กระดานเสวนานักศึกษาอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ ข่าวสารและสังคมมุสลิม
Pages: 12
ศาสนาต้องอำนวยประโยชน์แก่มนุษยชาติ: มูนีร์ ซาอิด ธาลิบ By: قطوف من أزاهير النور Date: ต.ค. 04, 2007, 11:47 PM

ไปเจอมาจากเวบพันทิป เกรงว่ามันจะหายไปเลยเอามาฝากจ่ะ  party:




สัมภาษณ์มูนีร์ : ศาสนาต้องอำนวยประโยชน์แก่มนุษยชาติ
โดย เกษียร เตชะพีระ  มติชนรายวัน วันที่ 05 สิงหาคม พ.ศ. 2548 ปีที่ 28 ฉบับที่ 10009



สัปดาห์ที่แล้ว ผมแนะนำประวัติโดยสังเขปของ มูนีร์ ซาอิด ธาลิบ (ค.ศ.1965-2004) นักเคลื่อนไหวสิทธิมนุษยชนชั้นนำ ผู้เปรียบเสมือน ทนายสมชาย นีละไพจิตร+สุลักษณ์ ศิวรักษ์ ของอินโดนีเซีย เขาถูกฆาตกรรมทางการเมืองด้วยสารพิษ arsenic อย่างอุกอาจ ระหว่างเดินทางด้วยสายการบิน Garuda ไปศึกษาต่อที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 7 กันยายน ศกก่อน และทางการยังจับตัวฆาตกรและผู้บงการไม่ได้ตราบเท่าทุกวันนี้

ก่อนมูนีร์เสียชีวิตไม่นาน เขาเปิดใจให้สัมภาษณ์แก่ อูลิล อับชาร์-อับดัลลาห์-อดีตรองประธานองค์การ Nahalathul Ulama (NU) อันเป็นองค์การชาวมุสลิมใหญ่ที่สุดในอินโดนีเซียระหว่างปี ค.ศ.1994-1999 และปัจจุบันเป็นประธานเครือข่ายอิสลามเสรี (Jaringan Islam Liberal, JIL) กับสถาบันศึกษาและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (Lakpesdam) -เกี่ยวกับปรัชญาการดำเนินชีวิต และศรัทธาศาสนาของเขา

ที่สำคัญมูนีร์ได้เล่าความหลังครั้งเป็นนักศึกษาที่เคยเข้าร่วมเคลื่อนไหวในองค์การอิสลามหัวรุนแรง รวมทั้งข้อคิด และประสบการณ์ที่ได้ ซึ่งทำให้เขาเปลี่ยนใจหันมาทำงานด้านสิทธิมนุษยชนแทนในเวลาต่อมา บทสัมภาษณ์ชิ้นนี้ตีพิมพ์เผยแพร่ครั้งแรก เป็นภาษาอินโดนีเซียเมื่อวันที่ 13 กันยายน ศกก่อน และแปลเป็นอังกฤษลงในเว็บไซต์ของเครือข่ายอิสลามเสรีภายหลัง

ดู http://islamlib.com/en/page.php?page=article&id=724



Re: ศาสนาต้องอำนวยประโยชน์แก่มนุษยชาติ: มูนีร์ ซาอิด ธาลิบ By: قطوف من أزاهير النور Date: ต.ค. 04, 2007, 11:50 PM


อูลิล : ในฐานะนักเคลื่อนไหวสิทธิมนุษยชน คุณคงเคยครุ่นคิดเกี่ยวกับความหมายของอิสลามในชีวิตการทำงานของคุณมาแน่ๆ คุณเล่าให้เราฟังหน่อยได้ไหมครับ?

มูนีร์ : ผมเข้าไปพัวพันกับแนวทางศาสนาสุดโต่งหรือหัวรุนแรงจากปี ค.ศ.1984-1989 ตอนนั้นผมถึงกับพกมีดติดตัวไปไหนต่อไหน ในนามของการต่อสู้ขัดแย้งทางศาสนา แต่อันที่จริงแล้วผมอดรู้สึกไม่ได้ว่า มีอะไรบางอย่างขาดหายไปเกี่ยวกับหน้าที่ที่ศาสนาพึงมี

จนถึงจุดหนึ่ง ผมก็เริ่มตั้งคำถามว่าอิสลามบัญชาการให้ผมแยกตัวออกมาต่างหาก และโดดเดี่ยวตัวเองจากชุมชนอื่นจริงหรือ มันเหมือนเกิดการสู้รบกันในใจผมเกี่ยวกับประเด็นที่ว่า : เอาเข้าจริงศาสนาอิสลามดำรงอยู่เพื่ออัลลอฮ์ หรือว่าดำรงอยู่เพื่อมวลมนุษย์ในอันที่จะสรรค์สร้างสังคมที่ดีกว่านี้โดยทั่วไปขึ้นมากันแน่?

ผมพบว่าศาสนาถูกเผยประกาศเพื่อเป้าประสงค์ประการหลัง ผมเห็นด้วยกับกุสดูร์ (อดีตประธานาธิบดีอับดูร์ราห์มาน วาฮิด) ว่าพระผู้เป็นเจ้าไม่จำเป็นต้องมีองค์รักษ์มาปกป้องพระองค์ดอก ศาสนาต้องอำนวยประโยชน์แก่มนุษย์ เราพร่ำพูดถึงพรที่อิสลามประทานให้แก่เอกภาพ(rahmatan lilalameen) โดยไม่เข้าใจแก่นแท้ของมัน

ท้ายที่สุด ผมจึงออกจากกลุ่มอิสลามสุดโต่งดังกล่าว เนื่องจากมันเหลือวิสัยที่ผมจะอยู่รอดต่อไปไหว ในชุมชนที่แยกตัวต่างหากแบบนั้น ก็เพราะอิสลามเกื้อหนุนอารยธรรมนี่เอง อิสลามจึงพึงดำเนินงานเพื่อปรับปรุงชีวิตมนุษย์ให้ดีขึ้น

ตรงกันข้าม ทรรศนะสุดโต่งและไม่อดกลั้นอดออมทางศาสนาจะทำลายอารยธรรมของมนุษย์ลง คนจำนวนมากคิดว่าตนกำลังสร้างสรรค์สังคม กระนั้นก็ตาม ความจริงพวกเขากำลังสร้างสัญลักษณ์ ที่ทำลายอารยธรรมต่างหาก

อูลิล : ประสบการณ์ของคุณน่าสนใจในแง่ที่มันเป็นเรื่องของบุคคลที่เป็นสมาชิกของชุมชนอันดับสอง-  หมายถึงชุมชนทางศาสนา หรือชาติพันธุ์-แทนที่จะถือตนเป็นคนอินโดนีเซียอันดับแรกก่อนอื่นใดหมด?

มูนีร์ : บางครั้งความหลากหลายก็กระตุ้นให้เกิดทรรศนะสุดโต่งทางศาสนา หรือชาติพันธุ์ขึ้นมาเหมือนกัน ซึ่งพอเกิดแล้วมันก็จะถือว่ากลุ่มของตัวเองสำคัญอย่างเด็ดขาดสมบูรณ์ และมองข้ามกลุ่มอื่น นอกจากทรรศนะสุดโต่งระหว่างต่างศาสนาแล้ว ทรรศนะอย่างเดียวกันก็เกิดภายในหมู่สำนักคิดต่างๆ ร่วมศาสนาด้วย ในอินโดนีเซียเราได้เห็นการนองเลือดมากมาย เนื่องจากความหลากหลายของวิธีเข้าสู่ปัญหาของสำนักต่างๆ ทางศาสนา จนชีวิตดูเหมือนเป็นสงครามแย่งชิงพื้นที่ในสวรรค์กัน อันนี้แหละคือปัญญา

อูลิล : ตอนไหนครับที่คุณตีตัวออกห่างทรรศนะสุดโต่ง?

