ยิว คริสต์ อิสลาม....ศาสนาที่แท้จริง? By: tatcha_jah ~♪ Date: มิ.ย. 12, 2010, 06:41 PM
สงสัยมาตั้งแต่เด็กแล้วละค่ะ
อยากถามว่าเราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าอิสลามคือศาสนาที่แท้จริง
ในเมื่อก่อนหน้านี้ก็มียิว คริสต์
แล้วทำไมพระองค์ต้องเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาด้วยละค่ะ
มีเหตุผลอะไร
พวกเขาก็มั่นใจว่าศาสนาของพวกเขาคือศาสนาที่แท้จริง
แล้วการที่พวกเขายังยึดมั่นในศาสนาของพวกเขาเป็นสิ่งที่ผิดหรือ
ในเมื่อเป็นคำสั่งของพระเจ้าให้ศรัทธา
แล้วเราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าศาสนาอิสลามเป็นศาสนาที่แท้จริง
จะไม่มีศาสนาใหม่มาอีก
วัสลามค่ะ
Re: ยิว คริสต์ อิสลาม....ศาสนาที่แท้จริง? By: al-firdaus~* Date: มิ.ย. 12, 2010, 07:22 PM
salam
อิสลามคือศาสนาที่แท้จริงโดยไม่มีข้อสงสัย
มุสลิมทุกคนต้องศรัทธาต่ออัลลอฮ์ ศรัทธาต่อวจนะของพระองค์ที่ได้ถ่ายทอดในคัมภีร์อัลกุรอาน
اهدِنَــــا الصِّرَاطَ المُستَقِيمَ صِرَاطَ الَّذِينَ أَنعَمتَ عَلَيهِمْ غَيرِ المَغضُوبِ عَلَيهِمْ وَلاَ الضَّالِّينَ
"พระองค์โปรดชี้นำเราสู่แนวทางที่เที่ยงตรงด้วยเถิด ซึ่งเป็นแนวทางของบรรดาผู้ที่พระองค์ได้ทรงโปรดปราณแก่พวกเขา
มิใช่แนวทางของพวกที่ถูกกริ้ว และมิใช่(แนวทางของ)พวกที่หลงผิด" อัลฟาติหะฮฺ : 6 - 7
ในซูเราะฮ์อัลฟาติหะฮฺที่เราอ่านในทุกรอกะอัตของละหมาดนั้น อัลเลาะฮ์ทรงบัญชาใช้ให้เราอยู่ในสายกลาง
"บรรดาผู้ถูกกริ้ว" นั้น ก็คือพวกยาฮูดี และ "พวกที่หลงผิด" คือ พวกนะซอรอ
ดังนั้น พวกยาฮูดีกับพวกนะซอรอนั้น เป็นอุทาหรณ์แห่งความเกินเลยและหย่อนยาน
เช่น พวกยิวเลยเถิดฆ่าบรรดานบี ส่วนพวกนะซอรอเลยเถิดนำเอาท่านนบีอีซาเป็นพระเจ้า
และพวกยาฮูดีหย่อนยานมักง่ายในสิ่งที่ต้องห้าม ส่วนพวกนะซอรอมักง่ายในเรื่องที่ฮะล้าล
ดังนั้น หนทางสายกลางก็คือ การเดินอยู่บนแนวทางที่เที่ยงตรงซึ่งเป็นแนวทางของกลุ่มชนที่อัลเลาะฮ์ (ซบ.) ทรงประทานความโปรดปราณจากบรรดานบี บรรดาผู้สัจจริง บรรดาผู้มรณะสักขี และบรรดาผู้มีคุณธรรมทั้งหลาย (
อิสลาม คือ สายกลาง หลักการ และความเป็นจริง )
พวกเขาก็มั่นใจว่าศาสนาของพวกเขาคือศาสนาที่แท้จริง
แล้วการที่พวกเขายังยึดมั่นในศาสนาของพวกเขาเป็นสิ่งที่ผิดหรือ
ในเมื่อเป็นคำสั่งของพระเจ้าให้ศรัทธา
การยึดมั่นในศาสนาของตนเองเป็นสิ่งที่ไม่ผิด แต่พวกยะฮูดี และ นะซอรอ บางกลุ่มได้ทำการบิดเบือนคัมภีร์ตามอารมณ์ของตนเอง
ไม่ยอมรับว่า จะมีนบีคนสุดท้ายบังเกิดขึ้นมา นั่นก็คือ ท่านนบี ซ็อลลัลลอฮ์อะลัยฮิวะซัลลัม เรื่องราวเหล่านี้ได้ถูกถ่ายทอดในอัลกุรอานแล้วทั้งสิ้น
หากเรายึดมั่นในคัมภีร์อัลกุรอาน ซึ่งได้ถูกประทานมาแก่ประชาชาตินี้ เราจึงควรน้อมรับวจนะในนั้น อย่างสิโรราบ
Re: ยิว คริสต์ อิสลาม....ศาสนาที่แท้จริง? By: tatcha_jah ~♪ Date: มิ.ย. 13, 2010, 12:48 AM
salam
ขอบคุณนะค่ะที่ตอบคำถามให้
แต่ก็ยังมีข้อสงสัยอยู่นะค่ะ
ในฐานะที่เราเป็นมุสลิมเราก็ยอมรับในอัลกรุอ่านอยู่แล้วใช่ไหมค่ะ
แต่หากเราเป็นยิว หรือคริสต์ละค่ะ
อะไรจะเป็นตัวยืนยันว่าพระเจ้าสั่งให้เปลี่ยนมานับถืออิสลาม
ในเมื่อยิวและคริสต์ไม่ได้ยึดถืออัลกรุอ่านอย่างเรา
Re: ยิว คริสต์ อิสลาม....ศาสนาที่แท้จริง? By: al-firdaus~* Date: มิ.ย. 13, 2010, 01:50 AM
แต่หากเราเป็นยิว หรือคริสต์ละค่ะ
อะไรจะเป็นตัวยืนยันว่าพระเจ้าสั่งให้เปลี่ยนมานับถืออิสลาม
ในเมื่อยิวและคริสต์ไม่ได้ยึดถืออัลกรุอ่านอย่างเรา
อัลลอฮ์ตะอาลาทรงตรัสไว้ว่า
والله أخرجكم من بطون أمهاتكم لا تعلمون شيئاً، وجعل لكم السمع والأبصار والأفئدة، لعلكم تشكرون
"และอัลลอฮ์ทรงทำให้พวกเขาออกมาจากครรภ์มารดาของพวกเจ้า โดยที่พวกเจ้าไม่รู้สิ่งใดเลย
และพระองค์ทรงสร้าง บรรดาการได้ยิน บรรดาการเห็น และบรรดาหัวใจ เผื่อพวกเจ้าจะกตัญญูรู้คุณ"
อัลลอฮ์ตะอาลาทรงสร้างมนุษย์มา โดยเขาไม่รู้สิ่งใดเลย แต่พระองค์ทรงสร้างสื่อในการเรียนรู้และเข้าใจ
จากการได้ยิน การได้เห็น และหัวใจหรือสติปัญญา เพื่อให้พวกเขาได้ใคร่ครวญ ใช้สติปัญญาใคร่ครวญ
สติปัญญาจึงเป็นสิ่งที่มาสนับสนุนและยืนยันบรรดาหลักฐานต่าง ๆ ของอัลกุรอาน
อัลลอฮ์ตะอาลายังได้กล่าวไว้ว่า
ولا تقف ما ليس لك به علم، إن السمع والبصر والفؤاد كل أولئك كان عنه مسئولاً
"และเจ้าอย่าตามสิ่งที่ไม่มีความรู้แก่เจ้า แท้จริงหู ตา และหัวใจ ทุกสิ่งเหล่านั้นจะถูกสอบสวน"
อายะฮ์นี้สอนให้เรารู้ว่า หลักการศรัทธา(อากิดะฮ์) นั้น ต้องศรัทธาอย่างมีความรู้ ซึ่งความรู้ ณ ที่นี้
คือ "การศรัทธารู้อย่างมั่นใจและสอดคล้องกับความเป็นจริง"
การศรัทธาด้วยการตักลีดเลียนแบบบรรพบุรุษนั้น เป็นสิ่งที่ต้องห้าม
เนื่องจากเขา(คนมุก๊อลลิต) ไม่ยอมสนองคุณในการใช้ การได้ยิน การเห็น และหัวใจหรือสติปัญญาใคร่ครวญพิจารณา ตามที่อัลลอฮ์ทรงบัญญัติใช้
ดังนั้น หากเขาไม่ใช้สติปัญญาในการพิจารณาสรรพสิ่งทั้งหลายเพื่อยืนยันในการที่อัลลอฮ์ทรงเป็นพระเจ้าและอัลลอฮ์ทรงมีนั้น
แน่นอนเหลือเกินว่า เขาย่อมเป็นผู้เนรคุณ(ไม่ชุโกร)ในสิ่งที่พระองค์ทรงมอบสติปัญญาให้
และสติปัญญาหรือหัวใจของเขา ก็จะต้องถูกถามในวันโลกหน้า เพราะฉะนั้น หากท่านถูกลงโทษ ก็เพราะสาเหตุมาจากตัวของท่านเอง
หาใช่พระองค์จะทรงอธรรมแก่ปวงบ่าวของพระองค์แต่อย่างใด!! วัลลอฮุอะลัม(การเชื่อว่าอัลเลาะฮ์ทรงมีนั้น ด้วยสติปัญญาหรือด้วยหลักฐาน?) "ฮิดายะฮ์ ไม่ได้ถูกโปรยปรายลงมาจากฟากฟ้า เหมือนเช่นฝนตกหรือหิมะตก
และไม่ได้ ล่องลอยตามกระแสลมแต่อย่างใด?
