คุณลุงที่รักของหนูเปลี่ยนไป By: falaora Date: มิ.ย. 12, 2011, 03:41 PM
อัสลามมุอาลัยกุมค่ะ falaora มีเรื่องอยากขอคำปรึกษาจากเพื่อนๆในเว็บ เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับคุณลุงที่รักที่ falaora รู้จักท่านหนึ่ง ขอใช้นามสมมุติน่ะค่ะ ว่าชื่อลุงมัติ
ลุงมัติแต่งงานกับป้าอัยชะ ป้าอัยชะเป็นคนจังหวัดภูเก็ต ป้าไม่ได้เรียนหนังสือ เมื่อแต่งงานก็ได้ย้ายมาอยู่พัทลุง มาเป็นแม่บ้าน ส่วนลุงมัติรับราชการเป็นครู ทั้งคู่อยู่กินกันมาสามสิบปี มีลูกด้วยกันห้าคน ที่บ้านป้าอัยชะช่วยลุงมัติทำสวนเก็บผักที่สวนไปขายที่ตลาด ทั้งคู่ช่วยกันทำมาหากิน จนสร้างเนื้อสร้างตัว ปลูกบ้าน ซื้อรถ และส่งเสียให้ลูกเรียนจบปริญญา
ลุงมัตินั้นเป็นคนใจดี ลุงมัติเป็นคนตลก ชอบเล่านิทาน ชอบพาหลานไปเที่ยว ทำให้หลานๆทุกคนรักคุณลุงมัติมาก ส่วนป้าอัยชะนั้นก็ใจดี แม้จะเป็นสะใภ้ที่แต่งเข้ามา แต่ก็สามารถเข้ากับญาติทางฝ่ายลุงมัติได้ดี
แต่เรื่องมีอยู่ว่า วันหนึ่ง falaora ก็ได้ข่าวว่า ลุงมัติหย่ากับป้าอัยชะ โดยการหย่าครั้งนี้เป็นการหย่าครั้งที่สาม ลุงมัติมีผู้หญิงคนใหม่ ออกไปเที่ยวเตร่ ทำตัวเหมือนวัยรุ่นเสเพล ลุงมัติไล่ป้าอัยชะออกจากบ้าน และกล่าวหาว่า ป้ามาแต่ตัวฉะนั้นก็กลับไปแต่ตัว โดยไม่ให้ค่าเลี้ยงดู และจะไม่ยอมจ่ายค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น ญาติฝ่ายป้าอัยชะเมื่อรู้ว่าป้าโดนลุงมัติปฏิบัติอย่างนั้นก็ไม่พอใจ โดยทางญาติฝ่ายป้าอัยชะต้องการจะฟ้องร้องศาล เพื่อให้ลุงมัติรับผิดชอบเรื่องค่าใช้จ่ายบ้าง โดยต้องการใช้ลุงมัติ หาที่พักให้ ต้องการเงินสักก้อนไว้ทำมาหากินเลี้ยง เป็ดเลี้ยงไก่ ในช่วงบั้นปลายชีวิต ส่วนลูกๆนั้นก็เสียใจกับเหตุการณ์ณ์ที่เกิดขึ้น ญาติๆฝ่ายลุงมัติก็ทุกใจพยายามปรับความเข้าใจกับญาติฝ่ายป้าอัยชะ
แต่ตอนนี้ยังไม่มีทางออกเลย เพราะตัวลุงเองยืนยันที่จะไม่จ่ายค่าอะไรทั้งสิ้น แบบนี้จะมีทางออกไหนให้ป้าอัยชะบ้างค่ะ สงสารเขาในฐานะหัวอกลูกผู้หญิงเหมือนกัน

Re: คุณลุงที่รักของหนูเปลี่ยนไป By: hiddenmin Date: มิ.ย. 12, 2011, 06:50 PM
เอาประเด็นศาสนาขึ้นมาอ้างเลย (จะดีมั้ย) ครับ
การหย่า
การแบ่งทรัำพย์สิน
Re: คุณลุงที่รักของหนูเปลี่ยนไป By: al-firdaus~* Date: มิ.ย. 12, 2011, 06:56 PM
ทำไมคนเรา...ถึงไม่รู้จักรักกันนานๆนะ
รักก็แสนรัก...เมื่อคิดจะหน่าย ก็ทำกันง่ายๆ เหมือนคนใจร้าย
ไม่ใช่สิ... เหมือนคนไม่มีหัวใจมากกว่า
Re: คุณลุงที่รักของหนูเปลี่ยนไป By: fadia Date: มิ.ย. 12, 2011, 09:20 PM
