Re: การยกมือหลังละหมาด ห้าเวลา By: sharifbkd Date: ธ.ค. 16, 2013, 09:45 AM
ถ้าผมคิดผิดก็ต้องขอมะอัฟด้วย มีเฮแถวบ้านผมแปลว่ากำลังจะทำร้าย ห้ำหั่น ใช้ความรุนแรงต่อคู่กรณีนะครับ....ส่วนที่ว่าผมถามพุ่ง ก็ผมอยากรู้นิ ในห้องเรียนผมก็ถามครูแบบนี้ ตอบได้ก็ตอบเลย ตอบไม่ได้ครูก็บอกว่าไว้มาตอบคาบหน้านะ ไม่เห็นจะน่าเสียฟอร์มตรงไหน...บังอัชอารี หรือคนที่มีความรู้คนอื่นยังไม่เข้ามาไขข้อข้องใจ คนอย่าแทรก มันจะยาว คนเข้ามาอ่านทีหลังจะขี้เกียจอ่าน ..คุณมาตอบโต้ผม ได้ประโนชน์แะไรมั้ยย?? งั้นลองตอบโต้ด้วนหลักฐานซิ จะได้คำตอบไปตอบกับอัลลอฮฺเสียที
Re: การยกมือหลังละหมาด ห้าเวลา By: BasemDeen Date: ธ.ค. 16, 2013, 09:55 AM
โทษคนในหมู่บ้านซะงั้น
แถมยังโทษครูที่สอนด้วย
Re: การยกมือหลังละหมาด ห้าเวลา By: sharifbkd Date: ธ.ค. 16, 2013, 10:09 AM
โทษคนแถวบ้าน??? งง
โทษครู??ยิ่งงงงงงไปใหญ่...ถ้างั้น ที่คุณบอกว่ามีเฮ แปลว่า??? ...เรื่องครูอีก ท่านไม่ตอบมั่วๆในท่านไม่รู้จริงๆ แต่ท่านจะสัญญาว่าคาบหน้าจะหาคำตอบมาให้...นี่ผมโทษท่านหรือครับ???
Re: การยกมือหลังละหมาด ห้าเวลา By: BasemDeen Date: ธ.ค. 16, 2013, 10:24 AM
เข้าใจแล้วท่าน
ท่านเป็นคนประเภทที่เรียกได้ว่า ปลาไหล (ปลิ้นปล้อน)
จากข้อความล่าสุดที่ท่านพิมพ์
ที่ท่านบอกว่าคนในหมู่บ้านก็คิดแบบท่าน เท่ากับการบอกว่าความคิดท่านไม่ผิดเพราะคนอื่นก็คิดเหมือนหรือคล้ายกับท่าน
ที่ท่านบอกว่าในห้องเรียนก็เป็นแบบนี้ เท่ากับคุณบอกว่าอาจารย์ของคุณไม่ได้สั่งให้คุณรู้จักค้นคว้า เอาแต่รอรับความรู้อย่างเดียว
ผมว่าไม่มีประโยชน์อันใดเลยที่ใครก็ตามจะมาตอบคำถามให้กับท่าน
Re: การยกมือหลังละหมาด ห้าเวลา By: nada-yoru Date: ธ.ค. 16, 2013, 11:03 AM
ถ้าผมคิดผิดก็ต้องขอมะอัฟด้วย มีเฮแถวบ้านผมแปลว่ากำลังจะทำร้าย ห้ำหั่น ใช้ความรุนแรงต่อคู่กรณีนะครับ....ส่วนที่ว่าผมถามพุ่ง ก็ผมอยากรู้นิ ในห้องเรียนผมก็ถามครูแบบนี้ ตอบได้ก็ตอบเลย ตอบไม่ได้ครูก็บอกว่าไว้มาตอบคาบหน้านะ ไม่เห็นจะน่าเสียฟอร์มตรงไหน...บังอัชอารี หรือคนที่มีความรู้คนอื่นยังไม่เข้ามาไขข้อข้องใจ คนอย่าแทรก มันจะยาว คนเข้ามาอ่านทีหลังจะขี้เกียจอ่าน ..คุณมาตอบโต้ผม ได้ประโนชน์แะไรมั้ยย?? งั้นลองตอบโต้ด้วนหลักฐานซิ จะได้คำตอบไปตอบกับอัลลอฮฺเสียที
คุณแสวงหาความรู้ด้วยกับลักษณะที่เดินเข้าไปราวกับจะขู่เข็ญเขาให้เอาความรู้มาให้คุณเดี๋ยวนี้
และบัดนี้เลยเช่่นนี้บ่อยหรือเปล่าคะ...
