Re: บรรดานักปราชญ์ของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ (พร้อมรูปภาพ) By: musalmarn Date: พ.ค. 26, 2007, 04:49 PM
^
^
^
ก่อนที่ บังอัลฯ จะสรุป...
ขอรบกวนถามหน่อยว่า มีแบบ file .pdf ให้โหลดไหมครับ
อยาก save ไว้เพื่ออ่านครับ ^^
ชอบของฟรี - -'
ญาซากูมุลลอฮ ฮุ ค็อยร็อน
Re: บรรดานักปราชญ์ของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ (พร้อมรูปภาพ) By: yaseen Date: พ.ค. 28, 2007, 04:02 PM
เรามาเข้าเรื่องกันดีกว่า ท่านอัชชัยค์ มุลลา ร่อมะฏอน อัลบูฏีย์ นั้น เป็นอุลามาอ์ที่ดำรงค์ตนตามหลักของอัลกุรอานและซุนนะฮ์ วิถีการดำเนินชีวิตของท่านน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง และสมควรนำไปเป็นแบบอย่างและอุทาหรณ์สอนใจ ท่านเป็นคนยากจนที่ต้องเผชิญความยากลำบาก แต่ท่านฝากให้กับอัลเลาะฮ์เสมอ พระองค์ไม่เคยทิ้งท่าน หากเต็มเปี่ยมไปด้วยอีหม่านความศรัทธาอย่างแท้จริง
เรื่องราวต่าง ๆ ของท่าน อัชชัยค์ มุลลา ร่อมะฏอน อัลบูฏีย์ นี้ ท่านชัยค์ ด๊อกเตอร์ มุฮัมมัด สะอีด ร่อมะฏอน อัลบูฏีย์ บุตรชายคนเดียวของท่าน ได้ถ่ายทอดวิถีชีวิตในแง่มุมต่าง ๆ ของบิดาท่านไว้เป็นอย่างดีและน่าสนใจ และชีวประวัติ เรื่องราวต่าง ๆ นั้น ท่านชัยค์ ด๊อกเตอร์ มุฮัมมัด สะอีด ร่อมะฏอน อัลบูฏีย์ ได้ถ่ายทอดเป็นหนังสือเล่มหนึ่ง ซึ่งมีชื่อว่า هذا والدى "นี้คือบิดาของฉัน" มี 200 หน้า
ดังนั้น ผมจะนำเสนอสรุปไปเรื่อย ๆ จนจบเล่ม และหวังว่าคงเป็นประโยชน์แก่พี่น้องทั้งหลาย อินชาอัลเลาะฮ์
والسلام
จะรอติดตามอ่านนะขอรับ ขออัลลอฮฺทรงตอบแทน
แค่เกริ่นๆยังรู้สึกว่าท่านอัชชัยค์ มุลลา ร่อมะฏอน อัลบูฏีย์ เป็นผู้ที่มีอิหม่านเป็นอย่างยิ่ง แค่ฟังชื่อหนังสือก็พอทำให้รู้ว่าบุตรชายของท่านเองนั้น (ท่านชัยค์ ด๊อกเตอร์ มุฮัมมัด สะอีด ร่อมะฏอน อัลบูฏีย์) ต้องภูมิใจเป็นอย่างมากที่ได้เกิดมาเป็นลูกของท่านเป็นแน่แท้
บรรดานักปราชญ์ของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ (พร้อมรูปภาพ) By: al-azhary Date: พ.ค. 28, 2007, 10:11 PM
بسم الله الرحمن الرحيم
ท่านชัยค์ ด๊อกเตอร์ มุฮัมมัด สะอีด ร่อมะฏอน อัลบูฏีย์ ได้กล่าวไว้ในบทนำของท่านว่า
ฉันมีความลังเลเป็นอย่างมากที่จะเขียนหนังสือเล่มนี้ ฉันเฝ้าถามตลอดเวลาว่าถึงแรงผลักดันที่ทำให้ฉันต้องเขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นมา บางครั้งฉันเฝ้าถามตนเองว่า การเขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นมา มันเป็นความพอใจของบิดาหรือเปล่า? กาลเวลาผ่านไปสี่ครึ่งหลังจากบิดาเสียชีวิต ฉันก็ยังไม่มั่นใจที่จะเขียนชีวประวัติของบิดา จนกระทั่งถึงเช้าของวันนี้

