เมื่อสาวก(ซอฮาบะฮ์)ของ อ.ปราโมท และอ. มุรีด เขากล่าวว่า...?? By: ۞QolbunSaleem۞ Date: ก.พ. 10, 2008, 09:32 PM
8. วะฮาบีย์มักพยายามยัดเยียดการเจตนาและความนึกคิดให้กับคนอื่น เพื่อทำการให้ร้ายและโจมตี
พี่น้องโปรดอ่าน
และผมก็ไม่เชื่ออีกเช่นกันว่าผู้รู้ระดับสูงเยี่ยงท่านจะมองไม่ออกว่าหะดีษ2บทนี้มีข้อผิดพลาดอย่างไรทำไมหรือครับ ท่านเป็นเพียงแค่มูก็อลลิด แต่กลับสถาปนาตนเองขึ้นเป็นมุญตะฮิด
นี่ไงครับ สาวก(ซอฮาบะฮ์)ของ อ.ปราโมท หรือสาวก อ.มุรีด มาบอกว่า ผมสถาปนาตนเองเป็นมุญตะฮิด
คิดได้ไงครับเนี่ย ระดับท่านชัยคุลอิสลาม อัลหาฟิซฺ อิบนุ หะญัร และท่านอิมามอัสยูฏีย์ ซึ่งทั้งสองได้รับฉายาว่าเป็นหนึ่งใน อะมีรุลมุอฺมินีในสาขาฮะดิษ ก็มองว่า ฮะดิษดังกล่าว เกี่ยวกับการทำบุญให้อาหารเป็นทานแก่มัยยิด ซึ่งทั้งสองก็เป็นอุลามาอ์มุจญฺฮิด แต่ตรงนี้ไม่ใช่ประเด็นของกระทู้น่ะ แต่อยากจะบอกว่า ผมอ้างอิงจากอุลามาอ์ ไม่ใช่สถาปนาตนเองเป็นมุญตะฮิด ตามที่วะฮาบีย์สาวกของ อ.ปราโมท และอ. มุรีด ยัดเยียดความนึกคิด
สลามครับ...
ก็ได้อ่านกระทู้ถามตอบ ที่คุณYAMAN ได้ตั้งขึ้น...
แล้วอ.อัซฮารี ได้ไปเปิดตำรา ที่เขาให้ อ. ไปเปิด อีกสามมัสหับหรือยังครับ เปิดดูแล้วเป็นยังไงมั่ง อยากให้นำเสนอหน่ะครับ...
Re: เมื่อสาวก(ซอฮาบะฮ์)ของ อ.ปราโมท และอ. มุรีด เขากล่าวว่า...?? By: al-azhary Date: ก.พ. 10, 2008, 09:47 PM
สาวก อ.ปราโมทย์ขำกลิ้ง!!!โต๊ะครู บ.ด.อ. ไม่กล้ารับคำท้า
เงียบหายไปเลยนะครับคุณอัซอารีย์ ว่าไงครับการบ้านที่ผมฝากให้ไปทำวันก่อน4ข้อ (ยั่งจ่ำได๊ไหม๊ จ่ำได๋หรือเปล่า..........) อีกทั้งที่ผมท้าคุณเอาไว้ถึง2ข้อคุณกล้าแล้วหรือยังที่จะรับคำท้าของผม ถ้าคุณบอกว่าคุณกล้า ผมก็อยากจะบอกกับคุณว่าผมก็พร้อมแล้วที่จะปฏิบัติและยอมรับว่าในศาสนามีบิดอะฮ์หาสานะฮ์จริงดังที่คุณว่า แต่ถ้าคุณไม่กล้าปฏิบัติตามคำท้าของผม คุณก็ควรแสดงสปิริตจรรยาบรรณของความเป็นนักวิชาการกล้าหาญที่จะยอมรับความผิดพลาดในตัวคุณ(อย่าให้ผมต้องสมเพชเวทนาพวกคุณไปมากกว่านี้เลยเพราะในสิ่งที่ผมท้าคุณ คุณจะปฏิเสธิว่าไม่ใข่บิดอะฮ์หาสานะฮ์ก็ไม่ได้ จะรับมาปฏิบัติก็ไม่กล้าเพราะกลัวจะถูกกล่าวหาว่าทำบิดอะฮ์) ถ้าคุณไปไหนไม่ได้ก็แล้วจะดันทุรังไปทำหาพระแสงวิมารอะไรกันเล่า? เอาเถอะ ผมไม่ได้คาดคั้นจะเอาอะไรจากคุณหรอกพูดไปก็เท่านั้นแหละ เสียเวลาเปล่า เข้าตำราพูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง ความจริงผมน่าจะเชื่อท่านฮิชาม บินอุรวะฮ์(เป็นตาบีอีน และเป็นหลานของท่านหญิงอาอิฉะฮ์ ร.ฎ. สิ้นชีวิตในปี145หรือ146)ตั้งแต่แรก ซึ่งท่านได้กล่าวเอาไว้ว่า"พวกท่านอย่าไปถามผู้คนในสิ่งที่พวกเขาได้อุตริมันขึ้นมา เพราะพวกเขาจะเตรียมข้ออ้าง(คำตอบ)ไว้เรียบร้อยแล้วแต่จงถามเรื่องซุนนะฮ์ซิแล้วพวกเขาจะไม่รู้จักมันเลยว่าซุนนะฮ์ว่าซุนนะฮ์ในเรื่องนั้นๆเป็นอย่างไร" จากหนังสืออัล-อิบดาอ์ฟีมะฎอรร์อัล-อิบดาอ์หน้า41 โปรดคิดสักนิดเถอะครับ สุดท้ายนี้ผมอยากจะฝากข้อคิดคำคมจากนักวิชาการท่านหนึ่งในอดีตเพื่อหวังความเมตตาจากอัลลอฮ์ให้ความแหลมคมของข้อความนี้จะไปทิ่มแทงหรือสกิดหัวใจของใครบางคนแถวนี้ให้ฉุกยั้งคิดได้(ขออัลลอฮ์ทรงรับดุอาอ์ด้วยเถิด) ท่านอิหม่ามมาลิก บิน อนัส(สิ้นชีวิตในปีฮ.ศ.179) ได้กล่าวไว้ ดังการรายงานของท่านอิบนุ มาญิชูน ว่า"ผู้ใดอุตริสิ่งใดขึ้นมาในอิสลาม โดยมองว่ามันเป็นเรื่องที่ดี แน่นอนเขาผู้นั้นกล่าวหาท่าน นบีย์มูฮัมหมัดว่าทุจริต(หรือบกพร่อง)ในการปฏิบัติหน้าที่รอซู้ล เพราะอัลลอฮ์ ซ.บ. ทรงตรัสเอาไว้แล้วว่า วันนี้ข้าได้ทำให้ศาสนาของพวกเจ้าสมบูรณ์แล้ว ดังนั้นสิ่งใดก็ตามถ้าหากในวันนั้นมิใช่เป็นเรื่องของศาสนา มาในวันนี้มันก็มิใช่เป็นเรื่องของศาสนา" จากหนังสือ อัล-เอี๊ยะอ์ติศอม เล่มที่1หน้า49 สุดท้ายก็วัดกันที่จุดยืน
สาวก อ.มูรีดเมาลิดเป็นสี่งที่นบีรังเกียจตามกฎการกียาสเอาลาวีย์
ท่านอะนัส บินมาลิก ได้กล่าวว่า "ไม่มีผู้ใดแล้วในโลกนี้ผู้ซึ่งเขา(ศอหาบะฮ์)อยากจะเจอหน้ายิ่งไปกว่าท่านรอซู้ล แต่ทว่า เมื่อพวกเขาเจอท่าน พวกเขาจะไม่ยืนขึ้นเลย เพื่อเป็นการให้เกียรติท่านนบี เนื่องจากพวกเขารู้ว่า ท่านรังเกียรติพฤพติการณ์ดังกล่าวนี้" บันทึกโดย ท่านบุคอรี ใน อัล-อะดับ อัล-มุฟร็อด หะดีษที่946 ท่านอัต-ติรมีซีย์ หะดีษที่2754 ท่านอัฏ-เฏาะหาวีย์ในมุชกิลอาษาร หะดีษที่1276 ท่านอะฮ์หมัด เล่มที่3 หน้า132 ท่านอาบูยะฮ์ลา ในอัล-มุสนัด หะดีษที่183/2 หว้า!.....กะอีแค่ยีนให้เกียรคินบี ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาสามัญเหลือเกิน นบียังรังเกียรติขยะแขยงจนศอหะบะฮ์ไม่กล้าทำ แล้วนับประสาอะไร๊กับจัดงานวันเกิดให้ท่าน ซึ่งมันเอิกเกริกยิ่งกว่าหลายเท่านัก....มันไม่เว่อๆๆๆๆๆๆไปหน่อยหรือ หรือท่านคิดว่านบีคงพอใจและปลื้มสุดๆกับพิธีกรรมดังกล่าว ลองใช้สามัญสำนึกคิดดูดีๆๆซิครับ ฮิๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
สาวก อ.ปราโมทย์บิดอะฮ์หาสานะฮ์มีจริงหรือ
