การเป็นซูฟีย์ของอิมามหะซันอัลบันนา ตอน 2

ท่านอิมามหะซันอัลบันนากับการรับบัยอะฮ์ซูฟีย์

การรับบัยอะฮ์คือการให้สัตยาบันระหว่างศิษย์กับชัยค์ผู้ชี้นำว่าจะปฏิบัติตามกิตาบุลลอฮ์และซุนนะฮ์ของท่านนะบีย์มุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม มีซิกรุลลอฮ์หรือวิริดและหมั่นเพียรในการปฏิบัติอะมัลอิบาดะฮ์เพื่อให้ผู้รับบัยอะฮ์นั้นเปลี่ยนแปลงจากชีวิตที่ลืมอัลเลาะฮ์ไปสู่การเตาบะฮ์ ตรวจสอบตนเอง และมุ่งหน้าเข้าหาอัลเลาะฮ์ตะอาลา นอกเหนือจากนั้นยังมีการสอนกะลิมะฮ์เตาฮีด “ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮ์” เพื่อเป็นการตอกย้ำโดยมีสะนัดหรือซัลซิละฮ์ (สายสืบ) ถึงท่านร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ดังนั้นการบัยอะฮ์จึงเป็นการเชื่อมกับท่านร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมทางด้านจิตวิญญาณโดยผ่านทางสะนัดหรือซัลซิละฮ์ (สายสืบ) นั่นเอง

ท่านชัยค์ สะอีด เฮาวา ได้กล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า “เราเห็นว่าการรับบัยอะฮ์จากนักดาอีย์ที่มีความสมบูรณ์นั้นย่อมเป็นบะร่อกะฮ์แก่ผู้ที่ให้และผู้ที่รับ เพราะการรับบัยอะฮ์นั้นเป็นการฟื้นฟูปณิธานความมุ่งมั่น (ในการเข้าหาอัลเลาะฮ์) และเชื่อมทางด้านจิตวิญญาณ...” (สะอีด เฮาวา, ฆ่อซาอฺ อัลอุบูดียะฮ์, อัชชะบะกะฮ์ อัดดะอ์วียะฮ์ [www.daawa-info.net] หน้า 7)

ดังนั้นท่านอิมามหะซันอัลบันนาได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของด้านจิตวิญญาณนี้ ท่านเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการรับบัยอะฮ์ซูฟีย์ของท่านว่า

“จิตใจของฉันยังคงผูกพันอยู่กับท่านชัยค์หัสนัยน์ อัศศ่อหาฟีย์ ร่อหิมะฮุลลอฮ์ จนกระทั่งฉันได้ไปที่สถาบันอัลมุอัลลิมีน อัลเอาวะลียะฮ์ ที่จังหวัดดะมันฮูร ซึ่ง (ปัจจุบัน) เป็นที่ฝังศพของท่านชัยค์หัสนัยน์ อัศศ่อหาฟีย์ และที่นั่นมีโครงเสาของมัสยิดที่ยังสร้างไม่เสร็จ ซึ่งต่อมาได้สร้างจนเสร็จมีชื่อว่า มัสยิด อัตเตาบะฮ์ ฉันได้เข้าไปนั่งล้อมวงซิกรุลลอฮ์ในมัสยิดแห่งนี้เป็นประจำทุกคืน และฉันก็ได้ถามถึงแกนนำของหมู่พี่น้องในมัสยิดนั้น ฉันจึงรู้ว่าเขาคือบุรุษผู้มีคุณธรรมมีนามว่า ชัยค์ บัสยูนีย์ ซึ่งเป็นพ่อค้า ดังนั้นฉันจึงมีความปรารถนาที่จะรับบัยอะฮ์กับเขา แล้วเขาก็อนุญาตและสัญญากับฉันว่า จะแนะนำฉันให้รู้จักกับ อัซซัยิด อับดุลวะฮ์ฮาบ (บุตรของท่านชัยค์ หัสนัยน์ อัศเศาะห์หาฟีย์) ในตอนที่เขามาถึง ซึ่งในช่วงเวลานี้ฉันยังไม่เคยรับบัยอะฮ์เฏาะรีเกาะฮ์ซูฟีย์อย่างเป็นทางการกับผู้ใดเลยแต่ฉันมีความชื่นชอบ
 

และเมื่อท่านอัซซัยยิด อับดุลวะฮ์ฮาบ – ขออัลเลาะฮ์ทรงให้ได้รับคุณประโยชน์จากเขาด้วยเถิด- มาถึงที่จังหวัดดะมันฮูร บรรดาพี่น้องก็บอกให้ฉันทราบ ฉันรู้สึกดีใจอย่างยิ่งสำหรับข่าวนี้ ดังนั้นฉันจึงไปหาท่านอัชชัยค์ บัสยูนีย์ โดยมีความหวังว่าจะให้เขานำฉันไปพบท่านอัซซัยิด อับดุลวะฮ์ฮาบ แล้วอัชชัยค์บัสยูนีย์ก็ทำตามที่ฉันหวังไว้ และในช่วงเวลาดังกล่าวคือหลังละหมาดอัสริ ของวันที่ 4 เดือนร่อมะฎอน ปีฮิจญฺเราะฮ์ที่ 1342 หากฉันจำไม่ผิด ก็ตรงกับวันอาทิตย์ ฉันได้รับบัยอะฮ์เฏาะรีเกาะฮ์อัศศ่อหาฟียะฮ์ อัชชาซุลลียะฮ์ กับท่านอัซซัยยิด อับดุลวะฮ์ฮาบ และเขาได้มอบบรรดาวิริดต่างๆ ของเฏาะรีเกาะฮ์ อัศ-ศ่อหาฟียะฮ์ อัชชาซุลลียะฮ์ ให้แก่ฉันและสิ่งที่ต้องอ่านประจำวัน” (มุซักกิร็อต, หน้า 14-15) .

