8
« เมื่อ: พ.ย. 29, 2012, 12:38 AM »
วิชา มุสตอละฮุ้ลหะดีษ (หลักพิจารณาอัลหะดีษ) ตอนที่ 13
โดย รอฟีกี มูฮำหมัด
2.หะดีษมุรซั้ล ( المرسل ) : คำว่า มุรซั้ล ( المرسل ) นั้น ในแง่ของภาษา หมายถึง "สิ่งที่ถูกปล่อยไป" หรือ "สิ่งที่ถูกข้ามผ่านไป" และในแง่ของวิชาการ ก็คือ "หะดีษที่ผู้รายงานที่อยู่ถัดจากตาบีอีน(ซอฮาบะห์) ได้ตกไปจากตอนท้ายของสายรายงาน" และอีกคำนิยามหนึ่ง ก็คือ "หะดีษที่ตาบีอีนเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นตาบีอีนรุ่นเยาว์ หรือ ตาบีอีนรุ่นอาวุโส ได้รายงานจากท่านร่อซู้ล(ซล.) โดยไม่กล่าวถึงซอฮาบะห์"
ชนิดของหะดีษมุรซั้ล
หะดีษมุรซั้ลนั้น แบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท ได้แก่ 1.มุรซั้ลตาบีอีน 2.มุรซั้ลซอฮาบีย์ 3.มุรซั้ลค่อฟีย์
(1.) มุรซั้ลตาบีอีน ( مرسل التابعين ) ก็คือ "หะดีษที่ตาบีอีนเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นตาบีอีนรุ่นเยาว์ หรือ ตาบีอีนรุ่นอาวุโส ได้รายงานจากท่านร่อซู้ล(ซล.) โดยไม่กล่าวถึงซอฮาบะห์"
รูปแบบและตัวอย่างของหะดีษมุรซั้ลตาบีอีน : ท่านอีหม่ามมุสลิม(รฮ.) ได้กล่าวไว้ในซอเฮี๊ยะห์ของท่าน ในบทที่ว่าด้วยการค้าขาย ว่า
حدثني محمد بن رافع ، حدثنا حجين بن المثنى ، حدثنا الليث عن عقيل ، عن ابن شهاب ، عن سعيد بن المسيب أَنّ رَسُولَ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ نَهَى عَنْ بَيْعِ الْمُزَابَنَةِ وَالْمُحَاقَلَةِ
ท่านมูฮำหมัด บิน รอเฟี๊ยะอ์ ได้เล่าให้ฉันฟังว่า ท่านฮู่ญัยน์ บิน อัลมู่ซันนา ได้เล่าให้เราฟังว่า ท่านลัยซ์ ได้เล่าให้เราฟัง จากท่านอู่กอยล์ จากท่านอิบนุชิฮาบ จากท่านสอี๊ด บิน อัลมู่ซัยยิบ ว่า "แท้จริงท่านร่อซู้ล(ซล.)ทรงห้ามจากการขายชนิดมู่ซาบานะห์ และมู่ฮากอละห์" (บันทึกโดย ท่านอีหม่ามมุสลิม ในซอเฮี๊ยะห์ของท่าน บทที่ว่าด้วยการค้าขาย หะดีษที่ 1539)
ข้อสังเกตุ : หะดีษบทนี้ เป็นหะดีษมุรซั้ล เนื่องจากมีนักรายงานคนนึงที่อยู่ในชั้นซอฮาบะห์ ได้ตกหล่นไปจากสายรายงาน เนื่องจาก "ท่านสอี๊ด บิน อัลมู่ซัยยิบ" นั้น เป็นผู้ที่อยู่อยู่ในรุ่นตาบิอีน และได้กล่าวรายงานหะดีษโดยตรงจากท่านนบี(ซล.) โดยมิได้กล่าวถึงนักรายงานที่อยู่ระหว่างเขากับท่านร่อซู้ล(ซล.) นั่นคือ คนในรุ่นซอฮาบะห์ เนื่องจากผู้ที่กล่าวรายงานหะดีษนั้น เป็นคนรุ่นตาบีน และไม่ได้ยินหะดีษจากท่านนบี(ซล.)โดยตรง แต่การรายงานของท่าน ได้พาดพิงถึงท่านนบี(ซล.)โดยตรง ดังนั้น การรายงานนี้ เป็นการรายงานที่ขาดตอน ระหว่าง ท่านสอี๊ด บิน อัลมู่ซัยยิบ กับ ท่านนบี(ซล.) จึงทำให้ดีษบทนี้ กลายเป็นหะดีษมุรซั้ล