ผู้ใดมีโชคก็สามารถก้มเก็บอย่างง่ายดาย
ผู้อับโชคกลับไม่มีโอกาสเห็น"
Re: ยิว คริสต์ อิสลาม....ศาสนาที่แท้จริง? By: ActionMask Date: มิ.ย. 13, 2010, 08:24 AM
เรื่องนี้พูดแล้วยาวแฮะ แต่คร่าวๆ คือ ทั้งของยิว และคริสต์เป็นคำสอนที่ถูกตัดแต่งแก้ไขโดยมนุษย์แล้ว จนไม่ทราบว่าอันไหนถูกปลอมแปลงอันไหนจริง เรื่องนี้สามารถดูได้จาก คำสอนของพวกเขาเองที่ขัดแย้ง สับสน และผิดพลาดมากมาย
ในคำสอนคริสต์เอง ก็บอกดังนี้ มัทธิว 10
10:5 สิบสองคนนี้พระเยซูทรงใช้ให้ออกไปและสั่งเขาว่า "อย่า ไปทางที่ไปสู่พวกต่างชาติ และอย่าเข้าไปในเมืองของชาวสะมาเรีย
10:6 แต่ว่าจงไปหาแกะหลงของวงศ์วานอิสราเอลดีกว่า
ที่มา
http://www.thaipope.org/webbible/40_010.htmเราจึงทราบว่า คำสอนของคริสต์นั้นเป็นคำสอนเฉพาะกลุ่ม หรือประชาชาติของพระเยซูครับไม่ใช่พวกอื่น
ซึ่งตรงกับคำสอนของอิสลาม ที่บรรดาศาสดาต่างๆ ถูกส่งมายังกลุ่มชนของพวกท่าน แต่สำหรับท่านนบีมุฮัมมัดศาสดาท่านสุดท้ายถูกส่งมาให้กับมนุษยชาติ ในยุคปัจจุบันมนุษยชาติต้องรับอิสลามเท่านั้นครับ คำสอนของบรรดาศาสดาท่านก่อนเราไม่ต้องไปปฏิบัติแล้ว
ครับประมาณนี้ หวังว่าจะตรงประเด็น
Re: ยิว คริสต์ อิสลาม....ศาสนาที่แท้จริง? By: AKHIR ZAMAN Date: มิ.ย. 13, 2010, 11:08 PM
salam
คำทำนายเกี่ยวกับนบีมูฮัมหมัด....[ในคัมภีร์ไบเบิล]
**Part I: Migration and Conquest **
ก่อนการเดินทางครั้งใหญ่สู่นครมาดี นะฮ์ นบีมูฮัมหมัด (ซล.) หันหน้ากลับไปมอง นครมักกะฮ์อันเป็นที่รัก ของท่านแล้วกล่าวว่า:
“ขอสาบานด้วยองค์ อัลลอฮ์! โอ้ มักกะฮ์ เจ้าเป็นสถานที่ที่ฉันรักที่สุด
ถ้าไม่ใช่เพราะ พลเมืองของเจ้าไล่ฉันไป ฉันคงไม่มีวันทิ้งเจ้าแน่นอน“
(ตีรมีซี)
ชาว มาดีนะ หลังจากทราบข่าวการเดินทางออกจากนครมักกะฮ์ของท่านนบีฯ ต่างออกมารอคอยการมาถึงของท่านทุกวัน เมื่อวันนั้นมาถึง มีชาวยิวคนนึง ตะโกนบอกชาวอาหรับมาดีนะว่า “โอ้ ชาวอาหรับ, โอ้ ผู้คนที่พักผ่อนยามบ่าย สิ่งที่เจ้ารักมาถึงแล้ว“ เมื่อได้ยินเช่นนี้ ผู้คนต่างรีบออกมาต้อนรับ ด้วยความปีติยิ่ง
หลังจากนบีมูฮัมหมัด (ซล.) ถูกชาวมักกะฮ์ขับไล่ สุดท้าย วันที่ 11 รอมาฎอน ปี ฮ.ศ. 8 ท่าน (ซล.) เดินทางออกจากนครมะดินะ สู่นครมักกะฮ์อันเป็นที่รักของท่าน ร่วมกับซอฮาบัตกว่า 10,000 คน พร้อมกับชัยชนะในการพิชิตนครมักกะฮ์โดยปราศจากการนองเลือดแม้แต่น้อย ชาวกุร้อชที่เคยข่มเหงท่าน ทำไม่ดีต่อท่าน ต่างหวาดกลัวการล้างแค้นจากท่าน
ตอน นึงท่านได้ถามชาวกุร้อชว่า (*1*)
“โอ้ ชาวกุร้อช พวกเจ้าคิดว่าเราจะทำอย่างไรต่อพวกเจ้า?“
พวกเขาตอบว่า “หวังสิ่งที่ดีที่สุดจากท่าน ท่านเป็นคนที่ประเสริฐ เป็นพี่น้องที่ประเสริฐ“
นบีมูฮัมหมัด (ซล.) จึงกล่าวกับพวกเขาว่า
“ฉันขอกล่าว อย่างที่นบียูซุฟ (อล.) กล่าวกับพี่ชายของเขา
’ไม่มีการประนามใดๆต่อพวกเจ้า พวกเจ้าเป็นอิสระ’“
อ้าง อิง.
