดโหนกแก้มหรือหว่างคิ้ว ก็น่าสงสัยอยู่เหมือนกัน
ลองปรึกษาหมอใกล้ ๆ บ้านดูครับ เรื่องยาปฏิชีวนะ
วัสสลาม
Re: ภูมิแพ้...โรคที่ไม่ควรมองข้าม By: al-firdaus~* Date: ธ.ค. 22, 2009, 03:50 PM
กลัวแล้วค่ะ 
จะไปหาหมอแต่เนิ่นๆ วันนี้เป็นไม่มาก ต้องรีบรักษา ปล่อยทิ้งไว้จะบั่นทอนการทำอิบาดะฮ์ของเรา
ญะซากัลลอฮ์ค็อยรอนคุณหมอแชมัด
อีกครั้งนะคะ 
Re: ภูมิแพ้...โรคที่ไม่ควรมองข้าม By: เหรียญ 2 ด้าน Date: ธ.ค. 22, 2009, 04:55 PM
salam
รอบ ๆ โพรงจมูก จะมีโพรงอากาศอยู่ 4 คู่ ที่อยู่ด้านหน้าคือ หว่างคิ้ว 1 คู่ และโหนกแก้ม 1 คู่ ส่วนอีก 2 คู่อยู่ด้านหลังโพรงจมูก
โพรงอากาศนี้เรียกว่า Paranasal sinus ถ้ามีการอักเสบ ก็เรียกว่า Sinusitis หรือ ไซนัสอักเสบ
คนที่เป็นภูมิแพ้เรื้อรัง มีน้ำมูกไหลตลอด มีโอกาสเป็นไซนัสอักเสบสูง เพราะบางครั้งน้ำมูกไหลเข้าไปขังอยู่ในไซนัส ติดเชื้อกลายเป็นหนอง
ทำให้มีอาการ ไข้ ปวดที่บริเวณโพรงอากาศ เช่น ปวดหว่างคิ้ว ปวดโหนกแก้มข้างใดข้างหนึ่งหรือปวดลึก ๆ หลังโพรงจมูก น้ำมูกที่เคยใสจะข้นเหมือนหนอง
ถ้าเป็นอย่างนี้อาจต้องใช้ยาปฏิชีวนะ(ยาฆ่าเชื้อ)รับประทานร่วมด้วย ถ้าสุญูดแล้วปวดโหนกแก้มหรือหว่างคิ้ว ก็น่าสงสัยอยู่เหมือนกัน
ลองปรึกษาหมอใกล้ ๆ บ้านดูครับ เรื่องยาปฏิชีวนะ
วัสสลาม
ขอบคุณมากครับ
Re: ภูมิแพ้...โรคที่ไม่ควรมองข้าม By: little cat Date: ธ.ค. 22, 2009, 09:43 PM
salam
ใครเป็นภูมิแพ้บ้างคะ ยกมือสูงๆค่ะ 0/
วาอาลัยกุมุสลาม ยกด้วยคนค่ะ 
Re: ภูมิแพ้...โรคที่ไม่ควรมองข้าม By: ILHAM Date: ธ.ค. 23, 2009, 02:07 PM
แพ้ใจตัวเองหรือไงแมวน้อย
Re: ภูมิแพ้...โรคที่ไม่ควรมองข้าม By: ILHAM Date: ธ.ค. 23, 2009, 05:39 PM
เวลากินมาม่าหรือก๋วยเตี๋ยว หรือไม่ก็อะไรก็ได้ที่เป็นอาหารน้ำ มักจะน้ำมูกไหลตลอดเลย เป็นภูมิแพ้ด้วยหรือเปล่าแบบนี้
Re: ภูมิแพ้...โรคที่ไม่ควรมองข้าม By: a d n a n Date: ธ.ค. 23, 2009, 05:46 PM
เวลากินมาม่าหรือก๋วยเตี๋ยว หรือไม่ก็อะไรก็ได้ที่เป็นอาหารน้ำ มักจะน้ำมูกไหลตลอดเลย เป็นภูมิแพ้ด้วยหรือเปล่าแบบนี้
เวลาเห็น รูป อาหาร น่ากิน ๆ ในกระทู้ ครัวมุสลิมะฮ์ น้ำลายมันจะไหล เป็นภูมิแพ้ด้วยหรือเปล่าแบบนี้ (อาการใกล้เคียงกัน) 