หมายเหตุ : (การค้าแบบมู่ซาบานะห์ ก็คือ "การขายสิ่งที่รู้ปริมาณ ด้วยสิ่งที่ไม่รู้ปริมาณ" หรือ "การขายสิ่งที่ไม่รู้ปริมาณ ด้วยสิ่งที่ไม่รู้ปริมาณ" จากพืชผลชนิดเดียวกัน เช่น การขายอินทผาลัมสดที่ยังอยู่บนต้น กับ อินทผาลัมแห้งที่เก็บเกี่ยวแล้ว ไม่ว่าหนึ่งจากทั้งสองนั้นจะรู้ปริมาณหรือไม่ก็ตาม ส่วนการขายแบบมู่ฮากอละห์ ก็คือ "การขายผลที่ยังอยู่ในรวงก่อนที่จะมีการเก็บเกี่ยว" เช่น การขายเมล็ดข้าวสาลีที่ยังอยู่ในรวง กับ ข้าวสาลีทีมีการสีเปลือกออกแล้ว ด้วยจำนวนตวงที่เป็นที่รู้กัน การขายอย่างนี้ เป็นสิ่งที่ท่านนบี(ซล.)ทรงห้ามไว้ เนื่องจากไม่รู้ปริมาณที่แน่นอนของการขาย และไม่รู้ปริมาณของสิ่งที่จะเก็บเกี่ยว เมื่อผู้ขายได้ขายมันหลังจากได้เก็บเกี่ยวแล้ว ก็เป็นไปได้ที่หนึ่งจากทั้งสองนั้นจะเกิดการขาดทุน หรือ ได้กำไรจนเกินจากราคาของสิ่งที่นำมาแลกเปลี่ยน ซึ่งถือเป็นริบา เนื่องจากเป็นการแลกเปลี่ยนพืชผลชนิดเดียวกันที่มีจำนวนต่างกัน)
การนำมาเป็นหลักฐาน
หะดีษมุรซั้ลตาบีอีนนั้น ตามหลักการพิจารณาขั้นพื้นฐานแล้ว ถือว่า เป็นหะดีษที่ด่ออีฟ เนื่องจากได้ขาดไปหนึ่งเงื่อนไข จากเงื่อนไขของหะดีษที่ถูกยอมรับ นั่นคือ "สายรายงานขาดตอน" และแม้ว่าผู้รายงานในยุคตาบีอีนจะเป็นผู้รายงานที่มีความน่าเชื่อถือ หรือ เป็นที่เลื่องลือทางด้านของความน่าเชื่อถือและความจำดีก็ตาม เพราะไม่รู้ถึงสถานะภาพของผู้รายงานที่ถูกตัดทิ้งไป แม้ว่าชนในยุคซอฮาบะห์นั้น จะได้รับการยอมรับถึงความอาเด้ล(มีคุณธรรม)จากท่านร่อซู้ล(ซล.)ก็ตาม เพราะเป็นไปได้ว่า ผู้รายงานในยุคตาบีอีนนั้น อาจจะรายงานหะดีษมาจากตาบีอีนด้วยกัน จึงถูกตัดสินในเบื้องต้นให้เป็นหะดีษที่ด่ออีฟไว้ก่อน
ส่วนการนำมาอ้างอิงเป็นหลักฐานนั้น สามารถสรุปทัศนะของบรรดาอุลามาอ์ได้เป็น 3 ทัศนะใหญ่ๆ คือ
1.ทัศนะของญุมฮูรอุลามาอ์(ส่วนมากจากนักวิชาการด้านหะดีษ นักวิชาการฟิกห์ และนักวิชาการอู่ซูลุ้ลฟิกห์) : ไม่อนุญาตให้นำหะดีษมุรซั้ลตาบีอีนมาอ้างอิงเป็นหลักฐาน เท่ากัน ไม่ว่าตาบีอีนั้น จะเป็นตาบีอีนรุ่นอาวุโส หรือ ตาบีอีนรุ่นเยาว์ และไม่ว่าจะเป็นผู้ที่มีความน่าเชื่อถือมาก หรือ น้อย หรือ ไม่มีความน่าเชื่อถือก็ตาม
หลักฐานของพวกเขา ก็คือ การที่ไม่รู้สภาพของนักรายงานื้ถูกตัดทิ้งไป อาจถูกตีความได้ว่า การรับรายงานนั้น อาจเกิดขึ้นจากคนที่ไม่ได้เป็นซอฮาบะห์ก็ได้