คุณน่าจะเริ่มหากระทู้เก่าๆในเว็บนี้อ่านดูก่อนนะคะ...เมื่ออ่านทั้งหมดแล้ว ยังสงสัยใคร่รู้ในเรื่องใด
ที่ผู้รู้ยังไม่เคยให้คำตอบไว้...แล้วค่อยถาม หรือขุดกระทู้ที่ยังให้ข้อกระจ่างคุณยังไม่หมดขึ้นมา
เพื่อถามต่อ...เชื่อว่าพี่น้องในนี้คงไม่ใจร้ายปล่อยให้คุณตกอยู่ในความไม่รู้หากว่าเขารู้ในเรื่องที่คุณกำลังอยากรู้อยู่
Re: การยกมือหลังละหมาด ห้าเวลา By: sharifbkd Date: ธ.ค. 16, 2013, 11:39 AM
โพสต์ของบังอัชอารี ก็บอกอยู่นี่นา ว่านบีไม่ได้ทำ....ไม่มีหลักฐานสั่งให้ปฏิบัติ ผมแค่อยากหาหลักฐานไปบอกกับคนบางกลุ่มเท่านั้นเองว่า นี่ไงหลักฐาน!!!...ผมถือข้อกำหนดที่ว่า เรื่องดุนยา ถ้าไม่มีคำสั่งห้าม ให้ทำไปเลยตามสบาย ใครจะขี่อูฐ หรือนั่งเครื่องบินไปทำฮัจย์ ใครจะกินข้าวเจ้าหรือข้าวเหนียว ทำไปเลยครับ....ส่วนเรื่องศาสนาถ้าไม่พบหลักฐานสั่งใช้ก็ไม่ต้องทำ ...เพราะนบีบอกเอาไว้ว่า เรื่องดุนยาท่านเก่งกว่าฉัน พวกท่านทำไปเถอะ แต่เรื่องศาสนาให้มาถามฉัน...ถ้าไม่ยึดถือแบบนี้ ต่อไปใครจะคิดทำพิธีกรรมอะไรก็ได้ ขอให้มีคนหมู่มากเข้าไว้ แล้วเอาหลักฐานอื่นมาค้ำยัน...วกกลับไปเข้าเรื่อง คำตอบที่ผมได้คือ ไม่มีหลักฐานการกระทำจากนบีจริงๆ ผมอยากรู้แค่ว่าหลักฐานจากนบีมีหรือไม่มี บอกว่าไม่มีตั้งแต่ทีแรกก็หมดเรื่อง จะได้ไม่ต้องยาว...วัสลาม
Re: การยกมือหลังละหมาด ห้าเวลา By: BasemDeen Date: ธ.ค. 16, 2013, 12:01 PM
เรื่องศาสนาหากเป็น เรื่องที่นบีไม่ห้าม และเป็นเรื่องที่นบีไม่ได้ทำ และเป็นเรื่องที่ดี อันนี้ทำไม่ได้ หรือว่าเสี่ยง ในความหมายของคุณใช่ไหม
Re: การยกมือหลังละหมาด ห้าเวลา By: nada-yoru Date: ธ.ค. 16, 2013, 12:27 PM
โพสต์ของบังอัชอารี ก็บอกอยู่นี่นา ว่านบีไม่ได้ทำ....ไม่มีหลักฐานสั่งให้ปฏิบัติ ผมแค่อยากหาหลักฐานไปบอกกับคนบางกลุ่มเท่านั้นเองว่า นี่ไงหลักฐาน!!!...ผมถือข้อกำหนดที่ว่า เรื่องดุนยา ถ้าไม่มีคำสั่งห้าม ให้ทำไปเลยตามสบาย ใครจะขี่อูฐ หรือนั่งเครื่องบินไปทำฮัจย์ ใครจะกินข้าวเจ้าหรือข้าวเหนียว ทำไปเลยครับ....ส่วนเรื่องศาสนาถ้าไม่พบหลักฐานสั่งใช้ก็ไม่ต้องทำ ...เพราะนบีบอกเอาไว้ว่า เรื่องดุนยาท่านเก่งกว่าฉัน พวกท่านทำไปเถอะ แต่เรื่องศาสนาให้มาถามฉัน...ถ้าไม่ยึดถือแบบนี้ ต่อไปใครจะคิดทำพิธีกรรมอะไรก็ได้ ขอให้มีคนหมู่มากเข้าไว้ แล้วเอาหลักฐานอื่นมาค้ำยัน...วกกลับไปเข้าเรื่อง คำตอบที่ผมได้คือ ไม่มีหลักฐานการกระทำจากนบีจริงๆ ผมอยากรู้แค่ว่าหลักฐานจากนบีมีหรือไม่มี บอกว่าไม่มีตั้งแต่ทีแรกก็หมดเรื่อง จะได้ไม่ต้องยาว...วัสลาม
อยากให้ท่านได้อ่านและศึกษาประวัติของท่านนบีมุฮัมหมัด ซอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมดู
แล้วบางที ท่านอาจจะเข้าถึงอะไรบางอย่างที่กำลังหาอยู่ก็ได้...
