บรรดานักปราชญ์ของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ (พร้อมรูปภาพ) By: al-azhary Date: มิ.ย. 03, 2007, 03:46 AM
หลักสูตรการศึกษาอิสลามของชาวกุรดีย์ผู้ที่ไม่ใช่คนอาหรับโดยทั่วไปและชาวกุรดีย์(ตุรกี)โดยเฉพาะนั้น พวกเขาให้ความสำคัญกับวิชาการอิสลาม ซึ่งวิชาที่พวกเขาเน้นให้ความสำคัญคือวิชาที่พวกเขาเรียกว่า วิชาอาลัต (วิชาหลักภาษาอาหรับที่เป็นเครื่องมือประหนึ่งกุญแจไขไปสู่ความเข้าใจวิชาการแขนงต่าง ๆ) หมายถึง วิชา ซ่อร๊อฟ (นิรุกติศาสตร์) , วิชานะฮู (ไวยากรณ์อาหรับ) , วิชาบะลาเฆาะฮ์ (วาทศาสตร์) , วิชามันติก (ตรรกศาสตร์) , วิชามะกูลาตทั้งสิบ (วิชาว่าด้วยเรื่องการอ้างเหตุผล) ดังนั้น ผู้ใดที่ตั้งใจศึกษาความรู้ในโรงเรียนต่าง ๆ ของชาวกุรดีย์ เขาจะต้องเริ่มศึกษาวิชาการกระจายคำกริยา ซึ่งเป็นส่วนพื้นฐานแรกที่สำคัญของวิชาซ่อร๊อฟ หลังจากนั้นเขาจะได้ศึกษาวิชานะฮูตามหลักสูตรที่ได้วางไว้ และหนังสือวิชานะฮูเล่มสุดท้ายที่นักศึกษาต้องอ่านตามหลักสูตรที่วางไว้คือ หนังสืออัลญามีย์ซึ่งอธิบายหนังสืออัลกาฟียะฮ์ ของท่าน อิบนุอัลหาญิบ เสียชีวิตปี ฮ.ศ. 646
ส่วนวิชาแขนงต่าง ๆ ของชะรีอะฮ์อิสลามนั้น พวกเขาให้ความสนใจเกี่ยวกับหลักวิชาอะกีดะฮ์ วิชาสุดท้ายที่พวกเขาทำการเรียนคือ หนังสือ อัลอะกออิด อันนะซะฟียะฮ์ จากนั้นเรียนวิชาตัฟซีร ซึ่งส่วนใหญ่จะเรียนตัฟซีรของท่านอัลกอฏี อัลบัยฏอวีย์ ถัดจากนั้น เรียนวิชาฟิกฮ์ ซึ่งหนังสือฟิกฮ์ที่พวกเขายึดถือคือ หนังสือของท่านอิมามผู้แน่นแฟ้นในวิชาความรู้ ท่าน อิบนุ หะญัร อัลฮัยตะมีย์ คือหนังสือ ตั๊วะฟะตุลมั๊วะตาจญ์ อธิบายหนังสือ อัลมินฮาจญ์ ของท่านอิมาม อันนะวาวีย์ ซึ่งเป็นหนังสือเล่มสุดท้ายของบรรดานักศึกษาที่เรียนวิชาฟิกฮ์ และสำหรับวิชาอุซูลุลฟิกฮ์(หลักมูลฐานนิติศาสตร์อิสลาม)นั้น จะเรียนหนังสือ ชัรห์(อธิบาย)ของท่านญะลาลุดดีนอัลมุฮัลลีย์ ที่มีต่อหนังสือ ญัมอุลญะวาเมี๊ยะอ์ ของท่านอิบนุ อัซซุบกีย์ จากนั้นก็เรียนวิชาหะดิษและหลักพิจารณาหะดิษ วิชาชีวประวัติของท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม วิชาอัลกุรอาน วิชาฟิกฮ์เปรียบเทียบ วิชาตะเซาวุฟ วิชาวรรณคดี เป็นต้น
บิดามักกล่าวให้ฉันฟังเสมอว่า ในช่วงที่ท่านกำลังศึกษากับบรรดาอาจารย์ทั้งหลายนั้น นักศึกษาส่วนมากให้ความสำคัญกับวิชาฟิกฮ์ พวกเขาจะมีความภาคภูมิเหนือเพื่อนคนอื่น ๆ ที่สามารถตีประเด็นปัญหาของฟิกฮ์ได้แตกฉานและสามารถไขปริศนาประเด็นที่ยาก ๆ ได้!.. แต่ทว่าฉันให้ความสนใจกับการท่องจำมะตัน(ตำราที่เป็นตัวบทย่อ ๆ มีถ้อยคำสั้น ๆ แต่ความหมายกว้างขวาง) และท่องจำตำราที่ใช้เรียน และอื่น ๆ ... ฉันมุ่งเน้นในการอ่านอัลกุรอานและอ่านมันอย่างช้า ๆ ไพเราะ ฉันตั้งความหวังว่าจะท่องจำให้ขึ้นใจ ฉันก็จึงเริ่มท่องจำตั้งแต่เยาว์วัย ฉันให้ความสำคัญกับวิชาฟิกฮ์ที่เกี่ยวกับหมวดหลักอิบาดะฮ์เพื่อนำมาควบคุมหลักปฏิบัติของฉัน และฉันชอบหนังสือตะเซาวุฟเป็นอย่างมาก หนังสือเอี๊ยะหฺยาอุลุมุดดีน ของท่านอิมามอัลฆ่อซาลีย์ เป็นหนังสือระดับต้น ๆ ที่ฉันเฝ้าเพียรอ่านและศึกษา ฉันหลงใหลศึกษาชีวประวัติของท่านนบีเป็นอย่างมากเช่นกัน และฉันเพียรพยายามหมั่นทำอิบาดะฮ์สุนัตอย่างสม่ำเสมอ ฉันหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะกำหนดสักช่วงเวลาหนึ่งสำหรับการละหมาดสุนัตในความค่ำคืน(กิยามุลลัยล์) เมื่อความหวังของฉันได้บรรลุผลแล้ว ฉันจึงรู้สึกปิติยินดีเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งไม่มีสิ่งใดมาเทียบเทียมได้เลย!..