(*1*) Akbar Shah Najeebabadi, Revised by Safi-ur-Rahman Mubarakpuri, The History of Islam, Vol. 1, Darussalam, 2001.
ทำไมชาวคัมภีร์ในนครมาดีนะ ต่างก็รอคอยการมาถึงของนบีมูฮัมหมัด (ซล.)?
ชี้แจง...เนื่องจากต้นฉบับจริงของคัมภีร์ไบเบิลไม่มี แล้ว จะมีก็เพียงฉบับที่ได้รับการเขียนใหม่ และได้รับการแปลเป็นภาษาต่างๆ ทำให้ค่อนข้างลำบากเล็กน้อยสำหรับการสื่อความหมาย จะอ้างอิงจากสองฉบับเป็นหลัก...
Electronic English Bible: Revised Standard Version (RSV)
Electronic Thai Bible: King James Version (KJV พอได้ แต่ควรเทียบกลับไปที่ RSV)
1- ชาวเคดาร์ หรือ ชาวอาหรับนั่นเอง
Isaiah 42:11-12 “11: Let the desert and its cities lift up their voice, the villages that Kedar inhabits (*1*); let the inhabitants of Sela sing for joy, let them shout from the top of the mountains. 12: Let them give glory to the LORD, and declare his praise in the coastlands.“
Isaiah 42:11-12 “11:จงให้ดินแดนทะเลทรายและหัวเมืองในนั้นเปล่งเสียง ทั้งชนบทที่เคดาร์อาศัย (*1*) อยู่ จงให้ชาวศิลาร้องเพลง ให้เขาโห่ร้องมาจากยอดภูเขา 12:จงให้เขาถวายสง่าราศีแด่พระผู้เป็นเจ้าและถวายการสรรเสริญพระองค์ในเกาะ ทั้งหลาย“
(*1*) เคดาร์ คำนี้ บ่งบอกว่านบีท่านสุดท้ายเป็นใครไม่ได้นอกจาก นบีมูฮัมหมัด (ซล.) เพราะท่านเป็นนบีท่านเดียวที่สืบเชื้อสายจาก เคดาร์ ลูกชายของนบีอิสมาเอลซึ่งเป็นลูกชายของนบีอิบราฮิม (อล.) นบีท่านอื่นๆที่เราทราบกันดีนั้นสืบเชื้อสายจากลูกชายของนบีอิสฮาก (อล.) ลูกชายของนบีอิบราฮิม (อล.) จากภรรยาอีกคนของท่าน:
“These are the names of the sons of Ish'mael, named in the order of their birth: Neba'ioth, the first-born of Ish'mael; and Kedar, Adbeel, Mibsam,“ (Genesis 25:13)
“ต่อไปนี้เป็นชื่อบรรดาบุตรชาย ของอิสมาเอล ตามชื่อ ตามพงศ์พันธุ์ คือเนบาโยธเป็นบุตรหัวปีของอิสมาเอล และ เคดาร์ อัดบีเอล มิบสัม“ (Genesis 25:13)
และเคดาร์คือชาวอาหรับ
“Arabia and all the princes of Kedar were your favoblue dealers in lambs, rams, and goats; in these they trafficked with you.“ (Ezekiel 27:21)
“เมือง อาระเบียและเจ้านายทั้งหลายของเมืองเคดาร์ เป็นพ่อค้าขาประจำในเรื่องลูกแกะ แกะผู้ แพะ เขาไปมาค้าขายกับเจ้าในเรื่องเหล่านี้“ (Ezekiel 27:21)
นอกจากนั้น หากเราไม่พิจารณายุคของนบีอิบราฮิมและนบีอิสมาแอล (อล.) แล้ว ลูกหลานของเคดาร์ไม่เคยนับถึงศาสนาที่เผยแพร่โดยนบีท่านใดเลย จนกระทั่งนบีมูฮัมหมัด (ซล.) และหลังจากพวกเขานับถือศาสนาที่เผยแพร่โดยนบีมูฮัมหมัด (ซล.) พวกเขาจะโห่ร้อง จะประกาศก้องผ่านหอขยายเสียงของมัสยิดต่างๆวันละห้าครั้ง โดยคำพูดสรรเสริญพระเจ้า สนับสนุนและเป็นพยานเรื่องการมีของพระเจ้าองค์เดียว พวกเขา(มุสลิม)ยังมีการตะโกนร้องเพื่อสรรเสริญพระเจ้า ทุกๆปี จากยอดเขา อาราฟัต ในช่วงพิธีฮัจย์
2- ชาวเคดาร์ หรือ ชาวอาหรับ ที่เคยกล่าวว่า เจว็ดนั้นเป็นพระเจ้าของพวกเขา สุดท้ายพวกเขาเกิดความอายกับสิ่งที่เขาได้กล่าวไป
Isaiah 42:17 “ 17: They shall be turned back and utterly put to shame, who trust in graven images, who say to molten images, "You are our gods."“
Isaiah 42:17 “ 17: เขาทั้งหลายจะหันกลับ และจะต้องขายหน้าอย่างที่สุด ผู้ซึ่งเชื่อในเจว็ด ผู้ที่เคยกล่าวแก่เจว็ดเหล่านั้นว่า "พวกท่านเป็นพระเจ้าของเรา"“
ในปี ฮ.ศ. 8 นบีมูฮัมหมัด (ซล.) ได้รับชัยชนะในการพิชิตนครมักกะฮ์โดยปราศจากการนองเลือด จากชาวอาหรับกุร้อช ที่เคยกล่าวกับพวกเขา (มุสลิม) ว่า "พวกท่าน (เจว็ด) เป็นพระเจ้าของเรา (ของชาวกุร้อช)"“ นอกจากนั้น ในวันนั้น นบีมูฮัมหมัด (ซล.) และผู้ติดตามได้มีการทำลายเจว็ดเหล่านั้นด้วย
3- พาราน หรือ เทือกเขามักกะ, เทมาน, และ สาวกจำนาว 10,000 คน
3.1 พาราน หรือ เทือกเขามักกะ
Deuteronomy 33:2 “ He said, "The lord came from Sinai, and dawned from Se'ir upon us; he shone forth from Mount Paran (*2*), he came from the 10,000 of holy ones, with flaming fire at his right hand.“
Deuteronomy 33:2 “ ท่านกล่าวว่า "ผู้ยิ่งใหญ่จะเดินทางมาจากซีนาย และนะรุ่งแจ้งจากเสอีร์มายังเขาทั้งหลาย ท่านจะ ทรงฉายรังสีจากเทือกเขาพาราน (*2*), ท่านจะเดินทางมาพร้อมวิสุทธิชนจำนวน 10,000 ท่าน ที่มือข้างขวามีแสงสว่างเป็นพระราชบัญญัติแก่เขา“
