กระดานเสวนานักศึกษาอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ สนทนาศาสนธรรม
Pages: 123
Logical Fallacy By: Taqwacore Date: ก.ค. 25, 2011, 11:07 PM
 ใช้เหตุผลที่ไม่เกี่ยวข้องไปสนับสนุนจุดยืน หรือ ข้อสรุป ( conclusion) โดยเหตุผลชุดที่ถูกยกไปนั้นอาจจะเป็นความจริง แต่กระนั้นมันไม่สามารถถูกนำไปสนับสนุนจุดยืน หรือ ข้อสรุป นั้นๆได้ เพราะมันไม่ได้เกี่ยวกัน

 

ในหลายครั้งด้วยกันที่ เมื่อมีการนำเสนอ เหตุผล หรือ หลักฐาน เพื่อพิสูจน์เรื่องหนึ่ง เรื่องใด และ อีกฝ่าย ( เช่น ฝ่าย เอ )ไม่สามารถที่จะโต้ตอบ หรือหักล้างเหตุผล หรือ หลักฐานของอีกฝ่ายได้         ( เช่นฝ่าย บี )   ฝ่าย เอ ก็จะเริ่มยกข้อมูลต่างๆมามากมาย ที่เมื่อวิเคราะห์ดูแล้ว ข้อมูลต่างๆ เหล่านั้นไม่อาจจะนำไปหักล้าง ฝ่าย บี ได้เลย ทั้งนี้เพราะไม่มีความเกี่ยวข้องกัน  และที่ฝ่าย เอ ทำเช่นนี้ก็เพราะต้องการสร้างภาพให้เกิดความเข้าใจผิดว่า ตนเองสามารถหักล้าง หรือ โต้ตอบฝ่าย บีได้แล้ว ทั้งๆที่ในความเป็นจริงแล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย 

                ยกตัวอย่างเช่น นาย บี พูดว่า 1+1 เท่ากับ 2 สมมุติว่า นาย เอ ไม่เห็นด้วย แต่เนื่องจากตัวเองไม่สามารถหักล้างนาย บี ได้ จึงนำข้อมูลมานำเสนอว่า 5+9 เท่ากับ 14  จะเห็นได้ว่าข้อมูลที่นาย เอ นำมานั้นถูกต้อง แต่กระนั้นก็ตาม มันไม่สามารถถูกนำไปหักล้าง หลักฐานของนาย บีได้  เพราะมันไม่เกี่ยวข้องกัน

                ยกอีกตัวอย่างหนึ่งก็คือ สมมุติว่า นาย บี พิสูจน์แล้วว่า พระผู้เป็นเจ้า หรือพระผู้สร้างที่แท้จริงนั้นมีอยู่จริง  แต่เนื่องจากนาย เอ ไม่สามารถหักล้าง หรือแย้งหลักฐาน หรือ ข้อพิสูจน์ที่นาย บี ได้นำเสนอได้  นาย เอ จึงพูดขึ้นมาว่า “ มีความชั่ว เกิดขึ้นมากมายเต็มไปหมด แล้วจะมีพระเจ้าได้อย่างไร   มนุษย์ เรามีทั้งรวย และ จน แข็งแรง และ พิการ ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ” จะเห็นได้ว่า สิ่งที่นาย เอ พูดนั้นเป็นความจริง แต่ถึงแม้จะเป็นจริงก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถใช้เป็นเหตุผลหักล้าง ข้อมูล หรือ หลักฐานของนาย บี ได้  ทั้งนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกัน   

 

                ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างของการหักล้างที่ใช้ได้ เพราะมีความเกี่ยวข้องกัน:

 

นาย เอ ยืนยันจุดยืนของตนเองว่า ท่านศาสดานบีมุฮัมหมัดได้แต่งคัมภีร์อัล-กุรอานขึ้นมา โดยคัดลอกมาจาก คัมภีร์ไบเบิ้ล  แต่นาย บี แย้งขึ้นว่า “  จะเป็นไปได้อย่างไร ที่มุฮัมหมัดจะคัดลอกมาจากไบเบิ้ล เพราะเรื่องที่คัมภีร์ไบเบิ้ลผิดพลาด คัมภีร์ อัล-กุรอาน กลับกล่าวเอาไว้ได้ถูกต้อง  เช่น ไบเบิ้ลบอกโลกแบน แต่อัล-กุรอานบอกโลกกลม และเรื่องอื่นๆ ”  นาย เอ ก็แย้งนาย บี ขึ้นว่า “  ก็คัดลอกในส่วนที่เหมือนกันไง ระหว่างอัล-กุรอาน กับ ไบเบิ้ล” นาย บี ก็แย้งนาย เอ กลับว่า “ ถ้าการเหมือนกันเป็นการลอกกันมา นั่นก็หมายความว่า นักเรียนที่ทำข้อสอบปีนี้ ที่เขียนตอบลงกระดาษสอบ แล้วไปเหมือนกัน คำตอบของนักเรียนปีที่แล้ว  นั่นเท่ากับนักเรียนปีนี้ไปลอกคำตอบมาจากนักเรียนปีที่แล้วใช่ไหม? ” นาย บี ยังกล่าวกับนาย เอ อีกว่า “ ความเหมือนกันไม่ได้เป็นเหตุที่จะนำมาใช้ยืนยันได้ว่า เป็นการลอกกันมา เพราะมันไม่เกี่ยวข้องกัน” 

จะเห็นได้ว่า นาย บี สามารถหักล้าง หรือ แย้งเหตุผล ของนาย เอ ได้อย่างถูกต้อง โดยมีความเกี่ยวข้องกัน และเป็นเหตุผลซึ่งกันและกัน
Re: Logical Fallacy By: Taqwacore Date: ก.ค. 25, 2011, 11:16 PM
โปรดจำเอาไว้ว่า ไม่ว่าชีอะฮฺจะยกคำอธิบายอะไรมาก็แล้วแต่ หรือดูมีน้ำหนักหรือดูมีเหตุผลมากเพียงไรก็แล้วแต่   แต่ถ้าคำอธิบายที่ยกมานั้นไม่สามารถขจัดความขัดแย้งให้หมดไปได้ ก็ถือว่าความคำอธิบายนั้นเป็นเท็จ  เพราะฉะนั้นไม่ว่าพี่น้องชีอะฮฺจะยกคำอธิบายมามากมายสักเพียงใดเพื่อที่จะบอกว่า คำว่า “เมาลา” ในฮะดีษฆ่อดิรคุมนั้น จะต้องแปลว่า คอลีฟะฮฺหรือผู้นำ ก็ถือว่าฟังไม่ขึ้นและไม่มีน้ำหนัก เพราะมีหนักฐานที่ชัดเจนในเรื่องเดียวกันนี้ที่ยืนยันว่า คำว่าเมาลาในที่นี้ไม่มีทางที่จะแปลว่า ผู้นำ หรือ คอลีฟะฮฺได้ในฮะดีษฆ่อดิรคุมนี้ เพราะการแปลเช่นนี้ทำให้ขัดกันกับฮะดีษที่ชัดเจนในเรื่องเดียวกันที่บ่งบอกว่า ท่านอาลีไม่รู้เรื่องอะไรเลยในเรื่องที่ว่าตนเองได้รับแต่งตั้งเป็นผู้นำหรือคอลีฟะฮฺภายหลังจากท่านนบี และที่ยิ่งไปกว่านั้นในตำราที่เชื่อถือได้ของชีอะฮฺเอง นั้นคือ นะฮฺญุลบะลาเฆฺาะฮฺ ระบุเอาไว้ชัดว่าท่านอาลี ปฎิเสธที่จะรับตำแหน่งคอลีฟะฮฺ และนอกจากนั้นยังให้การยอมรับการเป็นคอลีฟะฮฺของท่านอบูบักรอีกต่างหาก

