กระดานเสวนานักศึกษาอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ ข่าวสารและสังคมมุสลิม
Pages: 1
ความสำคัญของ ?อัลอัซฮาร์? ต่อมุสลิมและรัฐบาลไทย By: musalmarn Date: มิ.ย. 27, 2007, 04:53 PM
ความสำคัญของ ?อัลอัซฮาร์? ต่อมุสลิมและรัฐบาลไทย


ด้วยพระนามของอัลลอฮฺผู้ทรงเมตตากรุณาปรานีเสมอ ขอความสันติและความจำเริญแด่ศาสดามุฮัมมัด ผู้เจริญรอยตามท่าน

ระหว่างวันที่ 23-30 มิถุนายน 2550 ผู้อ่านคงได้มีโอกาสอ่านข่าว ฟังข่าวเกี่ยวการมาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของรัฐบาลของ ดร. มูฮัมหมัด ซัยยิด ฏอนฏอวี[1] (Dr. Muhammad Sayid Tantawy) ผู้นำสูงสุดของมหาวิทยาลัยอัลอัซฮาร์และผู้นำสูงสุดทางศาสนาอิสลามของอียิปต์ หรือ Grand Imam of Al Azhar เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างกันในด้านกิจการศาสนาอิสลาม ตลอดจนการขยายความร่วมมือด้านการศึกษาของเยาวชนไทยมุสลิม และเพื่อสร้างความเข้าใจอันดีระหว่างศาสนา (interfaith dialogue) ตามนโยบายของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาและเสริมสร้างสันติสุขในจังหวัดชายแดนภาคใต้

แต่จะมีสักกี่คนที่จะรู้จักสถาบันอัลอัซฮาร์แห่งนี้ ดังนั้นการรู้จักสถาบันแห่งนี้จะทำให้หลายคนรู้ถึงจุดประสงค์ของวิถีทางการทูตของรัฐต่อโลกมุสลิมในการแก้ปัญหาชายแดนใต้

รู้จักอัลอัซฮาร์

ในขณะนักเรียนมัธยมทั่วประเทศได้ทราบผล Anet และ Onet เพื่อศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาในสถาบันต่างๆ ของประเทศไทย

แต่สำหรับนักเรียนมุสลิมภาคใต้ หรือภาคอื่นของไทยดูเหมือนจะมีทางเลือกมากกว่านักเรียนทั่วไปแม้สถาบันอุดมศึกษาด้านวิชาการมุสลิมในประเทศจะมีอยู่เพียง 2 แห่ง เท่านั้น แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาเพราะนักเรียนส่วนหนึ่งกำลังหาที่เรียนในต่างประเทศ สถาบันหนึ่งที่นักศึกษามุสลิมต้องการไปเรียนมากที่สุดคือ มหาวิทยาลัยอัลอัซฮาร์ (AL-Azhar) ประเทศอียิปต์ สถาบันวิชาการศาสนาของโลกมุสลิม ซึ่งก่อตั้งมานานนับพันปี เรียกได้ว่าเก่าแก่กว่ามหาวิทยาลัยอ็อกฟอร์ด ของอังกฤษเสียอีก

ที่นี่เสมือนมหาวิทยาลัยเปิด ตลาดวิชาสำหรับมุสลิมผู้ศรัทธา ใส่ใจในหลักวิชาการศาสนาทุกคน ไม่มีการสอบคัดเลือกเพื่อเข้าศึกษา

ในปีหนึ่งๆ จะมีนักศึกษามุสลิมจากภาคใต้หรือที่อื่น เข้าศึกษาต่อด้านศาสนาและสามัญ (แต่ส่วนใหญ่เป็นศาสนา) ในระดับอุดมศึกษาที่สถาบันแห่งนี้ ไม่ต่ำกว่า 100 คน หากรวมนักศึกษามุสลิมจากประเทศไทย ที่กำลังศึกษาอยู่ในสถาบันแห่งนี้ทุกชั้นปี คาดว่ามีไม่ต่ำกว่า 3,000 คน

ก่อนที่ผู้เขียนจะกล่าวถึงสาเหตุที่มุสลิมไปเรียนต่อที่อียิปต์ ผู้เขียนขอกล่าวถึงหลักสูตรการเรียนศาสนาที่จังหวัดชายแดนใต้

หลักสูตรการเรียนศาสนาอิสลามได้แบ่งชั้นเรียนเป็น ๑๐ ชั้นปี (แต่ปัจจุบันได้ปรับเป็น 12 ปีตามการศึกษาขั้นพื้นฐาน) ได้แก่ หลักสูตรอิสลามศึกษาตอนต้น (- อิบติดาอียะฮฺ ปีที่ 1-4 หรือ 1-6) หลักสูตรอิสลามศึกษาตอนกลาง (- มุตาวัซซีเตาะฮฺ ปีที่ 5-7) และหลักสูตรอิสลามศึกษาตอนปลาย (- ซานาวียะฮฺ ปีที่ 8-10)

การเรียนการสอนในหลักสูตรจะแบ่งเป็น 3 หมวดวิชา 1.หมวดด้านศาสนา ประกอบด้วยวิชาหลักศรัทธา, คัมภีร์อัลกุรอาน, อรรถาธิบายอัลกุรอาน, หลักการอรรถาธิบายกุรอาน, วจนะศาสดา, หลักการวจนะศาสดา, กฏหมายอิสลาม, หลักการนิติศาสตร์อิสลาม, การแบ่งมรดก 2.หมวดภาษา ประกอบด้วย ภาษาอาหรับ, สำนวนโวหารอาหรับ, ภาษามลายู, ภาษาอังกฤษ 3.หมวดสังคมและจริยธรรม ประกอบด้วยวิชาประวัติศาสตร์อิสลาม, มารยาทอิสลาม และมารยาทกับต่างศาสนิก, เศรษฐศาสตร์อิสลาม, ตรรกศาสตร์, ปรัชญาอิสลาม, ดาราศาสตร์

โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามในจังหวัดชายแดนภาคใต้มีมากกว่า 300 แห่ง และผู้ที่จบระดับซานาวีย์ (อิสลามศึกษาตอนปลาย) ในปีหนึ่งๆ ไม่ต่ำกว่า 900 คน ในขณะสถาบันการศึกษาด้านศาสนาระดับมหาวิทยาลัยของไทยมีเพียง 2 แห่ง คือวิทยาลัยอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และวิทยาลัยอิสลามยะลา ซึ่งรับนักเรียนปีหนึ่งๆ เพียงไม่กี่คน ทำให้นักเรียนที่เหลือต้องดิ้นรนไปศึกษาต่อยังต่างประเทศไม่ว่าจะเป็นมาเลเซียอินโดนีเซีย บูรไน ตะวันออกกลางซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นมหาวิทยาลัยปิดมีโควตาชัดเจนในการรับนักศึกษาใหม่