แหม! อะไรๆก็บิดอะหาสานะฮ์ การที่ท่านเล่นถือวิสาสะนำเอาคำพูดของท่านอุมัรมาอ้างเพื่อที่จะชักลากเข้าหาฝ่ายตัวเอง ผมอยากจะรู้จริงจิ๊งว่าทำไมท่านถึงไม่กล้านำเอาคำอธิบายของท่านอิบนุหะญัรอัล-อัสกอลานีซึ่งเป็นนักวิชาการหะดีษในมัซฮับชาฟีอีย์เองว่าท่านได้อธิบายหะดีษนี้อย่างไรหรือถ้าจะให้ชัวลองเปิดหนังสือ อัล-อิบดาอ์ของเชคอะลีมะฟูศหน้า39ดูซิครับว่าท่านอัล-ฮัยตะมีย์นักวิชาการฟิกฮ์ระดับแนวหน้าแห่งมัซฮับชาฟีอีย์ว่าท่านอธิบายคำว่าบิดอะฮ์เหมือนที่ท่านเข้าใจหรือเปล่า แหม อย่าเพิ่งโกรธซิครับ ทีท่านยังอ้างคำพูดของท่านอุมัร(และถือวิสาสะอธิบายไปเอง) ผมอยากจะให้ท่านดูคำพูดของศอหาบะฮ์อีกท่านหนึ่งคือท่านอับดุลลอฮ์ อิบนุอุมัร ซึ่งบันทึกใน ชัรฮูอูซูลิเอี๊ยะติกอดอะลิสซุนนะฮ์ เล่ม1 หน้า92 และท่านอัล-บัยฮะกีย์ใน อัล-มัดคอลุอิลัซซุนนะฮ์นินกุบรอ หมายเลข191 มีใจความดังนี้"ทุกๆบิดอะฮ์(ตามนัยของบทบัญญัติ)คือความหลงผิดแม้ประชาชนทั่วไปจะเห็นว่ามันดีก็ตาม"เพื่อให้กระชับยิ่งขึ้นขอตบท้ายด้วยหะดีษที่ว่า"ผู้ใดที่อัลลอฮ์ให้ทางนำแก่เขาก็ไม่มีใครทำให้เขาหลงได้ และผู้ใดที่อัลลอฮ์ให้เขาหลงทาง ก็ไม่มีผู้ใดจะชี้ทางนำแก่เขาได้ แน่นอนวาจาที่สัจจะยิ่งคือคัมภีร์ของอัลลอฮ์ ทางนำที่ดีเลิศคือทางนำของมุฮัมหมัด และที่เลวยื่งจากกิจการทั้งหลายคือบรรดาสิ่งที่ถูกอุตริขึ้นมาใหม่ และทุกอย่างที่ถูกอุตริขึ้นมาใหม่เป็นบิดอะฮ์ ทุกๆบิดอะฮ์คือความหลงผิด และทุกๆความหลงผิดจะต้องอยู่ในนรก......"โดยท่านนซาอีย์หะดีษที่1577ด้วยสายรายงานที่ถูกต้อง อย่าดันทุรังหลอกตัวเองและชาวบ้านเลยครับ ขออัลลอฮ์ทรงฮีดายะฮ์ทางนำแก่ท่านด้วย เอาอย่างนี้ดีไหม?ถ้าท่านบอกว่าในศาสนามีบิดอะฮ์ดี(ในขณะที่นบีและท่านอิบนุอุมัรบอกว่าทุกบิดอะฮ์หลงผิด)ท่านจะรับคำท้าต่อไปนี้ของผมไหม?1อะซานเรียกร้องให้ผู้คนมานมาซญะมาอะฮ์ในวันอีดหรือนมาซตะรอเวี๊ยะฮ์ เอ้า!ไม่ดีตรงไหนหรือ?ก็อัลลอฮ์บอกไว้ในซูเราะห์ฟุศศิลัต โองการที่33ว่า"ผู้ใดเล่าจะเลอเลิศที่สุดในด้านคำพูดยิ่งไปกว่าผู้ที่เรียกร้องเชิญชวนไปสู่อัลลอฮ์ และเขาปฎิบัติดี....." ฮิๆๆ 2จัดให้มีคนหรือมีขบวนอ่านอัล-กุรอ่านดังๆนำหน้าตอนหามมัยยิตไปฝังที่กุบุร หรือจะเถียงว่าอ่านอัลกุรอ่านไม่ดี อ้อ! ก่อนจะจบถ้าท่านว่างๆลองหาความหมายและทำความเข้าใจกับคำศัพท์ที่ผมจะให้ต่อไปนี้ เผื่อว่าท่านจะเข้าใจอะไรแจ่มชัดขึ้น 1อัล-มะศอลิฮ์มุรสาละฮ์ 2ซุนนะฮ์ตัรกียะฮ์ 3บิดอะลูฆอวียะฮ์ 4บิดอะฮ์ชัรอียะฮ์ ผมว่าผู้รู้ระดับสูงเยี่ยงท่านศัพท์แค่นี้ไม่ยากเกินไปหรอกใช่ไหมครับ เพียงแต่ขอให้ท่านได้ลดฐิถิลง และขออัลลอฮ์ทรงฮีดายะฮ์ทางทางนำแก่ท่านด้วย ถ้าหากว่าท่านยังไม่เข้าใจคำศัพท์ที่ผมได้ให้ไว้ วันหลังผมจะมาอธิบายให้ท่านได้เข้าใจมากกว่านี้ อินชาอัลลอฮ์ แค่นี้ก่อนแล้วกันครับ........วัสสาลามูอะลัยกุมวาเราะมาตุ้ลลอฮ์ฮิวะบารอกาตุฮ์
YAMANคุณอัซอารีย์ อิคล๊าศ หรือเปล่า
เมื่อเดือนที่แล้วผมได้อ่านกระทู้ของคุณเรื่อง''ทำบุณ7วัน''ซึ่งคุณได้อ้างหะดีษอะห์นัฟ บินก็อยส์ และหะดีษ ฏอวูส ผมได้นำหะดีษ2บทนี้ไปให้ อ.ท่านหนึ่งได้ตรวจสอบ ซึ่งบัดนี้ท่านได้ทำการวิเคราะห์ หะดีษที่คุณอ้างจนเสร็จเป็นรูปเล่มและได้ทำการแจกจ่ายให้พี่น้องของเราได้อ่านกันทั่วภาคใต้ซึ่งผมก็อยากจะส่งหนังสือเล่มนั้นมาให้คุณได้อ่านแต่ทราบว่าคุณอัซอารีย์ไม่ได้อยู่เมืองไทย น่าเสียดาย ซึ่งปรากฏว่าหะดีษที่คุณอ้างมีจุดบกพร่องอยู่หลายจุดทั้งในด้านเนื้อหาและตัวบท และผมก็ไม่เชื่ออีกเช่นกันว่าผู้รู้ระดับสูงเยี่ยงท่านจะมองไม่ออกว่าหะดีษ2บทนี้มีข้อผิดพลาดอย่างไรทำไมหรือครับ ท่านเป็นเพียงแค่มูก็อลลิด แต่กลับสถาปนาตนเองขึ้นเป็นมุญตะฮิด เพราะผมอยากจะทราบว่ามีอิหม่ามมุญตะฮิดท่านใดในอดีตที่คุณตักลีดตามเขาว่าพวกเขาจะเคยอ้างหะดีษ2บทนี้มาเป็นหลักฐานเรื่องกินบุญบ้านคนตายมาก่อน หรือว่าคุณจะโต้แย้งผมกลับว่าผู้รู้เหล่านั้นอาจไม่พบหลักฐาน ท่านคนแรกงั้นซิ? ที่พบหลักฐาน คุณอัซอารีย์ก็ทราบและทราบดีกว่าผมด้วยซ้ำไปว่านักวิชาการทั้ง4มัซฮับต่างก็กำชับและห้ามปรามพฤติกรรมดังกล่าว และที่น่าทึ่งยิ่งกว่านั้นคือ นักวิชาการหลายท่านโดยเฉพาะในมัซฮับชาฟีอีย์อเงต่างก็ยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่มีรายงานที่ถูกต้องมาก่อนเลยในเรื่องนี้ ลองใช้สามัญสำนึกคิดดูง่ายๆ ถ้าหะดีษที่คุณอ้างมาถูกต้องจริงมีหรือที่บรรดานักวิชาการ(ในมัซฮับชาฟีอีย์เอง)กลับคัดค้านรายงานดังกล่าว คุณคงจะลืม(หรือแกล้งลืมกันแน่)ในที่นี้ผมขอทวนความจำให้คุณดังนี้
มัซฮับชาฟีอีย์ ท่านอิหม่ามนะวะวีย์ ได้กล่าวในหนังสือ อัล-มัญมั๊วะอ์ เล่มที่5หน้า320ว่า
''ท่านเจ้าของหนังสือ อัชชามิล และนักวิชาการท่านอื่นๆได้กล่าวว่า อนึ่งการที่ครอบครัวผู้ตายได้จัดเตรียมอาหารอย่างดี และเชิญชวนผู้คนให้มาร่วมรับประทานนั้น พฤติกรรมนี้ ไม่เคยปรากฏมีรายงานหลักฐานมาแต่อย่างใด" การที่ท่านอิหม่ามนะวะวีย์ ได้คัดลอกข้อความนี้มาโดยไม่มีการท้วงติงตามหลักการถือว่า ท่านยอมรับทัศนะที่ท่านได้คัดลอกมา
-ท่านซัยยิด บักรีย์ เจ้าของหนังสือ อิอานะฮ์ อัฏฏอลิบีน ได้นำคำตอบของท่านอะฮ์หมัด บินซัยนีย์ ดะห์ลาน มุฟตีคนหนึ่งแห่งมัซฮับชาฟีอีย์ซึ่งในคำตอบดังกล่าวมีการนำเสนอข้อมูลจากคำกล่างของท่านอิบนุหะญัรอัลฮัยตะมีย์ นักวิชาการฟิกฮ์ระดับแนวหน้าแห่งมัซฮับชาฟีอีย์จากหนังสือ ต๊ห์ฟะตุ้ลมุห์ตาจญ์ ว่า ".ใช่แล้ว สิ่งที่ประชาชนกำลังกระทำกันอยู่คือการไปชุมนุม ณ ครอบครัวผุ้ตาย และมีการประกอบอาหาร ถือว่าเป็นหนึ่งจากบิดอะฮ์ต้องห้าม ซึ่งผู้คัดค้านสิ่งนี้จะได้รับผลบุญ ท่านอัลลามะ อิบนุหะญัรได้กล่าวใน ตุห์ฟะตุ้ลมุห์ตาจญ์ ตำราอธิบายหนังสืออัล มินฮาจญ์ว่า สุนัต ให้บ้านไกล้เรือนเคียงผู้ตายนำอาหารที่พอเพียงต่อพวกเขา(ลูกเมียผู้ตาย)รับประทานในวันและคืนนั้นเพราะท่านนบีย์กล่วว่า พวกท่านจงทำอาหารไปเลี้ยงครอบครัวญะฟัรเถิด เพราะพวกเขากำลังประสบกับความโศกเศร้า และสมควรจะคะยั้นคะยอให้พวกเขารับประทานอาหารด้วย และสิ่งที่ถูกปฏิบัติจนกลายเป็นประเพณีไปแล้ว อันได้แก่ครอบครัวผู้ตายปรุงอาหารขึ้นมาเพื่อเชิญชวนให้ผู้คนมากินนั้นเป็นบิดอะฮ์ที่น่ารังเกียจเช่นเดียวกับการตอบรับคำเชิญไปร่วมในงานนี้(ก็เป็นเรื่องน่ารังเกียจเช่นกัน)" จาก อิอานะฮ์ อัฏฏอลิบีนเล่ม2หน้า145-146
