ปรับความเข้าใจ "คำนิยามวะฮาบีย์" ระหว่าง al-azhary กับ laliklalee By: laliklalee Date: พ.ค. 24, 2010, 01:00 PM
สืบเนื่องจากมีผู้อ้างอิงจุดยืนที่ท่านประกาศไว้
....
ผม ขอนำคำพูดของ อัล-อัซฮะรีย์ ที่ขอประกาศในเวปไซท์แห่งนี้ว่า การเรียกว่า "วะฮาบีย์" ไม่ใช่เพราะไม่อ่านอุซ๊อลลี , ไม่ลูบหน้าหลังให้สลามตอนละหมาดเสร็จ , ไม่อ่านตัลกีน , ไม่ทำเมาลิดรำลึกถึงท่านนบี , ไม่อ่านกุนูต เป็นต้น
แต่ที่เรียกว่า "วะฮาบีย์" เพราะมีเอกลัษณ์ที่ว่า หากผู้อื่นทำสิ่งที่ไม่เหมือนกับตนจะถูกฮุกุ่มทำบิดอะฮ์ และประการที่สำคัญสุดในการเรียกว่า "วะฮาบีย์" อย่างเป็นเอกลักษณ์นั้น เพราะเรื่อง อะกีดะฮ์ที่มีความต่าง ตรงนี้แหละที่โลกอาหรับปัจจุบันเขาเรียกว่า "วะฮาบีย์" นะครับ
...
ผมจึงแย้งไปว่า
...
ถ้าเรียก "วาฮาบีย์" เพราะอ้างว่ากลุ่มนี้มองว่ากลุ่มอื่นทำไม่เหมือนกับตนแล้วเรียกว่า"อุตริ" คงคลาดเคลื่อนตั้งแต่แรกเลยครับ ท่านต้องติดกระดุมเม็ดแรกให้ถูกเสียก่อน ...
กลุ่มที่ถูกเรียกว่า"วาฮาบีย์"ไม่ได้เรียกกลุ่มที่ทำไม่เหมือนตนเองว่ากำลังทำบิดอะฮ์นะครับโปรดเข้าใจเสียใหม่ เริ่มจากสลายคำว่ากลุ่มออกก่อน เพราะบางครั้ง คนที่อยู่ในที่เดียวกัน เวลาเดียวกัน อาจไม่ได้มีความเชื่อแบบเดียวกันทั้งหมด อีกทั้ง คนๆหนึ่งก็ไม่สามารถตั้งฉายา ติดโลโก้ให้กับเขาได้ว่าเป็นคนเช่นไร หากเราไม่ได้รู้ชัดในจุดยืน หรือพฤติกรรมโดยส่วนใหญ่ แต่เขาผู้ถูกตั้งฉายาว่าวาฮาบีย์บางส่วนกำลังบอกว่าคนที่ทำอิบาดะฮ์ทางศาสนาในรูปแบบที่ไม่เหมือนนบี หรือชนยุคสลัฟที่เคยทำไว้เป็นตัวอย่าง ที่ถูกบันทึกมาเป็นรายงานที่ตรวจสอบทางวิชาการที่ยอมรับตรงกันแล้วว่าเชื่อถือได้ ทั้งที่คนๆนั้นรู้แล้ว และสามารถนำมาปฏิบัติได้โดยไม่มีอุปสรรค คนเหล่านี้กำลังทำอุตริกรรม หรือบิดอะฮ์อยู่ แต่ไม่ได้หมายรวมว่าเป็นชาวบิดอะฮ์ในทุกอริยาบทของชีวิต หรือเป็นชาวนรก หรือฮูก่มกาเฟร อย่างที่บางคนเข้าใจ ทั้งนี้คนที่ทำพฤติกรรมที่บิดอะฮ์อยู่อาจเรียกแนวทางที่ตนยึดถือว่า ซุนนะฮ์ วัลญามาอะฮ์ สลาฟียูน หรือ วาฮาบีย์ เองก็เป็นได้ เขามีหน้าที่พูดความจริงตามที่ตนเองรู้ และตักเตือนเท่านั้น หากมีอำนาจมากกว่านั้นก็ดำเนินการเปลี่ยนแปลงด้วยอำนาจที่มี ส่วนพฤติกรรมใครที่ตรงกับ "วาฮาบีย์" ในนิยามของท่านอชอารีย์ก็จำเป็นต้องรู้จักแยกแยะ ไม่ใช่เหมารวม
ส่วนถ้าใช้เหตุผลเรียกมุสลิมที่อากีดะฮ์ต่างกับท่านว่า "วาฮาบีย์" แล้ว ชีอะฮ์ก็ต้องเป็นวาฮาบีย์ รวมทั้งกลุ่มที่เหลือ (ถ้าท่านเชื่อว่าอิสลามจะแบ่งเป็น 73 กลุ่ม) แต่ถ้าไม่นับเฉพาะมุสลิม ก็จะกลายเป็นว่า พุทธก็วาฮาบีย์ คริสต์ก็วาฮาบีย์ และซ้ำร้ายชนเหล่านี้ก็มองว่าท่าน ผม และ อัชอารีย์ "อุตริในศาสนา" ด้วยเช่นเดียวกัน และเราก็คงเลี่ยงไม่ได้ที่จะเป็นวาฮาบีย์ในสายตา และนิยามที่ท่านอัชอารีย์ตั้งไว้ กระนั้นหรือ???
ก็เลยไม่ทราบว่า
ท่านอัชอารีย์ใช้มาตรฐานใดกันแน่??...
ท่านอัชอารีย์ชี้แจงให้เข้าใจด้วยครับ
Re: ปรับความเข้าใจ "คำนิยามวะฮาบีย์" ระหว่าง อัลอัซฮะรีย์กับ laliklalee By: al-azhary Date: พ.ค. 24, 2010, 01:31 PM
ส่วนถ้าใช้เหตุผลเรียกมุสลิมที่อากีดะฮ์ต่างกับท่านว่า "วาฮาบีย์" แล้ว ชีอะฮ์ก็ต้องเป็นวาฮาบีย์ รวมทั้งกลุ่มที่เหลือ (ถ้าท่านเชื่อว่าอิสลามจะแบ่งเป็น 73 กลุ่ม) แต่ถ้าไม่นับเฉพาะมุสลิม ก็จะกลายเป็นว่า พุทธก็วาฮาบีย์ คริสต์ก็วาฮาบีย์ และซ้ำร้ายชนเหล่านี้ก็มองว่าท่าน ผม และ อัชอารีย์ "อุตริในศาสนา" ด้วยเช่นเดียวกัน และเราก็คงเลี่ยงไม่ได้ที่จะเป็นวาฮาบีย์ในสายตา และนิยามที่ท่านอัชอารีย์ตั้งไว้ กระนั้นหรือ???
ก็เลยไม่ทราบว่าท่านอัชอารีย์ใช้มาตรฐานใดกันแน่??
...
ท่านอัชอารีย์ชี้แจงให้เข้าใจด้วยครับ
ข้อความที่คุณอ้างอิงมานั้น เป็นการพูดถึงระหว่างอัลอะชาอิเราะฮ์กับวะฮาบีย์ ไม่มีพวกอื่นมาเกี่ยว เพราะความต่างของอะกีดะฮ์ที่ผมหมายถึงนั้น คือในกลุ่มที่บอกว่าตนเองว่า "อะฮ์ลิสซุนนะฮ์" ดังนั้นเรียกชื่อ "วะฮาบีย์" เพื่อบ่งบอกว่า วะฮาบีย์เองก็อ้างตนเองว่าเป็นอะฮ์ลิสซุนะฮ์และสะลัฟของแท้ โดยไม่ยอมรับหลักอะกีดะฮ์ที่ไม่เหมือนกับตนว่าเป็นอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ และพยายามประกาศว่าตนเองเท่านั้นที่เป็นอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ ส่วนแนวทางอื่นเบี่ยงเบนหมด แต่ในทางตรงกันข้าม อัลอะชาอิเราะฮ์ยอมรับแนวทางอื่นว่าอยู่ในแนวทางของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ด้วย ส่วนจุดยืนของวะฮาบีย์ที่บอกว่าตนเองเท่านั้นที่ถูก ส่วนมากเป็นพฤติกรรมที่เราได้เห็นกันบ่อยตั้งแต่ในอดีต แต่ปัจจุบันวะฮาบีย์อาจจะเข้าใจหลักศาสนาในเรื่องความแตกต่างยิ่งขึ้น ทัศนะคติจึงเปลี่ยนไปในทางที่ดี อันนี้ก็นับว่าเป็นสิ่งที่น่าชื่นชม ผมก็ขอให้วะฮาบีย์ส่วนมากเป็นเช่นนี้
แต่ปัจจุบันวะฮาบีย์ระดับที่มีความรู้ค้นคว้าตำราเองได้ จะทำการศึกษาอะกีดะฮ์อีกแนวหนึ่งที่ต่างจากอัลอะชาอิเราะฮ์และอัลมุตูรีดียะฮ์ แม้กระทั่งหนังสืออะกีดะฮ์ที่ใช้เรียนใน มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา ยังเคยมีหนังสือที่วิจารณ์อัลอะชาอิเราะฮ์โดยตรง เพื่อให้นักศึกษาเรียนกันเลยครับ ตรงนี้ประกาศชัดเจนว่า เรื่องอะกีดะฮ์นั้น วะฮาบีย์กับอัลอะชาอิเราะฮ์มีความแตกต่างกัน
เมื่อต่างฝ่ายบอกว่าตนเองคืออะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ การเรียกชื่อกลุ่มก็เพื่อแยกแยะแนวทางได้ชัดเจนยิ่งขึ้นเท่านั้นเอง
Re: ปรับความเข้าใจ "คำนิยามวะฮาบีย์" ระหว่าง al-azhary กับ laliklalee By: al-firdaus~* Date: พ.ค. 24, 2010, 03:32 PM
salam
ขออนุญาตย้ายมากระทู้นี้นะคะ เพื่อเนื้อหาที่สอดคล้องกัน
คุณ salaff กล่าวว่า : คืออย่างนี้คับ
กลุ่มวะฮาบีย์นั้นแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม :
1. กลุ่มวะฮาบียะฮ์ที่มั๊วะตะดิละฮ์ หมายถึงกลุ่มวะฮาบีย์ที่เป็นกลาง ไม่กล่าวหาฮุกุ่มบิดอะฮ์ต่อกลุ่มอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์อัลอะชาอิเราะฮ์และอัลมะตูรีดียะฮ์แบบเหมารวมว่าเป็นกลุ่มที่บิดอะฮ์เบี่ยงเบน ซึ่งวะฮาบีย์กลุ่มนี้ถือว่าอยู่ในแนวทางของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์โดยความหมายรวม โปรดดูกระทู้ ตัวอย่างของจุดยืนนี้ จากกลุ่มที่หนึ่ง
2. กลุ่มวะฮาบียะฮ์ฆุลาฮ์ หมายถึงกลุ่มวะฮาบีย์สุดโต่ง ซึ่งกลุ่มนี้จะทำการฮุกุ่มบิดอะฮ์ต่อทุกแนวทางที่ไม่เหมือนกับตน เช่น ฮุกุ่มแนวทางอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์อัลอะชาอิเราะฮ์และอัลมะตูรียะฮ์และแนวทางอื่น ๆ ที่ต่างจากแนวทางของตนเองว่าเป็นพวกบิดอะฮ์เบี่ยงเบน ซึ่งวะฮาบีย์กลุ่มนี้จะพรรณาคุณลักษณะของอัลเลาะฮ์โดยมีหลักการที่ตัชบีห์(พรรณาคุณลักษณะของอัลเลาะฮ์คล้ายกลับมัคโลค) และมีหลักการตัจญ์ซีม(พรรณาคุณลักษณะของอัลเลาะฮ์โดยเป็นรูปร่าง) แน่นอนพวกเขาที่มีคุณลักษณะเช่นนี้ถือว่าเป็นกลุ่มบิดอะฮ์เบี่ยงเบนไม่ใช่อะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ โปรดดูกระทู้ ตัวอย่างที่1 , ตัวอย่างที่2 จากกลุ่มที่สองนี้