            เพราะฉะนั้นคำแปลที่ถูกต้องและไม่ทำให้เกิดความขัดแย้งกันเองก็คือ ‘ผู้เป็นที่รัก’  เพราะฉะนั้นบทเรียนที่เราได้รับก็คือ ไม่ว่าเราจะวิเคราะห์เรื่องอะไรก็แล้วแต่ ถ้าอีกฝ่ายได้หยิบยกคำอธิบายมาต่างๆนาๆ จะมากมายเพียงไรก็แล้วแต่เพื่อที่จะมาสนับสนุนจุดยืนของตนเอง  แต่ถ้าคำอธิบายเหล่านั้นไม่สามารถขจัดความขัดแย้งกันเองให้หมดลงไปได้ ก็ถือว่าคำอธิบายเหล่านั้นเป็นเท็จไปโดยปริยาย  เมื่อคำอธิบายเหล่านั้นต้องมาชนกับความจริงไม่อย่างหนึ่งอย่างใดในเรื่องเดียวกันนั้น การธิบายที่ถูกต้องคือ  จะต้องใช้หลักฐานอธิบายกันเองก่อนในกรณีที่มีหลักฐานหลายบทในเรื่องนั้น และ จะต้องไม่ไปค้านกับสิ่งที่เป็นความจริงในเรื่องเดียวกันนั้นอันจะทำให้เกิดความขัดแย้งกันโดยทันที
Re: Logical Fallacy By: Taqwacore Date: ก.ค. 25, 2011, 11:25 PM
ละเลย หรือมองข้าม การหักล้างเหตุผลหลักที่อีกฝ่ายได้นำเสนอ อาจจะเป็นเพราะมันเป็นเหตุผลที่ชัดเจน เด็ดขาด  แต่เลือกที่จะนำจุดหนึ่งจุดใดของอีกฝ่ายที่ดูเหมือนจะเป็นข้อด้อย หรือข้อเสียเปรียบ หรือเหตุผลที่อ่อนที่สุดมาเป็นประเด็น โดยสร้างภาพราวกับว่ามันเป็นประเด็นหลัก ทั้งๆที่มันไม่มีผลเลยถ้าสมมุติว่า อีกฝ่ายไม่สามารถหักล้าง หรือชี้แจงสิ่งนี้ได้ เพราะเหตุผลหลักของอีกฝ่ายยังคงอยู่ไม่ถูกหักล้าง  ที่ทำเช่นนี้ก็เพราะรู้ว่าตนเองไม่สามารถหักล้างเหตุผลหลักของอีกฝ่ายได้ เช่น เราพิสูจน์การมีอยู่ของพระผู้เป็นเจ้าให้กับอีกฝ่ายอย่างชัดเจนด้วยเหตุผลและหลักฐานต่าง แต่อีกฝ่ายกลับพูดว่า “ พระเจ้าใช้ให้ถือศิลอด ซึ่งทำให้มนุษย์ต้องทรมานกับการหิว กระหาย แล้วคุณจะให้ผมเชื่อในพระเจ้าได้อย่างไร ”  เมื่อเป็นเช่นนี้ให้เราพูดกลับไปในทำนองที่ว่า “ สมมุติผมเห็นด้วยว่าพระเจ้าทรมานมนุษย์ให้หิว แต่คำถามคือ แล้วไม่ไปหักล้างข้อพิสูจน์ผมตรงไหนว่าพระเจ้ามีอยู่จริง  คุณจะว่าอย่างไรกับหลักฐานและข้อพิสูจน์ที่ผมได้นำเสนอ ”  หรือให้เรายกตัวอย่างที่ไร้สาระอย่างเห็นได้ชัด เพื่อชี้ให้เขาได้เห็นว่าเขากำลังใช้เหตุผลที่ผิดๆอยู่ เช่น  สมมุติว่านาย ก. ขับรถฝ่าไฟแดง แต่สุดท้ายก็ถูกตำรวจจราจรจับ โดยตำรวจคนนั้นใช้มือตบไปที่ข้างรถของคนๆนั้นอย่างแรงด้วยความโกรธที่เขาฝ่าไฟแดง นาย ก.จึง พูดกับตำรวจว่า “ คุณกระทำสิ่งที่ไม่สมควร คุณตบรถผมทำไม ” จะเห็นได้ว่านาย ก. กำลังนำจุดที่ดูเหมือนเป็นข้อเสียเปรียบหรือข้อด้อยของตำรวจคนนั้นมาเป็นประเด็นหลัก โดยหวังที่จะใช้ประเด็นนี้ทำให้ตัวเองพ้นจากความผิดที่ฝ่าไฟแดง  แต่ตำรวจคนนั้น อาจจะกล่าวกลับไปว่า “ ใช่ผมตบรถคุณ แล้วมันทำให้คุณพ้นจากความผิดที่ฝ่าไฟแดงได้หรือเปล่า ? ”

 

                 หรือแม้แต่ใน เรื่อง การดูจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันเข้าบวช หรือ ออกบวช โดยรับเดือนที่อื่นที่ไม่ใช่ประเทศไทยด้วย โดยเราได้นำเสนอเหตุผล และหลักฐาน ที่ว่าทำไมเราจึงรับเดือนที่อื่นที่ไม่ใช่ประเทศไทยด้วย  แต่กระนั้น แทนที่อีกฝ่ายที่รับเดือนเฉพาะในประเทศ จะหักล้างหลักฐานและเหตุผลหลักๆที่เราใช้สนับสนุนจุดยืนของเราในเรื่องนี้  แต่กลับนำสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นจุดเสียเปรียบ เล็กๆน้อยๆ ของฝ่ายเรา  โดยการอ้างว่า “ ถ้ารับเดือนต่างประเทศ อย่างนี้ก็จะลำบาก เพราะ เราจะทำอาหารซุโฮรไม่ทัน ( ในกรณีเข้าบวช)  หรือ ประกาศให้คนอื่นๆรับรู้ไม่ทัน ถ้าเกิดเห็นเดือนก่อนเข้าเวลาซุบฮี เล็กน้อย หรือทำเตรียมอาหารไม่ทันเพื่อเลี้ยงคนมาละหมาดอีด     ( ในกรณีออกอีด) ถ้าเห็นเดือนก่อนเข้าเวลาซุบฮีเล็กน้อย   สมมุติว่าเราเห็นด้วยว่าที่กล่าวมานี้คือ จุดเสียเปรียบ หรือ จุดด้อยของฝ่ายเรา แต่คำถามคือ แล้วมันสามารถหักล้างหลักฐาน และเหตุผลที่เรานำเสนอได้อย่างไร ที่ว่าอนุญาตให้รับเดือนพื้นที่อื่นที่ไม่ใช่ประเทศไทยได้ ?   แต่ถ้าเราจะถามกลับแบบกวนๆ เราก็จะถามได้ว่า แล้วถ้าเกิดมีคนเห็นเดือนในประเทศไทย ที่จังหวัดอยุธยา ตอนใกล้เข้าเวลาซุบฮี่   และสำนักจุฬาก็ประกาศให้ทุกคนได้รับรู้  นั่นก็หมายความว่า ไม่ต้องถือศิลอดใช้ไหม  เพราะเตรียมตัวไม่ทัน ?  ย่อมไม่ใช่เช่นนั้นอย่างแน่นอน  เมื่อเป็นเช่นนี้ การอ้างว่าเตรียมตัวไม่ทันจึงไม่สามารถนำมาใช้เป็นเหตุผล ที่ไม่ต้องถือศิลอดได้   ซึ่งคล้ายกับ การที่คนๆหนึ่งตื่นขึ้นมาและพบว่าอีก 1 นาทีจะเข้าเวลาซุบฮี กินอาหารไม่ทันแน่  นั่นก็หมายความว่า อนุญาตให้เขาผู้นั้นไม่ต้องถือศิลอดใช่ไหม?  ไม่ใช่อย่างแน่นอน  แต่เขาผู้นั้นจะต้องถือศิลอดถึงแม้ว่าจะไม่ได้กินอะไรจากอาหารซุโฮรก็ตาม  ...