ท่านรอซุลุ้ลลอฮฺท่านมีลักษณะเช่นไร ใช้ชีวิตอย่างไร อันนี้น่าศึกษายิ่งกว่าปัญหาข้อขัดแย้งทางด้านศาสนา(คิลาฟ)เสียอีกค่ะ...
แต่ใครหลายคนหาได้ให้ความสนใจเท่าที่ควร...กลับไปสนใจและให้ความสำคัญอย่างยิ่งยวดกับเรื่องหลักฐาน
ที่จะนำมาประหัตประหารกันแทน...
ปล.ท้ายสุดนี้...คำขอบคุณของท่านที่มอบให้ข้าน้อยมาก่อนหน้านี้ขอท่านเอาคืนกลับไปเถิดค่ะ...
เพราะมันปรากฎให้เห็นชัดเจนแล้วว่า...ข้าน้อยไม่สามารถให้หรือช่วยอะไรท่านได้จริงๆเลยก่อนหน้านี้...
ข้าน้อยจึงไม่ควรรับคำขอบคุณจากท่าน...
และคงต้องพอเสียที...
วัสลามค่ะ
Re: การยกมือหลังละหมาด ห้าเวลา By: sharifbkd Date: ธ.ค. 16, 2013, 01:03 PM
ไม่มีหลักฐาน แล้วจะปฏิบัติเยี่ยงไรละคะ แม่คุณทูนหัว เราปฏิญานตนว่านบีมูหัมหมัดเป็นบ่าวของอัลลอฮฺ และเป็นศาสนทูตของพระองค์ แต่ไม่มีแบบอย่างมาจากท่าน แต่เราอยากจะทำ เอาคำตอบไหนไปตอบท่าน ...ไม่มีหลักฐานแต่อยากทำ เพราะเห็นว่าน่าจะดี แล้วอัลลอฮฺบอกนบีว่า ศาสนาสมบูรณ์แล้ว อัลลอฮฺตะอาลา สื่อถึงอะไร???
Re: การยกมือหลังละหมาด ห้าเวลา By: nada-yoru Date: ธ.ค. 16, 2013, 01:48 PM
ไม่มีหลักฐาน แล้วจะปฏิบัติเยี่ยงไรละคะ แม่คุณทูนหัว เราปฏิญานตนว่านบีมูหัมหมัดเป็นบ่าวของอัลลอฮฺ และเป็นศาสนทูตของพระองค์ แต่ไม่มีแบบอย่างมาจากท่าน แต่เราอยากจะทำ เอาคำตอบไหนไปตอบท่าน ...ไม่มีหลักฐานแต่อยากทำ เพราะเห็นว่าน่าจะดี แล้วอัลลอฮฺบอกนบีว่า ศาสนาสมบูรณ์แล้ว อัลลอฮฺตะอาลา สื่อถึงอะไร???
อ่านเอง ตีความเอง แล้วก็สรุปเอง...ใครบอกใครแนะก็ไปว่ากระแทกกระทั้นเขา...
นี่คือแนวทางการแสวงหาความรู้ของท่านหรือ...
Re: การยกมือหลังละหมาด ห้าเวลา By: nada-yoru Date: ธ.ค. 16, 2013, 02:03 PM
อย่างนั้น เพื่อให้กระจ่างใจอีกรอบ...กรุณาอ่านซ้ำด้านล่างอีกครั้งนะท่าน..
ว่ามีตรงไหนที่บอกว่า บนีของเราไม่ยกมือหลังละหมาด
อ่านให้ละเลียดนะท่านนะ(อ่านให้ครบทุกบรรทัดได้จะดีเลยทีเดียว)...จะได้ไม่กล่าวหาคนอื่นแบบนี้อีก...
ซึ่งไอ้ที่ยกมาข้างล่างนี้ก็เป็นข้อความในกระทู้หน้าแรกของหัวข้อนี้เลย...
มันบ่งบอกอย่างชัดเจนว่า ท่านsharifbkd อ่านหัวข้อนี้ไม่ละเอียดและไม่ใส่ใจที่จะอ่านเลย...
