ผู้เขียน หัวข้อ: มุสตอละฮุ้ลหะดีษ (หลักพิจารณาอัลหะดีษ) ตอนที่ 12  (อ่าน 2913 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Ahlulhadeeth

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 27
  • Respect: +4
    • ดูรายละเอียด

วิชา มุสตอละฮุ้ลหะดีษ (หลักพิจารณาอัลหะดีษ) ตอนที่ 12


โดย รอฟีกี มูฮำหมัด



9.8.ประเภทต่างๆของหะดีษด่ออีฟ


1.หะดีษด่ออีฟที่เกิดขึ้นเนื่องจากความบกพร่องของสายรายงาน :

1.1.หะดีษมู่อัลลั๊ก ( المعلق ) หมายถึง หะดีษที่ผู้รายงานคนหนึ่ง หรือ มากกว่า ได้ตกไปจากต้นของสายรายงาน (นับตั้งแต่ผู้รายงานคนแรก ไล่ไปจนกระทั่งถึงซอฮาบะห์)

1.2.หะดีษมุรซั้ล ( المرسل ) หมายถึง หะดีษที่ตาบีอีนเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นตาบีอีนรุ่นเยาว์ หรือ ตาบีอีนรุ่นอาวุโส ได้รายงานจากท่านร่อซู้ล(ซล.)

1.3.หะดีษมุงก่อเตี๊ยะอ์ ( المنقطع ) หมายถึง หะดีษที่ผู้รายงานคนหนึ่ง หรือ มากกว่า ได้ตกไปจากตอนกลางของสายรายงาน และเป็นการร่วงที่ไม่ติดต่อกัน

1.4.หะดีษมัวะอ์ด้อล ( المعضل ) หมายถึง หะดีษที่ผู้รายงานสองคน หรือ มากกว่า ได้ตกไปจากตอนกลางของสายรายงาน และเป็นการร่วงที่ติดต่อกัน

1.5.หะดีษมู่ดั้ลลัส ( المدلس ) หมายถึง หะดีษที่ในสายรายงานมีผู้รายงานที่ปิดบังอำพราง ได้แก่ หะดีษที่มีการรายงานในลักษณะที่มีการปกปิดตัวผู้รายงาน

1.6.หะดีษมู่อันอัน ( المعنعن ) หมายถึง หะดีษที่ในสายรายงานมีผู้รายงานคนหนึ่ง หรือ มากกว่า ได้รายงานมาจากบุคคลที่อยู่ก่อนของเขา โดยใช้คำว่า "อัน" ( عن ) "จาก"

1.7.หะดีษมู่อันอัน หรือ หะดีษมู่อันนัน ( المؤنن / المأنأن ) หมายถึง หะดีษที่ในสายรายงานมีผู้รายงานคนหนึ่ง หรือ มากกว่า ได้รายงานมาจากบุคคลที่อยู่ก่อนของเขา โดยใช้คำว่า "อันน่า" ( أن ) "แท้จริง"


2.หะดีษด่ออีฟที่เกิดขึ้นเนื่องจากความบกพร่องของนักรายงานทางด้านความจำ :

2.1.หะดีษมู่อัลลัล ( معلل ) หมายถึง หะดีษที่ถูกพบว่ามีความบกพร่องในการเป็นหะดีษซอเฮี๊ยะห์ เนื่องจากมีการสับสนในการรายงาน ซึ่งเมื่อดูภายนอกแล้ว ไม่พบว่ามีข้อตำหนิ

2.2.หะดีษมุดรอจญ์ ( مدرج ) หมายถึง หะดีษที่มีการเปลี่ยนแปลงสายรายงานจากคนเดิมไปเป็นคนอื่น หรือ ถูกนำไปแทรกในมะตัน ด้วยสิ่งที่ไม่ใช่หะดีษ

2.3.หะดีษมักลูบ ( مقلوب ) หมายถึง หะดีษที่มีการสับเปลี่ยนคำบางคำในสายรายงาน หรือ ในตัวบท จากก่อนเป็นหลัง หรือ จากหลังเป็นก่อน หรือ เป็นการการสับเปลี่ยนตัวบทของสายรายงานหนึ่งไปเป็นอักสายรายงาน ที่มิใช่ตัวบทหะดีษนั้นๆ