บิดากล่าวอีกว่า นักศึกษาส่วนมากให้การดูถูกการกระทำของฉันนี้ พวกเขาคิดว่าฉันคร่ำเคร่งจนเกินไป จนบางครั้งพวกเขาคิดว่าฉันเลียนแบบบรรดาอาจารย์ผู้อาวุโส และบางครั้งพวกเขาคิดว่าการที่ฉันมุ่งปฏิบัติเช่นนี้ เป็นผลมาจากการไร้ความสามารถที่จะเทียบเคียงพวกเขาในการตรวจสอบประเด็นเชิงวิชาการต่าง ๆ ของฟิกฮ์และไขปัญหาประเด็นที่ยาก ๆ
บิดากล่าวว่า ที่จริงแล้วฉันใช้เวลาส่วนมากหมดไปกับการอ่านอัลกุรอาน ท่องบทซิกิร บทวิริด ทำอิบาดะฮ์ที่เป็นสุนัต ทำการละหมาดสุนัตในยามค่ำคืน ในขณะที่บรรดานักศึกษาคนอื่น ๆ มุ่งเน้นท่องจำมะตันและบทเรียนอื่นซ้ำไปซ้ำมา...และตามนัยดังกล่าวนั้น ทำให้ฉันด้อยกว่าพวกเขาในแง่ของวิชาการ ท่องจำฮุกุ่มและมัสอะละฮ์(ประเด็น)ต่าง ๆ ของฟิกฮ์...บิดากล่าวว่า ฉันเชื่อมั่นว่าฉันจะทำอย่างนั้นในช่วงระยะเวลาหนึ่งอย่างจริงจัง แล้วฉันก็เฝ้าคอยวันที่บรรดาอาจารย์จะทดสอบบรรดานักศึกษาทั้งหลาย..ในวันหนึ่ง มีชัยค์(อาจารย์)คนหนึ่งได้มาหาพวกเรา เพื่อทำการถามและทดสอบทีละคน ๆ เมื่อถึงฉัน อาจารย์จึงตั้งคำถามต่าง ๆ ที่ยาก ๆ ตามที่อาจารย์ต้องการ แต่แล้วอัลเลาะฮ์ก็ทรงดลใจให้ฉันตอบได้อย่างถูกต้อง อาจารย์จึงมองมายังฉันแล้วกล่าวว่า "ที่จริงแล้วท่านไม่ใช่เป็นคนมีความรู้มากนัก แต่อัลเลาะฮ์ทรงกล่าวแก่ท่านว่า ท่านจงเป็นคนที่มีความรู้ แล้วท่านก็รู้!.. บิดาของฉันเล่าเรื่องราวในการศึกษาความรู้เช่นนี้ให้ฟังเสมอ เพื่อให้ฉันตระหนักต่อคำตรัสของอัลเลาะฮ์ ตะอาลา ที่ว่า
وَاتَّقُواْ اللّهَ وَيُعَلِّمُكُمُ اللّهُ
"และพวกเจ้าจงยำเกรงต่ออัลเลาะฮ์เถิด และอัลเลาะฮ์ก็จักทรงสอนพวกเจ้า" อัลบะกอเราะฮ์ 282
บรรดานักปราชญ์ของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ (พร้อมรูปภาพ) By: al-azhary Date: มิ.ย. 04, 2007, 03:52 AM
การป่วยหนัก..และการมองเห็นอันน่าทึ่งในช่วงระยะนี้ บิดาของฉัน (ร่อฮิมะฮุลลอฮ์) ประสบอาการป่วยอย่างหนักเกือบคร่าชีวิต เข้าใจว่าท่านคงป่วยเป็นโรคฝีดาษ ฉันจำไม่ได้ว่าช่วงนั้นท่านอายุเท่าไหร่ แต่โรคเข้ามาคุกคามอย่างกระทันหัน
บิดากล่าวว่า "ขอสาบานว่า ฉันได้เห็นมะลิกุลเมาต์ (มะลาอิกะฮ์ซึ่งมีหน้าที่ถอดวิญญาน) ด้วยสองตาของฉัน ในขณะที่ป่วยอย่างหนัก!.."
