
ปัจจุบันกลุ่มทำละหมาดตะรอวิห์นั้น...มีหลักกออิดะฮ์(หลักเกณฑ์)ต่างกัน 2 ฝ่าย..
ฝ่ายที่ 1- หลักการยึดหลักเจาะจงว่านบีไม่ทำ...ผลตามมาก็ฮะรอม...จึงไม่ต้องทำอะไร
ฝ่ายที่ 2- หลักการที่ว่า..มีหลักฐานแบบกว้างๆ มาระบุ..แต่เมื่อเงื่อนไขว่า...อย่ามีเจตนาไปเจาะจงว่านบีทำ...แต่ทำไปเพราะยึดหลักฐานอัลกุรอานและซุนนะฮ์แบบกว้างๆ ที่ระบุให้ทำ...
คำพูดที่ว่า..."อย่ามีเจตนาไปเจาะจงว่านบีทำ"...ก็เพราะว่าเป็นโกหกต่อท่านนบีที่ไปเชื่อและบอกคนอื่นว่านบีเจาะจงทำนั่นเอง...เช่นเดียวกัน...หากนบีไม่ได้เจาะจงห้าม...ก็อย่าไปโกหกและโฆษณาให้คนอื่นเชื่อว่านบีได้เจาะจงห้าม...
หากยึดหลักการของฝ่ายที่ 1 แน่นอนว่าปัญหาบานปลาย...เพราะฝ่ายที่ 2 ก็จะถามต่อไปว่า
1- นบีเจาะจงห้ามให้ตัสบีห์...ศ่อลาวาต...และดุอาหลักสะลามละหมาดตะรอวิห์หรือไม่?
2- มีหลักฐานเจาะจงจากท่านนบีกระทำการกล่าว...ศ่อลาตุดตะรอวิห์อะษาบะกุมุลลอฮ์...ตามที่มัสยิดฮะรอมทำหรือไม่?
3- มีหลักฐานเจาะจงการกระทำจากท่านนบีให้อ่านถ้อยคำกุนูตวิติรยาวๆจากท่านนบี...ตามที่มัสยิดฮะรอมทำหรือไม่?
4- มีหลักฐานเจาะจงการกระทำของท่านนบีให้ค่อตั่มอัลกุรอานในละหมาดตะรอวิห์ในคืนที่ 27 หรือ 28...ตามที่มัสยิดฮะรอมทำหรือไม่?
5- มีหลักฐานเจาะจงจากการกระทำของท่านนบี...ทำการละหมาดสุนัตตะฮัจญุดในมัสยิดฮะรอมในญะมาอะฮ์เป็นการเฉพาะหรือไม่?
แต่ถ้ายึดหลักการจากฝ่ายที่ 2...ปัญหาก็จะยุติลง...การกล่าวหามุสลิมทั่วโลกว่าทำบิดอะฮ์ลุ่มหลงก็จะหมดไป...เพราะหลักการของฝ่ายที่ 2 ...สามารถนำมาใช้ได้จริงในทุกยุคสมัย...