แต่สำหรับมหาวิทยาลัยอัลอัซฮัรเป็นมหาวิทยาลัยเปิดรับไม่อั้น เพียงให้มีใบรับรองการจบศาสนาระดับซานาวีย์ก็เพียงพอ ดังนั้นจึงเป็นสาเหตุให้มีนักศึกษาไทยตัดสินใจไปที่นั้นเป็นเหตุผลหลัก ส่วนเหตุผลรองคือ มหาวิทยาลัยอัลอัซฮัรเป็นมหาวิทยาลัยด้านอิสลามศึกษาติดอันดับหนึ่งของโลกมุสลิม และที่สำคัญหากต้องการพูดอาหรับได้ดีต้องเรียนโลกอาหรับเท่านั้น ซึ่งเหมือนกับภาษาอังกฤษหากต้องการพูดภาษาอังกฤษได้ดีต้องเรียนกับเจ้าของภาษาเท่านั้น

มีต่อ...
Re: ความสำคัญของ ?อัลอัซฮาร์? ต่อมุสลิมและรัฐบาลไทย By: กูปีเยาะฮฺสะอื้น Date: มิ.ย. 27, 2007, 04:57 PM
เมื่อวานได้ไปร่วมการรับปริญญาดุษฎีบัณดิษของท่านเชค ที่ม.อ. หาดใหญ่มาด้วย
ดีใจมากๆ
ความสำคัญของ ‘อัลอัซฮาร์’ ต่อมุสลิมและ& By: musalmarn Date: มิ.ย. 27, 2007, 04:58 PM
ประวัติ การก่อตั้ง มหาลัยอัลอัซฮัร

หลังการพิชิตอียิปต์ของพวกฟาตีมียะห์ โดยแม่ทัพ เญาฮัร อัซซิกิลลีย์ ในยุคสมัยคอลีฟะห์ อัลมุอิซซ์ลี ดีนิลลลาห์ แห่งราชวงศ์ฟาตีมียะห์ แม่ทัพเญาฮัร อัซซิกกิลลีย์ก็ได้สร้างกรุงไคโร ขึ้นเป็นเมืองหลวงแห่งใหม่ แล้วเสร็จราว 9 เดือน แม่ทัพเญาฮัรก็ได้สร้างมัสยิดญามิอ์ อัลอัซฮัร เพื่อเป็นสถานที่ประกอบนมัสการ โดยเปิดละหมาดวันศุกร์อย่างเป็นทางการในวันศุกร์ที่ 7 เดือนรอมาดอน ปี ฮ.ศ. 361

มัสยิดญามิอ์ อัลฮัซฮัร นับเป็นมัสยิด สำคัญแห่งที่ 4 ในหัวเมืองสำคัญของอาณาจักรอิสลาม ในยุคแรกวัตถุประสงค์การก่อสร้างนั้น มิใช่เพื่อจะให้เป็นสถาบันทางการศึกษาเหมือนดังปัจจุบัน แต่สร้างขึ้นเพื่อเป็นมัสยิดหลวงอย่างเป็นทางการของพวกฟาตีมียะห์ และเพื่อเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกถึงการเผยแพร่แนวคำสอนของชีอะห์ อิสมาอีลียะห์ที่พวกฟาตีมียะห์ยึดถือ

ความคิดในเรื่องการใช้มัสยิดอัลฮัซฮัรเป็นสถาบันการศึกษานั้น เพิ่งจะมาเริ่มในยุคสมัยคอลีฟะห์ อัลอาซีซ บิลลาห์ อันเป็นผลมาจากการแน่นหนักในการเผยแพร่แนวคำสอนของชีอะห์ ดังนั้นในปี ฮ.ศ. 378 เสนาบดียะกู๊บ อิบนุ กิลลิซ ซึ่งเป็นชาวยิวที่รับอิสลาม ได้แต่งตั้งนักวิชาการนิติศาสตร์จำนวน 37 ท่าน ให้ดำเนินการเรียนการสอนตามแนวทางชีอะห์

ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา มัสยิดญามิอ์ อัลอัซฮัร ก็กลายเป็นสถาบันทางการศึกษาหรือมหาวิทยาลัยที่สำคัญในโลกอิสลาม เหตุที่เรียกสถาบันทางการศึกษาซึ่งแต่ดั้งเดิมคือ มัสยิดญามิอ์แห่งนี้ว่า อัลอัซฮัร ก็เพื่อว่าเป็นอนุสรณ์แก่ท่านหญิงฟาตีมะห์ อัซซะฮ์รอฮ์ บุตรีของท่านศาสนทูต บ้างก็ว่าที่เรียกเช่นนั้นก็เพราะมีบรรดาปราสาท และตำหนักของคอลีฟะห์ตลอดจนสวนดอกไม้ ที่ถูกสร้างอยู่รายรอบ

นาม "มหาวิทยาลัยอัล-อัซฮาร์ อัชชะรีฟ" ซึ่งมีความเก่าแก่มากกว่ามหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด ของอังกฤษเสียอีก
 
คณะการศึกษาต่างๆ อัลอัซฮัร

มหาวิทยาลัยอัล อัซฮัร จะเปิดรับสมัครนักศึกษาทั้งในประเทศและต่างประเทศประมาณกลางเดือนกันยายน – กลางเดือนตุลาคมของทุกปี และจะเปิดทำการสอนภาคเรียนที่ 1 ประมาณเดือนตุลาคม เป็นต้นไป ซึ่งคณะต่าง ๆ ที่ทางมหาวิทยาลัยจะทำการเปิดสอนมีดังนี้

1. คณะศาสนศาสตร์
2. คณะนิติศาสตร์อิสลาม-สากล
3. คณะอักษรศาสตร์
4. คณะศึกษาศาสตร์อิสลามและภาษาอาหรับ
5. คณะนิเทศศาสตร์อิสลาม
6. คณะพาณิชยกรรมศาสตร์
7. คณะคุรุศาสตร์
8. คณะอักษรศาสตร์และการแปล
9. คณะแพทย์ศาสตร์
10. คณะเภสัชกรรมศาสตร์
11. คณะทันตกรรมศาสตร์
12. คณะวิศวกรรมศาสตร์
13. คณะวิทยาศาสตร์
14. คณะเกษตรศาสตร์


ทั้ง 14 คณะที่กล่าวข้างต้นนั้น ที่เป็นสายศาสนามี 4 คณะ คือ คณะศาสนศาสตร์ คณะนิติศาสตร์อิสลามและสากล คณะอักษรศาสตร์ภาษาอาหรับ คณะนิเทศศาสตร์อิสลาม ส่วนคณะที่เป็นกึ่งศาสนา – สามัญ มี 2 คณะ คือ ศึกษาศาสตร์ และคุรุศาสตร์ ส่วนคณะต่าง ๆ ที่นอกเหนือจาก 6 คณะนี้ เป็นสายสามัญ (ซึ่งหากนักศึกษาไทยสามารถนำมาวุฒิมัธยมศึกษาปีที่6มาศึกษาต่อได้)

