ปริศนา "เมฆจานบิน" กับ "หินเดินได้" By: nada-yoru Date: ต.ค. 05, 2009, 01:19 AM
salam
ขอนำเสนอเรื่องราวของปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ
ที่น่าอัศจรรย์ยิ่ง และยังคงเป็นปริศนาให้เราได้ศึกษา
และพิจารณาถึงการสร้างสรรค์อันแสนวิจิตรกันต่อไป
"ปริศนาเมฆจานบิน"
โดย:บัญชา ธนบุญสมบัติ
* บทความนี้จะได้รับการตีพิมพ์ในหนังสือ "รื่นรมย์ ชมเมฆ"
ของชมรมคนรักมวลเมฆ*
มีเมฆรูปร่างประหลาดแบบหนึ่งที่เคยทำให้หลายคนเข้าใจผิดคิดว่า
มนุษย์ต่างดาวบุกโลกเข้าให้แล้ว
เมฆแบบนี้มีรูปร่างคล้ายๆ ขนมครก ฝาเดียวบ้าง สองฝาประกบกันบูดๆ เบี้ยวๆ บ้าง

ฝรั่งชาวบ้านเรียกเมฆแบบนี้ว่า เมฆรูปเลนส์ (lenticular cloud)
แต่บ่อยครั้งก็เรียกแบบง่ายๆ ว่า เมฆสิ่งบินลึกลับ (UFO cloud)
เพราะคำว่า UFO มาจาก Unidentifed Flying Object
แต่ผมขอเรียกแบบพี่ไทยว่า เมฆจานบิน ก็แล้วกัน

เมฆจานบินอาจจะเกิดปรากฏการณ์สีรุ้งได้ด้วย
แล้วเมฆจานบินเกิดขึ้นได้ยังไง? ทำไมไม่ค่อยได้เห็น?
"เมฆจานบินนี้เกิดจากการที่กระแสอากาศในแนวระดับเคลื่อนที่ปะทะเนินหรือภูเขา ทำให้อากาศถูกบังคับให้ยกตัวสูงขึ้น แต่เมื่อผ่านเนิน (หรือภูเขา) นั้นไปแล้ว
อากาศก็จะลดต่ำลง มองจากด้านข้างคล้ายๆ เป็นคลื่นกระเพื่อมวิ่งไป"

แผนภาพการเกิดเมฆจานบิน แต่ละเส้นแทนการไหลของกระแสอากาศ
โปรดสังเกตว่าเมฆชนิดนี้เกิดบริเวณยอดคลื่น
"อย่างไรก็ดี ในสภาพจริงนั้น กระแสอากาศจะแบ่งเป็นชั้นๆ ซ้อนกันอยู่
ดังนั้น หากมองในภาพรวม ก็จะพบว่า กระแสอากาศในชั้นล่างๆ
กระเพื่อมมากหน่อย ส่วนชั้นบนกระเพื่อมน้อยกว่า"
อากาศในแต่ละชั้นเมื่อถูกยกให้ลอยสูงขึ้น ก็จะขยายตัวออก
ส่งผลให้มีอุณหภูมิลดลง ผลก็คือ ไอน้ำ (แต่เดิม)
เมื่อลอยสูงขึ้น ก็จะกลั่นตัวเป็นหยดน้ำเล็กๆ เต็มไปหมด
ซึ่งมองโดยภาพรวมก็คือ เมฆ นั่นเอง แต่เมฆที่เกิดขึ้นนี้ถูกกัก
อยู่ในชั้นอากาศที่ว่ามาแล้ว จึงมีรูปร่างออกจะแบนๆ ในแนวดิ่ง
และยืดยาวออกทางด้านข้างโดยรอบ กลายเป็น จานบิน นั่นเอง
"เห็นเมฆจานบินที่ไหน แสดงว่าตรงนั้นเป็นยอดคลื่น
หรือบริเวณที่คลื่นอากาศกระเพื่อมขึ้นสูงสุด
ทำให้อากาศเย็นสุดจนไอน้ำกลั่นตัวเป็นหยด"
เนื่องจากหยดน้ำในเมฆจานบินนี้มักจะมีขนาดเล็กมากๆ และมีขนาดพอๆกัน
ดังนั้น จึงสามารถทำให้แสงสีขาวจากดวงอาทิตย์เกิดการเลี้ยวเบน
แตกออกเป็นสีรุ้งได้โดยง่ายด้วย
"เมฆจานบินบางก้อนอาจมีลักษณะเป็นชั้นๆ หลายชั้นซ้อนกัน
เป็นเพราะความชื้นในอากาศมีค่ามากน้อยสลับกันเป็นชั้นๆ
ชั้นไหนมีความชื้นมาก ก็จะมีโอกาสเกิดหยดน้ำได้มากนั่นเอง"