2.ทัศนะของผู้นำมัสฮับทั้ง 3 (คือ ท่านอีหม่ามอบูฮานีฟะห์ ท่านอีหม่ามมาลิก และท่านอีหม่ามอะห์หมัดในทัศนะที่มัชโฮร และผู้ที่ดำเนินตามพวกเขา และอุลามาอ์กลุ่มหนึ่ง) : อนุญาตให้นำหะดีษมุรซั้ลตาบีอีนมาปฎิบัติได้ โดยมีเงื่อนไข คือ จะต้องเป็นหะดีษมุรซั้ลที่มาจากการรายงานของตาบีอีนที่มีความซิเกาะห์ ไม่ว่าจะเป็นตาบีอีนรุ่นอาวุโส หรือ ตาบีอีนรุ่นเยาว์ก็ตาม ดังนั้น จะไม่ถูกนำมาเป็นหลักฐาน หากการรายงานนั้น มาจากตาบีอีนที่ไม่มีความน่าเชื่อถือ(ซิเกาะห์)
หลักฐานของพวกเขา ก็คือ แท้จริงตาบีอีนที่มีความน่าเชื่อถือนั้น เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะกล่าวรายงานหะดีษว่า (..... : قال رسول الله صلى الله عليه وسلم ) "ท่านร่อซู้ล(ซล.)ทรงกล่าวว่า...." โดยไม่รู้ที่มา นอกเสียจากจากการรับฟังนั้น เป็นการรับฟังมาจากผู้รายงานที่มีความน่าเชื่อถือเท่านั้น
3.ทัศนะของท่านอีหม่ามชาฟีอีย์(รฮ.) และผู้ที่ดำเนินตามท่าน : อนุญาตให้ปฎิบัติตามหะดีษมุรซั้ลตาบีอีนและสามารถนำมาเป็นหลักฐานได้ โดยขึ้นอยู่กับเงื่อนไข ดังต่อไปนี้
1.เงื่อนไขทางด้านตัวบุคคล :
(1.) ผู้รายงานนั้น ต้องเป็นตาบิอีนรุ่นอาวุโสเท่านั้น เช่น ท่านสะอีด บิน อัลมู่ซัยยิบ และท่านอื่นๆ ดังนั้น หากผู้รายงานหะดีษมุรซัล เป็นตาบิอีนรุ่นเยาว์ การรายงานของเขาก็จะถูกปฏิเสธ
(2.) ผู้รายงานที่กล่าวอ้างนั้น ต้องเป็นผู้รายงานที่มีความน่าเชื่อถือ(ซิเกาะห์)
(3.) หากมีผู้อื่นร่วมรายงานหะดีษด้วย ผู้รายงานคนนั้น ต้องเป็นคนที่มีความจำดีเยี่ยมและมีคุณธรรม และการรายงานนั้น ต้องไม่ขัดแย้งกับการรายงานของผู้ที่ความน่าเชื่อถือมากกว่า
2.เงื่อนไขทางด้านการรายงาน :
(1.) หะดีษบทนั้น ต้องมีการรายงานมาอีกสายรายงานหนึ่ง ที่มีสายรายงานติดต่อกัน ถ้าหากไม่ได้มีมาจากอีกสายรายงานหนึ่งที่มีสายรายงานติดต่อกัน ก็มีเงื่อนไขว่า จะต้องเป็นหะดีษมุรซั้ลที่มาจากสายรายงานอื่น ซึ่งผู้รายงานนั้น ไม่ได้เป็นผู้รายงานที่อยู่ในสายรายงานแรก และเป็นบุคคลที่สามารถเอาความรู้จากเขาได้
(2.) หะดีษมุรซั้ลตาบีอีนนั้น ต้องสอดคล้องกับคำพูดของซอฮาบะห์บางท่าน
(3.) นักวิชาการส่วนมากได้ฟัตวาออกมาตรงกับหะดีษบทนั้น
เมื่อครบเงื่อนไขตามที่กล่าวมานี้ หะดีษมุรซั้ลตาบีอีน ก็จะเป็นหะดีษที่ได้รับการยอมรับ และสามารนำมาปฏิบัติได้ ตามทัศนะของท่านอีหม่ามชาฟิอีย์ แต่ถ้าไม่ครบเงื่อนไข ท่านอีหม่ามชาฟีอีย์ ก็จะปฏิเสธหะดีษมุรซั้ลบทนั้น แม้จะมีบางข้อ หรือ โดยส่วนมากเป็นอย่างที่กล่าวมาก็ตาม
