ใครคือ “อัลฆุรอบาอฺ” คนแปลกหน้า?

บทวิเคราะห์หนังสือ กัชฟุลกุรบะฮ์ ของท่านอิบนุร่อญับ

โดย อบูมุฮัมมัด อัลอัซฮะรีย์

ปัจจุบันได้มีการปลุกกระแสและเรียกร้องให้มุสลิมเป็นอัลฆุรอบาอฺ ดังนั้นจึงเกิดคำถามขึ้นมาว่า “อัลฆุรอบาอฺ” (คนแปลกหน้า) คือใคร? บางครั้ง อัลฆุรอบาอฺ ตามที่เข้าใจกันเองก็คือ การทำตนให้สวนกระแสของสังคมมุสลิม โดยนิยมหยิบยกทัศนะที่สวนกระแสหรือมีความคิดที่สวนกระแสเข้ามา เมื่อถูกคัดค้าน ก็คิดไปว่า ตนเองกลายเป็น “คนแปลกหน้า” ที่ท่านนะบีย์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ยืนยันว่าเป็นผู้ที่ได้รับความดีงาม ซึ่งทัศนะคติอย่างนี้ เป็นบรรทัดฐานที่ไม่ถูกต้อง เพราะเป็นการเปิดโอกาสให้แต่ละกลุ่มสร้างความโดดเด่นให้แก่ตนเอง หลังจากนั้นแต่ละกลุ่มต่างก็จะคิดและพูดว่าตนเองนั้นเป็นคนแปลกหน้าไปแล้ว

ยกตัวอย่างเช่น เมื่อสิ่งที่เคยถูกทำมาก่อนหน้านี้กลายเป็นสิ่งที่ถูกมองว่าแปลก และผู้ที่นำทัศนะความคิดใหม่เข้ามาแล้วถูกคัดค้านก็ถูกมองว่าแปลก อะกีดะฮ์อะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์อัลอะชาอิเราะฮ์ที่ไม่เคยถูกมองว่าแปลก แต่ปัจจุบันถูกบางกลุ่มโจมตีและวิพากษ์วิจารณ์ กลุ่มอัลอะชาอิเราะฮ์ก็คิดว่าอะกีดะฮ์ที่พวกเขายึดมั่นมาก่อนนั้นกลายเป็นอะกีดะฮ์ที่หวนกลับไปสู่ความแปลกหน้าในสายตาของบางกลุ่มไปเสียแล้ว และบางกลุ่มที่นำหลักอะกีดะฮ์ที่ได้เคยได้ยินมาก่อน เข้ามาเผยแพร่ แล้วถูกคัดค้าน พวกเขาก็มองว่าตนเองนั้นกลายเป็นคนแปลกหน้า ยิ่งกว่านั้นชีอะฮ์เริ่มเข้ามาเผยแพร่และถูกต่อต้านอย่างหนัก พวกเขาก็สามารถมองตนเองได้เช่นกันว่า เป็นคนแปลกหน้า เมื่อเป็นเช่นนี้ ทุกกลุ่มก็สามารถอ้างได้ว่าตนเองนั้น คือ อัลฆุรอบาอฺ (คนแปลกหน้า) แล้วใครคืออัลฆุรอบาอฺที่แท้จริงตามทัศนะของอัลเลาะฮ์และร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม

ผู้เขียนได้อ่านหนังสือ กัชฟุลกุรบะฮ์ ฟีวัศฟิ อะฮ์ลิลฆุรบะฮ์ ของท่านอิมาม อัลฮาฟิซฺ อิบนุ ร่อญับ ร่อฮิมะฮุลลอฮ์ ซึ่งท่านได้เขียนเกี่ยวกับกลุ่มชนอัลฆุรอบาอฺ ตามที่ซุนนะฮ์ของท่านนะบีย์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ระบุไว้

ท่านอิมามอิบนุ ร่อญับ ได้อธิบายกลุ่มชนอัลฆุรอบาอฺไว้อย่างน่าสนใจมาก ดังนั้นผมจึงคิดว่าสมควรทำการวิเคราะห์กลุ่มชนอัลฆุรอบาอฺจากหนังสือของท่านอิมาม อิบนุ ร่อญับ แบบรวบรัดเพื่อให้พี่น้องได้เข้าใจและรู้ถึงคุณลักษณะของอัลฆุรอบาอฺอย่างที่ควรจะเป็นและตรงกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นตามที่ท่านนะบีย์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวยืนยันไว้