ต่อไปนี้ฉันจะถ่ายทอดคำพูดของบิดาเกี่ยวกับเหตุการณ์อันน่าทึ่ง บรรดาพี่น้องและเพื่อน ๆ มิตรสหายหลายคนก็ได้ยินจากปากของท่าน ซึ่งในขณะนั้นพวกเขากำลังห้อมล้อมสถานที่ที่บิดาฉันนั่งพำนักอยู่
บิดาของฉัน (ร่อฮิมะฮุลลอฮ์) กล่าวว่า "ฉันมีอาการป่วยหนัก จนกระทั่งครอบครัวสิ้นหวังจากการหายป่วย ในขณะที่ฉันนอนอยู่บนเตียง รอบ ๆ ตัวฉัน มีเครือญาติและผู้มาเยี่ยมมากมาย ทันใดนั้นมีผู้ชายคนหนึ่งซึ่งน่าเกรงขามเป็นอย่างมาก ได้เข้ามาในห้อง ข้างหลังของเขามีชายอีกคนหนึ่ง ซึ่งดูเหมือนว่าเขาเป็นจะเป็นผู้ช่วยหรือคนรับใช้ ดังนั้น ฉันพยายามจะยืนขึ้นเพื่อจูบมือของเขาเพราะเชื่อว่าเขามีคุณธรรมและมีความประเสริฐ แต่ทว่าเขากลับถอยหลัง แล้วกล่าวว่า "เราไม่ได้มีจุดมุ่งหมายด้วยกับตัวท่าน แต่เรามาเพราะต้องการเพื่อนบ้านของพวกท่านคนหนึ่งของพวกท่านที่ชื่อยาซีน(1)" และเมื่อเขาได้หายลับไปจากฉัน บรรดาบุคคลที่นั่งอยู่จึงมองมายังฉัน แล้วกล่าวว่า "อะไรที่ทำให้ท่านเป็นอย่างนั้น และอะไรทำให้ท่านมีลักษณะเหมือนกับว่าจะจูบบนพื้นดิน?" ฉันตอบว่า "ฉันไม่ได้ต้องการจะจูบพื้นดิน แต่ฉันกำลังพยายามที่จะจูบมือชัยค์คนหนึ่งที่เข้ามาหาเรา แต่เขากลับถอยออกไปพร้อมกล่าวว่า เขาต้องการคนชื่อยาซีน" ทันใดนั้นพวกเขาจึงร้องตะโกน พร้อมกล่าวว่า "ขณะนี้ ยาซีน ได้เสียชีวิตแล้ว" มันเป็นเสียงร้องระงมที่ดังขึ้นภายในบ้าน!.."
บิดากล่าวต่อไปว่า "หลังจากนั้นชัยค์ผู้น่าเกรงขามได้หวนกลับมาหาเราอีกครั้ง พร้อมกับอีกคนซึ่งเขากำลังแบกสิ่งหนึ่งคล้ายหนังของสัตว์อยู่บนบ่าของเขา และเขาจึงหันมาทางฉันแล้วจับฉันด้วยกำมือของเขา ดังนั้น ฉันจึงมีความรู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง ฉันจึงส่งเสียงร้องขึ้นเพื่อร้องขอความช่วยเหลือผู้เป็นบิดา(ของท่านชัยค์มุลลา ร่อมะฏอน อัลบูฏีย์) แล้วฉันก็มอง ปรากฏว่าบิดาได้ดึงฉันเข้าไปหา เพื่อปกป้องฉันจากเขา หลังจากนั้น ชายสองคนก็หายไป และเมื่อฉันได้มองดู ปรากฏว่าบรรดาผู้คนที่อยู่รอบ ๆ ฉันต่างรู้สึกหวาดกลัวในเหตุการณ์นี้ มีคนหนึ่งกล่าวแก่ฉันว่า "อะไรได้เกิดขึ้นกับท่านหรือ?" ดังนั้น ฉันจึงเหล่าให้พวกเขาฟังกับสิ่งที่ฉันเห็น .. และฉันได้ทราบในขณะนั้นว่า บิดาของฉันนั้น เมื่อท่านได้ยินเสียร้องตะโกนและความหวาดกลัวของฉัน ท่านจึงได้บนบานว่า "ขอสาบาน หากอัลเลาะฮ์ทรงให้บุตรของฉันนี้หายป่วย แน่แท้ว่าฉันจะทำการบริจาคทาน เท่านั้นเท่านี้ ด้วยหัวของแพะ" แล้วอัลเลาะฮ์ก็ทรงประทานเกียรติและให้หายจากการป่วยที่ร้ายแรงครั้งนั้น
ดังนั้น ที่ฉันได้ถามเกี่ยวกับสิ่งที่บิดาได้เล่าให้ฉันฟังในครั้งแรกนี้ ทำให้ฉันระลึกเสมอว่า "แท้จริง การมาของมะลิกิลเมาต์นั้น เป็นหลักฐานชี้ว่า ถึงกำหนดเวลาที่ต้องเอาชีวิตแล้ว และเมื่อถึงกำหนดเวลา การบนบานและการขอดุอาอ์ให้ประวิงเวลาออกไปนั้น ย่อมไร้ประโยชน์เสียแล้ว!.."