มูนีร์ : มันเกิดจากคำถามหนึ่งที่ มาลิค ฟาจาร์ อาจารย์ของผมตั้งขึ้นตอนนั้น (มาลิค ฟาจาร์ ได้ขึ้นเป็นรัฐมนตรีศึกษาธิการต่อมา-บรรณาธิการ) แกบอกว่า "ฉันไม่เคยเจอนักศึกษาโง่เง่าอย่างเธอเลย เที่ยวพกจิตใจสู้รบไปไหนต่อไหนในนามศาสนาเพื่อจะได้ควบคุมครอบงำคนอื่น"

สำหรับผมตอนนี้ อิสลามนั้นเสรีและยอมรับความหลากหลาย อิสลามจะไม่มีสิทธิอำนาจอันใดเมื่อไม่เผื่อแผ่พื้นที่ให้คนอื่น คำถามนี้กลายเป็นบทแย้งความคิดกระแสหลักของหลายกลุ่มตอนนั้น นิกายสุดโต่งที่ผมเคยสังกัดก็ไม่เผื่อแผ่พื้นที่ให้คนอื่นเหมือนกัน

อูลิล : คุณช็อคไหมครับตอนที่มาลิก ฟาจาร์ ดุคุณเรื่องนี้?

มูนีร์ : ช็อคครับ แต่ผมก็รู้สึกได้แรงดลใจด้วย

ตอนนั้นผมเป็นนักกิจกรรมในสมาคมนักศึกษาอิสลาม (HMI) คำวิจารณ์ประการที่สองของอาจารย์มาลิคแกว่าอย่างนี้ครับ : "เรียนรู้ศาสนาอิสลามที่แท้จริงซะ! ช่วยไปอ่านธรรมนูญของสมาคมนักศึกษาอิสลามทีเถอะ จริงหรือเปล่าที่สมาคมนี้ เอาแต่สร้างความขัดแย้ง หรือว่ามันมีภารกิจทางสังคมอยู่?"

ตอนหลังผมถึงพบว่า อิสลามตระหนักความจริงเรื่องความยุติธรรมในความสัมพันธ์ทางสังคมที่มีผู้กดขี่กับผู้ถูกกดขี่อยู่ และอิสลามควรเข้าข้างผู้ถูกกดขี่ เพื่อสร้างความยุติธรรมขึ้นมา ผมคิดว่าอิสลามเป็นเรื่องของความยุติธรรม ไม่ใช่การแยกตัวออกไปต่างหากอย่างที่เราเห็นกันอยู่ทุกวันนี้ นี่แหละที่ทำให้ผมทิ้งทรรศนะสุดโต่งไว้เบื้องหลัง และผมได้พบชุมชนใหม่ที่ยอมรับความหลากหลายแทน

อูลิล : คุณโชคดีที่ผ่านพ้นทรรศนะสุดโต่งโดยอาศัยได้กัลยาณมิตรที่ดี และตื่นรู้ขึ้นมา แล้วกับพวกหัวสุดโต่งทุกวันนี้ล่ะ จะมีทางตื่นรู้เหมือนคุณไหม?

มูนีร์ : ผมคิดว่ามีทางนะครับ ปัญหาหลักอยู่ตรงทรรศนะสุดโต่งนั้นมุ่งหน้าหาอำนาจการเมือง แทนที่จะพยายามเข้าใจ ความไม่ยอมอดกลั้นอดออม ต่อคนอื่นอันเจ็บแค้นขมขื่นให้ลึกซึ้ง อันที่จริงทรรศนะสุดโต่ง ที่เกิดจากกิเลสตัณหาทางการเมืองเป็นอันตรายยิ่งกว่าความตื้นเขินทางศาสนาเสียอีก

ทุกวันนี้น่ะ ผมคิดว่าพวกหัวสุดโต่ง โน้มเอียงไปทางการเมืองมากกว่าเทววิทยาครับ



มีต่อ  hihi:

Re: ศาสนาต้องอำนวยประโยชน์แก่มนุษยชาติ: มูนีร์ ซาอิด ธาลิบ By: قطوف من أزاهير النور Date: ต.ค. 04, 2007, 11:54 PM


"สัมภาษณ์มูนีร์ : ศาสนาต้องอำนวยประโยชน์แก่มนุษยชาติ (ตอนจบ)"

โดย เกษียร เตชะพีระ  มติชนรายวัน วันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2548 ปีที่ 28 ฉบับที่ 10016



(คำสัมภาษณ์ มูนีร์ ซาอิด ธาลิบ(ค.ศ.1965-2004) นักเคลื่อนไหวสิทธิมนุษยชนชั้นนำ ผู้เปรียบเสมือน ทนายสมชาย นีละไพจิตร+สุลักษณ์ ศิวรักษ์ ของอินโดนีเซีย เกี่ยวกับปรัชญาการดำเนินชีวิตและศรัทธาศาสนาของเขาต่อไปนี้ ให้ไว้แก่อูลิล อับชาร์-อับดัลลาห์ ประธานเครือข่ายอิสลามเสรีของอินโดนีเซียไม่นาน ก่อนเขาถูกฆาตกรรมทางการเมืองด้วยสารพิษ arsenic อย่างอุกอาจระหว่างเดินทางด้วยสายการบิน Garuda ไปศึกษาต่อที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 7 กันยายน ศกก่อน คำแปลบทสัมภาษณ์ข้างล่างนี้เป็นตอนจบต่อจากสัปดาห์ก่อน)





มูนีร์ : ผมคิดว่าทรรศนะสุดโต่งเกิดขึ้นเมื่อสถานการณ์ทางสังคม-การเมือง สร้างแรงกดดันที่คุกคามชุมชน อย่างไรก็ตาม มันก็มีเหตุผลทางศาสนาต่างๆ นานาที่ให้ความชอบธรรมกับแรงกดดันทางการเมืองด้วย

ตัวอย่างเช่น ผู้คนให้ความชอบธรรมกับการใช้โศลกที่ว่าชาวยิวและคริสเตียนจะเป็นศัตรูกับอิสลามตลอดไป ผู้คนใช้โศลกทำนองนี้โดยไม่ดูเลยว่าบริบททางประวัติศาสตร์ของมันเป็นอย่างไร พวกเขาใช้มันราวกับว่าความเป็นศัตรูกับยิวและคริสเตืยนนั้นเป็นเรื่องถาวรอยู่เสมอ

ผมคิดว่ามีการนำเหตุผลมากมายมาใช้ให้ความชอบธรรมกับความกลัว ว่าจะเกิดอิสลามภิวัตน์ หรือคริสเตียนภิวัตน์ ความหวาดวิตกแบบนั้นมีอยู่ในทุกศาสนา บางคนทึกทักว่าพื้นที่ทางศาสนาจะถูกปิดกั้นถ้าหากอิสลามพ่ายแพ้ทางการเมือง พวกเขากังวลว่าจะมีคนที่ละหมาดในมัสยิดไม่เป็น หรืออ่านคัมภีร์อัลกุรอ่านไม่ออก ความกังวลเช่นนี้อาจกลายเป็นภัยคุกคามร้ายแรงที่ล่อใจเราให้พยายามควบคุมและบังคับคนอื่นให้นับถือศาสนา

ในบริบทแบบนี้แหละที่บังเกิดแนวคิดว่ารัฐจะต้องบังคับใช้ศาสนาทำนองเดียวกับที่ทรรศนะสุดโต่งเกิดขึ้น เนื่องจากความหวาดวิตกว่าจะถูกประเทศอื่นครอบงำ

อูลิล : ถ้าเช่นนั้นก็หมายความว่าพวกหัวสุดโต่งเชื่อว่าอิสลามกำลังถูกคุกคาม ดังนั้น ก็เลยต้องตีโต้กลับไปใช่ไหม?