 

                 และ คำถามอีกอย่างสำหรับผู้ที่อ้างผู้นำก็คือ สมมุติว่า สำนักจุฬาได้ประกาศตอน 3 ทุ่มว่าไม่มีผู้ใดพบเห็นดวงจันทร์ วันพรุ่งนี้จึงยังไม่ใช่วันที่ 1 ของเดือนรอมฏอน  แต่ตอนประมาณตี 3 คนในหมู่บ้านที่เราอาศัยอยู่ เห็นจันทร์เสี้ยว และ พยายามบอกให้คนอื่นๆที่สามารถจะบอกได้ให้ได้รู้ว่า เห็นจันทร์เสี้ยวแล้ว และเราก็เป็นหนึ่งในคนที่ได้รับการยืนยันข่าวการเห็น  ถามว่า เรายังจะคงอ้างว่าตามผู้นำอีกหรือไม่ ทั้งๆที่ชัดเจนแล้วว่า จันทร์เสี้ยวได้ปรากฏในประเทศไทยแล้ว ? ... 
Logical Fallacy By: Taqwacore Date: ก.ค. 26, 2011, 09:34 AM
Irrelevant Conclusion (ignoratio elenchi)  เหตุผลที่ให้ไปไม่ตรงประเด็นในการที่จะใช้เป็นหลักฐานที่จะนำมาใช้สนับสนุนข้ออ้างของตนได้ /   ดูเหมือนว่าเหตุผลที่ยกมาอ้างนั้น จะไปสนับสนุนข้อสรุปของตนเอง  แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันไม่เกี่ยวกันเลย หรือมันไม่จำเป็นต้องเกี่ยวกันเลย 

Fallacy: Red Herring 

การเบี่ยงเบนเรื่องที่กำลังพูด หรือ ถกกันอยู่ไปยังประเด็นอื่นๆ ทั้งนี้เพื่อ ดึงความสนใจไปยังเรื่องอื่นๆที่ไม่เกี่ยวข้องกับประเด็นหลักที่กำลังพูดกันอยู่  แต่ผู้พูดแซร้งทำเป็นว่า เรื่องที่ตัวเองพูดอยู่นั้นเกี่ยวกับข้องกับหัวข้อเรื่อง ซึ่งจริงๆแล้วไม่ใช่ ...เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วหัวข้อหลักจึงถูกละเลยไป ทำให้หัวข้ออื่นเข้ามาแทนที่

*   ใช้เหตุผลที่ไม่เกี่ยวข้องไปสนับสนุนจุดยืน หรือ ข้อสรุป ( conclusion) โดยเหตุผลชุดที่ถูกยกไปนั้นอาจจะเป็นความจริง แต่กระนั้นมันไม่สามารถถูกนำไปสนับสนุนจุดยืน หรือ ข้อสรุป นั้นๆได้ เพราะมันไม่ได้เกี่ยวกัน
 
ในหลายครั้งด้วยกันที่ เมื่อมีการนำเสนอ เหตุผล หรือ หลักฐาน เพื่อพิสูจน์เรื่องหนึ่ง เรื่องใด และ อีกฝ่าย ( เช่น ฝ่าย เอ )ไม่สามารถที่จะโต้ตอบ หรือหักล้างเหตุผล หรือ หลักฐานของอีกฝ่ายได้         ( เช่นฝ่าย บี )   ฝ่าย เอ ก็จะเริ่มยกข้อมูลต่างๆมามากมาย ที่เมื่อวิเคราะห์ดูแล้ว ข้อมูลต่างๆ เหล่านั้นไม่อาจจะนำไปหักล้าง ฝ่าย บี ได้เลย ทั้งนี้เพราะไม่มีความเกี่ยวข้องกัน  และที่ฝ่าย เอ ทำเช่นนี้ก็เพราะต้องการสร้างภาพให้เกิดความเข้าใจผิดว่า ตนเองสามารถหักล้าง หรือ โต้ตอบฝ่าย บีได้แล้ว ทั้งๆที่ในความเป็นจริงแล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย 

   ยกตัวอย่างเช่น นาย บี พูดว่า 1+1 เท่ากับ 2 สมมุติว่า นาย เอ ไม่เห็นด้วย แต่เนื่องจากตัวเองไม่สามารถหักล้างนาย บี ได้ จึงนำข้อมูลมานำเสนอว่า 5+9 เท่ากับ 14 / 10+10 เท่ากับ 20 / 25+25 เท่ากับ  50 จะเห็นได้ว่าข้อมูลที่นาย เอ นำมานั้นถูกต้อง แต่กระนั้นก็ตาม มันไม่สามารถถูกนำไปหักล้าง หลักฐานของนาย บีได้  เพราะมันไม่เกี่ยวข้องกัน

   ยกอีกตัวอย่างหนึ่งก็คือ สมมุติว่า นาย บี พิสูจน์แล้วว่า พระผู้เป็นเจ้า หรือพระผู้สร้างที่แท้จริงนั้นมีอยู่จริง  แต่เนื่องจากนาย เอ ไม่สามารถหักล้าง หรือแย้งหลักฐาน หรือ ข้อพิสูจน์ที่นาย บี ได้นำเสนอได้  นาย เอ จึงพูดขึ้นมาว่า “ มีความชั่ว เกิดขึ้นมากมายเต็มไปหมด แล้วจะมีพระเจ้าได้อย่างไร   มนุษย์ เรามีทั้งรวย และ จน แข็งแรง และ พิการ ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ” จะเห็นได้ว่า สิ่งที่นาย เอ พูดนั้นเป็นความจริง แต่ถึงแม้จะเป็นจริงก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถใช้เป็นเหตุผลหักล้าง ข้อมูล หรือ หลักฐานของนาย บี ที่พิสูจน์ว่าพระเจ้ามีอยู่จริงได้  ทั้งนี้เพราะมันไม่มีความเกี่ยวข้องกัน   

   ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างของการหักล้างที่ใช้ได้ เพราะมีความเกี่ยวข้องกัน:

นาย เอ ยืนยันจุดยืนของตนเองว่า ท่านศาสดานบีมุฮัมหมัดได้แต่งคัมภีร์อัล-กุรอานขึ้นมา โดยคัดลอกมาจาก คัมภีร์ไบเบิ้ล  แต่นาย บี แย้งขึ้นว่า “  จะเป็นไปได้อย่างไร ที่มุฮัมหมัดจะคัดลอกมาจากไบเบิ้ล เพราะเรื่องที่คัมภีร์ไบเบิ้ลผิดพลาด คัมภีร์ อัล-กุรอาน กลับกล่าวเอาไว้ได้ถูกต้อง  เช่น ไบเบิ้ลบอกโลกแบน แต่อัล-กุรอานบอกโลกกลม และเรื่องอื่นๆ ”  นาย เอ ก็แย้งนาย บี ขึ้นว่า “  ก็คัดลอกในส่วนที่เหมือนกันไง ระหว่างอัล-กุรอาน กับ ไบเบิ้ล” นาย บี ก็แย้งนาย เอ กลับว่า “ ถ้าการเหมือนกันเป็นการลอกกันมา นั่นก็หมายความว่า นักเรียนที่ทำข้อสอบปีนี้ ที่เขียนตอบลงกระดาษสอบ แล้วไปเหมือนกัน คำตอบของนักเรียนปีที่แล้ว  นั่นเท่ากับนักเรียนปีนี้ไปลอกคำตอบมาจากนักเรียนปีที่แล้วใช่ไหม? ” นาย บี ยังกล่าวกับนาย เอ อีกว่า “ ความเหมือนกันไม่ได้เป็นเหตุที่จะนำมาใช้ยืนยันได้ว่า เป็นการลอกกันมา เพราะมันไม่เกี่ยวข้องกัน” 
จะเห็นได้ว่า นาย บี สามารถหักล้าง หรือ แย้งเหตุผล ของนาย เอ ได้อย่างถูกต้อง โดยมีความเกี่ยวข้องกัน และเป็นเหตุผลซึ่งกันและกัน