2.4.หะดีษมุดฎ่อริบ ( مضطرب ) หมายถึง หะดีษที่มีการสับสนทางด้านของการรายงาน ได้แก่ หะดีษที่มีการรายงานอย่างหลากหลาย ซึ่งทุกสายรายงานนั้น มีสถานภาพเท่าเทียมกัน โดยไม่สามารถให้น้ำหนักไปทางหะดีษหนึ่งหะดีษใด และไม่สามารถที่จะรวมตัวบททั้งสองนั้นเข้าด้วยกันได้

2.5.หะดีษชาซ ( شاذ ) หมายถึง หะดีษที่มีการรายงานจากนักรายงานที่มีความน่าเชื่อถือน้อยกว่า(ระดับซิเกาะห์) ได้รายงานขัดแย้งกับผู้รายงานอีกคนที่มีความน่าเชื่อถือมากกว่า

2.6.หะดีษมู่เซาะฮัฟ ( مصحف ) หมายถึง หะดีษที่มีการเปลี่ยนแปลงคำ หรือ ตัวอักษร ที่เกิดขึ้นในตัวบท หรือ สายรายงาน ไปสู่คำ หรือ อักษรอื่นๆ ซึ่งมิใช่คำ หรือ อักษร ที่นักรายงานที่มีความน่าเชื่อถือได้รายงานไว้

2.7.หะดีษมุหัรร๊อฟ ( محرف ) หมายถึง หะดีษที่มีการเปลี่ยนแปลงสระของคำที่เกิดขึ้นในตัวบท หรือ ในสายรายงาน แต่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงตัวอักษร


3.หะดีษด่ออีฟที่เกิดขึ้นเนื่องจากความบกพร่องของนักรายงานทางด้านคุณธรรรม :

3.1.หะดีษเมาดัวะอ์ ( موضوع  ) หมายถึง หะดีษที่ถูกแต่งขึ้น หรือ ถูกสร้างขึ้น และมีการพาดพิงการโกหกไปสู่ท่านร่อซู้ล(ซล.)

3.2.หะดีษมัตรูก ( متروك ) หมายถึง หะดีษที่ถูกรายงานโดยนักรายงานที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นคนโกหก 

3.3.หะดีษมุงกัร ( منكر ) หมายถึง หะดีษที่ถูกรายงานโดยนักรายงานที่มีความผิดพลาดอย่างน่าเกลียด หรือ หลงลืมอย่างมาก หรือ มีความประพฤติชั่วที่เปิดเผย และในอีกคำนิยามหนึ่ง ก็คือ หะดีษที่รายงานจากนักรายงานที่มีความน่าเชื่อถือน้อยกว่า(ระดับด่ออีฟ) ได้รายงานขัดแย้งกับผู้รายที่มีความน่าเชื่อถือมากกว่า(ระดับซิเกาะห์)

และต่อไป ข้าพเจ้าจะได้กล่าวถึงหะดีษแต่ละประเภทอย่างละเอียด อินชาอั้ลเลาะห์ และขอพึ่งพาต่อพระองค์เพียงพระองค์เดียว


9.9.ประเภทของหะดีษด่ออีฟที่เกิดขึ้นเนื่องจากความบกพร่องของสายรายงาน

1.หะดีษมู่อัลลั๊ก ( المعلق ) : คำว่า "มู่อัลลั๊ก" ( المعلق ) นั้น ในแง่ของภาษา หมายถึง "สิ่งที่ถูกเกี่ยว" หรือ "สิ่งที่ถูกแขวน" และในแง่ของวิชาการ ก็คือ "หะดีษที่ผู้รายงานคนหนึ่ง หรือ มากกว่า ได้ตกไปจากตอนต้นของสายรายงาน ซึ่งเป็นการตกไปโดยชัดเจน โดยไม่ได้ถูกปกปิด หรือ ซุ่มซ่อนไว้"

หมายเหตุ : คำว่า "ตอนต้นของสายรายงาน" นั้น หมายถึง "ครูของมู่ซอนนิฟ(ผู้ประพันธ์หนังสือ)" และคำว่า "ท้ายของสายรายงาน" ก็คือ "ซอฮาบะห์"

รูปแบบและตัวอย่างของหะดีษมูอัลลั๊ก : หะดีษมู่อัลลั๊กนั้น มีอยู่ด้วยกัน 3 รูปแบบ ก็คือ

