เฝ้ากุโบร์ไม่ฮาราม By: คนอยากรู้ Date: ม.ค. 12, 2008, 01:02 AM
salam พี่น้องครับ สิ่งที่ผมอยากจะบอกกล่าวกับพี่น้องที่มีมัสหับทั้งหลายว่า ปัจจุบันนี้ ปัญหาความแกกแยกอย่างไม่สามารถหันหน้าเข้าหาเพื่อสมานฉันท์กันได้ของสังคมมุสลิม ที่มีพระผู้เป็นเจ้าเดียวกันและกาลีเมาะเดียวกัน
แต่กลับมาขัดแย้งในประเด็นของคีลาฟียะ จากความขัดแย้งนี้ถึงขนาดบานปลายไปเป็นการแตกแยกในสังคมมุสลิม ลามปามไปจนถึงระดับ หมู่บ้าน ตำบล ฯลฯ ตลอดเวลาที่ผ่านมาทำให้ผมขมขื่นใจเป็นอย่างมากโดยเฉพาะในตำบลที่มีพี่น้องมุสลิเกือบ 80% นั้นเป็นมุสลิม แต่ไม่สามารถเลือกผู้นำที่เป็นมุสลิมได้ ในที่สุดก็ได้คนต่างศาสนิกเป็นตัวแทน เหตุผลอย่างหนึ่งก็เนื่องมาจาก
การขัดแย้งในประเด็นของศาสนาที่มีเรื่องรังมานานในหมู่บ้านนั้น ซึ่งพื้นที่สีเทาที่มีปัญหานั้นมีมุสลิมทั้งหมด 80% เป็นมุสลิมเก่า 50%เป็นมุสลิมใหม่ 30%
2กลุ่มดังกล่าวนั้นเคยถึงขั้นแยกมัสยิด จนนับได้ว่าไม่ความสัมพันธ์ต่อกันใดๆก็ว่าได้ เมื่อจะเลือกตั้งผู้นำอะไรสักครั้ง ก็ต่างไม่ปรึกษากัน ต่างก็แย่งชิงกันตลอด โดย ไม่สามารถประนีประนอมกันได้
ในความเป็นจริง ถ้าเรากลับไปศึกษาอัลกรุอ่าน การขัดแย้งนั้นเป็นสิ่งที่กระทำได้ถ้าหากว่า มันไม่ทำให้เกิดการแตกแยก ในสังคมตรงนั้น ซึ่งอัลกุรอานได้เตือนให้ระวังผลอันเลวร้ายที่
จะก่อให้เกิดปัญหาความขัดแย้ง อันซึ่งนำพาไปสู่ความแตกแยกที่เป็นผลมาจากการขัดแย้งในประเด็นการวินิจฉัยในเรื่องของศาสนา
พี่น้องทั้งหลายครับ โปรดพิจารณาคำตรัสของอัลเลาะฮ์ (ซุบฯ) ที่ได้กล่าวตักเตือนบรรดามุสลิมีน ที่ว่า
واعتصموا بحبل الله جميعا ولا تفرقوا
"พวกเจ้าจงยึดสายเชือก(ศาสนา)แห่งอัลเลาะฮ์พร้อมเพรียงกันเถิดและพวกเจ้าอย่าได้แตกแยก"ซึ่งพระองค์ทรงกล่าวว่า
"พวกเจ้าอย่าได้แตกแยก" แต่ไม่ได้ห้ามในเรื่องของความขัดแย้ง" ในประเด็นการวินิจฉัยเรื่องของศาสนา ทั้งนี้เพื่ออันสร้างให้เกิดความเข้าใจในประเด็นที่อีกฝ่ายหนึ่งไม่เข้าใจ
แต่ห้ามที่จะทะเลาะถึงขั้นตัดสัมพันธ์และการแตกแยก
แต่สังคมปัจจุบันหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ เลือกตั้งคราใด มุสลิม สองกลุ่มก็ต่างโจมตีใส่ร้ายต่อกัน จนไม่เคยได้ผู้นำที่มุสลิม จนบางครั้งคนต่างศาสนิก ถือว่า การแข่งขันกับคนมุสลิมเป็นเรื่องที่ง่ายสำหรับพวกเขา
ส่วนคำพูดที่มักเข้าหูและถึงขั้นกระทบกระทั้งกัน เช่น
มุสลิมคณะใหม่กล่าวหา ผู้เลือกตั้งมุสลิมคณะเก่าว่า ไม่เซาะที่พวกเราจะเลือกผู้นำที่ทำแต่บิดอะที่เลว หรือเลือกคนต่างศาสนิกเสียยังดีกว่าคนพวกนี้ ไอ้พวกหากินกับซากศพ มันบอดอ ทางฝ่ายคณะเก่าก็โต้ว่า
สิ่งของใดที่พวกวาฮาบีย์นั้นไม่สะอาด ไม่เซาะนำมากินเ เพราะ อะกีดะไม่ถูกต้อง และอีกหลายอย่างที่ไม่เป็นคำสุภาพ ฯลฯนี้คือเหตุผล ที่สังคมมุสลิมแตกแยกกัน เพราะต่างคนไม่ยอมรับในอีกเหตุผลหนึ่ง เช่นเดียวกับที่บังหะสันไม่เข้าใจในหลัการกระทำบางอย่างของทัศนะที่เรายึดถือ และนี่คือเหตุผลหนึ่ง ที่ผมสิ่งที่ผมจะนำมาประเด็นมาคุยเเบบเสวนาในหลักการ
