Re: นี้คือหนังสือโต้วะฮาบีประพันธ์โดยอุลามาอฺมัสยิดฮะรอมที่เป็นชาวไทยยุคก่อน By: GeT Date: ส.ค. 18, 2009, 04:27 PM
จริงอยู่ที่ประเด็นฟิกฮฺบางเรื่อง แค่ประเด็นเดียวก็มีหลากหลายทัศนะ แต่ก็ใช่ว่า ทุกทัศนะจะเป็นที่อนุญาตให้ปฏิบัติได้หมด แม้ทัศนะนั้นจะแข็งก็ตาม ทั้งนี้ทั้งนั้น จะอนุญาตให้เขาหันไปปฏิบัติด้วยกับอีกทัศนะหนึ่งได้ ก็ต่อเมื่อเขาได้อยู่ในบริบท เงื่อนไข และสภาวะตามที่เอื้ออำนวย หรือจำเป็น หรือเข้าตามเกณฑ์ที่กำหนดของทัศนะนั้นๆ พอดี เขาก็สามารถที่จะปฏิบัติอีกทัศนะหนึ่งเมื่อเขาต้องการ แต่ถ้าหากเขาไม่ได้อยู่เกณฑ์ข้างต้น การที่เขาคงอยู่ในทัศนะเดิมย่อมเป็นการสมควรกว่า และไม่อนุญาตให้เขาปฏิบัติตามอีกทัศนะเพราะมองว่าอีกทัศนะหนึ่งมันตรงกับอารมณ์ของตน หรือมันสร้างความง่ายดายแก่ตนเอง ทั้งๆ ที่ตนไม่ได้เข้าอยู่ในเกณฑ์ที่กำหนดไว้เลย ดังนั้น จึงเป็นที่ต้องห้าม (หะรอม) ที่จะเขาปฏิบัติเช่นนั้น เพราะถือว่าเขากำลังศาสนาให้เป็นของเล่นสำหรับเสียแล้ว - วัลอิยาฑุบิลลาฮฺ - วัสสลามุอลัยกุม
แสดงว่า ถ้าเขาปฏิบัติตามอีกทัศนะหนึ่ง ไม่ใช่เพราะตรงกับอารมณ์ของตน หรือสร้างความง่ายดายแก่ตน แต่เพราะเขาเห็นว่าอีกทัศนะมีหลักฐานที่แน่นกว่า และใกล้เคียงกับความถูกต้องมากกว่า ซึ่งบางครั้งอาจจะลำบากกว่าทัศนะเดิมด้วยซ้ำ แบบนี้ถือว่าอนุญาตใช่หรือไม่ใช่
Re: นี้คือหนังสือโต้วะฮาบีประพันธ์โดยอุลามาอฺมัสยิดฮะรอมที่เป็นชาวไทยยุคก่อน By: คนอยากรู้ Date: ส.ค. 18, 2009, 04:55 PM
ข้อความโดย: GeT
ใส่การอ้างถึงคำพูด
อ้างจาก: Al Fatoni ที่ วันนี้ เวลา 03:08 pm
จริงอยู่ที่ประเด็นฟิกฮฺบางเรื่อง แค่ประเด็นเดียวก็มีหลากหลายทัศนะ แต่ก็ใช่ว่า ทุกทัศนะจะเป็นที่อนุญาตให้ปฏิบัติได้หมด แม้ทัศนะนั้นจะแข็งก็ตาม ทั้งนี้ทั้งนั้น จะอนุญาตให้เขาหันไปปฏิบัติด้วยกับอีกทัศนะหนึ่งได้ ก็ต่อเมื่อเขาได้อยู่ในบริบท เงื่อนไข และสภาวะตามที่เอื้ออำนวย หรือจำเป็น หรือเข้าตามเกณฑ์ที่กำหนดของทัศนะนั้นๆ พอดี เขาก็สามารถที่จะปฏิบัติอีกทัศนะหนึ่งเมื่อเขาต้องการ แต่ถ้าหากเขาไม่ได้อยู่เกณฑ์ข้างต้น การที่เขาคงอยู่ในทัศนะเดิมย่อมเป็นการสมควรกว่า และไม่อนุญาตให้เขาปฏิบัติตามอีกทัศนะเพราะมองว่าอีกทัศนะหนึ่งมันตรงกับอารมณ์ของตน หรือมันสร้างความง่ายดายแก่ตนเอง ทั้งๆ ที่ตนไม่ได้เข้าอยู่ในเกณฑ์ที่กำหนดไว้เลย ดังนั้น จึงเป็นที่ต้องห้าม (หะรอม) ที่จะเขาปฏิบัติเช่นนั้น เพราะถือว่าเขากำลังศาสนาให้เป็นของเล่นสำหรับเสียแล้ว - วัลอิยาฑุบิลลาฮฺ - วัสสลามุอลัยกุม