เมฆจานบินแบบหลายชั้น
"ส่วนเมฆจานบินแบบสุดท้ายนั้น ผมเคยโม้ให้ฟังไปแล้วในหนังสือ มิติคู่ขนาน
แต่ขออนุญาตเอาของเก่ามาหากินอีกครั้งหนึ่งเพื่อให้ครบถ้วน
อะแฮ่ม
เหตุผลฟังขึ้นไหมครับ (อิ..อิ)

เมฆรูปหมวกเหนือยอดเขา
เมฆจานบินแบบนี้เกิดเหนือยอดเขาสูงๆ โดยลมที่พัดพาเอาความชื้น
มาจากบริเวณที่ราบโดยรอบ จะถูกแนวสันเขาบังคับให้ไต่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ
ทีนี้พอความชื้นขึ้นไปเจออากาศหนาวๆ แถวยอดเขา
ก็จะแปลงกายกลายเป็นหยดน้ำเกาะกลุ่มปกคลุมอยู่เหนือยอดเขา
บางคนก็มองเป็นดอกเห็ดขนาดยักษ์ แต่ฝรั่งเขาว่าเหมือนภูเขาสวมหมวก
ก็เลยเรียกเมฆจานบินแบบพิเศษนี้ว่า เมฆ (ซึ่งมีรูปร่างเหมือน) หมวก
หรือ cap cloud
"คราวหน้า หากคุณคิดว่าเห็นจานบินอยู่บนท้องฟ้า ก็ลองจ้องให้ชัดๆ อีกที
เพราะสิ่งที่เห็นนั้น อาจจะไม่ใช่ยานพาหนะของมะนาวต่างดุ๊ด
แต่เป็นเมฆสุดพิเศษพวกนี้นั่นเอง"
ที่มา:http://gotoknow.org/blog/weather/79047
ยังมีต่อค่ะ
Re: ปริศนา "เมฆจานบิน" กับ "หินเดินได้" By: nada-yoru Date: ต.ค. 05, 2009, 01:28 AM
คลังรูปภาพเมฆจานบิน

ปรากฏการณ์ เมฆจานบิน เกิดขึ้นที่ภูเขา Mt.Rainier ในรัฐ Washington
เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2009

ปรากฏการณ์ เมฆจานบิน เกิดขึ้นที่ภูเขา Mt.Rainier ในรัฐ Washington

ปรากฏการณ์ เมฆจานบิน เกิดขึ้นที่ภูเขา Mt.Rainier ในรัฐ Washington
Mount Fuji : Cap Cloud จานบินร่อนลงเหนือภูเขาไฟฟูจิ

บันทึกภาพโดยคุณ Naree ในเช้าวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2548
ขณะกำลังเจริญอาหารกับมื้อเช้าแสนอร่อยในห้องอาหารชั้น 8
ของโรงเแรม Fujinobukaen Hotel ของประเทศญี่ปุ่น




