ยักษ์จินนี่ และคนอียิป By: falaora Date: มี.ค. 04, 2011, 10:39 AM
วันนี้ falaora ภูมิใจนำเสนอ เรื่องราวเกี่ยวกับยักษ์จินนี่ และคนอียิป เป็นเรื่องราวที่อ่านเจอในหนังสือนำเที่ยวอียิป
อียิปเป็นประเทศที่มีพื้นที่กว้าง มีความหลากหลายทางภูมิศาสตร์ และมีประชากรมากมายที่อาศัยอยู่ตามพื้นที่ต่างๆ ผู้คนที่อาศัยต่างพื้นที่มักจะมีบุคลิก และนิสัยเป็นเอกลักษณ์เฉพาะพื้นที่
เมืองเอ็กซานเดรีย เป็นเมืองท่า บุคลิกของคนพื้นที่นี้จะเป็นคนที่มุ่งมั่นในการต่อสู้ มีไหวพริบทางธุรกิจ
ส่วนคนที่อาศัยอยู่แถบดินดอนสามเหลี่ยมจะได้แก่พวกชาวนา บุคลิกของคนแถบนี้จะขยันทำงาน มัธยัสถ์ มีความตั้งใจจริง
ชาวราชิดจากเมืองโรเซตตาเป็นคนจิตใจดี ในขณะที่ชาวดุมยัดที่อยู่ติดปากแม่น้ำไนล์ตะวันออกอาจจะไว้ใจไม่ค่อยได้
ส่วนคนไคโรก็เหมือนชาวนิวยอร์ก หรือคนลอนดอน หรือคนในเมืองหลวงทั่วๆไป ( falaora เติมให้อีกนิด เหมือนคน กทม. ) ที่มักกะล่อน พูดคล่อง ไร้ศีลธรรม และดูถูกคนที่ด้อยกว่า ส่วนชาวซาอิดิเปรียบเสมือนชาวโปแลนด์ซึ่งได้ชื่อว่าคนซื่อแห่งอียิป ชาวนูเบียผิวดำที่อยู่ออกไปทางใต้ เป็นคนสมัยโบราณที่มีภาษาเป็นของตัวเอง ถือว่าเป็นคนสุภาพและสันติที่สุดในไคโร เพราะพวกเขาอยู่โดดเดี่ยวออกมาไกล เพราะมีแก่งน้ำตกที่กั้นไม่ให้แม่น้ำไนล์เหนืออัสวานผ่านไปได้
ความแตกต่างของคนในอียิปจึงเกิดเป็นเรื่องเล่าขำๆ ในร้านชิช่าที่มักจะเล่ากันเพื่อหยอกล้อกันเอง
เรื่องมีอยู่ว่า
"มีชาวอเล็กซานเดรีย ชาวไคโร และชาวซาอิดิกำลังจะตายเพราะกระหายน้ำกลางทะเลทราย จู่ๆยักษ์จินนี่ก็ปรากฏตัวขึ้น และให้พวกเขาขอพรได้คนละข้อ ชาวอเล็กซานเดรียกล่าวว่า " ผมขอมีสาวๆล้อมรอบอยู่บนหาดทรายที่มุนตาซาห์"ว่าแล้วเขาก็หายตัวไป ส่วนชาวไคโร กล่าวว่า "ผมขอให้ได้เข้าไปละหมาดในมัสยิดฮูเซ็นในกรุงไคโร"ว่าแล้วเขาก็หายตัวไป พอถึงชาวซาอิดิ เขาก็ทำหน้าตกใจมากกกกกกกกกก

........แล้วหันไปมองหน้ายักษ์จินนี่แล้วกล่าวว่า " ผมเหงามาก ช่วยเอาเพื่อนๆของผมคืนมาได้มั๊ย???”