แสดงว่า ถ้าเขาปฏิบัติตามอีกทัศนะหนึ่ง ไม่ใช่เพราะตรงกับอารมณ์ของตน หรือสร้างความง่ายดายแก่ตน แต่เพราะเขาเห็นว่าอีกทัศนะมีหลักฐานที่แน่นกว่า และใกล้เคียงกับความถูกต้องมากกว่า ซึ่งบางครั้งอาจจะลำบากกว่าทัศนะเดิมด้วยซ้ำ แบบนี้ถือว่าอนุญาตใช่หรือไม่ใช่
[/b] [/color]
ครับ..ถือว่าไม่เป็นไร...ถ้าจะกระทำเช่นนั้น
แต่การเลือกปฏิบัติตมทัศนะใดๆนั้นจำเป็นเขาต้องเรียนรู้ในมัสหับนั้นๆเสียก่อน ....ไม่ใช่ถือ เอาความสะดวกบวกกับอารมคล้อยตามกับสิ่งนั้นว่า มันง่ายกว่า โดยเอาความง่ายนั้นไปห้อยติดกับหลักฐานที่ตนคิดว่า นี่แหละใช่เลย
ฉนั้น ความถูกต้องนั้น จะไปยึดว่าของฉันยึดนี้ถูกแน่ นั้นก็เท่ากับว่า อีกทัศนะหนึ่งที่ผู้อื่นปฏิบัตอยู่ก็ถือว่าผิดใช่หรือไม่ใช่ครับ
และการที่คิดว่าอีกทัศนะหนึ่งมีความลำบาก แล้วนั้นคือ สิ่งที่ผิด กับหลักฐาน ถ้าคิดอย่างนี้ถือว่า เป้นสิ่งไม่ถูกต้องแน่
เพราะซอฮาบะยังมีการวินิจฉัยจากตัวบทเดียวกันแตกกลับปฏิบัติที่แตกต่างกันก็มีมากมาย
ขนาดท่าน อิบนุ อัล-ก๊อยยิม ยังยอมรับ และกล่าวเกี่ยวกับสิทธิของคนมุก๊อลลิตหรือคนเอาวามทั่วไปว่า
وقد ذم الله سبحانه من أعرض عما أنزله إلى تقليد الأباء، وهذا القدر من التقليد هو مما إتفق السلف، والأئمة الأربعة على ذمه وتحريمه، وأما تقليد من بذل جهده فى إتباع ما أنزل الله، وخفى عليه بعضه ، فقلد فيه من هو أعلم منه، فهذا محمود غير مذموم ، ومأجور غير مأزور
ความว่า" แท้จริง อัลเลาะฮฺ(ซ.บ.) ทรงตำหนิ ผู้ที่หันเหออกจากสิ่งที่อัลเลาะฮฺทรงประทานมา ไปยังการตักลีดตามบรรดาบรรพบุรุษ และขนาดจากการตักลีดแบบนี้ คือสิ่งที่บรรดานักปราชญ์สะลัฟ และอิมามทั้งสี่ ได้มีมติเห็นพร้องว่า เป็นสิ่งที่น่าตำหนิและต้องห้าม สำหรับการตักลีดตามนักปราชญ์ผู้ที่ทุ่มเทความพยายาม(วินิจฉัย)ของเขา ในการตามสิ่งที่อัลเลาะฮฺทรงประทานลงมา