โดยที่เธอกล่าวไว้สั้นๆว่า
"บางทีเราก็มัวแต่ก้มหน้าทำงานโดยไม่มีโอกาสชื่นชมธรรมชาติรอบตัวเลย
เรามักคิดว่าต้องแร่งสะสมเงินทองเพื่อจะมีความสุขในภายหน้า
แต่เมื่อถึงวันนั้นอาจจะสายเกินไปแล้วก็ได้
ความสุขมีอยู่รอบๆตัวเราโดยไม่ต้องซื้อหา โลกใบนี้ยังคงงดงามเสมอ
แนะนำให้ชื่นชมท้องฟ้าค่ะเราจะได้ภาพจริงที่สวยงามไม่ซ้ำกันเลยสักวันนะคะ
"
แล้วจะมาต่อเรื่องหินเดินได้นะคะ
Re: ปริศนา "เมฆจานบิน" กับ "หินเดินได้" By: ILHAM Date: ต.ค. 05, 2009, 01:32 AM
ตัดต่อหรือเปล่า
Re: ปริศนา "เมฆจานบิน" กับ "หินเดินได้" By: nada-yoru Date: ต.ค. 05, 2009, 02:03 AM
ตัดต่อหรือเปล่า
ภาพข้างบนๆน่ะพี่ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่คิดว่าไม่น่าจะตัดต่อนะคะ
ส่วนภาพในส่วนของคลังภาพนั้นของจริงค่ะ
เหตุการณ์จริง...โดยเฉพาะภาพของภูเขาไฟฟูจินั่นจริงแท้แน่นอนค่ะ
ซึ่งปรากฎการณ์ที่ว่านั้น ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง
ต้องโชคดีจริงๆถึงจะได้เห็น และจะยิ่งโชคดีขึ้นไปอีก
หากว่าถ่ายภาพทัน เพราะว่่ามันเกิดขึ้นเร็วค่ะ...
ต้องจังหวะและโอกาสเป็นใจเท่านั้นจ้าอิลฮาม...
และหากว่าเรามีโอกาสได้นั่งเครื่องบินตรงที่นั่งติดกับหน้าต่าง
เราจะไม่สงสัยเลยว่า ภาพข้างบนที่นำมาให้ดูนั้น
มันเป็นของจริง เพราะว่าเมฆนั้นสวยจริงๆ ราวกับวิมานเลยล่ะ
ที่เขาเรียกกันว่า"วิมานเมฆ" เคยได้ยินใช่มั้ยอิลฮาม...
สิ่งเหล่านี้ทำให้เราเห็นถึงการสร้างสรรค์ของผู้สร้างที่ยิ่งใหญ่ว่ามั้ยคะ
"ทุกสิ่งฉายให้เห็นถึงการมีอัลลอฮฺพระเจ้าผู้ทรงสร้าง"
(จากฮิกัมที่16)
วัลลอฮฺอะลัม
Re: ปริศนา "เมฆจานบิน" กับ "หินเดินได้" By: ILHAM Date: ต.ค. 05, 2009, 06:28 AM
แสดงว่ามีรูปถ่ายเองของฟูจิด้วยหรือ
Re: ปริศนา "เมฆจานบิน" กับ "หินเดินได้" By: เหรียญ 2 ด้าน Date: ต.ค. 05, 2009, 08:48 AM
แสดงว่ามีรูปถ่ายเองของฟูจิด้วยหรือ
ภูเขาไฟฟูจิยามารึเปล่าครับ
Re: ปริศนา "เมฆจานบิน" กับ "หินเดินได้" By: กอ-กล้วย Date: ต.ค. 05, 2009, 09:32 AM
น่าสนใจมากเลยจ๊ะน้องโด่โด่

พี่ก็เป็นคนหนึ่งที่ชอบแหงนมองท้องฟ้า โดยเฉพาะท้องฟ้าในช่วงฤดูหนาว มันให้ความรู้สึกอบอุ่นยังไงไม่รู้
ได้จินตนาการก้อนเมฆที่เห็นว่าเป็นรูปอะไรบ้าง และผูกเป็นเรื่องราว บางครั้งเผลอขำคนเดียว

แต่บางครา พี่ก็ชอบที่จะมองดาวเต็มฟ้าในยามค่ำคืน ยิ่งถ้ามีเพื่อนสนิทมานั่งมองดาวเป็นเพื่อนแล้ว มีความสุขคะ

Re: ปริศนา "เมฆจานบิน" กับ "หินเดินได้" By: nada-yoru Date: ต.ค. 05, 2009, 02:05 PM
salam
ถึงอิลฮามและโคลงเคลงน้อย...
ถ้าหมายถึงภาพถ่ายเองของฟูจิพี่มีเป็นอัลบัมเลยค่ะ เพราะเคยไปปีนมา...
แต่ถ้าหมายถึงภาพเมฆจานบินบนฟูจิ
อัลฮัมดุลิลละฮฺ ตอนนั้นพี่ทำได้แค่มองอย่างเดียวค่ะ
(ไม่ได้เอากล้องไป...โทรศัพท์ก็แบตหมด...ก็เลยคิดว่า
ถ้าวิ่งกลับไปเอากล้องในกระเป๋ามีหวังกลับมาอีกทีคงไม่ได้เห็นแล้ว
ก็เลยยืนดูยืนเก็บความสวยงามแล้วถ่ายภาพเอาไว้ในความทรงจำแทน
แอบอิจฉาคนที่เขาได้ภาพสวยๆไปเหมือนกันนั้น...