ที่ต่างก็มีหลักฐาน โดยเฉพาะเรื่องที่คำพูดที่บังหะสันพูดแล้วทำให้ผม หดหู่ใจมาก บังหะสันกล่าวในกระทู้ หนังสือตอบโต้วาฮาบี....ที่ทำการโต้กับ น้อง al-fatonisunnah 50
มือใหม่ (^^)/
กระทู้: 94
Re: //++ หนังสือ "ตอบโต้วะฮาบีย์" ++//
« ตอบ #14 เมื่อ: ม.ค. 09, 08, 10:01 PM » อ้างถึง
--------------------------------------------------------------------------------
คุณsunah 50 ก็คือบังหะสันนั้นเอง
บังกล่าวว่า ยังไงก็ช่วยแปลภาษาไทยเร็วนะจ้ะ เผื่อว่าจะได้ตั้งบริษัทรับเฝ้าผีจำกัดกับเขามั่ง..อิอิ [/color] ผมก็เลยโต้กลับ ว่า ถ้าบังหะสันยังไม่เคลียร์เรื่อง การเฝ้ากุโบร์ก็เริ่มอีกสักยกก็ได้ โดยตั้งกระทู้ใหม่ชื่อว่า
การเฝ้ากุโบร์ไม่เป็นฮารอม ในหมวดนิศาสตร์อิสลาม
ซึ่งผมข้อเริ่มหัวข้อดังนี้ ส่วนพี่น้องท่านอื่นที่จะร่วเสวนากับผมและบังหะสันก็เชิญได้ครับ แต่ต้องวางอยู่ในกรอบกฏของระเบียบของการเสวนา...
การเฝ้ากุบูรไม่เป็นสิ่งฮะรอม
ท่านอิมามอัสศะยูฏีย์(ร.ฏ.) ได้กล่าวว่า
ولنختم الكتاب بلطائف :الأولى : أن سنة الإطعام سبعة أيام بلغني أنها مستمرة إلى الأن بمكة والمدينة فالظاهر أنها لم تترك من عهد الصحابة ألى الأن وأنهم أخذوها خلفا عن سلف ألى صدر الأول . ورأيت فى التوارخ كثيرا فى تراجم الأئمة بقولون : وأقام الناس على قبره سبعة أيام يقرؤون القران ، وأخرج الحافظ الكبير أبو القاسم بن عساكر فى كتابه المسمي تبيين كذب المفتري فيما نسب ألى الإمام أبى الحسن الأشعرى سمعت الشيخ الفقيه أبا الفتح نصر الله بن محمد بن عبد القوى المصيصي يقول : توفى الشيخ نصر بن إبراهيم المقدسى فى يوم الثلاثاء التاسع من المحرم سنة تسعين وأربعمائة بدمشق وأقمنا على قبره سبع ليال نقرأ كل ليلة عشرين ختمة
"
เราาจงจบท้ายบท ด้วยเกล็ดความรู้ที่ละเอียดละออ คือ ประการที่หนึ่ง สุนัตให้อาหาร(เป็นทาน) ในช่วง 7 วัน ซึ่งได้ทราบถึงข้าพเจ้าว่า การที่สุนัตให้อาหารเป็นทานแก่มัยยิด
ยังคงมีการปฏิบัติกันอย่างต่อเนื่องจากถึงปัจจุบัน ณ ที่นครมักกะฮ์และนครมะดีนะฮ์ ดังนั้น ที่ชัดเจนแล้ว คือ การสุนัตให้อาหาร(เป็นทานแก่มัยยิด)นั้น ไม่เคยถูกทิ้งการกระทำมาเลยตั้งแต่สมัยของซอฮาบะฮ จวบจนถึงปัจจุบัน และพวกเขาได้ทำการเอาการปฏิบัติดังกล่าว ของปราชญ์ค่อลัฟ จาก ปราชญ์สะลัฟ จนกระทั่งถึงยุคแรก(ยุคซอฮาบะฮ์) และข้าพเจ้า(คืออิมามอัสศะยูฏีย์) ได้เห็น(ทราบ)จากบรรดาปฏิบัติศาสตร์มากมายของบรรดานักปราชญ์ ซึ่งพวกเขากล่าวว่า "บรรดานักปราชญ์ได้ทำการอาศัยอยู่ที่กุบูรผู้เสียชีวติ 7 วัน เพื่อทำการอ่านอัลกุรอาน ,