(*2*) พื้นที่ของพารานนั้น รวมไปถึงส่วนที่ภรรยาของนบีอิบราฮิม (อล.) ที่ชื่อว่า ฮาการ์ และลูกชายของท่านคือนบีอิสมาแอล (อล.) ซึ่งเป็นพ่อของ เคดาร์ซึ่งเป็นบิดาของชาวอาหรับ ได้ปักหลักตั้งถิ่นฐานที่ ทะเลทรายอาหรับ (Genesis 21:21) โดยเฉพาะแถบที่เรียกว่า มักกะฮฺ ซึ่งเป็นศูนย์กลางของอาราเบีย และเป็นถิ่นกำเนิดของนบีมูฮัมหมัด (ซล.) นางฮาการ์และนบีอิสมาแอล (อล.) ทำให้พื้นที่แห่งนั้น เปลี่ยนจากทะเลทรายแห้งแล้งมาเป็นศูนย์กลางที่เรียกว่า นครมักกะฮฺ ของมุสลิมนั่นเอง เทือกเขาพารานนั้นเป็นส่วนที่ต่อมาจากเทือบเขาในบริเวณเดียวกันที่ชาวอาหรับ เรียกกันว่า เทือกเขาซาราวัต
3.2 เทมาน. ชื่อของ โอเอซิสที่ตั้งอยู่ทางทิสเหนือของนครมาดีนะ
Habakkuk 3:1-6 “1: A prayer of Habak'kuk the prophet, according to Shigion'oth. 2: O LORD, I have heard the report of thee, and thy work, O LORD, do I fear. In the midst of the years renew it; in the midst of the years make it known; in wrath remember mercy. 3: God came from Teman, and the Holy One from Mount Paran. (*3*) His glory coveblue the heavens, and the earth was full of his praise. Selah“
Habakkuk 3:1-6 “1: คำอธิษฐานของฮาบากุกผู้พยากรณ์ ตามทำนองชิกกาโยน 2: โอ ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ได้ยินกิตติศัพท์ของพระองค์ แล้วข้าพระองค์ยำเกรง โอ ข้าแต่พระพระเจ้า พอถึงกลางยุคขอทรงรื้อฟื้นพระราชกิจของพระองค์ขึ้นใหม่ พอถึงกลางยุคขอทรงแจ้งให้ทราบทั่วกัน เมื่อทรงกริ้ว ขอทรงระลึกถึงความกรุณา 3: พระเจ้าที่เดินทางมาจากเทมาน ซึ่งท่านมาจากเทือกเขาพาราน, (*3*) เซลาห์ ความสง่าราศีของท่านจะปกคลุมทั่วฟ้าสวรรค์ และโลกก็เต็มด้วยคำสรรเสริญพระองค์“
(*3*) ตามข้อมูลของ J. Hasting’s Dictionary of the Bible, เทมานเป็นชื่อของโอเอซิสที่ตั้งอยู่ทางเหนือของนครมาดีนะ นบีมูฮัมหมัด (ซล.) ท่านเป็นคนจากเทือกเขาพาราน และประมาณปี ค.ศ. 622 ท่านและผู้ติดตามของท่านต้องอพยบจากพารานหรือมักกะ สู่เทมานหรือมาดีนะ และที่นั่น ท่านได้ใช้ชีวิตที่เหลือของท่านและเผยแพร่ศาสนาอิสลาม นครมักกะและมาดินะนั้นเป็นเมืองที่มีความสำคัญกับอิสลามเป็นอย่างมาก จะเห็นได้ว่าซูเราะห์ต่างๆในอัลกุรอ่านจะแบ่งออกเป็นสองประเภทหลักๆคือ มักกียะ สำหรับซูเราะที่ได้ประทานสมัยที่ท่านอยู่ที่มักกะ และ มาดานียะ สำหรับซูเราะที่ได้ประทานสมัยที่ท่านอยู่ที่มาดานะ
3.3 วิสุทธิชนจำนวน 10,000 ท่าน
Deuteronomy 33:2 “ He said, "The lord came from Sinai, and dawned from Se'ir upon us; he shone forth from Mount Paran, he came from the 10,000 of holy ones (*4*), with flaming fire at his right hand.“
Deuteronomy 33:2 “ ท่านกล่าวว่า "ผู้ยิ่งใหญ่จะเดินทางมาจากซีนาย และนะรุ่งแจ้งจากเสอีร์มายังเขาทั้งหลาย ท่านจะทรงฉายรังสีจากเทือกเขาพาราน, ท่านจะเดิน ทางมาพร้อมวิสุทธิชนจำนวน 10,000 ท่าน (*4*) ที่มือข้างขวามีแสงสว่างเป็นพระราชบัญญัติแก่เขา“
(*4*) ตัวเลข 10,000 นี้ ค่อนข้างมีความสำคัญเป็นอย่างมาก ท่านผู้นี้ต้องเป็นคนจาก พาราน และต้องเดินทางกลับสู่พารานพร้อมด้วยวิสุทธิชนจำนวน 10,000 คน เราจะเห็นว่า ตัวเลขนี้ ตรงกับจำนวนซอฮาบัตที่ติดตามนบีมูฮัมหมัดในครั้งพิชิตนครมักกะ หลังจากต้องอพยพไปอยู่ที่มาดินะ หรือ เทมานนานกว่า 8 ปี
อีกครั้ง ...
ถ้าลูกหลานนบีอิส มาแอล (อล.) ตั้งถิ่นฐานที่ พาราน และท่านเป็นบิดาของเคดาร์ ซึ่งเป็นบิดาของชาวอาหรับ
ถ้าลูกหลานของอาหรับจะเป็นคนที่ได้รับ คัมภีร์จากพระเจ้า
ถ้าชาวเคดาร์ ในที่สุดยอมรับคัมภีร์นั้น และมีการสรรเสริญ ณ บ้านของพระเจ้า ที่ๆเคยอยู่ในความมืดเป็นเวลานาน
และ ถ้าลูกหลานเคดาร์ ท่านหนึ่ง ต้องย้ายจากพารานไป เทมาน และกลับมาพารานอีกครั้งพร้อมด้วยผู้ตามจำนวน 10,000 คน
ฯลฯ
ทั้งหมดนี้ เป็นใครไม่ได้นอกจาก นบีมูฮัมหมัด (ซล.)
ท่านเป็นลูกหลานที่สืบเชื้อสายจากเคดาร์ซึ่งเป็นลูกชายของนบีอิสมา แอล (อล.) เราจะเห็นว่า นบีท่านอื่นๆ สืบเชื้อสายจากลูกชายของนบีอิบราฮิม (อล.) คนที่สองที่ชื่อว่า นบีอิสฮาก (อล.) น้องชายนบีอิสมาแอล อล. สำหรับบางคนพยายามเข้าใจว่า คนที่ตรงกับคำทำนายดังกล่าวคือ นบีอีซา (อล.) นั้น จริงๆแล้วอาจจะลืมไปว่า ท่านเป็นคนที่สืบเชื้อสายจากนบีอิสฮาก นั่นแสดงว่า ท่านไม่ใช่ลูกหลานของเคดาร์!
นบีมูฮัมหมัด (ซล.) เป็นคนมักกะฮ์หรือพาราน ด้วยศาสนาที่ท่านเผยแพร่ “อิสลาม“ ทำให้ชาวมักกะฮ์ไม่ยอมรับท่าน ขับไล่ท่าน จนท่านต้องย้ายไปมะดินะฮฺหรือเทราน แต่สุดท้ายท่านสามารถพิชิตมักกะฮ์ และในวันนั้น ท่านเดินทางสู่พารานพร้อมผู้ติดตามหรือซอฮาบัตจำนวน 10,000 คน คนมักกะ คนที่เคยบอกว่าเจว็ดเป็นพระเจ้าของพวกเขา สุดท้ายพวกเขากลัวและอายกับสิ่งที่พวกเขาเคยกระทำต่อนบีมูฮัมหมัด (ซล.) และซอฮาบัตท่านอื่นๆ
มันคงไม่เป็นการบังเอิญเกินไปอย่างแน่นอน!!