โดนวางยาเสน่ห์อรัยหรือป่าว ทำไมถึงกับเปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังมือแบบไม่น่าเชื่อ
แล้วอ่านจี๊ดๆอ่ะ ปวดใจ สงสารเหลือเกิน

Re: คุณลุงที่รักของหนูเปลี่ยนไป By: rayes Date: มิ.ย. 12, 2011, 09:40 PM

หากจดทะเบียนสมรสตามกฎหมายสามารถเรียกสินสมรสใด้ครึ่งนึงตามกฎหมายอยู่แล้ว
หากไม่ได้จดทะเบียนอาจใช้ข้อกฎหมายได้ยากนิดนึง ต้องลองดูรายละเอียดดู
Re: คุณลุงที่รักของหนูเปลี่ยนไป By: rayes Date: มิ.ย. 12, 2011, 09:43 PM
เรื่องของสินสมรส
ตามกฎหมาย เมื่อชายหญิงตกลงปลงใจเป็นสามี ภรรยากัน และผ่านการจดทะเบียนสมรสแล้ว ความผูกพันนี้ก่อให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา 2 ลักษณะ คือ ความสัมพันธ์ส่วนตัว คือ อยู่กินกันแบบสามีภรรยา ต้องอุปการะเลี้ยงดูกัน และ ความสัมพันธ์ทางด้านทรัพย์สิน ซึ่งแยกเป็นสินสมรส และสินส่วนตัว
พูดตามภาษาชาวบ้าน สินส่วนตัว คือ ทรัพย์สิน ข้าวของส่วนตัวต่าง ๆ ที่แต่ละฝ่ายมีอยู่ก่อนเดิม ก่อนแต่งงาน สินสมรส คือ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้มาหลังแต่งงาน และสามีภรรยาเป็นเจ้าของร่วมกัน
ตามกฎหมายได้แจกแจงไว้อย่างละเอียดว่า สินส่วนตัว มี 4 ประเภท คือ
1. ทรัพย์สินที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีอยู่ก่อนสมรส เช่น บ้าน ที่ดิน เงินทอง
2. ทรัพย์สินที่ได้มาในระหว่างสมรสโดยการรับมรดก หรือได้มาโดยเสน่หา
3. ทรัพย์สินที่เป็นเครื่องใช้สอยส่วนตัว เครื่องประดับ เครื่องแต่งกาย เครื่องมือประกอบอาชีพ
4. ทรัพย์สินที่เป็นของหมั้น จะถือเป็นสินส่วนตัวของผู้หญิง
นอกจากนี้ ถ้าทรัพย์สินดังกล่าวข้างต้น เปลี่ยนสภาพไป เช่น นำไปขายและได้เงินมา นำไปแลกหรือซื้อของอื่น ให้ถือว่าเงินหรือของที่ได้มานั้น เป็นสินส่วนตัวด้วย
สินสมรส แบ่งเป็น 3 ประเภท
1. ทรัพย์ที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรส เช่น เงินเดือน โบนัส
2. ทรัพย์สินที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้มาโดยพินัยกรรม โดยระบุว่าให้เป็นสินสมรส
3. ทรัพย์สินที่เป็นกำไรสุทธิ หรือดอกผลของสินส่วนตัว
สิทธิการจัดการทรัพย์สิน กฎหมายถือให้ผู้เป็นเจ้าของมีอำนาจจัดการทรัพย์สินส่วนตัวได้โดยลำพัง สำหรับสินสมรส ถือเป็นทรัพย์สินร่วมกันคนละครึ่ง จึงให้สองฝ่ายจัดการร่วมกัน
สามีภรรยาสามารถแยกกันจัดการสินสมรสได้ 4 กรณี คือ
1. เมื่อคู่สมรสตกลงแยกกันจัดการสินสมรสโดยการทำสัญญาก่อนสมรสไว้ก่อน
2. เมื่อคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตกเป็นคนไร้ความสามารถ อีกฝ่ายมีสิทธิร้องขอให้ศาลแยกสินสมรสได้