1.หะดีษที่ผู้ประพันธ์หนังสือ หรือ ผู้รายงานหะดีษท่านแรก ได้รายงานหะดีษโดยตัดสายรายงานทั้งหมดออกไป และก็กล่าวว่า ท่านร่อซู้ล(ซล.)ทรงกล่าวว่า... เช่น หะดีษที่ท่านอีหม่ามบุคอรีย์(รฮ.)ได้รายงานถึงคำกล่าวของท่านนบี(ซล.)เกี่ยวกับการเริ่มต้นประจำเดือนของสตรีว่า

(( قال البخاري : قال النبيّ صلى الله عليه وسلم : (( هَذَا شَيْءٌ كَتَبَهُ اللَّهُ عَلَى بَنَاتِ آدمَ

ท่านอีหม่ามบุคอรีย์ได้รายงานว่า ท่านนบี(ซล.)ทรงกล่าวว่า "นี่คือ สิ่งที่อัลเลาะห์ทรงกำหนดแก่บรรดาลูกผู้หญิงของท่านนบีอาดัม" (บันทึกโดย ท่านอีหม่ามบุคอรีย์ บทที่ว่าด้วย การเริ่มต้นของเฮด และคำพูดของท่านนบี(ซล.)ที่ว่า นี่คือ สิ่งที่อัลเลาะห์ทรงกำหนดแก่บรรดาลูกผู้หญิงของท่านนบีอาดัม และคำพูดนี้ถูกบึนทึกเช่นกันในหะดีษที่ 294 และ 305) 

ข้อสังเกตุ : หะดีษบทนี้ เป็นหะดีษมู่อัลลั๊ก เนื่องจากผู้บันทึกหะดีษ(คือ ท่านอีหม่ามบุคอรีย์)ได้กล่าวเพียงท่านร่อซู้ล(ซล.)เท่านั้น โดยมิได้กล่าวถึงสายรายงานของหะดีษแต่อย่างใด

2.หะดีษที่ผู้รายงานหะดีษท่านแรก ได้ตัดสายรายงานทั้งหมดออกไป เว้นแต่ ซอฮาบะห์เท่านั้น เช่น

(( قال البخاري : وقال أبو موسى الأشعري :  (( غَطَّى رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ رُكْبَتَيْهِ حِينَ دَخَلَ عُثْمَانُ

ท่านอีหม่ามบุคอรีย์ได้รายงานว่า ท่านอบูมูซา อัลอัชอารีย์ ได้กล่าวว่า : "ท่านร่อซู้ล(ซล.)ได้ปิดหัวเข่าของท่าน ในขณะที่ท่านอุสมานได้เข้ามา" (บันทึกโดย ท่านอีหม่ามบุคอรีย์ ใน كتاب الصلاة บทที่ว่าด้วย สิ่งที่ถูกกล่าวถึงขาอ่อน)

ข้อสังเกตุ : หะดีษบททนี้ เป็นหะดีษมู่อัลลั๊ก เนื่องจากผู้บันทึกหะดีษ(คือ ท่านอีหม่ามบุคอรีย์)ได้ตัดสายรายงานทั้งหมดออกไป และได้กล่าวถึงซอฮาบะห์ คือ ท่านอบูมูซา เพียงคนเดียวเท่านั้น ที่รายงานถึงท่านร่อซู้ล(ซล.) โดยไม่ได้กล่าวถึงตาบีอีน และบุคคลที่อยู่ก่อนเขา

3.หะดีษที่ผู้รายงานหะดีษท่านแรก ได้ตัดสายรายงานทั้งหมดออกไป เว้นแต่ ตาบีอีนและซอฮาบะห์ เท่านั้น เช่น

(( قال البخاري : وقال بهزعن أبيه عن جده عن النبيّ صلى الله عليه وسلم : (( اللَّهُ أَحَقُّ أَنْ يُسْتَحَى مِنْهُ مِنَ النَّاسِ

ท่านอีหม่ามบุคอรีย์ได้รายงานว่า ท่านบะหซ์ ได้กล่าวจากพ่อของเขา(เป็นตาบีอีนที่มีความซิเกาะห์) ซึ่งนำมาจากปู่ของเขา จากท่านนบี(ซล.) ว่า "อัลเลาะห์เท่านั้นที่มนุษย์ควรละอายมากที่สุด ยิ่งกว่ามนุษย์ด้วยกัน" (บันทึกโดยท่านอีหม่ามบุคอรีย์ ใน كتاب الغسل  บทที่ว่าด้วย การอาบน้ำเพียงคนเดียวโดยเปลือยกายในที่โล่งแจ้ง)