-เช็คอะห์หมัด ซัยนีย์ดะลานยังได้กล่าวอีกว่า "และไม่มีข้อสงสัยใดๆเลยว่าการห้ามปรามผู้คนจากบิดอะฮ์ต้องห้ามนี้ เป็นการฟื้นฟูซุนนะฮ์และทำลายบิดอะฮ์....."จากอิอานะฮ์ อัฏฏอลิบีนเล่ม2หน้า135
-หมายเหตุ คำว่ามักโร๊ะอันเป็นสำนวนที่นักวิชาการแทบทุกท่านใช้กล่าวคู่กับบิดอะฮ์ โปรดเข้าใจด้วยว่าความหมายของมันคือบิดอะฮ์ต้องห้าม หรือหะรอมนั่นเองมิใช่หมายถึงถ้าไม่ทำได้บุญ แต่ถ้าทำก็ไม่บาป โปรดดู กัชฟุชชุบฮาต หน้า193
-นี่เป็นแค่ส่วนหนึ่งจากคำกล่าวของนักวิชาการมัซฮับชาฟีอีย์ จะให้ผมเปิดโปงคุณด้วยการนำคำกล่าวของนักวิชาการมัซฮับอื่นมาอีกไหม ผมไม่อยากจะให้พี่น้องที่ศรัทธาในตัวคุณต้องเสียความรู้สึกไปมากกว่านี้ ขอให้คุณไปเปิดดูเองแล้วกันดังนี้
1มัซฮับฮัมบาลีย์
-ในอัลมันฮัล อัล-อัศบุลเมารูดเล่มที่4ส่วนที่8หน้า273
-ในอัล-มุฆนีย์ เล่มที่2หน้า 413
2มัซฮับฮะนาฟีย์
-ในอัต-ตัซกิเราะฮ์ หน้า102
3มัซฮับมาลิกีย์
-ในอัล-หะวาดิษวัลบีดาอ์ หน้า 170
-ในมัตนุคอลีล (จาก อัลมันฮัล เล่มที่4ส่วนที่8หน้า272)
Re: เมื่อสาวก(ซอฮาบะฮ์)ของ อ.ปราโมท และอ. มุรีด เขากล่าวว่า...?? By: al-azhary Date: ก.พ. 10, 2008, 09:54 PM
السلام عليكم ورحمة الله وبركاته
เมื่อได้อ่านแล้ว ปัญหามันอยู่ที่ บรรดาอัครสาวก ของ อ.ปราโมท และอ. มุรีด นั้น พวกเขาไม่เคยอ่านสิ่งที่เราได้ชี้แจงไป เพราะหากเขาได้อ่านจริง ก็จะไม่เขียนออกมาอย่างนี้
วัสลาม
Re: เมื่อสาวก(ซอฮาบะฮ์)ของ อ.ปราโมท และอ. มุรีด เขากล่าวว่า...?? By: al-azhary Date: ก.พ. 10, 2008, 10:18 PM
และท่านอัล-บัยฮะกีย์ใน อัล-มัดคอลุอิลัซซุนนะฮ์นินกุบรอ หมายเลข191 มีใจความดังนี้"ทุกๆบิดอะฮ์(ตามนัยของบทบัญญัติ)คือความหลงผิดแม้ประชาชนทั่วไปจะเห็นว่ามันดีก็ตาม"เพื่อให้กระชับยิ่งขึ้นขอตบท้ายด้วยหะดีษที่ว่า"ผู้ใดที่อัลลอฮ์ให้ทางนำแก่เขาก็ไม่มีใครทำให้เขาหลงได้ และผู้ใดที่อัลลอฮ์ให้เขาหลงทาง ก็ไม่มีผู้ใดจะชี้ทางนำแก่เขาได้ แน่นอนวาจาที่สัจจะยิ่งคือคัมภีร์ของอัลลอฮ์ ทางนำที่ดีเลิศคือทางนำของมุฮัมหมัด และที่เลวยื่งจากกิจการทั้งหลายคือบรรดาสิ่งที่ถูกอุตริขึ้นมาใหม่ และทุกอย่างที่ถูกอุตริขึ้นมาใหม่เป็นบิดอะฮ์ ทุกๆบิดอะฮ์คือความหลงผิด และทุกๆความหลงผิดจะต้องอยู่ในนรก......"โดยท่านนซาอีย์หะดีษที่1577ด้วยสายรายงานที่ถูกต้อง อย่าดันทุรังหลอกตัวเองและชาวบ้านเลยครับ ขออัลลอฮ์ทรงฮีดายะฮ์ทางนำแก่ท่านด้วย
สาวก(ซอฮาบะฮ์) ของ อ.ปราโมท และ อ.มุรีด เขาบอกกับผมว่า "อย่างดันทุรังหลอกตัวเอง" แล้วอ้างหนังสือ อัลมัดค๊อล ของท่าน อิมามอัลบัยฮะกีย์ ผมว่า สาวกพวกนี้ ถูกหลอกมากกว่า อ้างอิงจากตำรา อัลมัดค๊อล ของท่านอิมามอัลบัยฮะกีย์ และซ่อนเร้นอำพรางปกปิดอีกส่วนหนึ่งที่ไม่ตรงกับอารมณ์นัฟซูของตนเอง แบบนี้ไม่ดีแน่ครับ
พี่น้องลองมาดูเนื้อความของหนังสือ อัลมัดค๊อล ที่ท่านอิบนุตัยมียะฮ์(แถมให้อีก) ได้ทำการอ้างอิง ถึงการแบ่งแยกบิดอะฮ์ เป็น บิดอะฮ์ซัยยิอะฮ์(บิดดะฮ์ที่เลว) และบิดอะฮ์หะสะนะฮ์ (บิดอะฮ์ที่ดี) ความว่า
ท่าน อิบนุตัยมียะฮ์ กล่าวไว้ใน มัจญฺมั๊วะอฺ อัลฟะตาวา ว่า
ومن هنا يعرف ضلال من ابتدع طريقاً أو اعتقاداً زعم أن الايمان لا يتم إلا به، مع العلم بأن الرسول لم يذكره، وما خالف النصوص فهو بدعة باتفاق المسلمين، وما لم يعلم أنه خالفها فقد لا يسمى بدعة، قال الشافعي ـ رحمه الله ـ: البدعة بدعتان: بدعة خالفت كتاباً وسنة وإجماعاً وأثراً عن بعض [أصحاب] رسول الله صلى الله عليه وسلّم، فهذه بدعة ضلالة. وبدعة لم تخالف شيئاً من ذلك، فهذه قد تكون حسنة لقول عمر: نعمت البدعة هذه! هذا الكلام أو نحوه رواه البيهقي بإسناده الصحيح في المدخل
"จาก ณ ที่นี้ จึงรู้ถึง ความลุ่มหลง ของผู้ที่ได้อุตริ หนทางหนึ่ง หรือหลักการยึดมั่นหนึ่ง แล้วอ้างว่า การศรัทธานั้น จะไม่สมบูรณ์ นอกจากด้วยกับมัน พร้อมกับรู้ว่า แท้จริง ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ ไม่ได้กล่าวมันเอาไว้ และสิ่งที่ขัดแยังกับ บรรดาตัวบท มันย่อมเป็นบิดอะฮ์ ด้วยมติของบรรดามุสลิมีน และสิ่งที่ไม่ทราบว่า มันขัดกับบรรดาตัวบท แท้จริงแล้ว มันย่อมไม่ถูกเรียกว่า เป็นบิดอะฮ์ ท่าน อิมาม อัชชาฟิอีย์ (ร.ห.) กล่าวว่า บิดอะฮ์นั้น มีสองประเภท คือบิดอะฮ์ที่ขัดแย้งกับ อัลกุรอาน ซุนนะฮ์ มติปวงปราชน์ และสิ่งรายงานจากบรรดาซออาบะฮ์ของท่านร่อซูลุลลอฮ์(ซ.ล.) ดังนั้น มันนี้ย่อมเป็นบิดอะฮ์ที่ลุ่มหลง และ(สอง)บิดอะฮ์ที่ไม่เคยทราบเลยว่า มันขัดกับสิ่งหนึ่งสิ่งใดจากดังกล่าวนั้น
ดังนี้นั้น มันย่อมบิดอะฮ์หะสะนะฮ์ เพราะคำกล่าวของ ท่านอุมัร ที่ว่า "บิดอะฮ์ที่ดี คือ อันนี้" คำกล่าวนี้ หรือเหมือนกับคำกล่าวนี้ ได้รายงานโดย
ท่านอัล-บัยฮะกีย์ ด้วยสายรายงานของเขาที่ซอฮิหฺ ไว้ในหนังสือ อัลมัดค๊อล" ดู เล่ม 20 หน้า 159 ตีพิมพ์ ดารฺ อาลัม อัลกุตุบ
ท่าน อิบนุ ตัยมียะฮ์ได้กล่าวไว้ในหนังสือ ดุรอุตตะอารุฏ ว่า
فإن ما خالف النصوص فهو بدعة باتفاق المسلمين وما لم يعلم أنه خالفها فقد يسمى لا بدعة قال الشافعي رضي الله تعالى عنه : البدعة بدعتان : بدعة خالفت كتابا أو سنة أو إجماعا أو أثرا عن بعض أصحاب رسول الله صلى الله عليه وسلم فهذه بدعة ضلالة وبدعة لم تخالف شيئا من ذلك فهذه قد تكون حسنة لقول عمر : نعمت البدعة هذه هذا الكلام أو نحوه رواه البيهقي بإسناده الصحيح في المدخل