ดังนั้นแนวทางใดที่ฮุกุ่มตัดสินอะฮ์ลิสซุนนะฮ์อัลอะชาอิเราะฮ์ว่าบิดอะฮ์ ผู้นั้นย่อมอยู่ในแนวทางบิดอะฮ์ , ผู้ใดฮุกุ่มพวกเขากลุ่มหลง ผู้นั้นคือผู้ที่ลุ่มหลง , และผู้ใดที่ฮุกุ่มพวกเขากาเฟร ผู้นั้นย่อมเป็นกาเฟรกลับไปหาตัวเขา ตามคำฟัตวาของนักปราชญ์ผู้มีคุณธรรมดังต่อไปนี้
ท่านอิมาม อะบุลมุซ็อฟฟัร อัลอิสฟิรอยีนีย์ ร่อฮิมะฮุลลอฮ์ กล่าวว่า "และท่านจะทราบว่า ทุกคนที่ยอมรับด้วยกับหลักการของศาสนานี้ที่เราได้พรรณามันไว้จากหลักศรัทธาของกลุ่มที่ปลอดภัย(คือกลุ่มอะฮ์ลิสซุนนะฮ์อัลอะชาอิเราะฮ์และอัลมะตูรียะฮ์) เขาย่อมอยู่บนสัจธรรมและอยู่บนหนทางที่เที่ยงตรง ดังนั้นผู้ใดที่ฮุกุ่มบิดอะฮ์ต่อเขา(ผู้อยู่แนวทางดังกล่าว) ผู้นั้นย่อมเป็นคนบิดอะฮ์ , และผู้ใดฮุกุ่มเขาว่าลุ่มหลง ผู้นั้นย่อมเป็นคนลุ่มหลง , และผู้ใดฮุกุ่มเขาเป็นกาเฟร ผู้นั้นย่อมเป็นคนกาเฟรด้วย" หนังสืออัตตับซีร ฟิดดีน หน้า 111 ของท่านอิมามอัลอัสฟิรอยีนีย์
ท่าน อิมาม อิบนุ รุชดฺ อัลมาลิกีย์ (ผู้เป็นปู่) (รอฮิมะฮุลลอฮ์) ที่ได้รับฉายานามว่า ชัยค์อัลมัซฮับ (ปรมาจารย์แห่งมัซฮับมาลิกีย์) ฟัตวาว่า "ปราชญ์อัลอะชาอิเราะฮ์เหล่านั้น ที่ท่านได้กล่าวชื่อพวกเขามา เป็นส่วนหนึ่งจากนักปราชญ์ที่เป็นแกนนำของนักปราชญ์แห่งความดีงามและอยู่ในทางนำ และเป็นบรรดาบุคคลที่จำเป็นต้องดำเนินตามพวกเขา เนื่องจากพวกเขาเป็นผู้ยืนหยัดช่วยเหลือหลักชาริอะฮ์(บทบัญญัติแห่งอิสลาม) และทำลายสิ่งคลุมเครือต่าง ๆ ของพวกเบี่ยงเบนและลุ่มหลง พวกเขาได้ทำให้ประเด็นปัญหาต่าง ๆ มีความคลี่คลายและชัดเจน พวกเขายังอธิบายถึงสิ่งที่จำเป็นต้องยอมรับจากบรรดาหลักการศรัทธา ดังนั้น ด้วยการรอบรู้ถึงบรรดาหลักพื้นฐาน(อุซูล)ของศาสนา จึงทำให้พวกเขาเป็นนักปราชญ์ที่แท้จริง เนื่องจากพวกเขารู้ดียิ่งเกี่ยวกับอัลเลาะฮ์ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่วายิบสำหรับพระองค์ สิ่งที่อนุญาติต่อพระองค์ และสิ่งที่(มุสตะฮีล)เป็นไปไม่ได้จากพระองค์ เพราะประเด็นนิติบัญญัติข้อปลีกย่อยจะไม่สามารถรู้ได้นอกจากต้องรู้หลักอุ ศูล(หลักศรัทธา)เสียก่อน เพราะฉะนั้น จึงมีความจำเป็นที่จะต้องรู้ถึงความประเสริฐและยอมรับถึงสถานะความเป็นแกนนำ ของพวกเขา ฉะนั้น พวกเขาย่อมเป็นจุดมุ่งหมายของท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ที่ว่า "ความรู้นี้ ได้แบกรับจากทุก ๆ ผู้สืบทอด(ต่อ ๆ กันมา) โดยบรรดาผู้ทรงคุณธรรม ซึ่งพวกเขาจะทำการปฏิเสธจากการบิดเบือนของผู้ที่เลยเถิด , (ปฏิเสธ)การประกาศศาสนาของบรรดาผู้ที่อธรรม และจากการตีความของบรรดาบุคคลโง่เขลา" ดังนั้น จะไม่มีการเชื่อว่าพวกเขา(อัลอะชาอิเราะฮ์)ได้อยู่บนความลุ่มหลงและความโง่เขลา นอกจากผู้ที่เขลาเบาปัญญาหรือผู้ที่อุตริกรรมอีกทั้งเบี่ยงเบนออกจากสัจจะธรรมเท่านั้น และคนหนึ่งจะไม่ประณามอัลอะชาอิเราะฮ์และพาดพิงกล่าวหาไปยังพวกเขาด้วยกับสิ่งที่ไม่พวกเขาไม่ได้ยึดถืออยู่ นอกจาก(คนกล่าวหานั้น)เขาคือคนชั่ว แท้จริงอัลเลาะฮ์ อัซซะวะญัลล่า ทรงตรัสว่า "บรรดาบุคคลที่สร้างความเดือนร้อนแก่บรรดาผู้ศรัทธาชายและบรรดาผู้ศรัทธา หญิง ด้วยกับสิ่งที่พวกเขาไม่ได้พากเพียรไว้ แน่นอน พวกเขาย่อมแบกรับความมุสาและบาปอันชัดแจ้ง" ฟะตาวา อิบนุ รุชด์ เล่ม 2 หน้า 802 ตีพิมพ์ ดารุลฆ่อร่อบิลอิสลามีย์ เบรุต ฮ.ศ. 1407
ท่านชัยคุลิสลาม อิบนุ ฮะญัร อัลฮัยตะมีย์ ตอบฟัตวาความว่า "บรรดาปวงปราชญ์(อัลอะชาอิเราะฮ์)เหล่านั้น มิได้เป็นเฉกเช่นที่ผู้ที่แหวกแนวทาง ออกนอกหลักศาสนา คาดเดา ลุ่มหลง เลยเถิด โง่เขลา และเอนเอียงออกจากสัจธรรมเลย ยิ่งกว่านั้น พวกเขาเป็นนักปราชญ์แห่งศาสนา เป็นนักปราชญ์มุสลิมีนที่ยิ่งใหญ่ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องเจริญรอยตาม เนื่องจากพวกเขาได้ยืนหยัดช่วยเหลือชะรีอะฮ์ (อิสลาม) และแจกแจงบรรดาข้อสงสัยต่าง ๆ และทำการโต้ตอบความคลุมเครือจากพวกที่เบี่ยงเบน และทำการชี้แจงสิ่งที่จำเป็นของหลักความเชื่อ(เอี๊ยะติก๊อต)และหลักการต่าง ๆ ของศาสนา เนื่องจากพวกเขามีความรู้เกี่ยวกับอัลเลาะฮ์ ในสิ่งที่จำเป็นสำหรับพระองค์ สิ่งที่มุสตะฮีล(เป็นไปไม่ได้)ต่อพระองค์ และสิ่งที่อนุญาตในสิทธิของพระองค์ และจะไม่สามารถบรรลุถึงเป้าหมายได้นอกจากรู้จักถึงหลักศรัทธาพื้นฐานเสีย ก่อน และจำเป็นต้องยอมรับถึงความประเสริฐของบรรดานักปราชญ์ที่ถูกกล่าวมาข้างต้น และนักปราชญ์ก่อนหน้าพวกเขาด้วย และพวกเขาก็คือกลุ่มเป้าหมายจากคำกล่าวของท่านร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า "ความรู้นี้ ได้แบกรับจากทุก ๆ ผู้สืบทอด(ต่อ ๆ กันมา) โดยบรรดาผู้ทรงคุณธรรม ซึ่งพวกเขาจะทำการปฏิเสธจากการบิดเบือนของผู้ที่เลยเถิด , การประกาศศาสนาของบรรดาผู้ที่อธรรม และจากการตีความของบรรดาบุคคลโง่เขลา" ดังนั้นจะไม่กล่าวหาว่าอัลอะชาอิเราะฮ์ลุ่มหลงนอกจากผู้ที่โฉดเขลาหรือผู้ทำบิดอะฮ์ ที่เบี่ยงเบนจากสัจธรรม ดังนั้น จึงจำเป็นให้คนไม่รู้ได้ประจักษ์ถึงพวกเขา คนชั่วต้องถูกลงโทษ ผู้บิดอะฮ์ที่เบี่ยงเบนจากสัจธรรมที่กระทำมักง่ายด้วยบิดอะฮ์ต้องถูกใช้ให้ เตาบะฮ์" อัลฟะตาวา อัลฮะดีษียะฮ์ อัลกุบรอ หน้า 227 ตีพิมพ์ เอี๊ยะห์อุษตุร๊อษ เบรุต
ท่านชัยค์ อะบุล หะซัน อัลนัดวีย์ ได้กล่าวถึงแนวทางอัลอะชาอิเราะฮ์ ความว่า "ทั่วทุกมุมโลกอิสลาม ต้องน้อมรับให้กับวิชาความรู้และและความสำเร็จของปวงปราชญ์อัลอะชาอิเราะฮ์...และด้วยความประเสริฐของพวกเขาเหล่านั้น ทำให้แกนนำเชิงแนวคิดแห่งโลกอิสลามมีการขับเคลื่อน และสามารถชี้นำกลุ่มมั๊วะตะซิละฮ์ให้กลับไปสู่แนวทางของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์" หนังสือ ริญาลุล ฟิกร์วัดดะอฺวะฮ์ ฟีลอิสลาม หน้า 137 ของท่านอะบุลฮะซัน อัลนัดวีย์
ดังนั้น ผมจึงอยากให้ท่าน ลาลิกละลี้ แสดงจุดยืนว่าเป็นวะฮาบีย์กลุ่มไหนจากทั้ง2กลุ่มที่อุลามะเขาแบ่งเอาไว้
คุณ laliklalee กล่าวว่า :
โอเคเริ่มมีกลุ่มวาฮาบีย์ที่ท่านถือว่ารวมอยู่ในแนวทางของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์โดยความหมายรวมแล้วสินะครับ ต่อไปเวลาโจมตี "วาฮาบีย์" ถ้าเป็นไปได้ช่วยระบุกลุ่มด้วยก็น่าจะดีกว่าการเหมารวม
เรื่องกลุ่มที่ 2 คงตัดทิ้งไปได้ เพราะการเหมารวมคนที่ไม่เหมือนเราเป็นบิดอะฮ์ เป็นการเอา "ตัวกู" เป็นตัวตั้งซึ่ง ผมคงไม่บังอาจยึดถือแบบนั้นได้
แต่แม้เหลือเพียงข้อ 1. ผมก็ยังไม่อาจยอมรับได้ เพราะยังไม่มีคุณลักษณะอื่นๆที่ท่านไม่ได้ยกมาประกอบด้วย
ทีนี้ผมขอทราบอีกหน่อยว่า แล้วเส้นแบ่งระหว่างแนวทางของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ที่เข้าใจว่าท่านคงเลือกอยู่กลุ่มนี้ กับแนวทางของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์แบบวาฮาบีย์ที่มั๊วะตะดิละฮ์ที่ท่านเหลือไว้ให้ผมเลือกนั้นคืออะไร?
ขอช่วยชี้แนะด้วย
คำถามของคุณ laliklalee ในประเด็นแรกก็คือ...
"เส้นแบ่งระหว่างแนวทางของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ที่เข้าใจว่าท่านคงเลือกอยู่กลุ่มนี้
กับแนวทางของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์แบบวาฮาบีย์ที่มั๊วะตะดิละฮ์ที่ท่านเหลือไว้ให้ผมเลือกนั้นคืออะไร?"