บทส่งท้าย
“บรรดาผู้ที่เราได้ให้ คัมภีร์แก่พวกเขานั้น พวกเขาย่อมรู้จักเขา (นบีมูฮัมหมัด ซล.) ดี
เหมือน กับที่พวกเขารู้จักลูก ๆ ของเขาเอง และแท้จริงกลุ่มหนึ่งจากพวกเขานั้นปิดบังความจริงไว้
ทั้ง ๆ ที่พวกเขารู้กันอยู่“ (Al-Quran 2:146)
Re: ยิว คริสต์ อิสลาม....ศาสนาที่แท้จริง? By: Al Fatoni Date: มิ.ย. 14, 2010, 09:33 AM
จะรู้ว่าศาสนาไหนกันแน่จากทั้งสามข้างต้น เป็นศาสนาที่แท้จริงนั้น มีทางเดียวที่จะพิสูจน์ให้ได้เห็นกันชัดๆ ไปเลยก็คือ เอาคัมภีร์ของแต่ละศาสนา มาพิสูจน์ความเป็นสัจธรรมในทุกแง่มุมของสรรพวิชาการต่างๆ ทุกแขนง แล้วเมื่อนั้น เราจะรู้เอง ว่าศาสนาใดคือศาสนาที่แท้จริง - วัลลอฮุอะอ์ลัม
Re: ยิว คริสต์ อิสลาม....ศาสนาที่แท้จริง? By: คนเดินดิน Date: มิ.ย. 14, 2010, 11:24 AM
แต่ก็ยังมีข้อสงสัยอยู่นะค่ะ
แต่หากเราเป็นยิว หรือคริสต์ละค่ะ
ถ้าวันแห่งการสอบสวนมีจริง ท่านมั่นใจหรือไม่ว่าศาสนาของท่านจะนำพาให้ท่านปลอดภัยจากการถูกลงโทษ
แล้วจะลำบากไหม?หากท่านจะเปิดใจเรียนรู้ศาสนาที่มาอย่างคนแปลกหน้าเช่น
อัลอิสลามเปิดใจที่จะศึกษาเถิด หากสิ่งที่จะได้มานั้นจะทำให้ท่านได้รู้ว่า "ไม่มีการขาดทุน ในการลงทุนครั้งนี้"
วัสสลาม
Re: ยิว คริสต์ อิสลาม....ศาสนาที่แท้จริง? By: Beechern Date: มิ.ย. 14, 2010, 02:22 PM
- ตามทรรศนะของผม -1. บัตรประจำตัวประชาชนที่ระบุว่าเป็น "อิสลาม" ไม่สามารถใช้เป็น Passport เข้าสวรรค์ได้
2. ระดับของอีหม่านที่จะมีต่อพระผู้เป็นเจ้า อันเป็นบรรไดสู่สวรรค์นั้น ไม่สามารถรับมาจากใครหรือให้กับใครได้ และไม่สามารถสืบทอดทางพันธุกรรมได้ ยกเว้นพระเจ้าจะเป็นผู้มอบให้เท่านั้น
3. ไม่ว่าจะถือบัตรระบุว่าเป็นอิสลาม หรือศาสนาใดๆก็ตาม การที่จะได้รับข้อ 2 นั้น ทรรรศนะของผมคือ ยากพอๆกัน ไม่มีใครง่ายกว่าใคร ยกเว้นคนพิเศษที่ได้รับการเลือก ซึ่งน้อยมาก
4. สิ่งเดียวที่ผู้ถือบัตรหรือเกิดภายใต้ครอบครัวอิสลามมีมากกว่าศาสนาอื่นคือ "โอกาส" แต่ขอให้กลับไปดูข้อ 2
5. การสื่อสารและสังคมในทุกวันนี้ แทบจะทำลายกำแพงข้อ 4 ไปแล้ว
6. ทุกอย่างอยู่ที่ ใครจะตัดสินใจไขว่คว้าเอา "อิสลาม" หรือเพียงจะรอให้มันมาตกใส่ ถ้าจะรอให้ตกใส่หัวเด๊ะๆก็ขอให้กลับไปดูข้อ 3
7. ข้อสุดท้าย แต่ไม่ท้ายสุด บททดสอบของมวลมนุษยชาติมีโจทย์เพียงข้อเดียว คือ ทำอย่างไรให้องค์อภิบาลเหนือหัวของเราพึงพอใจ
อัลเลาะฮ์ทรงรู้ดีที่สุด
Re: ยิว คริสต์ อิสลาม....ศาสนาที่แท้จริง? By: Al Fatoni Date: มิ.ย. 15, 2010, 10:58 AM
เดือนที่แล้ว มีเพื่อนเวียดนามของผมคนหนึ่ง ซึ่งสนิทพอสมควร มันไปซื้อวีซีดีบันทึกการสัมนาทางวิชาการระหว่าง ดร.ซากิรไนก์ (ต้วแทนฝ่ายมุสลิม, ชาวอินเดีย) กับ ดร.วิลเลี่ยม เคมเบิล (ตัวแทนฝ่ายคริสเตียน, ชาวอเมริกัน) ซึ่งทั้งสองก็ถกประเด็นร้อนกันเกี่ยวกับความเที่ยงตรงและความแม่นยำของข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์ของแต่ละศาสนา คือระหว่างคัมภีร์อัลกุรฺอาน และคัมภีร์ไบเบิล ประเด็นที่ถกกันเช่น การกำเนิดมนุษย์, การเกิดฝน, การกำเินิดจักรวาล, และอื่นๆ ครับ ยอมรับเลยว่าเป็นการดีเบทที่สุดยอดจริงๆ เพราะ ดร.ซากิรไนก์ เล่นอ้างทั้งอัลกุรฺอานและไบเบิลเพื่อตอบโต้ ดร.วิลเลี่ยม เคมเบิล แบบไม่เปิดเล่มพระคัมภีร์เลย ยกทั้งตัวบท, ความหมาย, ในอ้างอิงที่อายะฮ์นั้นๆ อยู่ทั้งของอัลกุรฺอานและไบเบิล มาชาอัลลอฮฺ - วัลลอฮุอะอ์ลัม
Re: ยิว คริสต์ อิสลาม....ศาสนาที่แท้จริง? By: 075320872 Date: ม.ค. 15, 2011, 02:50 AM
สวัสดีครับ ชื่อ ออ อายุ 21 ปี ผมเป็นชาวคริสต์ ... ผมมีขอสงสัยมาเสวนากับ เพื่อนพี่น้องชาวมูสลืม
.ผมก็ชื่นชอบในวาทะ ใน บทสวด ใน คำสั่งสอนของมูสลิม ด้วย ... แล้วผมก็นำมาศึกษาร่วมกับศาสนาของผมไปด้วย
..... คุณว่าผมบาป ไหมครับ
ขอให้พระเจ้าอวยพรนะครับ
Re: ยิว คริสต์ อิสลาม....ศาสนาที่แท้จริง? By: 075320872 Date: ม.ค. 15, 2011, 02:59 AM
บางทีผมก็สับสนว่า มนุษย์เรามีบาป พระเจ้าทรงให้อภัยต่อเรา เพราะพระเจ้าได้สร้างเรามาด้วยพระเจ้า
.... แต่ทำไมคนทุกศาสนาในโลกนี้ ยังเผลอทำบาป ยังเผลอมีความเลวอยู่ในตัว ... ทั้ง ฆ่ากัน แย่งลูก แย่งเมีย บ้าเงินทอง บ้า วัตถุ
ทำไม ทำไม มนุษย์ ไม่เห็นความรัก ไม่เห็นความสันติสุข ...