"แท้จริง สิ่งที่ขัดแย้งกับ บรรดาตัวบทนั้น มันคือบิดอะฮ์ ด้วยมติปวงปราชน์มุสลิมีน และสิ่งที่ไม่ทราบว่า มันขัดแย้งกับบรรดาตัวบท แท้จริงแล้ว มันย่อมไม่ถูกต้องเรียกว่า เป็นบิดอะฮ์ ท่านอิมาม อัช-ชาฟิอีย์ กล่าวว่า บิดอะฮ์นั้น มีสองประเภท คือบิดอะฮ์ที่ขัดแย้งกับ อัลกุรอาน ซุนนะฮ์ มติปวงปราชน์ และสิ่งรายงานจากบรรดาซออาบะฮ์ของท่านร่อซูลุลลอฮ์(ซ.ล.) ดังนั้น มันนี้ย่อมเป็นบิดอะฮ์ที่ลุ่มหลง และ(สอง)บิดอะฮ์ที่ไม่เคยทราบเลยว่า มันขัดกับสิ่งหนึ่งสิ่งใด จากดังกล่าวนั้น
ดังนี้นั้น มันย่อมบิดอะฮ์หะสะนะฮ์ เพราะคำกล่าวของ ท่านอุมัร ที่ว่า "บิดอะฮ์ที่ดี คือ อันนี้" คำกล่าวนี้ หรือเหมือนกับคำกล่าวนี้ ได้รายงานโดย
ท่านอัล-บัยฮะกีย์ ด้วยสายรายงานของเขาที่ซอฮิหฺ ไว้ในหนังสือ อัลมัดค๊อล" ดู เล่ม 1 หน้า 140
ผมเชื่อว่า คำกล่าวของท่านอิบนุตัยมียะฮ์ ที่ได้นำเสนอรายงานของท่านอิมามอัลบัยฮะกีย์ ท่านนี้ วะฮาบีย์ขมขื่นแน่นอนครับ จึงไม่พยายามยกมาให้หมด

Re: เมื่อสาวก(ซอฮาบะฮ์)ของ อ.ปราโมท และอ. มุรีด เขากล่าวว่า...?? By: al-azhary Date: ก.พ. 10, 2008, 10:30 PM
แหม! อะไรๆก็บิดอะหาสานะฮ์ การที่ท่านเล่นถือวิสาสะนำเอาคำพูดของท่านอุมัรมาอ้างเพื่อที่จะชักลาก เข้าหาฝ่ายตัวเอง ผมอยากจะรู้จริงจิ๊งว่าทำไมท่านถึงไม่กล้านำเอาคำ อธิบายของท่านอิบนุหะญัรอัล-อัสกอลานีซึ่งเป็นนักวิชาการหะดีษใน มัซฮับชาฟีอีย์เองว่าท่านได้อธิบายหะดีษนี้อย่างไรหรือ
สาวก(ซอฮาบัต)ของ อ.ปราโมท และอ.มุรีด ถูกหลอกอีกแล้วครับ พูดจาอร่อยเหลือกินน่ะ แม้พวกชีอะฮ์ยังสู้ไม่ได้ เขาบอกว่าว่า "ทำไมผมไม่กล้านำเอาคำอธิบายของท่านอิบนุหะญรอัล-อัสกอลานีย์ มาอธิบาย" นี่แหละครับ ปัญหาของวะฮาบีย์คือ เขาไม่ยอมอ่านสิ่งที่เราได้นำเสนอ ซึ่งผมได้นำเสนอคำอธิบายของท่านอิบนุหะญัรไปตั้งนานตั้งแต่เว็บไซต์แห่งนี้เพิ่งมีขึ้นมาใหม่ ๆ และเคยไปเสวนาเปิดโปงการตัดทอนถ้อยคำของวะฮาบีย์เกี่ยวกับการอ้างอิงคำพูดของท่านอิบนุหะญัร
ต่อไปนี้ เป็นคำอธิบายของท่านอิบนุหะญัร อัล-อัสกอลานีย์ ที่วะฮาบีย์ไม่มีกล้ายกมาอ้างอิง และพยายามตัดทอนมันทิ้ง
ท่านอิบนุหะญัร ได้กล่าว วิจารณ์คำกล่าวท่านอุมัร(ร.ฏ.) ที่ว่า نعمت البدعة هذه ดังนี้
البدعة: أصلها ما أحدث على غير مثال سابق، وتطلق في الشرع في مقابل السنّة فتكون مذمومة والتحقيق أنها إن كانت مما يندرج تحت مستحسن فى الشرع فهى حسنة وإن كانت مما يندرج تحت مستقبح فهى مستقبحة وإلا فهى من قسم المباح
ความว่า " บิดอะฮ ที่มาของมันคือ สิ่งที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นใหม่ โดยไม่มีแบบอย่างมาก่อน
และคำว่าบิดอะฮ์อย่างเดียว ( مطلق ) (คือพูดโดยใช้คำว่า"บิดอะฮ์" เฉย ๆ เพียงลำพังตัวเดียว)ในทางบทบัญญัติ ได้ถูกนำมาใช้เรียกกับสิ่งที่ตรงข้ามกับซุนนะฮ์ จึงถือว่าเป็นบิดอะฮ์ที่ถูกตำหนิ และ
จากการตรวจสอบพบว่า บิดอะฮ์นั้น หากมันเข้าไปอยู่ภายใต้สิ่งที่นับว่าดีตามหลักการของศาสนา มันก็คือ (บิดอะฮ์)หะสะนะฮ์(บิดอะฮ์ที่ดี) 
และหากว่ามันเข้าไปอยู่ภายใต้หลักการที่ถือว่าน่ารังเกียจ มันก็คือบิดอะฮ์ที่น่ารังเกียจ และถ้าหากไม่เป็นเช่นนั้น(หมายถึงไม่เป็นทั้งบิดอะฮ์ทั้งสองประเภท) ก็ถือว่า มันเป็นบิดอะฮ์ ประเภทที่มุบาห์" ( ดู ฟัตหุลบารีย์ เล่ม 4 หน้า 253)
ชัดเจนครับ การอ้างคำอธิบายของนักปราชญ์ แบบตัดทอนบางส่วนและอำพรางบางส่วนนั้น ถือว่าเป็นทัศนะที่อ่อนและไม่มีอะมานะฮ์เชิงวิชาการครับ
Re: เมื่อสาวก(ซอฮาบะฮ์)ของ อ.ปราโมท และอ. มุรีด เขากล่าวว่า...?? By: al-azhary Date: ก.พ. 10, 2008, 10:50 PM
เมื่อเดือนที่แล้วผมได้อ่านกระทู้ของคุณเรื่อง''ทำบุณ7วัน''ซึ่งคุณได้อ้างหะดีษอะห์นัฟ บินก็อยส์ และหะดีษ ฏอวูส ผมได้นำหะดีษ2บทนี้ไปให้ อ.ท่านหนึ่งได้ตรวจสอบ ซึ่งบัดนี้ท่านได้ทำการวิเคราะห์ หะดีษที่คุณอ้างจนเสร็จเป็นรูปเล่มและได้ทำการแจกจ่ายให้พี่น้องของเราได้อ่านกันทั่วภาคใต้ซึ่งผมก็อยากจะส่งหนังสือเล่มนั้นมาให้คุณได้อ่านแต่ทราบว่าคุณอัซอารีย์ไม่ได้อยู่เมืองไทย น่าเสียดาย ซึ่งปรากฏว่าหะดีษที่คุณอ้างมีจุดบกพร่องอยู่หลายจุดทั้งในด้านเนื้อหาและตัวบท และผมก็ไม่เชื่ออีกเช่นกันว่าผู้รู้ระดับสูงเยี่ยงท่านจะมองไม่ออกว่าหะดีษ2บทนี้มีข้อผิดพลาดอย่างไรทำไมหรือครับ ท่านเป็นเพียงแค่มูก็อลลิด แต่กลับสถาปนาตนเองขึ้นเป็นมุญตะฮิด
หากบรรดาสาวก อ.ปราโมทและอ.มุรีด หรือคนที่โพสต์มานี้ แน่จริง ก็เอาคำวิจารณ์ที่อยู่ในรูปเล่มและแจกจ่ายไปนั้น นำเสนอในกระทู้นี้ซิครับ เข้ามาสมัครเป็นสมาชิก แล้วเสวนาเชิงวิชาการตามกฏการเสวนา หรือว่าเสวนาการเชิงวิชาการแล้วไปไม่รอด เพราะถนัดวิชากวนกะแนะกะแหนมากกว่าถึงกับพวกชีอะฮ์ยังแพ้

Re: เมื่อสาวก(ซอฮาบะฮ์)ของ อ.ปราโมท และอ. มุรีด เขากล่าวว่า...?? By: al-azhary Date: ก.พ. 10, 2008, 11:01 PM
และผมก็ไม่เชื่ออีกเช่นกันว่าผู้รู้ระดับสูงเยี่ยงท่านจะมองไม่ ออกว่าหะดีษ2บทนี้มีข้อผิดพลาดอย่างไรทำไมหรือครับ ท่านเป็นเพียงแค่มูก็อลลิด แต่กลับสถาปนาตนเองขึ้นเป็นมุญตะฮิด เพราะผมอยากจะทราบว่ามีอิหม่ามมุญตะฮิดท่านใดในอดีตที่คุณตักลีดตาม เขาว่าพวกเขาจะเคยอ้างหะดีษ2บทนี้มาเป็น หลักฐานเรื่องกินบุญบ้านคนตายมาก่อน หรือว่าคุณจะโต้แย้งผมกลับว่าผู้รู้เหล่านั้นอาจไม่พบหลักฐาน ท่านคนแรกงั้นซิ?