โดยที่มีบางประเด็นที่ซ่อนเร้น(ไม่ค่อยเข้าใจ)สำหรับเขา(คนเอาวาม) แล้วเขาก็ได้ทำการตักลีดในมัน(ในสิ่งที่อุลามาอฺได้วินิจฉัยทุ่มเทจากอัลกุรอาน) กับผู้ที่มีความรอบรู้มากกว่า แน่นอน กรณีนี้ ย่อมเป็นสิ่งที่ได้รับการสรรญเสริญ ไม่ถูกตำหนิ และได้รับการตอบแทน โดยที่ไม่ได้รับบาปแต่อย่างใด " ดู เอี๊ยะลาม อัลมุวักกิอีน เล่ม 2 หน้า 177
Re: นี้คือหนังสือโต้วะฮาบีประพันธ์โดยอุลามาอฺมัสยิดฮะรอมที่เป็นชาวไทยยุคก่อน By: Al Fatoni Date: ส.ค. 18, 2009, 05:12 PM
จริงอยู่ที่ประเด็นฟิกฮฺบางเรื่อง แค่ประเด็นเดียวก็มีหลากหลายทัศนะ แต่ก็ใช่ว่า ทุกทัศนะจะเป็นที่อนุญาตให้ปฏิบัติได้หมด แม้ทัศนะนั้นจะแข็งก็ตาม ทั้งนี้ทั้งนั้น จะอนุญาตให้เขาหันไปปฏิบัติด้วยกับอีกทัศนะหนึ่งได้ ก็ต่อเมื่อเขาได้อยู่ในบริบท เงื่อนไข และสภาวะตามที่เอื้ออำนวย หรือจำเป็น หรือเข้าตามเกณฑ์ที่กำหนดของทัศนะนั้นๆ พอดี เขาก็สามารถที่จะปฏิบัติอีกทัศนะหนึ่งเมื่อเขาต้องการ แต่ถ้าหากเขาไม่ได้อยู่เกณฑ์ข้างต้น การที่เขาคงอยู่ในทัศนะเดิมย่อมเป็นการสมควรกว่า และไม่อนุญาตให้เขาปฏิบัติตามอีกทัศนะเพราะมองว่าอีกทัศนะหนึ่งมันตรงกับอารมณ์ของตน หรือมันสร้างความง่ายดายแก่ตนเอง ทั้งๆ ที่ตนไม่ได้เข้าอยู่ในเกณฑ์ที่กำหนดไว้เลย ดังนั้น จึงเป็นที่ต้องห้าม (หะรอม) ที่จะเขาปฏิบัติเช่นนั้น เพราะถือว่าเขากำลังศาสนาให้เป็นของเล่นสำหรับเสียแล้ว - วัลอิยาฑุบิลลาฮฺ - วัสสลามุอลัยกุม
แสดงว่า ถ้าเขาปฏิบัติตามอีกทัศนะหนึ่ง ไม่ใช่เพราะตรงกับอารมณ์ของตน หรือสร้างความง่ายดายแก่ตน แต่เพราะเขาเห็นว่าอีกทัศนะมีหลักฐานที่แน่นกว่า และใกล้เคียงกับความถูกต้องมากกว่า ซึ่งบางครั้งอาจจะลำบากกว่าทัศนะเดิมด้วยซ้ำ แบบนี้ถือว่าอนุญาตใช่หรือไม่ใช่
คำตอบก็คือ สิ่งที่ตรงข้ามกับประโยคสีแดงที่บังเกททำไว้นั่นแหละครับ - วัลลอฮุอะอฺลัม - วัสสลามุอลัยกุม
Re: นี้คือหนังสือโต้วะฮาบีประพันธ์โดยอุลามาอฺมัสยิดฮะรอมที่เป็นชาวไทยยุคก่อน By: subson Date: ส.ค. 18, 2009, 05:32 PM
ฉนั้น ความถูกต้องนั้น จะไปยึดว่าของฉันยึดนี้ถูกแน่ นั้นก็เท่ากับว่า อีกทัศนะหนึ่งที่ผู้อื่นปฏิบัตอยู่ก็ถือว่าผิดใช่หรือไม่ใช่ครับ*********************
คุนครับ ไม่ได้หมายความอย่างนั้นนะครับคุนคิดมากไปเองหรือปล่าว