Re: Logical Fallacy By: Taqwacore Date: ก.ค. 26, 2011, 09:38 AM
Trivial objections (also referred to as hair-splitting, nothing but objections, barrage of objections and banal objections) hair-splitting

คือหนึ่งในการใช้เหตุผลที่ผิด โดยนำเอาประเด็นปลีกย่อยของเรื่องนั้นมาตั้งเป็นประเด็นหลัก เพื่อใช้โจมตีอีกฝ่าย ทั้งนี้เพราะตนเองไม่สามารถที่จะหักล้างประเด็นหลักๆหรือ เหตุผลหลักที่อีกฝ่ายได้นำเสนอได้  เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงเสาะแสวงหาส่วนที่ดูเหมือนจะเป็นจุดเสียเปรียบของอีกฝ่ายในประเด็นนั้น  แล้วพยายามสร้างภาพว่า นี่คือประเด็นหลัก แต่ในความจริงแล้วหาเป็นเช่นนั้นไม่ และถึงแม้ว่า อีกฝ่ายจะไม่สามารถหักล้าง หรือชี้แจง ประเด็นปลีกย่อยนี้ได้ ก็จะไม่มีผลอย่างใดต่อสิ่งที่เขาได้นำเสนอเป็นจุดยืน  ทั้งนี้เพราะ เหตุผล หรือ หลักฐานหลักยังคงยืนอยู่โดยไม่สามารถถูกหักล้างได้ 

   เช่น ตำรวจจับคนค้ายาเสพติดได้ โดยตำรวจพูดกับเขาว่า “ ไอ้สารเลว มึงกำลังทำลายชาติมึงรู้ตัวหรือเปล่า” คนค้ายาจึงพูดกับตำรวจกลับไปว่า “ คุณพูดกับประชาชนหยาบคายอย่างนี้หรือ ตอบผมมาทำไมคุณพูดจาหยาบคายอย่างนี้ ”

   จะเห็นได้ว่า คนค้ายาเสพติดไม่สามารถแก้ตัวในความผิดของตนเองได้ จึง หยิบเอาประเด็นปลีกย่อย ( การพูดหยาบคายของตำรวจ) มาสร้างเป็นประเด็นใหญ่ แต่กระนั้นมันก็ไม่สามารถไปหักล้างความจริงที่ว่า ตัวเองถูกจับเพราะค้ายาเสพติดได้   



Re: Logical Fallacy By: Taqwacore Date: ก.ค. 26, 2011, 10:19 AM
ข้อแนะนำสำหรับผู้ที่จะเข้ามาอ่านกระดานเสวนา หรือรับฟัง หรืออ่านหนังสือ ที่มีการโต้แย้งกันในทางวิชาการคือ

1. เรียนรู้กระบวนการวิเคราะห์ กระบวนการใช้เหตุผลที่ถูกต้อง 

2. เรียนรู้ประเภทหรือชนิดต่างๆของความผิดพลาดในการใช้เหตุผล   (Logical Fallacy)
 
การเรียนทั้งสองอย่างที่กล่าวมาให้เข้านั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยาก  รายละเอียดของทั้งสองนั้นมีมาก และตำราภาษาไทยก็มีจำกัดเป็นอย่างมาก แต่จะอยู่ในภาษาอังกฤษจำนวนมาก  และเป็นภาษาที่ค่อนข้างเข้าใจยาก แม้แต่แปลมาเป็นภาษาไทยแล้ว หลายๆคนก็ยังไม่เข้าใจ  แต่การเรียนรู้ทั้งสองที่กล่าวมา จะทำให้เราได้รับประโยชน์อย่างมากอย่างที่เราอาจจะไม่คาดคิดมาก่อนเลย   

Re: Logical Fallacy By: Taqwacore Date: ก.ค. 26, 2011, 10:52 AM
หลายครั้งด้วยกันในการโต้แย้งกันทางวิชาการ จะขอยกตัวอย่างว่าเป็นฝ่าย เอ กับ บี ต่อไปนี้คือ   ฝ่าย เอ ได้ยกหลักฐานไป 5 หลักฐาน โดยหลักฐานหลักมี 3 และหลักฐานรอง 2    ส่วนฝ่าย บี พยายามที่จะโต้แย้งหักล้าง เพียงหลักฐานเดียวคือหลักฐานที่ 4 และ 5  ซี่งเป็นหลักฐานรอง ซึ่งถึงแม้ว่าจะถูกหักล้างก็ไม่มีผลแต่อย่างใดต่อฝ่าย เอ ทั้งนี้เพราะหลักฐานหลักๆทั้ง 3 ยังไม่ได้ถูกหักล้างในทางวิชาการ  แต่ฝ่าย บี ใช้วิธีสร้างภาพราวกับว่าตนเองสามารถหักล้างฝ่าย เอ ได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว 
Re: Logical Fallacy By: Taqwacore Date: ก.ค. 26, 2011, 01:19 PM
สร้างภาพลบหรือปลุกปั่นความรู้สึกที่ไม่ดีให้เกิดขึ้นกับสิ่งหนึ่ง
[/b]

สร้างภาพลบหรือความรู้สึกที่ไม่ได้ให้เกิดขึ้นกับหลักฐานที่อีกฝ่ายยกมา เพื่อให้ผู้คนปฎิเสธหลักฐานนั้น  หรือ ยกหลักฐานของอีกฝ่ายมาโดยพยายามสร้างภาพลบหรือความรู้สึกที่ไม่ดีให้เกิดขึ้นกับหลักฐานนั้น ด้วยการปลุกปั่นทางอารมณ์ผู้คนให้เห็นด้วยกับภาพลบที่ตนเองสร้างนั้น  และใช้สิ่งนั้นเป็นเงื่อนไขในการโจมตีอีกฝ่าย เพื่อลดความน่าเชื่อถือ เช่นเดียวกันกับการที่ชาวต่างศาสนิกบางคนหรือหลายๆคน พยายามสร้างภาพลบให้เกิดขึ้นกับ การลงโทษประหารชีวิตในอิสลาม  เช่น การประหารพวกรักร่วมเพศ หรือ คนที่มีชู้  และใช้ตรงนี้การเป็นเงื่อนไขในการให้ผู้คนทั้งหลายปฎิเสธอิสลามว่าไม่ใช่ศาสนาที่แท้จริง มุฮัมหมัดไม่มีทางเป็นศาสนฑูตของพระผู้เป็นเจ้าได้อย่างแน่นอน  ทั้งๆที่การสร้างเงื่อนไขเช่นนี้ไม่ใช่เงื่อนไขที่แท้จริง หรือไม่ใช่เงื่อนไขบังคับเลย แต่ถูกสร้างภาพให้ดูเหมือนเป็นเงื่อนไขบังคับ