นี่ไงครับ สาวก(ซอฮาบะฮ์)ของ อ.ปราโมท หรือสาวก อ.มุรีด มาบอกว่า ผมสถาปนาตนเองเป็นมุญตะฮิด คิดได้ไงครับเนี่ย ระดับท่านชัยคุลอิสลาม อัลหาฟิซฺ อิบนุ หะญัร และท่านอิมามอัสยูฏีย์ ซึ่งทั้งสองได้รับฉายาว่าเป็นหนึ่งใน อะมีรุลมุอฺมินีในสาขาฮะดิษ ก็มองว่า ฮะดิษดังกล่าว เกี่ยวกับการทำบุญให้อาหารเป็นทานแก่มัยยิด ซึ่งทั้งสองก็เป็นอุลามาอ์มุจญฺฮิด ท่านอิมามอัสสะยูฏีย์ ก็ฮุกุ่มว่าเป็นฮะดิษซอฮิห์
Re: เมื่อสาวก(ซอฮาบะฮ์)ของ อ.ปราโมท และอ. มุรีด เขากล่าวว่า...?? By: al-azhary Date: ก.พ. 10, 2008, 11:07 PM
คุณคงจะลืม(หรือแกล้งลืมกันแน่)ในที่นี้ผมขอทวนความจำให้คุณดังนี้
มัซฮับชาฟีอีย์ ท่านอิหม่ามนะวะวีย์ ได้กล่าวในหนังสือ อัล-มัญมั๊วะอ์ เล่มที่5หน้า320ว่า
'' ท่านเจ้าของหนังสือ อัชชามิล และนักวิชาการท่านอื่นๆได้กล่าวว่า อนึ่งการที่ครอบครัวผู้ตายได้จัดเตรียมอาหารอย่างดี และเชิญชวนผู้คนให้มาร่วมรับประทานนั้น พฤติกรรมนี้ ไม่เคยปรากฏมีรายงานหลักฐานมาแต่อย่างใด" การที่ท่านอิหม่ามนะวะวีย์ ได้คัดลอกข้อความนี้มาโดยไม่มีการท้วงติงตามหลักการถือว่า ท่านยอมรับทัศนะที่ท่านได้คัดลอกมา
-ท่านซัยยิด บักรีย์ เจ้าของหนังสือ อิอานะฮ์ อัฏฏอลิบีน ได้นำคำตอบของท่านอะฮ์หมัด บินซัยนีย์ ดะห์ลาน มุฟตีคนหนึ่งแห่งมัซฮับชาฟีอีย์ซึ่งในคำตอบดังกล่าวมีการนำเสนอข้อมูล จากคำกล่างของท่านอิบนุหะญัรอัลฮัยตะมีย์ นักวิชาการฟิกฮ์ระดับแนวหน้าแห่งมัซฮับชาฟีอีย์จากหนังสือ ต๊ห์ฟะตุ้ลมุห์ตาจญ์ ว่า ".ใช่แล้ว สิ่งที่ประชาชนกำลังกระทำกันอยู่คือการไปชุมนุม ณ ครอบครัวผุ้ตาย และมีการประกอบอาหาร ถือว่าเป็นหนึ่งจากบิดอะฮ์ต้องห้าม ซึ่งผู้คัดค้านสิ่งนี้จะได้รับผลบุญ ท่านอัลลามะ อิบนุหะญัรได้กล่าวใน ตุห์ฟะตุ้ลมุห์ตาจญ์ ตำราอธิบายหนังสืออัล มินฮาจญ์ว่า สุนัต ให้บ้านไกล้เรือนเคียงผู้ตายนำอาหารที่พอเพียงต่อพวกเขา(ลูกเมีย ผู้ตาย)รับประทานในวันและคืนนั้นเพราะท่านนบีย์กล่วว่า พวกท่านจงทำอาหารไปเลี้ยงครอบครัวญะฟัรเถิด เพราะพวกเขากำลังประสบกับความโศกเศร้า และสมควรจะคะยั้นคะยอให้พวกเขารับประทานอาหารด้วย และสิ่งที่ถูกปฏิบัติจนกลายเป็นประเพณีไปแล้ว อันได้แก่ครอบครัวผู้ตายปรุงอาหารขึ้นมาเพื่อเชิญชวนให้ผู้คนมากิน นั้นเป็นบิดอะฮ์ที่น่ารังเกียจเช่นเดียวกับการตอบรับคำเชิญไปร่วมใน งานนี้(ก็เป็นเรื่องน่ารังเกียจเช่นกัน)" จาก อิอานะฮ์ อัฏฏอลิบีนเล่ม2หน้า145-146
-เช็คอะห์หมัด ซัยนีย์ดะลานยังได้กล่าวอีกว่า "และไม่มีข้อสงสัยใดๆเลยว่าการห้ามปรามผู้คนจากบิดอะฮ์ต้อง ห้ามนี้ เป็นการฟื้นฟูซุนนะฮ์และทำลายบิดอะฮ์....."จากอิอานะฮ์ อัฏฏอลิบีนเล่ม2หน้า135
-หมายเหตุ คำว่ามักโร๊ะอันเป็นสำนวนที่นักวิชาการแทบทุกท่านใช้กล่าวคู่กับ บิดอะฮ์ โปรดเข้าใจด้วยว่าความหมายของมันคือบิดอะฮ์ต้องห้าม หรือหะรอมนั่นเองมิใช่หมายถึงถ้าไม่ทำได้บุญ แต่ถ้าทำก็ไม่บาป โปรดดู กัชฟุชชุบฮาต หน้า193
-นี่ เป็นแค่ส่วนหนึ่งจากคำกล่าวของนักวิชาการมัซฮับชาฟีอีย์ จะให้ผมเปิดโปงคุณด้วยการนำคำกล่าวของนักวิชาการมัซฮับอื่น มาอีกไหม ผมไม่อยากจะให้พี่น้องที่ศรัทธาในตัวคุณต้องเสียความ รู้สึกไปมากกว่านี้ ขอให้คุณไปเปิดดูเองแล้วกันดังนี้
1มัซฮับฮัมบาลีย์
-ในอัลมันฮัล อัล-อัศบุลเมารูดเล่มที่4ส่วนที่8หน้า273
-ในอัล-มุฆนีย์ เล่มที่2หน้า 413
2มัซฮับฮะนาฟีย์
-ในอัต-ตัซกิเราะฮ์ หน้า102
3มัซฮับมาลิกีย์
-ในอัล-หะวาดิษวัลบีดาอ์ หน้า 170
-ในมัตนุคอลีล (จาก อัลมันฮัล เล่มที่4ส่วนที่8หน้า272)
ผมไม่ได้ลืมหรอกครับ เพราะผมได้นำเสนอไปนานแสนนานแล้ว แต่พวกคุณไม่ยอมอ่านของคนอื่น ยึดติดต่อของบรรดาอาจารย์ตนเอง แม้มีการอ้างอิงแบบตัดทอนและอำพราง ก็เต็มใจเชื่อ งั้นก็อ่านดูน่ะ จากลิงค์ต่อไปนี้
http://www.sunnahstudents.com/index.php?option=com_content&task=view&id=4&Itemid=1
หรือว่าไม่ยอมอ่านอีก ?
Re: เมื่อสาวก(ซอฮาบะฮ์)ของ อ.ปราโมท และอ. มุรีด เขากล่าวว่า...?? By: al-azhary Date: ก.พ. 10, 2008, 11:12 PM
ความจริงผมน่าจะเชื่อท่านฮิชาม บินอุรวะฮ์(เป็นตาบีอีน และเป็นหลานของท่านหญิงอาอิฉะฮ์ ร.ฎ. สิ้นชีวิตในปี145หรือ146)ตั้งแต่แรก ซึ่งท่านได้กล่าวเอาไว้ว่า"พวกท่านอย่าไปถามผู้คนในสิ่งที่พวก เขาได้อุตริมันขึ้นมา เพราะพวกเขาจะเตรียมข้ออ้าง(คำตอบ)ไว้เรียบร้อยแล้ว แต่จงถามเรื่องซุนนะฮ์ซิแล้วพวกเขาจะไม่ รู้จักมันเลยว่าซุนนะฮ์ว่าซุนนะฮ์ในเรื่องนั้นๆเป็นอย่างไร" จากหนังสืออัล-อิบดาอ์ฟีมะฎอรร์อัล-อิบดาอ์หน้า41 โปรดคิดสักนิดเถอะครับ สุดท้ายนี้ผมอยากจะฝากข้อคิดคำคมจากนักวิชาการท่านหนึ่งใน อดีตเพื่อหวังความเมตตาจากอัลลอฮ์ให้ความแหลมคมของข้อความนี้จะ ไปทิ่มแทงหรือสกิดหัวใจของใครบางคนแถวนี้ให้ฉุกยั้งคิดได้ (ขออัลลอฮ์ทรงรับดุอาอ์ด้วยเถิด) ท่านอิหม่ามมาลิก บิน อนัส(สิ้นชีวิตในปีฮ.ศ.179) ได้กล่าวไว้ ดังการรายงานของท่านอิบนุ มาญิชูน ว่า"ผู้ใดอุตริสิ่งใดขึ้นมาในอิสลาม โดยมองว่ามันเป็นเรื่องที่ดี แน่นอนเขาผู้นั้นกล่าวหาท่าน นบีย์มูฮัมหมัดว่าทุจริต(หรือบกพร่อง)ในการปฏิบัติหน้าที่รอซู้ล เพราะอัลลอฮ์ ซ.บ. ทรงตรัสเอาไว้แล้วว่า วันนี้ข้าได้ทำให้ศาสนาของพวกเจ้าสมบูรณ์แล้ว ดังนั้นสิ่งใดก็ตามถ้าหากในวันนั้นมิใช่เป็นเรื่องของศาสนา มาในวันนี้มันก็มิใช่เป็นเรื่องของศาสนา" จากหนังสือ อัล-เอี๊ยะอ์ติศอม เล่มที่1หน้า49 สุดท้ายก็วัดกันที่จุดยืน
ผมได้เคยชี้แจงไปในเว็บนี้แล้ว กล่าวคือ :
ข้อควรทราบเกี่ยวกบเรื่องบิดอะฮ์อีกประการหนึ่งคือ หากนักปราชญ์สะลัฟที่เอ่ยตำหนิเรื่องบิดอะฮ์นั้น คือพวกเขาจะกล่าวและพูดคำว่า "บิดอะฮ์" เฉย ๆ เพียงอย่างเดียว โดยไม่มีอะไรมาจำกัดความต่อท้าย ซึ่งหมายถึง บิดอะฮ์ที่ถูกตำหนิ ดังนั้น
การกล่าวบิดอะฮ์เฉย ๆ คำเดียวแบบเดี่ยว ๆ พวกเขาได้กล่าวแบบ แบบมุฏลัก ( مطلق ) โดยไม่มีข้อแม้หรือคำที่มาจำกัดคุณลักษณะของมาต่อท้าย เช่นกล่าวว่า สิ่งนั้นบิดอะฮ์ สิ่งนี้บิดอะฮ์ สิ่งโน้นบิดอะฮ์ ย่อมหมายถึง บิดอะฮ์ที่ลุ่มหลงหรือบิดอะฮ์ฮารอมที่ส่วนมากเขาใช้กัน ซึ่งอยู่ในประเด็นเดียวกับคำกล่าวของอิมามมาลิกข้างต้นนี้
แต่หากว่าเป็นบิดอะฮ์ที่กล่าวแบบมุก๊อยยัด ( مقيد ) คือมีคำที่มาจำกัดต่อท้าย ก็ย่อมไม่ใช่หมายถึงบิดอะฮ์ที่ลุ่มหลง เช่น บิดอะฮ์ที่ดี (ตามคำกล่าวของท่านอุมัร) บิดอะฮ์วายิบ บิดอะฮ์สุนัต บิดอะฮ์มุบาห์ เป็นต้น
ตัวอย่างจากคำกล่าวของสะลัฟ เช่นคำกล่าวของท่านอิบนุมัสอูด ที่ว่า
اتبعوا و
لا تبتدعوا فقد كفيتم
"พวกท่านจงเจริญตาม และพวกท่านอย่าอุตร
ิบิดอะฮ์ขึ้นมา เพราะพวกท่านเพียงพอแล้ว" ดู หนังสือ มัจญฺมะอ์ อัลซะวาอิด เล่ม 1 หน้า 88