ข้อสังเกตุ : หะดีษบทนี้ เป็นหะดีษมู่อัลลั๊ก เนื่องจากผู้บันทึกหะดีษ(คือ ท่านอีหม่ามบุคอรีย์)ได้กล่าวถึงตาบีอีน คือ ท่านบะหซ์ บิน ฮากีม และซอฮาบะห์ คือ ท่านมู่อาวิยะห์ บิน ฮัยดะห์ อัลกู่ชัยรีย์ เท่านั้น โดยไม่กล่าวถึงสายรายงานหะดีษระหว่างเขา(ตัวผู้บันทึก) กับ ตาบีอีน(คือ ท่านบะหซ์) หรือ บุคคลที่อยู่ก่อนเขา

วิจารณ์สายรายงาน : โดยแต่ละคนมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

1.ท่านบะหซ์ บิน ฮากีม
เป็นตาบีอีน เนื่องจากทันปู่ของท่านซึ่งเป็นซอฮาบะห์ของท่านร่อซู้ล(ซล.) และเป็นผู้ที่มีความซิเกาะห์

2.ท่านฮากีม บิน มู่อาวิยะห์ เป็นตาบีอีน เพราะไม่ทันท่านร่อซู้ล(ซล.) แต่ก็เป็นผู้ที่มีความซิเกาะห์

3.ท่านมู่อาวิยะห์ บิน ฮัยดะห์ บิน กู่ชัยร์ บิน กะอับ อัลกู่ชัยรีย์ เป็นซอฮาบะห์ที่มะอ์รูฟอีกท่านหนึ่งของท่านร่อซู้ล(ซล.)

และแม้ว่าหะดีษนี้ จะเป็นหะดีษมู่อัลลั๊ก แต่ก็สามารถนำมาเป็นหลักฐานได้ เพราะผู้รายงานทุกคนนั้นมีความน่าเชื่อถือ ( ثقة ) "ซิเกาะห์" และนักวิชาการหะดีษได้ทำการศึกษาวิเคราะห์แล้ว พบว่า หะดีษมู่อัลลั้กในหนังสือทั้งสองนั้น มีการรายงานด้วยสายรายงานที่ติดต่อกัน โดยสืบทราบจากสายรายงานอื่นๆ ซึ่งมีตั้งแต่ 2 สนัดขึ้นไป และสนัดอื่นๆนั้นอยู่ในระดับที่ซอเฮี๊ยะห์ หรือ อย่างต่ำที่สุด ก็อยู่ในระดับหะซัน ดังนั้น หะดีษมู่อัลลั๊กในซอเฮี๊ยะห์ทั้งสอง จึงเป็นที่อนุญาตให้นำมาปฎิบัติได้

การนำมาเป็นหลักฐาน

หะดีษมุอัลลั้กนั้น แม้ว่าจะอยู่ในประเภทของหะดีษมัรดู๊ร แต่สามารถนำมาใช้เป็นหลักฐานได้ หากหะดีษนั้น เป็นหะดีษที่ซอเฮี๊ยะห์ หรือ หะซัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหะดีษมู่อัลลั๊กที่อยู่ในซอเฮี๊ยะห์บุคอรีย์และซอเฮี๊ยะห์มุสลิม ส่วนหะดีษมุอัลลั้กที่เป็นหะดีษด่ออีฟจะมีฮู่ก่มเหมือนกับหะดีษด่ออีฟทั่วๆไป ซึ่งสามารถนำมาเป็นหลักฐานได้และไม่ได้ ดังนั้น ถ้าถือตามทัศนะของญุมฮูรอุลามาอ์ ก็อนุญาตให้รายงานและปฎิบัตตามหะดีษด่ออีฟที่ไม่ถึงขั้นเมาดัวะอ์ได้ ในเรื่องที่เป็นการเตือนให้กลัวบาป กระตุ้นให้ทำความดี และในเรื่องของความประเสริฐต่างๆทางด้านอามั้ล แต่ถ้าถือตามทัศนะของอุลามาอ์อีกกลุ่ม ที่ไม่อนุญาตให้นำหะดีษด่ออีฟมาเป็นหลักฐาน ก็ไม่อนุญาตให้นำหะดีษมู่อัลลั๊กที่จัดอยู่ในประเภทด่ออีฟมาปฎิบัติเช่นเดียวกัน