หมายเหตุ : บรรดาอุลามาอ์จากทัศนะที่ 2 และ 3 นั้น ได้มีทัศนะว่า : อนุญาตให้นำหะดีษมุรซั้ลมาใช้เป็นหลักฐานได้ ในเรื่องที่เกี่ยวกับข้อตัดสิน(ฮู่ก่ม)ที่เกี่ยวกับฮ่าล้าล ฮ่ารอม เรื่องธุรกิจ-การค้า เรื่องจริยธรรม และจรรยามารยาท และเรื่องอื่นๆ ซึ่งหะดีษมุรซั้ลนั้น มีสภาพเหมือนกับหะดีษที่มีสายรายงานติดต่อกัน ในด้านที่จำเป็นต้องปฏิบัติตาม นักวิชาการที่เป็นผู้นำเหล่านั้น ได้แก่ อีหม่ามอบูฮะนีฟะห์ และอีหม่ามมาลิก และนักวิชาการส่วนใหญ่ในสังกัดของท่านอีหม่ามทั้งสอง รวมทั้งนักวิชาการทางด้านหะดีษและด้านนิติศาสตร์ท่านอื่นๆ และท่านอีหม่ามอะห์หมัดก็มีทัศนะอย่างนี้เช่นเดียวกัน ตามการรายงานของท่านอีหม่ามนะวะวีย์ ท่านอิบนุ้ลกอยยิม และท่านอิบนุกะษีร และท่านอื่นๆ
และท่านอีหม่ามอบูดาวูด(รฮ.)ได้กล่าวว่า : "ท่านอีหม่ามอะห์หมัดนั้น มีความเห็นในเรื่องของการนำหะดีษมุรซั้ลมาเป็นหลักฐานเหมือนกับท่านอีหม่ามชาฟิอีย์" (ดู อุลูมหะดีษ ของ อุสตาร ด๊อกเตอร์ อัลคู่ชูอีย์ อัลคู่ชูอีย์ มูฮำหมัด อัลคู่ชูอีย์ หน้า 135)
และการพิจารณาว่าเป็นหะดีษที่ซอเฮี๊ยะห์ ตามทรรศนะของนักวิชาการเหล่านั้น ก็คือ เมื่อผู้รายงานหะดีษมุรซั้ลนั้น เป็นผู้รายงานที่มีความน่าเชื่อถือ ดังนั้น หากผู้รายงานหะดีษมุรซั้ลเป็นคนด่ออีฟ หรือ เป็นที่รู้กันว่าเขาได้รายงานหะดีษมุรซั้ลมาจากคนที่ด่ออีฟ หะดีษมุรซัลนั้น ก็จะถูกปฏิเสธโดยมติเอกฉันท์ของปรวงปราชญ์
ส่วนหะดีษมุรซั้ลที่อยู่ในซอเฮี๊ยะห์บุคอรีย์และซอเฮี๊ยะห์มุสลิมนั้น บรรดาอุลามาอ์หะดีษ มีความเห็นตรงกันว่า หะดีษมุรซัลตาบิอีนที่อยู่ในซอเฮี๊ยะห์ทั้งสองนั้น เป็นหะดีษซอเฮี๊ยะห์ ที่จำเป็นต้องปฎิบัติตาม เพราะมีกระแสรายงานอื่นๆที่เชื่อถือได้และติดต่อกันมายืนยันถึงความถูกต้อง และนักรายงานทุกคนต่างก็มีความน่าเชื่อถือ(ซิเกาะห์)
(2.) มุรซั้ลซอฮาบีย์ ( مرسل الصحابي ) ก็คือ "หะดีษที่ซอฮาบะห์ท่านหนึ่งได้รายงานจากท่านนบีมูฮำหมัด(ซล.)ในสิ่งที่เกี่ยวกับคำพูด หรือ การกระทำของท่าน โดยที่ซอฮาบะห์ท่านนั้น ไม่ได้ยินจากท่านนบี(ซล.)โดยตรงในสิ่งที่เขารายงาน หรือ ไม่ได้อยู่ต่อหน้าท่าน เหตุเพราะไม่ทันได้พบท่าน หรือ เพราะอายุยังน้อย หรือ อาจเข้ารับอิสลามในช่วงท้ายของชีวิต"
ความเข้าใจที่มีต่อซอฮาบะห์
เป็นที่ทราบกันดีว่า บรรดาซอฮาบะห์ที่ได้รับหะดีษมาจากนบี(ซล.)นั้น มิใช่ว่าทุกท่านจะตามติดอยู่กับท่านนบี(ซล.)โดยตลอด และก็เป็นไปไม่ได้ที่เรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้น เพราะบรรดาซอฮาบะห์นั้น ต่างก็ต้องทำงานของตัวเองด้วย โดยไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการติดตามท่านนบี(ซล.)เลย อีกทั้งพวกเขาก็ยังต้องต่อสู้ในวิถีทางของอัลเลาะห์ และบางคนของพวกเขานั้น ท่านร่อซู้ล(ซล.)ก็ได้ส่งไปสอนศาสนาและสอนอัลกุรอานแก่ผู้คนในหัวเมืองต่างๆด้วย ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาก็ยังต้องประกอบสัมมาอาชีพ และแสวงหาปัจจัยในการยังชีพของพวกเขาด้วย โดยที่พวกเขาได้ประกอบอาชีพทางด้านของการเกษตร การค้าขาย และอาชีพอื่นๆ