)
แต่ก็ถือว่าโชคดีที่ได้แค่มองค่ะ แม้ไม่สามารถเก็บภาพสวยๆนั้น
มาเป็นของตัวเองได้

พออ่านฮิกัมบทที่16 ก็เลยนึกถึงภาพนั้นเข้า
เลยลองค้นหาดู เพราะคิดว่าต้องมีคนที่เอามาโพสลงเนตแน่ๆ

^
^
คุณAHMD
ใช่แล้วค่ะ...หมายถึง...ภูเขาไฟฟูจิยาม่าหรือฟูจิซัง...
เพราะคำว่า "ยาม่า" แปลว่า"ภูเขา"ค่ะ...
ชื่อภูเขาไฟลูกนี้ก็คือ"ฟูจิ"...คนทั่วไปจะเรียกว่า "ฟูจิซัง"
เพราะว่า คำว่า"ซัง" นั้นแปลว่า"ภูเขา" ซึ่งคือคันจิตัวเดียวกับคำว่า "ยาม่า"ค่ะ
(อักษรตัวเดียวอ่านได้สองเสียงน่ะค่ะ)...
แต่คำว่า"ซัง"จะกินความหมายลึกตรงที่เวลาเรียกชื่อคน จะลงท้ายว่า"ซัง"
เพื่อเป็นการให้เกียรติด้วยค่ะ...เช่น AHMDซัง อะไรแบบนี้น่ะค่ะ
ดังนั้น พอเรียกว่า "ฟูจิซัง"จึงกินลึกถึงสองความหมาย
คือหมายถึง..."ภูเขาฟูจิ" และ "คุณฟูจิ"ไปด้วยในตัวนั่นเองค่ะ...
ซึ่งเขาลูกนี้เป็นภูเขาไฟที่สวยที่สุดและสูงที่สุดในญี่ปุ่นและในโลก
ด้วยความสูง 3776เมตรค่ะ...ไม่มีต้นไม้และต้นหญ้าแม้แต่ต้นเดียวค่ะ
มีปล่องภูเขาไฟอยู่บนยอดเขาสูงสุด...ซึ่งตั้งเด่นอยู่ที่เมือง"ชิซุโอกะ"
เมืองที่เพิ่งโดนทั้งไต้ฝุ่น สึนามิและแผ่นดินไหวถล่มพร้อมกัน
เมื่อเดือนที่แล้วนี่เองค่ะ...ตรงกับคืนที่กลุ่มเพื่อนของโด่โด่ที่ยังไม่เคยปีนฟูจิ
เขาไปปีนกันพอดีค่ะ...
บอกตรงๆเลยค่ะว่า ฟูจิซังให้อะไรมากมายกับโด่โด่
เขาจะปีนกันตอนกลางคืนค่ะ...ตอนอยู่ตรงตีนเขานั้นฝนตกหนักเลยค่ะ
เลยต้องสวมชุดกันฝน พอเลยกลุ่มเมฆไปได้ ก็จะไม่มีฝนแล้วค่ะ
(แต่ข้างล่างนั้นฝนยังตกอยู่นะคะ) หลังจากนั้นก็จะเริ่มหนาวถึงหนาวมากเลยค่ะ
ติดลบเลยก็ว่าได้ มีช่วงหนึ่งทำสปอร์ตไลท์ตก มันเลยใช้งานไม่ได้
แถมไม่มีสำรอง แต่โชคดีที่คืนนั้นพระจันทร์เต็มดวง เลยได้แสงจันทร์นำทาง
เพราะเพื่อนผู้หญิงอีกคนที่ไปด้วยกัน ก็มีแค่อันเดียว ทุกคนมีแค่อันเดียวกันทั้งนั้นค่ะ
แล้วก็เป็นแค่ไฟดวงเล็กเอาไว้ส่องสำหรับทางเดินข้างหน้าของตัวเองเท่าน้ัน
เลยส่องให้คนอื่นไม่ได้ โด่โด่ก็เลยเดินงมๆทางไปค่ะ
ที่นั่นมีแต่หินและหน้าผา บางช่วงก็ชวนหวาดเสียว แต่มันก็ท้าทายค่ะ...
เพราะเมื่อขึ้นไปแล้ว การจะลงมาไม่ใช่เรื่องง่่าย
เราก็อยากขึ้นไปให้ถึงยอดกันทุกคน เพราะเรื่องลงเราต้องลงแน่นอนอยู่แล้ว
ตอนนั้นพูดกับเพื่อนว่า จะไม่ลงจนกว่าจะถึงยอด...
เพื่อนเองก็ไม่ไหว เราก็ไม่ไหวกันทั้งคู่ เลยนั่งพักค่ะ แล้วก็ปีนต่อ
มิตรภาพก็เกิดขึ้นบนยอดเขานั้นเช่นกันค่ะ...ดีที่ชอบออกกำลังกาย
โดยการเล่นบาสหลังเลิกเรียนทุกเย็นค่ะ แรกๆเล่นเพราะอยากสูง...อิอิ...
แต่จริงๆแล้วการเล่นบาสนั้นทำให้เราใช้ทุกส่วนของร่างกาย
แม้กระทั่งสมองและสมาธิในระหว่างที่ร่างกายเคลื่อนไหวหลบหลีกไปด้วย
แล้วสิ่งเหล่านั้นก็สามารถนำไปใช้บนยอดภูเขาได้ดีนักแล...