แล้วยังมาวิจารณ์อีก...
การยกมือหลังละหมาด ห้าเวลา
ประเด็นปัญหาเรื่องนี้ มีการกล่าวขานกันอย่างมากมายในปัจจุบันจนบางกลุ่มได้ตัดสิน ฟันธงลงไปว่ามันคือ บิดอะฮ์ ที่ต้องห้ามเพราะว่า ท่านนบีซ.ล ไม่ได้กระทำ เรื่องนี้ ประเด็นนี้จะเป็นบิดอะฮ์หรือไม่ ? หรือเป็นที่ต้องห้ามหรือไม่ ? เราลองมาฟังคำพูดของท่านผู้รู้และนักวิชาการคนหนึ่งที่ท่านได้กล่าวอ้างอิงด้วยหลักฐานที่ชัดเจน และใช้กฏพื้นฐานหลัก ( قواعد أصوليهْ) ที่ยอมรับกันอย่างแน่นอน เพื่อที่จะสยบ หรือหักล้าง ต่อคำกล่าวอ้างของกลุ่มที่รู้ไม่จริง ในเรื่องศาสนาและกล้าที่กล่าวว่า เป็นบิดอะฮ์ ทั้งๆ ที่มันเป็นเรื่องของศาสนาแน่นอน
ณ.ตรงนี้ ผมจะขอกล่าวอ้างอิงหลักฐานของท่านตามลำดับโดยเรื่มจากกฏพื้นฐานหลักก่อนแล้วต่อด้วยหลักฐานที่ชัดเจน
กฏพื่นฐานหลักแรก. การที่เราจะยึดถือว่าสิ่งนี้ฮารอมสิ่งนี้มักโระห์ (น่ารังเกียจ) นั้น จะต้องทำความเข้าใจมาจาก คำว่า ่การห้าม(النهي عنه) เพราะกฏพิ้นฐานหลัก ถิอว่า การห้ามนั้นมีสองประการถ้าการห้ามนั้นเป็นการห้ามโดยเด็ดขาดแน่นอน ถือว่า การห้ามที่ฮารอมถ้าการห้ามนั้นเป็นการห้ามที่ไม่เด็ดขาดแน่นอน ถิอว่าการห้ามที่มักโระห์ (น่ารังเกียจ)
ตัวอย่าง การห้ามที่ฮารอมเด็ดขาด พระองค์อัลเลาะห์ ได้ดำรัสไว้ว่า
قل إنما حرم ربي الفواحش ماظهرمنها ومابطن : الأعراف33 :
ความว่า..ท่านจงประกาศเถิด...โอ้มูฮ่ำหมัดอันแท้จริงพระผู้อภิบาลของเจ้าได้บัญญัติสิ่งที่เป็นลามกต่างๆ สิ่งนั้น(กระทำ) เปิดเผย และกระทำไม่เปิดเผย และอีกคำดำรัส ที่ว่า...
ولا تقربوا الزنى إنه كان فاحشة وساء سبيلا : الإسراء:32
ความว่า.. และเจ้าทั้งหลายอย่าเช้าใกล้การประเวณีนอกสมรส เพระมันเป็นความอานาจารและเป็นหนทางอันชั่วร้าย
และตัวอย่างข้อที่สอง การห้ามที่ไม่เด็ดขาด มักโระห์ ท่านนบี ซ.ล ได้วจนะว่า...
إذا دخل أحدكم المسجد فلا يجلس حتى يصلى ركعتين : رواه البخاري ومسلم
ความว่า... เมื่อคนหนี่งจากพวกท่าน ได้เข้ามัสยิด ห้ามนั่งจนกว่าเขา ละหมาดสองรอกาอัตเสียก่อน
ดังนั้นจากกฏพื้นฐานดังกล่าวนี้การยกมือหลังละหมาดห้าเวลาไม่มีหลักฐานทีบ่งบอกว่า ห้ามเด็ดขาด ฮารอม กับห้ามไม่เด็ดขาด มักโระห์ก็ไม่ถึอว่าเป็นเรื่องต้องห้ามจากประการหนึ่งประการใด แต่กลับเป็นสิ่งที่ใช้ให้กระทำอีกบัญญัติเสียอีก กฏพื้นฐานหลัก ที่สอง. การละทิ้งสิ่งหนี่ง ( การที่ท่านนบี ซ.ล ไม่ได้กระทำ ) นั้น ไม่ได้บ่งบอก ชี้ถึงการห้าม เพราะมันไม่ได้เข้าข่ายของการห้าม ด้วยโองการที่ว่า..