คำสอนของท่านศาสนาระบุไว้ชัดเจนกว่าพันปีแล้วว่า มุสลิมที่ดีต้องเรียนรู้ศึกษาตลอดชีวิต จากครรภ์มารดา จนถึงหลุมฝังศพ

มหาวิทยาลัยอัลอัซฮาร์ เป็นตัวอย่างหนึ่งของสถาบันอุดมศึกษา ในโลกมุสลิม ซึ่งมุ่งให้โอกาสทางการศึกษาแก่มุสลิมผู้ศรัทธาอย่างเท่าเทียมกัน โดยไม่คำนึงถึงแม้แต่ความสามารถและสติปัญญา

มหาวิทยาลัยอัลอัซฮาร์ ไม่เพียงแต่สถาบันการศึกษาเท่านั้นแต่ ยังเป็นสถาบันที่ (ได้รับการยอมรับจากนักวิชาการโลกมุสลิม) ให้บริการตอบปัญหาศาสนาแก่มุสลิมทั่วโลกตามแนวคิดอิสลามสายกลางโดยเฉพาะปัญหาการก่อการร้ายที่ทำในนามศาสนา ซึ่งปัญหาการตีความศาสนาเกี่ยวกับชายแดนใต้หากเป็นไปได้ควรให้ผู้เชี่ยวชาญภาษาอาหรับหรืออังกฤษส่งไปสถาบันแห่งนี้ได้ อันจะนำความกระจ่างแก่คนมุสลิมชายแดนใต้อย่างแน่นอน (โปรดดูคำวินิฉัยของผู้ก่อการได้ที่ http://amandamai.com/thai/content.php?page=sub&category=28&id=251)

หากผู้อ่าน รัฐบาลหรือผู้ที่ทำงานความมั่นคงอยากทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวผู้นำอัลอัซฮาร์ และ สถาบันอัลอัซฮาร์สามารถหาข้อมูลภาษาอาหรับหรืออังกฤษเพิ่มเติมได้ที่ http://www.alazhar.org/index6.htm หรือข้อมูลนักเรียนไทยที่อียิปต์ได้ที่ http://www.miftahcairo.com



[1] ประวัติโดยสังเขปของ ดร. มูฮัมหมัด ซัยยิด ฏอนฏอวี เกิด 28 ตุลาคม 1928 ที่เมืองซูฮาค ประเทศอียิปต์ จำคัมภีร์อัลกุรอานตั้งแต่เด็ก จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่วิทยาลัยอเลกซานเดรีย ปริญญาตรี โท และเอก สาขาวิชาอรรถาธิบาย คัมภีร์อัลกุรอาน ณ มหาวิทยาลัยอัลอัซฮาร์ ประเทศอียิปต์ ระดับเกียรตินิยม ปี 1966 ปี 1968 เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยอัลอัซฮาร์ ปี 1976 เป็นคณบดีคณะศาสนศาสตร์ ปี 1986 ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นมุฟตี ( ผู้ตัดสินปัญหาศาสนา) ประจำประเทศอียิปต์ ปี 1996 ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้นำสูงสุดของอัลอัซฮาร์

อ้างอิงจาก ; ประชาไทออนไลน์

โดย อ. อับดุชชะกูร์ บิน ชาฟิอีย์ ดินอะ
ผู้ช่วยผู้จัดการโรงเรียนจริยธรรมศึกษามูลนิธิ ต.สะกอม อ.จะนะ จ.สงขลา
ผู้นำอิสลามของอียิปต์ ชี้ทำความเข้าใจ-รับฟัง ช่วยให้อยู่กันอย่างสันติ By: musalmarn Date: มิ.ย. 28, 2007, 12:16 AM
ผู้นำอิสลามของอียิปต์ ชี้ทำความเข้าใจ-รับฟัง ช่วยให้อยู่กันอย่างสันติ

สภามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์มอบปริญญาศิลปศาสตร์ ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาอิสลามศึกษา แก่ ดร.โมฮาหมัด  ซาอิด  ตันตาวี (H.E.Prof.Dr. Muhammad Sayid Tantawy) แห่งมหาวิทยาลัยอัล ? อัซฮาร์ และผู้นำสูงสุดทางศาสนาอิสลาม ของประเทศสาธารณรัฐอาหรับอียิปต์ ในฐานะที่เป็นผู้มีบทบาทสำคัญด้านอิสลามศึกษาในระดับนานาชาติ โดยมี นายชวน หลีกภัย อุปนายกสภามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เป็นประธานมอบ

เมื่อเวลา 14.00 น. (26 มิ.ย.)  ที่ห้องประชุมทองจันทร์ หงศ์ลดารมภ์  อาคารเรียนรวมและหอสมุด คณะแพทย์ศาสตร์มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ สภามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ได้ทำพิธีมอบปริญญาศิลปศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ฯ  แก่ ดร.โมฮาหมัด ซาอิด ตันตาวี ผู้นำสูงสุดทางศาสนาอิสลาม ของประเทศสาธารณรัฐอาหรับอียิปต์และผู้บริหารมหาวิทยาลัยอัล ? อัซฮาร์ สาธารณรัฐอียิปต์ ในฐานะนักปราชญ์ และผู้นำศาสนาอิสลามที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล (Grand Shoikh of Al Azhar) ในสังคมพหุวัฒนธรรมของโลกในยุคโลกาภิวัตน์ และมีส่วนก่อให้เกิดประโยชน์ต่อภูมิภาคและนานาชาติ

สำหรับ ดร.โมฮาหมัด ซาอิด ตันตาวี สำเร็จการศึกษาปริญญาโทด้านการศึกษา และปริญญาเอกเกียรตินิยมจากมหาวิทยาลัยอัล - อัซฮาร์ เคยดำรงตำแหน่งเป็นคณบดีในคณะอูศูลุดดีน และคณบดีคณะอิสลามและภาษาอาหรับ มหาวิทยาลัยอัล - อัซฮาร์ และเคยเป็นอาจารย์รับเชิญจากมหาวิทยาลัยในหลายประเทศ เป็นนักวิชาการที่มีผลงานที่โดดเด่นหลายชิ้น เป็นผู้ที่ได้รับอุทิศตนเพื่อวงการการศึกษาอิสลามอย่างอุตสาหะและยาวนาน จนทำให้มีลูกศิษย์มากมายอยู่ทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย จนได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนักปราชญ์และผู้นำศาสนาอิสลามที่ได้รับการยอมรับระดับสากล ตั้งแต่ปี 2539 จนถึงปัจจุบัน