ท่านอัลหะฟิซฺผู้ยิ่งใหญ่ คือท่านอบู อัลกอซิม บิน อะซากิร ได้นำเสนอรายงานไว้ในหนังสือของท่านที่มีชื่อว่า "ตับยีน กัซบฺ อัลมุฟตะรีย์ ฟีมา นุซิบ่า อิลา อัลอิมาม อบี อัลหะซัน อัลอัชอะรีย์ ว่า ข้าพเจ้าได้ยินท่าน ชัยค์ ผู้เป็นนักปราชญ์ฟิกห์ คือ อบู อัลฟัตหฺ นัสรุลเลาะฮ์ บิน มุฮัมมัด บิน อัลดุลก่อวีย์ อัลมะซีซีย์ กล่าวว่า "ท่านชัยค์ นัสรฺ บิน อิบรอฮีม อัลมุก๊ออดิซีย์ ได้เสียชีวติในวันอังคารที่ 9 เดือน มุหัรรอม ปี ที่ 490 ณ นครดิมัชกฺ และการทำการอาศัยที่อยู่ที่กุบูรของเขา 7 คืน เพื่อเราทำการอ่านอัลกุรอานในทุก ๆ คือ ถึง 20 จบ" ดู หนังสือ อัลหาวีย์ ฟี อัลฟะตาวา เล่ม 2 หน้า 234ท่านอิมามอันนะวาวีย์ได้กล่าวอธิบายว่า "บรรดาอุลามาอ์ถือว่าเป็นสุนัต กับการอ่านอัลกุรอานที่กุบูรเนื่องสาเหตุของหะดิษนี้ เพราะว่าเมื่อการบรรเทาโทษยังมีหวังจากการตัสบีหฺของกิ่งอินทผาลัมแล้ว แน่นอนว่า การอ่านอัลกุรอานย่อมมีความหวังมากกว่า" ดู ชัรหฺ ซอฮิหฺมุสลิม เล่ม 2 หน้า 204
อิบนุ อบี ชัยบะฮ์ ได้กล่าวรายงานไว้ว่า
حدثنا حفص بن غياث، عن المجالد، عن الشعبى قال : كانت الأنصار يقرأون عند الميت بسورة البقرة
"
ได้เล่ากับเรา โดยหัฟซฺ บิน ฆอยยาษ จาก อัลมุญาลิด จากท่านอัชชะอฺบีย์ ท่านกล่าวว่า "บรรดาชาวอันซอร ได้ทำการอ่านอัลกุรอาน ที่มัยยิด ด้วยกับซูเราะฮ์อัลบะกอเราะฮ์ " ดู อัลมุซันนัฟ เล่ม 4 หน้า 236
และท่านค๊อลลาลได้รายงานจากสายรายงานเดียวกัน ด้วยคำว่า
كانت الأنصار إذا مات لهم ميت اختلفوا غلى قبره يقرأون عنده القرأن "บรรดาชาวอันซอรนั้น เมื่อมีผู้ตายคนหนึ่งของพวกเขาเสียชีวิตลง พวกเขาก็จะทำการสลับกันไปที่กุบูรของผู้นั้น โดยที่พวกเขาจะทำการอ่านอัลกุรอานที่กุบูรของมัยยิดนั้น" ดู หนังสือ อัลอัมรฺ บิลมะอฺรูฟ วันนะฮ์ อะนิลมุงกัร หน้า 126
ในสายรายงานดังกล่าว มีท่าน "มุญาลิด บิน สะอีด" ซึ่งเขาผู้นี้ หะดิษดี โดยมีบรรดาสายรายงานและหะดิษมาใช้ในการสนับสนุนและมีน้ำหนัก ท่านมุสลิมได้นำเขามาเป็นผู้รายงานหะดิษไว้ในซอฮิหฺของท่านมุสลิมด้วย โดยรายงานพร้อมกับคนอื่น ไว้ใน เรื่อง ฏอล๊าก บท ผู้หญิงที่ถูกหย่าขาด ที่ไม่มีค่าเลี้ยงดูให้แก่นาง
ดังกล่าวนี้ คือผลงานการกระทำที่ได้รายงานมาจากบรรดาซอฮาบะฮ์ โดยที่บรรดานักหะดิษได้ผ่อนปรนในการรายงานด้วยกับสายรายงานเหล่านี้ ท่าน อามิร บิน ชะรอฮีล อัชชะอฺบีย์นี้ คือเป็น ตาบีอีนชั้นแนวหน้า ผู้มีเกียรติ อีกทั้ง เป็นผู้ได้รับความเชื่อถือเป็นที่ยอมรับของคนทั่วไป ท่านได้พบกับบรรดาซอฮาบะฮ์ระดับอวุโสมากมาย และท่านอัลอัจญฺลีย์กล่าวว่า "เขาได้ยินหะดิษจากบรรดาซอฮาบะฮ์ถึง 48 ท่าน" เมื่อเป็นเช่นนี้ คำกล่าวของท่านอัชชะอฺบีย์ที่ว่า "บรรดาชาวอันซอร..." ย่อมตีความได้ว่า พวกเขาคือชนส่วนมากจากบรรดาซอฮาบะฮ์และตาบิอี
waalaikumussalam
Re: เฝ้ากุโบร์ไม่ฮาราม By: ILHAM Date: ม.ค. 12, 2008, 01:35 AM
ดีครับดี สสนุกดีครับเล่นกันแบบนี้ ผมชอบ
อุสตาสบอกว่า ตอนแรกเขาหะรอม ท่านนบีห้าม แต่ตอนหลังก็มีอายะกุรอานมา กฎใหม่มาหักล้างเป็นหะลาล ดังนั้นกฎเก่าจึงถูกยกเลิก