มูนีร์ ซาอิด ธาลิบ (ภาพจากAljazeera.net)



มีต่อ  hihi:
Re: ศาสนาต้องอำนวยประโยชน์แก่มนุษยชาติ: มูนีร์ ซาอิด ธาลิบ By: قطوف من أزاهير النور Date: ต.ค. 05, 2007, 12:01 AM


มูนีร์ : ผมคิดว่าทีทรรศน์ทางศาสนาถูกกำหนดจากบริบทที่ผู้คนดำรงชีวิตอยู่ สำนักคิดอิสลามต่างๆ ดำรงอยู่ในบริบทและประวัติศาสตร์เฉพาะเหมือนกัน ในบริบทนี้ ศาสนาอาจกลายเป็นรูปแบบการต่อต้านสำหรับผู้ถูกกดขี่ได้ แต่พวกหัวสุดโต่งทางศาสนาไม่ควรโจมตีมนุษย์ที่ดูยังไงก็ไม่ใช้ผู้กดขี่ไปได้

ผมเห็นด้วยว่าอิสลามต้องสนองพลังงานให้การต่อสู้กับการกดขี่ แต่ไม่ใช่เพื่อเอาไปสู้กับบางศาสนา ตัวอย่างเช่น ที่เรายากจนไม่ใช่เพราะถูกคริสต์ศาสนาครอบงำ แต่เพราะถูกทุนหรือโครงสร้างครอบงำต่างหาก ฯลฯ

ผมคิดว่าศาสนาสามารถสนองพลังงานใหม่ให้ผู้คนต่อต้านการกดขี่ได้ตราบที่มีเป้าที่ชัดเจน แต่ศาสนาไม่ควรฉวยใช้สิทธิอำนาจของตนไปสู้กับคู่อริด้วยการร้องตะโกนว่า คาฟีร์ (kafir หมายถึงพวกนอกศาสนา) บ้างละ มูร์ทาดบ้างละ (murtad หมายถึงพวกทรยศศาสนา) เป็นต้น

อูลิล : ดูเหมือนศาสนาจะเป็นรูปแบบหนึ่งของการต่อต้านใช่ไหมครับ?

มูนีร์ : ผมเชื่อว่าอิสลามเป็นศาสนาของผู้ถูกกดขี่ อิสลามให้คำตอบแก่ปัญหาทางสังคมของพวกเขาขณะเดียวกัน บรรดาผู้ไม่ได้ถูกกดขี่ก็มีหน้าที่ช่วยเหลือพวกเขา และประกันว่าการกดขี่จะสิ้นสุดลง นั่นแหละคือสังคมอิสลามที่แท้จริง

การต่อสู้กับความยากจนเป็นสิ่งจำเป็น เนื่องจากความยากจนนำพาผู้คนไปสู่การละทิ้งศาสนา ดังนั้น การต่อสู้กับความยากจนจึงเป็นบัญชาสำคัญสำหรับสังคมมุสลิม อิสลามไม่ได้บัญชาการเราให้สู้กับศาสนาอื่น แต่ให้ผู้กับการกดขี่และความยากจน ผมคิดว่านี่เป็นรากฐานสำคัญสำหรับสังคมและอารยธรรมมุสลิม

อูลิล : ถ้างั้นก็หมายความว่าวิธีมองทางศาสนาเช่นนี้ผลักดันคุณให้ปกป้องผู้ถูกกดขี่และต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนใช่ไหมครับ?

มูนีร์ : ผมเกิดในครอบครัวที่นับถือศาสนาในความหมายยึดเป็นบรรทัดฐานการประพฤติปฏิบัติ แต่ผมคิดว่าแค่นั้นมันไม่พอ การนับถือศาสนาควรไปเกินกว่าบรรทัดฐานการประพฤติปฏิบัติ อาทิ สมมติฐานที่ว่า การนับถือศาสนาหมายถึงต้องละหมาดวันละ 5 ครั้ง เป็นต้น อันนี้ถูกวิจารณ์โดยคัก นูร์ (นูร์ โคลิส มาญิด) ว่าเป็นเพียงการเคร่งศาสนาแต่ในทางสัญลักษณ์และรูปแบบเท่านั้น เราต้องตระหนักว่ามีคำกล่าวในละหมาดที่บงการให้ต้องกระทำบางอย่างในชีวิต



อย่างเช่นผมนึกไม่ออกว่าจะให้ผมกล่าวละหมาดว่า "ด้วยความเที่ยงแท้, คำละหมาดของข้า, พิธีกรรมของข้า, ชีวิตของข้าและความตายของข้า..." และขณะเดียวกันก็ยังทำตัวทุจริตฉ้อฉลและมองข้ามความยากจน ฯลฯ ได้อย่างไร ในกรณีเช่นนั้น พระผู้เป็นเจ้าคงประณามผมว่าเป็นคนเพิกเฉย ไร้ค่า และน่าทุเรศ



ในบริบทที่ว่านี้ เมื่อผมละหมาด ผมก็ต้องเข้าข้างคนยากจน และกัดฟันเลือกเพื่อทำให้ได้ตามคำบัญชา-อาทิ ปกป้องผู้ตกเป็นเหยื่อเป็นต้น-ในเมื่อผมได้หันหน้าหาความยุติธรรมแล้ว สำหรับผมชุมชนมุสลิมต้องเข้าข้างผู้ถูกกดขี่ มันเป็นสิ่งที่ผมเลือกและความเชื่อของผม การสร้างสังคมที่ยุติธรรมนั้นเป็นการต่อสู้ทางศาสนา สังคมยุติธรรมไม่ได้กำหนดให้ทุกคนต้องเป็นมุสลิม แต่ให้แสดงออกซึ่งแนวคิดของอิสลามเรื่องความยุติธรรมภายในสังคม

อูลิล : คุณคิดว่าคุณยังต้องระบุเอกลักษณ์ตัวเองว่าเป็นมุสลิมที่เคร่งครัดเวลาต่อสู้เพื่อความยุติธรรมอีกไหม หรือว่าการต่อต้านความอยุติธรรมที่ว่านี้มันข้ามพ้นเรื่องชื่อฉายาและสัญลักษณ์ไปแล้ว?

มูนีร์ : ผมไม่รู้จะอ้างตัวว่าเคร่งศาสนาได้หรือเปล่า แต่ผมเป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่เชื่อว่าการสถาปนาความยุติธรรม ซึ่งครอบคลุมและไม่เห็นแก่ตัวนั้นเป็นพลังงานสำคัญที่สุดในอิสลาม ผมคงละทิ้งอิสลามไปแล้วถ้าอิสลามไม่ส่งเสริมสิ่งนี้ และด้วยเหตุนี้แหละที่ผมชอบที่จะเลือกนับถืออิสลาม และผมไม่สามารถจะไปบังคับเคี่ยวเข็ญใครได้ ยอมรับว่าอิสลามเป็นศาสนาที่ครอบคลุม และดังนั้น เขาหรือเธอต้องกอดรับนับถืออิสลามได้ สำหรับผม เวลาผมชอบที่จะเลือกอะไรสักอย่าง นั่นควรจะกำกับควบคุมการกระทำและท่าทีของผมด้วย

ไม่ควรจะไปบังคับใครให้เข้ามาร่วมและใครก็มีสิทธิจะสถาปนากระบวนการอื่นๆ ขึ้นมาเหมือนกัน แต่เหนือสิ่งอื่นใด ศาสนาเป็นพลังงานสำคัญสำหรับต่อสู้ความอยุติธรรม ในเรื่องนี้ ผมเชื่อว่าอิสลามมีอนาคตอันสดใส อิสลามที่ครอบคลุมไม่ได้มีไว้แสวงหาอำนาจหากแต่เป็นพลังงานสำคัญสำหรับคนชายขอบต่างหาก

อูลิล : คุณรู้สึกอย่างไรเรื่องสัญลักษณ์ของเอกลักษณ์ที่เปิดเผยโจ่งแจ้งมากๆ?