ในเบื้องต้นท่านอิมามอิบนุ ร่อญับ ได้หยิบยกตัวบทหะดีษที่เกี่ยวกับอัลฆุรอบาอฺ จากหะดีษของท่านอะบูฮุร็อยเราะฮ์ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ ท่านนะบีย์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า

بَدَأَ الْإِسْلَامُ غَرِيبًا وَسَيَعُودُ غَرِيبًا كَمَا بَدَأَ فَطُوبَى لِلْغُرَبَاءِ

“อิสลามได้เริ่มอย่างแปลกหน้า และต่อไปอิสลามก็จะหวนกลับมาสู่ความแปลกหน้าเหมือนที่อิสลามได้เริ่มมาแล้ว ดังนั้นบรรดาความดีงามอันมากมายจงประสบแก่บรรดาคนแปลกหน้า” รายงานโดยมุสลิม (145)

ท่านอัตติรมีซีย์ได้รายงานจากอัมร์ บิน เอาฟ์ ว่า ท่านนะบีย์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า

إِنَّ الدِّينَ بَدَأَ غَرِيبًا وَيَرْجِعُ غَرِيبًا فَطُوبَى لِلْغُرَبَاءِ الَّذِينَ يُصْلِحُونَ مَا أَفْسَدَ النَّاسُ مِنْ بَعْدِي مِنْ سُنَّتِي

“แท้จริงศาสนานั้นเริ่มต้นโดยแปลกหน้าและต่อไปศาสนาก็จะหวนกลับมาแปลกหน้าอีกครั้ง ดังนั้นความดีงามอันมากมายจงประสบแด่บรรดาคนแปลกหน้า ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นจะทำการปรับปรุงสิ่งที่มนุษย์ได้สร้างความเสื่อมเสียจากซุนนะฮ์ของฉันหลังจากที่ฉันได้เสียชีวิตไปแล้ว” รายงานโดยอัตติรมีซีย์ (2630) [หะดีษนี้ฏ่ออีฟ เพราะมีกะษีร บิน อับดิลลาฮ์ ซึ่งท่านอิบนุ อัลมะดีนีย์ ท่านอัสซาญีย์ และท่านยะกูบ บิน ซุฟยาน กล่าวว่า กะษีรนั้นฏ่ออีฟ, ท่านอันนะซาอีย์และท่านอัดดารุกุฏนีย์กล่าวว่า กะษีร บิน อับดุลลาฮ์นั้น หะดีษของเขาถูกทิ้ง. ดู อิบนุ ฮะญัร, ตะซีบุตะฮ์ซีบ, เล่ม 8 หน้า 421, และ อิบนุ อะบี หาติม, อัลญัรห์ วะ อัตตะดีล, เล่ม 7 หน้า 154, และอัดดูรีย์, ตารีคยะห์ยา บิน มะอีน, เล่ม 2 หน้า 394]

ท่านอะห์มัด ได้รายงานหะดีษถึงท่าน อับดุลลอฮ์ บิน อัมร์ ว่า ท่านนะบีย์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า

طُوبَى لِلْغُرَبَاءِ فَقِيلَ مَنْ الْغُرَبَاءُ يَا رَسُولَ اللَّهِ قَالَ أُنَاسٌ صَالِحُونَ فِي أُنَاسِ سُوءٍ كَثِيرٍ مَنْ يَعْصِيهِمْ أَكْثَرُ مِمَّنْ يُطِيعُهُمْ

“ความดีงามจงประสบแด่บรรดาคนแปลกหน้า จึงถูกถามว่า โอ้ ท่านร่อซูลุลลอฮ์ ใครคือบรรดาคนแปลกหน้า? ท่านร่อซูลุลลอฮ์กล่าวว่า พวกเขาคือคนที่มีคุณธรรมในหมู่ผู้คนชั่วอย่างมากมาย ผู้ที่ฝ่าฝืนพวกเขานั้นมีมากกว่าผู้ที่เชื่อฟังพวกเขา” รายงานโดยอิมามอะห์มัด (มุสนัดอะห์มัด, เล่ม 2 หน้า 222)

