-มองโลกแบบวินทร์- By: - ครูจริงใจ- Date: ก.พ. 17, 2011, 10:44 PM
วินทร์ เลียววาริณ เกิดที่หาดใหญ่ สงขลา เมื่อปี พ.ศ. 2499 เข้าเรียนชั้นประถมปีที่ 1 เมื่ออายุเจ็ดขวบ ที่โรงเรียนวิริยเธียรวิทยา หาดใหญ่ ซึ่งเป็นโรงเรียนประถมเล็กๆ ครั้นแปดขวบก็ยังเรียนซ้ำชั้น ป. 1 ด้วยครูประจำชั้นเห็นว่าจะทำให้ภูมิแน่นขึ้น!
เรียนต่อชั้นประถมปีที่ 4 ที่โรงเรียนแสงทองวิทยา หาดใหญ่ ซึ่งเป็นโรงเรียนคาทอลิก จึงมีโอกาสเรียนทั้งศาสนาพุทธและคริสต์ เป็นช่วงเวลาที่อ่านหนังสือนิยายจนหมดห้องสมุด ชอบวิชาวาดเขียนเป็นพิเศษ
เมื่อจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ได้ไปต่อม.ศ. 4 ที่กรุงเทพฯ ณ โรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) รุ่นที่ 3 และเป็นรุ่นแรกที่เรียน ณ ที่ตั้งของโรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ปัจจุบัน
สนใจงานศิลปะตั้งแต่เล็ก จึงเลือกเรียนสถาปัตยกรรมศาสตร์ จบปริญญาตรี สถ.บ. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แล้วเดินทางไปทำงานที่สิงคโปร์ทันที ทำงานเป็นสถาปนิกที่สิงคโปร์ร่วมสี่ปีก็เดินทางไปทำงานและเรียนต่อที่นิวยอร์ก อเมริกา เรียนหลายมหาวิทยาลัยโดยไม่เอาปริญญา จบแล้วกลับเมืองไทยมาทำงานในวงการโฆษณา และต่อมาเรียนต่อจนได้รับปริญญาโทด้านการตลาด จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
เริ่มชีวิตคนโฆษณาด้วยตำแหน่งผู้กำกับศิลป์ และเปิดฉากการเขียนหนังสือควบคู่ไปด้วย
เรื่องสั้นเรื่องแรกที่ได้รับการตีพิมพ์คือ ไฟ
ผ่านสนามวรรณกรรมมาจนได้รับหลายรางวัล เช่น โลกีย-นิพพาน (2535) การหนีของราษโลกสามใบของราษฎร์ เอกเทศ (2538) และ ตุ๊กตา (2541) ได้รับรางวัลช่อการะเกดยอดนิยม ประจำปี 2535, 2538 และ 2541 ตามลำดับ เช็งเม้ง (2541) ได้รับรางวัลเรื่องสั้นดีเด่นจากสมาคมภาษาและหนังสือ ปี 2541 รางวัลซีไรต์สองสมัย (2540/2542) รางวัลศิลปาธร (2549)
Re: -มองโลกแบบวินทร์- By: - ครูจริงใจ- Date: ก.พ. 17, 2011, 10:49 PM
เปลือกของสุภาพชน
ครั้งหนึ่งเอกอัครราชทูตเยอรมันมาขอพบไอน์สไตน์ที่บ้าน ภรรยาของไอน์สไตน์บอกสามีว่า
"ทำไมคุณไม่ไปเปลี่ยนชุดที่มันเรียบร้อยกว่านี้เล่า?" ไอน์สไตน์ตอบว่า
"ถ้าเขาอยากพบตัวฉัน ฉันก็อยู่นี่แล้วไง แต่ถ้าอยากดูเสื้อผ้าของฉัน ก็พาเขาไปเปิดตู้เสื้อผ้าดูซี" ผมชอบไอน์สไตน์มิใช่เพราะเขาฉลาดปราดเปรื่องเกินมนุษย์ทั่วไป คิดสมการพิสดารออกมาได้ หากเพราะเขาเป็นคนขวานผ่าซาก ผ่าตรงเป้า คิดง่าย ๆ เสมอ
หลายปีมาแล้ว ผมลองไปเรียนเรื่องมารยาทสังคมจากสถาบันสอนบุคลิกภาพแห่งหนึ่ง ได้ความรู้ติดหัวมาว่า
"การแต่งกายดีนั้นก็เพื่อให้เกียรติสถานที่ที่เราไป" มาครุ่นคิดนานหลายปีว่าจริงหรือ?