 สาเหตุที่ไม่ใช่เงื่อนไขที่แท้จริงก็เพราะมันไม่สามารถไปหักล้างหลักฐานที่ยืนยันความจริงของสิ่งนั้นๆได้ เช่น 1. หลักฐานที่ยืนยันถึงการมีอยู่ของพระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริง  2. ใช้ความจริงอย่างหนี่งที่เกิดขึ้นโดย พยายามสร้างพภาพลบให้เกิดขึ้นกับเรื่องการมีอยู่ของพระเจ้าด้วยความจริงนั้น   เพื่อที่จะตั้งเป็นเงื่อนไขขึ้นมาว่า พระเจ้าไม่มีอยู่จริง ทั้งๆที่ไม่เกี่ยวข้องกันเลย ความจริงที่ว่าก็คือ ในโลกเรามีความชั่วร้ายอยู่มากมายเต็มไปหมด มีคนถูกฆ่า ผู้หญิงถูกข่มขืน ถ้าพระเจ้าเมตตาจริงแล้วทำไมไม่ห้ามความชั่วเหล่านั้นไม่ให้เกิดขึ้น จะสังเกตุเห็นได้ว่า ผู้ที่อ้างสิ่งที่เป็นความจริงในข้อที่ สองมา ถึงแม้จะเป็นความจริงก็ตาม แต่มันไม่สามารถหักล้างหลักฐานที่ยืนยันถึงการมีอยู่ของพระผู้เป็นเจ้าได้เลย เพราะไม่เกี่ยวข้องกันโดยแท้จริง ถ้าจะให้ถูกต้องตามหลักการวิเคราะห์ ก็จะต้องนำหลักฐานที่มุ่งหักล้างไปโดยตรงที่หลักฐานที่ยืนยันการมีอยู่จริงของพระเจ้า


ตัวอย่างสิ่งที่จะถือว่าเป็นการหักล้างกันโดยตรงก็คือ ผู้ที่เชื่อในทฤษฎีวิวัฒนาการ เชื่อว่าสัตว์ทั้งหลายที่เป็นอยู่ในรูปร่างปัจจุบันนี้ได้ก็โดยผ่านการวิวัฒนาการมาจนป็นอย่างที่เห็นในปัจจุบัน เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นแมว หรือ สุนัข หรือ สัตว์ชนิดใดๆก็ตาม ถ้าย้อนหลังไปกลับไปในอดีตที่ยาวนานมันไม่ได้มีรูปร่างอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน  แต่กระนั้นก็ตามได้มีหลักฐานทางซากฟอสซิ้ลมากมาย ที่ยืนยันว่าสัตว์ในอดีตอันยาวนานเป็นสิบๆล้านปีที่ผ่านมามีรูปร่างเป็นอย่างไร ปัจจุบันก็เป็นเช่นนั้นด้วย ไม่แตกต่างอะไรกันเลย ซึ่งหลักฐานตรงนี้ถือว่าเป็นสิ่งที่ค้านกันได้อย่างโดยจุดกับความเชื่อของผู้ที่เชื่อในทฤษฎีวิวัตนาการที่บอกว่าสัตว์ทั้งหลายได้วิวัฒนาการมาโดยตลอด  นี่คือตัวอย่างของการที่ความจริงหนึ่งได้มุ่งหักล้างไปโดยตรงกับอีกสิ่งหนึ่ง อันเป็นเหตุทำให้สิ่งที่ถูกหักล้างต้องเป็นโมฆะไปโดยปริยาย 

 เพราะฉะนั้น ถ้าชีอะฮฺจะดิสเครดิตท่านอิหม่ามบุคอรีและอิหม่ามมุสลิมได้อย่างถูกต้องว่าเชื่อถือไม่ได้ ก็จะต้องนำหลักฐานที่เกี่ยวข้องกันอย่างแท้จริงมาให้ได้ที่จะมุ่งหักล้างได้อย่างตรงจุดไปที่หลักฐานที่ยืนยันความน่าเชื่อถือของสิ่งที่อิหม่ามบุคอรีและอิหม่ามมุสลิมได้นำมาบันทึกเอาไว้ในตำราของท่าน เช่น การพิสูจน์ตามกระบวนการในวิชาการของฮะดีษว่า ฮะดีษที่อิหม่ามบุคอรีหรืออิหม่ามมุสลิมได้บันทึกเอาไว้นั้น เชื่อถือไม่ได้อย่างไร 

การกระทำของชีอะฮฺก็เหมือนกับที่เรากล่าวกับนักวิชาการชาวตะวันตกที่พยายามดิสเครดิต  อัล-กุรอานว่าไม่ได้มาจากพระเจ้า  โดยหยิบยกโองการที่กล่าวเกี่ยวกับการญิฮาดที่ส่อไปในทางที่รุนแรงมาเป็นเหตุผลในการปฎิเสธอัล-กุรอาน โดยไม่ชี้แจงให้ตรงเรื่องว่าอัล-กุรอานเชื่อถือไม่ได้อย่างไร ถ้าจะให้ถูกต้องนักวิชาการตะวันตกเหล่านี้จะต้องหักล้างให้ได้โดยตรงและอย่างเป็นวิชาการต่อหลักฐานที่ยืนยันว่าอัล-กุรอานมาจากมนุษย์ไม่ได้อย่างแน่นอน ไม่ใช่นำข้อความที่สื่อไปในทางที่รุนแรงโหดร้ายมาใช้เป็นหลักฐานและเงื่อนไขเพื่อดิสเครดิตอัล-กุรอานว่าไม่ได้มาจากพระเจ้า เพราะมันได้เกี่ยวข้องกัน

Re: Logical Fallacy By: Al Fatoni Date: ก.ค. 27, 2011, 03:31 PM
อุบส์!
Re: Logical Fallacy By: Taqwacore Date: ก.ค. 28, 2011, 09:28 AM
Denying the Counterevidence (disregarding evidence against a claim)

ปฏิเสธ อย่างไร้เหตุผลต่อหลักฐานหรือเหตุผลโต้แย้งของอีกฝ่าย  หรือไม่ก็ สร้างภาพว่า ข้อโต้เหตุนั้นไม่มีน้ำหนักอะไรมาก  หรือ ไม่ก็พยายามอธิบายเหตุผลโต้แย้งนั้นอย่างขอไปที หรือ แบบปัดๆไปให้พ้นตัว  เพื่อสร้างภาพว่าตนเองได้ชี้แจงเหตุผลโต้แย้งนั้นแล้ว แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไม่ใช่เช่นนั้น  ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเหตุผลที่แย้งมานั้น สามารถหักล้างจุดยืนของตนเองได้ และตนเองไม่สามารถหักล้างเหตุผลหรือข้อโต้แย้งของอีกฝ่ายได้อย่างแท้จริง

หรือแม้แต่ในกรณีของชีอะฮฺก็เช่นกัน ฝ่ายซุนนะฮฺได้นำเสนอหลักฐานเพื่อยืนยันจุดยืน  ในเรื่องหนึ่งที่เป็นประเด็นถกเถียงกันอยู่ แต่หลายครั้งด้วยกันที่ฝ่ายชีอะฮฺปฏิเสธอย่างไร้เหตุผลต่อหลักฐานหรือเหตุผล ข้อโต้แย้งของฝ่ายซุนนะฮฺ หรือไม่ก็ สร้างภาพว่า ข้อโต้เหตุนั้นไม่มีน้ำหนักอะไรมาก  หรือ ไม่ก็พยายามอธิบายเหตุผลโต้แย้งนั้นอย่างขอไปที หรือ แบบปัดๆไปให้พ้นตัว  เพื่อสร้างภาพว่าตนเองได้ชี้แจงเหตุผลโต้แย้งนั้นแล้ว แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไม่ใช่เช่นนั้น   ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเหตุผลที่ฝ่ายซุนนะฮฺแย้งมานั้น สามารถหักล้างจุดยืนของฝ่ายชีอะฮฺได้ และตนเองไม่สามารถหักล้างเหตุผลโต้แย้งนั้นได้อย่างแท้จริง   

 
Re: Logical Fallacy By: Taqwacore Date: ก.ค. 28, 2011, 09:30 AM
Ignoring the Counterevidence (omits any reference to evidence a claim)