ยิ่งสูงก็ยิ่งหนาวค่ะ อากาศก็น้อย จนแทบหายใจไม่ออก
แต่เราก็เอาถังออกซิเจนอันน้อยไปด้วยค่ะ...บางคนใกล้จะถึงยอดอยู่รอมร่อ
ก็ต้องลงมาเพราะไปไม่ไหว หายใจไม่ออกบ้าง เพราะหากหมดแรงนั้นพักได้
แต่ถ้าหมดใจนั้นยากค่ะ...ดวงจันทร์นั้นใกล้แค่เอื้อมค่ะ แต่ไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรง
จะหยิบกล้องมาถ่ายค่ะ ถึงยอดพอดีตอนตะวันขึ้น คราวนี้แรงมีไม่มี
ก็ต้องฮึดหยิบกล้องมาถ่่ายล่ะค่ะ...ได้ภาพสวยๆมาหลายภาพเลยค่ะ...
เพิ่งรู้ว่าการยืนอยู่เหนือเมฆบนผืนดินที่ไม่ใช่บนเครื่องบินเป็นยังไงก็ตอนนั้นล่ะค่ะ...
แต่กว่าจะไปถึงตรงนั้นได้มันสุดจะบรรยายเลยค่ะ...
แล้วพอถึงยอดแล้วก็ต้องรีบไต่ลงมาอีก เพราะถ้าช้า พระอาทิตย์จะเผาหัวเอาค่ะ
เพราะว่าดวงอาทิตย์เองก็อยู่ใกล้แค่เอื้อมไม่ต่างจากดวงจันทร์เช่นกันค่ะ
จากฝน สู่หนาว แล้วก็จบลงด้วยร้อนเพียงแค่ชั่วข้ามคืนเองค่ะ...
คนญี่ปุ่นเขาถึงเปรียบเปรยว่า
การปีนฟูจิได้สำเร็จ โจทย์คณิตที่ว่ายากแค่ไหนก็ง่ายหมด...

ปีนขึ้นไปยากแค่ไหน เหนื่อยแค่ไหน ตอนจะปีนลงก็พอๆกันค่ะ
ระยะทางมันเท่าๆกัน...แต่แรงมันน้อยกว่าตอนปีนเท่่านั้นเองค่ะ...
(ได้โอกาสเล่าประสบการณ์ตอนปีนยอดฟูจิให้ฟังพอดี

)
ถึงพี่กอ-กล้วย
โด่โด่ก็ชอบมองท้องฟ้าทั้งกลางวันและกลางคืนเช่นกันค่ะ...
ตอนอยู่เหนือเมฆบนยอดฟูจิกับตอนอยู่เหนือเมฆบนเครื่องบิน
ในยามที่มองลงมาที่เมฆเหล่านั้น
มันบอกให้เราทราบได้อย่างนึงว่า...
"แม้ว่าเมฆจะอยู่เหนือภูเขาที่ว่าสูงแล้ว เมฆที่สวยงาม เมฆที่สร้างภาพโน่นนี่
ให้เราได้ชื่นชมความงามราวกับวิมานนั้น มันก็ได้แค่สร้างภาพไปเรื่อยๆ
ไม่สามารถเป็นที่ยึดเหนี่ยวหรือที่พักพิงให้แก่ใคร
ได้เหมือนกับภูผาที่หนักแน่นที่เรายืนอยู่...นกเองแม้จะบินได้เหนือเมฆ
แต่สุดท้ายนกก็ต้องบินลงมายังพื้นดินกลับรังที่พักอยู่ดีน่ะค่ะ..."
ปล.อินชาอัลลอฮฺ หากมีโอกาสเราคงได้ไปนอนนับดาวด้วยกันนะคะ

เดี๋ยวจะเอาภาพปริศนา หินเดินได้มาโพสค่ะ
วัสลามุอะลัยกุมค่ะ
^___________^
Re: ปริศนา "เมฆจานบิน" กับ "หินเดินได้" By: قطوف من أزاهير النور Date: ต.ค. 05, 2009, 03:10 PM
"บางทีเราก็มัวแต่ก้มหน้าทำงานโดยไม่มีโอกาสชื่นชมธรรมชาติรอบตัวเลย
เรามักคิดว่าต้องแร่งสะสมเงินทองเพื่อจะมีความสุขในภายหน้า
แต่เมื่อถึงวันนั้นอาจจะสายเกินไปแล้วก็ได้