ผมจำหลักฐานไม่ได้ครับ จำมาคร่าวๆแบบนี้แหละเวลาเรียน
Re: เฝ้ากุโบร์ไม่ฮาราม By: al-azhary Date: ม.ค. 12, 2008, 01:45 AM
พี่น้องเชิญเสวนากันได้โดยให้อยู่ในกรอบวิชาการครับ
Re: เฝ้ากุโบร์ไม่ฮาราม By: ILHAM Date: ม.ค. 12, 2008, 01:56 AM
พี่น้องเชิญเสวนากันได้โดยให้อยู่ในกรอบวิชาการครับ
โดนผมหรือเปล่าครับ เห็นทำตัวใหญ่เบอ้เร่อเลย
ที่ผมร้อนตัวเพราะทำผิดบ่อย เวลาคนพูดอะไรเลยรู้สึกไม่ดี
ผมว่าผมก็อยู่ในกรอบวิชาการนะครับ เพียงแต่จำหลักฐานไม่ได้
แต่ก็สนุกจริงๆครับ
Re: เฝ้ากุโบร์ไม่ฮาราม By: al-azhary Date: ม.ค. 12, 2008, 02:05 AM
อย่าคิดมากไปเลยน้อง ILHAM สิ่งที่น้องโพสต์มาข้างต้นนั้นถือว่าผ่านครับ

Re: เฝ้ากุโบร์ไม่ฮาราม By: คนอยากรู้ Date: ม.ค. 12, 2008, 10:21 AM
บังหะสันครับ ผมจะให้โอกาสและจะรอบังหะสัน เข้ามาชี้แจงสักระยะนะครับ เพราะผมคิดว่าบังเองคงกำลัง หาข้อมูลตอบโต้ผมอยู่ อย่างน้อย ๆ ผมคิดว่า การเสวนาของเรา ครั้งนี้ คงจะลงเอยด้วยความรู้ที่ดีอีกทั้งยังได้แลกเปลี่ยนสาระประโยชน์ต่อกันและยอมรับในการกระทำกับพี่น้องที่อยู่ต่างทัศนะกับบัง โดยจะไม่ฮุกมทั้งต่อหน้าและลับหลัง
ส่วนใครจะมีน้ำหนักในการเชื่อถือมากน้อยแค่ไหนนั้น ไว้ให้ให้พี่น้องของราตัดสินกันเองด้วยเหตุผลเละหลักฐานที่ยกมากันเองแล้วกัน เพราะการคีลาฟียะในเรื่องนี้นั้น มันเรื่องของเหตุผลของแต่ละฝ่ายที่จะต้องนำเสนอ ต่อหน้าสาธารณชน ให้ได้รับรู้
อย่างน้อย สิ่งที่บังหะสันได้เคยตำหนิการกระทำของพี่น้องต่างทัศนะด้วยคำพูดที่ไม่สุภาพนั้น เช่น คำว่า
จะได้ตั้งบริษัทรับเฝ้าผีจำกัดกับเขามั่ง..อิอิ หรือ เฝ้ากุโบร์นั้นคือคนหากินกับคนตาย
ผมคิดว่า พี่น้องที่เป็นฝ่ายรับฟังและรับการข้อมูลนั้นจะได้รู้ว่าสิ่งที่ฝ่ายหนึ่งกล่าวหฝ่ายหนึ่งนั้น ที่แท้จริงแล้ว มันเป็นอย่างไร เชิญบังหะสันเข้ามาได้เลยครับ
Re: เฝ้ากุโบร์ไม่ฮาราม By: คนอยากรู้ Date: ม.ค. 12, 2008, 11:09 AM
ขณะที่ผมรอบังหะสัน ผมก็อยากให้พี่น้องได้ช่วยกันพิจารณาว่า การเฝ้ากุบุรนั้น เขากระทำอะไรกันบ้าง แล้วทำไมพี่น้องต่างทัศนะที่คัดค้านนั้นถึงกล่าวว่ามันเป็นบิดอะที่ร้ายแรงจนถึงขั้นฮารอม
การเฝ้ากรุโบร์นั้นไม่ใช่เพียงแต่นอนเฝ้าอย่างที่เราคิดแค่ผิวเผิน แต่ในความเป็นจริงนั้นการเฝ้ากุบุรนั้นล้วนไม่มีข้อห้ามใดๆในเรื่องศาสนา และที่ไม่ขัดต่อการกระทำ เช่นในกรณี การอ่านอัลกุรอานในขณะที่ทำการเฝ้ากุบูรนั้นเป็นประเด็นปัญหาข้อปลีกย่อยที่มีการโต้เถียงขัดแย้งกันมาก
จนกระทั้งบางครั้ง นำไปสู่การทะเลาะและตัดขาดญาติมิตรกัน การที่กลุ่มหนึ่งเชื่อว่าทัศนะของตนเท่านั้นที่ถูกต้อง และทำการตัดสินชี้ขาดหุกุ่มบรรดามุสลิมมีนที่มีทัศนะต่างกับตนว่าทำบิดอะฮ์ที่ลุ่มหลงนั้น ย่อมไม่มีแบบฉบับมา
จากอุลามาอ์สะละฟุศศอลิหฺและอุลามาอ์คอลัฟผู้มีความเชี่ยวชาญปราชเปรื่อง