มูนีร์ : บางทีผมก็พยายามจินตนาการนะว่าคนที่ไม่ใช่มุสลิมจะเป็นยังไง เวลาเขาเจอมุสลิมที่สำแดงออกให้เห็นซึ่งบุคลิกลักษณะทางกายภาพของอิสลาม และอวดอ้างว่าตนครอบครองสัจธรรมหนึ่งเดียวที่มีอยู่ ผมเองยังรู้สึกเหมือนคนส่วนน้อยเลยเวลาผมเจอผู้ชายไว้เครายาว และหน้าผากมีรอยดำคล้ำ(เนื่องจากกระทบพื้นเวลาละหมาดเป็นประจำ-ผู้แปล) บางทีผมก็รู้สึกกังวลว่าจะถูกครอบงำโดยมาตรวัดสัจธรรมจำพวกนั้นเหมือนกัน

สำหรับผมแล้ว สัญลักษณ์เหล่านี้กลับเป็นผลเสียต่อพันธกรณีที่จะแนะนำศาสนาอิสลามให้คนอื่น และถึงไงบุคลิกลักษณะเหล่านี้มันก็เป็นผลผลิตที่เกิดจากวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์อีกด้วย เราต้องจำแนกแยกแยะระหว่างวัฒนธรรมต่างๆ ของอาหรับในยุคท่านบีมุฮัมมัดกับอิสลามในฐานะที่เป็นศาสนา มันเป็นสองอย่างที่แตกต่างกัน

ฉะนั้น สัญลักษณ์วัฒนธรรมของอาหรับอย่างการสวมเสื้อคลุม จึงไม่ใช่โองการของอิสลามของพวกนั้นเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตในตะวันออกกลาง คนอัฟกันสวมเสื้อคลุมไว้เครามานมนานแล้ว แต่นี่ไม่ใช่มาตรวัดของอิสลาม

สำหรับผม การใช้สัญลักษณ์สร้างความห่างเหินให้เกิดขึ้นและส่งผลเสียต่ออิสลามเอง ฉะนั้นเราต้องหลีกเลี่ยงมัน จะผูกไทหรือสวมเสื้อคลุมก็ไม่คุกคามหรือครอบงำสัจธรรมด้วยกันทั้งนั้น เสื้อผ้าเป็นผลผลิตทางวัฒนธรรม
ไม่ใช่มีไว้ให้ความชอบธรรมกับการครอบงำดอก





http://www.nidambe11.net/ekonomiz/2005q3/article2005aug05p1.htm





Re: ศาสนาต้องอำนวยประโยชน์แก่มนุษยชาติ: มูนีร์ ซาอิด ธาลิบ By: قطوف من أزاهير النور Date: ต.ค. 05, 2007, 12:01 AM

ไม่มีต่อ (แล้ว) hihi:
Re: ศาสนาต้องอำนวยประโยชน์แก่มนุษยชาติ: มูนีร์ ซาอิด ธาลิบ By: musalmarn Date: ต.ค. 05, 2007, 03:57 AM

ไปเจอมาจากเวบพันทิป เกรงว่ามันจะหายไปเลยเอามาฝากจ่ะ  party:






แต่ผมเจอใน มุสลิมไทยอ่ะ  oh:

แด่มูนีร์ : สมชาย นีละไพจิตร แห่งอินโดนีเซีย

ศาสนาต้องอำนวยประโยชน์แก่มนุษยชาติ

ญาซากิลลาฮ ฮุ ค็อยร็อน อรูชาฮ^^ ครับ
Re: ศาสนาต้องอำนวยประโยชน์แก่มนุษยชาติ: มูนีร์ ซาอิด ธาลิบ By: บุคคลธรรมดา Date: ต.ค. 05, 2007, 01:55 PM


ญะซากิลลาฮฺ บทความดีมาก ๆ

ได้อ่านไปเพียงบางส่วน ขอติดไว้ก่อน  มีงานด่วน  เด๋วคืนนี้ จะตามอ่านให้ครบถ้วน นะ ชา fouet:
Re: ศาสนาต้องอำนวยประโยชน์แก่มนุษยชาติ: มูนีร์ ซาอิด ธาลิบ By: sufriyan Date: ต.ค. 05, 2007, 07:07 PM
ผมอ่านยังไม่ครบทุกวรรคครับ เน้นแต่สีแดง
อยากรู้ข้อมูลในอีกแง่หนึ่ง(หมายถึงจากแหล่งอื่นๆอีก)
ชอบวิธีคิดครับ
 แต่การคิดประมาณนี้ ผมสำหรับบางคนอาจเป็นวัตถุดิบอย่างดีของการเข้าครอบครองอาณานิคมจากโลกตะวันตกก็เป็นได้ (ผมไม่รู้รายละเอียดอะไรกับคุณตอลิบนี้นะครับ)
แต่เรื่องการไว้เคราที่เค้าวิจารณ์ เพราะคนพุทธเองยังไว้เคราเพราะ การไว้เคราทำให้ฉลาดขึ้น (อันนี้ได้ฟังมาจากคนพุทธ) จะเห็นได้ว่านักวิทยาศาสตร์มักไว้เครา (ไม่มีเหตุผลยืนยัน แค่อยากจะบอกว่าเป็นฮิกมะของการไว้เคราที่ต่างศาสนิกก็ยอมรับ และนึ่คือศาสนาจากพระผู้เป้นเจ้า)
เพราะบทสรุปของอินโดฯคือมุสลิมที่เข้ารับนับถือคริสต์เพิ่มขึ้นอย่างน่าใจหาย ภายในเวลาไม่กี่ปี
อินโดนีเซียเจอผู้นำอย่าง ซูการ์โน่
ทำให้อิสลามในอินโดนีเซียเป็นเช่นไร หากมีคนที่คิดเหมือนซูกาโน่อยู่อีกในยุคนี้ ค่อยมาว่ากันต่อครับ
ยังไงก็อยากแลกเปลี่ยนครับ
วัสลาม

Re: ศาสนาต้องอำนวยประโยชน์แก่มนุษยชาติ: มูนีร์ ซาอิด ธาลิบ By: บุคคลธรรมดา Date: ต.ค. 05, 2007, 09:00 PM


อืมม  อ่านจบครบแล้ว

เห็นด้วย กับ surfiyan 

อ่านแรก ๆ แนวคิดของคุณมุนิร  ก็ มีเหตุ มีผล ดี
กับความต้องการให้อิสลามเจริญ ด้วย การอำนวยประโยชน์ ที่เป็นประโยชน์จริง ๆ
ไม่ใช่แค่การใช้ความรุนแรง บังคับ ครอบงำ สุดโต่ง

แต่ อ่านท้าย ๆ ชักตะหงิด ๆ เรื่องมุมมองของเอกลักษณ์ของมุสลิม
ที่ว่า การใช้สัญลักษณ์สร้างความห่างเหินให้เกิดขึ้นและส่งผลเสียต่ออิสลามเอง ฉะนั้นเราต้องหลีกเลี่ยงมัน

อันนี้ ขอค้าน  bad:
การไว้เครา ซึ่งนั่นก็เป็นแบบฉบับของนบี  การกล่าวว่า เป็นผลเสียต่ออิสลาม มันจึง
เป็นสร้างเหตุผล เพื่อเอาใจ ต่างศาสนิก มากเกินไปและที่สำคัญ
เป็นการคัดค้านหลักการแบบฉบับของท่านศาสดาเราโดยปริยาย
คิดแบบนี้ อาจเข้าทาง ตะวันตก
ที่อาศัย ความสุดโต่ง ของมุสลิม มาสร้างความบิดเบือนกับเรือ่งหลักการของเรา


เคยมีพี่น้องพูดถึงเรือ่งว่า การใส่สูท ผูกไท เนี่ยมันเป็นการสนับสนุนแบบอย่างกาเฟร หรือป่าว
อันนี้ ยังพอทน เพราะ ยังงัยก็ยังอยากให้พี่น้องไม่ลืมตัวถึงความเป็นมุสลิม

แต่ที่ว่า การสร้างเอกลักษณ์ของมุสลิม เป็นผลเสียต่ออิสลาม
มันยิ่งแย่กว่า และกลายเป็นต่อต้านนิด ๆ ต่อแนวทางของอิสลาม

 sad:

Re: ศาสนาต้องอำนวยประโยชน์แก่มนุษยชาติ: มูนีร์ ซาอิด ธาลิบ By: บุคคลธรรมดา Date: ต.ค. 05, 2007, 09:55 PM


ได้เจอบทความเกี่ยวกับ เรื่องความสุดโต่ง อยู่เหมือนกัน
บทความ เกี่ยวกับภาคใต้ของเรา
เป็นประโยชน์มากทีเดียว

...