ชัยค์ มุลลา ร่อมะฏอน อัลบูฏีย์ ช่วงวัย 60 ปี
สาเหตุสำคัญที่ทำให้ฉันต้องลังเลใจเป็นเวลานาน ก็คือ ฉันเห็นผู้คนในปัจจุบันมีความปรารถนาที่จะนำเสนอผลงาน ๆ ต่างของคนที่เสียชีวิตไปแล้ว พวกเขาต่างพรรณายกย่องกันอย่างเลยเถิด พยายามประดิษฐ์ประดอยนำเสนอเพื่อแสวงหาเป้าหมายทางดุนยาด้วยกับงานของศาสนา
ดังนั้นการที่ฉันจะนำเสนอชีวประวัติของบิดา ฉันรู้สึกไม่สบายใจและมีความครางแครงว่า บางครั้งฉันอาจจะมีเป้าหมายดังกล่าวก็ได้ ทั้งที่ทราบกันดีว่าบิดาของฉันเป็นผู้ที่สมถะ รังเกียจการยกยอสรรเสริญ ไม่รู้ว่าท่านจะพอใจในการกระทำของฉันอันนี้หรือเปล่า? ซึ่งบางครั้งฉันอาจเป็นเหตุให้ท่านเจ็บปวดและโกรธ เพราะฉันรู้ว่าคนตายก็เหมือนคนเป็นซึ่งพวกเขาสามารถประสบกับความพึงพอใจและความโกรธได้ เสมือนกับที่พวกเขาได้ประสบปัจจัยต่าง ๆ ที่ทำให้มีความสุขสบายและเจ็บปวด
ในขณะเดียวกันมีเพื่อนมิตรสหายมากมายที่รู้จักบิดาของฉัน ซึ่งพวกเขาได้ยื่นข้อเสนอและรับเร้าฉันให้เขียนชีวประวัติบิดา (ร่อฮิมะฮุลลอฮ์) พวกเขาได้ให้การผลักดันฉันด้วยแรงสนับสนุนมากมาย แต่ทว่า ความหวั่นเกรงของฉันที่จะกระทำผลงานการเขียนนี้มีน้ำหนักมากกว่าที่จะปรารถนาย่างก้าวเข้าไปกระทำ จนกระทั่งวันหนึ่ง ฉันได้หวนรำลึกคำพุดบิดาที่เคยบอกเล่าเกี่ยวกับบรรดาอุลามาอ์ชาวกุรดีย์ (เคริ๊ต) ผู้มีความโดดเด่นในด้านความรู้ เป็นที่เลื่องลือในความมีคุณธรรมและความยำเกรง บิดาเคยเล่าประวัติและคุณความดีของพวกเขาเหล่านั้นแก่ฉัน หลังจากนั้น ปรากฏว่าท่านรู้สึกเสียใจที่ประวัติคุณความดีของพวกเขาได้ลืมเลือนไปจากความทรงจำบ้าง ซึ่งเป็นการสมควรอย่างยิ่ง ในการที่จำเป็นต้องขีดเขียนบันทึกไว้เพื่อเป็นบทเรียนสอนใจแก่ชนรุ่นหลัง
ฉันได้พูดกับตัวเองว่า ฉันไม่คิดว่าบิดาของฉันจะเสียใจไปมากกว่าฉันหรอก! ดังนั้น บิดาของฉันน่าจะความรู้สึกว่า มีความจำเป็นที่จะต้องเขียนบันทึกชีวประวัติของอุลามาอ์ผู้มีคุณธรรมเหล่านั้น เพื่อผู้คนทั้งหลายจะได้รับผลประโยชน์และนำมาเป็นแบบอย่างในการดำนเนินชีวิต ดังนั้นจึงสมควรสำหรับฉันที่ต้องมีแรงผลักดันให้เกิดความรู้สึกตระหนักถึงความจำเป็นดังกล่าวที่มีต่อบรรดาอุลามาอ์ และไม่สงสัยเลยว่าบิดาของฉันก็คือหนึ่งจากพวกเขาเหล่านั้น
ขอยืนยันว่า ฉันไม่มีโอกาสเลยที่จะเขียนชีวประวัติของบรรดาอุลามาอ์รุ่นก่อน ๆ เนื่องจากฉันไม่เคยได้พบและไม่รู้ถึงวิถีการดำเนินชีวิตของพวกเขา ดังนั้น ความสามารถของฉันในเวลานี้ คือเขียนชีวประวัติของผู้เป็นบิดา เนื่องจากฉันรู้ดี ยิ่งกว่านั้น ฉันยังเป็นผู้ที่รู้ดีถึงวิถีการดำเนินชีวิตของบิดามากกว่าบุคคลอื่น ๆ