อนึ่ง บรรดาปวงปราชน์แห่งโลกอิสลามมีมติ(อิตจิมาฮ์)เห็นพร้องกันว่า การที่อนุญาติให้มีการเฝ้ากุบูรและมีการอ่านอัลกุรอานที่กุบูรนั้น
ไม่ใช่เป็นสิ่งที่หะรอม ผู้ที่กระทำก็ไม่ได้เป็นการกระทำบาป บรรดาอุลามาอ์ส่วนมากจากมัซฮับหะนะฟียะฮ์ ชาฟิอียะฮ์ และหะนาบิละฮ์ มีทัศนะว่า
สุนัตให้ทำการอ่านอัลกุรอานที่กุบูร,
สำหรับ มัซฮับมาลิกียะฮ์นั้นมีทัศนะว่า การอ่านอัลกุรอานที่กุบูรเป็นเพียงมักโระฮ์
แต่
บรรดาอุลามาอ์มัซฮับมาลิกียะฮ์ในยุคหลังนั้นมีทัศนะว่า การอ่านอัลกุรอานที่กุบูร การซิกิร และฮะดียะฮ์ผลบุญให้แก่มัยยิดนั้นถือว่าไม่เป็นไร และผู้ที่กระทำดังกล่าว ย่อมได้รับผลตอบแทนด้วย อินชาอัลเลาะ
Re: เฝ้ากุโบร์ไม่ฮาราม By: GeT Date: ม.ค. 12, 2008, 12:36 PM
อนึ่ง บรรดาปวงปราชน์แห่งโลกอิสลามมีมติ(อิตจิมาฮ์)เห็นพร้องกันว่า การที่อนุญาติให้มีการเฝ้ากุบูรและมีการอ่านอัลกุรอานที่กุบูรนั้น ไม่ใช่เป็นสิ่งที่หะรอม ผู้ที่กระทำก็ไม่ได้เป็นการกระทำบาป
ถ้าบังคนอยากรู้จะกรุณา ช่วยอิงคำพูดนี้หน่อยได้ไหมครับว่ามีระบุอยู่ในหนังสือเล่มใดบ้าง และอุละมาอ์ที่อ้างว่ามีมติเป้นเอกฉันท์ว่าอนุญาตให้มีการเฝ้ากุโบร์นั้นมีใครบ้าง เพื่อที่พวกเราจะได้นำไปอ้างอิงเวลามีการพูดถึงเรื่องนี้ต่อไป ญะซากุมุลลอฮฺ ค็อยร่อน
Re: เฝ้ากุโบร์ไม่ฮาราม By: GeT Date: ม.ค. 12, 2008, 12:45 PM
ขอเสนอแนะเกี่ยวกับกระทู้นี้อีกนิดหนึ่งครับ
อยากให้มีการนำเสนอเชิงเปรียบเทียบในหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อกระทู้ (เฝ้ากุโบร์ไม่ฮาราม) นะครับไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม เช่น มีอุละมาอ์ในมัซฮับใดบ้างที่มีกล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทั้งทัศนะที่ว่าอนุญาตหรือไม่อนุญาต มีหลักฐานใดบ้างสนับสนุนทั้งฝ่ายที่บอกว่าอนุญาตและไม่อนุญาต และอื่นๆ
ผมว่าสิ่งนี้คือสิ่งที่น่าสนใจที่สุด และคิดว่าหลายๆคนกำลังจดจ่อที่จะตักตวงในสิ่งนี้อยู่ วัลลอฮุอะอลัมบิสศอวาบ
ปล. ไม่ทราบว่าจะเป็นการเรียกร้องที่มากเกินไปหรือเปล่าครับเนี้ยะ
Re: เฝ้ากุโบร์ไม่ฮาราม By: al-ciddix Date: ม.ค. 12, 2008, 10:29 PM
salamแวะมาให้กำลังใจ ครับ อยากให้เสวนากันในเชิงวิชาการครับ บังคนอยากรู้คงจะรอบังหะซันอยู่เลยไม่ต่อเนื่องในวิชาการ
งั้นผมขอแจม เกี่ยวกับคำถามของบังget นะครับ จริงการนำเสนอข้างบนของบังก็มีน้ำหนักแล้วนะครับ
ไหนๆก็รอบังคนอยากรู้นานแล้ว แต่ถ้าผมเสริมไม่ตรงประเด็นก็ยกผลให้เจ้าของจำเลยแล้วกันอิๆๆ
คุณget ถามว่า.......ถ้าบังคนอยากรู้จะกรุณา ช่วยอิงคำพูดนี้หน่อยได้ไหมครับว่ามีระบุอยู่ในหนังสือเล่มใดบ้าง และอุละมาอ์ที่อ้างว่ามีมติเป้นเอกฉันท์ว่าอนุญาตให้มีการเฝ้ากุโบร์นั้นมีใครบ้าง เพื่อที่พวกเราจะได้นำไปอ้างอิงเวลามีการพูดถึงเรื่องนี้ต่อไป ญะซากุมุลลอฮฺ ค็อยร่อน ข้อความเมื่อ: วันนี้ เวลา 11:09 AMข้อความ
ขอเสนอแนะเกี่ยวกับกระทู้นี้อีกนิดหนึ่งครับ
