จากที่ผมติดตามสถานการณ์เกี่ยวกับอิสลามในอเมริกานั้น เมื่อมองในแง่มุมหนึ่ง รู้สึกว่า บางคนจากพวกเขามีความจริงจังและกระตือรือร้นในการเรียนรู้อิสลามและภาษาอาหรับอย่างมาก จนบางคนได้เป็นถึงขั้นอุละมาอ์อิสลามของอเมริกา เป็นอาจารย์ทางอิสลามศึกษาในมหาวิทยาลัย ทั้งๆ ที่เขาเพิ่งเข้าอิสลามเมื่อไม่นาน ซึ่งหากเทียบมุสลิมดั่งเดิม บางทีก็รู้สึกอายแทน
แต่เมื่อมองอีกมุมหนึ่ง เราทราบกันดีกว่า ประเทศสหรัฐอเมริกานั้น เป็นประเทศแห่งเสรีภาพ (จนบางครั้งก็มากเกินไป) ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย กล่าวคือ เป็นประเทศที่ทุกอย่างต้องเคารพซึ่งกันและกัน และมีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมภายใต้กฎหมายสูงสุดของประเทศ ประชาชนชาวอเมริกาทุกคน ไม่ว่าจะชายหรือหญิง สีผิวสีอะไร เชื้อชาติอะไร ถือว่าทุกคนเท่าเทียมกันหมด (หมายถึงในทางทฤษฎี ในทางปฏิบัติตรงข้ามอย่างสิ้นเชิง)
เนื่องด้วยประเด็นเสรีภาพ และกระแสการเรียกร้องสิทธิของสตรีที่ปรากฏในประเทศต่างๆ ทั่วโลก ไม่เว้นแม้แต่ในประเทศอิสลามและมุสลิมเอง ในสหรัฐอเมริกานั้น สตรีมุสลิมบางคนที่เพิ่งเข้ารับอิสลาม ที่ยังติดคติความคิดในการเรียกร้องสิทธิของหญิงให้เสมอเท่าเทียมกับชาย ด้วยคำนิยามที่อาจจะแปลกประหลาดและมิอาจจะยอมรับได้ภายใต้กรอบของอิสลาม
ปัจจุบัน เราจะเห็นได้ว่า ผู้นำของประเทศตะวันตกหลายประเทศ ใช้ช่องโหว่ตรงนี้ ในการสนับสนุนกลุ่มสตรีมุสลิมที่ยังไม่เข้าสิทธิเท่าเทียมกันระหว่างชายและหญิงภายใต้กรอบแห่งอิสลาม ในการเรียกร้องสิทธิดังกล่าว ตามแบบที่สตรีทั่วๆ ไปทำและเรียกร้องกัน เช่น มีการเรียกร้องสิทธิให้สตรีสามารถเป็นผู้นำละหมาด หรือเป็นอิมามประจำมัสญิดได้ โดยอ้างว่าชายทำได้ หญิงก็ต้องมีสิทธิได้เช่นกัน ปัญหาได้เกิดขึ้นไม่ใช่เฉพาะแต่ในสหรัฐฯ เท่านั้น จะยังเกิดขึ้นที่ออสเตรเลีย และประเทศยุโรปอื่นๆ โดยมีผู้นำเซคคิวลาร์อยู่เบื้องหลัง
แม้อิสลามจะเจริญเติบโตในประเทศตะวันตกอย่างรวดเร็ว ชนิดก้าวกระโดด แต่นั่นเป็นเพียงปริมาณที่เพิ่มขึ้น บางส่วนที่เข้ารับอิสลาม ก็ถูกดูแลและแย่งมวลชนโดยผู้นำของประเทศนั้นๆ โดยแสร้งทำเป็นว่าได้ทำการอุปถัมภ์ศาสนาอิสลาม แต่ภายใต้การอุปถัมภ์ก็สอดแทรกความคิดแบบยิวและเซคคิวลาร์ชนิดแบบจับไม่ได้ว่า นั่นไม่ใช่อิสลาม ซ้ำยังบางกลุ่มที่เข้ารับอิสลามนั้น ถูกแย่งมวลชนโดยชีอะฮ์อิมามียะฮ์ หรือสายอิสมาอิลียะฮ์อีกด้วย ดังจะเห็นได้จากสถาบันหลายแหล่งของชีอะฮ์ที่ผุดเป็นดอกเห็ดในอเมริกาและยุโรป
นอกจากนี้ กลุ่มผู้เข้ารับอิสลามใหม่ๆ ยังต้องเผชิญกับการกดขี่ หรือไม่ก็สิ่งอบายมุขต่างๆ ในประเทศของตน ที่ไม่ต่างอะไรกับสังคมญาฮิลิยะฮ์ในสมัยของนบียื ศ็อลฯ หากแต่มันอาจจะซับซ้อนยิ่งกว่าเสียอีก
ดังนั้น หากมุสลิมคนใดที่มีจิตใจเข้มแข็งพอ และมีความรู้ ก็จงแบ่งปันให้แก่พี่น้องของเราที่นั้นด้วย จะด้วยการเผยแผ่ในรูปแบบไหนก็ตาม แต่โดยเฉพาะผู้ที่มีความสามารถทางภาษาของประเทศนั้นๆ ก็สมควรที่จะปักหลักที่นั่น อย่างที่บรรดาศ็หาบะฮ์ในสมัยของท่านร็สูลุลลอฮฺ ศ็อลฯ เคยกระทำมา ทั้งนี้ก็ด้วยเหตุผลหนึ่งเดียวที่ว่า มุสลิมคือพี่น้องกัน มุสลิมคือเรือนร่างเดียวกัน - วัสสลามุอลัยกุม วะร็อหฺมะตุลลอฮฺ วะบะเราะก้าตุฮฺ