หากมองในแง่ดีแล้ว ชาวซาอิดินั้นช่างเป็นคนที่ใจกว้าง
ปล. Falaora ไม่มีเจตนาจะว่าคน กทม. น่ะค่ะ หากแต่จะยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดเจน ว่าคนสังคมเมืองหลวงเขาจะมีนิสัยพิเศษเฉพาะที่เรียกว่า Materialisms ที่มักจะตัดสินคนที่วัตถุ
Re: ยักษ์จินนี่ และคนอียิป By: tatcha_jah ~♪ Date: มี.ค. 09, 2011, 02:18 AM
อืม...ไม่เข้าใจแหะ
-*-
Re: ยักษ์จินนี่ และคนอียิป By: falaora Date: มี.ค. 09, 2011, 02:48 AM
@ tatcha_jah ไม่เข้าใจตรงไหนค่ะ หรือมุขตลกในเรื่อง หรือเรื่องMaterialisms จะได้อธิบายให้ค่ะ
Re: ยักษ์จินนี่ และคนอียิป By: falaora Date: มี.ค. 09, 2011, 03:14 AM
หากจะพูดถึงเรื่อง Materialisms มันจะต้องโยงกับหลักการทางเศรษฐศาตร์ด้วย เรื่องการค้าเสรี falaora ไม่อยากลงในหัวข้อนี้เพราะอยากให้เป้นหัวข้อสนุกๆอ่านแล้วไม่เครียด ไม่อยากให้วิชาการมากเกินไป เพราะหน้าอื่นๆเขาวิชาการกันเยอะแยะแล้ว สรุปง่ายๆ ก็คือ คนในเมืองหลวงมักยึดติดกับวัตถุ หรือที่เราเรียกว่า " พวกวัตถุนิยม" เพราะคนพวกนี้จะตกเป็นเครื่องมือของระบบการค้าเสรีและสื่อโฆษณา โดยมักให้ค่าและยกย่องคนที่มีวัตถุในครอบครองเยอะ ส่วนคนที่มีวัตถุน้อยจะโดนดูดถูกว่าด้อย หากเราสังเกตกันดีๆช่วงหลังรัฐบาลจะเน้นมากในเรื่องหลักธรรมาภิบาล สังเกตได้จากแผนพัฒนาเศษฐกิจและสังคมแห่งชาติปีล่าสุด รัฐบาลพยายามเน้นการพัฒนาคน เพราะคนสมัยนี้ความเป็นมนุษยธรรมน้อยลง เพราะไปให้ค่าวัตถุมากเกินไปนั่นเอง
..........เยอะไปมั๊ยค่ะ falaora พยายามย่อให้สั้นที่สุด เพราะหากหยิบประเด็นเรื่องวัตถุนิยมมาถกกันคงกินเวลานานและใช้พื้นที่หลายหน้า คนอ่านคงเบื่อ
วัสลาม
Re: ยักษ์จินนี่ และคนอียิป By: tatcha_jah ~♪ Date: มี.ค. 09, 2011, 03:44 AM
แหะๆ...ไม่เข้าใจเรื่องมุขตลกอ่าค่ะ
มันยังไง
การที่เรียกเพื่อน2คนมาแสดงว่าเขาวัตถุนิยมอย่างไร
เอ๊ะ..ไม่เข้าใจ
-*-
Re: ยักษ์จินนี่ และคนอียิป By: falaora Date: มี.ค. 09, 2011, 04:30 AM
โอ้ tatcha_jah ~♪ เข้าใจแระว่าทำไมถึงงง อิอิ
คืออย่างนี้น่ะค่ะ เรื่องวัตถุนิยมมันเป็นตัวอธิบายเกี่ยวกับนิสัยของคนในสังคมเมืองใหญ่ เช่นนิวยอก ลอนดอน หรือกทม. ( ดังที่ falaora เติมเข้าไปในเนื้อหา ) ส่วนเรื่องนี้เขาพูดถึง คนในอียิป ไคโรนั้นก็คือเมืองหลวงอียิป เท่ากับเป้นเมืองใหญ่ คนในเมืองนี้จึงมีลักษณะแบบวัตถุนิยมด้วย ในเนื้อหาข้างต้นเขียนว่า" ส่วนคนไคโรก็เหมือนชาวนิวยอร์ก หรือคนลอนดอน หรือคนในเมืองหลวงทั่วๆไป ( falaora เติมให้อีกนิด เหมือนคน กทม. ) ที่มักกะล่อน พูดคล่อง ไร้ศีลธรรม และดูถูกคนที่ด้อยกว่า