ดร.โมฮาหมัด ซาอิด ตันตาวี เป็นปราชญ์ที่สมถะเรียบง่าย สุภาพนุ่มนวล และเพียบพร้อมด้วยคุณธรรม ใฝ่สันติ เป็นผู้สนับสนุนแนวคิดอิสลามสายกลาง ส่งเสริมการปรองดอง และการอยู่ร่วมกันอย่างสันติในสังคมที่หลากหลาย ซึ่งข้อเท็จจริงดังกล่าวปรากฏเด่นชัดในงานเขียนและคำเทศนาของท่านในโอกาสต่างๆ เช่น คำกล่าวผ่านสื่อมวลชนถึงพี่น้องมุสลิมในประเทศไทย เมื่อครั้งเดินทางเยือนอียิปต์ ของนายสวนิต คงสิริ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2550 แสดงความสนับสนุนนโยบายสมานฉันท์ของรัฐบาลไทย และแสดงความปรารถนาอยากเห็นผู้คนต่างศาสนิกทั้งหลายอยู่ด้วยกันโดยสันติ ดังใจความตอนหนึ่งว่า

?สิ่งที่เราสั่งสอนให้แก่ลูกหลานของเราในอัล - อัซฮาร์ และอยากจะกล่าวในสิ่งเดียวกันแก่มนุษย์ทั้งมวล คือความเป็นภราดรภาพระหว่างมนุษยชาติ และความแตกต่างทางความคิดและความเชื่อทางศาสนา ไม่เป็นอุปสรรคขัดขวางความร่วมมือระหว่างกันความเชื่อทางศาสนาไม่อาจบังคับได้ หากแต่มนุษย์ทุกคนมีอิสระในทางความคิด และความเชื่อในศาสนาของตน และเราควรให้ความเคารพแก่กันและกัน ควรต้องจงรักภักดีต่อแผ่นดินเกิดของเรา

ดังนั้น ข้าพเจ้าขอฝากลูกหลานทุกคนในประเทศไทยว่า ไม่ว่าจะนับถือศาสนาใดจงเป็นพี่น้องที่มีความรักให้กันและกัน ไม่มีความแตกแยกระหว่างมุสลิมหรือไม่ใช่มุสลิม แต่ตนควรจะมุ่งปฏิบัติหน้าที่ของตนเองในการนำพาประเทศไทยสู่ความเจริญรุ่งเรือง ก้าวหน้า ทุกคนต้องทำงานด้วยใจอันสัตย์ซื่อ ตั้งใจแน่วแน่ ให้ความสามารถที่ตนมี ประชาชาติใดที่มีความร่วมมือในสังคมบนความหลากหลายของศาสนา ประชาชาตินั้นจะเปี่ยมไปด้วยความสุขความเจริญก้าวหน้า มั่งคั่ง และความสงบสุข?


ดร.โมฮาหมัด ซาอิด ตันตาวี แห่งมหาวิทยาลัยอัล - อัซฮาร์ กล่าวปาฐกถาพิเศษให้คณาจารย์และนักศึกษาของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เกี่ยวกับความเป็นมาของมหาวิยาลัยอัล - อัซฮาร์  ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาที่มีอายุเก่าแก่กว่า 1,000 ปี และมีชื่อเสียงมากที่สุดในอียิปต์ ได้รับการยอมรับและจัดอันดับในระดับนานาชาติ เป็นสถาบันอิสลามศึกษาที่ได้รับมาตรฐานที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และมีชาวมุสลิมทั่วโลกนิยมส่งบุตรหลานไปเล่าเรียน รวมทั้งจากประเทศไทยด้วย โดยปัจจุบันมีนักศึกษาไทยศึกษาอยู่ 1,500 คนโดยเปิดสอนทั้งสายศาสนาและสามัญควบคู่กันไป

ดร.โมฮาหมัด ซาอิด ตันตาวี กล่าวในตอนหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องสิทธิเสรีภาพของความเป็นมนุษย์  ซึ่งเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ทางมหาวิทยาลัยให้ความสำคัญและสอนนักศึกษาทั่วโลกโดยระบุว่า ตามบทบัญญัติของคัมภีร์อัล - กุรอาน นั้นหากผู้หนึ่งทำลายชีวิตผู้หนึ่งอย่างไร้ความผิดไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง ก็ไม่ต่างจากการทำลายมนุษยชาติทั้งมวล และในทางกลับกันหากผู้ใดช่วยชีวิตหนึ่งก็เท่ากับช่วยมนุษย์ทั้งโลก ทางมหาวิทยาลัยจึงสอนให้นักศึกษาเคารพในสิทธิของความเป็นมนุษย์ซึ่งเท่าเทียมกัน และชี้ให้เห็นว่า การฆ่า การขับไล่ออกจากถิ่นฐาน หรือเหยียดสีผิว หรือลิดรอนสิทธิ์เป็นสิ่งเลวร้ายที่สุด ซึ่งจะนำไปสู่ความหายนะ ดังนั้นจึงได้พยายามสอนให้นักศึกษาเห็นถึงความสันติในการอยู่ร่วมกัน

?ขณะเดียวกันทางมหาวิทยาลัยยังได้ชี้ให้นักศึกษาทั่วโลกเห็นว่า ความรู้ทั้งศาสนาและสามัญนั้นเป็นประโยชน์ และเราจำเป็นต้องเรียนรู้และนำมาใช้ประโยชน์เพื่อมนุษยชาติ ซึ่งที่ใดที่รู้จักใช้วิทยาการหรือเทคโนโลยี ที่นั่นก็จะเจริญ แต่ความรู้ที่สมบูรณ์ตามหลักการอิสลามต้องคู่กับคุณธรรมและอยู่บนพื้นฐานที่ถูกต้องตามศาสนา แต่ในทางกลับกัน ความรู้ที่มุ่งสร้างความแตกแยกหรือความขัดแย้ง นั้นไม่ใช่หลักของอิสลาม ซึ่งความรู้แบบนี้ความโง่เขลายังประเสริฐกว่า ตามหลักการอิสลามจึงไม่อนุญาตให้ใช้ความรู้ไปในเรื่องไม่สร้างสรรค์ สร้างความขัดแย้งอคติ และบ่อนทำลายสังคม และในกรณีที่เกิดความแปลกแยกกันทางความคิด แต่ละฝ่ายจะต้องรอมชอมกัน เนื่องจากทุกชุมชนย่อมมีความแตกต่างแต่ความแตกต่างไม่ได้หมายถึงความแตกแยก อิสลามจึงได้เรียกร้องให้มนุษย์ทุกคนทำความเข้าใจและเปิดรับฟังเรื่องราวของกันและกัน เพื่ออยู่ร่วมกันอย่างสันติ?