وما أتاكم الرسول فخذوه وما نهاكم عنه فانتهوا فاتقواالله ، إن الله شديد العقاب : الحشر:7
ความว่า.. และสิ่งใดก็ตามที่ท่านศาสนทูตได้นำมายังพวกเจ้า พวกเจ้าก็จงยึดถึอมันไว้เถิด ส่วนสิ่งใดที่เขาห้ามพวกเจ้าไว้มิได้กระทำมัน พวกเจ้าจงยุติเสีย และจงยำเกรงอัลเลาะห์ เพราะแท้จริงอัลเลาะห์ ทรงตอบแทนโทษรุนแรงเป็นที่สุด โดยที่โองการนี้ ได้สร้างอภินิหาร อัศจรรย์ ให้พวกเราได้เห็นว่า ทำไมพระองค์อัลเลาะห์ ไม่ใช้สำนวน... ( وما تركه فا نتهوا عنه ) แทนจากสำนวน
( وما نهاكم فا نتهوا ) ซึ่งหมายความว่า สิ่งใดที่ท่านนบี ซ.ล ทิ้งมัน พวกเจ้าจงยุติเสีย เพราะว่า สิ่งที่ท่านละทิ้ง(ไม่กระทำ)นั้น มีมากมายเหลือเกิน ถ้าพระองค์อัลเลาะห์ เกิดใช้สำนวนนี้แล้วแน่นอนจะสร้างความลำบากเดือดร้อนให้กับมวลบ่าวของพระองค์ (พวกเรา) แน่นอนโดยๆที่พระองค์ประสงค์ ให้เกิดความสะดวกสบาย ง่ายดายแก่ปวงบ่าวทั้งหลายอีกทั้งสิ่งที่ท่านละทิ้ง(ไม่กระกระทำ)นั้นบ่งบอกเพียงว่าอนุญาตกระทำก็ได้ ละทิ้งก็ได้ไม่ได้เข้าข่ายว่าต้องห้ามกอรปกับไม่มีนักวิชาการคนใดเลยที่กล่าวว่า สิ่งใดที่ท่านนบี ซ.ล ละทิ้งนั้นคือบิดอะห์หรือสิ่งที่ต้องห้าม และเป็นเรื่องที่ไม่กินกับปัญญาอีกด้วยที่จะให้ท่านนบี ซ.ล กระทำและสอนรายละเอียดทั้งหมด เรื่องนี้ฮารอม เรื่องนี้ฮาลาล เรื่องนี้มักโระห์เรื่องนี้อนุญาต
ในยุคของท่านท่ามกลางเหตุการณ์อย่างนี้จนรวมถึงทุกยุคทุกสมัยท่ามกลางเหตุการณ์อย่างโน้น จนวันกียามะฮ์และจะทำให้การรวบรวมกุรอ่าน และอัลซุนนะห์ เป็นเรื่องยากที่จะรวบรวมถึงรายละเอียด ตั่งแต่สมัยท่านนบี ซ.ล จนถึงวันกียามัต ถ้าเกิดกุรอ่านและอันซุนนะฮ์ ได้รวบรวมถึงรายละเอียดทั้งหมดแล้วไซร้ อัลกุร อ่านและอัซซุนนะฮ์ คงจะใหญ่โตมโหฬาร แน่นอน
ด้วยเหตุนี้เอง อัลกุรอ่านและอัลซุนนะฮ์ได้รวบรวมเพียงกฏพื้นฐานใหญ่ๆ เอาไว้ให้เราใช้วินิจฉัยวิเคราะห์ กันในทุกๆเรื่องและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใหม่ๆตามแต่ละยุคแต่ละสมัย ตามกฏพื้นฐานหลัก ที่เข้าใจมาจากอัลกุรอ่านและอัซซุนนะห์เท่านั้น ซึ่งปัจจุบัน บางท่านยังทำความเข้าใจกันเองโดยไม่ได้ใช้กฏพื้นฐานหลักที่ว่า (ในบ้างเรื่อง )จนทำให้เขากล้าทีจะอ้างว่ามันไม่ใช่ศาสนา(ท่านนบี ซ.ล ไม่ได้กระทำ) ทั้งๆที่มันคือศาสนา และบัญญัติให้กระทำไว้ด้วยทำให้ศาสนาปั่นป่วน เพราะความรู้ เท่าไม่ถึงการณ์ไม่รู้ไม่จริงไม่รู้กฏพื้นฐานหลักว่าเขาใช้กันอย่างไรนี้แหละคือปัญหา
จากพื้นฐานหลักข้อนี้ การที่นบี(ซ.ล)ได้ละทิ้ง(ไม่กระทำ)การยกมือหลังละหมาด ห้าเวลา นั้น ไม่ได้บ่งบอกว่า ฮารอม หรือมักโระห์ ตามที่ใครบางคนบอกว่าเป็นบิดอะอ์ ที่ต้องห้ามแล้วเขามีหลักฐานไหนหล่ะที่จะมาอ้างว่า ห้ามกระทำ(การยกมือหลังละหมาด)จะมาอ้างว่าท่านนบี ซ.ล ไม่ได้กระทำก็ไม่ได้ตามกฏที่ผมได้กล่าวมาแล้ว. แต่ทว่ากลับมีกฏพื้นฐานหลัก ข้อที่สาม เข้ามาสนับสนุน
กฏพื้นฐานหลัก ที่สามอายะห์ฮุก่ม หรือซุนนะห์ใด ก็ตามที่ครอบคลุมนัยกว้างๆในเรื่องหนึ่ง (ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่มีหลักฐานใดมาห้าม กระทำ) นั้นบ่งบอกถึงบัญญัติให้ใช้กระทำในเรื่องนั้นๆเช่น วจนะของท่านนบี ซ.ล ที่ได้กล่าวว่า....