Re: ปรับความเข้าใจ "คำนิยามวะฮาบีย์" ระหว่าง อัลอัซฮะรีย์กับ laliklalee By: laliklalee Date: พ.ค. 24, 2010, 03:56 PM
แต่ก็น่าเป็นที่กังขาอยู่ดีครับแม้ว่าท่านอัชอารีย์จะบอกว่า การใช้ความต่างของอะกีดะฮ์ เป็นเกณฑ์ที่ตั้งขึ้นเพื่อแยกผู้อ้างว่ามีอากีดะฮ์เป็น "อะฮ์ลิสซุนนะฮ์" ออกจากกันเป็นกลุ่มอากีดะฮ์แบบ "อะชาอิเราะฮ์" และกลุ่มอากีด๊ะฮ์แบบ "วาฮาบีย์" มันก็ยังขาดจุดเชื่อมโยงสำคัญอยู่ดี
นั่นคือทำไมแยก"อาชาอิเราะฮ์" ออกมาแล้ว ต้องเหลือเพียง "วาฮาบีย์" ทั้งๆที่ผู้ที่อ้างตนเองเป็นมุสลิมไม่ว่ากลุ่มใดที่เหลือ ก็ล้วนอ้างตนเองมีอากีดะฮ์ดั้งเดิม เป็น "อะฮ์ลิสซุนนะฮ์" ทั้งสิ้น ชีอะฮ์ก็บอกว่าตนคือซุนนะฮ์ที่แท้จริง ซูฟีย์ มั๊วตะซิลละฮ์ กอดญานีย์ ฯลฯ
สิ่งหนึ่งที่ยังไม่ถูกเกณฑ์คัดเลือกออกมา กลับเป็นหนึ่งในเงื่อนไขของเกณฑ์คัดเลือกนั้นเสียเอง เป็นไปได้อย่างไรกัน???
ท่านอ้างว่าอากีดะฮ์ของผู้ที่ไม่เหมือนกับที่ท่านยึดถือ แยกตัวออกไปเป็น "วาฮาบีย์" เท่านั้นหรือ?
อะไรคือเอกลักษณ์นอกเหนือจากสองประการที่ท่านว่า ท่านต้องเล่าให้หมดครับ
1.ผุ้ที่เชื่อว่าหากผู้อื่นทำสิ่งที่ไม่เหมือนกับตนจะถูกฮุกุ่มทำบิดอะฮ์
2.ผู้ที่ยึดมั่นอะกีดะฮ์ที่มีความต่างออกไป (เฉพาะระหว่าง อะชาอิเราะฮ์ กับ ที่เหลือ (แต่ท่านอ้างว่าเฉพาะวาฮาบีย์) โดยไม่นับอากีดะฮ์อื่นๆที่ไม่ประกาศตัวว่าตามนบีเช่น พุทธ คริส เป็นต้น)
3. ?
เพราะมาตรฐานที่ท่านอ้างมาไม่เพียงพอ และผู้ที่ใช้สติปัญญาวิเคราะห์ดูก็จะเห็นว่าไม่สามารถแยก และคัดกรองมาจนเรียกมุสลิมกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดว่า "วาฮาบีย์" ได้แม้แต่น้อยด้วยเหตุผลที่กล่าวมา
ประการต่อมา ก็คือ การที่ท่านอ้างว่า "วะฮาบีย์เองก็อ้างตนเองว่าเป็นอะฮ์ลิสซุนะฮ์และสะลัฟของแท้ โดยไม่ยอมรับหลักอะกีดะฮ์ที่ไม่เหมือนกับตนว่าเป็นอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ และพยายามประกาศว่าตนเองเท่านั้นที่เป็นอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ ส่วนแนวทางอื่นเบี่ยงเบนหมด" ท่านสามารถอ้างอิงได้หรือไม่ว่าเป็นจุดยืนของใคร? เพราะผมทราบแต่เพียงว่า ผู้ที่อ้างตัวว่าเป็นมุสลิมทุกคน ล้วนอ้างว่าแนวทางที่ตนเองกำลังยึดถืออยู่เป็นแนวทางที่คัดเลือกมาแล้วทั้งสิ้น และล้วนเป็นแนวทางที่เป็นของแท้ ที่เรียกกันว่า "อะฮ์ลิสซุนนะฮ์" แต่ละประเภทอาจแตกต่างกันบางประการในเรื่องการประนีประนอมหลักอากีดะฮ์ที่มุสลิมแต่ละคนมีไม่เหมือนกัน ชีอะฮ์ที่อ้างตนเองเป็น "อะฮ์ลิสซุนนะฮ์" ที่แท้จริงก็ไม่ประนีประนอมเอา "วาฮาบีย์" "อะชาอิเราะฮ์" "กอดญานี" หรือ"ซูฟีย์" แล้วนับเป็นอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ร่วมกับตน "มั๊วตะซิลละฮ์" อาจใจกว้างกว่า แต่เพิ่งทราบวันนี้ว่าอะชาอิเราะฮ์ใจกว้างที่สุดเพราะ "ยอมรับแนวทางอื่นว่าอยู่ในแนวทางของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ด้วย!!" หากท่าอัชอารีย์ใจกว้างประนีประนอมหลักอากีดะฮ์ที่แตกต่างกันแต่ละกลุ่มที่เพียงอ้างตนเองเป็น "อะฮ์ลิสซุนนะฮ์" ก็ยอมรับเป็นแนวทางที่ถูกต้องประหนึ่งมัสฮับเช่นนี้ก็เป็นที่น่าเป็นห่วงมาก เว้นแต่ท่านจะยังสื่อสารออกมาได้ไม่ชัดเจน ซึ่งผมหวังว่าเป็นเช่นนั้น
ประการสุดท้าย สมมติว่าผมผ่านเรื่องเกณฑ์การคัดกรองผู้เป็นวาฮาบีย์ของท่านไปก่อน แล้วมาพิจารณาสภาพความเป็นจริงในปัจจุบันตามที่ท่านอ้างว่า วาฮาบีย์มีการศึกษาดีขึ้น ยอมรับความแตกต่างมากขึ้น ผมก็คงยังไม่สามารถเชื่อถือได้เพราะไม่ได้มีการอ้างอิงดัชนีอะไรที่ชี้วัดออกมาเป็นบทสรุปเช่นนั้น เช่นเดียวกับการอ้างลอยๆว่า ส่วนมากของพฤติกรรมที่เราได้เห็นกันบ่อยตั้งแต่ในอดีต คือวะฮาบีย์ที่บอกว่าตนเองเท่านั้นที่ถูก ก็ไม่ได้มีการหยิบยกการอ้างอิงใดๆมาประกอบให้เป็นตัวแทนกลุ่ม "วาฮาบีย์" แต่อย่างใด
เท่าที่ผมเข้าใจศาสนาในระดับพื้นๆของกระผมเอง หลักการอิสลามในหลายเรื่องมีความแตกต่างในรูปแบบและวิธีการปฏิบัติ แต่กรอบที่จะยอมรับความแตกต่างใดๆนั้น กลุ่มที่ถูกเรียกว่าวาฮาบีย์ (ในความเข้าใจส่วนตัว) พยายามยึดหลักฐานที่มาจากกุรอาน ฮาดีษ และมติอูลามาอ์ในยุคสลัฟเป็นเกณฑ์ โดยทรรศนะอูลามาอ์บางส่วนโดยเฉพาะยุคหลังจากสลัฟนั้น มีทั้งผิด ถูกน้อยกว่า ถูกมากกว่า อูลามาอ์ที่ยอมรับความแตกต่างตามหลักฐานมีมากมาย แทบทั้งสิ้น ก็เป็นทรรศนะของอุลามาอ์ที่เป็นคนรุ่นเดียวกันบ้าง รุ่นลูกศิษย์ลูกหาบ้าง ปัจจุบันนี้ก็เคยเห็น เคยได้ยิน แล้วก็มีมาตั้งแต่อดีตไม่ได้เพิ่งมีจากการศึกษามากขึ้นในปัจจุบันอย่างที่กล่าวอ้างไม่ หากเราพยายามนำข้อมูลจากอูลามาอ์ท่านต่างๆมาคัดกรอง และไม่ยึดติด หรือตะอัศศุฟใคร แนวทางใดเป็นการเฉพาะ ไม่ต้องสังกัดมัซฮับใดมัซฮับหนึ่ง เชค หรือ เมาลานาท่านใดท่านหนึ่ง ยึดตามเท่าที่พิสูจน์ได้ว่ามีหลักฐาน หรือสอดคล้องกับหลักฐานที่เชื่อถือได้ ผมไม่ทราบว่าผมเชื่อเช่นนี้ผมต้องมีชื่อกลุ่มว่าอย่างไร? เป็นวาฮาบีย์หรือไม่? ถ้าเป็นเป็นวาฮาบีย์กลุ่มใด? เกณฑ์ใคร? และทำไมต้องเชื่อตามเกณฑ์เช่นนั้น?
ประเด็นเรื่องกลุ่มที่แยกออกมาเป็นสำนักคิด หรือถูกแยกออกมาจากการตั้งฉายาจึงเป็นกระดุมเม็ดแรกที่ต้องให้คำจำกัดความ และมีมาตรฐานที่ยุติธรรมกำหนดผู้ที่กำลังพูดถึงให้ชัดเจนก่อน แล้วจึงจะไปคุยกันในประเด็นอื่นๆที่มีอยู่มากมายของผู้ที่ได้ฉายาว่า "วาฮาบีย์"
Re: ปรับความเข้าใจ "คำนิยามวะฮาบีย์" ระหว่าง al-azhary กับ laliklalee By: laliklalee Date: พ.ค. 24, 2010, 03:59 PM
เพื่อความสอดคล้อง และต่อเนื่อง ย้ายความเห็นที่แบ่งวาฮาบีย์เป็นสองกลุ่มมาด้วยดีไหมครับ? นำไปไว้ก่อนความเห็นที่ย้ายมาก็ได้ครับ
Re: ปรับความเข้าใจ "คำนิยามวะฮาบีย์" ระหว่าง al-azhary กับ laliklalee By: al-azhary Date: พ.ค. 24, 2010, 04:51 PM
salam
หลักอะกีดะฮ์วะฮาบีย์นั้น ผมจะเอาบรรทัดฐานมาจากตำราของอุลามาอฺวะฮาบีย์เอง ส่วนกระบอกเสียงหรือความคิดเห็นเฉพาะของวะอาบีย์เอาวามทั่วไปบางคนนั้น ผมถือว่าไม่เป็นบรรทัดฐานมาเปลี่ยนแปลงแนวทางของวะฮาบีย์โดยรวม แต่เป็นเพียงการไม่เห็นด้วยกับทัศนะของอุลามาอฺวะฮาบีย์ในประเด็นนั้น ประเด็นนี้เท่านั้นเอง
สิ่งที่ผมพยายามนำเสนอหลักอะกีดะฮ์วะฮาบีย์จากตำราต่าง ๆ ของอุลามาอฺวะฮาบีย์หรือตำราที่วะฮาบีย์ให้การยอมรับและตีพิมพ์เผยแพร่นั้น เพื่อให้วะฮาบีย์ได้รู้ถึงหลักอะกีดะฮ์ที่แท้จริงโดยรวม ไม่ใช่หมายถึงเจาะจงชื่อคนนั้น คนนี้ว่าเป็นวะฮาบีย์ที่ต้องมีหลักอะกีดะฮ์ตามที่ตำราของวะฮาบีย์นำเสนอ
ผมเคยเขียนตอบคำถามไปแล้วว่า มีวะฮาบีย์มั๊วะตะดิ้ล (สายกลาง) อยู่ด้วย ซึ่งผมถือว่ายังเป็นอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ ที่ผมพูดอย่างนั้น เพื่อคิดในแง่ดีต่อมุสลิม حُسْنُ الظَّنِّ แต่ก็ยังมีประเภทฮาร์ดคอ ที่คิดว่าตนเองเท่านั้นคืออะฮ์ลิสซุนนะฮ์ อัลอะชาอิเราะฮ์และแนวทางอื่น ๆ เบี่ยงเบนหมด ตรงนี้ผมยังขอยืนยันและไม่เปลี่ยนแปลงว่า วะฮาบีย์กลุ่มนี้ไม่ใช่อะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ตามนัยยะที่เฉพาะ เพราะในเมื่อพวกเขายังยืนยันว่าเราเบี่ยงเบน (เช่นที่ได้มีการนำเสนอกันในเว็บอิกเราะ)หรือตัดสินแนวทางของอัลอะชาอิเราะฮ์เป็นบิดอะฮ์ เราจึงไม่มีเหตุผลอันใดที่จะเชิดชูวะฮาบีย์เหล่านั้นให้เป็นอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์