Re: ปริศนา "เมฆจานบิน" กับ "หินเดินได้" By: nada-yoru Date: ต.ค. 05, 2009, 04:11 PM
แค่อ่านที่พี่โด่โด่เล่ามาก้อเหนภาพแล้ว
อยากปายยยยยยยยยย
ดูน่าตื่นเต้นดีนะคะ
เหอะๆๆ
ปล.พี่โด่โด่ชอบเล่นบาสเหรอเหมือนกนเรยง่ะ
ไว้พี่กลับมาเมื่อไร เราไปเล่นด้วยกันดีกว่าเนอะ
5555
อินชาอัลลอฮฺ...หากมาช่วงก่อนพี่เรียนจบจะเปิดรังตอนรับเรยยยยยย... 
และไม่แน่เราอาจมีโอกาสได้ชู้ดบาสด้วยกันก็ได้เนาะ...
แต่ก็กลัวว่ากว่าจะถึงวันนั้น จะแก่ไม่มีแรงชู้ดบาสอ่ะสิพี่555
มาร่วมขอดุอาด้วยกันดีกว่าเนอะ...เพราะดุอาคืออาวุธของเรา... 
Re: ปริศนา "เมฆจานบิน" กับ "หินเดินได้" By: nada-yoru Date: ต.ค. 05, 2009, 04:25 PM
"บางทีเราก็มัวแต่ก้มหน้าทำงานโดยไม่มีโอกาสชื่นชมธรรมชาติรอบตัวเลย
เรามักคิดว่าต้องแร่งสะสมเงินทองเพื่อจะมีความสุขในภายหน้า
แต่เมื่อถึงวันนั้นอาจจะสายเกินไปแล้วก็ได้

salam

Re: ปริศนา "เมฆจานบิน" กับ "หินเดินได้" By: nada-yoru Date: ต.ค. 05, 2009, 04:54 PM
salam
มาดูปริศนาของ"หินเดินได้"กันค่ะ
ปรากฏการณ์ธรรมชาติ หินเดินได้(Sailing Stone)

Sailing Stones เป็น 1 ใน ปรากฏการณ์ธรรมชาติ ที่ยังคงเป็นปริศนา
ที่เกิดขึ้นที่ อุทยานแห่งชาติเดท วัลลี่ย์ (Death Valley National Park)
ในรัฐแคลิฟอร์เนีย (California) ประเทศสหรัฐอเมริกา
ส่งที่พบก็คือ จะพบร่องรอยการเคลื่อนที่ของก้อนหิน
ที่ทิ้งไว้บนดินเหนียวที่แห้งเป็นทางยาว โดยปรากฏการณ์ธรรมชาตินี้
จะเกิดขึ้นทุก 2 - 3 ปี ครั้ง และหินบางก้อนก็ใช้เวลากว่า 3 - 4 ปี
ในการเคลื่อนที่

แผนที่ อุทยานแห่งชาติเดท วัลลี่ย์ (Death Valley National Park)
"ข้อมูลเกี่ยวกับเรซแทรค พลาย่า (Racetrack Playa)"
เรซ แทรค พลาย่า เป็นแอ่งทะเลสาบที่ค่อนข้างราบและแห้งแล้ง
มีความยาวในแนวเหนือ-ใต้ประมาณ 4 กิโลเมตร และกว้าง
ในแนวตะวันออก-ตะวันตกประมาณ 2 กิโลเมตร มีลักษณะพื้นผิว
เป็นระแหงโคลน (mud cracks) ส่วนมากประกอบด้วยตะกอนขนาดทรายแป้ง
(silt) และดินเหนียว (clay)
สภาพภูมิอากาศค่อนข้างแห้งแล้ง มีปริมาณน้ำฝนเพียงสองนิ้วต่อปี
แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ฝนตก น้ำปริมาณมากจะไหลจากภูเขาสูงชัน
ที่อยู่ล้อมรอบเรซแทรค พลาย่าลงมาปกคลุมพื้นที่แอ่งจนกลายเป็นทะเลสาบตื้น
ครอบคลุมเป็นบริเวณกว้าง ซึ่งขณะนั้นบริเวณพื้นแอ่งจะเต็มไปด้วย
ดินเหนียวที่เหลวและอ่อนนุ่ม
"ปรากฏการณ์ หินเดินได้ เกิดจากมนุษย์ หรือ สัตว์ หรือไม่"
จากลักษณะรูปร่างของร่องรอยการไถลของหินนั้นบ่งบอกได้ว่า
หินก้อนนั้นต้องเคลื่อนที่ในช่วงที่พื้นของเรซแทรค พลาย่านั้นถูกปกคลุม
ด้วยดินเหนียวอ่อนนุ่ม ถ้าเป็นฝีมือของคนหรือสัตว์จะต้องมีร่องรอย
ของการเหยียบย่ำรบกวนชั้นดินเหนียวด้วย
แต่ในบริเวณดังกล่าวไม่ปรากฏหลักฐานร่องรอยจากคนหรือสัตว์
ที่จะช่วยให้หินเคลื่อนที่เลย มีเพียงร่องรอยการไถลของหินเท่านั้น