สิ่งที่ได้รับจากการมาเยือนไทยของ 2 ผู้นำ ?มุสลิมโลกสายกลาง?


อ.อับดุชชะกูร์ บินชาฟิอีย์ดินอะ (อับดุลสุโกดินอะ)


เคยตีพิมพ์ที่ ประชาไท   วันที่ : 1/7/2550


shukur2003@yahoo.co.uk         


ด้วยพระนามของอัลลอฮฺผู้ทรงเมตตาปรานีเสมอขอความสันติจงมีแด่ศาสดามุฮัมมัดและผู้เจริญรอยตามท่านสุขสวัสดีผู้อ่านทุกท่าน


เป็นที่ทราบกันดีว่าระหว่างวันที่ 23-30 มิถุนายน 2550 ศ.ดร.มูฮัมหมัด ซัยยิด ฏอนฏอวี (Dr.Muhammad Sayid Tantawy) ผู้นำสูงสุดทางศาสนาอิสลามของอียิปต์ หรือ Grand Imam of Al Azhar และ ศ.ดร.อับดุลลอ ฮ บิน มุห ชินอัตตุรกี (H.E. Dr.Abdullah bin Abdul Mohsin Al-Turki) เลขาธิการสันนิบาตมุสลิมโลก ได้มีโอกาสเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของรัฐบาล เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างกันในด้านกิจการศาสนาอิสลาม ตลอดจนการขยายความร่วมมือด้านการศึกษาของเยาวชนไทยมุสลิม และเพื่อสร้างความเข้าใจอันดีระหว่างศาสนา (interfaith dialogue) ตามนโยบายของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาและเสริมสร้างสันติสุขในจังหวัดชายแดนภาคใต้


000


ผู้เขียนได้มีโอกาสติดตามและฟังคำบรรยายของบรมครูของข้าพเจ้า (สมัยเรียนประเทศอียิปต์ปี 2534-2539) คือ ศ.ดร.มูฮัมหมัด ซัยยิด ฏอนฏอวี ที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ สำนักคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดสงขลา เมื่อ 26 มิถุนายน 2550 และ ดร.อับดุลลอ ฮ บิน มุห ชินอัตตุรกี ที่โรงแรมซีเอส ปัตตานี เมื่อ 28 มิถุนายน 2550


จากการรับฟังเนื้อหาสาระสำคัญของทั้งสองท่าน พบว่ามีประเด็นหลักที่เหมือนกันอยู่ 3 ประการใหญ่ ดังนี้


1. ทางสายกลางของหลักการศาสนาอิสลามและสามารถอยู่ร่วมกับต่างศาสนิกอย่างสันติ


ศ.ดร.มูฮัมหมัด ซัยยิด ฏอนฏอวี กล่าวว่า:


?อิสลามเป็นศาสนาแห่งสันติภาพ ยึดมั่นตามหลักสายกลาง ปฏิเสธความสุดโต่ง ความคลั่งในชาติพันธ์...สิ่งที่เราสั่งสอนให้แก่ลูกหลานของเราในอัลอัซฮาร์ และอยากจะกล่าวในสิ่งเดียวกันแก่มนุษย์ทั้งมวล คือความเป็นภราดรภาพระหว่างมนุษยชาติ และความแตกต่างทางความคิดและความเชื่อทางศาสนา ไม่เป็นอุปสรรคขัดขวางความร่วมมือระหว่างกัน

ความเชื่อทางศาสนาไม่อาจบังคับได้ เพราะพระเจ้าได้โองการความว่า ไม่มีการบังคับในการนับถือศาสนา...หากแต่มนุษย์ทุกคนมีอิสระในทางความคิด และความเชื่อในศาสนาของตน และเราควรให้ความเคารพแก่กันและกัน...ศาสนายอมรับความแตกต่างทางชาติพันธุ์ เพราะพระเจ้าได้โองการความว่า ?โอ้ มนุษย์ทั้งหลาย แท้จริงเราได้สร้างเจ้าให้เป็นชาย หญิง เชื้อชาติ และเผ่าพันธ์ต่างๆ เพื่อที่จะทำความรู้จักซึ่งกันและกัน?


ข้าพเจ้าจึงขอฝากลูกหลานทุกคนในประเทศไทยว่า ไม่ว่าจะนับถือศาสนาใด จงเป็นพี่น้องที่มีความรักให้กันและกัน ไม่มีความแตกแยกระหว่างมุสลิมหรือไม่ใช่มุสลิม แต่ควรจะมุ่งปฏิบัติหน้าที่ของตนเองในการนำพาประเทศไทยสู่ความเจริญรุ่งเรือง ก้าวหน้า


ทุกคนต้องทำงานด้วยใจอันสัตย์สื่อ ตั้งใจแน่วแน่ ใช้ความสามารถที่ตนมี ประชาชาติใดที่มีความร่วมมือในสังคมบนความหลากหลายของศาสนา ประชาชาตินั้นจะเปี่ยมไปด้วยความสุขความเจริญก้าวหน้า มั่งคั่ง และความสงบสุข?


การที่ ศ.ดร.มูฮัมหมัด ซัยยิด ฏอนฏอวี เสวนาธรรมกับสมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกศ ผู้นำศาสนาพุทธเป็นเครื่องยืนยันในการยึดหลักการศาสนาสายกลาง ซึ่งท่านเองยอมรับว่าที่ประเทศอียิปต์ บ่อยครั้งท่านก็เสวนาธรรม ?บาบาซานูซาฮฺ? ซึ่งเป็นผู้นำศาสนาคริสตร์ในอียิปต์


สำหรับ ศ.ดร.อับดุลลอ ฮ บิน มุห ชินอัตตุรกี เลขาธิการสันนิบาตมุสลิมโลก ได้ให้ทัศนะต่อประเด็นนี้ว่า


?สันติบาตมุสลิมโลกมุ่งเน้นที่จะสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องต่อศาสนาอิสลามที่มุ่งทางสายกลาง (ในภาษาอาหรับเรียกว่า Mutadil) ปฏิเสธความคิดที่จะนำศาสนาอิสลามมาใช้ในทางที่ผิด หรือเบี่ยงเบนไปในการก่อความรุนแรง และก่อการร้ายในประเทศไทยและประเทศอื่นๆในโลก...หากมุสลิมอยู่ในสังคมพหุวัฒนธรรม ต้องแสดงตัวตนของความเป็นมุสลิมที่ถูกต้องและดีงามออกมาให้มากที่สุด"


จากทัศนะข้างต้นของท่านทั้งสองจะพบว่าสอดคล้องกับหลักคำสอนในคัมภีร์อัลกุรอาน วัจนศาสดาที่พูดถึงแนวคิดสายกลาง (แนวคิดสายกลางในที่นี้หมายถึงแนวคิดที่เข้าใจหลักการและเป้าหมายของศาสนาอิสลามอย่างถูกต้อง) โดยอัลลอฮได้ตรัสความในทำนองเดียวกันว่า


?เราได้ให้พวกเจ้าเป็นประชาชาติสายกลาง เพื่อพวกเจ้าจะได้เป็นสักขีพยานแก่มนุษย์ทั้งหลาย และศาสดาก็จะเป็นสักขีพยานแก่พวกเจ้า?