อยากให้มีการนำเสนอเชิงเปรียบเทียบในหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อกระทู้ (เฝ้ากุโบร์ไม่ฮาราม) นะครับไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม เช่น มีอุละมาอ์ในมัซฮับใดบ้างที่มีกล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทั้งทัศนะที่ว่าอนุญาตหรือไม่อนุญาต มีหลักฐานใดบ้างสนับสนุนทั้งฝ่ายที่บอกว่าอนุญาตและไม่อนุญาต และอื่นๆ
ผมว่าสิ่งนี้คือสิ่งที่น่าสนใจที่สุด และคิดว่าหลายๆคนกำลังจดจ่อที่จะตักตวงในสิ่งนี้อยู่ วัลลอฮุอะอลัมบิสศอวาบ
ปล. ไม่ทราบว่าจะเป็นการเรียกร้องที่มากเกินไปหรือเปล่าครับเนี้ยะ ................. บรรดาปวงปราชน์แห่งโลกอิสลามมีมติ(อิตจิมาฮ์)เห็นพร้องกันที่อนุญาติให้มีการเฝ้ากุบูรและมีการอ่านอัลกุรอานที่กุบูรนั้น
ไม่ใช่เป็นสิ่งที่หะรอม บรรดาอุลามาอ์ส่วนมากจากมัซฮับหะนะฟียะฮ์ ชาฟิอียะฮ์ และหะนาบิละฮ์ (ฮัมบาลี) มีทัศนะว่า
สุนัตให้ทำการอ่านอัลกุรอานที่กุบูร, และมัซฮับมาลิกียะฮ์นั้นมีทัศนะว่า การอ่านอัลกุรอานที่กุบูรเป็นเพียงมักโระฮ์
และบรรดาอุลามาอ์มัซฮับมาลิกียะฮ์ในยุคหลังนั้นมีทัศนะว่า การอ่านอัลกุรอานที่กุบูร การซิกิร และฮะดียะฮ์ผลบุญให้แก่มัยยิดนั้นถือว่าไม่เป็นไร
หลักฐาน ขนาดนี้ เพียงพอในความเชื่อถิอได้ไหมครับคุณget
และหลักฐานจากข้างล่างก็ถือว่าชัดเจนมากครับ
ท่านอิมามอัสศะยูฏีย์(ร.ฏ.) ได้กล่าวว่า
ولنختم الكتاب بلطائف :الأولى : أن سنة الإطعام سبعة أيام بلغني أنها مستمرة إلى الأن بمكة والمدينة فالظاهر أنها لم تترك من عهد الصحابة ألى الأن وأنهم أخذوها خلفا عن سلف ألى صدر الأول . ورأيت فى التوارخ كثيرا فى تراجم الأئمة بقولون : وأقام الناس على قبره سبعة أيام يقرؤون القران ، وأخرج الحافظ الكبير أبو القاسم بن عساكر فى كتابه المسمي تبيين كذب المفتري فيما نسب ألى الإمام أبى الحسن الأشعرى سمعت الشيخ الفقيه أبا الفتح نصر الله بن محمد بن عبد القوى المصيصي يقول : توفى الشيخ نصر بن إبراهيم المقدسى فى يوم الثلاثاء التاسع من المحرم سنة تسعين وأربعمائة بدمشق وأقمنا على قبره سبع ليال نقرأ كل ليلة عشرين ختمة
"เราาจงจบท้ายบท ด้วยเกล็ดความรู้ที่ละเอียดละออ คือ ประการที่หนึ่ง สุนัตให้อาหาร(เป็นทาน) ในช่วง 7 วัน ซึ่งได้ทราบถึงข้าพเจ้าว่า การที่สุนัตให้อาหารเป็นทานแก่มัยยิด
ยังคงมีการปฏิบัติกันอย่างต่อเนื่องจากถึงปัจจุบัน ณ ที่นครมักกะฮ์และนครมะดีนะฮ์ ดังนั้น ที่ชัดเจนแล้ว คือ การสุนัตให้อาหาร(เป็นทานแก่มัยยิด)นั้น ไม่เคยถูกทิ้งการกระทำมาเลยตั้งแต่สมัยของซอฮาบะฮ จวบจนถึงปัจจุบัน และพวกเขาได้ทำการเอาการปฏิบัติดังกล่าว ของปราชญ์ค่อลัฟ จาก ปราชญ์สะลัฟ จนกระทั่งถึงยุคแรก(ยุคซอฮาบะฮ์) และข้าพเจ้า(คืออิมามอัสศะยูฏีย์) ได้เห็น(ทราบ)จากบรรดาปฏิบัติศาสตร์มากมายของบรรดานักปราชญ์ ซึ่งพวกเขากล่าวว่า "บรรดานักปราชญ์ได้ทำการอาศัยอยู่ที่กุบูรผู้เสียชีวติ 7 วัน เพื่อทำการอ่านอัลกุรอาน ,
