กระดานเสวนานักศึกษาอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ นิติศาสตร์อิสลาม( ฟิกห์ )
Pages: 12
Re: รอยสัก+ การซื้อทองเพื่อเกร็งกำไร By: JawhaR Date: ก.ย. 15, 2011, 11:45 PM
ขอถามอีกคำถามนะครับ        การซื้อทองคำมาเก็บไว้โดยตั้งใจจะขายในตอนที่ราคาทองคำสูงขึ้น(ชื้อทองคำเพื่อเกร็งกำไร) ใช้ได้หรือไม่ตามหลักการอิสลาม?     แล้วถ้าหากว่าใช้ได้แล้ว การออกซากาตจะเข้าอยู่ในเรื่องไหน
ระหว่างซะกาตเงิน-ทอง (นักดัย)  หรือว่าจะตอ้งออกซะกาตในเรื่องค้าขาย (عروض التجارة)?ขอบคุณสำหรับคำตอบ

ไม่ว่าจะซื้อทองมาเก็บไว้หรือซื้อทองเพื่อทำการค้า(กำไร) หากครบพิกัดและครบรอบปี  ก็ต้องจ่ายซะกาตน่ะครับ 

วัลลอฮุอะลัม


เเสดงว่า เราสามารถซื้อทองมาเก็งกำไรได้ใช่มั้ยครับ


Re: รอยสัก+ การซื้อทองเพื่อเกร็งกำไร By: pajupong Date: ต.ค. 27, 2011, 10:11 AM
พอถึงเวลา359วัน ก็เอาออกมาขาย พรุ่งนี้ซื้อมาเก็บต่อ

เก่งแฟกอฮเยอะๆเนี่ยใช้หากินได้เลยพวกนี้ 5555

พูดเล่นหรือจริงเนี้ย น้อง  oh:
Re: รอยสัก+ การซื้อทองเพื่อเกร็งกำไร By: Pakarang Date: ต.ค. 28, 2011, 11:58 AM
ถึงพิกัด  6 บาทป่าว และก็จ่าย 2.5% ป่าว ไม่แน่ใจ
Re: รอยสัก+ การซื้อทองเพื่อเกร็งกำไร By: Deeneeyah Date: ต.ค. 29, 2011, 09:00 AM
การซื้อทองคำมาเก็บไว้โดยตั้งใจจะขายในตอนที่ราคาทองคำสูงขึ้น(ชื้อทองคำเพื่อเกร็งกำไร) ใช้ได้หรือไม่ตามหลักการอิสลาม?     แล้วถ้าหากว่าใช้ได้แล้ว การออกซากาตจะเข้าอยู่ในเรื่องไหน
ระหว่างซะกาตเงิน-ทอง (นักดัย)  หรือว่าจะตอ้งออกซะกาตในเรื่องค้าขาย (عروض التجارة)?ขอบคุณสำหรับคำตอบ

เป็นซะกาตการค้า ต้องออกซะกาตการค้าเมื่อครบรอบปี

คนที่ทำการค้าเขาก็เก็งกำไรกันทั้งนั้นครับ




อ้างถึง
الحمدلله والصلاة والسلام على رسول الله وبعد...؛

การค้าหมายถึง การแลกเปลี่ยนทรัพย์กับสิ่งตอบแทน เพื่อผลกำไรและการค้าไม่จำกัดว่าเป็นทรัพย์สินประเภทใด ดังนั้นทรัพย์สินที่ใช้ในการค้าก็คือ สินค้าที่มีการเปลี่ยนมือเพื่อผลกำไร (ปลาสวยงามและต้นไม้ประดับก็เข้าอยู่ในคำนิยามนี้)

และทรัพย์สินที่อยู่ในการครอบครองกรรมสิทธิ์ จะไม่กลายสภาพเป็นทรัพย์สินที่ใช้ในการค้าที่จำเป็นต้องจ่ายซะกาตนอกจากต้องมีเงื่อนไขประการนี้

1. ได้ทรัพย์นั้นมาครอบครองโดยมีข้อตกลงแลกเปลี่ยน เช่น ซื้อขาย เป็นต้น ถ้าหากได้มาครอบครองโดยการรับมรดก หรือพินัยกรรม หรือยกให้ก็ไม่ถือว่าเป็นทรัพย์สินที่ใช้ในการค้า