คุณลองสังเกตซิครับว่า ในเว็บแห่งนี้ เวลาพาดพิงถึงกลุ่มวะฮาบีย์ ก็จะไม่เอ่ยนาม กลุ่มสะละฟียูน ไม่เอ่ยนามกลุ่มของเชคอะลีอีซา เราไม่เอ่ยนามกลุ่มของยีแอ(ดร.อิสมาอีล) แต่เราจะมีเป้าหมายถึงกลุ่มวะฮาบีย์ที่มักจะมีประเด็นพิพาทฝ่ายอื่น ๆ ตามที่รู้กัน
ในยุคสะลัฟนั้น ต่างฝ่ายก็มีนวทางสะละฟุศศอลิห์ทั้งนั้น แต่เมื่อมีข้อปลีกย่อยที่ต่างกัน ก็จะให้เกียรติโดยพาดพิงการวินิจฉัยไปยังผู้ที่ได้ทำการวินิจฉัย ท่านมัซฮับอิมามชาฟิอีย์ มัซฮับมาลิกี เป็นต้น ส่วนในเรื่องของอะกีดะฮ์ ก็จะมีกลุ่ม อัลอะชาอิเราะฮ์และอัลมุตูรีดียะฮ์ เป็นต้น พวกเขาล้วนอยู่ในแนวทางของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ แต่บรรดาสานุศิษย์ที่มีเห็นพร้องนั้น พวกเขาจะพาดพิงความแตกต่างไปยังอุลามาอฺที่ทำการวินิจฉัย เช่น แนวทางอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ อัลอัชอะรีย์ หรือ อัลมุตูรีดีย์ พวกเขาจะมาแรกตนเองว่า เป็นอะฮ์ลิสซุนนะฮ์กันอย่างเดียว ก็จะทำให้ผู้คนสับสนในข้อปลีกย่อย พวกมั๊วะตะซิละฮ์ ก็บอกว่าตนเองนี่แหละตามสะลัฟ พวกอัลกัรรอมียะฮ์ก็บอกตนเองคือซุนนะฮ์ เมื่อต่างฝ่ายอ้างกันอย่างนี้ ทางเดียวที่แก้ได้คือ การเรียกชื่อกลุ่ม เพื่อแยกแยะระหว่างแนวทางของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์และพวกบิดอะฮ์
ตามนัยดังกล่าวนี้ ท่านอิมาม อัลหาฟิซฺ อิบนุ อะซากิร ได้กล่าวไว้ในหนังสือ "ตับยีน กัซบฺ อัลมุฟตะรีย์" ว่า " เราไม่ได้ทำการอ้างพาดพิงกับมัซฮับของเราในเรื่องหลักเตาฮีดไปยังอิมามอัลอัชอะรีย์บนความหมายที่ว่าเราทำการตักลีดเขาในเรื่องเตาฮีดและเราได้ยึดถือกับตัวเขา แต่เรามีความเห็นสอดคล้องกับเขา กับสิ่งที่เป็นทัศนะของเขาจากเรื่องเตาฮีดเพราะว่ามีบรรดาหลักฐานมายืนยันถึงความถูกต้อง ไม่ใช่เพียงเพราะการตัดลีด และแท้จริง ส่วนหนึ่งจากพวกเราได้ทำการพาดพิงไปยังมัซฮับของอิมามอัล-อัชอะรีย์นั้น เพื่อที่จะแยกออกจากพวกบิดอะฮ์ที่ไม่ได้กล่าวทัศนะตามท่านอิมามอัล-อัชอะรีย์" ดู หน้าที่ 362
ดังนั้น การเรียกว่าวะฮาบีย์ เรียกว่าอัลอะชาอิเราะฮ์นั้น เพื่อจะให้เข้าใจหลักอะกีดะฮ์ที่แตกต่างกันทั้งสองฝ่าย ผมเองนั้นก็พยายามที่จะให้ใจเป็นธรรม โดยพยายามเรียกแนวทางของตนเองว่า อัลอะชาอิเราะฮ์ ไม่ยอมเรียกว่า อะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์เป็นหลัก นั่นก็เพราะว่า ยังมีกลุ่มอัลมะตูรีดียะฮ์ที่เป็นอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์อยู่ด้วย ผมขอยกตัวอย่างให้ชัดเจนยิ่งขึ้น คือ หากมีคนหนึ่งมาพูดว่า แนวทางอะฮ์ลิสซุนนะฮ์เชื่อว่าอัลกุรอานกะลามุลลอฮ์ที่ฮาดิษ(บังเกิดขึ้นใหม่) แล้วมีอีกคนหนึ่งบอกว่า แนวทางอะฮ์ลิสซุนนะฮ์เชื่อว่าอัลกุรอานเป็นกะลามุลลอฮ์ที่ก่อดีม(ไม่มีจุดเริ่มต้น) คนทั่วไปเขาก็งงไม่สามารถแยกแยะได้ว่าใหนคือแนวทางอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ แต่ถ้าหากเอ่ยชื่อกลุ่ม ก็จะเข้าใจและแยกแยะได้ว่า วะฮาบีย์เชื่อกะลามุลลอฮ์ที่เป็นอัลกุรอานนั้นฮาดิษ ส่วนอัลอะชาอิเราะฮ์เชื่อว่ากะลามุลลอฮ์ที่เป็นอัลกุรอานนั้นก่อดีม
คุณบอกว่า "กลุ่มที่ถูกเรียกว่าวาฮาบีย์ (ในความเข้าใจส่วนตัว)พยายามยึดหลักฐานที่มาจากกุรอาน ฮาดีษ และมติอูลามาอ์ในยุคสลัฟเป็นเกณฑ์" ผมก็บอกได้เช่นกันว่า "กลุ่มอัลอะชาอิเราะฮ์ก็ยึดหลักฐานที่มาจากอัลกุรอาน ฮะดีษ และมติของอุลามาอฺสะลัฟมาเป็นเกณฑ์" เช่นกัน แต่สะลัฟนั้น มีหลายพวก เช่น พวกมั๊วะตะซิละฮ์ก็อยู่ในยุคสะลัฟ พวกอัลกัรรอมียะฮ์ก็อยู่ในยุคสะลัฟ พวกค่อวาริจญฺก็อยู่ในยุคสะลัฟ จนกระทั่งบางกลุ่มที่บอกว่าตามสะลัฟ ไปเลือกทัศนะของมั๊วะตะซิละฮ์มาบ้าง เลือกทัศนะของพวกอัลกัรรอมียะฮ์มาบ้าง แล้วบอกว่าลางทีทัศนะของพวกบิดอะฮ์นั้นก็ถูกต้องเหมือนกัน เพื่อนำมาสนับสนุนหลักอะกีดะฮ์ของตน สรุปแนวทางของตนหาที่ผิดไม่ได้ เป็นต้น
ผมนั้นไม่เน้นเกี่ยวกับข้อปลีกย่อยทางฟิกห์ของวะฮาบีย์หรอก แต่ผมเน้นเรื่องอะกีดะฮ์ที่ระบุมาจากตำราของอุลามาอฺวะฮาบีย์มาเป็นชื่อเรียกของกลุ่ม "วะฮาบีย์" ในปัจจุบัน ส่วนบุคคลใดที่รู้สึกว่าตนเองถูกเรียกว่าวะฮาบีย์ แต่ไม่ยอมรับหลักอะกีดะฮ์ที่อุลามาอฺวะฮาบีย์ปัจจุบันเข้าใจ อันนี้ผมไม่ได้หมายถึง
วัลลอฮุอะลัม
Re: ปรับความเข้าใจ "คำนิยามวะฮาบีย์" ระหว่าง al-azhary กับ laliklalee By: laliklalee Date: พ.ค. 24, 2010, 05:08 PM
เป็นข้อมูลที่ดีครับ แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ตอบคำถามที่ผมตั้งไว้แม้แต่ข้อเดียว อย่าเพิ่งหลงประเด็นครับ ตามหัวข้อกระทู้เป็นการพูดถึง "นิยาม" หรือเกณฑ์การเรียกกลุ่ม "วาฮาบีย์" ที่ท่านเองได้ให้ไว้ในเวบนี้ และเป็นสาเหตุที่ทำให้มีกระทู้นี้เกิดขึ้น
ไฉนเลยท่านจึงเลือกไปเล่าเรื่องที่เป็น มาตรฐานการเลือกข้อมูลมานำเสนอของท่าน จริยธรรมท่าน ข้อเท็จจริงในความแตกต่างทางแนวคิดที่แตกออกมาเป็นสำนักคิดในอดีต หรือวัตถุประสงค์ของการตั้งฉายา "วาฮาบีย์" แทนที่จะชี้แจงประเด็นที่ผมแย้งอย่างตรงไปตรงมา
กรุณาจับประเด็นแล้วพูดคุยในประเด็น เพื่อปรับความเข้าใจระหว่างผม กับ ท่าน ตามเจตนารมณ์ที่ท่านตั้งเป็นชื่อกระทู้ด้วยครับ
ขอบคุณมากครับ
Re: ปรับความเข้าใจ "คำนิยามวะฮาบีย์" ระหว่าง al-azhary กับ laliklalee By: al-azhary Date: พ.ค. 24, 2010, 05:19 PM
salam
ใจเย็น ๆ ครับ ผมยังไม่ตอบคำถามคุณเป็นประเด็นครับ ผมแต่อยากจะเกริ่นนำเพื่อชี้แจงสิ่งที่น้อง al-firdaus~* นำเสนอมาครับ และบางทีอาจจะเกี่ยวข้องกับคำถามของคุณในบางส่วนก็ได้น่ะครับ
ประเด็นของกระทู้นี้ คือปรับระหว่างคุณผมกับผม โดยมีคำว่า "วะฮาบีย์" มาเป็นตัวขับเคลื่อนเสวนา อินชาอัลลอฮ์ โปรดติดตาม
Re: ปรับความเข้าใจ "คำนิยามวะฮาบีย์" ระหว่าง al-azhary กับ laliklalee By: laliklalee Date: พ.ค. 24, 2010, 06:38 PM
แล้วไปครับ ยังงัยก็ไม่ต้องรีบร้อน จะรออ่านแล้วกันครับ
...
ท่านศาสดามุฮำมัด(ศ) ได้กล่าวว่า : แท้จริงประชาชาติของศาสดามูซา (อ) ได้แตกออกภายหลังจากเขาเป็น 71 จำพวก มีหนึ่งกลุ่มเท่านั้นที่รอด ส่วนอีก 70 อยู่ในไฟนรก และประชาชาติของศาสดาอีซา (อ) ได้แตกออกภายหลังจากเขาเป็น 72 จำพวก มีหนึ่งกลุ่มเท่านั้นที่รอด ส่วนอีก 71 อยู่ในไฟนรก และแท้จริงประชาชาติของฉัน จะแตกออกภายหลังจากฉันเป็น 73 จำพวก มีกลุ่มเดียวเท่านั้นที่รอด ส่วนอีก 72 จะอยู่ในไฟนรก ( หนังสือบิฮารุล อันวาร เล่มที่ 28 หน้า 4 บาบที่ 1 อิ๊ฟติรอกุลอุมมะติ บ๊ะอ์ดัน-นบี (ศ) ) ซึ่งเมื่อมีผู้ถามว่า “โอ้ เราะสูลของอัลลอฮฺ พวกเขา(ที่ได้เข้าสรรค์นั้น)เป็นใคร?” ท่านตอบว่า “อัล ญะมาอะฮฺ” ” (รายงานโดยอิบนุมาญะฮฺ 2/1322) ในบางสำนวนท่านนบีฯ ได้เปิดเผยกลุ่มที่รอดเอาไว้ว่า “... มีคนถามว่า กลุ่มนั้นคือใครกัน โอ้เราะซูลของอัลลอฮฺ? ท่านตอบว่า สิ่งที่ฉันและเศาะฮาบะฮฺของฉันดำรงอยู่”(รายงานโดยอัตติรมิซียฺ 5 /26, รายงานโดยอัล-หากิม 1 / 128)
Re: ปรับความเข้าใจ "คำนิยามวะฮาบีย์" ระหว่าง al-azhary กับ laliklalee By: al-firdaus~* Date: พ.ค. 24, 2010, 08:10 PM
ต้องขออภัย จะแก้ไข ดันลบ
ความเดิม
ไม่อยากให้แตกประเด็นจากนิยามของคำว่าวะฮาบีย์ที่คุณ laliklalee อยากรู้
หากว่า เป็นการร้อนตัวไป ต้องขอมะอัฟด้วยนะคะ
เห็นคุณโพสต์เรื่องประชาชาติ 73 พวก มา
เกรงว่า พี่น้องของเราจะโพสต์ตอบ
ประเด็นอาจแผ่วงกว้าง
กระชับวงล้อม ดีไหม? 