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
และ
การที่คิดว่าอีกทัศนะหนึ่งมีความลำบาก แล้วนั้นคือ สิ่งที่ผิด กับหลักฐาน ถ้าคิดอย่างนี้ถือว่า เป้นสิ่งไม่ถูกต้องแน่
เพราะซอฮาบะยังมีการวินิจฉัยจากตัวบทเดียวกันแตกกลับปฏิบัติที่แตกต่างกันก็มีมากมาย
*************************************
คุนครับ อันนี้คุนก้คิดไปเองอีกแล้วนะครับ คุนคิดแทนคนอื่นโดยที่คนอื่นไม่ได้คิดอย่างที่คุนว่ามามันคืออะไรครับคุนก็น่าจะรู้ ที่คุนเปรียบเทียบเรื่องซอฮาบะนั้น ในเรื่องนั้นมีจิงแต่ผมว่าคุนโยงผิดเรื่องนะ มันไม่เกี่ยวกัน
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ขนาดท่าน อิบนุ อัล-ก๊อยยิม ยังยอมรับ และกล่าวเกี่ยวกับสิทธิของคนมุก๊อลลิตหรือคนเอาวามทั่วไปว่า
وقد ذم الله سبحانه من أعرض عما أنزله إلى تقليد الأباء، وهذا القدر من التقليد هو مما إتفق السلف، والأئمة الأربعة على ذمه وتحريمه، وأما تقليد من بذل جهده فى إتباع ما أنزل الله، وخفى عليه بعضه ، فقلد فيه من هو أعلم منه، فهذا محمود غير مذموم ، ومأجور غير مأزور
ความว่า" แท้จริง อัลเลาะฮฺ(ซ.บ.) ทรงตำหนิ ผู้ที่หันเหออกจากสิ่งที่อัลเลาะฮฺทรงประทานมา ไปยังการตักลีดตามบรรดาบรรพบุรุษ และขนาดจากการตักลีดแบบนี้ คือสิ่งที่บรรดานักปราชญ์สะลัฟ และอิมามทั้งสี่ ได้มีมติเห็นพร้องว่า เป็นสิ่งที่น่าตำหนิและต้องห้าม สำหรับการตักลีดตามนักปราชญ์ผู้ที่ทุ่มเทความพยายาม(วินิจฉัย)ของเขา ในการตามสิ่งที่อัลเลาะฮฺทรงประทานลงมา โดยที่มีบางประเด็นที่ซ่อนเร้น(ไม่ค่อยเข้าใจ)สำหรับเขา(คนเอาวาม) แล้วเขาก็ได้ทำการตักลีดในมัน(ในสิ่งที่อุลามาอฺได้วินิจฉัยทุ่มเทจากอัลกุรอาน) กับผู้ที่มีความรอบรู้มากกว่า แน่นอน กรณีนี้ ย่อมเป็นสิ่งที่ได้รับการสรรญเสริญ ไม่ถูกตำหนิ และได้รับการตอบแทน โดยที่ไม่ได้รับบาปแต่อย่างใด " ดู เอี๊ยะลาม อัลมุวักกิอีน เล่ม 2 หน้า 177
***************************************
ครับ เห็นด้วย สำหรับผู้ไม่มีความรู้ แต่สำหรับผุ้รู้ไม่สมควรนะครับที่จะตามโดยไม่สนใจใครจะว่ายังไงฮาดิษว่ายังไงไม่เอา จะตามอย่างเดียว อันนี้ไม่ถูกใช่มั้ยครัย