ละเลย หรือ มองข้าม หรือไม่ยอมกล่าวถึงเหตุผล หรือหลักฐานชิ้นสำคัญที่เกี่ยวข้องที่จะไปหักล้าง หรือ โต้แย้งกับจุดยืนของตนเอง โดยสร้างภาพ หรือทำราวกับว่า เหตุผล หรือ หลักฐานนั้นๆ ไม่มีน้ำหนักแต่อย่างใด แต่ในความเป็นจริงแล้วหาเป็นเช่นนั้นไม่ แต่เนื่องจากตนเองไม่สามารถหักล้าง หรือ โต้แย้ง เหตุผล หรือ หลักฐานนั้นได้ ข้อย้ำว่า จะต้องเป็เหตุผล หรือ หลักฐาน หรือ ข้อโต้แย้งที่เกี่ยวข้อง เพราะ บางทีอาจจะมีการนำเสนอ เหตุผล หรือ มีการโต้แย้ง โดยทราวกับว่า สิ่งเหล่านั้น สามารถหักล้าง หรือ โต้แย้ง อีกฝ่ายได้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว เหตุผล หรือ หลักฐานที่นำเสนอมานั้น ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกันเลยที่จะไปหักล้าง หรือ โต้แย้ง เหตุผล หรือ หลักฐานของอีกฝ่ายได้

เรามาดูข้อความต่อไปนี้กัน  “ รถจักรยานยนต์นั้น อันตราย เสียงก็ดัง นั่งได้ทีละแค่ 2 คน ฝนตกก็เปียก อากาศหนาวมากก็ขับขี่ลำบาก แถมยังต้องสวมหมวกนิรภัยที่น่ารำคาญ  ผมไม่รู้จริงๆเลยว่าทำไมหลายๆคนจึงขับขี่จักรยานยนต์ ”   จะเห็นได้ว่า ผู้ที่พูดเช่นนี้ ได้ละเลย หรือ มองข้าม หรือไม่ยอมกล่าวถึงเหตุผล ของผู้ขับขี่จักรยานยนต์ โดยสร้างภาพ หรือทำราวกับว่า เหตุผลเหล่านั้น ไม่มีน้ำหนักแต่อย่างใด  ไม่ว่าจะเป็น ความคล่องตัวมากกว่ารถยนตร์ ประหยัดเวลาเดินทางกว่า ทำความสะอาดได้เร็วกว่า  ราคาถูกกว่า หาที่จอดง่ายกว่า และหลายๆคนก็รู้สึกว่ามีความสุขมากกว่าที่ได้ขี่จักรยานยนต์   เพราะฉะนั้นการให้เหตุผลที่ดี และมีประสิทธิภาพ  จะต้องไม่ละเลยที่จะหักล้าง หรือ โต้แย้ง เหตุผล หรือ หลักฐานต่างๆที่จะเป็นปรปักษ์ ต่อจุดยืนหนึ่งๆที่เรายึดอยู่

 ตรรกข้อนี้เป็นอะไรที่สำคัญมาก เพราะสังคม หรือ แต่ละคนที่มีความเห็นไม่ตรงกัน แต่ละฝ่ายที่เชื่อหรือมีจุดยืนอย่างหนึ่งก็จะยึดมั่นในเหตุผลที่ตัวเองมีอยู่เพื่อสนันสนุนจุดยืนของตนเอง โดยที่แต่ละฝ่ายก็ ละเลย หรือ มองข้าม หรือ ไม่สามารถที่จะหักล้าง หรือ โต้แย้ง เหตุผล หรือ หลักฐานที่สนับสนุนจุดยืนของอีกฝ่ายได้ จึงทำให้สุดท้ายก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่าจุดยืนของฝ่ายใดมีน้ำหนัก หรือ ใกล้ชิดกับความจริงมากที่สุด หรือ เป็นจุดยืนที่ถูกต้อง เช่น ฝ่าย เอ มีหลักฐาน หรือ เหตุผล เพื่อมาสนับสนุนจุดยืนตนเอง 5 ชิ้น  ฝ่าย บี ก็มีหลักฐาน หรือ เหตุผล เพื่อมาสนับสนุนจุดยืนตนเอง 5 ชิ้น เช่นกัน  โดยที่ฝ่าย เอ หักล้าง หรือ โต้แย้ง เหตุผล หรือ หลักฐานที่สนับสนุนจุดยืนของฝ่ายบี ได้เพียง 3 ชิ้น  โดยละเลย หรือ มองข้ามอีก 2 ชิ้นที่เหลือ  และ ฝ่ายบีก็เช่นกันที่ สามารถ หักล้าง หรือ โต้แย้ง เหตุผล หรือ หลักฐานที่สนับสนุนจุดยืนของฝ่ายเอ ได้เพียง 3 ชิ้น โดยละเลย หรือ มองข้ามอีก 2 ชิ้นที่เหลือ  เมื่อเป็นเช่นนี้ แต่ละฝ่ายก็ยังมี หลักฐาน หรือ เหตุผล 2 ชิ้น  ที่จะทำให้แต่ละฝ่ายยังคงยึดมั่นในจุดยืนของตนเองนั้นๆอยู่  สุดท้ายก็หาข้อสรุปไม่ได้ว่า จุดยืนของฝ่ายใดมีน้ำหนัก หรือ ใกล้ชิดกับความจริงมากที่สุด หรือ เป็นจุดยืนที่ถูกต้อง ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนี้จึงทำให้เสียเวลา แทนที่จะหาข้อสรุปได้อย่างชัดเจนในเรื่องนั้นๆได้

Re: Logical Fallacy By: Taqwacore Date: ก.ค. 28, 2011, 10:14 AM
Straw Man   สร้างจุดยืนใหม่ที่ไม่แท้จริง ให้กับอีกฝ่าย ซึ่งเป็นจุดยืนที่สามารถถูกหักล้าง หรือโจมตีได้ง่าย  ทั้งที่ในความเป็นจริง อีกฝ่ายก็ไม่ได้มีจุดยืนเช่นนั้นเลย  ที่ทำเช่นนี้ก็เพื่อที่ตัวเองจะได้โจมตีจุดยืน (ที่ไม่เป็นจริง) ที่ตนเองสร้างขึ้นมาให้กับอีกฝ่าย  เพื่อสร้างภาพว่าตนเองสามารถหักล้างจุดยืนที่แท้จริงของอีกฝ่ายได้แล้ว ทั้งๆที่ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่เช่นนั้นเลย

เช่น นาย ก. พูดกับนาย ข. เมื่อไปเยี่ยมนาย ข.ที่ห้องว่า “ ห้องนายนี้ รก และสกปรก จริงๆ ตกลงจะให้ห้องรก และสกปรกอยู่อย่างนี้ตลอดทั้งปีใช่ไหม ? ” เราจะเห็นได้ว่า การที่ห้อง รก และสกปรก นั้นไม่ได้เป็นสิ่งเดียว หรือมีความหมายเดียวกับ การปล่อยห้องให้ รก และ สกปรกทั้งปี  มันไม่ได้เกี่ยวกันเลย  คำถามคือ จำเป็นด้วยหรือที่ถ้า นาย ก. ปล่อยให้ห้อง รก และสกปรก แล้วจะหมายความว่า เขาจะต้องปล่อยให้มัน รก และสกปรกทั้งปี...เปล่าเลย มันไม่ได้เกี่ยวกันเลย           