ครับเห็นท่านอัชอารีย์พูดถึงกลุ่มต่างๆมากมาย จึงนึกถึงฮาดีษบทนี้ครับ ยกมาเป็นอุทาหรณ์คั่นเวลาเฉยๆ อย่าเพิ่งตัวร้อนไป ^_^ วงล้อมยังเหมือนเดิมครับ
Re: ปรับความเข้าใจ "คำนิยามวะฮาบีย์" ระหว่าง al-azhary กับ laliklalee By: ILHAM Date: พ.ค. 24, 2010, 10:29 PM
ก๊ะ อย่าไปแก้ เสียอรรถรสหมด ถ้าไม่ดียังไงเดี๋ยวอัสฮารีคงมาแก้เอง
Re: ปรับความเข้าใจ "คำนิยามวะฮาบีย์" ระหว่าง al-azhary กับ laliklalee By: al-azhary Date: พ.ค. 24, 2010, 11:52 PM
แต่ก็น่าเป็นที่กังขาอยู่ดีครับแม้ว่าท่านอัชอารีย์จะบอกว่า การใช้ความต่างของอะกีดะฮ์ เป็นเกณฑ์ที่ตั้งขึ้นเพื่อแยกผู้อ้างว่ามีอากีดะฮ์เป็น "อะฮ์ลิสซุนนะฮ์" ออกจากกันเป็นกลุ่มอากีดะฮ์แบบ "อะชาอิเราะฮ์" และกลุ่มอากีด๊ะฮ์แบบ "วาฮาบีย์" มันก็ยังขาดจุดเชื่อมโยงสำคัญอยู่ดี
ความแตกต่างของอะกีดะฮ์ คือสิ่งที่แบ่งแยกแนวทาง ตรงนี้ชัดเจนครับ แต่หากแตกต่างในวิธีการอ้างหลักฐานและมีเป้าหมายสรุปเดียวกันคือยืนยันในซีฟาตและยืนยันความบริสุทธิ์(อัตตันซีฮ์)ต่ออัลลอฮ์ตะอาลา อันนี้ถือว่าแตกต่างด้านถ้อยคำแต่แก่นแท้นั้นไปสู่เป้าหมายเดียวกัน เช่น แนวทางของอัลอะชาอิเราะฮ์ , อัลมะตูริดียะฮ์ , อัลอะษะรียะฮ์(อัลมุเฟาวิเฏาะฮ์)จากปราชญ์มัซฮับบาลีย์ที่อยู่ในแนวทาง(อัลฟุเฏาะลาอฺ) ทั้งหมดนี้ล้วนอยู่ในแนวทางของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์
หากวิธีการอ้างหลักฐานต่างกันและเป้าหมายไม่ตรงกัน คือนำไปสู่การตัชบีห์(พรรณาคุณลักษณะของอัลลอฮ์โดยมีความคล้ายคลึงกับมัคโลค)และยอมรับว่าอนุญาตให้อัลลอฮ์เป็นรูปร่างได้แม้จะไม่เหมือนกับมัคโลค อันนี้คงเป็นตัวทำให้ขาดการเชื่อมโยง นั่นคือทำไมแยก"อาชาอิเราะฮ์" ออกมาแล้ว ต้องเหลือเพียง "วาฮาบีย์" ทั้งๆที่ผู้ที่อ้างตนเองเป็นมุสลิมไม่ว่ากลุ่มใดที่เหลือ ก็ล้วนอ้างตนเองมีอากีดะฮ์ดั้งเดิม เป็น "อะฮ์ลิสซุนนะฮ์" ทั้งสิ้น ชีอะฮ์ก็บอกว่าตนคือซุนนะฮ์ที่แท้จริง ซูฟีย์ มั๊วตะซิลละฮ์ กอดญานีย์ ฯลฯ สิ่งหนึ่งที่ยังไม่ถูกเกณฑ์คัดเลือกออกมา กลับเป็นหนึ่งในเงื่อนไขของเกณฑ์คัดเลือกนั้นเสียเอง เป็นไปได้อย่างไรกัน?
แก่นแท้แล้วชีอะฮ์ไม่ได้บอกว่าตนเองว่าเป็นอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ แต่พวกเขาอ้างว่าตนเองคืออะฮ์ลิสซุนนะฮ์ที่แท้จริงเพื่อให้ชาวอะฮ์ลิสซุนนะฮ์โน้มเอียงไปสู่หลักการของพวกเขาและหลงเชื่อจนคิดว่าหลักการของชีอะฮ์คืออะฮ์ลิสซุนนะฮ์ แต่ปัจจุบันพวกเขาก็ยังบอกยืนยันว่าตนเองคือชีอะฮ์ ส่วนพวกมั๊วะตะซิละฮ์เชื่อว่าตนเองมีอะกีดะฮ์ตามหลักอัลกุรอาน , ตามนบี , และซอฮาบะฮ์, แต่เมื่อสัจธรรมมา อธรรมต้องมลายสิ้นไป โดยปราชญ์อะฮ์ลิสซุนนะฮ์ของจริง ได้ทำการโต้ตอบพวกมั๊วะตะซิละฮ์จนกระทั่งพวกเขายอมมุดหัวเข้าไปอยูในกรวยและหมดบทบาทลง
แต่เว็บแห่งนี้ เมื่อทำการเสวนากัน ลิซานุลฮาล (ลิ้นที่บ่งบอกออกมาเชิงการกระทำ)นั้น ได้บ่งชัดว่า ความแตกต่างของอะกีดะฮ์ของผู้ที่บอกว่าเป็นอะฮ์ลิสซุนนะฮ์นั้น มี อัลอะชาอิเราะฮ์กับวะฮาบีย์ เท่านั้น เพราะไม่มีพวกมั๊วะตะซิละฮ์เข้ามาเสวนและเรียกร้องตนเองว่าเป็นอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ ไม่มีชีอะฮ์มาเรียกร้องตนเองว่าเป็นอะฮ์ลิสซุนนะฮ์
ดังนั้นในปัจจุบัน ผู้ที่อ้างตนเองว่าเป็นอะฮ์ลิสซุนนะฮ์มากที่สุดคือวะฮาบีย์ เราจึงต้องชี้แจงเพื่อให้พี่น้องมุสลิมทราบว่า นี้คือหลักอะกีดะฮ์อะฮ์ลิสซุนนะฮ์ที่ถูกต้อง นั้นคือหลักอะกีดะฮ์อะฮ์ลิสซุนนะฮ์ ตรงนี้ย่อมเป็นเกณฑ์สำคัญในการแยกแยะแนวทาง ท่านอ้างว่าอากีดะฮ์ของผู้ที่ไม่เหมือนกับที่ท่านยึดถือ แยกตัวออกไปเป็น "วาฮาบีย์" เท่านั้นหรือ?
อะไรคือเอกลักษณ์นอกเหนือจากสองประการที่ท่านว่า ท่านต้องเล่าให้หมดครับ
1.ผุ้ที่เชื่อว่าหากผู้อื่นทำสิ่งที่ไม่เหมือนกับตนจะถูกฮุกุ่มทำบิดอะฮ์
2.ผู้ที่ยึดมั่นอะกีดะฮ์ที่มีความต่างออกไป (เฉพาะระหว่าง อะชาอิเราะฮ์ กับ ที่เหลือ (แต่ท่านอ้างว่าเฉพาะวาฮาบีย์) โดยไม่นับอากีดะฮ์อื่นๆที่ไม่ประกาศตัวว่าตามนบีเช่น พุทธ คริส เป็นต้น)
3. ?
สิ่งที่ผมได้พูดว่า อะกีดะฮ์ต่างกันนั้น เป็นวะฮาบีย์ เพราะผมกำลังพูดถึงวะฮาบีย์ กรณีแวดล้อมได้บ่งชัดเจนแล้วว่า กำลังพูดกับวะฮาบีย์ เพราะว่าวะฮาบีย์อ้างว่าตนเองคืออะฮ์ลิสซุนนะฮ์ ส่วนแนวทางอื่นผมไม่ได้หมายถึง เพราะไม่ได้อ้างตนเองเป็นอะฮ์ลิสซุนนะฮ์และไม่มีคนที่อยู่ในแนวทางอื่นจากวะฮาบีย์ มาอ้างว่าเป็นอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ เพราะมาตรฐานที่ท่านอ้างมาไม่เพียงพอ และผู้ที่ใช้สติปัญญาวิเคราะห์ดูก็จะเห็นว่าไม่สามารถแยก และคัดกรองมาจนเรียกมุสลิมกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดว่า "วาฮาบีย์" ได้แม้แต่น้อยด้วยเหตุผลที่กล่าวมา
สติปัญญาของคุณเองต่างหากที่ไม่สามารถแยกแยะได้ว่า อะไรคืออะกีดะฮ์วะฮาบีย์ อะไรคืออะกีดะฮ์อัลอะชาอิเราะฮ์ พี่น้องหลายท่านในเว็บนี้เขาสามารถแยกแยะได้ว่า วะฮาบีย์มีอะกีดะฮ์อย่างไร อัลอะชาอิเราะฮ์มีอะกีดะฮ์อย่างไร เพราะพวกเขามีมาตรฐานสำหรับตนเองอย่างเพียงพอ ประการต่อมา ก็คือ การที่ท่านอ้างว่า "วะฮาบีย์เองก็อ้างตนเองว่าเป็นอะฮ์ลิสซุนะฮ์และสะลัฟของแท้ โดยไม่ยอมรับหลักอะกีดะฮ์ที่ไม่เหมือนกับตนว่าเป็นอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ และพยายามประกาศว่าตนเองเท่านั้นที่เป็นอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ ส่วนแนวทางอื่นเบี่ยงเบนหมด" ท่านสามารถอ้างอิงได้หรือไม่ว่าเป็นจุดยืนของใคร? เพราะผมทราบแต่เพียงว่า ผู้ที่อ้างตัวว่าเป็นมุสลิมทุกคน ล้วนอ้างว่าแนวทางที่ตนเองกำลังยึดถืออยู่เป็นแนวทางที่คัดเลือกมาแล้วทั้งสิ้น และล้วนเป็นแนวทางที่เป็นของแท้ ที่เรียกกันว่า "อะฮ์ลิสซุนนะฮ์" แต่ละประเภทอาจแตกต่างกันบางประการในเรื่องการประนีประนอมหลักอากีดะฮ์ที่มุสลิมแต่ละคนมีไม่เหมือนกัน ชีอะฮ์ที่อ้างตนเองเป็น "อะฮ์ลิสซุนนะฮ์" ที่แท้จริงก็ไม่ประนีประนอมเอา "วาฮาบีย์" "อะชาอิเราะฮ์" "กอดญานี" หรือ"ซูฟีย์" แล้วนับเป็นอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ร่วมกับตน "มั๊วตะซิลละฮ์" อาจใจกว้างกว่า แต่เพิ่งทราบวันนี้ว่าอะชาอิเราะฮ์ใจกว้างที่สุดเพราะ "ยอมรับแนวทางอื่นว่าอยู่ในแนวทางของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ด้วย!!" หากท่าอัชอารีย์ใจกว้างประนีประนอมหลักอากีดะฮ์ที่แตกต่างกันแต่ละกลุ่มที่เพียงอ้างตนเองเป็น "อะฮ์ลิสซุนนะฮ์" ก็ยอมรับเป็นแนวทางที่ถูกต้องประหนึ่งมัสฮับเช่นนี้ก็เป็นที่น่าเป็นห่วงมาก เว้นแต่ท่านจะยังสื่อสารออกมาได้ไม่ชัดเจน ซึ่งผมหวังว่าเป็นเช่นนั้น