Re: นี้คือหนังสือโต้วะฮาบีประพันธ์โดยอุลามาอฺมัสยิดฮะรอมที่เป็นชาวไทยยุคก่อน By: Al Fatoni Date: ส.ค. 18, 2009, 06:08 PM
ผู้ที่ไม่รู้ โปรดถามในสิ่งที่ตนไม่รู้เพื่อให้ได้คำตอบจนมีความเข้าใจ แต่หากคิดว่าจะถามเพื่อสร้างความปั่นป่วน สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับท่านคือ การนิ่งเงียบเสีย มิฉะนั้น ท่านอาจจะได้ความเสียหายบางประการจากการไม่อยู่นิ่งของท่านเอง - วัลลอฮุอะอฺลัม - วัสสลามุอลัยกุม
Re: นี้คือหนังสือโต้วะฮาบีประพันธ์โดยอุลามาอฺมัสยิดฮะรอมที่เป็นชาวไทยยุคก่อน By: เหรียญ 2 ด้าน Date: ส.ค. 18, 2009, 06:11 PM
salam
ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งกับคุณ Al Fatoni
Re: นี้คือหนังสือโต้วะฮาบีประพันธ์โดยอุลามาอฺมัสยิดฮะรอมที่เป็นชาวไทยยุคก่อน By: subson Date: ส.ค. 18, 2009, 06:28 PM
เขาเหล่านั้นต่างหลอกลวงอัลลอฮฺ และบรรดาผู้ที่ศรัทธา และพวกเขาหาได้หลอกลวงใครไม่ นอกจากตัวของพวกเขาเองเท่านั้น(*1*) แต่พวกเขาไม่รู้สึก
(1) คือการหลอกลวงของพวกเขานั้น หาได้เป็นอันตรายแก่ผู้ใดไม่ นอกจากตัวของพวกเขาเองเท่านั้น เพราะพวกเขาปฏิเสธข้อปฏิบัติที่จะอำนวยประโยชน์แก่ตัวของพวกเขาเองแต่เขาไม่รู้สึก
(2:9)
Re: นี้คือหนังสือโต้วะฮาบีประพันธ์โดยอุลามาอฺมัสยิดฮะรอมที่เป็นชาวไทยยุคก่อน By: al-firdaus~* Date: ส.ค. 18, 2009, 07:07 PM
เขาเหล่านั้นต่างหลอกลวงอัลลอฮฺ และบรรดาผู้ที่ศรัทธา และพวกเขาหาได้หลอกลวงใครไม่ นอกจากตัวของพวกเขาเองเท่านั้น(*1*) แต่พวกเขาไม่รู้สึก
(1) คือการหลอกลวงของพวกเขานั้น หาได้เป็นอันตรายแก่ผู้ใดไม่ นอกจากตัวของพวกเขาเองเท่านั้น เพราะพวกเขาปฏิเสธข้อปฏิบัติที่จะอำนวยประโยชน์แก่ตัวของพวกเขาเองแต่เขาไม่รู้สึก
(2:9)
การยกอายะฮ์อัลกุรอาน เราต้องเข้าใจเป้าหมายของอายะฮ์อัลกุรอานที่ยกมาด้วย
อยากทราบว่าอายะฮ์อัลกุรอานที่ยกมานี้ เกี่ยวพันอย่างไรกับกระทู้นี้ หรือ เกี่ยวพันกับสิ่งใดที่คุณสับสนต้องการสื่อ
แบบว่า งงนิดหน่อยค่ะ... พอจะอธิบายหรือขยายความได้หรือไม่ค่ะ 
Re: นี้คือหนังสือโต้วะฮาบีประพันธ์โดยอุลามาอฺมัสยิดฮะรอมที่เป็นชาวไทยยุคก่อน By: Al Fatoni Date: ส.ค. 18, 2009, 07:39 PM