และถ้าจริง จำเป็นหรือ? เวลาเราไปงานแต่งงานของใครสักคู่ เราสวมสูทและชุดราตรี เหตุผล? เพราะเป็นมารยาทสังคม เพราะเป็นการให้เกียรติคู่บ่าวสาวในงานสำคัญของพวกเขา เพราะเป็นการให้เกียรติสถานที่หรูหรา และเพราะสุภาพชนพึงทำเช่นนั้น
อดคิดต่อไม่ได้ว่า
อะไรคือความสุภาพ? อะไรคือมาตรวัดความสุภาพ? การพูดคำว่า
"ครับ /ค่ะ" ตลอดเวลา หรือว่าการแต่งกายเหมาะสม? หรือทั้งสองอย่าง? ถ้าใช่ อะไรเป็นมาตรวัดความเหมาะสมของการแต่งกาย?
โรงแรมระดับห้าดาวส่วนใหญ่ไล่แขกที่สวมรองเท้าแตะออกจากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์นั้น (มักใช้คำว่า
"เชิญ") ทั้งที่รองเท้าแตะก็ปกป้องตีนได้ดีไม่แพ้เกือกบู๊ทหรือรองเท้าหุ้มส้น และคนสวมรองเท้าแตะก็สามารถเอ่ยคำว่า
"ครับ /ค่ะ" ได้เช่นกัน
ดูเหมือนค่านิยมของสังคมจะเดินไปในทิศทางที่ว่า
"ความสุภาพ" ของการแต่งกายวัดกันที่
"แบบ" ของเสื้อผ้า เช่น รองเท้าแตะไม่เรียบร้อย รองเท้าฟองน้ำไม่สุภาพ การไม่เสียบชายเสื้อเข้าในกางเกงน่าดูแคลน
ผมเคยทดลองสวมเสื้อยืดกับรองเท้าแตะ เข้าไปในร้านหรู ไม่มีพนักงานคนใดเดินมาต้อนรับเลย ซึ่งตรงกันข้ามกับเมื่อสวมเสื้อผ้าแบบ
"สุภาพชน" เสื้อเชิร์ตแขนยาว รองเท้าหนังมันเงา เข้าไปในร้านเดียวกัน พนักงานเข้ามาพูดจาอย่างสุภาพ เพราะปรัชญาการทำธุรกิจของหลายองค์กรไม่ต้อนรับ ผ้าขี้ริ้วห่อทอง หรืออย่างน้อยก็ไม่เชื่อว่า ภายในผ้าขี้ริ้วมีทอง
ไอน์สไตน์กล่าวว่า
"คนจำนวนมากรู้สึกละอายที่สวมเสื้อผ้าเก่า และใช้เครื่องเรือนคร่ำคร่า เราน่าจะละอายในความคิดเก่าคร่ำคร่ากับปรัชญาไร้ค่ามากกว่า น่าเศร้านะถ้ากระดาษที่ห่อหุ้มดีกว่าเนื้อภายใน"คนถ่อยสวมสูทตัวละแสนบาท ก็ยังเป็นคนถ่อยอยู่เช่นเดิม
ความจริงคือ มารยาทย่อมไม่มีกฎเกณฑ์ การสวมชุด
"สุภาพชน" มิได้เป็นการให้เกียรติต่อทั้งสถานที่และบุคคลเสมอไป
การเปลือยกายในสังคมหนึ่งอาจเป็นเรื่องน่าละอาย ขณะที่เป็นค่านิยมปกติในอีกสังคมหนึ่ง