ท่านอิมาม อิบนุ ร่อญับ ได้อธิบายว่า อิสลามนั้นเริ่มต้นด้วยความแปลกหน้า มีความเข้มแข็งตามมา แต่หลังจากนั้นเริ่มถดถอยลงไปเรื่อยๆ ชัยฏอนจึงเข้ามามีบทบาทในการยุแหย่และแพร่ฟิตนะฮ์ 2 ประการที่ท่านนะบีย์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมหวั่นกลัวว่าจะเกิดขึ้นกับประชาชาติของท่าน คือ

หนึ่ง: ฟิตนะฮ์ที่เกิดจากความคลุมเครือ [فِتْنَةُ الشُّبُهَاتِ]

สอง: ฟิตนะฮ์เกี่ยวกับอารมณ์ใฝ่ต่ำ [فِتْنَةُ الشَّهَوَاتِ]

ท่านร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า

وَاللَّهِ لَا الْفَقْرَ أَخْشَى عَلَيْكُمْ وَلَكِنْ أَخَشَى عَلَيْكُمْ أَنْ تُبْسَطَ عَلَيْكُمْ الدُّنْيَا كَمَا بُسِطَتْ عَلَى مَنْ كَانَ قَبْلَكُمْ فَتَنَافَسُوهَا كَمَا تَنَافَسُوهَا وَتُهْلِكَكُمْ كَمَا أَهْلَكَتْهُمْ

“ขอสาบานต่ออัลเลาะฮ์ ฉันไม่กลัวความยากจนจะเกิดขึ้นแก่พวกท่าน แต่ฉันกลัวว่าดุนยาจะถูกหยิบยื่นให้แก่พวกท่านเหมือนกับที่ได้ถูกหยิบยื่นให้แก่กลุ่มชนที่อยู่ก่อนหน้าพวกท่าน แล้วพวกท่านก็จะแข่งขันกันในเรื่องของดุนยาเหมือนกับที่พวกเขาเคยแข่งขันกัน แล้วดุนยาก็จะทำให้พวกท่านวิบัติเหมือนกับที่มันเคยทำให้พวกเขาวิบัติ” รายงานโดยอัลบุคอรีย์ (2988) , และมุสลิม (2961)

ท่านร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า

إِذَا فُتِحَتْ عَلَيْكُمْ خَزَائِنُ فَارِسَ, وَالرُّومِ أَيُّ قَوْمٍ أَنْتُمْ ؟, قَالَ عَبْدُ الرَّحْمَنِ بْنُ عَوْفٍ : نَقُولُ : كَمَا أَمَرَنَا اللَّهُ, قَالَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ : أَوْ غَيْرَ ذَلِكَ تَتَنَافَسُونَ, ثُمَّ تَتَحَاسَدُونَ, ثُمَّ تَتَدَابَرُونَ

“เมื่อขุมทรัพย์ของเปอร์เซียและโรมได้ถูกเปิดให้แก่พวกท่านแล้ว พวกท่านจะอยู่ในจำพวกใหน? ท่านอับดุรเราะห์มาน บิน เอาฟ์ ได้กล่าว่า “พวกเราก็จะขอกล่าวเหมือนกับที่อัลเลาะฮ์ตาอาลทรงใช้เรา (หมายถึง เราจะขอกล่าวสรรญเสริญอัลเลาะฮ์ ชุโกรพระองค์ และขอเพิ่มพูนความโปรดปรานจากพระองค์) ท่านร่อซูลุลลอฮ์จึงกล่าว “หรืออื่นจากสิ่งดังกล่าวล่ะ (คือหลงดุนยาและลืมอัลเลาะฮ์ไม่สรรญเสริญและชุโกรพระองค์) แล้วพวกท่านก็แข่งขันกัน หลังจากนั้นก็อิจฉาริษยาต่อกัน แล้วก็ผินหลังให้กัน” รายงานโดยมุสลิม (2962) , และอิบนุมาญะฮ์ (3996)