ส่วนมุกตลกที่แทรกอยู่ในเนื้อหานี้ มันเป้นมุกแบบตะวันตก บางครั้งคนเอเซียอ่านอาจจะไม่เก็ต หรืออาจจะไม่ขำก็ได้ มันตลกตรงที่ คนสามคนติดอยู่กลางทะเลทรายแล้วเจอยักษ์จินนี่ พวกเขาต่างก็ขอพร และหายตัวไปที่อื่น ส่วนคนสุดท้าย ซึ่งเป็นชาวซาอิดิ ดันขอพรให้เพื่อนทั้งสองกลับมา หากลองคิดตามแล้วเราจะขำตรงที่ ทำไมมันซื่อบื่ออย่างนี้ คิดสิว่าอยากไปไหนแล้วก็ขอยักจินนี่ แล้วทำไมต้องเรียกตัวเพื่อนทั้งสองกลับมาอีก พวกเขาอุตส่าหลุดจากทะเลทรายไปได้แล้ว เพื่อนเขาอาจจะพูดกับคนซาอิดิว่า " ไอ้โง่ เรียกกรูกลับมาทำไมฟระ พวกกรูไปสบายกันแล้ว แม่ง ซวยจริงๆ มันดันเรียกตัวพวกกรูกลับมาติดแหงะที่ทะเลยทรายอีก "

Re: ยักษ์จินนี่ และคนอียิป By: tatcha_jah ~♪ Date: มี.ค. 09, 2011, 04:35 AM
อ่อ
เก็ทแล้วค่า
อิอิ
นอนดึกนะค่ะเนียะ
^^
Re: ยักษ์จินนี่ และคนอียิป By: falaora Date: มี.ค. 09, 2011, 04:41 AM
คร๊า ดีใจจังมีคนเก็ตแล้ว เย่ๆๆๆ
tatcha_jah ~♪ ตื่นเช้าจังน่ะค่ะ หรือยังไม่ได้นอน ส่วน falaora ช่วงนี้นอนหลังละหมาดซุบน่ะค่ะ
Re: ยักษ์จินนี่ และคนอียิป By: tatcha_jah ~♪ Date: มี.ค. 09, 2011, 04:46 AM
อิอิ
ยังไม่ได้นอนค่ะ..^^
คุณfalaoraก็อย่านอนดึกบ่อยๆนะค่ะ
รักษาสุขภาพด้วย
เดี๋ยวไม่สบายบ่อยเหมือนtatchaน้า
อิอิ
ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ
Re: ยักษ์จินนี่ และคนอียิป By: falaora Date: มี.ค. 09, 2011, 09:41 AM
ค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ หากว่างแอดมาคุยกันน่ะค่ะ ที่
falaora@hotmail.comรู้สึกถูกชะตาด้วยน่ะค่ะ อ่านจากโพสที่ท่านบาชีรลงไว้เกี่ยวกับภัยของมุสลิมะ ในย่านประตูน้ำ tatcha โพสได้โดนใจมากๆ อ่อ รักษาสุขภาพด้วยน่ะค่ะ นอนดึกไม่ดีค่ะ
Re: ยักษ์จินนี่ และคนอียิป By: nada-yoru Date: เม.ย. 05, 2015, 11:09 PM
หากจะพูดถึงเรื่อง Materialisms มันจะต้องโยงกับหลักการทางเศรษฐศาตร์ด้วย เรื่องการค้าเสรี falaora ไม่อยากลงในหัวข้อนี้เพราะอยากให้เป้นหัวข้อสนุกๆอ่านแล้วไม่เครียด ไม่อยากให้วิชาการมากเกินไป เพราะหน้าอื่นๆเขาวิชาการกันเยอะแยะแล้ว สรุปง่ายๆ ก็คือ คนในเมืองหลวงมักยึดติดกับวัตถุ หรือที่เราเรียกว่า " พวกวัตถุนิยม" เพราะคนพวกนี้จะตกเป็นเครื่องมือของระบบการค้าเสรีและสื่อโฆษณา โดยมักให้ค่าและยกย่องคนที่มีวัตถุในครอบครองเยอะ ส่วนคนที่มีวัตถุน้อยจะโดนดูดถูกว่าด้อย หากเราสังเกตกันดีๆช่วงหลังรัฐบาลจะเน้นมากในเรื่องหลักธรรมาภิบาล สังเกตได้จากแผนพัฒนาเศษฐกิจและสังคมแห่งชาติปีล่าสุด รัฐบาลพยายามเน้นการพัฒนาคน เพราะคนสมัยนี้ความเป็นมนุษยธรรมน้อยลง เพราะไปให้ค่าวัตถุมากเกินไปนั่นเอง
..........เยอะไปมั๊ยค่ะ falaora พยายามย่อให้สั้นที่สุด เพราะหากหยิบประเด็นเรื่องวัตถุนิยมมาถกกันคงกินเวลานานและใช้พื้นที่หลายหน้า คนอ่านคงเบื่อ
วัสลาม
แต่หากมองในมุมกลับกัน หรือมองในแง่ของทางปฏิบัติ...
แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไม่ว่าจะกี่ฉบับๆของไทย
ไม่ช่วยให้อัตราการค้ามนุษย์ในไทยลดลงเลย แถมยังพุ่งฮวบๆ
กฎหมายมันมีรูโหว่ให้คนเหล่านี้มุดไปได้ค่ะ...
แถมรู้แล้วก็ยังไม่มีใครคิดจะอุดรอยโหว่นั่นอีก
คล้ายๆจะส่อนัยยะบางอย่างนะคะ...
เมื่อก่อน "สาวส่งออก" ของไทยมีแค่บางจังหวัด
ไม่ได้ระบาดไปทั่วอย่างทุกวันนี้...
รูปแบบการค้าเนื้อสดอาจเปลี่ยนไป
แต่อย่างไรมันก็ยังใช่อยู่ดี...ในเมืองหลวงเยอะสุดค่ะ...
โดยเฉพาะเมืองหลวงอย่างของไทยเรา...
ส่วนในญี่ปุ่นก็อย่าง โตเกียว...รวมทั้งเมืองท่าอย่างโยโกฮาม่า
และเมืองท่าอย่างโอซาก้าด้วย...
สาวโคมเขียว สาวโคมแดงจากไทยถูกส่งไปเป็นสินค้าเพียบ
ทั้งโดนหลอกไปและเต็มใจไปก็มี...เด็กสาว(ต้องบอกว่าเด็ก
เพราะว่ายังเด็กจริงๆ) บางคนเช่ือในค่านิยมผิดๆว่า
การค้าประเวณีเป็นการแสดง "ความกตัญญู" ต่อพ่อแม่
เลยเอา "ความสาว"ไปแลกกับ "เงินทอง" เพื่อมอบมัน
ไปให้พ่อแม่ที่บ้านซื้อหาสิ่งอำนวยสุขทางโลกไป...
บางคนเชื่อหนักถึงกับเชื่อว่า ตายไปจะได้ขึ้นสวรรค์
เพราะความกตัญญู เลยอยากให้อิสลามเข้าไปอยู่ในหัวใจเขา
อยากให้เขารู้ว่า อัลลอฮฺคือ เจ้าของสวรรค์
การกตัญญูแบบนั้นของเด็กสาว...มิได้พาเธอไปยังสวรรค์
ของอัลลอฮฺได้...ถ้ามองในแง่ที่ว่าน่าสงสารก็น่าสงสาร
ประชาชาตินี้ยังมีอีกมากมายที่ "ไม่รู้"
หรือ ไม่ได้รับ "ความรู้ที่มีประโยชน์" แก่ตัวเองจริงๆ...
เลยตกเป็นทาสของทุกอย่าง...โดยเฉพาะทาสวัตถุนิยม...
เลยไม่แปลกเลยที่ชาวอเล็กซานเดรียขอสาวๆจากยักษ์จินนี่
ดีแล้วที่มีคนซื่ออย่างชาวซาอิดิขอพรให้เอาเพื่อนเขาคืนมา...
เช่นดั่งบรรดามุอฺมินที่พยายามอ้อนวอนขอให้มนุษย์ได้รับทางนำ
กลับสู่หนทางอันเที่ยงตรง ทั้งๆที่บางครั้งที่เราอ้อนวอนขอพร
ให้เขากลับสู่หนทางที่เที่ยงตรงหรือขอให้ได้รับทางนำ
เขาอาจไม่ได้อยากได้อย่างนั้นเลยสักนิดเดียว...เพราะด้วยความหลงในดุนยา
หรืออะไรก็สุดจะคำนวณได้...^^
ปล.ปัจจุบันสถาบันศาสนาทั่วทุกมุมโลกกำลังสั่นคลอนอย่างหนัก
เพราะลัทธิวัตถุนิยมที่เข้ามามีบทบาทเหนือจิตใจคน
ครอบงำจิตใจคน...นักธุรกิจนายทุนก็ต่างร่ำรวยล้นฟ้า
มีชีวิตความเป็นอยู่สุขสบายด้วยการทำนาบนหลังคน...