ความจริงการเปลี่ยนแปลงกติกาของการแต่งกายเป็นเรื่องธรรมดา เมื่อโลกแคบลง และความเป็นสากลสูงขึ้น ปัญหามักเกิดจากความพยายามเปลี่ยนตัวเองเพื่อให้เข้ากับวัฒนธรรมที่(เราคิดว่า)เหนือกว่าเราอย่างไม่มีราก อย่างหลับหูหลับตา และตีค่าของคนที่เปลือกนอกมากกว่าภายใน
ดังนี้สวมชุด
"สุภาพชน" ก็ไม่ผิด ไม่สวมชุด
"สุภาพชน"ก็ไม่ผิด การสวมชุดสีแดงไปงานศพ หรือชุดสีดำไปงานมงคลก็ไม่ผิด แต่สุภาพชนที่แท้ย่อมมองไกลกว่าเครื่องแต่งกาย
สุภาพชนที่แท้ย่อมเป็นอิสระจากการเดินตามกฎและการไม่เดินตามกฎ อิสรภาพหมายถึงการไม่ยึดติดกับค่านิยมของสังคม แต่ก็ไม่จำเป็นต้องต่อต้านเพียงเพื่อแสดงให้ชาวโลกเห็นว่า ตนเองไม่ยึดติดกับค่านิยมของสังคม
8-11-2004
ที่มา
Re: -มองโลกแบบวินทร์- By: BaE HoK Date: ก.พ. 20, 2011, 07:58 AM
"สุภาพชนที่แท้..ย่อมเป็นอิสระจากการเดินตามกฎและการไม่เดินตามกฎ
อิสรภาพ..หมายถึงการไม่ยึดติดกับค่านิยมของสังคม
แต่ก็ไม่จำเป็นต้องต่อต้านเพียงเพื่อแสดงให้ชาวโลกเห็นว่า
ตนเองไม่ยึดติดกับค่านิยมของสังคม .."
ปรัชญานิยมของ....ปัญญาชนกาเฟร (ที่ยังไม่เคยลิ้มรสหวานของน้ำผึ้งอย่างอิสลาม)

Re: -มองโลกแบบวินทร์- By: nada-yoru Date: ก.ย. 02, 2014, 10:40 PM
ครั้งหนึ่งเอกอัครราชทูตเยอรมันมาขอพบไอน์สไตน์ที่บ้าน
ภรรยาของไอน์สไตน์บอกสามีว่า
"ทำไมคุณไม่ไปเปลี่ยนชุดที่มันเรียบร้อยกว่านี้เล่า?"
ไอน์สไตน์ตอบว่า
"ถ้าเขาอยากพบตัวฉัน ฉันก็อยู่นี่แล้วไง
แต่ถ้าอยากดูเสื้อผ้าของฉัน ก็พาเขาไปเปิดตู้เสื้อผ้าดูซี"
ไอน์สไตน์กล่าวว่า
"คนจำนวนมากรู้สึกละอายที่สวมเสื้อผ้าเก่า และใช้เครื่องเรือนคร่ำคร่า
เราน่าจะละอายในความคิดเก่าคร่ำคร่ากับปรัชญาไร้ค่ามากกว่า
น่าเศร้านะถ้ากระดาษที่ห่อหุ้มดีกว่าเนื้อภายใน"
สองประโยคนี้ของไอสไตน์โดนใจข้าน้อยมาก...
ที่โดนใจไม่ใช่เพราะสิ่งใดเลย...เนื่องจาก...
ไอสไตน์กำลังจะบอกว่า...การแต่งกายของเรา บ่งบอกความเป็นเรา
ถ้าเขาอยากมาทำความรู้จักกับเราจริงๆ...เราก็ต้องแสดงความเป็นเราที่เป็นอยู่ให้เขาเห็น
ความคิดนี้ตรงกับหลักการของอิสลามค่ะ...ที่ตรงก็คือ...
