
ตามหลักวิเคราะห์ของท่านบะดีอุซซามาน สะอีด อันนูรซีย์
โดย...อุมมุ มุฮัมมัด
หนึ่งในคำถามที่มุสลิมะห์หรือมุสลิมถูกถามบ่อยๆ คือ “ทำไมมุสลิมะห์ต้องคลุมหิญาบ? ” คำตอบที่เราพอจะนึกกันออกก็คือ “มันเป็นบทบัญญัติของอิสลาม” “เพื่อปกป้องสตรีจากการคุกคามทางเพศ” “เพื่อรักษาเกียรติของสตรี” ฯลฯ ซึ่งก็ถือว่า ถูกต้องทั้งสิ้น อย่างไรก็ตาม ฮิกมะห์ของการบัญญัติหิญาบแก่สตรีมุสลิมนั้นมีมากมายหลายมิติ ผู้เขียนขอนำเสนอมุมมองของท่านสะอี้ด อันนูรซีย์ จากหนังสือ “มุรชิด อะค่อว้าต อัลอาคิเราะฮ์” ซึ่งน่าจะทำให้เราได้เข้าใจฮิกมะฮ์ของหิญาบอย่างลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น
หิญาบธรรมชาติอันบริสุทธิ์ของสตรี
อัลเลาะฮ์ตะอาลาได้ทรงตรัสว่า
يَا أَيُّهَا النَّبِيُّ قُلْ لِأَزْوَاجِكَ وَبَنَاتِكَ وَنِسَاءِ الْمُؤْمِنِينَ يُدْنِينَ عَلَيْهِنَّ مِنْ جَلَابِيبِهِنَّ
“โอ้นะบีย์เอ๋ย จงกล่าวแก่บรรดาภริยาของเจ้า และบุตรสาวของเจ้า และบรรดาหญิงของบรรดาผู้ศรัทธา ให้พวกนางดึงเสื้อคลุมของพวกนางลงมาปิดตัวของพวกนาง” [อัลอะห์ซาบ: 59 ]
อายะฮ์อันมีเกียรตินี้ใช้ให้สตรีคลุมหิญาบ ในขณะที่สังคมเมืองที่เบี่ยงเบนนั้นกำลังเดินหน้าไปสู่การขัดแย้งกับข้อกำหนดของพระเจ้า พวกเขาไม่ได้มองว่าหิญาบเป็นธรรมชาติอันบริสุทธิ์สำหรับสตรี แต่กลับมองว่า หิญาบเป็นการหน่วงเหนี่ยวอิสรภาพของพวกนาง
ด้วยเหตุนี้เอง ท่านนูรซีย์ จึงทำการอธิบายเชิงวิเคราะห์ถึงวิทยปัญญาอันลึกซึ้งที่บ่งชี้ว่า ข้อกำหนดของอัลกุรอานให้คลุมหิญาบนั้นเป็นธรรมชาติอันบริสุทธิ์ของสตรี
วิทยปัญญาที่หนึ่ง
แท้จริงหิญาบเป็นธรรมชาติอันบริสุทธิ์ที่สตรีต้องการ เพราะสตรีนั้นถูกสร้างให้มีความอ่อนโยนและอ่อนแอ สตรีจึงพบว่าตนเองนั้นต้องการบุรุษมาคอยดูแลพวกนางและต้องการลูกๆ ที่พวกนางยอมเสียสละชีวิตให้แก่พวกเขาได้ ดังนั้นพวกนางจึงถูกสร้างมาบนธรรมชาติที่บริสุทธิ์ เช่น ทำให้ตัวของพวกนางเป็นที่รักของผู้อื่น ไม่ทำให้ผู้อื่นรังเกียจ หลีกเลี่ยงความหยาบกระด้างและสร้างความลำบากใจให้แก่ผู้อื่น
เจ็ดในสิบของสตรีนั้น บางครั้งเป็นสตรีที่อายุมากแล้วหรือสตรีที่หน้าตาไม่ดี ซึ่งพวกนางไม่ปรารถนาที่จะเปิดเผยผมหงอกหรือความน่ารังเกียจของพวกนาง หรือว่าพวกนางเป็นสตรีที่สงวนตัวอย่างมาก พวกนางจึงเกรงว่าจะมีสตรีที่สวยและงดงามกว่าพวกนาง หรือเกรงว่าจะมีการละเมิดต่อตัวของพวกนางและต้องเผชิญกับข้อครหา