นักปราชญ์ได้สังเคราะห์ชัดเจนครับว่า แนวทางอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์มี 3 กลุ่ม อัลอะชาอิเราะฮ์ , อัลมุตูรีดียะฮ์ , อัลอะษะรียะฮ์(อัลมุเฟาวิเฏาะฮ์) ซึ่งกระผมไม่ได้คัดกรองจากตัวผมเอง เนื่องจากนักปราชญ์เขามิได้มีจิตใจคับแคบและคิดว่าสัจธรรมถูกกักตุนเพียงแต่กลุ่มตนเองเท่านั้น พวกเขามีจิตใจที่เป็นธรรม ส่วนวะฮาบีย์จะเข้าร่วมเป็นอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ด้วยหรือเปล่านั้น สำหรับผมแล้ว ต้องดูครับว่า สอดคล้องกับแนวทางอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ทั้งสามมัซฮับนี้หรือไม่? หากเชื่อว่าอัลลอฮ์มีรูปร่างแต่ไม่เหมือนมัคโลค หรือเชื่อว่าที่ซาตของอัลลอฮ์มีสิ่งที่บังเกิดขึ้นใหม่สถิตอยู่ หรือยืนยันซีฟัตของอัลลอฮ์ตามความหมายฮะกีกัตตามหลักภาษาอาหรับ(ไม่ใช่แปลแบบฮะกีกัตจากอาหรับเป็นไทย) หรือเชื่อว่าอัลลอฮ์ทรงสถิตนั่งประทับอยู่บนบัลลังก์ ผมถือว่าไม่เป็นแนวทางอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ครับ ประการสุดท้าย สมมติว่าผมผ่านเรื่องเกณฑ์การคัดกรองผู้เป็นวาฮาบีย์ของท่านไปก่อน แล้วมาพิจารณาสภาพความเป็นจริงในปัจจุบันตามที่ท่านอ้างว่า วาฮาบีย์มีการศึกษาดีขึ้น ยอมรับความแตกต่างมากขึ้น ผมก็คงยังไม่สามารถเชื่อถือได้เพราะไม่ได้มีการอ้างอิงดัชนีอะไรที่ชี้วัดออกมาเป็นบทสรุปเช่นนั้น เช่นเดียวกับการอ้างลอยๆว่า ส่วนมากของพฤติกรรมที่เราได้เห็นกันบ่อยตั้งแต่ในอดีต คือวะฮาบีย์ที่บอกว่าตนเองเท่านั้นที่ถูก ก็ไม่ได้มีการหยิบยกการอ้างอิงใดๆมาประกอบให้เป็นตัวแทนกลุ่ม "วาฮาบีย์" แต่อย่างใด
การอ้างอิงแบบ "ลิซานุมะกอล" เชิงคำพูดนั้นไม่สำคัญยิ่งไปกว่า พฤติกรรมที่แสดงออกมาให้เห็น (ลิซานุฮาล) ขึ้นเวทีเถียงกันคอเป็นเอ็นกับเรื่องข้อปลีกย่อย จนกระทั่งมีหนังสือบางเล่มออกมาโดยระบุว่าการมีมัซฮับเป็นบิดอะฮ์ ซึ่งเป็นตำราที่ออกโดยกลุ่มวะฮาบีย์ แต่ปัจจุบันเบาลงแล้ว เพราะต่างฝ่ายเริ่มเข้าใจแก่นแท้ของชารีอะฮ์มากขึ้น เริ่มเข้าใจหลักฐานของแต่ละฝ่าย อัลฮัมดุลิลลาฮ์
แต่เรื่องอะกีดะฮ์นั้น ผมศึกษาดูแล้ว ไปด้วยกันไม่ค่อยได้ เพราะสถาบันวะฮาบีย์ได้ทำการสอนอะกีดะฮ์เพื่อโจมตีอัลอะชาอิเราะฮ์ ซึ่งประกาศชัดเจนถึงแนวทางที่ไปด้วยกันไม่ค่อยได้ บางมหาลัยของวะฮาบีย์ทำการสอนอะกีดะฮ์เพื่อโจมตีอัลอะชาอิเราะฮ์อยู่ด้วย ทางเราจึงจำเป็นที่จะต้องชี้แจงข้อเท็จจริงของแนวทางอัลอะชาอิเราะฮ์ และนำเสนอหลักอะกีดะฮ์ของวะฮาบีย์ที่ต่างจากอะฮ์ลิสซุนสะละฟุศศอลิห์
ส่วนวะฮาบีย์ที่มั๊วะตะดิ้ล เป็นกลาง ไม่ฮุกุ่มแนวทางอัลอะชาอิเราะฮ์เป็นพวกเบี่ยงเบนและเป็นพวกบิดอะฮ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนเอาวามทั่วไปที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ไม่รู้ลึกถึงอะกีดะฮ์วะฮาบีย์ ผมถือว่าเป็นอะฮ์ลิสซุนนะฮ์นี่แหละ ตามทัศนะของผมถือว่าไปด้วยกันได้ แต่หากฮุกุ่มแนวทางอัลอะชาอิเราะฮ์ เป็นพวกเบี่ยงเบน ผมก็จะขอฮุกุ่มกลับไปเช่นกันตามหลักฟัตวาของอุลามาอฺอัลอะชาอิเราะฮ์ว่า วะฮาบีย์กลุ่มที่มีความเชื่อดังกล่าว เป็นพวกบิดอะฮ์อย่างมิต้องสงสัย เพราะไม่มีเหตุผลอันใดที่จะมารับรองผู้ที่กล่าวหาอัลอะชาอิเราะฮ์บิดอะฮ์ ว่าเป็นอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ นี่คือกฏเกณฑ์ที่ผมยึดอยู่ เป็นกฏเกณฑ์ที่ตรงไปตรงมา ไม่ตะกียะฮ์อำพราง
คุณ laliklalee ครับ กระดุมเม็ดแรกของคุณนั้น เป็นกระดุมเม็ดเดียวกับผมหรือว่าคนละเม็ดกันครับ แต่ที่แน่ ๆ คือวะฮาบีย์ที่ตะอัศศุบบางส่วนที่ไม่พอใจผม เพราะกฏเกณฑ์ของผมชัดเจนซึ่งผมเองก็ไม่บังคับผู้ใดให้มาตามอุดมการณ์ของผมน่ะครับ แต่ถ้าหากคุณ laliklalee จะมาปรับให้ผมโน้นเองให้ยอมรับวะฮาบีย์ทั้งหมด เราคงจะเดินคนละทางแล้วล่ะครับ เพราะผมเคยคุยกับอาจารย์วะฮาบีบางคน(ขอสงวนนาม)ว่าให้ผมหยุดเรื่องวะฮาบีย์ก่อนโดยช่วยกันโต้ชีอะฮ์ แต่ปากเขาก็ยังโจมตีแนวทางที่ผมยึดอยู่ หวังว่าคุณไม่ใช่เป็นคนอย่างนั้นน่ะครับ
ก็ขอต่ออัลลอฮ์โปรดทรงชี้นำกระผมและคุณ laliklalee ครับ
วัลลอฮุอะลัม
Re: ปรับความเข้าใจ "คำนิยามวะฮาบีย์" ระหว่าง al-azhary กับ laliklalee By: laliklalee Date: พ.ค. 25, 2010, 09:12 PM
salam
เช่นกันครับ ขออัลลอฮ์ทรงตอบรับดุอาร์ท่านให้กับเราทั้งคู่ และแผ่ไปสู่พี่น้องที่ไม่ยุติการแสวงหาความจริง
ผมขออนุญาตถือว่าท่านอัชอารีย์ได้ตอบคำถามแล้ว เพราะท่านอ้างประเด็นผมทีละประเด็น คงไม่ได้เกริ่นนำอะไรอีกนะครับ
ท่านอัชอารีย์ครับ ผมลำบากใจที่จะบอกว่า ท่านกำลังหลงประเด็นอีกแล้วครับ ตามหัวข้อกระทู้นี้ เรากำลังพูดถึง "นิยาม" หรือเกณฑ์การเรียกกลุ่ม "วาฮาบีย์" ที่ท่านเองได้ให้ไว้ในเวบนี้ โดยท่านใช้หลักเกณฑ์เพียง สองข้อ คือ ใช้เรียกผู้ที่
1.เชื่อว่าหากผู้อื่นทำสิ่งที่ไม่เหมือนกับตนจะฮุกุ่มว่าบิดอะฮ์ทั้งหมด ซึ่งท่านมาขยายความภายหลังว่าเป็นประเภท วะฮาบีย์ฮาร์ดคอร์ บางคน
2.ยึดมั่นอะกีดะฮ์ที่มีความต่างออกไปจากแนวทางอะชาอิเราะฮ์ ซึ่งท่านมาขยายความภายหลังว่านับเฉพาะผู้ที่อ้างว่าตนเองเป็นอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ แต่พอผมยกว่าผู้ที่อ้างนั้นมีหลายกลุ่ม ท่านก็บอกว่านับเฉพาะอะชาอิเราะฮ์กับวาฮาบีย์ที่มาเสวนาอ้างตนเองเป็นอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ในเวบ
ท่านไม่เรียกเพียงเพราะเป็นผู้ที่ไม่อ่านอุซ๊อลลี , ไม่ลูบหน้าหลังให้สลามตอนละหมาดเสร็จ , ไม่อ่านตัลกีน , ไม่ทำเมาลิดรำลึกถึงท่านนบี , ไม่อ่านกุนูต แต่ด้วยเหตุผลที่ผมคงไม่ยกมาซ้ำซาก จึงพยายามถามท่านถึงเหตุผลข้ออื่นๆอีกที่ท่านใช้นิยามคำว่า “วาฮาบีย์”
แม้ที่ผ่านมาท่านย้อนไปเล่าถึง มาตรฐานการเลือกข้อมูลมานำเสนอของท่าน จริยธรรมท่าน ข้อเท็จจริงในความแตกต่างทางแนวคิดที่แตกออกมาเป็นสำนักคิดในอดีต หรือวัตถุประสงค์ของการตั้งฉายา "วาฮาบีย์" ในกระทู้ที่แล้ว และได้ชี้แจงภายหลังว่า ท่านยังไม่ได้ตอบคำถาม
แต่พอท่านให้คำตอบในกระทู้นี้ผมผิดหวังมากครับ
ประการแรก ท่านตีความหมายจุดเชื่อมโยงที่ขาดหายไป ว่าเป็นความไม่สมเหตุสมผล(ในความคิดท่าน) ของการอ้างอากีดะฮ์ในฝ่ายนอกลู่นอกทาง ทั้งที่กระผมพยายามเหลือเกินที่ยังไม่เสวนาไปสู่จุดนั้น จึงย้ำอย่างหนักแน่นว่าเรามาปรับความเข้าใจจให้ตรงกันก่อนดีกว่าในนิยามของ “วาฮาบีย์”
ท่านอัชอารีย์ครับ.. เกณฑ์ของท่านสองข้อต่างหากครับที่ยังขาดจุดเชื่อมโยงที่จะนำไปสู่การชี้ชัดไปได้ว่าคนนี้วาฮาบีย์ คนนี้ไม่ใช่ ถ้าท่านยังตอบประเด็นนี้ไม่ชัดเจน การอ้างว่านั่นอูลามาอ์วาฮาบีย์ นี่ตำราวาฮาบีย์ นี่อากีดะฮ์วาฮาบีย์ ก็คงจะมีอยู่ไม่จบไม่สิ้น หากท่านเลือกตอบประเด็นนี้โดยการนำเนื้อหาส่วนใหญ่ที่ผู้ยึดถืออะลุสซุนนะฮ์วัลญามาอะฮ์พึงจะเข้าใจตรงกันอยู่แล้ว นำมาเล่าใหม่เป็นแนวทางอะชาอิเราะฮ์ ที่ยึดถือเพียงฝ่ายเดียว ก็ต้องเรียกว่าไม่เป็นธรรมอีกเรื่องหนึ่ง
อะลุสซุนนะฮ์วัลญามาอะฮ์ ที่ผมเองรู้จักก็ไม่ได้เอาเรื่องความแตกต่างในวิธีการอ้างหลักฐานมาเป็นเกณฑ์ในการแบ่งแยกมุสลิมออกไปจากกลุ่มเหมือนกันกับที่ท่านอ้าง หากมุสลิมเหล่านั้นมีเป้าหมายสรุปเดียวกัน คือยืนยันในซีฟาตและยืนยันความบริสุทธิ์ต่ออัลลอฮ์ตะอาลา พวกเขาย่อมถือเป็นกลุ่มเดียวกันคืออะลุสซุนนะฮ์วัลญามาอะฮ์ แต่การที่ท่านเอาที่ตรงกับความคิดท่านเองมาใส่ว่ากลุ่มคนที่ไม่เชื่อแบบนี้ต้องคิดว่า คุณลักษณะของอัลลอฮ์มีความคล้ายคลึงกับมัคโลค อัลลอฮ์มีรูปร่างพรรณนาได้ เป็นกลุ่มที่หลุดออกไปนอกกลุ่มที่อยู่ในแนวทาง ทั้งที่กลุ่มนี้พยายามเหลือเกินที่จะไม่ไปพรรณนา หรือตีความใดๆกับคำที่พระองค์ใช้สื่อถึงคุณลักษณะของพระองค์เองให้เกินเลยหลักฐานที่ปรากฏอยู่ และต่อต้านพฤติกรรมดังกล่าวอย่างแข็งขัน ท่านยุติธรรมแล้วหรือ?