แต่ถึงกระนั้น พวกเขาก็มีความปรารถนาเป็นอย่างยิ่ง ที่จะศึกษาเรื่องราวทางศาสนา ถึงขนาดที่ว่า เมื่อมีคนใดคนหนึ่งจากพวกเขาที่ได้พลาดจากการสอนของท่านร่อซู้ล(ซล.) ไม่ว่าจะด้วยกิจธุระอันใดก็ตาม พวกเขาก็จะไปตามถามคนที่มาฟังสิ่งที่ท่านร่อซู้ล(ซล.)ได้เคยสอนไว้ และก็จะได้รับการบอกเล่าถึงเรื่องราวดังกล่าว และยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาก็จะเปลี่ยนเวรกันมาเพื่อประจำอยู่กับท่านร่อซู้ล(ซล.) เพื่อศึกษาเรื่องราวและการดำเนินชีวิตของท่าน อีกทั้งยังคอยอยู่รับใช้ท่านร่อซู้ล(ซล.)อีกทางหนึ่งด้วย
สาเหตุที่ทำให้เกิดมุรซั้ลซอฮาบีย์ : ก็เนื่องมาจากว่า ซอฮาบะห์ท่านนั้น อายุยังน้อย หรือ ไม่ได้รับฟังมาจากท่านนบี(ซล.) เช่น ท่านอิบนุอับบาส ท่านอิบนุ อัซซู่บัยร์ และท่านอื่นๆ หรือ เข้ารับอิสลามในช่วงปลายของชีวิต หรือ ไม่ได้อยู่ต่อหน้าท่านร่อซู้ล(ซล.)ในขณะที่มีการถ่ายทอดหะดีษ
รูปแบบและตัวอย่างของหะดีษมุรซั้ลซอฮาบีย์ : ได้แก่ หะดีษที่ท่านอิบนุมาญะห์(รฮ.)ได้รายงานว่า
حدثنا محمد بن المصفى الحمصي قال ، حدثنا الوليد بن مسلم قال ، حدثنا الأوزاعي عن عطاء ، عن ابن عباس رضي الله عنهما أن رسول الله صلى الله عليه وسلم قال
(( إِنَّ اللَّهَ وَضَعَ عَنْ أُمَّتِي الْخَطَأَ ، وَالنِّسْيَانَ ، وَمَا اسْتُكْرِهُوا عَلَيْهِ ))
ท่านมูฮำหมัด บิน อัลมู่ซอฟฟา อัลฮิมซีย์ ได้เล่าให้เราฟัง โดยกล่าวว่า ท่านอัลวะลีด บิน มุสลิม ได้เล่าให้เราฟัง โดยกล่าวว่า ท่านอีหม่ามเอาซาอีย์(รฮ.) ได้เล่าให้เราฟัง จากท่านอะตออ์ จากท่านอิบนุอับบาส(รด.) ได้รายงานว่า แท้จริงท่านร่อซู้ล(ซล.)ทรงกล่าวว่า "แท้จริงอัลเลาะห์ได้ยกออกไป(อภัยให้)จากประชาชาติของฉัน ในสิ่งที่เกี่ยวกับความผิดพลาด การหลงลืม และการถูกบังคับ" (บันทึกโดย ท่านอิบนุมาญะห์ ในสุนันอิบนุมาญะห์ หะดีษที่ 2045)
ข้อสังเกตุ : หะดีษบทนี้ เป็นมุรซั้ลซอฮาบีย์ เพราะอนุมานได้ว่า ท่านอิบนุอับบาส นั้น อาจจะไม่ได้รับหะดีษในขณะที่อยู่ต่อหน้าท่านนบี(ซล.) เพราะไม่ทันได้พบกับท่านในขณะที่มีการรับหะดีษ เนื่องจากท่านยังเล็กมาก แต่ท่านได้กล่าวรายงานหะดีษโดยพาดพิงถึงท่านนบี(ซล.)ด้วยตัวของท่านเอง โดยมิได้ระบุถึงครูของท่าน หรือ บุคคลที่อยู่ก่อนหน้าท่าน เพราะไปได้ว่า ท่านอาจจะรายงานหะดีษมาจากซอฮาบะห์ด้วยกัน แต่ท่านก็มิได้กล่าวถึงซอฮาบะห์ท่านนั้น จึงทำให้หะดีษนี้ เป็นหะดีษมุรซั้ลซอฮาบีย์ เพราะมีผู้รายงานอีกท่านหนึ่งถูกรายงานข้ามไป ได้แก่ผู้รายงานที่อยู่ระหว่าง ท่านอิบนุอับบาส กับ ท่านร่อซู้ล(ซล.)