จะเห็นว่า หินทุกก้อน ไม่มีร่องรอย ของการเข้าไปรบกวน
หรือทำการเคลื่ยนย้ายโดยคน หรือสัตว์ เพราะไม่มี รอยเท้า
และพื้นที่ก็กว้างเกินกว่าจะใช้ไม้หรือวัตถุเขี่ยถึง
"สมมุติฐานของ การเกิด ปรากฏการณ์ธรรมชาติ หินเดินได้"
1.ทางสมมุติฐาน อ้างว่าเกิดจาก ลม ตัวการที่นิยมนำมาใช้อธิบายปรากฎการณ์นี้
ก็คือ ลม โดยส่วนมากลมที่พัดผ่านบริเวณนี้จะมีทิศทางพัดจากทิศตะวันตกเฉียงใต้
ไปยังทิศตะวันออกเฉียงเหนือ และร่องรอยการไถลของหินก็มีทิศทางขนาดเดียว
กับทิศทางของลมนี้ด้วย แต่ ก็มีนักวิทยาศาสตร์บางคน
ได้แย้งว่ากระแสลมใน เรซแทรค พลาย่า สามารถทำให้เดินน้อยกว่า 5 เซ็นติเมตร
และถ้าต้องการให้ดินเดินได้เป็นระยะตามที่ปรากฏ
จะต้องมีกระแสลมแรงกว่า 145 กิโลเมตร / ชั่วโมง


จะเห็นว่าหินบางก้อนไม่ได้เคลื่อนที่เป็นแนวเส้นตรง ตามกระแสลมเสมอไป
แต่นั้นก็อาจจากการที่กระแสลมเปลี่ยนทิศก็เป็นไปได้

หินบางก้อนมีขนาดใหญ่กว่า 100 กิโลกรัม ก็ยังสามารถเคลื่อนที่ได้
บางสมมุติฐาน อ้างว่าเกิดจาก น้ำแข็ง คนกลุ่มหนึ่งให้ข้อมูลว่า
เคยเห็นเรซแทรค พลาย่าถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็งชั้นบางๆ
แนวคิดหนึ่งอธิบายว่าเมื่อน้ำรอบก้อนหินแข็งตัวและแต่ต่อมามีลมพัดผ่าน
ผิวด้านบนของน้ำแข็ง ทำให้แผ่นน้ำแข็งได้ลากก้อนหินนั้นไปด้วย
จึงเกิดรอยครูดไถลบนพื้นผิวแอ่ง นักวิจัยบางคนพบร่องรอยไถลของหินหลายก้อน
ที่สอดคล้องกับแนวคิดนี้ด้วย
แต่อย่างไรก็ตามการเคลื่อนย้ายแผ่นน้ำแข็งขนาดใหญ่นั้น
คาดว่าจะต้องมีการทิ้งร่องรอยบนพื้นผิวแอ่งในทิศทางอื่นๆด้วย
แต่ก็ยังไม่พบร่องรอย