ประการที่สอง ท่านกำลังหลงประเด็นไปนำเรื่องความจริงที่ขัดแย้งกับสิ่งที่อ้างมาเป็นเกณฑ์ย่อย ชีอะฮ์อ้างซุนนะฮ์ที่แท้จริง ความจริงเป็นอย่างไรผมกับท่านย่อมรู้ดี มั๊วตะซิลละฮ์อ้างขัดกับความจริงอย่างไรผมกับท่านย่อมรู้ดี แต่เกณฑ์ข้อที่สองของท่านหากใช้ความจริงที่ขัดแย้งกับข้ออ้างมาเป็นเกณฑ์ย่อยแล้ว แน่นอนว่าท่านย่อมมองว่า กลุ่มคนที่เชื่อในแนวทาง วาฮาบีย์ก็ย่อมตกเป็นเหมือนๆชีอะฮ์ มั๊วตะซิลละฮ์ ฯลฯ เช่นกัน คือความจริงขัดแย้งกับสิ่งที่อ้าง แน่นอนว่าแก่นแท้ ใครจริงไม่จริงแท้เป็นเรื่องที่ต้องพิสูจน์กันต่อไป แล้วท่านจะใช้เกณฑ์ย่อยอันนี้ ไปอยู่ในเกณฑ์หลักในข้อ 2 ของท่านได้อย่างไร? แต่ผมเข้าใจว่าท่านอาจมองเห็นข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ จึงใส่เกณฑ์ย่อยลงไปอีกว่าเอาเฉพาะแนวทางที่มาเสวนา แบบลิซานุลฮาล ในเวบนี้ เท่านั้น ที่ท่านอ้างว่ามีเฉพาะกลุ่ม วาฮาบีย์ กับ อะชาอิเราะฮ์ ซึ่งก็ไม่ทราบว่าท่านรู้ได้อย่างไร?ว่าเป็นเช่นนั้นจริง เพราะอากีดะฮ์ที่อำพรางหรือตะกียะฮ์อยู่นั้นย่อมไม่น่าจะมีเพียงชีอะฮ์ที่มักกระทำกัน หรือท่านจะใช้เกณฑ์ความรู้สึกเป็นหลัก เพราะเห็นอ้างอิงอีกว่า “วาฮาบีย์” คือผู้ที่อ้างว่าตนเองเป็นอะฮ์ลิสซุนนะฮ์มากที่สุด คือมากกว่าแนวทางอื่นๆ ท่านใช้เกณฑ์ใดวัดไม่ทราบ ? สถิติ ที่เป็นตัวเลขความถี่ หรือปริมาณ? และจากแหล่งใด? ในเมื่อทุกกลุ่มก็อ้างว่าตนเองต่างหากที่เป็น 1 กลุ่มที่รอดตามฮาดีษนบีระบุชื่อเอาไว้ว่า “อัล ญะมาอะฮฺ” แล้วใครจะปฏิเสธว่าตนเองไม่ใช่ เป็นชีอะฮ์ต่างหาก เป็นวาฮาบีย์ต่างหาก เป็นมั๊วตะซิลละฮ์ต่างหาก หืมท่านอัชอารีย์
ประการที่สาม ดูเหมือนว่าสุดท้าย ท่านก็จะออกอาการถอดใจ ตอบแบบกำปั้นทุบดินเสียแล้วว่า การที่ท่านพูดว่าเกณฑ์ที่เป็นเอกลักษณ์โดดเด่นของวาฮาบีย์นั้น เพราะท่านกำลังพูดถึงวาฮาบีย์งัย คือวาฮาบีย์นั้นมีมาก่อนหน้าเกณฑ์ที่ท่านอ้างแล้ว แล้วยังกล่าวลอยๆว่าสติปัญญาผมแยกแยะไม่เป็นเสียเอง พี่น้องหลายท่านเขาแยกแยะได้อยู่แล้ว ท่านบอกว่าเป็นเพราะพวกเขามี”มาตรฐานตนเอง”อย่างเพียงพอ ก็เลยกลายเป็นว่า มาตรฐานใครมาตรฐานมันใช่หรือไม่? เฉกเช่นมาตรฐานตนเองเพียงพอเช่นที่ท่านมี และประกาศมาให้รู้ทั่วกันอยู่สองข้อ ซึ่งถ้าถามลงลึกในรายละเอียดจริงๆก็จะเป็นอย่างที่เห็นใช่หรือไม่? ก็เข้าทำนองที่ผมกล่าวมาแล้วว่า “สิ่งหนึ่งที่ยังไม่ถูกเกณฑ์คัดเลือกออกมา กลับเป็นหนึ่งในเงื่อนไขของเกณฑ์คัดเลือกนั้นเสียเอง” คือมีอยู่แล้ว หรือเป็นที่รู้กันอยู่แล้ว หรือเป็นที่ตั้งฉายากันล่วนหน้ามานานแล้วโดยบรรดาอูลามาอ์ ปวงปราชญ์ที่ท่านยกขึ้นมาอ้างในหัวข้อถัดมา
จริงๆแล้วหากท่านอัชอารีย์อ้างเกณฑ์ของปวงปราชญ์มาตั้งแต่ต้นอาจไม่ต้องมาถกในเกณฑ์ 2 เกณฑ์ของท่านที่ประกาศออกมาในเวบนี้ ก็ไม่ทราบว่าก่อนท่านจะเรียกตามปวงปราชญ์เหล่านั้นทราบหรือยังว่าปราชญ์เหล่านั้นใช้เกณฑ์ใดบ้างในการกำหนดคุณลักษณะของวาฮาบีย์ เพราะผมเห็นว่าหากท่านเอาทรรศนะส่วนตัวของท่านเองก็จะออกมาแบบนี้คือมีแต่ความขัดแย้ง จนต้องโยนไปหามาตรฐานส่วนตัวของคนอื่น หรือปวงปราชญ์ในอดีต ท่านมีข้อมูลไหม?
พูดเรื่องทรรศนะส่วนตัวที่ท่านเพิ่งยกมากล่าวอ้าง เรื่องวาฮาบีย์สายกลาง ที่ไม่ใช่วาฮาบีย์ฮาร์ดคอร์ ผมเห็นว่าเป็นทรรศนะที่ค่อนข้างขัดแย้งกับตัวท่านเอง และดูเหมือนท่านจะยังไม่ตกผลึกทางความคิดสักเท่าไหร่นัก เพราะ
1. ท่านเองอ้างว่าปัจจุบันนี้ วาฮาบีย์รุ่นใหม่ๆมีการศึกษาดีขึ้นจึงรู้จักความแตกต่างทางศาสนา ไม่กล่าวหาอากีดะฮ์อื่นๆว่าบิดอะฮ์เหมือนอดีต แต่ในที่สุดท่านเองก็บอกว่าวาฮาบีย์มั๊วะตะดิ้ลเหล่านี้ ก็เป็น คนเอาวามทั่วไปที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ไม่รู้ลึกถึงอะกีดะฮ์วะฮาบีย์ (ไม่ทราบหมายถึงสุดโต่งหรือไม่?) ก็เป็นคนไร้การศึกษานั่นเอง และ
2. หากวาฮาบีย์มั๊วะตะดิ้ลเป็นเป็นอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ในทรรศนะท่านจริง? ท่านใช้เกณฑ์ใดแยกพวกเขาออกจากอากีดะฮ์อะชาอิเราะฮ์ไม่ทราบ? หรือท่านเพียงถือว่าพวกนี้มีอากีดะฮ์แบบวาฮาบีย์ทั่วไปแต่ตราบใดที่ไม่กล่าวหาอะชาอิเราะฮ์เป็นบิดอะฮ์ ก็ถือว่ายอมรับเป็นอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์เดียวกับท่านได้แล้ว??? แสดงว่ามาตรฐานในการเรียกผู้ที่มีอากีดะฮ์แตกต่างจากอะชาอิเราะฮ์ ให้เรียกว่าเป็นวาฮาบีย์ แต่อากีดะฮ์วาฮาบีย์ไม่ทำให้ออกจากอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ได้ ต้องกล่าวหากลุ่มอื่น หรืออะชาอิเราะฮ์ด้วยจึงจะถือว่าอยู่นอกกลุ่ม เป็นอย่างนั้นหรือไม่ท่านอัชอารีย์?