3. เมื่อคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถูกศาลสั่งให้เป็นบุคคลล้มละลาย จะมีผลให้สินสมรสแยกกันตามกฎหมาย
4. เมื่อมีการร้องขอต่อศาลให้แยกสินสมรสเพราะสาเหตุ เช่น อีกฝ่ายทำความเสียหายแก่สินสมรส ไม่อุปการะ เลี้ยงดู เป็นหนี้สินมากมาย หรือขัดขวางการจัดการสินสมรสโดยไม่มีเหตุอันควรและเมื่อมีการแยกสินสมรส ออกจากกันแล้ว สินสมรสส่วนที่แยกออกมาจะถือเป็นสินส่วนตัวของแต่ละฝ่าย รวมถึงทรัพย์สิน เช่น มรดก ดอกผลที่ได้มาหลังการแยกสินสมรสด้วย
การจัดการเรื่องหนี้สินของสามีภรรยาควรทำอย่างไร
เมื่อสามีภรรยาไปเป็นหนี้บุคคลภายนอก หากหนี้นั้นมีมาก่อนสมรสถือเป็นหนี้ส่วนตัว ให้แต่ละฝ่ายรับผิดชอบใช้ต่อเจ้าหนี้เป็นการส่วนตัวโดยใช้สินส่วนตัวมาก่อน ถ้าไม่พอจึงใช้จากสินสมรสที่เป็นส่วนของตนได้คือ ครึ่งหนึ่งของสินสมรส ในกรณีที่เกิดหนี้ระหว่างสมรสหนี้นั้นอาจเป็นหนี้ส่วนตัวค้างคามาหรือเป็นหนี้ร่วม สามีภรรยาต้องร่วมกันชดใช้เจ้าหนี้โดยใช้เงินทั้งจากสินสมรสและสินส่วนตัวได้ หนี้ที่เกิดระหว่างสมรส และถือเป็นหนี้ร่วมได้แก่ หนี้ค่าอุปการะเลี้ยงดู รักษาพยาบาลคนในครอบครัว และให้การศึกษาบุตร หนี้ที่เกี่ยวข้องกับสินสมรส หนี้ที่เกิดจารการงานที่สามีภรรยาทำร่วมกันและหนี้ที่สามีหรือภรรยาก่อให้เกิดเพื่อประโยชน์ตนฝ่ายเดียว แต่อีกฝ่ายยินยอมและรับรู้ด้วย 4 กรณีนี้สามีภรรยาต้องรับผิดชอบร่วมกัน
คู่ที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส
การจัดการทรัพย์สินมีข้อแตกต่าง คือ ในแง่กฎหมายเพราะกฎหมายจะถือว่าคู่ที่อยู่กินกันโดยไม่จดทะเบียนสมรสไม่เป็นคู่สมรสต่อกัน
บุตรที่เกิดมาเป็นของฝ่ายหญิงฝ่ายเดียว และการอยู่ด้วยกันไม่มีผลให้เกิดสินส่วนตัวและสินสมรส แต่ในแง่ปฏิบัติ เพื่อความเป็นธรรมและเพื่อป้องกันความแตกแยกในครอบครัว กฎหมายจึงถือให้ทรัพย์สินที่ฝ่ายชาย และหญิงลงทุนร่วมแรงทำมาหาได้ร่วมกันระหว่างที่อยู่กินด้วยกันเป็นทรัพย์สินรวม ชายและหญิงเป็นเจ้าของร่วมกันและมีสิทธิ์ในทรัพย์สินคนละครึ่ง การลงทุนร่วมแรงโดยหลักหมายถึงการที่ชายและหญิงร่วมกันทำการค้าหรือดำเนินกิจการโดยเฉพาะเจาะจงแล้วได้ทรัพย์สินมา และในกรณีที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอยู่บ้านช่วยดูแลบ้าน และครอบครัวโดยอีกฝ่ายเป็นผู้ทำการค้าก็ถือว่าร่วมแรงทำมาหากินเช่นกัน ในทางกลับกันถ้าทรัพย์สินต่างคนต่างทำมาหาได้แยกกันหรือเป็นมรดกที่ได้รับมาจะถือเป็นสิทธิของฝ่ายนั้นผู้เดียว อีกฝ่ายไม่มีส่วนแบ่งรวมทั้งไม่สามารถฟ้องขอแบ่งทรัพย์ได้