บิดากล่าวแก่ฉันว่า "แท้จริงกำหนดเวลาที่ต้องตายนั้น ได้รับการยืนยันไว้ในการรอบรู้ของอัลเลาะฮ์แล้ว ซึ่งไม่มีช่วงเวลาหลังจากนั้นต่อไปแล้ว
แต่บางทีอัลเลาะฮ์ทรงให้มะลิกุลเมาต์มาหาฉันและปรากฏให้ฉันเห็นด้วยสองตาฉันนั้น เพื่อเป็นสาเหตุให้ความหมายของ "ความตาย" มั่นคงอยู่ในจิตใจของฉัน เป็นแรงผลักดันเพื่อกระตุ้นให้เตรียมพร้อมสำหัรบความตายในทุกเมื่อเชื่อวัน" จากนั้น บิดากล่าวอีกว่า "การกำหนด(สภาวะ)นั้น มี 2 ประเภท คือการกำหนดแบบตายตัว และการกำหนดแบบมีข้อแม้ สำหรับการกำหนดแบบตายตัวนั้น ไม่มีผู้ใดรับรู้ได้นอกจากอัลเลาะฮ์องค์เท่านั้น และสำหรับการกำหนดแบบมีข้อแม้ คือการกำหนดที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์จากบรรดามูลเหตุต่าง ๆ ซึ่งมันเป็นส่วนหนึ่งจากสิ่งที่อัลเลาะฮ์ทรงให้รับรู้ได้จากปวงบ่าวชนชั้นพิเศษของพระองค์"
----------------------------------------------
(1) เขาเป็นชายหนุ่มอีกคนหนึ่งที่ต้องทนทุกข์กับโรคร้ายนี้ บ้านของเขาอยู่ติดกับบ้านที่บิดาของฉันอาศัยอยู่
Re: บรรดานักปราชญ์ของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ (พร้อมรูปภาพ) By: yaseen Date: มิ.ย. 04, 2007, 09:08 AM
บิดากล่าวแก่ฉันว่า "แท้จริงกำหนดเวลาที่ต้องตายนั้น ได้รับการยืนยันไว้ในการรอบรู้ของอัลเลาะฮ์แล้ว ซึ่งไม่มีช่วงเวลาหลังจากนั้นต่อไปแล้ว แต่บางทีอัลเลาะฮ์ทรงให้มะลิกุลเมาต์มาหาฉันและปรากฏให้ฉันเห็นด้วยสองตาฉันนั้น เพื่อเป็นสาเหตุให้ความหมายของ "ความตาย" มั่นคงอยู่ในจิตใจของฉัน เป็นแรงผลักดันเพื่อกระตุ้นให้เตรียมพร้อมสำหัรบความตายในทุกเมื่อเชื่อวัน" จากนั้น บิดากล่าวอีกว่า "การกำหนด(สภาวะ)นั้น มี 2 ประเภท คือการกำหนดแบบตายตัว และการกำหนดแบบมีข้อแม้ สำหรับการกำหนดแบบตายตัวนั้น ไม่มีผู้ใดรับรู้ได้นอกจากอัลเลาะฮ์องค์เท่านั้น และสำหรับการกำหนดแบบมีข้อแม้ คือการกำหนดที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์จากบรรดามูลเหตุต่าง ๆ ซึ่งมันเป็นส่วนหนึ่งจากสิ่งที่อัลเลาะฮ์ทรงให้รับรู้ได้จากปวงบ่าวชนชั้นพิเศษของพระองค์"
ญะซากัลลอฮฺค๊อยรอน แจ่มมากเลยโดยเฉพาะประโยคนี้ :'(
Re: บรรดานักปราชญ์ของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ (พร้อมรูปภาพ) By: คนเดินดิน Date: มิ.ย. 04, 2007, 12:05 PM
ช่วงนี้คนเดินดิน งานยุ่งมาก ต้องรบกับนักเรียนไม่เว้นแต่ละวัน
ไว้จะเล่าให้ฟังวันหน้านะคะหลาน ๆ ถ้าอยากฟัง อย่างอแงซะก่อนล่ะ ;) ;) ;)
Re: บรรดานักปราชญ์ของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ (พร้อมรูปภาพ) By: salamah Date: มิ.ย. 04, 2007, 07:34 PM
ช่วงนี้คนเดินดิน งานยุ่งมาก ต้องรบกับนักเรียนไม่เว้นแต่ละวัน
ไว้จะเล่าให้ฟังวันหน้านะคะหลาน ๆ ถ้าอยากฟัง อย่างอแงซะก่อนล่ะ ;) ;) ;)
เดี๋ยวหลานๆจะรอฟังนะคะ........

Re: บรรดานักปราชญ์ของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ (พร้อมรูปภาพ) By: คนเดินดิน Date: มิ.ย. 05, 2007, 11:22 AM
สำหรับพี่น้องที่อยากฟังเรื่องราวของคนเดินดิน ๆ ก็จะตั้งกระทู้ใหม่แล้วกันแล้วแวะมาอ่านกันนะคะ
ใน ความเชื่อ และ บททดสอบของคนเดินดิน1 ;) ;) ;)