(ซูเราะฮอัล บะกอเราะฮฺ 2:143)


?จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่าบรรดาผู้ได้รับคัมภีร์ทั้งหลาย จงอย่าปฏิบัติให้เกินขอบเขตในศาสนาของพวกท่าน โดยปราศจากความเป็นจริง และจงอย่าปฏิบัติตามความใคร่ใฝ่ต่ำของพวกหนึ่งพวกใดที่พวกเขาได้หลงผิดมาก่อนแล้ว และได้ทำให้ผู้คนมากมายหลงผิดด้วย และพวกเขาก็ได้หลงผิดไปจากทางอันเที่ยงตรง?


(ซูเราะฮอัล มาอิดะฮฺ 5:77)


?มุสลิมถูกเรียกว่า อุมมะตัน วะสะฏ็อน (ประชาชาติสายกลาง) นักอรรถาธิบายอัลกุรอานได้อธิบายคำว่า ?วะสัฏ? (ในภาษาอาหรับแปลว่ากลาง) คือ ?ความสมดุลที่เที่ยงตรง? ?สิ่งที่ดีที่สุด? (คิยารฺ หรือ คอยรฺ) ท่านยูซุฟ อลี ได้กล่าวว่า ?สารัตถะแห่งอิสลามคือการหลีกเลี่ยงจากความเลยเถิดไม่ว่าด้านใดก็ตาม อิสลามเป็นศาสนาที่เรียบง่ายและสามารถปฏิบัติได้จริง?


(เชิงอรรถที่ 143 ของอายะฮฺ : ซูเราะฮอัล บะกอเราะฮฺ 2:143)


อัลลอฮฺ ได้ทำให้อุมมะฮฺ (ประชาชาติ) นี้ให้เป็นอุมมะฮฺสายกลาง ดังนั้น มุสลิมต้องดำเนินตามทางสายกลาง ทางซึ่งไม่มีการสุดโต่งหรือความเลยเถิดใดๆ เป็นวิถีทางที่จะต้องมีการเข้ามาร่วมกันเป็นความสมดุลที่ประสานกลมกลืน


ท่านศาสดาได้เป็นแบบอย่างของการทำความดีต่อชนต่างศาสนิก ดั่งรายงานจากอบูอุบัยด์ ในหนังสือ al-Amwal หน้า 613 (quoted in al-Qardhawi,1994: 2/275 ว่า ?ท่านนบีเคยบริจาคทานแก่ญาติผู้ตายชาวยิวในขณะที่ท่านเดินผ่าน? อีกสายรายงานหนึ่ง โดยมุฮัมหมัด บิน อัลหะซัน กล่าวไว้ในหนังสือ Sart al-Sair เล่ม 1 หน้า 144 quoted in al Qardhawi 1994, 2/274) ว่า ?ท่านศาสดาเคยบริจาคทานแก่คนยากจนชาวมุชริกีนมักะฮ (ผู้บูชาเทวรูป)?


2. ความสำคัญของการศึกษา/ผู้รู้


ศ.ดร.มูฮัมหมัด ซัยยิด ฏอนฏอวี กล่าวว่า:


?...ความรู้ทั้งศาสนาและสามัญนั้นเป็นประโยชน์ และเราจำเป็นต้องเรียนรู้และนำมาใช้ประโยชน์เพื่อมนุษยชาติ ซึ่งที่ใดที่รู้จักใช้วิทยาการหรือเทคโนโลยีที่นั่นก็จะเจริญ แต่ความรู้ที่สมบูรณ์ตามหลักการอิสลามต้องคู่กับคุณธรรมและอยู่บนพื้นฐานที่ถูกต้องตามศาสนา แต่ในทางกลับกันความรู้ที่มุ่งสร้างความแตกแยกหรือความขัดแย้ง นั้นไม่ใช่หลักของอิสลาม ซึ่งความรู้แบบนี้ความโง่ เขายังประเสริฐกว่า ตามหลักการอิสลามจึงไม่อนุญาตให้ใช้ความรู้ไปในเรื่องไม่สร้างสรรค์ สร้างความขัดแย้งอคติ และบ่อนทำลายสังคม..."
สำหรับศ.ดร. อับดุลลอ ฮ บิน มุห ชินอัตตุรกี ได้ให้ทัศนะต่อการศึกษา/ผู้รู้ว่า


?ประเด็นการศึกษา ถือว่าเป็นพื้นฐานสำคัญ ถือว่าเป็นประเด็นพื้นฐานของสังคม....ปัจจุบันสังคมมุสลิมกำลังเผชิญปัญหาโถมใส่หลายประการโดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาการใช้ชีวิตร่วมกันในสังคมและการสร้างบรรทัดฐานในการรักษาดุลยภาพระหว่างการคงไว้ซึ่งอัตลักษณ์ของมุสลิมกับการใช้ชีวิตในสังคมต่างวัฒนธรรมภายใต้บรรยากาศแห่งความเข้าใจซึ่งกันและกัน ความเอื้ออาทร และความมั่นคงในชีวิต...


ผู้รู้และผู้เผยแพร่ต้องไม่ท้อถอย ในการเชื่อมโยงอัลกุรอ่านและประวัติศาสตร์มุสลิมให้รู้ว่าต้องยืนหยัดบนความถูกต้อง สำคัญที่สุดคือผู้รู้ต้องเข้าถึงแก่นแท้ของศาสนา ขอยืนยันว่าภารกิจของความรู้ความเข้าใจศาสนาเป็นสิ่งสำคัญสูงสุด ผู้นำศาสนาถือเป็นผู้นำด้านจิตวิญญาณของประชาชน จงอย่านิ่งเฉย และคำสอนต้องไม่เบี่ยงเบนหลักศาสนา ให้ใช้ความเมตตาธรรมนำเผยแพร่ ไม่ใช่นำความรุนแรงเพื่อประหัตประหารจนล้มตาย นั้นไม่ใช้แนวทางศาสนาที่ถูกต้อง"


          การไม่มีความรู้เพียงพอหรือผู้รู้ที่พยายามตีความเพื่อประโยชน์ของตนหรือกลุ่มก็สามารถนำหายนะสู่สังคมดั่งคำกล่าวของท่านที่ว่า


?...สำหรับคนบางกลุ่มที่เป็นมุสลิมใช้ความรุนแรงนั้น เราอาจแบ่งได้ 2 กลุ่ม คือ กลุ่มแรก กลุ่มที่ไม่มีความรู้อย่างแท้จริงในด้านศาสนา กลุ่มที่สอง เป็นกลุ่มที่ได้รับการแนะนำสั่งสอนจากกลุ่มบุคคลที่ไม่หวังดีต่อสังคมมุสลิมอย่างแท้จริง...เรื่องญิฮาดมีความเข้าใจผิดกันอยู่มาก ที่จริงแล้ว ญิฮาด ถูกกำหนดขึ้นในครั้งแรกเพื่อต่อต้านการรุกราน จากฝ่ายศัตรูที่ท่านศาสดามูฮัมหมัด ท่านได้อพยพ ในขณะที่ฝ่ายศัตรูก็ยังเข้ามารุกรานอยู่อีก จึงต้องมีการต่อต้านและป้องกัน จึงเรียกว่าการญิฮาด นอกจากนี้ยังมีการญิฮาด เพื่อที่จะปกป้องสิทธิอันพึงมีพึงได้ ขจัดความอยุติธรรมต่างๆ มีการญิฮาดเพื่อขจัดกำแพงที่ทำให้บุคคลไม่สามารถเข้าถึงอิสลามได้ ก็เรียกว่าเป็นการญิฮาดได้เช่นกัน แต่อย่างไรก็ตาม การญิฮาด ?ไม่ใช่? การสร้างความหวาดกลัว หรือสร้างความเสียหายให้เกิดขึ้นกับสังคมแต่อย่างไร?"