หรือ สมมุติว่า คุณ อิบรอฮีม พูดกับ คุณ ธงไชยว่า  “ ผมไม่เห็นด้วย กับการ ที่คุณจะให้ธนาคารมาติดตั้งตู้ ATM และเก็บค่าเช่าที่ เดือนละ 4 พันบาทต่อเดือน เพราะ เท่ากับคุณมีส่วนช่วยในเรื่องระบบดอกเบี้ย ” คุณธงไชยก็พูดกับ คุณ อิบรอฮีมว่า “ นี่ ตกลงคุณจะให้ผมนั่งงอมือ งอเท้า ไม่ต้องทำมาหากินเลยหรืออย่างไร คนเราต้องการช่องทางในการทำมาหากิน” จะเห็นได้ว่า คุณ ธงไชย ได้นำเสนอ หรือ ทึกทักจุดยืนของคุณ อิบรอฮีมผิดไป เพราะถ้าเราจะถามกลับว่า การไม่เห็นด้วยให้มีการติดตั้งตู้ ATM เพื่อเก็บค่าเช่า นั้น มีความหมายเดียวกับ การนั่งงอมือ งอเท้า โดยไม่ยอมทำมาหากิน อย่างนั้นหรือ? คำตอบคือเปล่าเลย มันไม่ได้เกี่ยวกันเลย

หรือ เช่น นาย อารีฟ พ่ายแพ้นาย ก.ในการถกกันในเรื่องหนึ่ง จึงได้พูดขึ้นว่า    “ นาย ก. เรียนตรรก หรือ ขบวนการใช้เหตุผลอย่างถูกต้องไป ก็เพื่อ เอาไว้รังแกคนอื่น กดคนอื่นให้ต่ำลง ” โดยมองว่าแต่ละครั้งที่มีการถกกันในเรื่องใดๆ นาย ก. ชนะทุกครั้งในการนำเสนอเหตุผลเพื่อสนับสนุนจุดยืนของตนเอง  แต่จุดยืน หรือ เจตนาที่แท้ของนาย ก. ที่เรียนตรรก มาไม่ได้เป็นเช่นที่นาย อามีนกล่าวเลย แต่เรียนเพื่อ ที่จะแยกถูกออกจากผิด แยกความจริงออกจากความเท็จ ทำให้สัจธรรมความจริง ปรากฏขึ้นอย่างชัดเจนกับอีกฝ่าย โดยมิได้มีเจตนา ไปรังแกคนอื่น หรือ กดคนอื่นให้ต่ำลงแต่อย่างใด เพียงแต่ นาย ก. มีความจำเป็นที่จะต้องชี้แจงความจริง และ โต้แย้งในสิ่งที่ไม่เป็นความจริง หรือ ความผิดพลาดในการใช้เหตุผล  ซึ่งอาจจะทำให้ต้องเกิดการเสียความรู้สึกกับอีกฝ่าย ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องทำใจ เมื่อมีการถกในประเด็นหนึ่งประเด็นใดที่ขัดแย้งกัน

เพราะฉะนั้นเราจะต้องระวังและสังเกตุ อีกทั้งจับประเด็นดูให้ดีว่ามีการกระทำผิดในการใช้เหตุผลข้อนี้หรือไม่  นั้นคือ นาย ก. มองข้ามจุดยืน หรือ เหตุผลที่แท้จริงของนาย ข.  และแทนที่จุดยืนหรือเหตุผลที่แท้จริงของนาย ข.  ด้วยกับ สิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกันเลย หรือ สิ่งที่บิดเบือนไปจากความเป็นจริง ซึ่งง่ายต่อการถูกหักล้าง หรือโต้แย้ง โดยทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิดไปว่า จุดยืน หรือ เหตุผลที่แท้จริงของนาย ข. เป็นเช่นนั้นจริง  แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่เลย  ที่ทำเช่นนี้ก็เพื่อที่จะได้สร้างภาพว่าตนเองสามารถหักล้าง หรือโต้แย้งนาย ข. ได้แล้ว แต่ในความเป็นจริงแล้ว นาย ก. รู้ตัวว่าไม่สามารถหักล้างหรือโต้แย้งหลักฐาน หรือเหตุผลที่แท้จริงของนาย ข. ได้ ก็เลยต้องใช้วิธีไม่ซื่อสัตย์นี้ในการสร้างภาพ ซึ่งคนที่วิเคราะห์ไม่เป็น จับประเด็นไม่เป็น หรือไม่ได้เรียนรู้กระบวนการใช้เหตุผลที่ถูกต้องมาดีพอ หรือไม่ได้เรียนรู้การตรวจจับความผิดพลาดในการใช้เหตุผลประเภทต่างๆมา ก็อาจจะหลงเข้าใจไปว่า นาย ก. สามารถโต้ตอบ หักล้าง นาย ข. ได้แล้ว แต่จริงๆแล้วเปล่าเลย     

Re: Logical Fallacy By: As-Zaleek Date: ก.ค. 28, 2011, 10:27 AM
 :salam:

สิ่งหนึ่งที่ผมได้พบเกี่ยวกับคนชอบใช้ตรรกะโดยค่อยไม่มีความรู้ศาสนา...ถือว่าเป็นอันตรายและสร้างความเข้าใจผิดกับผู้คนทั่วไป...

พี่น้องลองอ่านดูครับ

และ คำถามอีกอย่างสำหรับผู้ที่อ้างผู้นำก็คือ สมมุติว่า สำนักจุฬาได้ประกาศตอน 3 ทุ่มว่าไม่มีผู้ใดพบเห็นดวงจันทร์ วันพรุ่งนี้จึงยังไม่ใช่วันที่ 1 ของเดือนรอมฏอน  แต่ตอนประมาณตี 3 คนในหมู่บ้านที่เราอาศัยอยู่ เห็นจันทร์เสี้ยว และ พยายามบอกให้คนอื่นๆที่สามารถจะบอกได้ให้ได้รู้ว่า เห็นจันทร์เสี้ยวแล้ว และเราก็เป็นหนึ่งในคนที่ได้รับการยืนยันข่าวการเห็น  ถามว่า เรายังจะคงอ้างว่าตามผู้นำอีกหรือไม่ ทั้งๆที่ชัดเจนแล้วว่า จันทร์เสี้ยวได้ปรากฏในประเทศไทยแล้ว ? ... 

เมื่ออ่านดูแล้ว...เขาใช้ตรรกะเกี่ยวกับเรื่องศาสนาถูกต้องแล้วหรือไม่?  จุฬาฯ ประกาศ 3 ทุ่มว่าไม่เห็นเดือน  แต่ตอนตี 3 มีคนเห็นเดือน!?...ดังนั้นการเห็นเดือนเสี้ยวได้ปรากฏในประเทศไทยอย่างชัดเจนแล้ว!

แล้วในศาสนาอิสลามมีหลักการเห็นเดือนตอนตี 3 ด้วยหรือ?!
Re: Logical Fallacy By: Taqwacore Date: ก.ค. 28, 2011, 10:50 AM
การสร้างภาพอีกประเภทหนี่ง
ถามคำถามที่ไม่ที่เกี่ยวกับเรื่องที่กำลังถกเถียงกันอย่างแท้จริง ถึงแม้ว่าจะเป็นคำถามในเรื่องเดียวกันก็ตาม ในหลายๆกรณีด้วยกันเราจะพบว่า เมื่อ นาย ก. สามารถโต้ตอบหักล้างหลักฐานหรือเหตุผลของนาย ข. นำเสนอมาได้อย่างถูกต้อง ตรงประเด็น ตามกระบวนการใช้เหตุผลที่ถูกต้อง  เมื่อ นาย ข. รู้ว่าตนเองไม่สามารถโต้ตอบหรือหักล้าง นาย ก. กลับได้อย่างถูกต้องและตรงประเด็น  นาย ข. จึงใช้วิธีการถามคำถามที่เพื่อหวังจะสร้างภาพว่าตนเองสามารถหักล้าง โต้แย้งนาย ก. ได้แล้ว  ถ้านาย ก. ตอบคำถามไม่ได้  ทั้งๆที่ถ้าวิเคราะห์ดูแล้ว คำถามที่ถามนั้นไม่ได้เกี่ยวอะไรกันโดยตรง ข้อย้ำว่าโดยตรง กับเรื่องที่กำลังถกกันอยู่เลย และถ้าตอบไม่ได้ก็จะไม่มีผลอะไรเลยต่อหลักฐานและเหตุผลที่นาย ก. นำมาโต้แย้งนาย ข. เพราะมันไม่เกี่ยวข้องกันอย่างแท้จริง เพราะฉะนั้นถ้าผู้ใดเจอสถานการณ์เช่น นาย ก. แล้วแนะนำให้ถามคำถามกลับไปว่า:

1. คำถามที่คุณถามมานั้น คำตอบของมันเกี่ยวข้องกันโดยตรงอย่างแท้จริงหรือไม่กับเรื่องที่เรากำลังถกกันอยู่
2. ถ้าตอบว่าเกี่ยวข้อง เช่นนั้นช่วยพิสูจน์มาก่อนว่ามันจะเกี่ยวกันอย่างแท้จริงอย่างไร
3. และ มัน (คำตอบที่จะได้มา) จะสามารถหักล้างหลักฐานหรือเหตุผลที่ผมได้นำเสนอไปหรือไม่อย่างไร เพราะถ้าคำตอบที่จะได้มาจากคำถามนั้น ไม่มีผลอะไรที่จะมาหักล้างหลักฐานหรือเหตุผลของ นาย ก. ก็เสียเวลาเปล่า และ ถือว่านอกเรื่อง และพยายามเบี่ยงเบนประเด็น และสร้างภาพ   

และเช่นกัน จะมีการสร้างภาพให้ตนเองดูดี โดย นาย ข. พูดกับนาย ก. ประมาณว่า “ คุณจะต้องกลับไปอ่านหนังสือเล่มนั้น เล่มนี้มาก่อน เพื่อคุณจะได้มีความเข้าใจที่ดีกว่านี้ ถูกต้องกว่านี้”  หรือ “ คุณได้อ่านหนังสือเล่มนั้น เล่มนี้หรือยัง ถ้ายังไม่ได้อ่านผมแนะนำให้ไปอ่านมาก่อนที่จะถกกันในเรื่องนี้จะดีกว่า” หรือนาย ข. อาจจะพูดอะไรประมาณนี้มาเพื่อสร้างภาพ ซึ่งเมื่อเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ ก็ให้ถามคำถามทั้ง 3 ข้อข้างต้นกลับไปโดยปรับเนื้อหาในการถาม คือ:

1. เนื้อหาที่อยู่ในหนังสือเล่มที่คุณจะให้ผมอ่านนั้น มันเกี่ยวข้องกันโดยตรงอย่างแท้จริงหรือไม่กับเรื่องที่เรากำลังถกกันอยู่
2. ถ้าตอบว่าเกี่ยวข้อง เช่นนั้นช่วยพิสูจน์มาก่อนว่ามันจะเกี่ยวกันอย่างแท้จริงอย่างไร
3. และ เนื้อหาของหนังสือเล่มที่คุณต้องการให้ผมอ่านนั้นมันจะสามารถหักล้างหลักฐานหรือเหตุผลที่ผมได้นำเสนอไปหรือไม่อย่างไร เพราะถ้าไม่มีผลอะไรที่จะมาหักล้างหลักฐานหรือเหตุผลของ นาย ก. ก็เสียเวลาเปล่า และ ถือว่านอกเรื่อง และพยายามเบี่ยงเบนประเด็น และสร้างภาพ

หรืออาจจะมีการถามคำถามในลักษณะที่ส่อให้รู้ว่าเป็นการตั้งเงื่อนไขเพื่อสร้างภาพ โดยสื่อว่าถ้าเราตอบคำถามนั้นๆไม่ได้ก็จะถือว่าเราพ่ายแพ้ในการถกเถียงในประเด็นนั้นๆ  วิธีจัดการก็คือ ให้เราถามคำถามทั้ง 3 ข้างต้นโดยอาจจะมีการปรับคำถามให้เข้ากับคำถามที่อีกฝ่ายถามมาเพื่อสร้างภาพ

Re: Logical Fallacy By: As-Zaleek Date: ก.ค. 28, 2011, 12:10 PM
ตรรกะของคนไม่รู้ศาสนากับความพยายามสร้างภาพอีกประเภทหนึ่ง

คือการที่ นาย ก. พยายามใช้เหตุผลมาเกี่ยวข้องกับเรื่องศาสนาเพื่อมาสร้างภาพว่าตนเองมีความชอบธรรมตามหลักศาสนาแบบผิด ๆ...

เช่น นาย ก. บอกว่าผู้กำลังถือศีลอดนั้น  เขาต้องการเดินทางไกลโดยรถไฟในตอนบ่าย...เมื่อเขาเดินทาง  เขาจึงทำการละศีลอด  เพราะผู้เดินทางนั้นอนุญาตให้ละศีลอดได้...ดังนั้นนาย ก. จึงมีความชอบธรรมที่จะละศีลอด

แต่เขาไม่รู้ว่าหลักศาสนานั้น...ผู้เดินทางที่ไม่จำเป็นต้องถือศีลอดในช่วงการเดินทาง คือการเดินทางที่เริ่มก่อนแสงอรุณขึ้น...ดังนั้นเมื่อทำการวิเคราะห์คุณสมบัติของนาย ก. ก็จะทราบว่า  ผลการไม่รู้ศาสนานั้น...หลักคิดหรือเหตุผลไม่สามารถนำมาเป็นบรรทัดฐานได้และไม่ถูกไว้วางใจ  แม้บางทีเขาจะคิดเหตุผลที่บังเอิญถูกต้องก็ตาม...

ถ้าหากเสวนาร่วมกับคนประเภทนี้  สิ่งที่จะได้รับก็คือ...

1- เหตุผลจะอยู่ก่อนหลักศาสนา

2- เขาจะคิดว่า  สิ่งที่ตนเองปักธงไว้นั้น  ถูกต้องเสมอ..
 
3- เมื่อคนอื่นไม่สามารถแย้งได้ตามเป้าหมายของเขา  ก็จะสร้างภาพกับผู้อื่นว่าเลี่ยงประเด็น...เพื่อพยายามปกปิดข้อบกพร่องของตนเอง

4- เขาจะสนองความคิดของตนเองเพื่อรับใช้เหตุผลที่เขาฟันธงไว้แม้จะขัดกับหลักการก็ตาม...

5- พยายามจับผิดผู้อื่นเพราะคิดว่าเหตุผลตนเองเท่านั้นที่ถูกต้อง...

6- เขาจะชอบวางเงื่อนไขและสร้างกฎเกณฑ์ให้ผู้อื่นทำตาม  แต่เมื่อผู้อื่นต้องการมีเงื่อนไขร่วมกันด้วย...เขาจะปิดประตูไม่ตอบรับใด ๆ

7- จะถกเสวนากันไม่รู้เรื่องและไม่ไปสู่สัจธรรม...เพราะการใช้เหตุผลที่อยู่บนพื้นฐานศาสนากับเหตุผลที่ไม่เข้าใจพื้นฐานศาสนานั้น..มันคนละทางกัน...

ผลกระทบต่อบุคคลทั่วไป...คือคนไม่รู้ศาสนานั้นอาจจะหลงเชื่อและคล้อยตาม...ส่วนผู้ที่รู้หลักศาสนา  ก็จะสามารถแยกแยะสิ่งถูกผิดได้  ด้วยเหตุนี้  เขาจึงพยายามหาความชอบธรรมแก่ตนเอง...โดยให้ผู้ไม่รู้ศาสนาหรือต่างศาสนาทำการตัดสินในเหตุผลให้ความคิดของตนเพื่อสร้างภาพให้ดูดีนั่นเอง...