และอีกตัวอย่างหนึ่งของมุรซั้ลซอฮาบีย์ ก็คือ หะดีษที่ท่านอิบนุ อัซซู่บัยร์ ได้รายงานไว้ในซอเฮี๊ยะห์ของท่านอีหม่ามบุคอรีย์ ซึ่งท่านอีหม่ามบุคอรีย์(รฮ.)ได้รายงานว่า
حدثنا سليمان بن حرب ، حدثنا حَمَّادُ بن زيد عن ثابت ، قَالَ سَمِعْتُ ابْنَ الزُّبَيْرِ يَخْطُبُ يَقُولُ قَالَ مُحَمَّدٌ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ
(( مَنْ لَبِسَ الْحَرِيرَ فِي الدُّنْيَا لَنْ يَلْبَسَهُ فِي الْآخِرَةِ ))
ท่านสุลัยมาน บิน ฮัรบ์ ได้เล่าให้เราฟังว่า ท่านฮัมมาด บิน เซต ได้เล่าให้เราฟัง จากท่านซาบิต โดยกล่าวว่า ฉันได้ยินท่าน อิบนุ อัซซู่บัยร์ ได้แสดงธรรม โดยกล่าวว่า ท่านนบีมูฮำหมัด(ซล.)ทรงกล่าวว่า "ใครก็ตามที่สวมใส่ผ้าไหมในโลกนี้ เขาจะไม่ได้สวมใส่มันในโลกอาคีเราะห์" (บันทึกโดย ท่านอีหม่ามบุคอรีย์ หะดีษที่ 5833)
ข้อสังเกตุ : หะดีษบทนี้ เป็นมุรซั้ลซอฮาบีย์ เนื่องจาก ท่านอิบนุ อัซซู่บัยร์ นั้น ได้เกิดในช่วงที่มีการอพยพไปสู่นครมะดีนะห์ หลังจากนั้นได้ไม่นาน ท่านร่อซู้ล(ซล.)ก็ทรงสิ้นพระชน ซึ่งท่านเผยแพร่ศาสนาอยู่ในเมืองมะดีนะห์ได้เพียง 10 ปีเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้หะดีษที่ ท่านอิบนุ อัซซู่บัยร์ ได้รายงานจากท่านร่อซู้ล(ซล.)นั้น เป็น "มุรซั้ลซอฮาบีย์" เนื่องจากในขณะนั้น เขายังอายุน้อย หรือ ประมาณไม่เกิน 10 ปี ทำให้โอกาสที่ท่านจะได้รับหะดีษโดยตรงจากท่านร่อซู้ล(ซล.)นั้น เป็นไปได้ยาก แต่ท่านก็ได้รายงายหะดีษโดยอ้างถึงท่านนบี(ซล.)โดยตรง โดยไม่ได้กล่าวถึงครูของท่าน ทำให้คาดคิดได้ว่า มีผู้รายงานหะดีษคนหนึ่งได้ถูกรายงานข้ามไป ก็คือ บุคคลที่อยู่ระหว่าง ท่านอิบนุ อัซซู่บัยร์ กับ ท่านร่อซู้ล(ซล.) หะดีษบทนี้ จึงเป็น "มุรซั้ลซอฮาบีย์" ดังได้กล่าวมาแล้ว
และท่านอัลฮาฟิส อิบนุฮาญัร(รฮ.)ได้กล่าวว่า
أن ابن الزبير حمله عن النَّبِيّ صلّى الله عليه وسلّم بواسطة عمر رضي الله عنه
ความว่า "แท้จริงแล้ว ท่านอิบนุ อัซซู่บัยร์ นั้น ได้รับหะดีษมาจากท่านนบี(ซล.) โดยมีสื่อกลาง คือ ท่านอุมัร(รด.)"
การนำมาเป็นหลักฐาน
หะดีษมุรซั้ลซอฮาบีย์นั้น บรรดาอุลามาอ์ส่วนมาก ถือว่า เป็นหะดีษที่ซอเฮี๊ยะห์ และมีความจำเป็นต้องปฎิบัติตาม ทั้งในด้านที่เกี่ยวกับหลักการศรัทธา หลักการปฎิบัติ และหลักของคุณธรรม-จริยธรรม เพราะบรรดาซอฮาบะห์นั้น ได้รับการรับรองโดยท่านร่อซู้ล(ซล.) ซึ่งพวกเขาทุกคนเป็นผู้ที่มีคุณธรรม(อาเด้ล) และพวกเขาไม่โกหกต่อหะดีษของร่อซู้ล(ซล.)แน่นอน แม้ว่าจะไม่ได้รับฟังมาโดยตรงจากท่านร่อซู้ล(ซล.)ก็ตาม เพราะเป็นที่เชื่อได้อย่างแน่ใจว่า บรรดาซอฮาบะห์นั้น หากไม่ได้ยินมาจากท่านร่อซู้ล(ซล.) ก็จะต้องได้ยิน หรือ รับการรายงานหะดีษมาจากซอฮาบะห์ด้วยกันเป็นแน่ จึงเป็นไปได้ยาก สำหรับนักรายงานหลุดร่วงไปนั้น จะไม่ใช่ซอฮาบะห์ ดังนั้น การหลุดร่วงไปของซอฮาบะห์ท่านหนึ่ง จึงไม่ส่งผลใดๆต่อการพิจารณาตัวบทของหะดีษ เพราะเป็นไปได้น้อยที่ซอฮาบะห์ท่านนั้นจะรายงานหะดีษมาจากตาบีอีน นอกเสียจากสืบทราบได้ว่า ซอฮาบะห์ท่านนั้นได้รับรายงานหะดีษมาอย่างมากมายมาจากชนในชั้นตาบีอีน เมื่อเป็นเช่นนี้ ฮู่ก่มหะดีษมุรซั้ลของเขา ก็จะเป็นมุรซั้ลชนิดอื่นจากมุรซั้ลซอฮาบีย์
ทัศนะของบรรดาอุลามาอ์ที่มีต่อมุรซั้ลซอฮาบีย์ ?
