กระดานเสวนานักศึกษาอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ ชี้แจงแนวทางอะฮฺลิสสุนนะฮ์ฯ
Pages: 1
เลงชีอะห์ ว่ามาอย่างนั้น By: multi Date: ธ.ค. 27, 2010, 11:38 AM
“และผู้ใดตราชูของเขาเบา ชนเหล่านั้นคือบรรดาผู้ที่ทำให้ตัวของพวกเขาขาดทุน พวกเขาจะพำนักอยู่ในนรกตลอดกาล” ซูเราะฮ์อัล-มุมินูน / 103




และที่คุณบอกว่า “โดยหลักเเล้ว เมื่อเป็นศอฮาบัตก็ย่อมเป็นมุสลิม และมุสลิมก็ได้รับรองว่าจะได้รับสวรรค์ในตอนท้ายครับ (หลังจากชำระบาปในแต่ละคน)” คุณเข้าใจผิดอะไรไปรึเปล่า ยังกะว่าบาปเป็นของสกปรกติดตัวที่ชำระล้างได้ในวันกิยามัตงั้นแหละ บาปของเราที่ติดตัวจะชำระล้างได้ก็ต่อเมื่อยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น หากตายไปแล้ว คุณเหลืออะไรไว้ที่ไม่ได้ชำระ คุณต้องถูกเอาความดีความชั่วที่เหลือไปชั่งบนตราชู หากความชั่วมากกว่าความดีคุณก็ต้องตกนรกตลอดกาล ไม่มีการชำระล้างอะไรได้อีก ไม่งั้นเขาจะสอนให้เตาบัตตัวก่อนตายทำไม?

“และผู้ใดตราชูของเขาเบา ชนเหล่านั้นคือบรรดาผู้ที่ทำให้ตัวของพวกเขาขาดทุน พวกเขาจะพำนักอยู่ในนรกตลอดกาล” ซูเราะฮ์อัล-มุมินูน /



  คำถามคือ ชีอะห์คนนี้ บอกว่า  แม้จะเป้นมุสลิม แต่หากวันแห่งการตัดสิน ถ้าหาก ว่าความชั่วของเขานั้นมากกว่า ก้จะต้องตกนรกตลอกกาล   ไม่มีทางชำระบาป กระนั้นเชียวหรือ  
http://www.muslimthai.com/mnet/content.php?bNo=42&qNo=5520&option=&task=show&kword=&start_row=30
 
Re: เลงชีอะห์ ว่ามาอย่างนั้น By: Beechern Date: ธ.ค. 27, 2010, 11:51 AM
มันก็เป็นทรรศนะของเค้า...
แล้วถ้าจะให้ดี อย่าพยายามเรียกในชื่อที่เสียๆหายๆเลย
Re: เลงชีอะห์ ว่ามาอย่างนั้น By: ILHAM Date: ธ.ค. 27, 2010, 01:04 PM
ก็ยังเบากว่าคอวาริจ
Re: เลงชีอะห์ ว่ามาอย่างนั้น By: กูปีเยาะฮฺสะอื้น Date: ธ.ค. 27, 2010, 04:30 PM
ตามทัศน่ะของเขา
ขนาดซูนนะฮฺกันเองยังมีแตกต่าง
Re: เลงชีอะห์ ว่ามาอย่างนั้น By: Beechern Date: ธ.ค. 28, 2010, 09:34 AM
ผมคิดว่า ในมุมมองความคิดด้านหนึ่งนั้น ควรเป็นดังนี้ ::::::

ในซุนนีย์ ::: เกียรติของท่านอาลี(รด) ควรได้รับการเชิดชูและกล่าวถึงมากขึ้น การให้เกียรติต่อบรรดาผู้สืบสายเลือดของรอซูลุลลอฮ์ควรจะมีมากขึ้น
ในชีอะฮฺ ::: การกล่าวถึงข้อเสียๆหายๆของบรรดาซอฮาบะฮ์ในอดีตควรจะลดลง การเชิดชูและให้เกียรติซอฮาบะฮ์ท่านอื่นๆควรจะมีมากขึ้น

ผมเชื่อว่า ถ้าเป็นดังนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างจะค่อยๆดีขึ้น หากอัลลอฮ์ทรงประสงค์