ถ้าหากมีวาฮาบีย์สายกลางที่มีสิทธิพิเศษเช่นนี้จริง ก็น่าสนใจมาก และจะย้อนกลับไปสู่คำถามที่ผมเคยตั้งเอาไว้ว่า เส้นแบ่งนั้นอยู่ตรงไหน? เพราะเห็นท่านอัชอารีย์อ้างว่าเกริ่นนำไว้เพื่อตอบคำถามนี้ในกระทู้ที่ผ่านมาแล้ว แต่ผมก็ยังไม่เห็นคำตอบใดๆ
เท่าที่อ่านมาในคำว่า “วาฮาบีย์” ของท่านนั้น มีทั้งวาฮาบีย์สุดโต่ง (ฮาร์ดคอร์) วาฮาบีย์สายกลาง (วาฮาบีย์หย่อนยาน ขาดการศึกษา หรือ วาฮาบีย์มีการศึกษา ก็ไม่ชัดเจน?) ที่ฮูก่มแตกต่างกันชัดเจนคือเป็นอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์กับไม่เป็น เรื่องนี้จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ท่านควรจะปกป้องสิทธิ์ของผู้ที่มีอากีดะฮ์แบบวาฮาบีย์ แต่ไม่ได้เอาตนเองเป็นที่ตั้ง ยึดมั่นเอาอัลลอฮ์และรอซู้ลเป็นที่ตั้ง แม้ไม่ได้ออกมาทำหน้าที่ฮูก่มแนวทางที่แตกต่างออกไปจะด้วยเหตุผลกลใด จะอ่อนแอ ไม่แน่ใจ หรือ ไม่รู้ ก็แล้วแต่ คนกลุ่มนี้ท่านเรียกว่า “วาฮาบีย์สายกลาง” ขอให้ท่านอัชอารีย์ ช่วยให้ความยุติธรรมกับคนกลุ่มนี้ กรุณาแยกแยะ ออกคำนิยามในคำว่า “วาฮาบีย์” ให้ชัดเจนในการนำมาใช้อ้างอิงด้วย เพราะการอ้างว่ายกมาจากอูลามาอ์วาฮาบีย์ หนังสือวาฮาบีย์ ตามทรรศนะวาฮาบีย์ ที่สำคัญตามอากีดะฮ์วาฮาบีย์ ท่านหมายถึงสิ่งต่างๆที่ใช้ร่วมกันอยู่ระหว่างวาฮาบีย์สุดโต่ง และวาฮาบีย์สายกลาง ท่านไม่ได้อ้างถึงพฤติกรรมของปัจเจกชนที่แสดงออกไปยังท่าน หรือยังแนวทางที่ท่านเชื่อ ท่านลองสังเกตุจริยธรรมด้านนี้ของคนต่างศาสนาดูในการอ้างถึงมุสลิมที่มีการแยกแยะให้เกิดความชัดเจนในการนำเสนอสู่สาธารณะ ที่มีทั้งมุสลิมสายกลาง และมุสลิมสุดโต่ง หัวรุนแรง เป็นต้น
จริงๆแล้วทรรศนะส่วนตัวของผมก็เป็นแบบคุณกล่าวคือ อะกีดะฮ์ ไปด้วยกันไม่ได้ ฝ่ายหนึ่งเชื่อตามคำศัพท์ที่สอดคล้องกับความเข้าใจแรกของตนเองที่อ่าน บางอย่างเป็นความหมายตรง บางอย่างแป็นนัยยะ เขาใช้หลักการที่เรียบง่ายมาก พระองค์มีสิ่งนั้นแต่เป็นอย่างไรหยุดคิดแค่ตรงนั้น ไม่พยายามอธิบายมัน แต่อีกฝ่ายอาศัยการตีความเพื่ออธิบายมัน เปรียบเทียบกับสิ่งที่เป็นนามธรรม เลี่ยงที่จะให้อัลลอฮ์มีรูปร่าง มีอวัยวะ แต่ก็ลืมไปว่าที่ตีความไปก็ไม่พ้นสิ่งที่มัคลูกก็มีคุณลักษณะที่เข้าใจได้ดังกล่าวเช่นเดียวกัน อากีดะฮ์ที่ไม่ใช่ความแตกต่างระดับธรรมดาสองแนวทางนี้จะทำให้อีกฝ่ายถึงขั้นหลุดออกไปจากความเป็นมุสลิม หรือ หลุดออกไปจากกลุ่มที่เป็นอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์หรือไม่ วัลลอฮุอะลัม แต่หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแลกอากีดะฮ์กันโดยการฮูก่มอีกฝ่ายเป็นบิดอะฮ์ หรือ กาเฟรแล้ว เราคงเข้าใจตรงกันว่า ถ้าคนที่ถูกกล่าวหาไม่เป็นคนกล่าวหาก็ต้องเป็นแทนอย่างแน่นอน
ก็ไม่ทราบว่าท่านจะติดกระดุมเม็ดแรกที่ผมเห็นให้ถูกหรือไม่ และไม่ทราบว่าท่านเห็นกระดุมเม็ดนั้นหรือยัง? แต่หวังว่ากระชี้แนะของผมจะพอเป็นประโยชน์แก่ตัวของผู้อ่านบทความชิ้นนี้บ้างตามสมควร และผมคงไม่มีความสามารถจะไปปรับใครให้เดินในแนวทางใดได้ เว้นแต่คนๆนั้นจะสมัครใจและเลือกเส้นทางเดินตนเอง แม้ท่านเองจะชัดเจนแล้วว่าเส้นทางที่ผมเดินเป็นคนละเส้นทางกับท่าน ซึ่งผมไม่ทราบว่าท่านกินความหมายเพียงไร แต่อย่างน้อยที่สุด แม้ท่านจะไม่ย้ายมาเดินเส้นทางเดียวกันกับผม ก็ขอให้ท่านปลดกระดุมเม็ดที่กลัดผิดออกมาและปล่อยไว้อย่างนั้นไม่ต้องกลัดมันก็ยังดี ท่านช่วยหยุดโต้เรื่องวาฮาบีย์แบบเหมารวม ให้ความเข้าใจแก่ลูกศิษย์ลูกหาท่านที่มีมากมายตามทรรศนะท่านที่เผยออกมา ว่าอากีดะฮ์วาฮาบีย์นั้นไม่ได้อันตรายหรือ น่ารังเกียจเดียดฉันอะไรนัก ถ้าเขาเชื่อตามที่ผมยกมาแต่ไม่ได้ฮูก่มเราก็ยังถือว่าเขาเป็นวาฮาบีย์สายกลาง เป็นอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์เช่นเดียวกับเรา ท่านทำได้หรือไม่? ก็หวังไว้เช่นเดียวกันว่าท่านจะไม่ทำตัวพูดอย่างทำอย่างเหมือนผู้ที่ท่านสงวนนามไว้นะครับ
ขออัลลอฮ์ทรงชี้นำผู้ที่ร้องขอการชี้นำจากพระองค์ด้วยความจริงใจ
วัลลอฮูอะลัม
Re: ปรับความเข้าใจ "คำนิยามวะฮาบีย์" ระหว่าง al-azhary กับ laliklalee By: al-firdaus~* Date: พ.ค. 25, 2010, 10:31 PM
จริงๆแล้วทรรศนะส่วนตัวของผมก็เป็นแบบคุณกล่าวคือ อะกีดะฮ์ ไปด้วยกันไม่ได้
ฝ่ายหนึ่งเชื่อตามคำศัพท์ที่สอดคล้องกับความเข้าใจแรกของตนเองที่อ่าน บางอย่างเป็นความหมายตรง บางอย่างแป็นนัยยะ
เขาใช้หลักการที่เรียบง่ายมาก พระองค์มีสิ่งนั้นแต่เป็นอย่างไรหยุดคิดแค่ตรงนั้น ไม่พยายามอธิบายมัน
อุลามาอฺมีทัศนะว่า
"และไม่(มีใคร)รู้การตีความมันได้หรอก นอกจากอัลลอฮ์เท่านั้น" โดยอ่านหยุดแค่นี้
อุลามาอฺอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ได้มีจุดยืนที่ว่า ซีฟัตของอัลลอฮ์ที่ระบุไว้ในตัวที่มีความหมายหลายนัยนั้น เรารู้ความหมายหลายนัยเหล่านั้น
แต่เราไม่เจาะจงว่ามันคือความหมายใดที่เป็นเป้าหมายของอัลลอฮ์ ดังนั้นเราจึงมอบหมายการรู้ความหมายที่เจาะจงนั้นไปยังอัลลอฮ์ตะอาลา
ซึ่งแนวทางดังกล่าวนี้เป็นแนวทางส่วนมากของสะละฟุศศอลิห์ และเป็นแนวทางเดิม
อีกทั้งเป็นแนวทางหลักของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์อัลอะชาอิเราะฮ์
ถามว่า...การหยุดคิดและไม่อธิบายตรงนี้
เราได้ยืนยันความบริสุทธิ์แด่อัลลอฮ์ตะอาลา ให้พ้นจาก(ความหมาย)ฮะกีกัตของมันหรือไม่?
หากไม่ ก็ถือว่า บกพร่องแล้วซึ่งการทำให้พระองค์เสมอเหมือนมัคโลค
ตรงนี้เป็นส่วนหนึ่งที่สามารถแยกแยะอะกีดะฮ์ของแต่ละแนวทางได้
แต่อีกฝ่ายอาศัยการตีความเพื่ออธิบายมัน เปรียบเทียบกับสิ่งที่เป็นนามธรรม เลี่ยงที่จะให้อัลลอฮ์มีรูปร่าง มีอวัยวะ แต่ก็ลืมไปว่าที่ตีความไปก็ไม่พ้นสิ่งที่มัคลูกก็มีคุณลักษณะที่เข้าใจได้ดังกล่าวเช่นเดียวกัน
ขออนุญาตเกริ่นนำเล็กน้อยนะคะอุลามาอฺมีทัศนะว่า "และ ไม่(มีใคร)รู้การตีความมันได้หรอก นอกจากอัลลอฮ์เท่านั้น และบรรดาผู้ที่เชี่ยวชาญในความรู้"
พวกเขาเข้าใจและวิเคราะห์ว่า การตีความนั้นนอกจากอัลลอฮ์ทรงรู้แล้ว พระองค์ยังเปิดโอกาสให้บรรดาปราชญ์ผู้เชี่ยวชาญรู้ความหมายด้วยเหมือนกัน
เพราะมีสะละฟุศศอลิห์หลายท่านได้ทำการตีความเอาไว้เช่นกันนั่นเอง และแนวทางนี้ก็เป็นทางเลือกที่สองของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์อัลอะชาอิเราะฮ์
ซึ่งเป็นแนวทางที่สามารถนำมาใช้ในยามจำเป็น เอามาใช้เพื่อตอบโต้พวกนอกศาสนาที่ไม่ใช่ในอัลกุรอานและซุนนะฮ์และพวกนอกลู่
อีกทั้งยังสามารถนำมาใช้กับคนเอาวามที่จิตใจอ่อนแอที่ชอบจินตนาการคุณลักษณะของอัลลอฮ์ให้คล้ายหรือเหมือนกับมัคโลค
(เราต้องยอมรับนะคะ ว่า คนเอาวามจิตใจอ่อนแอนั้นมีมากเหลือเกิน)การนำซีฟัตที่รู้ได้ด้วยการบอกเล่าจากตัวบทมายืนยัน จะเอาสติปัญหาเข้ามาเกี่ยวข้องไม่ได้ว่าน่าจะมีซีฟัตอย่างนั้นอย่างนี้
เช่นซีฟัต اليد ที่ภาษาไทยแปลว่า มือ الوجه ที่ภาษาไทยแปลว่าหน้า ซีฟัต العين ที่ภาษาไทยแปลว่าตา แต่ภาษาอาหรับให้ความหมายได้หลายนัย
ซีฟัตในเชิงนามธรรมซึ่งมันมีอยู่ในความเชื่อมั่นในสติปัญญาและจิตใจอันมั่นคงของเรา
เช่นซีฟัตการได้ยิน การรู้ การเห็น การมีพลัง เช่น อัลลอฮ์ทรงรู้ อัลลอฮ์ทรงเห็น อัลลอฮ์ทรงเดชานุภาพ
ซีฟัตเหล่านี้สามารถรับรู้ได้ด้วยสติปัญญาและตัวบท อย่างเช่น
มนุษย์ใช้สติปัญญาคิดก็สามารถยอมรับได้แล้วว่า อัลลอฮ์ทรงมีอานุภาพแน่ ๆ เพราะหากไม่มีพลังอานุภาพก็จะสร้างโลกนี้ขึ้นมาไม่ได้
และถ้าหากไม่อานุภาพมีก็แสดงว่าพระองค์ทรงอ่อนแอ อัลกุรอานได้ระบุยืนยันไว้ด้วย ดังนั้นการนำซีฟัต การได้ยิน ของอัลลอฮ์ , ซีฟัตการเห็น ของอัลลอฮ์ตะอาลา ไปเทียบกับซีฟัต يَدٌ หรือซีฟัต وَجْهٌ หรือซีฟัต اِسْتِواءٌ
เพื่อมาอ้างว่าทำไม ซีฟัตการได้ยินและซีฟัตการเห็นถึงไม่ตีความ แต่เวลาซีฟัต يَدٌ หรือซีฟัต وَجْهٌ หรือซีฟัต اِسْتِواءٌ ถึงทำการตีความ?
คุณลักษณะต่าง ๆ เหล่านี้อะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ที่ตีความและไม่ตีความ ล้วนแต่ทำการเชื่อ ,
ยอมรับ , หรือยืนยัน(อิษบาต) ว่ามันเป็นบรรดาซีฟัต(คุณลักษณะ)ของอัลลอฮ์ตะอาลาโดยทั้งหมด
คือยืนยันว่า อัลลอฮ์ทรงมีซีฟัต การได้ยิน السّمْعُ ของอัลลอฮ์ ,
ยืนยันว่าอัลลอฮ์มีซีฟัตการเห็น البَصَرُ แด่พระองค์ ,
ยืนยันว่า พระองค์มีซีฟัต يَدٌ มีซีฟัต وَجْهٌ และมีซีฟัต اِسْتِواءٌอย่างแน่นอน
ซีฟัต اليد ที่ภาษาไทยแปลว่า มือ الوجه แต่ภาษาอาหรับให้ความหมายได้หลายนัย
ความหมายหลายนัยตรงนี้ หากตีความให้อยู่ในเชิงนามธรรม ความหมายจะเป็นคุณลักษณะที่มัคโลคเข้าใจ มิผิดไม่ใช่หรือ?
เพราะ"คุณลักษณะ" นั้น อยู่ในเชิงนามธรรม มิใช่รูปธรรม เพราะหากเป็นรูปธรรม ก็จะทำให้คุณลักษณะของพระองค์ไปคล้ายกับมัคโลค
อันนี้บกพร่องอย่างแน่นอน มิต้องสงสัย
การไม่ตีความแล้วไปยืนยัน(อิษบาต)ความหมายแบบฮะกีกัตคำตรง ทำให้อะกีดะฮ์มุสลิมต้องเสื่อมเสีย ซึ่งเป็นแนวทางของอะกีดะฮ์วะฮาบียะฮ์ นั่นเอง
วัลลอฮ์อะลัม...
คุณ laliklalee มีความเห็นสอดคล้องหรือแตกต่างในส่วนนี้อย่างไรบ้างค่ะ 
หากเข้าใจไม่ตรงกันต้องขอมะอัฟด้วยนะคะ
อ.al-azhary จะอธิบายในส่วนตรงนี้ได้ดีกว่าเราแน่นอนค่ะ
Re: ปรับความเข้าใจ "คำนิยามวะฮาบีย์" ระหว่าง al-azhary กับ laliklalee By: ILHAM Date: พ.ค. 25, 2010, 11:58 PM
เยอะขนาดนี้คิดว่ามันจะอ่านหมดหรือเจ๊