การที่ท่านอิมามหะซัน อัลบันนา ได้เข้ามาอยู่ในแนวทางของซูฟีย์บริสุทธิ์นั้น เป็นการเติมเต็มในภารกิจการทำงานศาสนาของอัลเลาะฮ์ จิตวิญญาณที่มีความเข้มเข็งและผูกพันอยู่กับพระองค์นั้น ย่อมเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ที่อัลเลาะฮ์ตะอาลาได้ทรงหยิบยื่นให้สำหรับภารกิจสำคัญเพื่อเรียกร้องหัวใจของผู้คนทั้งหลายให้กลับไปสู่พระองค์

แนวทางซูฟีย์กับการขับเคลื่อนขบวนการอิควานฯ

การทำงานศาสนาตามหลักการอิสลามนั้นมิใช่มีเป้าหมายเพื่อให้ผู้คนมากมายยอมรับและเข้ามาอยู่ร่วมอุดมการณ์ แต่การทำงานศาสนาในอิสลามคือมีเป้าหมายให้อัลเลาะฮ์ตาอาลาทรงตอบรับ แม้ว่าจะมีผู้คนยอมรับน้อยก็ตาม เนื่องจากการทำงานศาสนาที่อัลเลาะฮ์ตะอาลาทรงยอมรับ ก็คือการทำงานที่ไม่มีจิตหรืออารมณ์ใฝ่ต่ำเข้ามามีส่วนร่วมนั่นเอง

ดังนั้นการลุกขึ้นมาทำภารกิจในด้านศาสนานั้น จำเป็นต้องมีการบ่มเพาะจิตใจในระยะแรกก่อนที่จะลงภาคสนามและเป็นที่รู้จักในสังคม เพราะฉะนั้นการทุ่มเทความพยายามในการฝังบ่มเพาะและขัดเกลาจิตใจให้มีความผูกพันกับอัลเลาะฮ์และบริสุทธิ์จากความมัวหมองของดุนยานั้น ก็เพื่อให้ปณิธานความมุ่งมั่นในการทำงานศาสนามีความสูงส่งและอยู่บนแนวทางที่ดีงามตามทัศนะของอัลเลาะฮ์ตะอาลา

การขัดเกลาอบรมบ่มจิตใจในตัวของมนุษย์นั้นเปรียบเสมือนกับการปลูกต้นไม้ หากเมล็ดพันธุ์ที่ต้องการเพาะปลูกนั้นได้ถูกโยนลงบนผืนดินโดยไม่ได้ฝัง ถูกปล่อยทิ้งไว้กลางแจ้งท่ามกลางดินและกรวดทราย แสงอาทิตย์อันร้อนระอุได้สาดส่องลงมาและหมู่เมฆฝนได้แวะเวียนผ่านมายังมันวันแล้ววันเล่า เมล็ดพันธุ์นั้นย่อมตายไปในที่สุด หนทางที่จะให้เมล็ดพืชเจริญงอกงามนั้น ก็คือการนำไปฝังในดินที่ชื้นและปล่อยทิ้งไว้สักระยะหนึ่ง มันก็จะเกิดปฏิกิริยาและเจริญงอกงาม หลังจากนั้นอัลเลาะห์ตะอะลาก็ให้มันผลิหน่อแตกใบ มีลำต้นขึ้นชูตระหง่านสู่ภาคพื้นดินและออกผลให้ประโยชน์แก่มวลมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย

การทำงานขบวนการอิควานุลมุสลิมีนในยุคแรก ก็อยู่ในวิถีทางนี้ ดังที่ท่านหะซัน อัลบันนา ได้กล่าวว่า “และท่านสามารถที่จะกล่าวโดยไม่เป็นความผิดแต่ประการใดว่า แท้จริงอิควานุลมิสลิมีนนั้น เรียกร้องสู่แนวทางสะลัฟ... ตามแนวทางซุนนะฮ์... และฮะกีกัตซูฟีย์ เพราะอิควานุลมุสลิมีนรู้ว่า รากฐานของความดีงามนั้น คือจิตใจมีความสะอาดและหัวใจมีความบริสุทธิ์ หมั่นปฏิบัติอะมัลอิบาดะฮ์ (จิตใจ) หลีกห่างจากมัคโลค มีความรักในอัลเลาะฮ์ และผูกพันกับความดีงาม...” (ดู มั๊จญฺมูอะฮ์ร่อซาอิล หะซัน อัลบันนา, หน้า 122) .

แสดงความคิดเห็น

ติดตามได้ทาง