ท่านอิบนุอับบาสกล่าวว่า
ما أتى على الناس عام إلا أحدثوا فيه
بدعة، وأماتوا فيه سنة حتى تحي البدع وتموت السنن
" ปีหนึ่งจะไม่ผ่านผู้คนไป นอกจากพวกเขาจะอุตริ
บิดอะฮ์หนึ่งขึ้นมา และพวกเขาก็ทำให้ตายกับซุนนะฮ์หนึ่ง จนกระทั้งบรรดาบิดอะฮ์นั้นฟื้นขึ้นมาและบรรดาซุนนะฮ์ก็ได้ตายลงไป" ดู หนังสือ มัจญฺมะอ์ อัลซะวาอิด เล่ม 1 หน้า 88
อิหม่ามมาลิก บุตร อะนัสกล่าวว่า
من ابتدع في الإسلام
بدعة يراها حسنة فقد زعم أن محمدا صلى الله عليه وسلم خان الرسالة، لأن الله يقول: (اليَومَ أكْمَلْتُ لَكُم دِينَكُمْ) فما لم يكن يومئذ دينا فلا يكون اليوم دينا
"ผู้ใดอุตร
ิบิดอะฮหนึ่งขึ้นมาในอิสลาม โดยเห็นว่ามันดี แน่นอนเขาย่อมอ้างว่า แท้จริงมุหัมหมัด ศอลฯ นั้น ไม่ซื่อสัตย์ต่อสาส์นแห่งพระเจ้า เพราะว่าอัลลอฮทรงกล่าวว่า (วันนี้เราได้ให้ศาสนาของพวกเจ้าสมบูรณ์สำหรับพวกเจ้าแล้ว) เพราะฉะนั้นสิ่งใดก็ตามที่ไม่เป็นศาสนาในวันนั้น ในวันนี้มันก็ไม่เป็นศาสนาด้วย" โปรดดูอัลเอียะติศอม เล่ม 1 หน้า 149
จากที่ได้กล่าวมาแล้วสักครู่นี้ จะได้เห็นได้ว่า
คำกล่าวของซอฮาบะฮ์ที่เกี่ยวกับบิดอะฮ์นั้น ก็คือบิดอะฮ์ที่อยู่ในความหมายแบบมุฏลัก (مطلق ) ที่อยู่ในความหมายประเภทบิดอะฮ์ที่ลุ่มหลงเท่านั้น และโปรดทำความเข้าใจให้ดี ไม่เช่นนั้น หลักการศาสนาจะขัดแย้งกันเอง แต่ความเป็นจริงแล้วศาสนาอิสลามมีความสมบูรณ์ ไม่มีการขัดแย้งกันเอง แต่ความเข้าใจของผู้ที่อวดรู้บางคนต่างหากที่ไม่เข้าใจหลักการ จึงทำให้โลกมุสลิมวุ่นวายอยู่ทุกวันนี้
และคำกล่าวของอิมามมาลิกก็เช่นเดียวกัน เพราะบิดอะฮ์ที่อิมามมาลิกกล่าวถึงนั้น คือบิดอะฮ์ที่ลุ่มหลง บิดอะฮ์ที่ไม่มีรากฐานมาจากศาสนา หากผู้ใดเห็นว่าเป็นสิ่งที่ดี เขาย่อมเป็นผู้อ้างว่าท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ไม่ซื่อสัตย์ต่อสาส์นของอัลเลาะฮ์ และบรรดาอุลามาอ์มัซฮับมาลิกีย์ ก็ไม่ได้เข้าใจว่า บิดอะฮ์ ที่อิมามมาลิกกล่าวไว้นั้น หมายถึงบิดอะฮ์หะสะนะฮ์ ที่มาจากบิดอะฮ์วายิบ บิดอะฮ์สุนัต หรือบิดอะฮ์มุบาห์แต่อย่างใด ดังนั้นท่านผู้อ่านพึงพิจารณาให้ดีไว้ใน ณ ที่นี้ด้วย
ท่านอิบนุหะญัร ได้กล่าว วิจารณ์คำกล่าวท่านอุมัร(ร.ฏ.) ที่ว่า نعمت البدعة هذه ดังนี้
البدعة: أصلها ما أحدث على غير مثال سابق، وتطلق في الشرع في مقابل السنّة فتكون مذمومة والتحقيق أنها إن كانت مما يندرج تحت مستحسن فى الشرع فهى حسنة وإن كانت مما يندرج تحت مستقبح فهى مستقبحة وإلا فهى من قسم المباح
ความว่า " บิดอะฮ ที่มาของมันคือ สิ่งที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นใหม่ โดยไม่มีแบบอย่างมาก่อน
และคำว่าบิดอะฮ์อย่างเดียว ( مطلق ) (คือพูดโดยใช้คำว่า"บิดอะฮ์" เฉย ๆ เพียงลำพังตัวเดียว)ในทางบทบัญญัติ ได้ถูกนำมาใช้เรียกกับสิ่งที่ตรงข้ามกับซุนนะฮ์ จึงถือว่าเป็นบิดอะฮ์ที่ถูกตำหนิ และ
จากการตรวจสอบพบว่า บิดอะฮ์นั้น หากมันเข้าไปอยู่ภายใต้สิ่งที่นับว่าดีตามหลักการของศาสนา มันก็คือ (บิดอะฮ์)หะสะนะฮ์(บิดอะฮ์ที่ดี) 
และหากว่ามันเข้าไปอยู่ภายใต้หลักการที่ถือว่าน่ารังเกียจ มันก็คือบิดอะฮ์ที่น่ารังเกียจ และถ้าหากไม่เป็นเช่นนั้น(หมายถึงไม่เป็นทั้งบิดอะฮ์ทั้งสองประเภท) ก็ถือว่า มันเป็นบิดอะฮ์ ประเภทที่มุบาห์" ( ดู ฟัตหุลบารีย์ เล่ม 4 หน้า 253)
หรือว่าไม่ยอมอ่านอีก?

Re: เมื่อสาวก(ซอฮาบะฮ์)ของ อ.ปราโมท และอ. มุรีด เขากล่าวว่า...?? By: al-azhary Date: ก.พ. 10, 2008, 11:20 PM
อย่าดันทุรังหลอกตัวเองและชาวบ้านเลยครับ ขออัลลอฮ์ทรงฮีดายะฮ์ทางนำแก่ท่านด้วย เอาอย่างนี้ดีไหม?ถ้าท่านบอกว่าในศาสนามีบิดอะฮ์ดี(ในขณะที่นบี และท่านอิบนุอุมัรบอกว่าทุกบิดอะฮ์หลงผิด)ท่านจะรับคำ ท้าต่อไปนี้ของผมไหม?1อะซานเรียกร้องให้ผู้คนมานมาซญะมาอะฮ์ในวันอีด หรือนมาซตะรอเวี๊ยะฮ์ เอ้า!ไม่ดีตรงไหนหรือ?ก็อัลลอฮ์บอกไว้ในซูเราะห์ฟุศศิลัต โองการที่33ว่า"ผู้ใดเล่าจะเลอเลิศที่สุดในด้านคำพูดยิ่งไปกว่า ผู้ที่เรียกร้องเชิญชวนไปสู่อัลลอฮ์ และเขาปฎิบัติดี....." ฮิๆๆ 2จัดให้มีคนหรือมีขบวนอ่านอัล-กุรอ่านดังๆนำ หน้าตอนหามมัยยิตไปฝังที่กุบุร
ผมขอตอบว่า การอะซานญะมาอะฮ์ในวันอีด เป็นบิดอะฮ์ลุ่มหลง (ไม่ใช่บิดอะฮ์หะนะนะฮ์) การมีคนอ่านอัลกุรอานดัง ๆ นำหน้ามัยยิดไปฝังที่กุบูรเป็นบิดอะฮ์ลุ่มหลง (ไม่ใช่บิดอะฮ์หะสะนะฮ์) แถม ๆ การอะซานตอนที่กำลังเอามัยยิดลงหลุม ก็เป็นบิดอะฮ์ลุ่มหลง (ไม่ใช่บิดอะฮ์หะสะนะฮ์)
ผมตอบอย่างนี้ สาวก อ.ปราโมท และอ.มุรีด ก็ไม่พอใจผมอีก เพราะผมอาจจะตอบไม่ตรงที่พวกเขาต้องการ

Re: เมื่อสาวก(ซอฮาบะฮ์)ของ อ.ปราโมท และอ. มุรีด เขากล่าวว่า...?? By: al-azhary Date: ก.พ. 10, 2008, 11:38 PM
อ้อ! ก่อนจะจบถ้าท่านว่างๆลองหาความหมายและทำความเข้าใจกับคำ ศัพท์ที่ผมจะให้ต่อไปนี้ เผื่อว่าท่านจะเข้าใจอะไรแจ่มชัดขึ้น 1อัล-มะศอลิฮ์มุรสาละฮ์ 2ซุนนะฮ์ตัรกียะฮ์ 3บิดอะลูฆอวียะฮ์ 4บิดอะฮ์ชัรอียะฮ์ ผมว่าผู้รู้ระดับสูงเยี่ยงท่านศัพท์แค่นี้ไม่ยากเกินไปหรอกใช่ ไหมครับ เพียงแต่ขอให้ท่านได้ลดฐิถิลง
ผมทราบว่า สาวก อ.ปราโมท และอ.มุรีด คงคิดว่า บิดอะฮ์ลูฆอวียะฮ์ (เชิงภาษา) นั้นไม่มีปัญหา แต่บิดอะฮ์ชัรอียะฮ์ (เชิงศาสนา) นั้นคือปัญหาที่พวกเขาคัดค้านและยัดเยียดให้แก่ผู้อื่นจากตน
ทั้งที่ผมได้ชี้แจงไปตั้งนานแล้วว่า
ท่านอบู ชามะฮ์ กล่าวว่า " สิ่งที่กระทำขึ้นมาใหม่นั้น ถูกแบ่งออกเป็น
บิดอะฮ์หะสะนะฮ์(บิดอะฮ์ที่ดี) และ
บิดอะฮ์ที่น่ารังเกียจ (แล้วท่าน อบู ชามะฮ์ ก็อ้างอิงคำพูดของอิมามชาฟิอีย์ ที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น) จากนั้น ท่านอบู ชามะฮ์กล่าวว่า " ฉันขอกล่าวว่า แท้จริง มันก็เป็นอย่างเช่นดังกล่าว เพราะท่านนบี(ซ.ล.) ส่งเสริมให้มีการละหมาดสุนัตในเดือนร่อมะฏอน โดยที่ท่านนบี(ซ.ล.) ได้กระทำที่มัสยิด โดยที่ซอฮาบะฮ์บางส่วนได้ทำการละหมาดตามท่านนบีเพียงไม่กี่คืน หลังจากนั้น ท่านนบี(ซ.ล.) ได้ทิ้งการละหมาดดังกล่าวในรูปแบบญะมาอะฮ์ โดยท่านนบี(ซ.ล.)ให้เหตุผลในเรื่องดังกล่าวว่า เกรงจะถูกฟัรดูแก่พวกเขา ดังนั้น เมื่อท่านนบี(ซ.ล.)ได้เสียชีวิต แล้วการปฏิบัติดังกล่าวก็ยุติลง ช่วงหลังจากนั้น บรรดาซอฮาบะฮ์จึงลงมติให้ทำการละหมาด(ตะรอวิหฺ)ในเดือนรอมาฏอนที่มัสยิดแบบญะมาอะฮ์ เพื่อเป็นการฟื้นฟูเอกลักษณ์ที่อัลเลาะฮ์ทรงใช้ และได้ส่งเสริมให้กระทำมัน วัลลอฮุอะลัม
จากที่ได้กล่าวมานี้จึงสามารถสรุปได้ว่า
فالبدع الحسنة :
متفق على جواز فعلها ، والإستحباب لها ، ورجاء الثوب امن حسنت نيته فيها ، وهى كل مبتدع موافق لقواعد الشريعة غير مخالف لشيىء منها ولا يلزم من فعله محذور شرعى .