ดังนั้นสตรีเหล่านี้ย่อมมีความปรารถนาธรรมชาติอันบริสุทธิ์ในการคลุมหิญาบเพื่อป้องกันจากการถูกละเมิดและเผชิญกับข้อครหาในสายตาคู่ครองของพวกนาง แต่สตรีที่มีอายุนั้น นางจะปรารถนาที่จะคลุมหิญาบมากกว่าสตรีอื่นๆ
แต่บางทีอาจจะมีสตรีเพียงสองหรือสามในสิบคนที่เป็นหญิงสาวสวยที่ไม่รู้สึกอึดอัดจากการเปิดเผยสิ่งที่ยั่วยวนของพวกนาง!! เนื่องจากเป็นที่ทราบดีว่ามนุษย์นั้นจะรู้สึกอึดอัดจากการจ้องมองของผู้ที่เขาไม่ชอบ หากสมมุติว่าสตรีสวยคนหนึ่งปรารถนาที่จะให้ชายอื่นจำนวนสองหรือสามคนเท่านั้นที่มองนางได้ แน่นอนว่านางจะรู้สึกลำบากใจและอึดอัดจากการมองของผู้ชายจำนวนเจ็ดหรือแปดคน ยิ่งกว่านั้นนางอาจจะหนีจากสายตาของพวกเขาเหล่านั้น
เพราะธรรมชาติที่อ่อนโยนและมีปฏิกิริยาตอบสนอง (ความละอาย) อย่างรวดเร็ว (ยกเว้นสตรีที่มารยาทเสื่อมเสียและตกต่ำ) สตรีจึงหลีกหนีจากบรรดาสายตาอันสกปรกที่มุ่งเป้ามาที่ตัวนาง และรู้สึกว่าสายตาเหล่านั้นมีปฏิกิริยาเหมือนยาพิษสำหรับนาง เพราะเหตุนี้เอง พวกเราจึงได้ยินมาว่า สตรียุโรปมากมายที่แต่งตัวไม่มิดชิดและอวดโฉม จะทำการร้องเรียนเจ้าหน้าที่ตำรวจเกี่ยวกับบรรดาสายตาที่ติดตามมองพวกนางว่า พวกผู้ชายชั้นต่ำเหล่านั้นได้ผลักพวกเราให้เข้าไปอยู่ในคุกแห่งสายตาของพวกเขา!
เราขอสรุปว่า การที่สังคมเมืองได้เปิดหิญาบและเปิดโอกาสให้แต่งกายแบบอวดโฉมนั้น ย่อมขัดแย้งกับธรรมชาติอันบริสุทธิ์ และนอกเหนือจากการที่หิญาบเป็นธรรมชาติอันบริสุทธิ์แล้ว อัลกุรอานยังใช้ให้คลุมหิญาบเพื่อปกป้องสตรีจากการดูถูกเหยียดหยามและความตกต่ำ เพราะพวกนางนั้นเป็นบ่อเกิดของความเมตตา อ่อนโยน และมีความอ่อนหวานแก่คู่ครองของพวกนางตลอดไป
วิทยปัญญาที่สอง
ความผูกพันอันแน่นแฟ้นและความรักอันลึกซึ้งระหว่างสตรีกับบุรุษนั้น มิใช่เกิดขึ้นจากความต้องการในการดำเนินชีวิตในโลกดุนยาเท่านั้น เพราะสตรีมิใช่เป็นคู่ชีวิตของสามีในโลกดุนยาเท่านั้น แต่นางคือคู่ชีวิตของสามีในโลกอาคิเราะฮ์อันนิรันดรด้วยเช่นกัน
ตราบใดที่สตรีนั้น เป็นคู่ชีวิตของบุรุษในชีวิตอันนิรันดร์แล้ว ดังนั้นนางก็ไม่สมควรที่จะหันเหความสนใจของนางไปหาคนอื่นที่ไม่ใช่คู่ชีวิตอันถาวรและเพื่อนคู่คิดตลอดกาล ซึ่งถือเป็นฟิตนะห์สำหรับนาง และไม่สมควรที่สตรีจะรบกวนจิตใจสามีและทำให้เขาต้องโกรธและมีความหึงหวง