ท่านอัลหะฟิซฺผู้ยิ่งใหญ่ คือท่านอบู อัลกอซิม บิน อะซากิร ได้นำเสนอรายงานไว้ในหนังสือของท่านที่มีชื่อว่า "ตับยีน กัซบฺ อัลมุฟตะรีย์ ฟีมา นุซิบ่า อิลา อัลอิมาม อบี อัลหะซัน อัลอัชอะรีย์ ว่า ข้าพเจ้าได้ยินท่าน ชัยค์ ผู้เป็นนักปราชญ์ฟิกห์ คือ
อบู อัลฟัตหฺ นัสรุลเลาะฮ์ บิน มุฮัมมัด บิน อัลดุลก่อวีย์ อัลมะซีซีย์ กล่าวว่า "ท่านชัยค์ นัสรฺ บิน อิบรอฮีม อัลมุก๊ออดิซีย์ ได้เสียชีวติในวันอังคารที่ 9 เดือน มุหัรรอม ปี ที่ 490 ณ นครดิมัชกฺ และการทำการอาศัยที่อยู่ที่กุบูรของเขา 7 คืน เพื่อเราทำการอ่านอัลกุรอานในทุก ๆ คือ ถึง 20 จบ" ดู หนังสือ อัลหาวีย์ ฟี อัลฟะตาวา เล่ม 2 หน้า 234ท่านอิมามอันนะวาวีย์ได้กล่าวอธิบายว่า "
บรรดาอุลามาอ์ถือว่าเป็นสุนัต กับการอ่านอัลกุรอานที่กุบูรเนื่องสาเหตุของหะดิษนี้ เพราะว่าเมื่อการบรรเทาโทษยังมีหวังจากการตัสบีหฺของกิ่งอินทผาลัมแล้ว แน่นอนว่า การอ่านอัลกุรอานย่อมมีความหวังมากกว่า" ดู ชัรหฺ ซอฮิหฺมุสลิม เล่ม 2 หน้า 204 อิบนุ อบี ชัยบะฮ์ ได้กล่าวรายงานไว้ว่า
حدثنا حفص بن غอัลมุญาลิด จากท่านอัชชะอฺบีย์ ياث، عن المجالد، عن الشعبى قال : كانت الأنصار يقرأون عند الميت بسورة البقرة
"ได้เล่ากับเรา โดยหัฟซฺ บิน ฆอยยาษ จาก ท่านกล่าวว่า "บรรดาชาวอันซอร ได้ทำการอ่านอัลกุรอาน ที่มัยยิด ด้วยกับซูเราะฮ์อัลบะกอเราะฮ์ " ดู อัลมุซันนัฟ เล่ม 4 หน้า 236
และท่านค๊อลลาลได้รายงานจากสายรายงานเดียวกัน ด้วยคำว่า
كانت الأنصار إذا مات لهم ميت اختلفوا غلى قبره يقرأون عنده القرأن
"บรรดาชาวอันซอรนั้น เมื่อมีผู้ตายคนหนึ่งของพวกเขาเสียชีวิตลง พวกเขาก็จะทำการสลับกันไปที่กุบูรของผู้นั้น โดยที่พวกเขาจะทำการอ่านอัลกุรอานที่กุบูรของมัยยิดนั้น" ดู หนังสือ อัลอัมรฺ บิลมะอฺรูฟ วันนะฮ์ อะนิลมุงกัร หน้า 126
ในสายรายงานดังกล่าว มีท่าน "
มุญาลิด บิน สะอีด" ซึ่งเขาผู้นี้ หะดิษดี โดยมีบรรดาสายรายงานและหะดิษมาใช้ในการสนับสนุนและมีน้ำหนัก ท่านมุสลิมได้นำเขามาเป็นผู้รายงานหะดิษไว้ในซอฮิหฺของท่านมุสลิมด้วย โดยรายงานพร้อมกับคนอื่น ไว้ใน เรื่อง ฏอล๊าก บท ผู้หญิงที่ถูกหย่าขาด ที่ไม่มีค่าเลี้ยงดูให้แก่นาง
ดังกล่าวนี้ คือผลงานการกระทำที่ได้รายงานมาจากบรรดาซอฮาบะฮ์ โดยที่บรรดานักหะดิษได้ผ่อนปรนในการรายงานด้วยกับสายรายงานเหล่านี้
ท่าน อามิร บิน ชะรอฮีล อัชชะอฺบีย์นี้ คือเป็น ตาบีอีนชั้นแนวหน้า ผู้มีเกียรติ อีกทั้ง เป็นผู้ได้รับความเชื่อถือเป็นที่ยอมรับของคนทั่วไป ท่านได้พบกับบรรดาซอฮาบะฮ์ระดับอวุโสมากมาย
และท่านอัลอัจญฺลีย์กล่าวว่า "เขาได้ยินหะดิษจากบรรดาซอฮาบะฮ์ถึง 48 ท่าน" เมื่อเป็นเช่นนี้ คำกล่าวของท่านอัชชะอฺบีย์ที่ว่า "
บรรดาชาวอันซอร..." ย่อมตีความได้ว่า พวกเขาคือชนส่วนมากจากบรรดาซอฮาบะฮ์และตาบิอีน.....