และท่านร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า

إِنَّ مِمَّا أَخْشَى عَلَيْكُمْ شَهَوَاتِ الْغَيِّ فِي بُطُونِكُمْ وَفُرُوجِكُمْ وَمُضِلَّاتِ الْفِتَنِ

“แท้จริง ส่วนหนึ่งจากสิ่งที่ฉันกลัวบนพวกท่าน คืออารมณ์ใฝ่ต่ำที่หลงผิดเกี่ยวกับท้องของพวกท่าน อวัยวะเพศของพวกท่าน และฟิตนะฮ์ต่างๆ ที่ทำให้ลุ่มหลง” รายงานโดยอะห์หมัด (มุสนัดอะห์มัด, เล่ม 4 หน้า 420)

ดังนั้นฟิตนะฮ์ของอารมณ์ใฝ่ต่ำจะทำให้ผู้คนส่วนใหญ่ลุ่มหลงดุนยา ฝักใฝ่และมุ่งเน้นดุนยา ทำการตัดญาติขาดมิตรและทำสิ่งต่างๆ ที่เป็นการฝ่าฝืนต่ออัลเลาะฮ์ตะอาลา ส่วนฟิตนะฮ์ของความคลุมเครือที่ทำให้หลงทางนั้น คือความแตกแยกได้เกิดขึ้นกับบรรดาผู้ที่หันหน้าไปทางกิบละฮ์เดียวกัน พวกเขาแตกแยกเป็นกลุ่มๆ แล้วทำการกล่าวตัดสินกาเฟรต่อกัน นอกจากกลุ่มชนแปลกหน้าที่ไม่เกี่ยวข้องกับฟิตนะฮ์ทั้งสองประเภทนี้และพวกเขาก็คือกลุ่มชนที่มีความปลอดภัยและอยู่บนสัจธรรม พวกเขาคือชนกลุ่มน้อยที่พยายามเรียกร้องผู้คนทั้งหลายให้อยู่บนแนวทางของอัซซุนนะฮ์ที่ไม่ลุ่มหลงดุนยาและฝ่าฝืนอัลเลาะฮ์ (หน้า 4-6)

ท่านอิมามอิบนุ ร่อญับ กล่าวต่อไปว่า อิสลามไม่หายไปหรอกแต่อะฮ์ลิสซุนนะฮ์นั้นจะหายไป โดยหยิบยกของคำพูดของปราชญ์สะละฟุศศอลิห์ที่ว่า “อะฮ์ลิสซุนนะฮ์คือกลุ่มชนแปลกหน้า” และท่านอิบนุ ร่อญับ กล่าวว่า เป้าหมายของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ที่เป็นชนแปลกหน้าตามทัศนะของสะละฟุศศอลิห์นั้น ก็คือ แนวทางของท่านนะบีย์และเหล่าศ่อฮาบะฮ์ของท่านที่ปลอดภัยจากฟิตนะฮ์ความคลุมเครือและอารมณ์ใฝ่ต่ำทั้งสองนี้ (หน้า 7)

ท่านอิบนุ ร่อญับ ได้หยิบยกคำพูดของท่าน อัลฟุฎัยล์ บิน อิยาฎ ปราชญ์สะละฟุศศอลิห์ ที่ว่า

وَلِهَذَا كَانَ الْفُضَيْلُ بْنُ عِيَاضٍ يَقُوْلُ: أَهْلُ السُّنَّةِ مَنْ عَرَفَ مَا يَدْخُلُ فِيْ بَطْنِهِ مِنْ حَلاَلٍ

“ด้วยเหตุนี้ ท่านอัลฟุฎัยล์ บิน อิยาฎ ได้กล่าวว่า อะฮ์ลิสซุนนะฮ์ คือผู้ที่รู้ว่าสิ่งที่เข้าไปในท้องเขานั้นเป็นสิ่งที่ฮะล้าล” (หน้า 7)