3. การสานเสวนา หรือภาษาอาหรับเรียกว่า al- Hiwar


ศ.ดร. มูฮัมหมัด ซัยยิด ฏอนฏอวี มีทัศนะเรื่องการสานเสวนาว่า:


"การแก้ปัญหาความขัดแย้ง ความไม่เข้าใจซึ่งกันและกันนั้น วิธีที่ดีที่สุดคือการสานเสวนาหรือภาษาอาหรับเรียกว่า al-Hiwar เพราะอัลลอฮฺเจ้าได้โองการในคัมภีร์อัลกุรอานหลายครั้งเกี่ยวการสานเสวนา เช่นพระองค์ได้ตรัสไว้ ความว่าท่านทั้งหลายจงสานเสวนาด้วยวาจาที่สุภาพยิ่งด้วยเหตุและผล (โปรดดูอัลกุรอานซูเราะฮอัลอันนะห์ลุ .16: 125) และขณะเดียวกันพระเจ้าเองยังได้ทำแบบอย่างให้มนุษย์เห็นเกี่ยวกับการสานเสวนากับซาตานมารร้ายที่ทรยศต่อพระองค์ บรรดาศาสนฑูตเองก็ได้สานเสวนากับศัตรูหลายต่อหลายครั้ง...."


ในขณะที่ ศ.ดร.อับดุลลอ ฮ บิน มุห ชินอัตตุรกี ได้ให้ทัศนะอย่างหนักแน่นและชัดเจนว่า 


"ปัญหาทุกอย่างต้องแก้ไขด้วยการ Hiwar หรือสานเสวนาอย่างสันติ ด้วยเหตุผลนี้ผู้รู้ทางศาสนาควรร่วมมือกับทุกฝ่าย การพูดคุยอย่างสันติเพื่อหาวิธีการที่จะนำไปสู่การแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น ความรุนแรงไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ นอกจากนั้นมันยังเพิ่มปัญหา ข้าพเจ้าเห็นด้วยกับรัฐบาลที่พยายามแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น และดำเนินการด้วยสันติ...


สุดท้ายท่านทั้งสองไม่ลืมที่จะขอบคุณรัฐบาลไทยและพี่น้องประชาชนทุกคนที่ให้การต้อนรับและหวังว่าจะได้มีการร่วมมือกับรัฐบาลไทยต่อไป ในเรื่องการเข้ามามีส่วนร่วมในการช่วยเหลือแก้ไขปัญหาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เรื่องการศึกษา การแลกเปลี่ยนประสบการณ์และความชำนาญด้านต่างๆ


000


จาก 3 ข้อหลักที่ทั้งสองได้แสดงทัศนะที่สอดคล้องดังกล่าวนั้นจะพบว่า 2 ข้อแรก เป็นการให้คำแนะนำหรือภาษาอาหรับเรียกว่า Nasihat โดยตรงต่อมุสลิมโดยเฉพาะผู้นำศาสนา ที่จะต้องกล้าแสดงจุดยืนด้านธรรมะและหลักการที่ถูกต้องตามหลักศาสนาโดยเฉพาะในเรื่องการก่อการร้ายที่ทำร้ายผู้บริสุทธิโดยใช้คำญิฮาดเป็นเครื่องมือ


สำหรับรัฐบาล ผู้นำประชาชน หรือแม้กระทั่งขบวนการทุกกลุ่ม จะต้องให้ความสำคัญกับกระบวนการสันติวิธีโดยเฉพาะการสานเสวนา เพราะหนึ่งในเครื่องมือสำคัญของสันติวิธีที่จะต้องรีบทำคือศาสนเสวนามุสลิม-พุทธ หรือไทยมุสลิมเชื้อสายมลายู-กับมิใช่มลายู (ในประเทศไทยมีหลากหลายเชื้อชาติ) รัฐบาลกับผู้นำประชาชน หรือแม้กระทั่งขบวนการทุกกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มที่รัฐหรือ ผบ.ทบ.มั่นใจ เพราะหากไม่รีบทำอาจจะนำไปสู่สงครามระหว่างศาสนา-เชื้อชาติได้


ศาสนเสวนาหรือสานเสวนา ต่างกับการสนทนาทั่วไปตรงที่ไม่มีการคุกคามอัตลักษณ์ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพราะมุ่งให้ผู้ร่วมศาสนเสวนารับฟังและเรียนรู้จุดยืนซึ่งกันละกัน บนพื้นฐานการให้เกียรติความแตกต่างโดยปราศจากการครอบงำ บีบบังคับโน้มน้าว หรือบังคับให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเปลี่ยนแปลงความคิดความศรัทธาของตน หากแต่เป็นการเรียนรู้และเติบโตไปพร้อมกัน

อัลลอฮฺเจ้าได้โองการในคัมภีร์อัลกุรอานความว่า ?ท่านทั้งหลายจงสานเสวนาด้วยวาจาที่สุภาพยิ่งด้วยเหตุและผล? (โปรดดูอัลกุรอานซูเราะฮอัลอันนะห์ลุ .16 : 125)


เป็นที่ทราบกันดี (โดยเฉพาะทัศนะของนพ.พลเดช ปิ่นประทีป รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ) ว่าปัจจัยสาเหตุหลักของปัญหาภาคใต้ แบ่งเป็น 2 ปัจจัยหลัก คือ


1.ปัญหาทางประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างปัตตานีกับสยาม


2.ปัญหาที่เป็นผลกระทบจากกระบวนการฟื้นฟูอิสลามในระดับโลก ภูมิภาค และระดับท้องถิ่น


ส่วนปัจจัยเร่ง คือ


1.ปัญหาของการดำเนินนโยบายความมั่นคงของรัฐในพื้นที่ที่เป็นปัญหา ทั้งด้านแนวคิดและด้านการบริหารจัดการ


2.การปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ยุทธวิธีของฝ่ายขบวนการหลังปี 2535 เป็นต้นมา ที่ฝ่ายขบวนการเปลี่ยนสภาพ ทำให้มีการเปลี่ยนยุทธศาสตร์ ยุทธวิธีของฝ่ายก่อการไม่ใช้แบบเดิม ยุทธศาสตร์ของฝ่ายก่อการใช้ยุทธศาสตร์ในการสร้างศรัทธาและความชอบธรรมในการต่อสู้ ด้วยงานการเมืองที่มีมิติในเชิงศาสนา เชิงประวัติศาสตร์และชาติพันธุ์


ด้านการทหารฝ่ายก่อการใช้วิธีสร้างความหวาดกลัวในหมู่ประชาชน ก่อเหตุการณ์ที่น่าสะพรึงกลัว ไม่เลือกเป้าหมาย ใช้ Soft Target (เป้าหมายที่อ่อนไหว) มุ่งตัดตอนความน่าเชื่อถือของอำนาจรัฐ ทำให้ประชาชนยิ่งไม่เชื่อถืออำนาจรัฐ ขณะเดียวกันก็หวาดกลัวฝ่ายก่อกา รซึ่งมุ่งทำทุกอย่างเพื่อแยกดินแดนด้วยอำนาจขององค์กรทางสากล ไม่ใช่เอาชนะด้วยการยึดพื้นที่จริง


การที่รัฐมุ่งใช้กำลังทหาร จัดทหารพรานเป็นจำนวนมากเข้าควบคุมพื้นที่และบีบรัดเขตอิทธิพลของฝ่ายก่อการลงเรื่อยๆ จะบีบเขตอิทธิพลให้ค่อยๆ แคบลงเรื่อย จะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ในที่สุด แต่มันไม่ได้จบแค่นี้ เพราะแม้จะยึดพื้นที่ได้ แต่ก็อาจยึดคนไม่ได้ หรือคุมคนได้ แต่ยึดความคิดคนไม่ได้