ชัยค์ มุลลา ร่อมะฏอน อัลบูฏีย์ ช่วง 3 วันก่อนท่านจะเสียชีวิต
หลังจากนั้น ฉันได้ขอคำปรึกษากับท่านผู้รู้บางส่วนในประเทศซีเรียแห่งนี้ที่ฉันคิดว่าพวกเขามีคุณธรรมและความยำเกรง โดยฉันชี้แจงว่า บิดาของฉัน (ร่อฮิมะฮุลลอฮ์) ได้เคยห้ามฉันจากการบอกเล่ากับผู้คนทั้งหลายเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวและคุณลักษณะเฉพาะที่อัลเลาะฮ์ทรงประทานให้ ดังนั้น ฉันจึงได้รับความเห็นจากพวกเขาว่า มันเป็นการกระทำที่ดีและมีประโยชน์หากมีเจตนาเพื่ออัลเลาะฮ์ ตะอาลา ด้วยการอธิบายและพรรณาสภาพการณ์ที่ตรงกับความเป็นจริงไม่มีการตัดทอนหรือเพิ่มเติมหรือยกย่องจนเลยเถิด และพวกเขาได้ให้คำปรึกษาแก่ฉันว่า การที่บิดาของท่านได้เตือนให้ระวังเกี่ยวกับการเปิดเผยเรื่องส่วนตัวที่เกิดขึ้นระหว่างบิดาของท่านกับอัลเลาะฮ์นั้น คือในขณะที่ท่านมียังมีชีวิตอยู่ แต่ในปัจจุบันท่านได้ล่วงลับไปแล้ว ดังนั้นจึงไม่นับว่าการถ่ายทอดเรื่องราวของท่านนั้นเป็นสิ่งที่ต้องห้ามแต่ประการใด
ดังนั้น ฉันจึงน้อมรับความปรารถนาดีอันนี้ ฉันจึงรีบทำการละหมาดอิสติคอเราะฮ์ตามที่ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมได้สอนแก่เรา โดยทำการละหมาด วอนขอดุอาและขอให้พระองค์ทรงชี้นำให้ฉันไปสู่ความดีงามและดลใจให้ฉันดำเนินตามแนวทางที่ทำให้พระองค์ทรงพึงพอพระทัย
และอัลเลาะฮ์เท่านั้นที่อยู่เบื้องหลังของเจตนานี้ และความดีทั้งหมดอยู่ภายใต้อำนาจของพระองค์ และพระองค์เท่านั้น ที่มีการมอบหมาย
ดิมัชก์ 21 รอเบี๊ยะอุษษานีย์ ฮ.ศ. 1415
บรรดานักปราชญ์ของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ (พร้อมรูปภาพ) By: al-azhary Date: พ.ค. 28, 2007, 11:21 PM
จะรอติดตามอ่านนะขอรับ ขออัลลอฮฺทรงตอบแทน
แค่เกริ่นๆยังรู้สึกว่าท่านอัชชัยค์ มุลลา ร่อมะฏอน อัลบูฏีย์ เป็นผู้ที่มีอิหม่านเป็นอย่างยิ่ง แค่ฟังชื่อหนังสือก็พอทำให้รู้ว่าบุตรชายของท่านเองนั้น (ท่านชัยค์ ด๊อกเตอร์ มุฮัมมัด สะอีด ร่อมะฏอน อัลบูฏีย์) ต้องภูมิใจเป็นอย่างมากที่ได้เกิดมาเป็นลูกของท่านเป็นแน่แท้
หนังสือเล่มนี้ มีความประทับใจที่เราสมควรเอาเยี่ยงอย่าง โดยเฉพาะคนที่ลำบากอย่างผม อ่านหนังสือเล่มนี้แบบเร็ว ๆ ส่วนมากจะอ่านจบบนรถเมล์หรือรถราง อ่านตอนจบรู้สึกประทับใจน้ำตาคลอในความผูกพันระหว่างผู้เป็นลูกกับบิดา ท่านชัยค์ มุฮัมมัด สะอีด อัลบูฏีย์ กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า