แต่ปราชญ์ยุคหลังให้ความหมายของ อัซซุนนะฮ์ อีกนัยยะหนึ่ง ก็คือ สิ่งที่ปลอดภัยจากความคลุมเคลือในเรื่องของหลักยึดมั่น (อะกีดะฮ์) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องของการศรัทธาในอัลเลาะฮ์ บรรดามะลาอิกะฮ์ บรรดาคำภีร์ บรรดาร่อซูล วันสิ้นโลก กำหนดสภาวะความดีและความชั่ว และความประเสริฐของเหล่าซอฮาบะฮ์ ดังนั้นผู้ใดที่ขัดแย้งกับอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ในสิ่งเหล่านี้ เขาย่อมอยู่บนความเสียหาย (หน้า 7)

หลังจากนั้นท่านอิบนุร่อญับกล่าวว่า อัลฆุรอบาอฺนั้นแบ่งออกเป็น 2 ประเภท

  1. ผู้ที่ทำการปรับปรุงตนเองให้ดีในขณะที่ผู้คนทั้งหลายเสื่อมโทรม
  2. ผู้ที่คอยปรับปรุงสิ่งที่จะทำให้ความเสื่อมเสียเกิดขึ้นแก่ผู้คนทั้งหลาย

ความเสื่อมโทรมและความเสื่อมเสียที่เกิดขึ้นแก่ผู้คนทั้งหลายนั้น ก็คือฟิตนะฮ์ของความคลุมเครือและฟิตนะฮ์ของอารมณ์ใฝ่ (หน้า 8-9)

ดังนั้นกลุ่มชนแปลกหน้า คือผู้ที่พยายามสอนและเรียกร้องผู้คนทั้งหลายให้ระวังฟิตนะฮ์ของความคลุมเคลือและอารมณ์ใฝ่ต่ำ และเรียกร้องให้ผู้คนทั้งหลายระวังการลุ่มหลงดุนยา ยศตำแหน่ง และทรัพย์สินเงินทอง ซึ่งมีผู้ที่คอยสนับสนุนน้อยมาก แต่ในทางตรงกันข้ามพวกเขากลับได้รับการดูถูกดูแคลน เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงเปรียบเหมือนกับผู้ที่กำลังกำถ่านไฟที่ร้อนเนื่องจากพวกเขาต้องมีความอดทนในการยึดมั่นตามหลักอัซซุนนะฮ์ที่แท้จริง ซึ่งท่านอิบนุร่อญับกล่าวว่า “อัซซุนนะฮ์ที่สมบูรณ์นั้น ก็คือแนวทางที่ปลอดภัยจากฟิตนะฮ์ของความคลุมเครือและฟิตนะฮ์ของอารมณ์ใฝ่ต่ำที่ท่าน ท่านอัลหะซัน อัลบัศรีย์ ท่านยูนุส บิน อุบัยด์ ท่านซุฟยาน อัษเษารีย์ ท่านอัลฟุฏัยล์ บิน อิยาฎ และท่านอื่นๆ ได้กล่าวไว้” (หน้า 7-8)

แล้วท่านอิบนุ ร่อญับ ก็หยิบยกคำพูดของท่าน อับดุลลอฮ์ อิบนุ มัสอูด ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ ที่กล่าวว่า

يَأْتِيْ عَلَى النَّاسِ زَمَانٌ يَكُوْنُ الْمُؤْمِنُ فِيْهِ أََذَلَّ مِنَ الأُمَّةِ

“จะมียุคหนึ่งได้ผ่านมายังผู้คนทั้งหลาย โดยที่ผู้ศรัทธาในยุคนั้นเป็นผู้ที่ต่ำต้อยที่สุดจากประชาชาติ (อิสลาม) ” (หน้า 9)