Re: เฝ้ากุโบร์ไม่ฮาราม By: sufriyan Date: ม.ค. 12, 2008, 11:04 PM
salam
:jazakallah
Re: เฝ้ากุโบร์ไม่ฮาราม By: GeT Date: ม.ค. 12, 2008, 11:37 PM
ผมขอทำความเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งที่ผมได้โพสต์ไว้ คือ
อย่างแรกผมไม่ได้บอกว่าสิ่งที่บังนูรุลอิสลามนำเสนอนั้นไม่มีน้ำหนัก เพียงแต่ว่าผมอยากให้บังนูรลอิสลามช่วยกรุณาระบุที่มาของข้อมูลด้วย เพื่อที่จะได้ใช้อ้างอิงต่อไปในอนาคต
อย่างที่สอง หลักฐานที่บังนูรุลอิสลามนำเสนอนั้นมันก็โอเค แต่เป็นเพียงหลักฐานของฝ่ายที่เห็นว่าอนุญาตเท่านั้น ผมจึงขอเสนอให้นำเสนอหลักฐานที่เห็นว่าไม่อนุญาตด้วย แล้วมาวิจารณ์หักล้างกันจนได้ข้อสรุปที่ชัดเจนว่า ระว่างทั้งสองทัศนะอันไหนมีน้ำหนักมากกว่ากัน ก็เท่านั้น
ทั้งหมดที่ผมเสนอแนะนั้น ก็เพื่อที่จะให้การเสวนาเป็นไปในเชิงวิชาการจริงๆ วัลลอฮุอะอลัม
อนึ่ง ถ้าหากว่าข้อเสนอแนะของผมไม่ถูกต้องหรือเป็นที่ลำบากใจของเพื่อนร่วมเสวนา ผมก็ยินดีให้ลบข้อเสนอแนะของผมดังกล่าว
Re: เฝ้ากุโบร์ไม่ฮาราม By: الأزاهرة Date: ม.ค. 12, 2008, 11:51 PM
แล้วการ เฝ้ากุโบร น่ะ มันคืออะไร ลองให้คำนิยามมาก่อนซิครับ คนอ่านเขาจะได้รู้เรื่อง
Re: เฝ้ากุโบร์ไม่ฮาราม By: ok Date: ม.ค. 13, 2008, 02:23 AM
แล้วการเฝ้ากุโบรนะ บางเจ้ามีการให้ตังค์กันด้วยนิ แบบนี้ก้อเท่ากับว่า..จ้าง...กันนะสิ
หรือถ้าเป็นเซาะดะเกาะ ทำไมไม่ไปเซาะดะเกาะให้คนจนละ คนจนเยอะแยะไป
น่าสงสัยแหะ....อื้อๆๆๆๆๆ น่าคิดๆ
Re: เฝ้ากุโบร์ไม่ฮาราม By: الأزاهرة Date: ม.ค. 13, 2008, 02:38 AM
แล้วการเฝ้ากุโบรนะ บางเจ้ามีการให้ตังค์กันด้วยนิ แบบนี้ก้อเท่ากับว่า..จ้าง...กันนะสิ
หรือถ้าเป็นเซาะดะเกาะ ทำไมไม่ไปเซาะดะเกาะให้คนจนละ คนจนเยอะแยะไป
น่าสงสัยแหะ....อื้อๆๆๆๆๆ น่าคิดๆ
สิ่งที่คุณโอเค คิดมานั้น คิดตามปัญหาตนเองหรือคิดตามหลักนิติศาสตร์อิสลามครับ การจ้างอ่านอัลกุรอานนั้นอุลามามีทัศนะที่ขัดแย้งกัน ดังนั้นเราจะเอาทัศนะที่ขัดแย้งมาเชื่อว่าของตนถูกตามทัศนะของอัลเลาะฮ์และถูกต้องเหนือผู้ใดย่อมมิได้ ส่วนเรื่องการเซาะดะเกาะฮ์นั้น หากพิจารณาตามหลักนิติศาสตร์ จะคนจนหรือคนรวย ซอดาเกาะฮ์ได้ทั้งนั้นแหละครับ ได้บุญทั้งเพแหละ แม้กาเฟรที่เดือนร้อนเรายังซอดาเกาะฮ์ให้เขาได้เลย ได้บุญตามหลักนิติศาสตร์อิสลามอีกต่างหาก น่าคิด ๆ