"บางครั้งท่านอาจจะหวนรำลึกสิ่งที่ท่านได้อ่านหนังสือเล่มนี้ว่า บิดาของฉัน (ขออัลเลาะฮ์ทรงประทานความเมตตาท่านด้วยเถิด) มักกล่าวถ้อยคำสรรเสริญอัลเลาะฮ์ ตะอาลา ในวโรกาศต่าง ๆ บ่อยครั้ง ท่านสรรเสริญอัลเลาะฮ์ ด้วยใบหน้าที่ปิติยินดี อิ่มเอิบ ว่า "มวลการสรรเสริญเป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์ ผู้ทรงกำเนิดจากมาจากสองบิดามารดาที่เป็นมุสลิมเป็นผู้ศรัทธา ทั้งสองได้สอนฉันเกี่ยวกับคำภีร์และบทบัญญัติของอัลเลาะฮ์ และพระองค์ผู้ซึ่งประทานให้ฉันอพยพมาสู่แผ่นดินที่ศักดิ์สิทธิ์(ซีเรีย)ที่อัลเลาะฮ์และร่อซูลของพระองค์ทรงประทานเกียรติ และพระองค์ผู้ซึ่งให้เกียรติฉันได้ลูกหลานที่ดี ทรงประทานจากบุตรชายคนเดียวของฉันกับบรรดาลูกหลานและหลาน ผู้ทรงประทานการคุ้มครองโดยที่ไม่สามารถคณานับได้"
ดังนั้น ย่อมเป็นสิทธิ์แก่ฉันเช่นกันที่จะกล่าวว่า
"มวลการสรรเสริญเป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์ ผู้ซึ่งให้ฉันเกิดมาจากสองบิดามารดาที่เป็นมุสลิมเป็นผู้ศรัทธา ทั้งสองได้สอนฉันเกี่ยวกับคำภีร์และบทบัญญัติของพระองค์ และมวลการสรรเสริญเป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์ ผู้ซึ่งให้เกียรติฉันด้วยกับมีบิดาผู้ดำเนินชีวิตในโลกดุนยาเพื่อน้อมให้เกียรติต่อพระองค์ โดยฉันหวังว่าอัลเลาะฮ์จะทรงนำฉันและบรรดาบุตรของฉันเข้าไปอยู่ในความเมตตาของพระองค์ ด้วยการชะฟาอัตของผู้เป็นบิดา หลังจากการชะฟาอัตของท่านนบี (ซ.ล.) ด้วยข่าวดีจากคำตรัสของพระองค์ที่ว่า "เราได้ให้ผู้สืบทอดตระกูลของพวกเขาได้ติดต่อกับพวกเขา (เข้าไปในสวรรค์)" อัฏฏูร 22 ... หนังสือ นี้คือบิดาของฉัน หน้า 195 - 196
Re: บรรดานักปราชญ์ของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ (พร้อมรูปภาพ) By: คนเดินดิน Date: พ.ค. 29, 2007, 10:14 AM
ท่านสมาชิกทุกท่านคะ พวกคุณคิดว่าจะดีไหมถ้าคนเดินดิน1อยากเขียนหนังสืออัตชีวประวัติของตนเองอาจจะไม่น่าสนใจเท่าหนังสือคือปวงปราชญ์ทั้งหลายแต่ก็คิดว่าน่าจะให้ข้อคิดที่ดี ๆ ให้กับคนที่ได้อ่านบ้าง เพราะว่าสิ่งที่คนเดินดินได้เจอนั้นมันเป็นอะไรที่เหนือความคาดหมายของคนเดินดินมั่ก ๆ เฮ้อยากเกินจะบรรยาย

บรรดานักปราชญ์ของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ (พร้อมรูปภาพ) By: al-azhary Date: พ.ค. 29, 2007, 11:22 PM
ท่านสมาชิกทุกท่านคะ พวกคุณคิดว่าจะดีไหมถ้าคนเดินดิน1อยากเขียนหนังสืออัตชีวประวัติของตนเองอาจจะไม่น่าสนใจเท่าหนังสือคือปวงปราชญ์ทั้งหลายแต่ก็คิดว่าน่าจะให้ข้อคิดที่ดี ๆ ให้กับคนที่ได้อ่านบ้าง เพราะว่าสิ่งที่คนเดินดินได้เจอนั้นมันเป็นอะไรที่เหนือความคาดหมายของคนเดินดินมั่ก ๆ เฮ้อยากเกินจะบรรยาย