Ref ; ประชาไทออนไลน์

อ้างจาก: ท่าน muddee
เมื่อวานได้ไปร่วมการรับปริญญาดุษฎีบัณดิษของท่านเชค ที่ม.อ. หาดใหญ่มาด้วย
ดีใจมากๆ

อัลฮัมดุลลิลลาฮ ที่ท่านมีโอกาส... ^^
Re: ความสำคัญของ ?อัลอัซฮาร์? ต่อมุสลิมและรัฐบาลไทย By: al-azhary Date: มิ.ย. 28, 2007, 12:55 AM
ญะซากัลลอฮ์ครับน้อง  [MusalmarN]  ที่ได้นำเสนอข่าวที่น่าสนใจ  :)
Re: ความสำคัญของ ?อัลอัซฮาร์? ต่อมุสลิมและรัฐบาลไทย By: คนจำเป็น Date: มิ.ย. 28, 2007, 09:07 PM
มหาลัยเก่าแก่ แหล่งความรู้ คับคุณภาพ ครับ
มีลูกศิษย์มากมายจากไทยเข้าไปศึกษาหาความรู้กัน
แต่ที่แน่ๆ ลูกศิษย์แถวนี้ ยังต้องยืมชื่อสถาบันนี้ เป็นนิค เพื่อให้เกียรติกับสถาบันนี้อย่างมากมาย
Re: ความสำคัญของ ?อัลอัซฮาร์? ต่อมุสลิมและรัฐบาลไทย By: قطوف من أزاهير النور Date: มิ.ย. 28, 2007, 09:25 PM

อ้างถึง

1. คณะศาสนศาสตร์
2. คณะนิติศาสตร์อิสลาม-สากล
3. คณะอักษรศาสตร์
4. คณะศึกษาศาสตร์อิสลามและภาษาอาหรับ
5. คณะนิเทศศาสตร์อิสลาม
6. คณะพาณิชยกรรมศาสตร์
7. คณะคุรุศาสตร์
8. คณะอักษรศาสตร์และการแปล
9. คณะแพทย์ศาสตร์
10. คณะเภสัชกรรมศาสตร์
11. คณะทันตกรรมศาสตร์
12. คณะวิศวกรรมศาสตร์
13. คณะวิทยาศาสตร์
14. คณะเกษตรศาสตร์




ไม่มีคณะเศรษฐศาสตร์ หรอกหรอคะ  หรือว่ารวมไปกับพาณิชยกรรมศาสตร์ ?
Re: ความสำคัญของ ?อัลอัซฮาร์? ต่อมุสลิมและรัฐบาลไทย By: คนเดินดิน Date: มิ.ย. 29, 2007, 10:47 AM
;) ;) ;)

แล้วถ้าจบปริญญาตรีแล้วอยากไปเรียนต่อหล่ะ

ต้องทำไง?

บวกกับความรู้ทางด้านศาสนาก็มีอยู่ไม่มากด้วย

ภาษาอาหรับก็ไม่ค่อยคล่องเท่าไหร่

เหมือนคนเดินดิน1 เนี่ยจะสามารถเรียนได้ไหม?

(อยากเรียนจริงๆ นะ  พอดีว่าเมื่อคืนฟังวิทยุอยู่ก็มีประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการเรียนต่อที่นี่เหมือนกัน)

สิ่งที่ได้รับจากการมาเยือนไทยของ 2 ผู้นำ ?มุสลิมโลกสายกลาง? By: musalmarn Date: ก.ค. 02, 2007, 11:30 PM
สิ่งที่ได้รับจากการมาเยือนไทยของ 2 ผู้นำ ?มุสลิมโลกสายกลาง?

by อ.อับดุชชะกูร์ บินชาฟิอีย์ดินอะ

ด้วยพระนามของอัลลอฮฺผู้ทรงเมตตาปรานีเสมอขอความสันติจงมีแด่ศาสดามุฮัมมัดและผู้เจริญรอยตามท่านสุขสวัสดีผู้อ่านทุกท่าน


เป็นที่ทราบกันดีว่าระหว่างวันที่ 23-30 มิถุนายน 2550 ศ.ดร.มูฮัมหมัด ซัยยิด ฏอนฏอวี (Dr.Muhammad Sayid Tantawy) ผู้นำสูงสุดทางศาสนาอิสลามของอียิปต์ หรือ Grand Imam of Al Azhar และ ศ.ดร.อับดุลลอฮ บิน มุหชินอัตตุรกี (H.E. Dr.Abdullah bin Abdul Mohsin Al-Turki) เลขาธิการสันนิบาตมุสลิมโลก ได้มีโอกาสเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของรัฐบาล เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างกันในด้านกิจการศาสนาอิสลาม ตลอดจนการขยายความร่วมมือด้านการศึกษาของเยาวชนไทยมุสลิม และเพื่อสร้างความเข้าใจอันดีระหว่างศาสนา (interfaith dialogue) ตามนโยบายของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาและเสริมสร้างสันติสุขในจังหวัดชายแดนภาคใต้

ผู้เขียนได้มีโอกาสติดตามและฟังคำบรรยายของบรมครูของข้าพเจ้า (สมัยเรียนประเทศอียิปต์ปี 2534-2539) คือ ศ.ดร.มูฮัมหมัด ซัยยิด ฏอนฏอวี ที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ สำนักคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดสงขลา เมื่อ 26 มิถุนายน 2550 และ ดร.อับดุลลอฮ บิน มุห ชินอัตตุรกี ที่โรงแรมซีเอส ปัตตานี เมื่อ 28 มิถุนายน 2550

จากการรับฟังเนื้อหาสาระสำคัญของทั้งสองท่าน พบว่ามีประเด็นหลักที่เหมือนกันอยู่ 3 ประการใหญ่ ดังนี้

1. ทางสายกลางของหลักการศาสนาอิสลามและสามารถอยู่ร่วมกับต่างศาสนิกอย่างสันติ

ศ.ดร.มูฮัมหมัด ซัยยิด ฏอนฏอวี กล่าวว่า:

?อิสลามเป็นศาสนาแห่งสันติภาพ ยึดมั่นตามหลักสายกลาง ปฏิเสธความสุดโต่ง ความคลั่งในชาติพันธ์...สิ่งที่เราสั่งสอนให้แก่ลูกหลานของเราในอัลอัซฮาร์ และอยากจะกล่าวในสิ่งเดียวกันแก่มนุษย์ทั้งมวล คือความเป็นภราดรภาพระหว่างมนุษยชาติ และความแตกต่างทางความคิดและความเชื่อทางศาสนา ไม่เป็นอุปสรรคขัดขวางความร่วมมือระหว่างกัน

ความเชื่อทางศาสนาไม่อาจบังคับได้ เพราะพระเจ้าได้โองการความว่า ไม่มีการบังคับในการนับถือศาสนา...หากแต่มนุษย์ทุกคนมีอิสระในทางความคิด และความเชื่อในศาสนาของตน และเราควรให้ความเคารพแก่กันและกัน...ศาสนายอมรับความแตกต่างทางชาติพันธุ์ เพราะพระเจ้าได้โองการความว่า ?โอ้ มนุษย์ทั้งหลาย แท้จริงเราได้สร้างเจ้าให้เป็นชาย หญิง เชื้อชาติ และเผ่าพันธ์ต่างๆ เพื่อที่จะทำความรู้จักซึ่งกันและกัน?