บรรดานักปราชญ์ของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ (พร้อมรูปภาพ) By: al-azhary Date: มิ.ย. 05, 2007, 06:14 PM
สำหรับพี่น้องที่อยากฟังเรื่องราวของคนเดินดิน ๆ ก็จะตั้งกระทู้ใหม่แล้วกันแล้วแวะมาอ่านกันนะคะ
ใน ความเชื่อ และ บททดสอบของคนเดินดิน1 ;) ;) ;)
งั้น เชิญเข้ามาเสวนาที่กระทู้ดังกล่าวได้เลยครับ
ความเชื่อและบททดสอบของคนเดินดิน1 
Re: บรรดานักปราชญ์ของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ (พร้อมรูปภาพ) By: นูรุ้ลอิสลาม Date: มิ.ย. 06, 2007, 01:54 PM
บิดากล่าวว่า ที่จริงแล้วฉันใช้เวลาส่วนมากหมดไปกับการอ่านอัลกุรอาน ท่องบทซิกิร บทวิริด ทำอิบาดะฮ์ที่เป็นสุนัต ทำการละหมาดสุนัตในยามค่ำคืน ในขณะที่บรรดานักศึกษาคนอื่น ๆ มุ่งเน้นท่องจำมะตันและบทเรียนอื่นซ้ำไปซ้ำมา...และตามนัยดังกล่าวนั้น ทำให้ฉันด้อยกว่าพวกเขาในแง่ของวิชาการ ท่องจำฮุกุ่มและมัสอะละฮ์(ประเด็น)ต่าง ๆ ของฟิกฮ์...บิดากล่าวว่า ฉันเชื่อมั่นว่าฉันจะทำอย่างนั้นในช่วงระยะเวลาหนึ่งอย่างจริงจัง แล้วฉันก็เฝ้าคอยวันที่บรรดาอาจารย์จะทดสอบบรรดานักศึกษาทั้งหลาย..ในวันหนึ่ง มีชัยค์(อาจารย์)คนหนึ่งได้มาหาพวกเรา เพื่อทำการถามและทดสอบทีละคน ๆ เมื่อถึงฉัน อาจารย์จึงตั้งคำถามต่าง ๆ ที่ยาก ๆ ตามที่อาจารย์ต้องการ แต่แล้วอัลเลาะฮ์ก็ทรงดลใจให้ฉันตอบได้อย่างถูกต้อง อาจารย์จึงมองมายังฉันแล้วกล่าวว่า "ที่จริงแล้วท่านไม่ใช่เป็นคนมีความรู้มากนัก แต่อัลเลาะฮ์ทรงกล่าวแก่ท่านว่า ท่านจงเป็นคนที่มีความรู้ แล้วท่านก็รู้!.. บิดาของฉันเล่าเรื่องราวในการศึกษาความรู้เช่นนี้ให้ฟังเสมอ เพื่อให้ฉันตระหนักต่อคำตรัสของอัลเลาะฮ์ ตะอาลา ที่ว่า
وَاتَّقُواْ اللّهَ وَيُعَلِّمُكُمُ اللّهُ
"และพวกเจ้าจงยำเกรงต่ออัลเลาะฮ์เถิด และอัลเลาะฮ์ก็จักทรงสอนพวกเจ้า" อัลบะกอเราะฮ์ 282
นี่แหละครับ คือบทเรียนสำหรับผู้แสวงหาวิชาความรู้ เรียนอย่างเดียวยังไม่พอ เราต้องทำอิบาดะฮ์ให้มาก ๆ ด้วย แล้วอัลเลาะฮ์จะให้เราได้เข้าใจหลักการของอิสลามากๆ ขึ้นโดยไม่รู้ตัว
Re: บรรดานักปราชญ์ของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ (พร้อมรูปภาพ) By: นูรุ้ลอิสลาม Date: มิ.ย. 06, 2007, 02:14 PM
บิดาของท่านชื่อ อุมัร และปู่ ชื่อ มุร๊อด และเรื่องเชื้อสายของเรา ฉันไม่รู้รายละเอียดมากนัก ฉันเคยถามบิดาเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว ปรากฏว่าท่านไม่ให้ความสำคัญมากนัก โดยท่านชี้แจงว่า มันเป็นความยากลำบากที่มนุษย์คนหนึ่งจะสามารถแจกแจงเชื้อสายวงศ์ตระกูลของตนในอดีตที่ผ่านมาโดยไม่เกิดความผิดพลาด และท่านคิดว่าเป็นการดีสำหรับการไม่สืบเสาะรายละเอียดของเชื้อสายอันนี้ ซึ่งท่านได้อ้างอิงบทกวีของท่าน อิบนุ วัรดี อันเลื่องลือที่ว่า
لا تقل أصلى وفصلى أبدا إنّما أصل الفتى ما قد حصل
"ท่านอย่ากล่าวว่าเชื้อสายของฉันและตระกูลของฉันเลย เพราะแท้จริงสายตระกูลของชายหนุ่มนั้นคือสิ่งที่ได้เกิดขึ้น(แก่ตัวเขา)"
(หมายถึง หากคนหนึ่งปฏิบัติตนดีมีคุณธรรมให้เกิดขึ้นกับตัวเอง เขาก็ย่อมทำให้ตระกูลดีและมีเกียรติ)