ขอให้พระเจ้าอวยพร
Re: ยิว คริสต์ อิสลาม....ศาสนาที่แท้จริง? By: Al Fatoni Date: ม.ค. 15, 2011, 07:49 AM
สงสัยมาตั้งแต่เด็กแล้วละค่ะ
อยากถามว่าเราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าอิสลามคือศาสนาที่แท้จริง
ในเมื่อก่อนหน้านี้ก็มียิว คริสต์
แล้วทำไมพระองค์ต้องเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาด้วยละค่ะ
มีเหตุผลอะไร
พวกเขาก็มั่นใจว่าศาสนาของพวกเขาคือศาสนาที่แท้จริง
แล้วการที่พวกเขายังยึดมั่นในศาสนาของพวกเขาเป็นสิ่งที่ผิดหรือ
ในเมื่อเป็นคำสั่งของพระเจ้าให้ศรัทธา
แล้วเราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าศาสนาอิสลามเป็นศาสนาที่แท้จริง
จะไม่มีศาสนาใหม่มาอีก
วัสลามค่ะ
การที่ยิวและคริสเตียนยังคงจะยึดความเชื่อ หรือศาสนาเดิมของตนอยู่นั้น ตามทัศนะของอิสลามแล้วถือว่าเป็นเรื่องที่ผิด เพราะถือเป็นการไม่ทำตามคำสั่งของพระผู้เป็นเจ้า เพราะทั้งสองศาสนานั้นก็อ้างว่ามาจากอัลลอฮฺ (พระผู้เป็นเจ้า) ด้วยกันทั้งสิ้น ซึ่งเมื่อเราไปดูประวัติศาสตร์การประทานคำสอนของพระองค์ในแต่ละยุคนั้น หากเป็นในส่วนของหลักความเชื่อที่พระผู้เป็นเจ้าสั่งให้มนุษย์เชื่อนั้น เมื่อมันถูกละเมิด หรือถูกละเลย พระองค์ก็จะทรงส่งศาสดามาคอยชี้แนะและแก้ไขสิ่งเหล่านั้นให้ถูกต้องอยู่เสมอ พร้อมกับให้มีการยกเลิกความเชื่อเก่าที่ผิดกับสิ่งที่พระองค์ทรงบอกผ่านศาสดาของพระองค์ ณ เวลานั้นด้วย
แต่ในส่วนของหลักปฏิบัติในทางศาสนาแล้ว หากวิถีชีวิตของสังคมได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม พระองค์ก็จะทรงประทานพระบัญญัติในเรื่องปฏิบัติแบบใหม่ที่ถูกต้องมาแทนอันเก่า ทั้งนี้เพื่อให้ทันกับยุคสมัยของเวลานั้น และเพื่อไม่ให้เป็นการสร้างความลำบากแก่บ่าวของพระองค์ด้วยนั่นเอง
ฉะนั้น เมื่อคัมภีร์เตารอต (ไบเบิลฉบับพันธะสัญญาเก่า) ถูกประทานลงมาแก่ศาสดามูสา (โมเสส) โดยพระเจ้า ดังนั้น ความเชื่อเก่าที่พวกอิสรออีลในอียิปต์ยุคนั้นที่เชื่อๆ กันอยู่ก็จะถูกยกเลิกไป แล้วก็จะต้องกลับมาสู่คำสอนของพระองค์ และเช่นเดียวกัน เมื่อคัมภีร์อินจีล (ไบเบิลฉบับพันธะสัญญาใหม่) ถูกประทานลงมาแก่ศาสดาอีสา (เยซู หรือจีสัส) แล้ว ความเชื่อบางประการที่ออกนอกลู่นอกทางของพระเจ้า ก็จะได้รับการตักเตือนและถูกเชิญชวนให้ไปสู่คำสอนที่แท้จริงของพระองค์ แล้วเช่นเดียวกัน เมื่อมนุษย์หันเหออกจากสิ่งที่พระองค์ทรงสอนและประทานลงมานั้น ดังนั้น ด้วยความเมตตาของพระองค์เช่นเคย พระองค์จึงทรงส่งคัมภีร์อัลกุรฺอานลงมาเป็นศาสดามุหัมมัด เพื่อให้เป็นทางนำแก่มนุษยชาติทุกเชื้อชาติ ภาษา และอื่นๆ และความเชื่อเก่าๆ ก็จะต้องถูกยกเลิกไปโดยปริยาย - วัลลอฮุอะอ์ลัม
Re: ยิว คริสต์ อิสลาม....ศาสนาที่แท้จริง? By: ActionMask Date: ม.ค. 15, 2011, 05:05 PM
บางทีผมก็สับสนว่า มนุษย์เรามีบาป พระเจ้าทรงให้อภัยต่อเรา เพราะพระเจ้าได้สร้างเรามาด้วยพระเจ้า
.... แต่ทำไมคนทุกศาสนาในโลกนี้ ยังเผลอทำบาป ยังเผลอมีความเลวอยู่ในตัว ... ทั้ง ฆ่ากัน แย่งลูก แย่งเมีย บ้าเงินทอง บ้า วัตถุ
ทำไม ทำไม มนุษย์ ไม่เห็นความรัก ไม่เห็นความสันติสุข ...
ขอให้พระเจ้าอวยพร
ยินดีที่ได้ทราบว่าท่านสนใจอิสลามนะครับ ผมขอตอบจากที่ค้นมาได้ก็แล้วกันว่า
ทำไมถึงทำบาป
อัลลอฮฺได้บอกให้เรารู้ว่ามนุษย์ทุกคนที่เกิดมานั้นล้วนมีสภาพแรกเกิดที่ บริสุทธิ์ ปราศจากมลทินและความผิดบาปทุกประการ แต่ความบริสุทธิ์ดังกล่าวนั้นถูกลบเลือนด้วยสาเหตุและอิทธิพลในชีวิตบาง ประการ
เช่นที่ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้อธิบายใน หะดีษฺบทหนึ่งว่า
“อัลลอฮฺได้ตรัสว่า แท้จริงฉันได้ให้บังเกิดบ่าวทั้งหลายของฉันในสภาพที่บริสุทธิ์ทุกคน และแล้วชัยฏอนคือผู้ที่ชักจูงให้พวกเขาหันเห ด้วยการล่อลวงในทางเบี่ยงเบนไปจากศาสนาของพวกเขา” (รายงานโดยมุสลิม) ในหะดีษฺอีกบทหนึ่ง ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้อธิบายว่า
“ทารกที่เกิดมาทุกคนล้วนถูกกำเนิดมาด้วยกมลสันดานอันบริสุทธิ์ หลังจากนั้นพ่อแม่ของเขาคือผู้ (เลี้ยงดู) ให้เขาเป็นยิว เป็นคริสต์ หรือเป็นพวกบูชาไฟ” (รายงานโดยมุสลิม) จากข้อเท็จจริงในหะดีษฺข้างต้นแสดงให้เราเข้าใจถึงบทบาทของชัย ฏอนในการล่อลวงมนุษย์ให้กระทำผิด โดยที่ชัยฏอนนั้นไม่เคยหวังดีต่อมนุษย์และตั้งตนเป็นศัตรูกับมนุษย์ตั้งแต่ สมัยเริ่มแรกที่อัลลอฮฺได้สร้างมนุษย์ผู้แรกนั่นคือ นบีอาดัม อะลัยฮิสสลาม ชัยฏอนเคยประกาศว่าจะล่อลวงลูกหลานของอาดัมทั้งหมดให้ออกห่างจากเส้นทางอัน เที่ยงตรง เช่นที่อัลลอฮฺได้ตรัสถึงคำพูดของมันไว้ในอัลกุรอานว่า“(ชัยฏอนได้พูดว่า) ด้วยเหตุที่พระองค์ได้ปล่อยให้ฉันเบี่ยงเบน ดังนั้นฉันขอสาบานว่าจะล่อลวงพวกเขา (มนุษย์ทั้งหลาย) จากเส้นทางอันเที่ยงตรงของพระองค์ แล้วฉันก็จะเข้าหาพวกเขาทั้งจากข้างหน้า ข้างหลัง ข้างขวา และข้างซ้าย และพระองค์จะได้เห็นว่าพวกเขาส่วนมากไม่ระลึกคุณ” (อัลกุรอาน สูเราะฮฺ อัล-อะอฺรอฟ : 16-17)