Re: เลงชีอะห์ ว่ามาอย่างนั้น By: Al Fatoni Date: ธ.ค. 29, 2010, 12:16 PM
จริงๆ แล้ว ทางอะฮ์ลุสสุนนะฮ์ก็ให้เกียรติวงศ์วานของนบีย์มุหัมมัด ศ็อลฯ เป็นปกติธรรมดาอยู่แล้ว แต่เราให้เกียรติทุกท่านโดยรวม ไม่ได้เจาะจงใครเป็นพิเศษ ที่เห็นชัดเจนก็ในการกล่าวเปิดมัจลิสหนึ่งๆ หรือในตะชะฮุดละหมาด และการเศาะละวาตต่อวงศ์วานนบีย์ ศ็อลฯ ก็ถือเป็นรุกุนหนึ่งของละหมาดด้วย อย่างนี้จะไม่เรียกว่าให้เกียรติอีกหรือ นี่ยังไม่นับที่มีการออกหนังสือ หรือเสวนากันเป็นกรณีพิเศษนะครับ - วัลลอฮุอะอ์ลัม
Re: เลงชีอะห์ ว่ามาอย่างนั้น By: Beechern Date: ธ.ค. 29, 2010, 01:57 PM
จริงๆ แล้ว ทางอะฮ์ลุสสุนนะฮ์ก็ให้เกียรติวงศ์วานของนบีย์มุหัมมัด ศ็อลฯ เป็นปกติธรรมดาอยู่แล้ว แต่เราให้เกียรติทุกท่านโดยรวม ไม่ได้เจาะจงใครเป็นพิเศษ ที่เห็นชัดเจนก็ในการกล่าวเปิดมัจลิสหนึ่งๆ หรือในตะชะฮุดละหมาด และการเศาะละวาตต่อวงศ์วานนบีย์ ศ็อลฯ ก็ถือเป็นรุกุนหนึ่งของละหมาดด้วย อย่างนี้จะไม่เรียกว่าให้เกียรติอีกหรือ นี่ยังไม่นับที่มีการออกหนังสือ หรือเสวนากันเป็นกรณีพิเศษนะครับ - วัลลอฮุอะอ์ลัม

ผมได้รับคำยืนยันจากทางพี่น้องซุนนะฮ์เราแล้วครับ
แต่ผมไม่ได้รับคำยืนยันจากทางพี่น้องชีอะฮ์ เสมือนกับว่าไม่ยอมรับในสิ่งที่ผมบอก
Re: เลงชีอะห์ ว่ามาอย่างนั้น By: Al Fatoni Date: ธ.ค. 29, 2010, 02:07 PM
ชีอะฮ์มีความพยายามเหลือเกินที่จะทำให้คำสอนแปลกประหลาดของพวกเขาให้เป็นที่น่าเชื่อถือและยอมรับ หนึ่งในวิธีการที่พวกเขาใช้เพื่อการนี้ก็คือ "การเอาหลักตรรกะมาใช้ยืนยันคำสอนของพวกเขา" เพื่อให้เข้ากับปัญญา เพราะพวกเขารู้ดีว่า ด่านแรกที่คนสามัญชนทั่วไปจะทำการยอมรับในเรื่องๆ หนึ่งก็คือ "เมื่อเรื่องนั้นเข้ากับปัญญา" ทำให้รู้สึกว่าคำสอน หรือเรื่องนั้นเป็นเรื่องจริง สามารถยอมรับได้

           เกี่ยวกับประเด็นนี้ ชีอะฮ์เอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้มาก พร้อมทั้งแนวการสอนของพวกเขาก็มักจะแทรกวิธีการตอบโต้ข้อครหาจากภายนอกด้วยหลักตรรกะอยู่เสมอ ดังนั้น จึงไม่แปลกที่พวกนี้เวลาโต้กับกลุ่มอื่น ก็มักจะไม่มีการอ้างตำรับตำรากันมากนัก - เพราะอ้างไปมันก็มีแต่สิ่งแปลกประหลาดทั้งนั้น - ดังนั้น การใช้ตรรกะเพื่ออธิบายคำสอนของพวกตนจึงเกิดขึ้น และคิดว่าเกิดขึ้นมานานแล้วด้วย - วัลลอฮุอะอ์ลัม