คนที่มีตระกูลไม่โด่งดัง อย่าไปน้อยใจเลยนะครับ เพราะคนเราจะดีไม่ได้อยู่ที่ตระกูลเสมอไป ตระกูลไม่ได้เป็นปัจจัยที่ทำให้เราเข้าสวรรค์หรือลงนรกเลยครับ เพราะบางครั้งตระกูลดี แต่บางคนประพฤติตนไม่ดี ก็มีถมไป ดังนั้น ต้นตระกูลที่ดีมันอยู่ที่เราเริ่มต้นต่างหาก หากเราทำตนดีและอยู่ในคุณธรรมอย่างแท้จริง เรานี่แหละจะได้เป็นแบบอย่างในตระกูลของเรา เมื่อเรามีลูกมีหลาน พวกเขาเหล่านั้น ก็เป็นลูกหลานของผู้มีคุณธรรม และยุคหลัง ๆ จากนั้นลูกหลานมีเยอะแยะมากมาย ก็จะได้รับกล่าวขานว่า เป็นลูกหลานของคนดีมีคุณธรรม ก็จะกลายเป็นตระกูลที่ดีขึ้นมาได้ แบบนี้ใช่เปล่าครับ ที่เป็นความของคำพูดของท่าน ชัยค์ มุลลา ร่อมะฏอน อัลบูฏีย์
แต่คนที่ตระกูลดี และประพฤติตนดีนั้น ถือว่าสุดยอดทวีคูณครับ แต่ที่สำคัญตระกูลของเราจะดีแน่นอน หากเราเป็นคนดีมีคุณธรรม

บรรดานักปราชญ์ของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ (พร้อมรูปภาพ) By: al-azhary Date: มิ.ย. 06, 2007, 08:39 PM
บิดาของฉันเห็นว่า ดังกล่าวเป็นโอกาสที่สามารถจะทำงานได้อย่างเพลิดเพลินได้สำหรับวัยเด็ก แต่ทว่ามารดาเป็นผู้ที่เคร่งครัดและมีความยำเกรงเป็นอย่างมาก นางจึงส่งเสริมยืนหยัดให้บิดาของฉันทำการเล่าเรียนและแสวงหาความรู้ และนางสามารถทำให้ผู้เป็นสามีคล้อยตามและเห็นด้วยในสิ่งดังกล่าวโดยดี
เรามาดูบทเรียนชีวประวัติของท่านท่านชัยค์มุลลา ร่อมะฏอน อัลบูฏีย์ นั้น ท่านผู้เป็นมารดาจะมีบทบาทและเป็นแรงผลักดันในการศึกษาของท่าน นางไม่ยอมให้บุตรตนทำงาน เพราะอยากให้ร่ำเรียน โดยคำนึงถึงอนาคตของลูก จนกระทั่งท่านเป็นบุคคลที่มีคุณธรรมและยำเกรง บอกตรง ๆ ว่า มารดาเป็นผู้ที่มีบทบาทอันยิ่งใหญ่สำหรับลูกๆ ครับ อิมามชาฟิอีย์กำพร้าบิดามาตั้งแต่เด็ก แต่ผู้เป็นมารดาสนับสนุนส่งเสริมให้กำลังใจบุตรของตน(คืออิมามชาฟิอีย์) ทำการร่ำเรียนจนเป็นนักปราชญ์ของโลก อิมามมาลิกได้รับแรงผลักดันจากกมารดาให้ไปร่ำเรียนหนังสือ มารดาของท่านจะแต่งตัวให้อิมามมาลิกอย่างเรียบร้อยโพกสะบันให้ตั้งแต่ในวัยเด็ก แล้วนางก็กล่าวกับท่านอิมามมาลิกว่า "ลูกจากไปเถิด ไปร่ำเรียนกับท่าน ร่อบีอะฮ์ อัรเราะอ์" กำลังใจของมารดาผลักดันให้อิมามมาชิกเป็นนักปราชญ์ของโลกอิสลามอีกเช่นเดียวกัน , ท่านชัยคุลอิสลาม อิบนุหะญัร อัสก่อลานีย์ นักปราชญ์หะดิษผู้อัจฉริยะแห่งยุค กำพร้ามารดาตั้งแต่เยาว์วัย มารดาของท่านจึงเป็นผู้เลี้ยงดู คอยอบรมสั่งสอน และสนับสนุนให้ทำการเล่าเรียนศึกษา จนกระทั่งได้เป็น อะมีรุลมุอ์มุนีนฟิลหะดิษ (หัวหน้าแห่งปวงปราชญ์หะดิษ) ที่ไม่มีผู้ใดให้การปฏิเสธในความอัจฉริยะของท่านเลย , ท่านอิมามอัสสะยูฏีย์ ก็กำพร้าบิดาตั้งแต่เยาว์วัยเช่นกัน แต่ผู้เป็นมารดาได้ให้แรงสนับสนุนกำลังใจให้ท่านทำการร่ำเรียน จนกลายเป็นนักปราชญ์แห่งยุค และเป็นนักปราชญ์หะดิษท่านหนึ่งที่ได้รับฉายาว่า "อะมีรุลมุอ์มินีนฟิลหะดิษ" (หัวหน้าแห่งปวงปราชญ์นักหะดิษ) เช่นเดียวกัน
ประวัตินักปราชญ์ของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ (พร้อมรูปภาพ) By: นูรุ้ลอิสลาม Date: มิ.ย. 09, 2007, 06:41 PM
รู้สึกว่าการนำเสนอจะขาดช่วง

Re: บรรดานักปราชญ์ของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ (พร้อมรูปภาพ) By: SaFinah Date: มิ.ย. 17, 2007, 02:25 PM
รู้สึกว่าการนำเสนอจะขาดช่วง 
เห็นด้วยกับท่านนูรุ้ลอิสลามครับ...

วันนี้มา request ครับผม...