มนุษย์จึงต้องรู้ตัวว่าตนมีศัตรูที่ร้ายกาจอย่างชัยฏอนคอย ยุแหย่ให้กระทำผิดอยู่ตลอดเวลา ด้วยการกระซิบกระซาบล่อลวงด้วยภาพต่างๆ นานาให้มนุษย์เอาแต่ใจ และทำตามอารมณ์ใฝ่ต่ำของตน มนุษย์จึงต้องระวังตัวเองให้มากและต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮฺให้รอดพ้น จากการล่อลวงของชัยฏอน
“และหากแม้นว่าชัยฏอนได้มาก่อกวนเจ้าด้วยการก่อกวนใดๆ แล้วไซร้ เจ้าจงขอต่ออัลลอฮฺให้ปลอดภัยจากมัน แท้จริงอัลลอฮฺทรงได้ยินและรอบรู้ยิ่ง” (อัล- กุรอาน สูเราะฮฺ ฟุศศิลัต: 36) นอกจากนี้ สภาพการเลี้ยงดูที่เด็กคนหนึ่งได้รับจากบิดามารดาก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ มนุษย์เติบโตขึ้นมาเป็นคนที่ดีหรือไม่ดีได้ เช่นที่เราได้ทราบจากหะดีษฺข้างต้น ผู้ที่เป็นพ่อแม่จึงควรต้องตระหนักในการเลี้ยงดูลูกให้อยู่ในครรลองของอิส ลาม ไม่ใช่ปล่อยปะละเลยโดยไม่สนใจเรื่องศาสนา หรือเลี้ยงดูลูกตามแบบอย่างที่ไม่ถูกต้อง เช่น การนำเอาวัฒนธรรมตะวันตกมาสอนลูกเป็นต้น
จะเห็นได้ว่าอิสลามเน้นหนักให้พ่อแม่ต้องอบรมสั่งสอนลูกให้เข้า ใจศาสนา ทำตัวอย่างและสอนให้ลูกปฏิบัติศาสนกิจต่างๆ ตั้งแต่ลูกยังมีอายุน้อย เช่นที่ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้สอนว่า“จงสั่งให้ลูกของท่านละหมาดเมื่อพวกเขามีอายุเจ็ดขวบ และจงโบยพวกเขา (ถ้าพวกเขาไม่ยอมละหมาด) เมื่อพวกเขามีอายุสิบขวบ” (รายงานโดย อบู ดาวูด) เป็นต้น
ในขณะที่ถ้าหากพ่อแม่ไม่เอาใจใส่ในเรื่องศาสนาของลูกๆ เมื่อเติบใหญ่ขึ้นมา อิทธิพลการเลี้ยงดูลูกอย่างไม่ถูกต้องจะทำให้เขาเป็นคนที่มีพฤติกรรมเบี่ยง เบน ประพฤติผิด และออกห่างจากคำสอนของศาสนา
ที่มา
http://www.thaimuslim.com/overview.php?c=3&id=9137ขอพระเจ้าประทานทางนำอันถูกต้องแก่ท่านนะครับ
Re: ยิว คริสต์ อิสลาม....ศาสนาที่แท้จริง? By: BaE HoK Date: ม.ค. 15, 2011, 06:12 PM
ท่านศาสดามูฮำมัดได้เริ่มสนทนากับตัวแทนของเหล่าศาสนายิวเป็นกลุ่มแรก
“ อิสลาม กับ ศาสนายิว ”
พวกยิวแห่งแผ่นดินอาหรับในสมัยของท่านศาสดามูฮำมัด(เมื่อ1,400ปีก่อน)ได้สูญเสียความเชื่ออันเป็นรากฐานเดิมของพวกเขาไป และเนื่องจากพวกเขาได้มีการติดต่อสมาคมกับพวกลัทธิถือบูชารูปปั้น และพวกคริสเตียน ดังนั้นพวกเขาก็เริ่มต้นตั้งหลักเกณฑ์ลอยๆที่ว่า “พระผู้เป็นเจ้าทรงมีบุตร” ขึ้นมา และด้วย “อุเซร”(เอสดราสหรือเอซราในภาษาอังกฤษ)ได้เป็นผู้เขียนคัมภีร์เตารอตขึ้นมาใหม่หลังจากที่มันได้สาบสูญไปนานหลายศตวรรษ พวกยิวนับถือเขาอย่างสูงส่งและเริ่มที่จะอ้างว่า “อุเซร” คือบุตรของพระผู้เป็นเจ้า
ท่านศาสดาได้ถามพวกเขาว่า.. “ เหตุผลแห่งความเชื่อของพวกเขาคืออะไร ? ”
พวกเขากล่าวว่า... “ อุเซร ได้เขียนคัมภีร์เตารอตเพื่อชาวอิสราเอลขึ้นมาใหม่ หลังจากมันได้หายสาบสูญไปจากพวกเขาเป็นเวลานานนับศตวรรษและเมื่อเป็นเช่นนี้มันจึงเป็นเครื่องแสดงว่าเขาเป็นบุตรของพระผู้เป็นเจ้า ”
ท่านศาสดา “ ทำไมอุเซรจึงได้ถูกเชื่อว่าเป็นบุตรของพระผู้เป็นเจ้า แต่มูซา(โมเสส)มิได้ถูกเชื่อดังนั้น ทั้งๆที่โมเสสได้เป็นผู้นำเอาคัมภีร์เตารอตที่ได้ประทานจากพระผู้เป็นเจ้าลงมาครั้งแรก การนำมาครั้งแรกจะไม่สำคัญยิ่งกว่าการเขียนมันขึ้นมาใหม่ละหรือ ! ยิ่งไปกว่านั้น โมเสสได้แสดงอภินิหารหลายอย่างซึ่งอุเซรมิได้แสดงมันเลย ถ้าอุเซรเป็นบุตรของพระผู้เป็นเจ้าเพราะว่าพระองค์ทรงให้เกียรติเขาอันเนื่องมาจากการเขียนคัมภีร์เตารอตขึ้นมาใหม่ โมเสสผุ้นำคัมภีร์เตารอตที่ได้ประทานมาจากพระผู้เป็นเจ้านั้นจะไม่สมควรได้รับตำแหน่งแห่งความเป็นบุตรของพระผู้เป็นเจ้ากว่าหรือ ? ข้าพเจ้าคิดว่าความเป็นบุตรนั้น ท่านคงจะมิได้หมายถึงว่ามันคือความสัมพันธ์ที่ได้ถูกขนานนามขึ้นมาเมื่อเด็กถือกำเนิดออกมาจากครรภ์มารดาภายหลังจากที่บิดามารดาของเขาได้มีความสัมพันธ์ทางเพศกันอย่างแน่นอน ”
บรรดาตัวแทนชาวยิวก็ได้ยืนยันว่าเป็นเช่นนั้น เมื่อพวกเขากล่าวว่า “อุเซรเป็นบุตรของพระผู้เป็นเจ้า” พวกเขามิได้หมายถึงว่า มันคือความเป็นบุตรโดยกำเนิด แต่มันเป็นเพราะเกียรติยศที่เขามีต่อพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งเสมือนกัยบรรดาอาจารย์ชอบที่จะเรียกลูกศิษย์คนโปรดว่า “ เจ้าลูกชายของฉัน ”...