ข้าพเจ้าจึงขอฝากลูกหลานทุกคนในประเทศไทยว่า ไม่ว่าจะนับถือศาสนาใด จงเป็นพี่น้องที่มีความรักให้กันและกัน ไม่มีความแตกแยกระหว่างมุสลิมหรือไม่ใช่มุสลิม แต่ควรจะมุ่งปฏิบัติหน้าที่ของตนเองในการนำพาประเทศไทยสู่ความเจริญรุ่งเรือง ก้าวหน้า

ทุกคนต้องทำงานด้วยใจอันสัตย์สื่อ ตั้งใจแน่วแน่ ใช้ความสามารถที่ตนมี ประชาชาติใดที่มีความร่วมมือในสังคมบนความหลากหลายของศาสนา ประชาชาตินั้นจะเปี่ยมไปด้วยความสุขความเจริญก้าวหน้า มั่งคั่ง และความสงบสุข?


การที่ ศ.ดร.มูฮัมหมัด ซัยยิด ฏอนฏอวี เสวนาธรรมกับสมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกศ ผู้นำศาสนาพุทธเป็นเครื่องยืนยันในการยึดหลักการศาสนาสายกลาง ซึ่งท่านเองยอมรับว่าที่ประเทศอียิปต์ บ่อยครั้งท่านก็เสวนาธรรม ?บาบาซานูซาฮฺ? ซึ่งเป็นผู้นำศาสนาคริสตร์ในอียิปต์

สำหรับ ศ.ดร.อับดุลลอฮ บิน มุหชิน อัตตุรกี เลขาธิการสันนิบาตมุสลิมโลก ได้ให้ทัศนะต่อประเด็นนี้ว่า

?สันติบาตมุสลิมโลกมุ่งเน้นที่จะสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องต่อศาสนาอิสลามที่มุ่งทางสายกลาง (ในภาษาอาหรับเรียกว่า Mutadil) ปฏิเสธความคิดที่จะนำศาสนาอิสลามมาใช้ในทางที่ผิด หรือเบี่ยงเบนไปในการก่อความรุนแรง และก่อการร้ายในประเทศไทยและประเทศอื่นๆในโลก...หากมุสลิมอยู่ในสังคมพหุวัฒนธรรม ต้องแสดงตัวตนของความเป็นมุสลิมที่ถูกต้องและดีงามออกมาให้มากที่สุด"

จากทัศนะข้างต้นของท่านทั้งสองจะพบว่าสอดคล้องกับหลักคำสอนในคัมภีร์อัลกุรอาน วัจนศาสดาที่พูดถึงแนวคิดสายกลาง (แนวคิดสายกลางในที่นี้หมายถึงแนวคิดที่เข้าใจหลักการและเป้าหมายของศาสนาอิสลามอย่างถูกต้อง) โดยอัลลอฮได้ตรัสความในทำนองเดียวกันว่า

?เราได้ให้พวกเจ้าเป็นประชาชาติสายกลาง เพื่อพวกเจ้าจะได้เป็นสักขีพยานแก่มนุษย์ทั้งหลาย และศาสดาก็จะเป็นสักขีพยานแก่พวกเจ้า?

(ซูเราะฮอัล บะกอเราะฮฺ 2:143)

?จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่าบรรดาผู้ได้รับคัมภีร์ทั้งหลาย จงอย่าปฏิบัติให้เกินขอบเขตในศาสนาของพวกท่าน โดยปราศจากความเป็นจริง และจงอย่าปฏิบัติตามความใคร่ใฝ่ต่ำของพวกหนึ่งพวกใดที่พวกเขาได้หลงผิดมาก่อนแล้ว และได้ทำให้ผู้คนมากมายหลงผิดด้วย และพวกเขาก็ได้หลงผิดไปจากทางอันเที่ยงตรง?

(ซูเราะฮอัล มาอิดะฮฺ 5:77)

?มุสลิมถูกเรียกว่า อุมมะตัน วะสะฏ็อน (ประชาชาติสายกลาง) นักอรรถาธิบายอัลกุรอานได้อธิบายคำว่า ?วะสัฏ? (ในภาษาอาหรับแปลว่ากลาง) คือ ?ความสมดุลที่เที่ยงตรง? ?สิ่งที่ดีที่สุด? (คิยารฺ หรือ คอยรฺ) ท่านยูซุฟ อลี ได้กล่าวว่า ?สารัตถะแห่งอิสลามคือการหลีกเลี่ยงจากความเลยเถิดไม่ว่าด้านใดก็ตาม อิสลามเป็นศาสนาที่เรียบง่ายและสามารถปฏิบัติได้จริง?

(เชิงอรรถที่ 143 ของอายะฮฺ : ซูเราะฮอัล บะกอเราะฮฺ 2:143)

อัลลอฮฺ ได้ทำให้อุมมะฮฺ (ประชาชาติ) นี้ให้เป็นอุมมะฮฺสายกลาง ดังนั้น มุสลิมต้องดำเนินตามทางสายกลาง ทางซึ่งไม่มีการสุดโต่งหรือความเลยเถิดใดๆ เป็นวิถีทางที่จะต้องมีการเข้ามาร่วมกันเป็นความสมดุลที่ประสานกลมกลืน

ท่านศาสดาได้เป็นแบบอย่างของการทำความดีต่อชนต่างศาสนิก ดั่งรายงานจากอบูอุบัยด์ ในหนังสือ al-Amwal หน้า 613 (quoted in al-Qardhawi,1994: 2/275 ว่า ?ท่านนบีเคยบริจาคทานแก่ญาติผู้ตายชาวยิวในขณะที่ท่านเดินผ่าน? อีกสายรายงานหนึ่ง โดยมุฮัมหมัด บิน อัลหะซัน กล่าวไว้ในหนังสือ Sart al-Sair เล่ม 1 หน้า 144 quoted in al Qardhawi 1994, 2/274) ว่า ?ท่านศาสดาเคยบริจาคทานแก่คนยากจนชาวมุชริกีนมักะฮ (ผู้บูชาเทวรูป)?