إن الله حي كريم يستحي إذا رفع العبد إليه يديه أن يردهما صفرا خائبتين :
رواه الترمذي في الدعوات وابن ماجه في الدعاء 3765 وابن حبان في الإحسان 877
فيه: أبوعثمان النهدي مقبول
ความว่า... แท้จริงพระองค์อภิบาล ผู้ทรงมีชีวิต ผู้ทรงใจบุญเมตตาท่านละอาย เมื่อบ่าวคนหนึ่งได้ยกสองมือวอนขอ ต่อท่านบีให้กลับไปโดย สองมือว่างเปล่า สิ้นหวัง.. รายงานโดยท่านติรมิซีย์ ท่านอิบนุมายะห์และท่านอิบนุหิบบาน
จากฮาดิษ วจนะนี้ บ่งบอกว่า การยกสองมือ นั้นได้ครอบคลุม กินกว้าง ถึง การยกมือหลังละหมาด ห้าเวลาหรือละหมาดอื่นๆ ด้วย เพราะวจนะ ฮาดิษ ไม่ได้เจาะจง บอก เรื่องการยกมือเอาไว้ ว่า ยกในช่วงไหน ละหมาดใดบ้าง กอปรกับการที่ไม่มีอาดิษตันใดมาห้าม หรือเจาะจงในช่วงหนึ่ง ช่วงใด ดังนั้นถ้าถึอตามกฏพื้นฐานหลักนี้แล้ว ก็ถึอว่า การยกมือหลังละหมาดทั้งห้า นั้น เป็นบัญญัติ ใช้ให้กระทำ ไม่อนุญาต ให้เรียกว่า นี้คือบิดอะห์ที่ต้องห้าม
และอีกวจนะหนึ่งที่ว่า...
قال رسول الله صلى الله عليه وسلم: ما رفع قوم أكفهم إلى الله عزوجل يسألونه شيئا إلا كان على الله حقا أن يضع في أيديهم الذي سألوا : رواه الطبرني في الكبير6142 وقال الهيثمي في مجمع الزوائد 1/169 رجاله صحيح
ความว่า.. ท่านนบี ซ.ล ได้วจนะว่า ไม่มีกลุ่มชนใดที่ได้ยกมือวอนขอ ต่ออัลเลาะห์แล้ว เว้นไว้ สิทธิของพระองค์ ทีทรงตอบแทน การวอนขอ
วจนะนี้ ก็เช่นเดียวกัน กินกว้าง ครอบคลุม ถึงการยกมือหลังละหมาด จะเป็นห้าเวลา หรือละหมาดอื่นๆ รวมไปด้วยและอีกหลายๆ ฮาดิษอีก ที่ผมไม่ได้ยิบหยกมาบอก เพียงเท่านี้ ก็พอแล้วทำหรับผู้ที่ยอมรับ ใจเป็นกลางที่จะปฏิบัติตาม ทว่าเพื่ยงกฏพื้นฐานหลัก ทั้งสามขัอนี้อาจจะไม่เพืยงพอสำหรับคนที่จะเอาหลักฐานตรงๆชัดๆไม่ยอมรับ ฟังการที่เอาพื้นฐาน
มาใช้ตรงนี้แต่ก้อไม่เป็นไรผมมีหลักฐานหนึ่งที่จะชัดเจนตรงๆซึ้งไม่สามารถ เปลึ่ยนเป็นอื่นได้เลย เพื่อจะเปิดตาใจให้เขาได้เห็น และรับรู้ เอาไว้อย่าไปเที่ยวอ้างว่า เป็นบิดอะห์ที่ต้องห้ามอีก และยังคิดว่าตัวเองทำตามซุนนะห์แล้ว (ผมขอ ถ้าไม่รู้จริง อย่าไปเที่ยวกล่าวอ้าง เพราะคนที่ผิดคือท่านนั้นเอง โดยที่ท่านไม่รู้ตัว )ถ้าเขาไม่ยอมรับอีก
ก็เทียบเท่าว่าเขาปฏิเสฐบทบัญญัติเรื่องนี้(วันอียาชูบิ้ลล่าห์)ขอให้พวกเราห่างไกล จากการเป็นคนที่ปฏิเสทบทบํญญัตินี้
พึงทราบเถิดว่า หลักฐานนี้ก็คือ....