เขาเหล่านั้นต่างหลอกลวงอัลลอฮฺ และบรรดาผู้ที่ศรัทธา และพวกเขาหาได้หลอกลวงใครไม่ นอกจากตัวของพวกเขาเองเท่านั้น(*1*) แต่พวกเขาไม่รู้สึก
(1) คือการหลอกลวงของพวกเขานั้น หาได้เป็นอันตรายแก่ผู้ใดไม่ นอกจากตัวของพวกเขาเองเท่านั้น เพราะพวกเขาปฏิเสธข้อปฏิบัติที่จะอำนวยประโยชน์แก่ตัวของพวกเขาเองแต่เขาไม่รู้สึก
(2:9)
เศาะดะก็อลลอฮุลอะซีม, สำนวนและความหมายของอัลกุรฺอานช่างล้ำลึกจริงๆ ครับ ย่อมเป็นความจริงอย่างปฏิเสธไม่ได้จริง ที่ผู้ที่ลอกลวงตัวเองนั้น ท้ายสุดก็ไม่มีใครได้รับอันตรายใด นอกจากตัวเขาเองครับ ญซากัลลอฮุค็อยร็อน สำหรับคุณสับสนครับ ที่เตือนสติพวกเราและตัวท่านเองด้วย ขออัลลอฮฺ ทรงทำให้พวกเราเข้าใจในพระคำแห่งพระองค์ด้วยเถิด และได้โปรดหักห้ามพวกเราจากการเอาโองการแห่งพระองค์เพื่อยังความไม่พอใจแก่ผู้อื่น โดยที่เราเองหาได้เลี่ยวแลมองดูตัวเองก่อนเลย นอกเสียจากพวกเขาต้องการการตักเตือนด้วยโองการแห่งพระองค์จริงๆ และได้โปรดให้พวกเราได้ตักเตือนพวกเราด้วยโองการแห่งพระองค์ โดยที่เราเองได้เข้าใจและได้ปฏิบัติตามมันด้วยเถิด - อามีน - ยา ร็อบบัลอาละมีน - วัสสลามุอลัยกุม
Re: นี้คือหนังสือโต้วะฮาบีประพันธ์โดยอุลามาอฺมัสยิดฮะรอมที่เป็นชาวไทยยุคก่อน By: subson Date: ส.ค. 18, 2009, 08:41 PM
โองการที่ว่านั้นจะทำให้เรารู้สึกจิตใจสงบ เพราะการหลอกลวงของใครบางคนนั้นก็เท่ากับว่าเขาได้หลอกลวงตัวเอง ไม่ได้เป็นอันตรายแก่ผู้ใด
เมื่อย้อนไปดูโองการก่อนหน้านี้ ทำให้เรารู้เลยว่า โองการนี้ ถูกส่งมาเพื่ออธิบายพฤติกรรมของพวกมูนาฟิก ขอยกโองการก่อนหน้านี้ดังนี้ครับ
7. อัลลอฮฺได้ทรงประทับตราบนหัวใจของพวกเขา และบนหูของพวกเขาแล้ว และบนตาของพวกเขาก็มีสิ่งบดบังอยู่(*1*)และเขาเหล่านั้น จะได้รับการลงโทษอันมหันต์
(1) เป็นการเปรียบเทียบผู้ปฏิเสธศรัทธาว่า พวกเขาประหนึ่งผู้ที่หัวใจและหูของเขาถูกปิดผนึกไว้ เพราะการที่ไม่ยอมเข้าใจ และสดสับฟังความจริงที่มาจากพระเจ้าของเขานั้น ย่อมไม่แตกต่างกับหัวใจและหูที่ถูกปิดผนึกไว้แต่อย่างใด เพราะต่างก็ไม่ได้รับแสงสว่างจากอัลลอฮฺเช่นเดียวกัน และตาของพวกเขาที่ไม่ใช้มองในสิ่งที่อำนวยประโยชน์ ก็ไม่แตกต่างกับตาที่มีสิ่งปกคลุมอยู่แต่อย่างใ