ดังนั้นสามีเป็นผู้ศรัทธานั้น จะไม่จำกัดความรักที่มีต่อนางไว้แค่เพียงชีวิตแห่งดุนยานี้เท่านั้น และเขาจะไม่มอบความรักความปรารถนาทางธรรมชาติโดยจำกัดอยู่เพียงแค่เวลาที่นางมีความสาวและสวยเท่านั้น แต่ทว่าเขาจะมอบความรักและให้เกียรติอันบริสุทธิ์ โดยไม่จำกัดเฉพาะเวลาที่นางยังสาวและสวย โดยทั้งสองประการนี้ยังคงมีอย่างสม่ำเสมอแม้นางจะแก่ชราหรือหมดความสวยงามแล้วก็ตาม เพราะนางนั้นคือคู่ชีวิตของเขาแบบถาวรและตลอดกาล เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ก็จำเป็นสำหรับสตรีเช่นกันที่จะมอบความสวยงามของนางและเสน่ห์ของนางให้แก่สามีของนางเพียงเท่านั้น และจำกัดความรักของนางไว้ให้แก่เขา
วิทยปัญญาที่สาม
แท้จริงแล้ว ความสุขและความมั่นคงของครอบครัวนั้น จะเกิดขึ้นด้วยความไว้เนื้อเชื่อใจ (ษิเกาะฮ์) ซึ่งกันและกันระหว่างสามีและภรรยา อีกทั้งมีการให้เกียรติอย่างเหมาะสม และมีความรักที่ซื่อสัตย์ต่อกัน แต่การอวดโฉมนั้นจะทำลายความไว้เนื้อเชื่อใจตรงนี้ลงไป และทำให้การให้เกียรติและความรักซึ่งกันและกันต้องเสียไป
สตรีที่อวดโฉมนั้นย่อมพบชายที่มีความหล่อกว่าสามีของนาง และสามีก็ย่อมเห็นสตรีที่มีความสาวสวยมากกว่าภรรยาของตน ดังกล่าวนี้อาจจะปลุกความรู้สึกอันต่ำทราม ยิ่งไปกว่านั้น ยังทำให้ความรักอันบริสุทธิ์และการให้เกียรติระหว่างสามีภรรยาต้องหมดไป
วิทยปัญญาที่สี่
เป็นที่ทราบกันดีว่า การให้บุตรมากเป็นที่ปรารถนาในตัวนาง ไม่มีประชาชาติใดและประเทศใดที่ไม่เรียกร้องไปสู่การมีบุตรมากๆ ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า “พวกท่านทั้งหลายจงแต่งงานเถิด พวกท่านจะได้มีเพิ่มมากขึ้น แท้จริงฉันจะได้นำพวกท่านมาอวดต่อประชาชาติทั้งหลายในวันกิยามะฮ์” แต่ทว่าการยกเลิกหิญาบและการเปิดโอกาสให้มีการอวดโฉมนั้นจะจำกัดการแต่งงานและยิ่งกว่านั้น อาจจะทำให้การกำเนิดบุตรนั้นลดลงอย่างมาก
ทั้งนี้ เพราะผู้ชายนั้นไม่ว่าเขาจะเสเพลเพียงใดก็ตาม เขาก็ยังต้องการคู่ชีวิตที่บริสุทธิ์และไม่ต้องการให้นางเผยโฉมและเสเพลเช่นเดียวกับเขา ด้วยเหตุนี้ ผู้ชายจึงเลือกที่จะอยู่เป็นโสดมากกว่า
สรุป
จากการวิเคราะห์ของท่านนูรซีย์นั้น ชี้ให้เห็นว่า วิทยปัญญาอันลึกซึ้งที่อยู่เบื้องหลังของหิญาบซึ่งถือเป็นธรรมชาติอันบริสุทธิ์ของสตรีนั้น ไม่ใช่มีเพียงมิติเดียว แต่ยังครอบคลุมมิติของครอบครัวและประชาชาติโดยรวม
by:
แสดงความคิดเห็น