เขียนชีวประวัติของตนเองได้เลยนะครับ แต่ต้องไปตั้งกระทู้ไหม่ให้เป็นเอกเทศน์น่ะครับ

บรรดานักปราชญ์ของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ (พร้อมรูปภาพ) By: al-azhary Date: พ.ค. 30, 2007, 04:19 AM
^
^
^
ก่อนที่ บังอัลฯ จะสรุป...
ขอรบกวนถามหน่อยว่า มีแบบ file .pdf ให้โหลดไหมครับ
อยาก save ไว้เพื่ออ่านครับ ^^
ชอบของฟรี - -'
ญาซากูมุลลอฮ ฮุ ค็อยร็อน
ตอนนี้ยังไม่มีนะครับน้อง อับดุลมาลิก

Re: บรรดานักปราชญ์ของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ (พร้อมรูปภาพ) By: คนเดินดิน Date: พ.ค. 30, 2007, 10:22 AM
งั้นเปลี่ยนใจไม่เขียนแล้วดีกว่า เก็บไว้เล่าให้คนที่เค้าอยากฟังดีกว่าเอย

Re: บรรดานักปราชญ์ของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ (พร้อมรูปภาพ) By: al-firdaus~* Date: พ.ค. 30, 2007, 11:49 AM
งั้นเปลี่ยนใจไม่เขียนแล้วดีกว่า เก็บไว้เล่าให้คนที่เค้าอยากฟังดีกว่าเอย

อยากฟัง

Re: บรรดานักปราชญ์ของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ (พร้อมรูปภาพ) By: นูรุ้ลอิสลาม Date: พ.ค. 30, 2007, 03:53 PM
งั้นเปลี่ยนใจไม่เขียนแล้วดีกว่า เก็บไว้เล่าให้คนที่เค้าอยากฟังดีกว่าเอย

อยากฟัง

ผมก็อยากฟังเหมือนกันครับ แต่กระทู้นี้น้องเขาต้องการนำเสนอประวัติอุลามาอ์ งั้นผมขอเสนอคุณ konderndin1 ครับว่า ให้ไปเล่าให้พวกเราฟังที่กระทู้ "ร้านน้ำชาออนไลน์" ครับ จะเล่าอะไรที่กระทู้ร้านน้ำออนไลน์รองรับได้ทุกสภาพการณ์เชื่อผม

Re: บรรดานักปราชญ์ของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ (พร้อมรูปภาพ) By: musalmarn Date: มิ.ย. 02, 2007, 08:51 AM
ตอนนี้ยังไม่มีนะครับน้อง อับดุลมาลิก 
งั้นรออ่านของ บัง ^^
บรรดานักปราชญ์ของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ (พร้อมรูปภาพ) By: al-azhary Date: มิ.ย. 02, 2007, 04:08 PM
งั้นรออ่านของ บัง ^^
งั้นวันนี้ จะนำเสนอต่อครับ อินชาอัลเลาะฮ์
Re: บรรดานักปราชญ์ของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ (พร้อมรูปภาพ) By: SaFinah Date: มิ.ย. 02, 2007, 08:18 PM
งั้นรออ่านของ บัง ^^
งั้นวันนี้ จะนำเสนอต่อครับ อินชาอัลเลาะฮ์
ชอบกระทู้นี้มากครับ...เพราะทำให้เราทราบว่า...ระดับอีมานและความตักวาของเรามีแค่ไหน...โอ้โห...ขนาดอุลามาอ์ในสมัยนี้เค้าขนาดนี้...แล้วบรรดาซอฮาบะฮ์นั้นเค้าจะขนาดไหนกัน!...แล้วเราหล่ะ...? :'(
กำลังรอด้วย
ใจจดจ่อครับผม...