บรรดาอุลามาอ์ได้มีทัศนะในเรื่องของการปฎิบัติตามหะดีษมุรซั้ลซอฮาบีย์ อยู่ 2 ทัศนะ คือ
1.แนวทางของนักวิชาการส่วนมาก(ญุมฮูรอุลามาอ์) : ถือว่า หะดีษมุรซั้ลซอฮาบีย์นั้น เป็นหะดีษมั๊กบูล และจำเป็นต้องนำไปปฎิบัติ เพราะการตกหล่นของบรรดาซอฮาบะห์ ที่รายงานมาจากซอฮาบะห์ด้วยกันนั้น ไม่มีผลใดๆต่อการพิจารณาหะดีษ และไม่มีผู้ใดโต้แย้งในเรื่องนี้เลย นอกจากนักวิชาการเพียงไม่กี่ท่านเท่านั้น แม้กระทั่งท่านอิบนุสซ่อลาฮ์ ก็ยังมิได้ให้ความสำคัญกับพวกเขา
แนวทางในการยอมรับมุรซั้ลซอฮาบีย์ของพวกเขา ก็คือ
1.เนื่องจากผู้ที่หลุดร่วงไปจากสายรายงานนั้นเป็นซอฮาบะห์ และบรรดาซอฮาบะห์นั้น ย่อมเป็นที่ทราบกันดีว่า พวกเขาเป็นผู้ที่มีคุณธรรม ด้วยการรับรองของอัลเลาะห์และร่อซู้ล ฉนั้น การที่ซอฮาบะห์ท่านหนึ่งได้รายงานมาจากซอฮาบะห์ด้วยกัน ถึงแม้ว่า ผู้รายงานที่เป็นซอฮาบะห์นั้น มิได้กล่าวถึงครูของเขา การที่ไม่รู้จักตัวตนของซอฮาบะห์ที่ถูกรายงานข้ามไป จึงไม่มีผลกระทบใดๆต่อความเป็นซอเฮี๊ยะห์ของหะดีษ เพราะสถานะของซอฮาบะห์ทุกท่านนั้น เป็นที่ทราบกันดีว่า พวกเขาเป็นผู้ที่มีคุณธรรม
2.เนื่องจากเป็นไปได้น้อย ที่ซอฮาบะห์จะรายงานหะดีษมาจากคนในชั้นตาบีอีน และเมื่อพวกเขาได้รายงานมาจากตาบิอีน พวกเขาก็จะทำการอธิบายไว้
3.เนื่องจากส่วนมากแล้ว หะดีษที่ซอฮาบะห์ได้รายงานจากตาบีอีนอีนนั้น จะไม่ใช่หะดีษมัรฟัวะอ์ แต่จะเป็นเรื่องเล่าประเภท อิสรออีลียาต และหะดีษเมากูฟ
นี่คือ สิ่งที่นักวิชาการหะดีษได้ปฏิบัติในหนังสือของพวกเขา แม้กระทั้งผู้ที่ตั้งเงื่อนไขว่า จะไม่นำออกมารายงานนอกจากหะดีษที่ซอเฮียะห์เท่านั้น เช่น อีหม่ามผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสอง คือ ท่านอีหม่ามบุคอรีย์ และท่านอีหม่ามมุสลิม ก็ได้นำหะดีษประเภทนี้ มาไว้ในหนังสือของเขาอย่างมากมาย รวมทั้งท่านอี่นๆด้วย
2.แนวทางของท่านของอบูอิสหาก อัลอิสฟ่ารอยีนีย์ ( أبُو إِسْحَاقَ إِبْرَاهِيمُ بْنُ مُحَمَّدِ بْنِ إِبْرَاهِيمَ الإِسْفَرَايِينِيُّ ) และอุลามาอ์บางท่าน : ถือว่า หะดีษมุรซั้ลซอฮาบีย์นั้น ก็เหมือนกับหะดีษมุรซั้ลทั่วๆไป ซึ่งเป็นหะดีษที่ด่ออีฟ โดยไม่มีข้อแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นมุรซั้ลซอฮาบีย์ หรือ มุรซั้ลตาบีอีน เนื่องจากมีความเป็นไปได้ที่ซอฮาบะห์นั้น จะรับรายงานหะดีษมาจากชนในชั้นตาบีอีน ซึ่งการตกหล่นในลักษณะนี้ ย่อมมีผลต่อการยอมรับหะดีษ เพราะหะดีษที่ซอเฮี๊ยะห์นั้น จะไม่เกิดผล หากมีสายรายงานที่ขาดตอน ดังนั้น แนวทางของพวกเขา จึงไม่ยอมรับมุรซั้ลซอฮาบีย์ในฐานะที่เป็นหะดีษซอเฮี๊ยะห์ แต่พวกเขายอมรับมันในฐานะของหะดีษด่ออีฟ