ต่อมาท่านอิบนุ ร่อญับ ได้หยิบยกคุณลักษณะของกลุ่มชนแปลกหน้า (อัลฆุรอบาอฺ) จากคำพูดของท่านอะลีย์ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ ความว่า “พวกเขาเหล่านั้นอยู่ร่วมกับดุนยาด้วยร่างกาย แต่จิตวิญญาณนั้นผูกพันอยู่กับอาคิเราะฮ์” (หน้า 12) แล้วท่านอิบนุร่อญับได้อธิบายว่า “คำกล่าวของท่านอะลีย์ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ นี้บ่งชี้ว่า กลุ่มชนผู้แปลกหน้า (อัลฆุรอบาอฺ) นั้น จะไม่เอาดุนยามาเป็นมาตุภูมิพวกเขาและไม่พอใจที่จะเอาดุนยามาเป็นที่อาศัยถาวรของพวกเขา แต่พวกเขาเอาดุนยามาเป็นแค่ทางผ่านเท่านั้น ซึ่งบรรดาคำภีร์และศาสนทูตทั้งหมดต่างกำชับสิ่งดังกล่าว โดยอัลเลาะฮ์ตะอาลาได้ทรงตรัสไว้ในคำภีร์ของพระองค์ ถึงผู้ศรัทธาคนหนึ่งจากวงศ์วานของฟิรอูน ที่เขาได้กล่าวตักเตือนกลุ่มชนของเขาว่า

يَا قَوْمِ إِنَّمَا هَذِهِ الْحَيَاةُ الدُّنْيَا مَتَاعٌ وَإِنَّ الْآَخِرَةَ هِيَ دَارُ الْقَرَارِ

“โอ้กลุ่มชนของฉันเอ๋ย แท้จริงชีวิตในโลกนี้เป็นเพียงความเพลิดเพลินเท่านั้น และแท้จริงโลกหน้านั้นเป็นสถานที่อยู่อันมั่นคง” [ฆอฟิร: 39]

และท่านนะบีย์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวกับท่านอิบนุ อุมัร ความว่า

كُنْ فِي الدُّنْيَا كَأَنَّكَ غَرِيبٌ أَوْ عَابِرُ سَبِيلٍ

“ท่านจงอยู่ในโลกดุนยาเหมือนกับท่านเป็นคนแปลกหน้าหรือเป็นคนผ่านทาง” รายงานโดยอัลบุคอรีย์ (6053)

ดังนั้นผู้ศรัทธาในโลกดุนยานี้ เขาเป็นเสมือนคนแปลกหน้าที่เดินทางผ่านมันไป โดยเขาถวิลหาโลกอาคิเราะฮ์ที่เป็นมาตุภูมิถาวรของเขาด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจและสะสมเสบียงระหว่างกำลังเดินทางสู่โลกอาคิเราะฮ์ เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่เข้าไปแข่งขันในเรื่องของเกียรติยศของดุนยา และไม่หวั่นกลัวการดูหมิ่นดูแคลนจากผู้หลงดุนยาทั้งหลาย (หน้า 12-13)

ในตอนท้ายเล่มท่านอิมาม อิบนุ ร่อญับ ได้กล่าวถึง ชนแปลกหน้า (อัลฆุรอบาอฺ) ที่มีเกียรติที่สุด ซึ่งท่านอิบนุ ร่อญับ ได้กล่าวว่า “ชาวอัฏฏ่อรีเกาะฮ์ (ศูฟีย์) นั้น พวกเขาคือ อัลฆุรอบาอฺของกลุ่มชนอัลฆุรอบาอฺทั้งหลาย (หมายถึงเป็นอัลฆุรอบาอฺที่นำหน้าชนอัลฆุรอบาอฺทั้งหลาย) คุณลักษณะความแปลกหน้าของพวกเขานั้นมีเกียรติที่สุด เพราะความแปลกหน้าตามทัศนะของพวกเขามี 2 ประเภท:

  1. ความแปลกหน้าทางภายนอก
  2. ความแปลกหน้าภายในจิตใจ

สำหรับความแปลกหน้าทางภายนอกนั้น คือการมีคุณลักษณะความแปลกหน้าของผู้มีคุณธรรมที่อยู่ท่ามกลางคนชั่วทั้งหลาย มีคุณลักษณะความแปลกหน้าของผู้ที่มีความสัจจริงต่ออัลเลาะฮ์ที่อยู่ท่ามกลางผู้ที่โอ้อวดและกลับกลอก มีคุณลักษณะความแปลกหน้าของปราชญ์ที่อยู่ท่ามกลางคนโง่เขลาและมารยาทเลวทราม มีคุณลักษณะความแปลกหน้าของปราชญ์อาคิเราะฮ์ที่อยู่ท่ามกลางอุลามาอฺที่ขาดความเกรงกลัวต่ออัลเลาะฮ์  และมีคุณลักษณะความแปลกหน้าของผู้สมถะที่อยู่ท่ามกลางบรรดาผู้ปรารถนาดุนยาและสิ่งที่ไม่จีรัง