2. เมื่อครอบครองแล้วมีเจตนาเอาไว้ใช้ในการค้า และการมีเจตนานี้มีอยู่โดยตลอด หากได้ครอบครองแล้วไม่มีเจตนาเอาไว้ใช้ในการค้า ก็ไม่ถือว่าเป็นทรัพย์สินที่ใช้ในการค้าที่จำเป็นต้องจ่ายซะกาต และหากมีการเปลี่ยนเจตนาในภายหลังก็ไม่จำเป็นต้องจ่ายซะกาตเช่นกัน


ทรัพย์ที่ใช้ทำการค้านั้น ให้ถือปฏิบัติเช่นเดียวกับทองคำและเงินในเรื่องพิกัด,การครบรอบปี และจำนวนที่จำเป็นต้องจ่ายออกไป กล่าวคือ ให้ตีราคาสินค้าเป็นทองคำหรือเงิน ที่ใช้เป็นเงินตรา ดังนั้นถ้าหากราคาสินค้ามีค่าเท่ากับทองคำ 96 กรัม หรือเท่ากับเงินสองร้อยดิรฮัมก็จำเป็นต้องจ่ายซะกาต และผู้ทำการค้ามีสิทธิที่จะเลือกว่าจะเทียบราคาสินค้ากับทองคำหรือกับเงิน ยกเว้นในกรณีที่เขาซื้อสินค้ามาด้วยราคาที่เป็นทองคำหรือเป็นเงิน ก็จำเป็นต้องตีราคาตามนั้นโดยไม่มีสิทธิเลือก ทั้งนี้มีหลักให้พิจารณาท้ายปี นับแต่เริ่มทำการค้า โดยไม่พิจารณาว่าทรัพย์ที่ใช้ในการทำการค้านั้นจะครบพิกัดหรือไม่ในตอนเริ่มต้น และไม่ต้องคำนึงว่าทรัพย์นั้นต้องมีอยู่ครบตามพิกัดตลอดทั้งปี กล่าวคือ ให้พิจารณาการครอบครองสินค้าโดยมีเจตนาทำการค้าครบหนึ่งปี (ตามจันทรคติ) โดยเมื่อครบรอบปีให้ผู้ทำการค้าสำรวจสินค้าทุกชนิดในร้านของตนที่มีไว้เพื่อขาย

เช่น สำรวจจำนวนของปลาสวยงามมีทั้งหมดเท่าไหร่และทั้งหมดรวมเป็นจำนวนเท่าใด เงินจำนวนนั้นถึงอัตราพิกัดหรือไม่ เป็นต้น และให้ตีราคาสินค้าขณะสำรวจเป็นราคาทองคำหรือเงิน ถ้าถึงอัตราพิกัดก็ให้จ่ายซะกาตเศษหนึ่งส่วนสี่ของเศษหนึ่งส่วนสิบ (ร้อยละ 2.5%) ถ้าหากไม่ถึงอัตราพิกัด ก็ไม่จำเป็นต้องจ่ายซะกาต และสิ่งที่จำเป็นต้องจ่ายซะกาตนั้นเป็นราคาของสินค้าที่ตีราคาได้ มิใช่ตัวสินค้าแต่อย่างใด ตามทัศนะที่ถูกต้องที่สุดในมัซฮับอัชชาฟิอีย์ แต่ถ้าจะจ่ายเป็นตัวสินค้าตามทัศนะที่ระบุเช่นนั้น ก็สามารถทำได้ โดยต้องจ่ายร้อยละสองครึ่งจากสินค้าทุกชนิดที่ครอบครองซึ่งตัวสินค้าดังกล่าวต้องไม่มีตำหนิหรือเสื่อมความนิยมจากท้องตลาด หากนำสินค้าที่มีลักษณะดังกล่าวมาจ่ายก็ถือว่าใช้ไม่ได้
(สรุปความจากอัลฟิกฮุล-มันฮะญี่ย์ เล่มที่ 2 หน้า 26 , 27 , 43-45)

والله أعلم بالصواب
http://www.alisuasaming.com/index.php/webbord/17---/369