ญาซากัลลอฮ์ฮูคอยร็อน
บรรดานักปราชญ์ของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ (พร้อมรูปภาพ) By: al-azhary Date: มิ.ย. 02, 2007, 11:18 PM
بسم الله الرحمن الرحيم
การเกิดบิดาของฉันเกิดในปี ค.ศ. 1888 ตามที่ได้ถูกบันทึกไว้ในทะเบียนบ้าน ท่านถือกำเนิดในหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ชื่อว่า เจลิกา อยู่ในเขตคาบสมุทร บูฏอน ซึ่งเรียกเป็นภาษาอาหรับว่า คาบสมุทรอุมัร
บิดาของท่านชื่อ อุมัร และปู่ ชื่อ มุร๊อด และเรื่องเชื้อสายของเรา ฉันไม่รู้รายละเอียดมากนัก ฉันเคยถามบิดาเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว ปรากฏว่าท่านไม่ให้ความสำคัญมากนัก โดยท่านชี้แจงว่า มันเป็นความยากลำบากที่มนุษย์คนหนึ่งจะสามารถแจกแจงเชื้อสายวงศ์ตระกูลของตนในอดีตที่ผ่านมาโดยไม่เกิดความผิดพลาด และท่านคิดว่าเป็นการดีสำหรับการไม่สืบเสาะรายละเอียดของเชื้อสายอันนี้ ซึ่งท่านได้อ้างอิงบทกวีของท่าน อิบนุ วัรดี อันเลื่องลือที่ว่า
لا تقل أصلى وفصلى أبدا إنّما أصل الفتى ما قد حصل
"ท่านอย่ากล่าวว่าเชื้อสายของฉันและตระกูลของฉันเลย เพราะแท้จริงสายตระกูลของชายหนุ่มนั้นคือสิ่งที่ได้เกิดขึ้น(แก่ตัวเขา)"
(หมายถึง หากคนหนึ่งปฏิบัติตนดีมีคุณธรรมให้เกิดขึ้นกับตัวเอง เขาก็ย่อมทำให้ตระกูลดีและมีเกียรติ)
ช่วงในวัยเด็กปู่ของบิดาเป็นชาวนา เวลาส่วนมากทุ่มเทให้กับเรือกสวนไร่นาและการเพาะปลูก ซึ่งไม่มีงานใดที่จะดีสำหรับพวกเขายิ่งกว่างานนี้ หากแม้นว่าหลานคนเล็กยังอยู่ในวัยเด็ก แต่ทว่าสามารถทำภาระหน้าที่บางอย่างด้วยตนเองได้ จนกระทั่งสามารถเริ่มช่วยปู่ทำนาเพาะปลูก บิดาของฉันเห็นว่า ดังกล่าวเป็นโอกาสที่สามารถจะทำงานได้อย่างเพลิดเพลินได้สำหรับวัยเด็ก แต่ทว่ามารดาเป็นผู้ที่เคร่งครัดและมีความยำเกรงเป็นอย่างมาก นางจึงส่งเสริมยืนหยัดให้บิดาของฉันทำการเล่าเรียนและแสวงหาความรู้ และนางสามารถทำให้ผู้เป็นสามีคล้อยตามและเห็นด้วยในสิ่งดังกล่าวโดยดี