ดังนั้น สิ่งที่รัฐได้รับจากสองผู้นำคนสำคัญของมุสลิมโลกสายกลางเยือนไทยครั้งนี้ คือการปรับความเข้าใจในหลักศาสนาที่ถูกต้อง การประณามการใช้วิธีการอย่างสุดโต่งนามศาสนาเกี่ยวกับญิฮาดที่ทำร้ายสังคม และที่สำคัญ เวทีโลกและนานาชาติจะช่วยลดการเคลื่อนไหวต่อต้านประเทศไทยในโลกมุสลิมได้มาก  อันจะทำให้ผู้ก่อการต้องเปลี่ยนยุทธศาตร์การต่อสู้ในอนาคตอย่างแน่นอน



ที่มา  http://www.oknation.net/blog/shukur


 





Re: ศาสนาต้องอำนวยประโยชน์แก่มนุษยชาติ: มูนีร์ ซาอิด ธาลิบ By: sufriyan Date: ต.ค. 05, 2007, 10:45 PM
อัสลามูอาลัยกุม
ปัญหาทางภาคใต้ผมไม่ขอพูดถึงครับ เพราะยังจับต้นชนปลายอะไรไม่ได้
แต่อยากจะนำเสนอเช่นเรื่อง รัฐอิสลามแบบตอลีบัน ถ้าใครหาว่าเป็นความสุดโต่ง  คงต้องคุยกันยาวแน่ครับ
เพราะนั่นพยายามกล่าวหาว่ารูปแบบอิสลามคือความสุดโต่ง การตามก้นตะวันตกและยิว คือทางสายกลางที่น่ายกย่อง
เพราะสุดท้ายคือการครอบครองทั้งทางอาณาบริเวณและทางด้านแนวคิดจากชาติตะวันตก นักล่าอาณานิคม
ต่อครับ

Re: ศาสนาต้องอำนวยประโยชน์แก่มนุษยชาติ: มูนีร์ ซาอิด ธาลิบ By: قطوف من أزاهير النور Date: ต.ค. 05, 2007, 10:53 PM


 salam


เรื่อง สายกลาง
ยาวนะเรื่องนี้
แต่น่าสนใจ น่าคุยต่อค่ะ อินชาอัลลอฮฺ นะ  ;D

 waalaikumussalam

Re: ศาสนาต้องอำนวยประโยชน์แก่มนุษยชาติ: มูนีร์ ซาอิด ธาลิบ By: sufriyan Date: ต.ค. 05, 2007, 11:17 PM
จากหนังสือชุดเรียนรู้สู่ชุมชนเป็นสุข...จากภาคใต้
ชื่อหนังสือ "ซูรอ" การจัดากรชุมชนที่ควรเรียนรู้ เพื่อชุมชนสมานฉันท์  หน้า 94-95  โดย เครือข่ายชุมชนมุสลิม ในโครงการพัฒนาชุมชนเป็นสุขที่ภาคใต้ "ดับบ้านดับเมือง เรียนรู้อยู่ที่ที่ปากใต้"
ตอนหนึ่งความว่า "
การปกครองระบอบอิสลามเริ่มถูกวางรากฐานขึ้นตั้งแต่ครั้งที่ศาสดามูฮัมหมัด(ศ.ล.) อพยพเข้ามาตั้งรัฐอิสลามในนครมาดีนะ..............และระบอบนี้ถูกใช้ปกครองโลกมุสลิมเรื่อยมา
จนถึงสมัยคอลีฟะ ยุคสุดท้ายนั้นคือ ราชวงศ์ดุสลานียะฮ์ (ออตโตมันเติร์ก) ในตุรกีช่างสงครามโลกครั้งที่ 1 หลังจากนั้นระบอบนี้ก็หายไปจากโลกเป็นเวลาเกือบร้อยปี จนกระทั่ง รัฐบาล
ตอลีบันสถาปนารัฐอิสลามขึ้นปกครองประเทศอัฟกานิสถานระบอบการปกครองด้วยอิสลามจึงเกิดขึ้นมาบนโลกอีกครั้งหนึ่ง แต่ต่อมาไม่นาน รัฐบาลตอลีบัน
และระบอบการปกครองด้วยอิสลามก็ถูกทำลายอีกครั้งหนึ่งด้วยน้ำมือของสหรัฐอเมริกา"
จะเห็นได้ว่าแนวคิดแบบสุดโต่งที่ว่านั้น คือการนำเอาหลักคำสอนแบบอิสลามมาใช้จริงในชีวิตประจำวันต่างหาก โดยที่หนังสือที่ผลิตโดยงบประมาณจากรัฐบาลไทย ยังให้การยอมรับ
(ยืนยันอีกครั้งไม่เกี่ยวกับสถานการณ์ในภาคใต้) แต่เราจะเห็นได้ว่านี่คือแนวหน้าของผู้ที่โดนตราหน้าว่าสุดโต่งในอิสลาม 
แต่เราต้องบอกว่าแท้จริงตอลีบันไม่ได้สุดโต่ง แต่ตอลีบัน
คือกลุ่มที่เดินทางสายกลาง และกลุ่มที่พยายามนำทางสายกลางและต่อสู้เพื่อการนำรูปแบบอิสลามมาใช้ในประเทศของเขาตะหาก
การต่อสู้และรักษาคุณความดีให้ถึงที่สุดในการรักษาไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ ของอิสลามที่พระเจ้าประทานมา เป้นความสุดโต่งหรือ
ในอินโดฯ ต่างชาติเปิดซ่องเป็นว่าเล่น ทำให้คนอินโด ต้องขายบริการ แล้วนำคนของประเทศตัวเองมาเที่ยว พอมีการต่อต้าน เขาคือผู้สุดโต่งหรือ
ประเทศไทยก็เช่นกัน กี่เกาะต่อกี่เกาะ ที่พวกต่างชาติเข้ามาเสพยาและเสพสมท่ามกลางแสงจันทร์ เป็นที่รู้กันในหมู่คนชายฟั่ง (ซึ่งมักเป็นหมู่บ้านมุสลิม)
หรือว่าในวันหนึ่งเราจำเป็นต้องเป็นผู้สุดโต่งในสายตาของอเมริกาและสมุนเหมือนกัน?
Re: ศาสนาต้องอำนวยประโยชน์แก่มนุษยชาติ: มูนีร์ ซาอิด ธาลิบ By: قطوف من أزاهير النور Date: ต.ค. 05, 2007, 11:25 PM


ขออนุญาต ถามต่อ  smile:
แล้วบังคิดอย่างไรกับกรณีมัสยิดแดง ที่เคยนำมาเสนอคะ

(เพื่อสนทนาต่อยอด)  :inshallah
Re: ศาสนาต้องอำนวยประโยชน์แก่มนุษยชาติ: มูนีร์ ซาอิด ธาลิบ By: sufriyan Date: ต.ค. 05, 2007, 11:46 PM
เจ็บเหมือนกับที่น้องชาร์เจ็บนั่นละครับ  มูชัรรอฟ เป็นแค่อาวุธชิ้นหนึ่งของอเมริกา  (แต่น่าเจ็บใจ)
แต่เรื่องที่อินโด ที่ซูกาโนร์ทำก็มีข้อดีนะครับ
ทำให้โต๊ะครูจากอินโดหนีมาอยู่เมืองไทย และผมก็ได้เป็นลูกศิษย์(หรือหลานศิษย์มากกว่า) จากส่วนหนึ่งของอาจาย์ที่หนีมากอินโดครับ  (นับว่าเป็นข้อดีหรือเปล่าครับนี่) เพราะ
ท่านครูเหล่านั้นนำวิชาความรู้ติดตัวมาด้วย และมักจะเด่นๆทั้งนั้น ทำให้อิสลามในพื้นที่นั้นๆเจริญไปเลยครับ
วัลลอฮูอะลัม