8. และจากหมู่ชนนั้น มีผู้กล่าว่า เราได้ศรัทธาต่ออัลลอฮฺ และวันปรโลกแล้ว ทั้ง ๆ ที่พวกเขาหาใช่เป็นผู้ศรัทธาไม่(*1*)
(1) หมายถึงพวกมุนาฟิกที่ศรัทธาแต่เพียงคำพูด แต่หัวใจปฏิเสธ
9. เขาเหล่านั้นต่างหลอกลวงอัลลอฮฺ และบรรดาผู้ที่ศรัทธา และพวกเขาหาได้หลอกลวงใครไม่ นอกจากตัวของพวกเขาเองเท่านั้น(*1*) แต่พวกเขาไม่รู้สึก
(1) คือการหลอกลวงของพวกเขานั้น หาได้เป็นอันตรายแก่ผู้ใดไม่ นอกจากตัวของพวกเขาเองเท่านั้น เพราะพวกเขาปฏิเสธข้อปฏิบัติที่จะอำนวยประโยชน์แก่ตัวของพวกเขาเองแต่เขาไม่
10. ในหัวใจของพวกเขามีโรคอย่างหนึ่ง(*1*) แล้วอัลลอฮฺได้ทรงเพิ่มโรคอีกอย่างหนึ่ง(*2*) ให้แก่พวกเขา และพวกเขาจะได้รับการนลงโทษอันเจ็บแสบเนื่องจากการที่พวกเขากล่าวเท็จ
(1) โรคแห่งความสงสัย
(2) โรคแห่งความดื้อดัน และปฏิเสธศรัทธา
11. และเมื่อได้ถูกกล่าวแก่พวกเขาว่า พวกท่านจงอย่าก่อความเสียหาแก่แผ่นดิน ซิ พวกเขาก็กล่าวว่า ที่จริงนั้น เราเป็นผู้ปรับปรุงให้ดีต่างหาก(*1*)
(1) เป็นการกล่าวแก้ที่แสดงออกซึ่งความดื้อดัน และมีทิฐิ
12. พึงรู้เถอะว่าแท้จริงพวกเขานั่นแหละ เป็นผู้ที่ก่อความเสียหาย(*1*) แต่ทว่าพวกเขาไม่รู้สึก
(1) เพราะพวกเขาประพฤติ และปฏิบัติตามความใคร่ใฝ่ต่ำ จึงก่อให้เกิดความเสียหาย แต่เนื่องจากหัวใจของพวกเขาบอดเสียแล้วพวกเขาจึงไม่รู้สึก
13. และเมื่อได้ถูกล่าวแก่พวกเขาว่า พวกท่านจงศรัทธาเยี่ยงที่ประชาชน(*1*) เขาศรัทธากันซิ พวกเขาก็กล่าวว่า จะให้เราศรัทธาเยี่ยงผู้โฉดเขลาเหล่านั้นศรัทธากัน(*2*) กระนั่นหรือ? พึงรู้เถิดว่าพวกเขาเองนั่นแหละเป็นผู้ที่โฉดเขลาแต่พวกเขาหารู้ไม่
(1) หมายถึงผู้ที่ศรัทธาด้วยใจจริง
(2) หมายถึงผู้ที่ศรัทธาต่อท่านนะบีมูฮัมมัด กล่าวคือ พวกมุนาฟิกนั้น เมื่อได้รับคำเชิญชวนให้ศรัทธาต่อท่านนะบี เช่นเดียวกับผู้ศรัทธาทั้งหลาย พวกเขากลับว่า ผู้ศรัทธาทั้งหลายนั้นเป็นพวกเขลาทั้งนั้น จะให้พวกเขาศรัทธาเช่นพวกเหล่านั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้
14. และเมื่อพวกเขาพบบรรดาผู้ศรัทธาพวกเขาก็กล่าวว่า เราศรัทธาแล้ว และเมื่อพวกเขาได้ร่วมอยู่กับบรรดาหัวใจพวกเขาแต่ลำพัง พวกเขาก็กล่าวว่า แท้จริงเรายังอยู่กับพวกท่าน ที่จริงเราเป็นแต่เพียงผู้เย้ยหยันเท่านั้น(*1*)