การทำพินัยกรรม
ถ้าทำพินัยกรรมสินส่วนตัวสามารถยกให้ใครก็ได้ตามความพอใจ แต่กับสินสมรส เนื่องจากสามีและภรรยามีสิทธิเป็นเจ้าของสินสมรสร่วมกันคนละครึ่ง จึงไม่มีอำนาจทำพินัยกรรมยกสินสมรสเกินกว่าส่วนของตัวเองให้แก่บุคคลอื่น ถ้าทำไปพินัยกรรมนั้นจะสมบูรณ์เฉพาะส่วนของตัวเองเท่านั้น
http://www.formumandme.com/article.php?a=473
Re: คุณลุงที่รักของหนูเปลี่ยนไป By: บาชีร Date: มิ.ย. 12, 2011, 10:38 PM
ส่วนเรื่องศาสนานั้นต่างกันครับ
Re: คุณลุงที่รักของหนูเปลี่ยนไป By: amad 254 Date: มิ.ย. 12, 2011, 10:49 PM
อัสลามุอลัยกุมครับ
ในเรื่องนี้ (ตามความคิดผม) ว่า ควรฟ้องร้องดำเนินการตามกฎหมาย ประเทศไทย แล้วเมื่อศาลได้ตัดสินและได้แบ่งมรดกตาม กฎหมายทุกประการ หลังจากนั้น ก็ให้ ผู้รู้ในด้านศาสนาทำการตัดสินอีกที หากทรัพย์สินที่ฝ่ายหญิงได้มากกว่าที่ศาสนากำหนดก็ให้คืน แต่ถ้าได้น้อยกว่าที่ศาสนากำหนด ก็ให้อีหม่าม ณ สถานที่อยู่ปัจจุบัน ใช้กฎหมายอิสลามบังคับภายหลัง แต่ถ้าไม่ได้ ก็ต้องยอมให้เป็นไปตามนั้น (ให้เป็นผลตอบแทนในวัน อาคิเราะห์) พร้อมกับขอดุอา ให้เขา(ผู้ชาย) กลับใจหันเข้าหาศาสนาเพื่อเป็นการดีสำหรับตัวเขาเอง หากเขากลับใจแน่นอนเขาก็ต้องคืนในกรรมสิทธิที่เป็นของฝ่ายหญิง
ไม่รู้ว่ากฎหมายอิสลาม เรื่องมรดกเขาใช้ ถึง พัทลุงหรือยัง เพราะเท่าที่รู้มา เขาใช้แค่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ส่วนการจะฟ้องร้องเรื่องมรดกใน 3 ชายแดนใต้ เรื่องนี้ ต้องให้ผู้รู้กฎหมายจริงเข้ามาบอกรายละเอียดอีกที แต่ถ้าสามารถฟ้องร้องตามกฎหมายอิสลามได้ ก็ดีครับไม่ต้องให้ผู้รู้หรืออีหม่ามมาบังคับผู้ชาย เพราะกฎหมายจะบังคับให้เลยครับ (ต้องปฎิบัติตามกฎหมาย)
วัสลามครับ
Re: คุณลุงที่รักของหนูเปลี่ยนไป By: rayes Date: มิ.ย. 13, 2011, 12:51 AM
ส่วนเรื่องศาสนานั้นต่างกันครับ
หากกฎหมายอิสลาม ไม่ทราบว่ากรณีนี้ ผู้หญิงเรียกร้องได้แค่ที่อยู่อาศัย ตามความสามารถของผู้ชายที่สามารถจัดหาให้ได้หรือเปล่าครับ
Re: คุณลุงที่รักของหนูเปลี่ยนไป By: hiddenmin Date: มิ.ย. 15, 2011, 07:14 AM
ส่วนเรื่องศาสนานั้นต่างกันครับ
สอบเสร็จแล้วบังบาชีรน่าจะลองเขียนบทความเกี่ยวกับเปรียบเทียบในประเด็นนี้ว่ากฏหมายไทยกับกฏหมายอิสลามต่างกันอย่างไรบ้าง
หรือว่ามีแล้ว...

Re: คุณลุงที่รักของหนูเปลี่ยนไป By: nada-yoru Date: ก.ย. 05, 2013, 08:14 PM
อ่านแล้วก็ยังคาใจ...ไม่มีใครเข้ามาต่อให้จบเลย...
ยังรออ่านอยู่นะคะ...