ข้อสังเกตุของหะดีษมู่อัลลั๊กที่จะอนุญาตให้นำมาเป็นหลักฐาน และไม่อนุญาตให้นำมาเป็นหลักฐาน

1.หะดีษมู่อัลลั้กในหนังสือซอเฮี๊ยะห์บุคอรีย์และมุสลิมนั้น บรรดาอุละมาอ์ได้ยอมรับว่า ทั้งหมดเป็นหะดีษที่ซอเฮียะห์ เนื่องจากนักวิชาการหะดีษได้ทำการศึกษาวิเคราะห์แล้ว พบว่า หะดีษมู่อัลลั้กในหนังสือทั้งสองนั้น มีการรายงานด้วยสายรายงานที่ติดต่อกัน โดยสืบทราบจากสายรายงานอื่นๆ ซึ่งมีตั้งแต่ 2 สนัดขึ้นไป และสนัดอื่นๆนั้นอยู่ในระดับที่ซอเฮี๊ยะห์ หรือ อย่างต่ำที่สุด ก็อยู่ในระดับหะซัน ดังนั้น หะดีษมู่อัลลั๊กในซอเฮี๊ยะห์ทั้งสอง จึงเป็นที่อนุญาตให้นำมาปฎิบัติได้

2.หะดีษมู่อัลลั้กในหนังสืออื่นๆ เช่น สุนันซิตตะห์ มุสนัดต่างๆ อัลมู่ซอนนัฟ และหนังสือประพันธ์อื่นๆ จะต้องพิจารณาจากสำนวนของการรายงานเป็นหลัก ซึ่งพอสรุปได้ดังต่อไปนี้

2.1.หากหะดีษมู่อัลลั้กนั้น ใช้สำนวนที่เด็ดขาด ( صيغة الجزم ) "ซีฆ่อตุ้ลญัซม์" เช่น กล่าวว่า "กอล่า" ( قَالَ ) เขาได้กล่าวว่า / "ซ่าก้าร่อ" ( ذَكَرَ ) เขาได้กล่าวว่า / "ฮ่ากา" ( حَكَي ) เขาได้เล่าว่า / เป็นต้น หะดีษมู่อัลลั้กที่ใช้สำนวนอย่างนี้ จะถือว่า เป็นหะดีษที่ซอเฮี๊ยะห์ และสามารถนำมาเป็นหลักฐานได้

2.2.หากหะดีษมุอัลลั้กนั้น ใช้สำนวนที่คลุมเครือ ( صيغة التمريض ) "ซีฆ่อตุ๊ดตัมรีด" เช่น กล่าวว่า "กีล่า" ( قِيْلَ ) ถูกกล่าวว่า / "ซู่กี้ร่อ" ( ذُكَِر ) ถูกกล่าวว่า"ฮู่กี้ย่า" ( حُكِيَ ) ถูกเล่าว่า / เป็นต้น หะดีษมู่อัลลั้กที่ใช้สำนวนอย่างนี้ จะไม่ถูกตัดสินให้เด็ดขาดได้ นอกจากจะต้องพิจารณาและตรวจสอบหะดีษนั้นเสียก่อน เพราะหะดีษมู่อัลลั๊กนั้น มีทั้งหะดีษที่ซอเฮี๊ยะห์ หะดีษที่หะซัน และหะดีษที่ด่ออีฟ ซึ่งบางหะดีษก็ถึงขั้นเมาดั๊วะอ์ ดังนั้น ฮูก่มการตัดสินหะดีษเหล่านี้ จึงขึ้นอยู่กับการพิจารณาตัวบทและสถานภาพของการรายงานเป็นสำคัญ ดังนั้น หากหะดีษบทนั้น อยู่ในสถานะที่ซอเฮี๊ยะห์ ก็จะถูกตัดสินว่าซอเฮี๊ยะห์ และหากอยู่ในสถานะอื่นๆ ก็จะถูกตัดสินไปตามสถานะอื่นๆที่มีความเหมาะสมกับมัน


______________________________________________________________________________________________

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พ.ค. 15, 2013, 11:50 PM โดย Ahlulhadeeth »

 

GoogleTagged