2. ความสำคัญของการศึกษา/ผู้รู้

ศ.ดร.มูฮัมหมัด ซัยยิด ฏอนฏอวี กล่าวว่า:

?...ความรู้ทั้งศาสนาและสามัญนั้นเป็นประโยชน์ และเราจำเป็นต้องเรียนรู้และนำมาใช้ประโยชน์เพื่อมนุษยชาติ ซึ่งที่ใดที่รู้จักใช้วิทยาการหรือเทคโนโลยีที่นั่นก็จะเจริญ แต่ความรู้ที่สมบูรณ์ตามหลักการอิสลามต้องคู่กับคุณธรรมและอยู่บนพื้นฐานที่ถูกต้องตามศาสนา แต่ในทางกลับกันความรู้ที่มุ่งสร้างความแตกแยกหรือความขัดแย้ง นั้นไม่ใช่หลักของอิสลาม ซึ่งความรู้แบบนี้ความโง่ เขายังประเสริฐกว่า ตามหลักการอิสลามจึงไม่อนุญาตให้ใช้ความรู้ไปในเรื่องไม่สร้างสรรค์ สร้างความขัดแย้งอคติ และบ่อนทำลายสังคม..."

สำหรับ ศ.ดร. อับดุลลอฮ บิน มุหชิน อัตตุรกี ได้ให้ทัศนะต่อการศึกษา/ผู้รู้ว่า

?ประเด็นการศึกษา ถือว่าเป็นพื้นฐานสำคัญ ถือว่าเป็นประเด็นพื้นฐานของสังคม....ปัจจุบันสังคมมุสลิมกำลังเผชิญปัญหาโถมใส่หลายประการโดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาการใช้ชีวิตร่วมกันในสังคมและการสร้างบรรทัดฐานในการรักษาดุลยภาพระหว่างการคงไว้ซึ่งอัตลักษณ์ของมุสลิมกับการใช้ชีวิตในสังคมต่างวัฒนธรรมภายใต้บรรยากาศแห่งความเข้าใจซึ่งกันและกัน ความเอื้ออาทร และความมั่นคงในชีวิต...

ผู้รู้และผู้เผยแพร่ต้องไม่ท้อถอย ในการเชื่อมโยงอัลกุรอ่านและประวัติศาสตร์มุสลิมให้รู้ว่าต้องยืนหยัดบนความถูกต้อง สำคัญที่สุดคือผู้รู้ต้องเข้าถึงแก่นแท้ของศาสนา ขอยืนยันว่าภารกิจของความรู้ความเข้าใจศาสนาเป็นสิ่งสำคัญสูงสุด ผู้นำศาสนาถือเป็นผู้นำด้านจิตวิญญาณของประชาชน จงอย่านิ่งเฉย และคำสอนต้องไม่เบี่ยงเบนหลักศาสนา ให้ใช้ความเมตตาธรรมนำเผยแพร่ ไม่ใช่นำความรุนแรงเพื่อประหัตประหารจนล้มตาย นั้นไม่ใช้แนวทางศาสนาที่ถูกต้อง"


การไม่มีความรู้เพียงพอหรือผู้รู้ที่พยายามตีความเพื่อประโยชน์ของตนหรือกลุ่มก็สามารถนำหายนะสู่สังคมดั่งคำกล่าวของท่านที่ว่า

?...สำหรับคนบางกลุ่มที่เป็นมุสลิมใช้ความรุนแรงนั้น เราอาจแบ่งได้ 2 กลุ่ม คือ กลุ่มแรก กลุ่มที่ไม่มีความรู้อย่างแท้จริงในด้านศาสนา กลุ่มที่สอง เป็นกลุ่มที่ได้รับการแนะนำสั่งสอนจากกลุ่มบุคคลที่ไม่หวังดีต่อสังคมมุสลิมอย่างแท้จริง...เรื่องญิฮาดมีความเข้าใจผิดกันอยู่มาก ที่จริงแล้ว ญิฮาด ถูกกำหนดขึ้นในครั้งแรกเพื่อต่อต้านการรุกราน จากฝ่ายศัตรูที่ท่านศาสดามูฮัมหมัด ท่านได้อพยพ ในขณะที่ฝ่ายศัตรูก็ยังเข้ามารุกรานอยู่อีก จึงต้องมีการต่อต้านและป้องกัน จึงเรียกว่าการญิฮาด นอกจากนี้ยังมีการญิฮาด เพื่อที่จะปกป้องสิทธิอันพึงมีพึงได้ ขจัดความอยุติธรรมต่างๆ มีการญิฮาดเพื่อขจัดกำแพงที่ทำให้บุคคลไม่สามารถเข้าถึงอิสลามได้ ก็เรียกว่าเป็นการญิฮาดได้เช่นกัน แต่อย่างไรก็ตาม การญิฮาด ?ไม่ใช่? การสร้างความหวาดกลัว หรือสร้างความเสียหายให้เกิดขึ้นกับสังคมแต่อย่างไร?"

3. การสานเสวนา หรือภาษาอาหรับเรียกว่า al- Hiwar

ศ.ดร. มูฮัมหมัด ซัยยิด ฏอนฏอวี มีทัศนะเรื่องการสานเสวนาว่า:

"การแก้ปัญหาความขัดแย้ง ความไม่เข้าใจซึ่งกันและกันนั้น วิธีที่ดีที่สุดคือการสานเสวนาหรือภาษาอาหรับเรียกว่า al-Hiwar เพราะอัลลอฮฺเจ้าได้โองการในคัมภีร์อัลกุรอานหลายครั้งเกี่ยวการสานเสวนา เช่นพระองค์ได้ตรัสไว้ ความว่าท่านทั้งหลายจงสานเสวนาด้วยวาจาที่สุภาพยิ่งด้วยเหตุและผล (โปรดดูอัลกุรอานซูเราะฮอัลอันนะห์ลุ .16: 125) และขณะเดียวกันพระเจ้าเองยังได้ทำแบบอย่างให้มนุษย์เห็นเกี่ยวกับการสานเสวนากับซาตานมารร้ายที่ทรยศต่อพระองค์ บรรดาศาสนฑูตเองก็ได้สานเสวนากับศัตรูหลายต่อหลายครั้ง...."

ในขณะที่ ศ.ดร.อับดุลลอฮ บิน มุหชิน อัตตุรกี ได้ให้ทัศนะอย่างหนักแน่นและชัดเจนว่า 

"ปัญหาทุกอย่างต้องแก้ไขด้วยการ Hiwar หรือสานเสวนาอย่างสันติ ด้วยเหตุผลนี้ผู้รู้ทางศาสนาควรร่วมมือกับทุกฝ่าย การพูดคุยอย่างสันติเพื่อหาวิธีการที่จะนำไปสู่การแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น ความรุนแรงไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ นอกจากนั้นมันยังเพิ่มปัญหา ข้าพเจ้าเห็นด้วยกับรัฐบาลที่พยายามแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น และดำเนินการด้วยสันติ..."