และนั่นจึงทำให้มันยังคง เป็นปริศนาที่ต้องมีการศึกษาและหาคำตอบกันอีกต่อไป
____________________________
ข้อมูลอ้างอิง ปรากฏการณ์ธรรมชาติ หินเดินได้
http://en.wikipedia.org/wiki/Sailing_stoneshttp://geothai.net/2009/index.php?option=com_content&view=article&id=73:2009-01-27-19-33-56&catid=56:rocks&Itemid=100006และ
http://wowboom.blogspot.com/2009/06/1-sailing-stones.htmlวัสลามุอะลัยกุมค่ะ
^___________^
Re: ปริศนา "เมฆจานบิน" กับ "หินเดินได้" By: nada-yoru Date: ต.ค. 05, 2009, 05:41 PM
ไขปริศนาหินเดินได้
http://www.geocities.com/fundee2000/hubphamorana.htmนำลิงค์ที่เกี่ยวกับการไขปริศนาของหินเดินได้มาฝากกันค่ะ
หากอ่านและศึกษาจะรู้ว่า ทุกอย่างล้วนมีเหตุมีผล
และทำให้เห็นถึงการสร้างสรรค์อันปราณีต ละเอียดบรรจง
และวิจิตรงดงามเกินกว่าที่มนุษย์จะตัดสินลงไปตรงๆได้ว่าเพราะอะไร
ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น นอกจากจะตั้งสมมติฐานขึ้นมาให้คิดกันเท่านั้นเอง...
เนื่องจากว่าไม่มีใครรู้จริงในสิ่งนี้ แม้จะศึกษาแทบตาย
สุดท้ายก็ไม่มีใครกล้าฟันธงถึงความถูกต้องของทฤษฎีที่ตนค้นพบลงไปได้
เพราะมนุษย์มิใช่ผู้สร้างสรรค์สิ่งเหล่านั้นขึ้นมา
และก็ไม่ใช่ธรรมชาติที่มนุษย์บางคนมักใช้เป็นข้ออ้างเวลาไม่สามารถให้คำตอบ
กับสิ่งต่างๆ เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นซึ่งเกินปัญญามนุษย์จะไปถึงได้ทุกครั้ง...
...เพราะเรื่องบางเรื่อง เหตุผลหรือสติปัญญาที่เรามี
ก็ไม่มากพอที่จะสามารถอธิบายสิ่งเหล่านั้นได้อย่างถูกต้องแม่นยำ...
เพราะความจริงแท้นั้นอยู่ที่ผู้สร้าง หาใช่มนุษย์ตัวเล็กๆอย่างเราไม่
วัลลอฮุอะลัม
ผิดพลาดประการใด โปรดชี้แนะด้วยนะคะ
วัสลามุอะลัยกุม
^__________^
Re: ปริศนา "เมฆจานบิน" กับ "หินเดินได้" By: nada-yoru Date: ต.ค. 06, 2009, 11:38 PM
แล้วตอนเค้าถ่ายรูปนี้มา
อย่างงี้มันก้อมีรอยเท้าอะดิ
รึว่ายังไงอะ

พี่ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเขาได้ภาพถ่ายมาได้อย่่างไร
แต่ถ้าสังเกตภาพจะเห็นว่าเขาถ่ายตอนที่ดินมันแห้งแล้ว
และหากว่ามนุษย์หรือสัตว์เป็นผู้ทำให้หินเคลื่อนที่ตอนที่ดินเปียก
รอยเท้าก็ย่อมปรากฎเหมือนกับรอยทางที่ปรากฎนะพี่ว่า...
แต่นี่มันมีแค่รอยทางของหินเท่านั้น ไม่มีร่องรอยของเท้าคนหรือสัตว์ให้เห็น
และอีกอย่่าง การถ่ายภาพนั้นสามารถถ่ายจากระยะไกลๆได้
แม้กระทั่งภาพถ่ายจากจานดาวเทียมก็ตาม...ซึ่งพี่ไม่รู้จริงๆว่าเขาใช้เทคนิค
อะไรถ่ายถึงได้ภาพมาอ่ะค่ะ...
(และที่นั่นก็เป็นสถานที่ท่องเที่ยวนะคะ ซึ่งมันเป็นทะเลสาบแห้งกรัง
ที่เขาเรียกว่าพลาย่า ถูกประกาศให้เป็นวนอุทยานหุบผามรณะแห่งชาติ
และหินนั้นก็เคลืื่อนตัวมานานแล้วค่ะกว่าจะได้ทางยาวขนาดนั้น)
ลองสังเกตภาพสุดท้ายดูสิคะ มันเป็นภาพดินโคลนแห้งแตกระแหง
ทำให้รู้ว่าหินนั้นมีน้ำหนักและประทับแน่นบนดิน ไม่เคยมีใครเคยได้เห็นหิน
มันเดินให้เห็นต่อหน้าต่อตาค่ะ...ซึ่งเป็นหลักฐานได้อย่างดีเลยล่ะค่ะ
ว่ามันเคลื่อนตัวตอนดินเปียก ลองเข้าไปในลิงก์ที่พี่แปะเอาไว้หลังสุดดูนะคะ
นักวิชาการได้ตั้งสมมติฐานเอาไว้หลายสาเหตุอยู่เหมือนกันค่ะ...
วัสลามุอะลัยกุมค่ะ
^_________^
Re: ปริศนา "เมฆจานบิน" กับ "หินเดินได้" By: มัยซูน Date: ต.ค. 07, 2009, 09:07 AM
เดี๋ยวนี้ยังเดินอยู่อีกไหม น่าจะเอากล้องไปติดตั้งแล้วเฝ้าดูแบบ realtime น่ะค่ะ