สำหรับความแปลกหน้าภายในจิตใจ ก็คือความแปลกหน้าในแง่มุมของปณิธานที่มั่นคงอยู่กับอัลเลาะฮ์ ซึ่งเป็นความแปลกหน้าของบรรดาคนอาริฟบิลลาฮ์ที่อยู่ท่ามกลางมัคโลคทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นอุลามาอฺ นักทำอิบาดะฮ์ และผู้มีความสมถะ ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นอยู่กับวิชาความรู้  อยู่กับอิบาดะฮ์   และอยู่กับความสมถะของพวกเขา แต่บรรดาคนอาริฟบิลลาฮ์นั้น พวกเขาจะผูกพันอยู่กับอัลเลาะฮ์และไม่ทำให้หัวใจหันเหออกจากพระองค์ (หน้า 15)

ท่านอิบนุ ร่อญับ กล่าวตัวอย่างของอัลฆุรอบาอฺท่านหนึ่งว่า ท่านอะบูมุสลิม อัลเคาลานีย์ ปราชญ์ตาบิอีนอาวุโส ชอบทำการซิกรุลลอฮ์อย่างมาก ลิ้นของท่านไม่เบื่อหน่ายจากการซิกรุลลอฮ์ จึงมีชายคนหนึ่งกล่าวกับบรรดามิตรสหายที่นั่งร่วมกับท่านอะบูมุสลิมว่า เพื่อนของท่านนั้นเป็นคนบ้าหรือเปล่า? ท่านอะบูมุสลิมจึงกล่าวขึ้นว่า โอ้ หลานเอ๋ย! การซิกรุลลอฮ์เช่นนี้แหละเป็นยาแก้โรคบ้า (แก้โรคบ้าดุนยา บ้ายศตำแหน่ง บ้าทรัพย์สินเงินทอง บ้าทัศนคติของตนเอง และบ้าสิ่งอื่นจากอัลเลาะฮ์) (หน้า 17)

และท่านอะบูนุอัยม์ ได้กล่าวรายงานไว้เช่นกันจากท่าน ยะซีด บิน ยะซีด เขากล่าวว่า “ท่านอะบูมุสลิม อัลเคาลานีย์ ชอบกล่าวตักบีรเสียงดังแม้กระทั่งกล่าวพร้อมกับพวกเด็กๆ และท่านอะบู มุสลิม อัลเคาลานีย์กล่าวว่า “ท่านจงซิกรุลลอฮ์ จนกระทั่งคนโง่เขลาเห็นว่าท่านเป็นคนบ้า” (ดู หิลยะตุลเอาลิยาอฺ, เล่ม 2 หน้า 124)

ท่านอิบนุ ร่อญับ กล่าวต่อไปว่า “ท่านอัลหะซัน อัลบัศรีย์ กล่าวถึงคุณลักษณะของอัลฆุรอบาอฺกลุ่มนี้ว่า เมื่อคนโง่เขลาได้มองยังพวกเขาเหล่านั้น เขาก็คิดว่าพวกเขาป่วย ทั้งที่พวกเขาเหล่านั้นมิได้ป่วยแต่อย่างใด” (หน้า 17)

ดังนั้น  การซิกรุลลอฮ์อย่างมากมายทำให้หัวใจรู้สึกผูกพันอยู่กับเลาะฮ์อย่างสม่ำเสมอและคอยเผาผลาญดุนยาและสิ่งอื่นจากอัลเลาะฮ์ให้ออกไปจากหัวใจ  หลังจากนั้นความรู้สึกรักและใกล้ชิดต่อพระองค์ก็ได้บังเกิดขึ้น  ไม่ว่าเขาจะอยู่ในสถานที่ใดก็ตาม

เพราะฉะนั้นท่านอิบนุร่อญับ ได้หยิบยกหะดีษบทหนึ่งว่า ท่านอุบาดะฮ์ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ ได้กล่าวว่า