บิดาของฉันกล่าวว่า "ฉันยังคงลังเลในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ระหว่างความปรารถนาของปู่ที่จะให้ฉันช่วยทำงานสวนและเพาะปลูก กับเรื่องที่บิดามารดาของฉันยืนกรานที่จะให้ทำการศึกษาเล่าเรียน แต่ฉันพบว่าความสุขในช่วงระยะเวลานั้นคงหมดหวังจากการเล่าเรียน ฉันจึงหมดเวลาไปกับการวิ่งเล่นในเรือกสวนพร้อมกับเพื่อน ๆ ด้วยสาเหตุการตอบสนองความต้องการของปู่ในการช่วยเหลือท่านทำนา ความตั้งใจที่จะศึกษาเล่าเรียนจึงเป็นไปได้ยาก สิ่งจูงใจที่จะทำให้ฉันอยากเล่าเรียนจึงริบหรี่ แต่ทว่าบิดาของฉันได้ฝากคนที่ไปคาบสมุทรอิบนุอุมัร เพื่อทำการซื้อปากกา น้ำหมึก และกระดาษให้กับฉัน แล้วฉันก็เฝ้ารออย่างไร้ความหวัง ทันใดนั้น มีบุคคลหนึ่งนำปากกาที่ทำมาจากต้นอ้อย นำน้ำหมึก และกระดาษมาให้ ฉันจึงรู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับเครื่องเขียนที่หายากในเวลานั้น ดังนั้นในช่วงวัยเด็กฉันก็ได้อยู่ในสถานที่ศึกษาแล้ว
ในบรรดาหมู่บ้านของชาวกุรดีย์ เขตอัล-อะนาฏูล ได้รับความทุกข์ระทมกับความโง่เขลาที่แผ่ขยาย ซึ่งนับว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งยวดในการประสิทธิ์ประสาทความรู้และได้รับขนบธรรมเนียมที่ดีงาม พร้อมทั้งโรงเรียนของทางการก็มีน้อยมาก แม้ว่าชาวกุรดีย์ต้องเผชิญกับสิ่งดังกล่าว พวกเขาก็ยังอนุรักษ์การเรียนรู้ภาษาอาหรับและเน้นหนักวิชาการแขนงต่าง ๆ ของอิสลาม ดังนั้น พวกเขาจึงช่วยเหลือกันสร้างห้องเรียนติดกับมัสยิด ซึ่งพวกเขาเรียกมันว่า "มัดร่อซะฮ์" (โรงเรียน) และห้องเรียนเหล่านี้ต้อนรับผู้ที่ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนวิชาการศาสนาและภาษาอาหรับเท่านั้น และมีบรรดาอุลามาอ์อาสาทำการสอนให้บรรดานักเรียนโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายแต่ประการใด บรรดาผู้คนในหมู่บ้านจะคอยให้การอุปถัมป์เลี้องอาหารแก่บรรดานักศึกษา ซักเสื้อผ้าให้ และบริการสิ่งต่าง ๆ ที่จำเป็น เนื่องจากชาวบ้านมีจิตสำนึกว่า พวกนักศึกษาเหล่านั้น กำลังแบกรับภาระกิจจำเป็นที่อยู่บนต้นคอของพวกเขาอยู่ (หมายถึงนักศึกษาเหล่านั้นได้เล่าเรียนศึกษาฟัรดูกิฟายะฮ์ซึ่งทำให้ชาวบ้านพ้นฟัรดูกิฟายะฮ์ด้วย) ชาวบ้านพยายามผลัดเปลี่ยนให้การดูแล โดยจิตใจของพวกเขาไม่คิดทวงบุญคุณและสอยากได้สิ่งตอบแทนแต่ประการใด
เช่นนี้แหละ ที่อัลเลาะฮ์ทรงประสงค์ให้บิดาของฉันที่อยู่ในช่วงเยาว์วัยได้ปลีกตัวออกจากการช่วยทำงานและเพาะปลูกกับปู่ โดยมุ่งตั้งใจร่ำเรียนหนังสือ อ่านอัลกุรอาน และทำการศึกษาในบรรดาโรงเรียนดังกล่าวข้างต้น