ما رواه الطبراني عن محمد بن أبي يحيى قال : رأيت عبدالله بن الزبير ورأى رجلا رافعا يديه يدعو فبل أن يفرغ من صلاته ، فلما فرغ منها قال له : إن رسول الله لم يكن يرفع يديه حتى يفرغ من صلاته ، قال الحافظ الهيثمي : رجاله ثقات : محمع الزوائد 1/169 وعزاه الطبراني
ความว่า..ท่านมูฮ่ำหมัดบุตรท่านอาบียะห์ยาได้กล่าวว่า ฉันได้เห็นท่านอับดุลเลาะห์บุครของชูบี้ร ท่านได้เห็นผู้ชายคนหนึ่งได้ยกสองมือวอนขอก่อนจากเสร็จละหมาด(ในละหมาด) ต่อมาในขณะที่เขาเสร็จละหมาด ท่านอับดุลเลาะห์ ได้กล่าวแก่ชายผู้นั้นว่า แท้จริงท่านร่อซู้ล ซ.ล ไม่เคยยกสองมือวอนขอในละหมาดเลย จนกว่าท่านจะเสร็จละหมาด ... ในหนังสือมัญมะอ์ชาวาเอ็ด 1/196
ข้อมูลจากหนังสือ
إتقان الصنعة في تحقيق معنى البدعة للعلامة المحدث محمد بن مقبول الأهدل الحسيني الشافعي : تحقيق عبد الله المنشاوي
คุณ Muttakeen
السلام عليكم ورحمة الله
ในประเด็นของกระทู้นี้นั้น ตรงใหนหรือครับที่ท่านนบี(ซ.ล.) ไม่เคยทำ การยกมือขอดุอาอ์หลังละหมาด เป็นสิ่งที่ท่านนบี(ซ.ล.)ไม่เคยกระทำหรือครับ? คุณลองอ่านให้หมดเสียก่อน
และซุนนะฮ์ของท่านนบี(ซ.ล.) ไม่ใช่การกระทำของท่านนบี(ซ.ล.) เพียงอย่างเดียว เนื่องจากซุนนะฮ์ของท่านนบี(ซ.ล.) คือ การกระทำ คำพูด การยอมรับ คุณลักษณะ และจรรยาของท่านนบี(ซ.ล.) ดังนั้น การกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องให้ท่านนบี(ซ.ล.)กระทำมาก่อน แต่หากท่านนบีได้พูดชี้แนะหนทางเอาไว้ ก็เราสามารถนำมาปฏิบัติได้
อย่างเช่น การอ่านอุอาอ์กุนูตในละหมาดวิติรเดือนรอมมะฏอนที่มัสยิดอัลหะรอม ซึ่งถ้อยคำในกุนูตนั้น ก็ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ท่านนบี(ซ.ล.)เคยกระทำกันขอดุอาอ์ไปเสียทั้งหมด ซึ่งเป็นการแต่งดุอาอ์ขึ้นมาเองก็เป็นส่วนมากโดยที่ท่านนบี(ซ.ล.)ไม่เคยกระทำแล้วทำไมถึงไม่มีผู้อ้างตนเองว่าตามอัลกุรอานและซุนนะฮ์มาฮุกุ้มว่าเป็นบิดอะฮ์
การจำกัดการอ่านคอตัมอัลกุรอานในคืนที่ 27 ของเดือนรอมะฏอนที่ทำกันในมัสยิดอัลหะรอมนั้น นบีก็ไม่เคยกระทำ ทำไมผู้อ้างตนว่าตามอัลกุรอานและซุนนะฮ์ไม่ฮุกุ่มพวกเขาว่าทำบิดอะฮ์ที่ลุ่มหลง
ท่านนบีไม่เคยนำละหมาดตะฮัจญุดเป็นญะมาอะฮ์เหมือนกับที่มัสยิดอัลหะรอมเขาทำกัน ทำไมไม่มีใครฮุกุ่มว่าเป็นบิดอะฮ์ที่ลุ่มหลง