อิสลามเรา มีเครื่องแต่งกายให้ และมันคือ อาภรณ์ของเราที่ไม่เหมือนใคร
เพราะนี่คืออาภรณ์ของมุสลิม ใครเห็นก็รู้ได้ทันทีว่านี่แหล่ะมุสลิมล่ะ
แต่มุสลิมหลายคนยังคงอายที่ต้องไปไหนด้วยเครื่องแต่งกายแบบอิสลาม...
กลัวว่าจะไม่เหมาะสมกับสถานที่นั้นที่นี่บ้าง...ห่วงว่าจะแตกต่างจากคนทั่วๆไป
ขาดความมั่นอกมั่นใจ...ทั้งๆที่น่ันมันคือตัวเรา...เราจะปฏิเสธความเป็นเราเพราะอะไร?
ทำไมเราจะต้องถอดผ้าคลุมเมื่อผู้ที่สัมภาษณ์งานบอกเราว่าห้ามใส่
ทำไมเราต้องถอดอาภรณ์ของเราเพียงเพราะเขาบอกว่าที่เราสวมอยู่นั้นมันคร่ำครึ
และแสนจะเชย ล้าสมัย ไม่ทันโลก...ในเมื่อนั่นคือตัวตนของเรามิใช่หรือ...
หากเราเองยังไม่อาจยอมรับตัวเราได้ แล้วใครที่ไหนจะมายอมรับในตัวเรา...
ไอสไตน์กลายเป็นคนที่ถูกยอมรับ ทั้งๆที่เขาก็ยังคงเป็นเขาอยู่...
แล้วเรา...ประชาชาติอิสลามนั้น สูงส่งนัก...
ใยจะต้องอายที่จะฉายความเป็นตัวตนของตัวเองให้ชาวโลกรู้...
เราไม่ได้หลงยุค ไม่มีใครหลงยุค เพราะโลกมันกลมและมันก็หมุน...
กลับไปกลับมาอยู่อย่างนี้...
ดังนั้น...เมื่ออิสลามคือ จุดยืน...
เราก็จะใช้มันเป็นจุดยืนที่มั่นคงแม้โลกจะหมุนพาเราไปทิศใดก็ตาม...
และเคยมีนะคะที่เคยคิดว่า...ทำไมท่านนบีของเราจึงสวมใส่เสื้อผ้าเก่าๆ...
ทั้งๆที่ท่านสามารถยกมือขึ้นวอนขอสิ่งใดจากอัลลอฮฺได้...
พอวันนึงที่ได้เรียนรู้โลกใบนี้ เข้าใจถึงความเป็นดุนยา...
จึงพอจะเข้าใจความรู้สึกนั้นได้บ้างนิดๆแล้วว่า...
ของใหม่ในวันนี้ พรุ่งนี้ก็เก่าแล้ว...
ส่วนของเก่าที่ใส่ในวันนี้ พรุ่งนี้ก็ยังเก่าไม่เปลี่ยน...
ดังนั้น...ค่าของสิ่งของไม่ได้ขึ้นอยู่กับใหม่หรือเก่าอีกต่อไป...
หากเราพอเพียง...มันก็เพียงพอสำหรับเรา...
พอได้ของใหม่ เราก็อัลฮัมดุลิลลาฮฺ...
พอสวมใส่เสื้อผ้าเก่าๆที่เคยสวมมาแล้วหลายปี เราก็อัลฮัมดุลิลลาฮฺ...
ไม่อายเลยนะคะหากต้องใส่ชุดเดิมๆไปงานแต่งเพื่อน...
ไม่ใช่เพราะงก ก็ถ้าชุดมันยังใส่ได้อยู่ ก็คงต้องใส่ล่ะค่ะ
จะเก็บไว้ในตู้ด้วยให้เหตุผลเพียงเพราะเราเคยใส่มันแล้ว
แล้วให้แมลงสาบแทะต่อก็กะไรอยู่...
เพราะนั่นคือหนึ่งใน เนี๊ยะมัต จากอัลลอฮฺ...
เรามีเราก็ต้องรู้คุณ...ใช้ให้คุ้มไปเลยค่ะ...อย่าได้อาย...
เมื่อมันหมดสภาพเมื่อไหร่ ค่อยว่ากัน...^^
วัสลามค่ะ