ท่านศาสดาได้กล่าวว่า ท่านได้กล่าวไว้แล้วว่าในประการนี้ซึ่งความจริงนั้น มูซา(โมเสส)สมควรที่จะได้รับการขนานนามว่า “เป็นบุตรของพระผู้เป็นเจ้า”มากกว่า มันเป็นเช่นเดียวกันกับตัวอย่างที่ผู้สูงอายุชอบที่จะเรียกเด็กหนุ่มซึ่งมิได้มีความสัมพันธ์ใดๆเลยว่า “เจ้าลูกชาย” ขอให้เรามาพิจารณาถึงถ้อยคำดังกล่าวนี้ต่อไปอีกเล็กน้อย ท่านคงจะเคยเห็นว่าผู้สูงอายุบางคนได้ให้เกียรติต่อนักปราชญ์ หรือผู้รอบรู้บางคนโดยเรียกว่า “น้องชายของฉัน” หรือ “พี่ชายของฉัน” บางครั้งก็ “ท่านผู้นำของฉัน”และแม้กระทั้งคำว่า “พ่อของฉัน” ด้วยการใช้ถ้อยคำเหล่านี้ ท่านจะกล่าวหรือไม่ว่า มูซา(โมเสส)ผู้ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วมีเกียรติสูงกว่า อุเซร ในสายตาของพระผู้เป็นเจ้าสมควรที่จะถูกเรียกว่า “น้องชายของพระผู้เป็นเจ้า” หรือแม้กระทั้งคำว่า “ผู้นำของพระผู้เป็นเจ้าหรือ ? ”...
บรรดาตัวแทนชาวยิวไม่สามารถที่จะตอบคำถามนี้ได้ ภายหลังจากการตรึกตรองครู่ใหญ่พวกเขาก็ยอมรับในความเป็นจริงของ อิสลาม .
...............................
“ อิสลาม กับ คริสเตียน ”
พวกผู้แทนชาวคริสเตียนได้แสดงความเชื่อของพวกเขาว่า “ พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นหนึ่งกับพระเยซูบุตรของพระองค์ ” ...
ท่านศาสดาถามพวกเขาว่า... “ ที่พวกท่านกล่าวว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงนิรันดร์มีเพียงหนึ่งองค์กับพระเยซูบุตรของพระองค์นั้น หมายความว่าอย่างไร ?...
- ท่านหมายถึงว่า ความเป็นนิรันดร์(พระผู้เป็นเจ้า)ได้สิ้นสูญลงเหมือนกับการสิ้นชีพของพระเยซูหรือ ? ถ้าท่านหมายความดังที่กล่าวนั้น มันเป็นไปไม่ได้ที่ “ความเป็นนิรันดร์”ซึ่งไม่มีจุดเริ่มต้นหรือจุดอวสานจะกลับกลายเป็นสิ่งที่ดับสูญ เพราะสิ่งที่ดับสูญนั้นมันย่อมมีทั้งการเริ่มต้นและการสูญสลาย
- ท่านจะหมายความว่า การสิ้นชีพของพระเยซูนั้นจะกลายเป็นสิ่งที่เป็นนิรันดร์ดังเช่นที่พระผู้เป็นเจ้าเป็นอยู่กระนั้นหรือ ? ถ้าท่านหมายความอย่างนั้น มันก็เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เช่นกัน เพราะสิ่งที่ถือกำเนิดขึ้นมาหลังจากที่ครั้งที่หนึ่งมันมิได้มีตัวตนอยู่ในโลกนี้จะกลายเป็นสิ่งที่เป็นนิรันดร์ได้อย่างไร ? ”
- หรือท่านจะหมายถึงว่า โดยประโยคนี้ “พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นหนึ่งกับพระเยซู” หมายถึงพระผู้เป็นเจ้าทรงให้เกียรติแก่พระเยซูซึงมิได้ให้แก่ผู้ใด ? ถ้าเป็นเช่นนั้น ท่านก็จะต้องยอมรับว่าพระเยซูไม่ทรงเป็นนิรันดร์ นั้นคือ คุณสมบัติของพระเยซูจากการที่ได้รับเกียรติอันนี้ภายหลังจากพระองค์ได้ถูกสร้างขึ้นมา ด้วยประการนี้เองพระเยซูจึงไม่อาจที่จะเป็นหนึ่งกับพระผู้เป็นเจ้าได้ เพราะว่าความเป็นนิรันดร์กับความไม่ยืนยง(ความดับสูญ)เป็นสิ่งที่ไม่อาจรวมกันได้ !
บรรดาตัวแทนชาวคริสเตียน... “ เมื่อพระผู้เป็นเจ้าได้ทรงแสดงอภินิหารผ่านทางพระเยซูนั้นหมายถึงว่า พระองค์ได้ทรงให้เกียรติความเป็นบุตรแก่พระเยซู ”
ท่านศาสดาได้อธิบาย โดยพูดถึงการสนทนา “อุเซรกับความเป็นบุตรของพระผู้เป็นเจ้า”ที่กล่าวกับพวกยิวให้บรรดาตัวแทนชาวคริสเตียนฟังอีกครั้ง...
ภายหลังจากที่ได้ตรึกตรองอยู่พักใหญ่ หนึ่งในบรรดาตัวแทนชาวคริสเตียนได้กล่าวขึ้นว่า “ พระคัมภีร์ได้กล่าวถึงคำตรัสของพระเยซูว่า...”ฉันจะกลับไปสู่พระบิดาของฉัน”(ข้อสนทนานี้มีพื้นฐานอยู่บนความเข้าใจที่ว่า..พระเยซูเองก็ได้ยืนยันว่าพระผู้เป็นเจ้าคือพระบิดาของพระองค์ และดังที่ท่านศาสดามูฮำมัดได้ยอมรับในความเป็นศาสดาองค์หนึ่งของพระเยซู เพราะฉะนั้นข้อยืนยันของพระเยซูจึงไม่อาจเป็นข้อยืนยันที่ผิดได้)”
ท่านศาสดาได้กล่าวกับบรรดาตัวแทนชาวคริสเตียนว่า..”ประโยคที่แท้จริงในพระคัมภีร์นั้นก็คือ “ฉันจะกลับไปสู่พระบิดาของฉันและท่าน”ซึ่งหมายความว่า บรรดาผู้ศรัทธาทั้งปวงคือบุตรของพระผู้เป็นเจ้า ยิ่งไปกว่านั้น ข้ออ้างในประโยคที่สมบูรณ์ของพระคัมภีร์นี้ได้ลบล้างข้ออ้างของพวกท่านที่ว่า “พระเยซูคือบุตรของพระผู้เป็นเจ้า”อันเนื่องมาแต่เกียรติที่พระองค์ได้รับจากพระผู้เป็นเจ้า เพราะว่าหลักความเชื่อของพวกท่านนั้น แม้ว่าบรรดาผู้ศรัทธาจะไม่ได้รับเกียรติอันสูงส่งเช่นเดียวกันกับพระเยซู แต่พวกเขาก็ยังคงได้รับการเรียกว่าเป็นบุตรของพระผู้เป็นเจ้า ”
หลังจากที่ได้พิจารณาและไตร่ตรองอยู่ครู่ใหญ่ พวกเขาก็กลับกลายเป็นมุสลิม .[/color]