อย่างไรก็ตาม จากสองทัศนะที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ทัศนะที่ถูกต้อง และคู่ควรแก่การนำมาปฏิบัติมากที่สุด ก็คือ ทัศนะที่หนึ่ง เพราะการตกหล่นของบรรดาซอฮาบะห์นั้น ไม่มีผลต่อใดๆต่อการยอมรับหะดีษ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากผู้ที่อ้างหะดีษจากท่านนบี(ซล.)นั้นเป็นซอฮาบะห์ หรือ เป็นตาบีอีนรุ่นอาวุโส เพราะพวกเขาเป็นผู้ที่ได้รับตำแหน่งของความน่าเชื่อถือ(ซิเกาะห์) หรือ อย่างน้อยๆก็เป็นคนที่มีความสัจจะ(ซ่อดู๊ก) และทัศนะนี้ ก็ยังเป็นทัศนะของนักวิชาการส่วนมากอีกด้วย
ข้อควรจำของมุรซั้ลซอฮาบีย์
1.หะดีษมุรซั้ลที่ตาบีอีนท่านหนึ่งที่มีความน่าเชื่อถือ(ซิเกาะห์) ได้กล่าวว่า ซอฮาบะห์คนหนึ่งของท่านนบี(ซล.) ได้เล่าให้ฉันฟังว่า ท่านนบี(ซล.)ได้กล่าวเช่นนั้น หรือ ได้กระทำเช่นนี้ โดยที่เขาไม่ได้ระบุชื่อของซอฮาบะห์ท่านนั้น ก็ให้ถือว่า หะดีษบทนั้น มีข้อตัดสินเช่นเดียวกับหะดีษมุรซั้ลซอฮาบีย์ แม้ว่าซอฮาบะห์ท่านนั้น เป็นบุคคลที่ไม่มีผู้ใดรู้จักตัวตนของเขาก็ตาม เพราะซอฮาบะห์ทั้งหมดนั้น มีสถานะเป็นผู้ที่มีคุณธรรม โดยการรับรองของอัลเลาะห์และร่อซู้ล การที่ไม่รู้จักตัวตนของซอฮาบะห์นั้น ถือว่าไม่ส่งผลใดๆต่อการเป็นหะดีษที่ซอเฮี๊ยะห์ และให้ถือว่าหะดีษบทนั้น เป็นหะดีที่ซอเฮี๊ยะห์ หากว่าหะดีษบทนั้น มีเงื่อนไขของการเป็นหะดีษที่ซอเฮี๊ยะห์โดยครบสมบูรณ์
2.หะดีษมุรซั้ลของบุคคลที่ยังไม่รู้เดียงสา(มู่มัยยิส)ในขณะที่ท่านร่อซู้ล(ซล)เสียชีวิตนั้น คนเหล่านี้จะถูกมองว่าเป็นบุคคลที่ประเสริฐและมีเกียรติในฐานะของซอฮาบะห์ ส่วนมุรซั้ลของพวกเขา แม้จะถูกเรียกว่าเป็นมุรซั้ลซอฮาบีย์ แต่ก็จะไม่มีข้อกำหนดเดียวกันกับมุรซั้ลซอฮาบีย์ในแง่ของเป็นหะดีษซอเฮี๊ยะห์ แต่ให้ปฏิบัติหะดีษมุรซั้ลของพวกเขา เหมือนกับมุรซั้ลตาบีอีน เพราะหะดีษส่วนใหญ่ของซอฮาบะห์ที่ท่านร่อซู้ล(ซล.)ได้เสียชีวิตจากไป ในขณะที่พวกเขายังไม่รู้เดียงสานั้น พวกเขาได้รายงานหะดีษมาจากตาบีอีน ดังนั้น เมื่อพวกเขารายงานหะดีษเป็นมุรซั้ล ก็ให้ถือว่า ผู้ที่หลุดร่วงไปจากสายรายงานนั้น เป็นตาบีอีน และความเป็นไปได้เช่นนี้มีสูงมาก เมื่อเป็นเช่นนี้ หะดีษมุรซั้ลของพวกเขา จึงมีสถานะในการตัดสินเหมือนกับหะดีษมุรซั้ลตาบีอีน