ปัจจุบันฉันจำชื่ออาจารย์ 3 ท่าน ที่บิดาของฉันได้รับความรู้จากพวกเขา คือหนึ่งท่าน ชัยค์ มุฮัมมัด สะอีด ซัยยิดา ซึ่งท่านจะเป็นที่รู้จักในนาม ชัยค์ ซัยยิดา , สอง ท่านชัยค์ ซัยยิด มุฮัมมัด อัลฟันซะกีย์ ซึ่งบิดาบอกว่าท่านมีวิชาความรู้และมีความนอบน้อมถ่อมตน ซึ่งฉันได้มีโอกาสเห็นท่านชัยค์ในช่วงปลายอายุ 40 ของฉัน และชัยค์ท่านนี้เคยเดินเท้าไปทำฮัจญ์จากดิมัชก์จนถึงบัยตุลลอฮ์ , ท่านที่สาม คือท่านชัยค์ มุลลา อับดุสลาม ซึ่งบิดาของฉันเรียกท่านเสมอว่า ซัยยิดาย่า มุลลา อับดุสลาม หมายถึง ท่านอาจารย์ของฉัน มุลลา อับดุสลาม นั่นเอง
บรรดานักปราชญ์ของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ (พร้อมรูปภาพ) By: al-azhary Date: มิ.ย. 03, 2007, 03:12 AM
บรรดาผู้คนในหมู่บ้านจะคอยให้การอุปถัมป์เลี้องอาหารแก่บรรดานักศึกษา ซักเสื้อผ้าให้ และบริการสิ่งต่าง ๆ ที่จำเป็น เนื่องจากชาวบ้านมีจิตสำนึกว่า พวกนักศึกษาเหล่านั้น กำลังแบกรับภาระกิจจำเป็นที่อยู่บนต้นคอของพวกเขาอยู่ (หมายถึงนักศึกษาเหล่านั้นได้เล่าเรียนศึกษาฟัรดูกิฟายะฮ์ซึ่งทำให้ชาวบ้านพ้นฟัรดูกิฟายะฮ์ด้วย) ชาวบ้านพยายามผลัดเปลี่ยนให้การดูแล โดยจิตใจของพวกเขาไม่คิดทวงบุญคุณและสอยากได้สิ่งตอบแทนแต่ประการใด
เขาเรียกว่า ความตำหนักในเรื่องการศึกษาที่เป็นฟัรดูกิฟายะฮ์ พวกเขาให้ความสำคัญกับนักเรียนศาสนา เพราะพวกเขาถือว่านักเรียนศาสนาทำให้พวกเขาพ้นบาปในเรื่องฟัรดูกิฟายะฮ์ เพียงมีบุคคลหนึ่งหรือกลุ่มหนึ่งที่มีวิชาความรู้ระดับฟัรดูกิฟายะฮ์ สามารถเป็นผู้นำพวกเขาได้เกี่ยวกับการกิจการของศาสนา
ผมประทับใจชาวบ้านที่ให้ความสำคัญและเอาใจใส่กับบรรดานักเรียนศาสนาที่เคยแบกรับฟัรดูกิฟายะฮ์เอาไว้ ในปัจจุบันเมืองไทยบ้านเรานั้น หากหมู่บ้านใดไร้ซึ่งคนมีความวิชารู้แล้ว แน่นอนว่า พวกเขาต้องทุกข์ระทมที่ความโง่เขลาไม่รู้เรื่องศาสนาเข้ามาครอบงำและกำลังแผ่ขยาย สภาวะขาดผู้รู้ ทำให้การขาดละหมาด การทำซินา การกินเหล้า เป็นเรื่องธรรมดาในสังคมมุสลิมอาจเป็นได้
แล้วปัจจุบันเราให้ความสำคัญกับนักศึกษาเยาว์ชนที่มุ่งเรียนศาสนากันมากน้อยแค่ใหนครับ??