قَالَ رَسُوْلُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ : إِنَّ مِنْ أَفْضَلِ إِيْمَانِ الْمَرْءِ أَنْ يَعْلَمَ أَنَّ اللهَ مَعَهُ حَيْثُ كَانَ

“ท่านร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า แท้จริงจากอีหม่านที่ดีเลิศที่สุดของบุคคลหนึ่งก็คือ การที่เขารู้ (สึกอยู่เสมอ) ว่า อัลเลาะฮ์ทรงอยู่พร้อมกับเขา ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ใดก็ตาม” รายงานโดยอัลบัยฮะกีย์ (ชุอะบุลอีหม่าน, เล่ม 1 หน้า 477)

ท่านอัลลามะฮ์ อะลี อัลกอรีย์ ได้กล่าวอธิบายคุณลักษณะของอัลฆุรอบาอฺเช่นกันว่า “ผู้มีศาสนาในยุคแรกนั้น พวกเขาเป็นฆุร่อบาอฺ (คนแปลกหน้า) ที่ผู้คนทั่วไปให้การตำหนิและไม่คบค้าสมาคมร่วมกับพวกเขา ซึ่งผู้มีศาสนาในยุคหลังก็เช่นเดียวกัน ดังนั้นความดีงามอันมากมายจงประสบแก่บรรดาคนแปลกหน้า ทั้งในยุคแรกและยุคหลัง พวกเขาถูกเรียกว่าฆุรอบาอฺ (คนแปลกหน้า) เพราะจิตใจของพวกเขาไม่ผูกพันกับดุนยา...” (ดู มิรกอตุลมะฟาติห์ ชัรหุ มิฟตาห์ อัลมะซอบีห์, เล่ม 2 หน้า 54) ดังนั้นพวกเขาเหล่านี้ คืออัลฆุรอบาอฺที่พิเศษสุด ร่างกายของพวกเขาอยู่กับดุนยาแต่หัวใจอยู่กับอัลเลาะฮ์

จากสิ่งที่ผู้เขียนได้นำเสนอแบบคัดสรุปจากหนังของท่านอิมามอิบนุ ร่อญับ เกี่ยวกับ อัลฆุรอบาอฺหรือกลุ่มชนแปลกหน้าข้างต้นนั้น ผู้เขียนขอกล่าวสรุปว่า “อัลฆุรอบาอฺ” นั้นคือ ผู้ที่อยู่บนแนวทางของท่านนะบีย์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม และบรรดาซอฮาบะฮ์ซึ่งเป็นแนวทางที่ปลอดภัยจากฟิตนะฮ์ของความคลุมเคลือและฟิตนะฮ์ของอารมณ์ใฝ่ต่ำ ร่างกายของพวกเขาอยู่กับดุนยาแต่จิตใจของพวกเขาผูกพันอยู่กับอัลเลาะฮ์และซิกรุลลอฮ์อย่างสม่ำเสมอ ดุนยาเป็นเพียงแค่ทางผ่านสำหรับพวกเขาเท่านั้นเอง หลังจากนั้นพวกเขาได้เรียกร้องผู้คนส่วนมากไม่ให้มีจิตใจลุ่มหลงอยู่กับดุนยาและฝ่าฝืนอัลเลาะฮ์ตะอาลา และพวกเขาเหล่านี้ก็คือ อัลฆุรอบาอฺที่อัลกุรอาน ซุนนะฮ์ และสะละฟุศศอลิห์ได้กล่าวยืนยันไว้นั่นเอง

ดังนั้น การเป็นอัลฆุรอบาอฺ จึงมิใช่เพียงการแสดงออกทางภายนอกให้คนอื่นได้เห็นเท่านั้น แต่จิตใจที่ผูกพันอยู่กับอัลเลาะฮ์อย่างสม่ำเสมอต่างหากที่เป็นตัววัดว่า เป็นอัลฆุรอบาอฺที่แท้จริงตามทัศนะของอัลเลาะฮ์ แล้วเราล่ะ อยู่ในหนทางของอัลฆุรอบาอฺแล้วหรือยัง?

แสดงความคิดเห็น

ติดตามได้ทาง