Re: บรรดานักปราชญ์ของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ (พร้อมรูปภาพ) By: al-azhary Date: มิ.ย. 21, 2007, 01:52 AM
เข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่หนึ่งขณะที่สงครามโลกครั้งที่หนึ่งได้อุบัติขึ้นในปี ค.ศ. 1914 บิดาได้กลับมาจากการแสวงหาวิชาความรู้ ท่านจึงพำนักอยู่ในบ้านเกิดที่หมู่บ้าน เจลิกา เป็นอิมามมัสยิดที่นั่น และเป็นอาจารย์สอนนักเรียนศาสนาในโรงเรียนที่ติดกับมัสยิด
บิดาครุ่นคิดอยู่นานเกี่ยวกับสงครามโลกที่ได้อุบัติขึ้น และมีเป้าหมายถึงโค่นล้มค่อลีฟะฮ์อิสลามที่กำลังมีลมหายใจเฮือกสุดท้าย บิดามีความเห็นว่า ค่อลิฟะฮ์อิสลามในช่วงนั้นมีความผิดพลาดหลายประการ อันตรายอันยิ่งใหญ่ที่มุ่งทำลายโลกอิสลามนั้น มาจากทางรัสเซียซึ่งมีเป้าหมายเพื่อเฉือนอาณาจักรอิสลามให้เป็นเสี่ยง ๆ และจักรพรรดิรัสเซียก็จะถือโอกาสเข้ามาครอบครอง ดังนั้น บิดาจึงคิดว่าบรรดามุสลิมีนในทั่วทุกสารทิศจะต้องเข้ามาร่วมรบในสถานะการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานดังกล่าวเพื่อปกป้องอัลอิสลามอย่างแน่นอน
บิดาจึงเข้าเป็นทหารอาสาสมัครร่วมรบในสงครามโลกดังกล่าว ซึ่งท่านจะต้องเสียสละค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับภาระกิจนั้น หลังจากทำการฝึกขั้นพื้นฐานในค่ายทหารที่อยู่ใกล้ ๆ กลุ่มทหารของจึงมุ่งไปประจำการอยู่ทางเขตชายแดนที่ติดกับรัสเซียและเขตทะเลดำ
การเข้าร่วมสงครามของบิดาในครั้งนั้น มีความล้มเหลว บิดากล่าวกับฉันว่า "ฉันตั้งใจที่จะออกรบในสงครามดังกล่าว เพื่อให้บรรลุถึงการญิฮาดที่อัลเลาะฮ์จักทรงตอบแทนความดีแก่ฉัน แต่ทว่าฉันได้ประสบกับสิ่งตรงกันข้ามตามที่ได้หวังไว้ เนื่องจากดังกล่าวทำให้ฉันบกพร่องต่อภาระหน้าที่สำคัญอันยิ่งยวดในการทำอิบาดะฮ์ หัวหน้าทหารของพวกเราไม่เปิดโอกาสให้ฉันทำการละหมาดและพยายามห้ามปรามให้ฉันทำการดำรงละหมาดซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักของศาสนา ดังกล่าว จึงเป็นสิ่งที่ทำให้ฉันต้องกล่าวกับเขาว่า
"ฉันไม่ใช่ทหารประจำการในค่ายของท่าน แต่ฉันเป็นเพียงทหารอาสาสมัครเพื่อดำรงไว้ซึ่งภาระหน้าที่ของฉันในการญิฮาดและแบกรับค่าใช้จ่ายเอง โดยไม่ขอการตอบแทนบุญคุณจากพวกท่าน เพื่อแสวงหาความพึงพอพระทัยของอัลเลาะฮ์ อัซซะวะญัลล่า ดังนั้น ด้วยสิทธิอันใดหรือที่ท่านจะมาห้ามการปฏิบัติสิ่งที่อัลเลาะฮ์ทรงบัญชาใช้? "
บิดาได้เล่าถึงพฤติกรรมของบรรดาทหารว่า พวกเขาห่างไกลจากการดำรงไว้ซึ่งคุณธรรม ละเมิดในความชั่วต่าง ๆ ซึ่งบางครั้งก็กระทำสิ่งอันน่ารังเกียจ,,, บิดากล่าวอีกว่า บางครั้งฉันถามทหารคนหนึ่งเกี่ยวกับชื่อของท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ ที่ถูกส่งมาจากอัลเลาะฮ์ แต่เขาตอบว่าไม่รู้!! ฉันไม่รู้ว่าจะใช้เวลาอาสาสมัครเป็นทหารอีกนานเท่าไหร่ แต่ฉันรู้ว่า ความหวังในชัยชนะสงครามดังกล่าวนั้นมีความขมขื่น ฉันมั่นใจว่าค่อลิฟะฮ์อิสลามต้องล่มสลาย เพราะทหารไม่ดำรงไว้ซึ่งคุณธรรมและไร้พฤติกรรมที่ดีงาม
สำหรับความป่าเถื่อนที่เราได้ทนทุกข์ในสงครามดังกล่าวนั้น บิดา (ร่อฮิมะฮุลลอฮ์) กล่าวว่า "เราได้มุ่งหน้าประจำการที่ชายแดนรัสเซียในช่วงฤดูหนาว โดยที่ทหารไม่ได้ยื่นมือให้ความช่วยเหลือแก่เราในเรื่องของเครื่องนุ่งห่มอย่างเพียงพอเพื่อบรรเทาความเหน็บหนาวและหิมะที่ก่อตัวขึ้น ฉันเองก็มีเพียงแค่เสื้อกันหนาวหนา ๆ เพียงตัวเดียวที่ใช้สวมใส่ในยามกลางวันและกลางคืน ซึ่งบางครั้งฉันจำเป็นต้องให้ผู้อื่นที่มีความต้องการมากกว่ายืมเสื้อกันหนาว จนกระทั่งฉันไม่มีเสื้อหนาวและผ้าห่มเลย" บิดากล่าวอีกว่า "โรคโรมาติซึ่มนั้นทำให้ฉันต้องทนทุกข์มาเป็นระยะเวลานาน เนื่องจากสาเหตุของความหนาวเหน็บในช่วงสงครามท่ามกลางหิมะซึ่งสองเท้าของฉันต้องจมอยู่ในหิมะเป็นเวลาหลายชั่วโมงในระหว่างการเดินทาง"