สุดท้ายท่านทั้งสองไม่ลืมที่จะขอบคุณรัฐบาลไทยและพี่น้องประชาชนทุกคนที่ให้การต้อนรับและหวังว่าจะได้มีการร่วมมือกับรัฐบาลไทยต่อไป ในเรื่องการเข้ามามีส่วนร่วมในการช่วยเหลือแก้ไขปัญหาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เรื่องการศึกษา การแลกเปลี่ยนประสบการณ์และความชำนาญด้านต่างๆ

จาก 3 ข้อหลักที่ทั้งสองได้แสดงทัศนะที่สอดคล้องดังกล่าวนั้นจะพบว่า 2 ข้อแรก เป็นการให้คำแนะนำหรือภาษาอาหรับเรียกว่า Nasihat โดยตรงต่อมุสลิมโดยเฉพาะผู้นำศาสนา ที่จะต้องกล้าแสดงจุดยืนด้านธรรมะและหลักการที่ถูกต้องตามหลักศาสนาโดยเฉพาะในเรื่องการก่อการร้ายที่ทำร้ายผู้บริสุทธิโดยใช้คำญิฮาดเป็นเครื่องมือ

สำหรับรัฐบาล ผู้นำประชาชน หรือแม้กระทั่งขบวนการทุกกลุ่ม จะต้องให้ความสำคัญกับกระบวนการสันติวิธีโดยเฉพาะการสานเสวนา เพราะหนึ่งในเครื่องมือสำคัญของสันติวิธีที่จะต้องรีบทำคือศาสนเสวนามุสลิม-พุทธ หรือไทยมุสลิมเชื้อสายมลายู-กับมิใช่มลายู (ในประเทศไทยมีหลากหลายเชื้อชาติ) รัฐบาลกับผู้นำประชาชน หรือแม้กระทั่งขบวนการทุกกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มที่รัฐหรือ ผบ.ทบ.มั่นใจ เพราะหากไม่รีบทำอาจจะนำไปสู่สงครามระหว่างศาสนา-เชื้อชาติได้

ศาสนเสวนาหรือสานเสวนา ต่างกับการสนทนาทั่วไปตรงที่ไม่มีการคุกคามอัตลักษณ์ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพราะมุ่งให้ผู้ร่วมศาสนเสวนารับฟังและเรียนรู้จุดยืนซึ่งกันละกัน บนพื้นฐานการให้เกียรติความแตกต่างโดยปราศจากการครอบงำ บีบบังคับโน้มน้าว หรือบังคับให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเปลี่ยนแปลงความคิดความศรัทธาของตน หากแต่เป็นการเรียนรู้และเติบโตไปพร้อมกัน

อัลลอฮฺเจ้าได้โองการในคัมภีร์อัลกุรอานความว่า ?ท่านทั้งหลายจงสานเสวนาด้วยวาจาที่สุภาพยิ่งด้วยเหตุและผล? (โปรดดูอัลกุรอานซูเราะฮอัลอันนะห์ลุ .16 : 125)

เป็นที่ทราบกันดี (โดยเฉพาะทัศนะของนพ.พลเดช ปิ่นประทีป รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ) ว่าปัจจัยสาเหตุหลักของปัญหาภาคใต้ แบ่งเป็น 2 ปัจจัยหลัก คือ

1.ปัญหาทางประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างปัตตานีกับสยาม

2.ปัญหาที่เป็นผลกระทบจากกระบวนการฟื้นฟูอิสลามในระดับโลก ภูมิภาค และระดับท้องถิ่น


ส่วนปัจจัยเร่ง คือ

1.ปัญหาของการดำเนินนโยบายความมั่นคงของรัฐในพื้นที่ที่เป็นปัญหา ทั้งด้านแนวคิดและด้านการบริหารจัดการ

2.การปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ยุทธวิธีของฝ่ายขบวนการหลังปี 2535 เป็นต้นมา ที่ฝ่ายขบวนการเปลี่ยนสภาพ ทำให้มีการเปลี่ยนยุทธศาสตร์ ยุทธวิธีของฝ่ายก่อการไม่ใช้แบบเดิม ยุทธศาสตร์ของฝ่ายก่อการใช้ยุทธศาสตร์ในการสร้างศรัทธาและความชอบธรรมในการต่อสู้ ด้วยงานการเมืองที่มีมิติในเชิงศาสนา เชิงประวัติศาสตร์และชาติพันธุ์


ด้านการทหารฝ่ายก่อการใช้วิธีสร้างความหวาดกลัวในหมู่ประชาชน ก่อเหตุการณ์ที่น่าสะพรึงกลัว ไม่เลือกเป้าหมาย ใช้ Soft Target (เป้าหมายที่อ่อนไหว) มุ่งตัดตอนความน่าเชื่อถือของอำนาจรัฐ ทำให้ประชาชนยิ่งไม่เชื่อถืออำนาจรัฐ ขณะเดียวกันก็หวาดกลัวฝ่ายก่อกา รซึ่งมุ่งทำทุกอย่างเพื่อแยกดินแดนด้วยอำนาจขององค์กรทางสากล ไม่ใช่เอาชนะด้วยการยึดพื้นที่จริง

การที่รัฐมุ่งใช้กำลังทหาร จัดทหารพรานเป็นจำนวนมากเข้าควบคุมพื้นที่และบีบรัดเขตอิทธิพลของฝ่ายก่อการลงเรื่อยๆ จะบีบเขตอิทธิพลให้ค่อยๆ แคบลงเรื่อย จะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ในที่สุด แต่มันไม่ได้จบแค่นี้ เพราะแม้จะยึดพื้นที่ได้ แต่ก็อาจยึดคนไม่ได้ หรือคุมคนได้ แต่ยึดความคิดคนไม่ได้

ดังนั้น สิ่งที่รัฐได้รับจากสองผู้นำคนสำคัญของมุสลิมโลกสายกลางเยือนไทยครั้งนี้ คือการปรับความเข้าใจในหลักศาสนาที่ถูกต้อง การประณามการใช้วิธีการอย่างสุดโต่งนามศาสนาเกี่ยวกับญิฮาดที่ทำร้ายสังคม และที่สำคัญ เวทีโลกและนานาชาติจะช่วยลดการเคลื่อนไหวต่อต้านประเทศไทยในโลกมุสลิมได้มาก  อันจะทำให้ผู้ก่อการต้องเปลี่ยนยุทธศาตร์การต่อสู้ในอนาคตอย่างแน่นอน

Ref ; Prachathai Online