ปล.เรื่องกฎหมายอิสลามนั้น พัทลุงยังเข้ามาไม่ถึงค่ะ
คือ พื้นที่พัทลุงไม่มีสิทธิ์ขาดเรื่องกฎหมายอิสลามอย่าง 3 จังหวัดชายแดนใต้
แต่เราก็บังคับใช้กันเองค่ะ คือ รัฐไม่ให้เราใช้ แต่เราก็พยายามใช้กฎหมายอิสลาม
เพียงแต่ไม่ทั่วถึง แล้วแต่บ้านไหนจะบังคับใช้หรือเปล่าเท่านั้นค่ะ
เช่น เรื่องการแบ่งมรดก บางบ้านก็แบ่งสรรปันส่วนตามหลักศาสนา
ซึ่งบิดามารดาก็ต้องจัดการให้เสร็จสรรพก่อนจะกลับคืนสู่อัลลอฮฺ...
ซึ่งก็ต้องรีบทำตั้งแต่เนิ่นๆ...มีทรัพย์เท่าไหร่ก็พยายามแบ่งสรรปันส่วนกันก่อน
โดยไม่รอให้ศาลตัดสินสั่งให้แบ่งเมื่อเจ้าของทรัพย์ไม่อยู่
เพราะนั่นจะต้องเข้าสู่กระบวนการตามหลักกฎหมายบ้านเมืองนั้นๆไปค่ะ...
เรื่องกรณีของเจ้าของกระทู้ เป็นกรณีที่น่าสนใจเป็นอย่างมากเลยค่ะ
อยากให้ผู้รู้ช่วยให้ความรู้ และเปรียบเทียบในกรณีนี้ให้อ่านกันบ้างน่ะค่ะ...
ไม่รู้จะขอมากไปมั้ย...
แต่เมื่อได้อ่าน สิ่งหนึ่งที่อดคิดไม่ได้เลยก็คือ...จิตใจมนุษย์นี้ ยากแท้หยั่งถึง
ครั้งหนึ่งเคยรักกันมากมาย มีความดีเท่าไหร่ก็ทุ่มเทแสดงออกมา
แต่พอหมดรัก แม้แต่เศษเสี้ยวความดีที่เคยมีให้มาก็แทบไม่เหลือ...
มีอยู่วันนึง เคยถามพ่อว่า...พ่อ...ทำไมคนเราต้องหลอกลวงกันด้วยพ่อ
อยากได้อะไรทำไมไม่บอกกันตรงๆ ทำไมต้องหลอกเราด้วย...
ทำไมต้องแสร้งทำเป็นคนดีเพื่อตบตาคนอื่นด้วย
เป็นคนดีเสียเลยไม่ได้หรือพ่อ
ก็ในเมื่อรู้แก่ใจว่าทำดีแล้วเขาต้องรักต้องยอมเราแน่ๆ
ก็แล้วทำไมไม่ทำดี ไม่เป็นคนดีเสียเลย
ต้องแกล้งทำดีให้เหนื่อยเปล่าทำไม...แล้วต้องแกล้งเป็นคนจริงใจ
เพื่อหลอกตบตาคนอื่นเพื่ออะไร...ในเมื่อเลือกที่จะเป็นคนจริงใจจริงๆได้...
ทำไมมนุษย์ถึงได้คิดอะไรซับซ้อนซ่อนเงื่อนเหลือเกิน...
คิดง่ายๆทำง่ายๆไม่ได้หรือ...
พ่อเลยตอบว่า...
ก็ถ้ามนุษย์มันคิดจะเป็นคนดีกันทุกคน โลกก็คงสงบสุขไปนานแล้ว
และคงไม่มีคนมานั่งตั้งคำถามอยู่แบบนี้หรอก...
พ่อบอกว่า...คนที่เคยเป็นคนดี เวลาผ่านไปกลายเป็นคนชั่วก็มี
คนที่เคยทำชั่วมาตลอด ภายหลังกลับตัวมาเป็นคนดี
ก็มีมาก และคนชั่วที่ได้กลับตัวเป็นคนดีและสุดท้ายก็ได้กลับไป
ทำความชั่วอีกก็มีไม่น้อย...
จะเอาแน่เอานอนกับมนุษย์ได้เสียทีไหน...
สำคัญอยู่ที่เรานี่...ว่าเราเลือกจะเป็นอะไร...
อย่าปล่อยให้สิ่งไม่ดีทำให้เราหันเหจากความดีก็แล้วกัน...
เพราะการจะยืนหยัดบนความดีได้อย่างมั่นคงไปตลอดนั้น
ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ...
อัลลอฮฺเท่านั้นแหล่ะที่จะรู้ถึงจุดสุดท้ายของเราและเขา...