เนื้อหาจากอาจารย์อารีฟีน แสงวิมาน
ท่านอิหม่ามอิบนุอะฏออิลลาฮ์ ได้กล่าวไว้ในหิกัมบทหนึ่งของท่านว่า
خَيْرُ مَا تَطْلُبُهُ مِنْهُ، مَا هُوَ طَالِبُهُ مِنْكَ “สิ่งที่ดีเลิศที่ท่านจะขอจากอัลลอฮ์ คือสิ่งที่พระองค์ทรงสั่งใช้ท่าน”
خَيْرُ مَا تَطْلُبُهُ مِنْهُ، مَا هُوَ طَالِبُهُ مِنْكَ
“สิ่งที่ดีเลิศที่ท่านจะขอจากอัลลอฮ์ คือสิ่งที่พระองค์ทรงสั่งใช้ท่าน”
การทำความดีงามในช่วงเวลา 10 วันของเดือนซุลฮิจญะฮ์นั้นเป็นที่รักยิ่งไปยังอัลลอฮฺตะอาลา และท่านนะบีย์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จึงส่งเสริมให้กระทำความดีงามในช่วง 10 วันของเดือนซุลฮิจญะฮ์ ซึ่งการกระทำความดีงามนั้นย่อมครอบคลุมถึงการถือศีลอดด้วยและสมควรส่งเสริมให้กระทำเหมือนกับอิบาดะฮ์อื่นๆ ด้วย เช่น การซิกรุลลอฮ์ การอ่านอัลกุรอาน การศ่อะวาตต่อท่านนะบีย์ การเตาบะฮ์ การบริจาคทาน และการละหมาดสุนัตต่างๆ เป็นต้น
ระดับที่ 1. เขาจะขอดุอาอฺให้ประสบความวิบัติแก่ผู้ที่ซ่อเล็มเขา ซึ่งดุอาอฺของเขานี้จะไม่ถูกปฏิเสธ
ท่านร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า
اتَّقِ دَعْوَةَ الْمَظْلُومِ ، فَإِنَّهَا لَيْسَ بَيْنَهَا وَبَيْنَ اللَّهِ حِجَابٌ “ท่านจงกลัวดุอาอฺของผู้ที่ถูกอธรรม เพราะแท้จริงไม่มีม่านกั้นระหว่างดุอาอฺของเขากับอัลลอฮฺ” รายงานโดยอัลบุคอรีย์และมุสลิม.
อุดฮียะฮ์ : คือสัตว์จำพวก อูฐ วัว ควาย แพะ หรือแกะ ที่เชือดเพื่อเป็นการนำตนเข้าใกล้ชิดอัลลอฮฺตะอาลาในวันอีด ส่วนหลักฐานในการบัญญัติอุดฮียะห์นั้นก็คือ คำดำรัสของอัลลอฮฺ ตะอาลา ที่ว่า
فَصَلِّ لِرَبِّكَ وَانْحَرْ “ดังนั้นเจ้าจงละหมาด (อีด) เพื่อองค์อภิบาลของเจ้าและจงเชือด (สัตว์)” (อัลเกาซัร : 2)
فَصَلِّ لِرَبِّكَ وَانْحَرْ
“ดังนั้นเจ้าจงละหมาด (อีด) เพื่อองค์อภิบาลของเจ้าและจงเชือด (สัตว์)” (อัลเกาซัร : 2)
ความหมายของคำว่าเชือดในทัศนะของนักวิชาการที่ถูกต้องที่สุดนั้นคือ เชือดสัตว์อุดฮียะห์
คำถาม: ฮุกุ่มการจัดทำละหมาดญุมุอะฮ์ของนักศึกษาที่ไม่ได้อยู่ในพื้นที่อาศัยของตน
ท่านอิกริมะฮ์ [عِكْرِمَةُ] : เขานั้น “เชื่อถือได้” [ثِقَةٌ] และ “มีความมั่นคง” [ثَبْتٌ] ซึ่งกลุ่มหนึ่งของปราชญ์หะดีษได้นำเขามาเป็นหลักฐานอ้างอิง ส่วนที่ผู้ที่ทำการวิจารณ์เขานั้นเป็นเพียงแค่ความเห็นส่วนตัวเท่านั้น1
การละหมาดอัตตัสบีหฺ เป็นละหมาดสุนัตหนึ่งที่มุสลิมสมควรนำมาปฏิบัติเพื่อสร้างรักและความใกล้ชิดอัลลอฮฺตะอาลา ให้มากยิ่งขึ้น ดังที่อัลลอฮฺตะอาลา ได้ทรงตรัสไว้ในหะดีษกุดซีย์ว่า “ผู้ใดที่เป็นศัตรูกับวะลีย์ของข้า ข้าก็จะประกาศรบกับเขา และไม่มีสิ่งใดที่บ่าวของข้าได้สร้างความใกล้ชิดยังข้าด้วยกับสิ่งหนึ่งที่ข้ารักยิ่งมากไปกว่าสิ่งที่ข้าได้กำหนดฟัรฎูแก่เขา และบ่าวของข้าก็ยังคงสร้างความใกล้ชิดยังข้าด้วยบรรดาอะมัลที่เป็นสุนัตจนกระทั่งข้ารักเขา”
ประเด็นที่เห็นพ้องกันเกี่ยวกับเรื่องการละหมาดอีดเป็นญะมาอะฮ์นั้นคือ ไม่วาญิบ (ไม่จำเป็น) ต้องไปละหมาดสถานที่มุศ็อลลาหรือลานกว้างที่เตรียมไว้สำหรับละหมาดอีด เนื่องจากการละหมาดที่มัสยิดนั้นเป็นที่อนุญาตให้กระทำได้ด้วยอิจญฺมาอฺแห่งปวงปราชญ์ผู้มีคุณธรรม
ซะกาตฟิตร์ถูกตราเป็นบัญญัติในปีฮิจเราะฮ์ศักราชที่สอง เช่นเดียวกับการถือศีลอดในเดือนรอมะดอน และจากหะดีษที่ว่า “ท่านร่อซูลุลลอฮ์ ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กำหนดซะกาตฟิตร์ เพื่อชำระผู้ถือศีลอดให้สะอาดจากคำพูดที่ไร้สาระ และหยาบคาย และเพื่อเป็นอาหารแก่คนยากจน” รายงานโดยอบูดาวูด
อัลเลาะฮ์ตะอาลา ได้ทรงตรัสเกี่ยวกับเรื่องเดือนร่อมะฎอนและฮุกุ่มต่างๆ ของการถือศีลอดในครั้งเดียวในซูเราะฮ์อัลบะก่อเราะฮ์จากอายะฮ์ที่ 183-187 แต่สิ่งที่ทำให้ฉุกคิดในหัวใจก็คือ ระหว่างอายะฮ์ที่ 183-187 นั้น มีอายะฮ์หนึ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับฮุกุ่มของการถือศีลอดเลย แต่อัลเลาะฮ์ตะอาลาทรงนำมาสอดแทรกไว้ในบรรดาอายะฮ์ต่างๆ ที่กล่าวถึงฮุกุ่มการถือศีลอดเดือนร่อมะฎอน นั่นก็คืออายะฮ์ 186 ที่มีใจความว่า
นำเสนอหลักการอิสลามจากกีตาบุลลอฮฺและซุนนะฮฺตามแนวทางของมัสฮับทั้งสี่