การอ่านดุอาอ์คอตัม(จบ)อัลกุรอานในละหมาดตะรอวิห์ ซึ่งนบีไม่เคยกระทำ แล้วทำไมไม่มีผู้อ้างตนว่าตามอัลกุรอานและซุนนะฮ์ฮุกุ่มว่าเป็นบิดอะฮ์ที่ลุ่มหลง
การที่มุบัลลิฆ กล่าวหลังจากตะรอวิหฺว่า صلاة القيام أثابكم الله นั้น นบีเคยทำ แต่ทำไมผู้อ้างตนเองว่าตามอัลกุรอานและซุนนะฮ์ถึงไม่มาฮุกุ่มว่าเป็นบิดอะฮ์ที่ลุ่มหลง
ดังนั้น หากคุณ Muttakeen มีใจเป็นธรรม ก็อย่าอ้างตนเองว่า ตามอัลกุรอานและซุนนะฮ์ วัลลอฮุอะลัม
Re: การยกมือหลังละหมาด ห้าเวลา By: sharifbkd Date: ธ.ค. 20, 2013, 10:45 AM
อะไรอะไร ก็ บิดอะห์ๆ งั้น ไปทำฮัจญ์ ก็ไม่ต้องขึ้นเครื่องบินสิครับ ( นบีไม่ทำ ) บิดอะห์มากนักก็ขี่อูฐไปทำฮัจญ์เลยสิครับ !http://www.youtube.com/watch?v=Dt36k2baeco&list=PLIVj7UD8Pi81x3hkSAykPrjE3vol2MePB&index=7
Re: การยกมือหลังละหมาด ห้าเวลา By: nada-yoru Date: ธ.ค. 20, 2013, 11:44 AM
สำหรับคุณ sharifbkd นั้น...ข้าน้อยขอจบกับการเสวนากับท่านด้วยกับคำว่า
"ท่านสะดวกเดินทางไหน ก็เดินไปตามทางนั้นเถิด..."
Re: การยกมือหลังละหมาด ห้าเวลา By: sharifbkd Date: ธ.ค. 20, 2013, 08:27 PM
พวกนี้มันขอดุอาอฺไม่เป็น อามีนเป็นอย่างเดียว สมัยตอนผมทำเมาลิด เฝ้ากุโบร์ กินอาหารสำราญใจบ้านคนตาย ผมโดนว่าอย่างนี้แหละ....สมควรแล้วแหละที่โดนว่า ไม่รู้อีหม่ามว่าไรมั่ง เราก็นั่งอามีน อามีน อามีน...เห้อออ พวกซูฟีย์นี่ร้ายจริง สอนคนหลงทางหมด...
(ผมบ่น เห่อะๆๆๆ)
Re: การยกมือหลังละหมาด ห้าเวลา By: nada-yoru Date: ธ.ค. 21, 2013, 08:50 AM
พวกนี้มันขอดุอาอฺไม่เป็น อามีนเป็นอย่างเดียว สมัยตอนผมทำเมาลิด เฝ้ากุโบร์ กินอาหารสำราญใจบ้านคนตาย ผมโดนว่าอย่างนี้แหละ....สมควรแล้วแหละที่โดนว่า ไม่รู้อีหม่ามว่าไรมั่ง เราก็นั่งอามีน อามีน อามีน...เห้อออ พวกซูฟีย์นี่ร้ายจริง สอนคนหลงทางหมด...
(ผมบ่น เห่อะๆๆๆ)
จงหาความรู้ต่อไป...
หากท่านศึกษาสิ่งใดแล้วหวังอยากจะได้รับความเข้าใจ...
อินชาอัลลอฮฺ...ท่านจะได้เข้าใจ
หากท่านหวังที่จะศึกษาเพื่อสิ่งอื่น...ก็ย่อมต้องเป็นไปตามนั้น
อินชาอัลลอฮฺ...
เพราะเหนียต(ตั้งใจ)สิ่งใด...มันก็ย่อมต้องได้รับตามที่เหนียต
อินชาอัลลอฮฺ...
สำหรับกระทู้นี้ก็น่าจะจบได้แล้ว เพราะสำหรับประเด็น
ของหัวข้อนี้ท่านก็ไม่เห็นจะหาอะไรมาถกต่อแล้ว...
เพราะถ้าจะพูดเรื่องอื่น ก็ควรจะตั้งหัวข้อใหม่...
วัสลาม