Re: บรรดานักปราชญ์ของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ (พร้อมรูปภาพ) By: al-azhary Date: มิ.ย. 21, 2007, 01:57 AM
เข้าสู่ชีวิตการแต่งงานฉันไม่ทราบว่าบิดาแต่งงานก่อนเข้าร่วมรบในสงครามโลกหรือหลังจากที่กลับมาแล้ว แต่ที่สำคัญในช่วงระยะเวลานี้ บิดาได้เปลี่ยนจากสถานะภาพโสดไปสู่ชีวิตการแต่งงาน บิดาได้สู่ขอผู้หญิงคนหนึ่งที่เป็นเครือญาติ ซึ่งนางคือบิดาของฉันที่มีนามว่า มันญีย์ และฉันไม่ค่อยทราบสักเท่าไหร่เกี่ยวกับเรื่องราวการสู่ขอและการแต่งงานของบิดา แต่มารดาของฉันได้เคยเล่าถึงบุคลิกในช่วงวัยหนุ่งของบิดา
ให้ฉันฟัง ปรากฏว่าปัจจัยสำคัญที่ทำให้มารดามีความประทับใจบิดาในวันที่เข้ามาสู่ขอนั้น คือบิดามีความเอาจริงเอาจังในเรื่องของศาสนาเป็นเลิศ ซึ่งเป็นบ่อเกิดของความพึงพอใจและความใฝ่ฝันของนาง และมารดายิ่งให้ความประทับใจบิดาเป็นพิเศษ ก็ตอนที่บิดาชอบนั่งในสถานที่โล่งใกล้ ๆ บ้านเป็นเวลานาน โดยทำการอ่านอัลกุรอานและอ่านบทซิกรุลลอฮ์ในชีวิตการแต่งงานนั้น บางครั้งสิ่งสำคัญที่ทำให้บิดาและมารดาของฉันมีความกังวลก็คือ ทั้งสองยังไม่มีลูกชาย หลังจากนั้นทั้งสองก็ได้ลูกชายคนหนึ่งแต่ทว่าความตายได้พรากเขาจากทั้งสอง และในขณะที่ทั้งสองได้ให้กำเนิดบุตรชายอีกคน - ซึ่งฉันไม่รู้ว่าได้บุตรชายคนนี้ได้กำเหนิดหลังจากแต่งงานมาแล้วกี่ปี - ซึ่งบุตรชายผู้นั้นก็คือผู้ที่เขียนหนังสือนี้(คือท่านชัยค์สะอีด ร่อมะฏอน อัลบูฏีย์นั่นเอง) บิดาได้อุ้มบุตรน้อย(คือท่านชัยค์ มุฮัมมัด สะอีด อัลบูฏีย์เอง) ไปให้บรรดาอาจารย์คนหนึ่งของท่าน ซึ่งบิดานั้นได้ให้เกียรติและเชื่อมั่นถึงความมีคุณธรรมของเขา อาจารย์ท่านนั้นคือ ท่านชัยค์ สะอีด ผู้โด่งดังด้วยฉายาเรียกที่ว่า "ชัยค์ ซัยยิดา" ปรากฏว่าเขาได้ทำการขอดุอาอ์ให้แก่ฉันและทำการเปิดปากฉัน และชัยค์ได้ขอให้บิดาตั้งชื่อตั้งชื่อฉันเหมือนกับเขา ดังนั้นบิดาจึงตั้งชื่อฉันว่า "มุฮัมมัด สะอีด" ทั้งที่บิดาของต้องการที่จะตั้งชื่อฉันว่า "มุฮัมมัด ฟะฏีล"
Re: บรรดานักปราชญ์ของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ (พร้อมรูปภาพ) By: almadany Date: มิ.ย. 30, 2007, 10:41 PM
ปรากฏว่าปัจจัยสำคัญที่ทำให้มารดามีความประทับใจบิดาในวันที่เข้ามาสู่ขอนั้น คือบิดามีความเอาจริงเอาจังในเรื่องของศาสนาเป็นเลิศ ซึ่งเป็นบ่อเกิดของความพึงพอใจและความใฝ่ฝันของนาง และมารดายิ่งให้ความประทับใจบิดาเป็นพิเศษ ก็ตอนที่บิดาชอบนั่งในสถานที่โล่งใกล้ ๆ บ้านเป็นเวลานาน โดยทำการอ่านอัลกุรอานและอ่านบทซิกรุลลอฮ์[/b]
ชั่งน่าชื่นชมที่มารดาของท่านบูฏี....ที่พอใจและประทับใจที่จะเลือกสามี...อันมาจากสาเหตุเพราะนางพึงพอใจและใฝ่ฝันผู้ที่เอาจริงเอาจังเรื่องศาสนา....ฉะนั้นหากนางพอใจเลือกผู้เอาจริงเอาจังในเรื่องศาสนา...นางก็จะได้รับความดีงามของสามีที่มีความเคร่งครัดศาสนา......แต่หากผู้หญิงคนหนึ่งชอบผู้ชายเพราะร่ำรวยมีเงินใช้สอยสบาย....นางก็จะได้มีความสุขกับเงินตามที่นางต้องการ....หากผู้หญิงคนหนึ่งชอบผู้ชายที่ความหล่อ...นางก็จะได้แค่ความหล่อของสามีไปครอง.....แต่พอเงินมีความสุขกับเงินโดยสามีไม่ค่อยมีศาสนา...ทุกข์เริ่มตามมา.....ชอบคนหล่อพอแก่ตัวลงความหล่อก็หายหล่อแต่ไม่ละหมาดไม่เคร่งครัดในศาสนาทุกข์ก็ตามมา.....แต่บางคนชอบทั้งคนหล่อ...ที่มีศาสนาและร่ำรวย....อันนี้หายากครับ....แต่อย่างไรก็ตามผมเลือกผู้หญิงที่มีความเอาใจใส่ศาสนา....