(1) คือเย้ยหยันผู้ศรัทธา ด้วยการแสดงตนว่าเป็นผู้ศรัทธา ทั้ง ๆ ที่พวกเขาไม่ได้ศรัทธาแต่อย่างใด
15. อัลลอฮฺจะทรงเย้ยหยันพวกเขา และจะทรงยืดเวลาให้พวกเขาระเหเร่ร่อนอยู่ในการละเมิดของพวกเขาต่อไป(*1*)
(1) อัลลอฮฺจะไม่ทรงลงโทษในทันทีทันใด แต่จะทรงปล่อยให้พวกเขาระเริงอยู่ในการละเมิดต่อไป จนกระทั่งทรงเห็นว่าได้เวลาอันสมควรแล้ว ก็จะทรงลงโทษ และผู้ใดที่อัลลอฮฺทรงลงโทษแล้วก็ไม่มีใครจะช่วยเขาได้
Re: นี้คือหนังสือโต้วะฮาบีประพันธ์โดยอุลามาอฺมัสยิดฮะรอมที่เป็นชาวไทยยุคก่อน By: wahaba Date: ส.ค. 18, 2009, 09:45 PM
วะฮาบี๋ มีความรู้ระดับตัฟซีรกันทุกคนเรย

Re: นี้คือหนังสือโต้วะฮาบีประพันธ์โดยอุลามาอฺมัสยิดฮะรอมที่เป็นชาวไทยยุคก่อน By: ILHAM Date: ส.ค. 18, 2009, 10:57 PM
ตัฟซีรไม่พอ มีอำนาจสั่งคนลงนรกด้วย
Re: นี้คือหนังสือโต้วะฮาบีประพันธ์โดยอุลามาอฺมัสยิดฮะรอมที่เป็นชาวไทยยุคก่อน By: subson Date: ส.ค. 19, 2009, 07:27 AM
ตัฟซีรไม่พอ มีอำนาจสั่งคนลงนรกด้วย
***********************
หากคุนเชื่ออย่างนั้นจริง คุนกำลังสร้าง หายนะให้กับตัวเอง
ไม่มีใครมีอำนาจควบคู่ไปกับอัลลอฮ(ซบ) หากเชื่อเช่นนั้น แสดงว่าภาคี
"เว้นแต่ผุ้ที่พระเจ้าของเจ้ามีเมตตา(*1*) และเช่นนั้นแหละพระองค์ทรงบังเกิดพวกเขาและลิขิตของพระเจ้า ทรงกำหนดไว้สมบูรณ์แล้ว แน่นอนข้าจะให้นรกนั้นเต็มไปด้วยพวกญินและมนุษย์ทั้งหมด(*2*) "
(1) คือมนุษย์นั้นยังคงแตกแยกออกเป็นศาสนาต่างๆ และลัทธิมากมาย เช่น ยะฮูดี นัศรอนี และมะญซี เป็นต้น เว้นแต่บุคคลที่อัลลอฮ์ตะอาลา ทรงฮิดายะฮ์ให้ด้วยความโปรดปรานของพระองค์ คือผู้ที่ยึดมั่นอยู่ในสัจธรรม
(2) คือพระองค์จะทรงทำให้นรกนั้นเต็มไปด้วยพวกญินและมนุษย์ที่เป็นคนดื้อดึง ปฏิเสธศรัทธาและพวกกระทำความชั่วที่เป็นลูกน้องอิบลิส
Re: นี้คือหนังสือโต้วะฮาบีประพันธ์โดยอุลามาอฺมัสยิดฮะรอมที่เป็นชาวไทยยุคก่อน By: ILHAM Date: ส.ค. 19, 2009, 09:57 AM
ประชดครับพี่น้อง ก็เห็นมันชอบฮูกมคนลงนรกนิ
ใครเชื่ออย่างนั้นก็บ้าแล้ว
Re: นี้คือหนังสือโต้วะฮาบีประพันธ์โดยอุลามาอฺมัสยิดฮะรอมที่เป็นชาวไทยยุคก่อน By: Al Fatoni Date: ส.ค. 19, 2009, 11:27 AM
คุยกันดีๆ นะครับพี่น้อง - วัสสลาม