บรรดาบิดอะฮ์หะสะนะฮ์นั้น บรรดาปวงปราชญ์แห่งโลกอิสลามได้
ลงมติเห็นพร้องว่า อนุญาติให้กระทำได้ myGreat:และมีความหวังได้ผลบุญ สำหรับผู้ที่มีเจตนาที่ดี
โดยที่บิดอะฮ์นั้น จะต้องเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาใหม่และสอดคล้องกับกฏเกณฑ์ต่าง ๆ ของหลักศาสนา (ชะรีอะฮ์) และจะต้องไม่มีข้อห้ามตามหลักศาสนาหากได้กระทำมัน" (ดู อัลบาอิษ อะลา อินการิลบิดะอ์ วัลหะวาดิษ ของท่าน อบี ชามะฮ์ หน้า 93)
ท่านอบู ชามะฮ์ ได้ให้คำนิยามของ
บิดอะฮ์หะสะนะฮ์ จากคำพูดของท่านที่ว่า "
บรรดาปวงปราชญ์แห่งโลกอิสลามได้ลงมติเห็นพร้องว่า อนุญาติให้กระทำได้" ซึ่งเขาหมายถึงบุคคลที่คำพูดของเขานั้น เป็นที่ยอมรับในเรื่องการอิจญฺมาอ์ ดังนั้น ผู้ที่ไม่เป็นที่ยอมรับกับคำพูดของเขา ก็ถูกคัดออกไป เช่นคำกล่าวของท่านอิบนุตัยมียะฮ์ และผู้ที่มีแนวทางเดียวกับเขา เพราะฉะนั้น จึงไม่อนุญาตให้กับผู้ที่คัดค้านทัศนะคำกล่าวนี้ เนื่องจากเป็นการแหวกมติของประชาชาติอิสลาม และการแหวกมติของประชาชาติอิสลามนั้น เป็นสิ่งที่หะรอม
ดังนั้น
บิดอะฮ์หะสะนะฮ์นี่เองที่ เขาเรียกว่า บิดอะฮ์เชิงภาษา ซึ่งหมายถึงบิดอะฮ์ที่อยู่บนรากฐานของศาสนาโดยไม่ขัดแย้งกับอัลกุรอาน , ซุนนะฮ์ , และอิจญ์มาอฺ
http://www.sunnahstudents.com/forum/index.php?topic=2327.15หรือว่าบรรดาสาวกอาจารย์เหล่านั้น ไม่ยอมเข้าใจอีก ?

Re: เมื่อสาวก(ซอฮาบะฮ์)ของ อ.ปราโมท และอ. มุรีด เขากล่าวว่า...?? By: al-azhary Date: ก.พ. 11, 2008, 01:59 AM
เมาลิดเป็นสี่งที่นบีรังเกียจตามกฎการกียาสเอาลาวีย์
ท่านอะนัส บินมาลิก ได้กล่าวว่า "ไม่มีผู้ใดแล้วในโลกนี้ผู้ซึ่งเขา(ศอหาบะฮ์)อยากจะ เจอหน้ายิ่งไปกว่าท่านรอซู้ล แต่ทว่า เมื่อพวกเขาเจอท่าน พวกเขาจะไม่ยืนขึ้นเลย เพื่อเป็นการให้เกียรติท่านนบี เนื่องจากพวกเขารู้ว่า ท่านรังเกียรติพฤพติการณ์ดังกล่าวนี้" บันทึกโดย ท่านบุคอรี ใน อัล-อะดับ อัล-มุฟร็อด หะดีษที่946 ท่านอัต-ติรมีซีย์ หะดีษที่2754 ท่านอัฏ-เฏาะหาวีย์ในมุชกิลอาษาร หะดีษที่1276 ท่านอะฮ์หมัด เล่มที่3 หน้า132 ท่านอาบูยะฮ์ลา ในอัล-มุสนัด หะดีษที่183/2 หว้า!.....กะอีแค่ยีนให้เกียรคินบี ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาสามัญเหลือเกิน นบียังรังเกียรติขยะแขยงจนศอหะบะฮ์ไม่กล้าทำ แล้วนับประสาอะไร๊กับจัดงานวันเกิดให้ท่าน ซึ่งมันเอิกเกริกยิ่งกว่าหลายเท่านัก....มันไม่เว่อๆๆๆๆๆๆ ไปหน่อยหรือ หรือท่านคิดว่านบีคงพอใจและปลื้มสุดๆกับพิธีกรรมดังกล่าว ลองใช้สามัญสำนึกคิดดูดีๆๆซิครับ ฮิๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
หากคุณจะใช้กิยาสเอาลาวีย์ จริง ๆ ผมก็ขอใช้กิยาสเอาลาวีย์เช่นเดียวกันว่า ท่านนบีนั้นเป็นมัคโลคที่เราสมควรให้เกียรติมากกว่าคนอื่น ๆ หากการยืนให้เกียรติท่านนบีเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ ก็แสดงว่า การยืนให้เกียรติคนอื่นจากท่านนบี ก็น่ารังเกียจยิ่งกว่าหลายเท่านัก แต่ทว่าท่านบีได้ใช้ให้ทำการยืนให้เกียรติ คือในขณะที่ท่าน สะอัด บิน มุอาซฺ ได้รับบาดเจ็บจากการถูกธนูในสงครามค๊อนดัก ซึ่งกำลังกลับมายังมะดีนะฮ์ขณะอยู่บนลา ท่านนบี จึงกล่าวแก่ชาวอัลอันซ๊อรว่า "พวกท่านจงยืน(ให้เกียรติ)แก่นาย(ซัยยิด)ของพวกท่าน" รายงานโดยบุคอรีและมุสลิม แต่ทำไมท่านนบีถึงไม่ชอบที่จะให้คนอื่นยืนให้เกียรติต่อท่าน ก็เนื่องจากว่าท่านนบีนั้นมีความนอบน้อมถ่อมตนเป็นอย่างยิ่งยวด แม้กระทั่งในหนังสือ อัชชะมาอิล อัลมุฮัมมะดียะฮ์ ของท่านอัตติรมีซีย์ ได้นำฮะดิษดังกล่าวมาตั้งหัวข้อบทที่ว่า "ความนอบน้อมถ่อมตนของท่านนบี" แต่ทว่าท่านนบีได้ทำการยืนให้เกียรติต่อคนอื่นอันเนื่องจากความนอบน้อมถ่อมต้น ซึ่งมีฮะดิษซอฮิห์ระบุไว้มากมาย ซึ่งผมไม่อยากจะนำมาเสนอในกระทู้นี้
แต่ประเด็นมันอยู่ที่ว่าคุณเอาไปเกี่ยวโยงกับเรื่องเมาลิด ผมว่ามันนอกเรื่อง และคุณถูกสอนมาผิด ๆ เข้าใจแบบผิด ๆ เพราะการยืนมันไม่ได้เกี่ยวข้องกับการยืนให้เกียรติท่านนบี หรือคิดว่านบีมาปรากฏตัวแล้วทำการยืนให้เกียรติ ซึ่งเป็นเรื่องเหลวไหล
ผมขอนำเสนอคำตอบของท่าน อัลมุหัดดิษ อัซซัยยิด มุฮัมมัด อะละวีย์ อัลหะสะนีย์ (ร่อฮิมะฮุลลอฮ์) เกี่ยวกับเรื่องการยืนดังกล่าวว่า
"สำหรับการยืนในขณะอ่านเมาลิดนบี(บัรซันญี) ช่วงที่กล่าวถึงการประสูตและการออกมาลืมตาดูโลกของท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม นั้น ผู้คนบางส่วนคิดในแง่ที่ผิด โดยไม่มีรากฐานตามทัศนะของนักปราชญ์เลย ที่เกี่ยวกับสิ่งที่ฉันรู้มา ยิ่งกว่านั้น เขายังเป็นมนุษย์ที่โง่เขลาอย่างยิ่ง จากผู้ที่ปรากฏตัวอยู่ในขณะอ่านเมาลิด (บัรซันญี) แล้วทำการยืนพร้อมกับบรรดาผู้ที่ยืนทั้งหลาย มีการคิดในแง่ร้ายก็คือ บรรดาผู้คนที่ทำการยืนต่างเชื่อว่าท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้เข้ามาปรากฏด้วยร่างกายของท่านในช่วงเวลานั้น และที่เลวร้ายไปกว่านั้นคือ บางส่วนมีความเห็นว่า ควันหอมหรือน้ำหอมนั้นสำหรับท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม และน้ำที่วางอยู่ตรงกลางสถานที่ดังกล่าวนั้น เพื่อให้ท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ดื่มมัน
และให้กับทุก ๆ ความคิดเหล่านี้ ต้องไม่ปราฏกอยู่ในสมองที่มีสติปัญญาของบรรดามุสลิมีนอยู่แล้ว โดยเราขอประกาศไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งดังกล่าวทั้งหมด เพราะมันเป็นความอุกอาจต่อตำแหน่งของท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม
ฉันขอกล่าวว่า การคิดในแง่ร้ายดังกล่าวนี้ ถือเป็นการกล่าวอ้างมุสาโดยแท้ มันเป็นความอุกอาจไร้ยางอาย ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่กล่าวออกมานอกจากผู้ที่ริษยาแค้นเคืองหรือเป็นคนโง่เขลาที่ดื้อดึงแต่กระนั้น , เราเชื่อว่าท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม มีชีวิตอยู่ในอาลัมบัรซักโดยสมบูรณ์ที่เหมาะสมกับเกียรติตำแหน่งของท่าน และด้วยนัยดังกล่าวคือ การมีชีวิตที่สมบูรณ์อีกทั้งสูงส่ง โดยวิญญาณของท่านสามารถตระเวนอยู่ในอาณาจักรของอัลเลาะฮ์ ซุบหานะฮูวะตะอาลา สามารถที่จะปรากฏอยู่สถานที่ต่าง ๆ ที่ประกอบคุณความดีงามและวิชาความรู้ และบรรดาวิญญานของผู้ศรัทธาอย่างแท้จริง ๆ จากผู้ที่เจริญรอยตามท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ก็เฉกเช่นเดียวกัน
ท่านอิมามมาลิก กล่าวว่า ได้ทราบถึงฉันว่า "แท้จริงวิญญานนั้นจะถูกปล่อยให้เป็นอิสระจะไปใหนก็ได้ตามที่ต้องการ" ท่านซัลมาน อัลฟาริซีย์ กล่าวว่า "บรรดาวิญญานของผู้ศรัทธาในอาลัมบัรซักจากผืนแผ่นดินนี้ พวกเขาสามารถไปใหนก็ได้ตามที่ต้องการ" (ได้กล่าวเช่นเดียวกันนี้ในหนังสือ อัรรั๊วะห์ ของ อิบนุ ก๊อยยิม หน้า 144)
เมื่อท่านทราบดังนี้แล้ว ท่านโปรดรู้เถิดว่า การยืนในเมาลิดนบีนั้น ไม่ใช่เป็นสิ่งที่วายิบ(จำเป็น) ไม่ใช่เป็นสิ่งที่สุนัต และไม่อนุญาตให้มีความเชื่อดังกล่าว แต่ทว่า มันเป็นการเคลื่อนไหวที่มนุษย์เผยแสดงให้เห็นถึงความดีใจและความปิติยินดีของพวกเขา ดังนั้น เมื่อถูกกล่าวขึ้นว่า ท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ประสูตลืมตาดูโลกแล้วนั้น ผู้ที่ได้ยินก็พยายามจิตนาภาพในช่วงเวลานั้นว่า ทั้งหมดแห่งสากลโลกได้แสดงความดีใจด้วยกับเนี๊ยะมัตดังกล่าวนี้ ฉะนั้น เขาได้ยืนเพราะแสดงความดีใจและปลื้มปิติยินดีดังกล่าว ซึ่งมันเป็นเรื่องปกติ(อาดัต)ทั่วไปเท่านั้น หาใช่เป็นเรื่องศาสนา มันไม่ใช่อิบาดะฮ์ ไม่ใช่หลักชะรีอะฮ์ ไม่ใช่เป็นซุนนะฮ์ มันไม่ใช่เป็นอะไรเลยนอกจาก เป็นเรื่องปกติ(อาดัต)ทั่วไปที่ผู้คนเขาทำกัน (หมายถึงเป็นสิ่งที่มุบาห์)" (ดู หนังสือ เฮาลัลเอี๊ญะห์ติฟาล บิซิกรอ อัลเมาลิดินนะบี อัชชะรีฟ หน้า 40 - 42)
Re: เมื่อสาวก(ซอฮาบะฮ์)ของ อ.ปราโมท และอ. มุรีด เขากล่าวว่า...?? By: al-azhary Date: ก.พ. 11, 2008, 02:33 AM
السلام عليكم ورحمة الله وبركاته
ผมอยากเรียนพี่น้องว่า ข้อเขียนที่ สาวก อ.ปราโมท และ สาวก อ.มุรีด ได้นำเสนอมานั้น เขาไม่ยอมเข้าระบบเพื่อเสวนา แต่เขาเอาไปโพสต์ในหมวดถาม - ตอบ ปัญหาศาสนา ซึ่งผิดมารยาทอย่างยิ่ง และถือเป็นการก่อกวน ใช้ถ้วยคำไม่เหมาะสมตามแบบฉบับของผู้ที่อ้างว่าตามซุนนะฮ์นบี ดังนั้น ผมจึงเอาลงมาไว้ในกระทู้นี้เลย เพื่อให้คนที่โพสต์เข้าระบบแล้วมาเสวนาชี้แจงเชิงวิชาการและตามกฏระเบียบแห่งการเสวนา ไม่ใช่มาโพสต์ แล้วก็ไป แต่ต้องเสวนาแลกเปลี่ยนครับ
والسلام

Re: เมื่อสาวก(ซอฮาบะฮ์)ของ อ.ปราโมท และอ. มุรีด เขากล่าวว่า...?? By: julee Date: ก.พ. 11, 2008, 04:22 AM
อัสลามุอะลัยกุ้ม
บุคคลที่อ้างว่าเป็น สาวกของอ.ปราโมทย์ และอ.มุรีดนะถือว่าเป็นคำพูดที่เสี่ยงนะคับ
แล้วนบีของเราท่านเอาไว้ตรงไหนละคับ และชอบอ้างว่าพวกเราตามกีตาบและซุนนะห์
เราไม่ต้องไปพูดถึงการกระทำหรอกคับ แค่ความคิดและคำพูดที่โพสมานะมันเป็นซุนนะห์
หรอเปล่า? ส่วนปัญหาที่เหล่าบรรดาอุลามะหฺนยังมีความเห็นที่แตกต่างกันอยู่นะผมขอร้อง
ให้เหล่าบรรดาผู้ที่อ้างตัวเป็นสาวกทั้งหลายก่อนที่จะพูดป้ญหาเหล่านี่ผมอยากให้กลับไป
ศึกษาค้นคว้าวิชาที่ชื่อว่า (จริยะศาสตร์อิสลาม) เสียก่อน จะได้รู้ว่า มารยาทนำหน้าวิชาการ
ถ้ามีแต่วิชาการแล้วขาดจริยะธรรมอิสลามแล้วเขาจะเรียกว่าอะไร? อิสลามนะสูงส่งและไม่มี
อะไรที่จะสูงส่งกว่าอิสลามแล้ว....
วัสสลามคับ
Re: เมื่อสาวก(ซอฮาบะฮ์)ของ อ.ปราโมท และอ. มุรีด เขากล่าวว่า...?? By: คนอยากรู้ Date: ก.พ. 11, 2008, 12:25 PM
hihi:r
พูดถึงบรรดาสาวกของ ของหัวหน้าแก๊งค์วาฮาบีย์ ทีเอ่ยนามมานั้น ผมเห็นว่า ไม่เห็นจะน่ากลัวคนไหนเลย อย่างน้อยก็แค่เข้ามา กวน(โอ้ย)แล้วก็เงียบหายไป
ไม่ว่า
นายMuMin ฉายาจอมล่องหนและกมมูดอหลายชื่อที่ ไปๆมาๆแล้วก็หาย.... แถมเอาแต่ใจ.........ไม่มีสาระ ....มุทะลุ.....ตะอัศสุบ...ขาดเหตุผล...ขี้โม้..ผมลองไปอ่านการโต้กลับของน้องabubukแล้วยัง เจ๋งกว่าเยอะ แม้จะมีหลัการน้อยก็ตาม แต่ที่แน่ๆวาฮาบีตนนี้ไม่เข้า...ยา โบว์ๆเเน่ๆ เลยครับ
สาวกอ.ปราโมทย์ยิ่งแล้วใหญ่ ไม่เข้าใจในเรื่องบิดอะhasana พ๊ไปตักลีดตามหัวหน้าใหญ่ วาฮาบีตนนี้กลัปฏิเสธทั้งคำพูดและการกระทำซอฮาบะของท่านนบีทั้ง2ท่านเลย
สาวกอ.มุรีด ก็เหมือนกัน นีร้คงจะเสียผลประโยชน์ทางธุรกิจหนังสือหลายตัง เพราะช่วงนี้หนังสือเมาลิดบิดอะขายไม่ออกเลย แถวใต้บ้านผมเขาทำกันทั้งระดับหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัด และอีกไม่กี่วันช่วงใกล้เดือนแห่งความประเสริฐ(รอบีอุลเอาวั้ล)ที่อัลลอฮ์ได้ส่งศาสนทูตท่านสุดท้าย เกือบทั้ง14จังหวัดเลยครับที่ทำเมาลิด ยังไม่รวมถาคกลางและภาคอื่น
งานนี้หนังสือ บิดอะของสาวกมุรีด คงเนื่อยใจมากและครับเพราะยิ่ง
ตีนุ่น มันก็ยิ่งฟุ้งเข้าหน้าตนเอง 55555ที่นี้และตายคานุ่น..แน่ครับ.