
อันมนุษย์มีวันต้องสิ้นสุดไปไม่ว่าจะเป็นผู้ใดก็ตามเช่นเดียวกัน ท่านศาสนทูตมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ผู้ซึ่งเป็นสามัญชนธรรมดา ก็จำต้องจากลาอุมมะฮ์ผู้เป็นที่รักยิ่งและด้วยกาลเวลาที่ผันผ่านไป นับตั้งแต่ภารกิจของท่านได้เริ่มต้นขึ้นจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต ท่านได้ทิ้งไว้ซึ่งแบบฉบับที่ทรงคุณค่าและสมบูรณ์แบบแก่บรรดามนุษยชาติ
อัลเลาะฮ์ ซุบฮานะฮุวะตะอาลา ตรัสว่า “วันนี้เป็นวันที่ฉันได้ทำให้ศาสนาสมบูรณ์สำหรับพวกท่านแล้ว เป็นวันที่ฉันได้ให้เนียะอฺมัตแก่พวกท่านอย่างครบถ้วนแล้ว และวันที่ฉันยินดีให้อิสลามเป็นครรลองในการดำเนินชีวิตของพวกท่าน”
มีรายงานจากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ว่า เมื่อโองการนี้ได้ถูกประทานลงมา ท่านซัยยิดินาอุมัรถึงกับร้องไห้ ซึ่งท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้พูดกับท่านอุมัรว่า “โอ้อุมัร เหตุใดท่านจึงร้องไห้” ท่านอุมัรกล่าวว่า “ฉันร้องไห้เพราะพวกเราได้รับทราบข้อมูลในเรื่องศาสนาเพิ่มเติม เมื่อศาสนาสมบูรณ์แล้วก็จะไม่มีสิ่งใด ๆ อีกนอกจากจะค่อย ๆ เสื่อมลง” ท่านนบี ศ็อลลัล ลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้บอกกับท่านอุมัรว่า “ความจริงเป็นอย่างที่ท่านเข้าใจ”
มีรายงานจากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม อีกว่า โองการนี้ถูกประทานลงมาเมื่อตอนหลังละมาดอัศริของวันอารอฟะฮ์ ซึ่งตรงกับวันศุกร์ในขณะที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กำลังบำเพ็ญหัจญ์ครั้งสุดท้าย (ฮัจญ์วะดาอฺ) ในขณะที่โองการนี้ถูกประทานลงมานั้น ท่าน นบีวุกูฟอยู่บนหลังอูฐ (หลังจากโองการนี้ถูกประทานลงมาแล้ว ไม่มีโองการใด ๆ จากอัลกุรอานที่เกี่ยวกับข้อกำหนด (ฟัรฎู) ประทานลงมาอีก) ท่านกล่าวว่า “ฉันมิอาจจะประคองตัวเพื่อรับความเข้าใจในความหมายของโองการนี้ได้ จึงนั่งประคองบนหลังอูฐ จนในที่สุดอูฐก็ต้องนอนลงกับพื้น” แล้ว ญิบรีล อะลัยฮิสลาม ได้มาหาท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม พร้อมกับบอกว่า “โอ้มุฮัมมัด ท่านจงเรียกศ่อฮาบะฮ์ของท่านมาชุมนุม และท่านจงบอกกับพวกเขาว่า ฉัน (ญิบรีล) จะไม่มาพบกับท่านอีกแล้วหลังจากวันนี้”
เมื่อท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เดินทางกลับจากมักกะฮ์สู่มะดินะฮ์ ท่านได้เรียกศ่อฮาบะฮ์ของท่านมาชุมนุมกัน จากนั้นท่านก็อัญเชิญอัลกุรอานโองการนี้แก่บรรดาศ่อฮาบะฮ์ แล้วบอกพวกเขาถึงสิ่งที่ญิบรีลได้แจ้งแก่ท่าน ปรากฏว่าบรรดาศ่อฮาบะฮ์ทั้งหมดต่างมีความปิติยินดีและกล่าวว่า “ศาสนาของเราสมบูรณ์แล้ว” ด้านท่านอบูบักร ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ หลังจากที่ได้ฟังคำของท่าน นบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม แล้ว ท่านก็รีบเดินทางกลับบ้านปิดประตูใส่กลอน และอยู่ในนั้นตลอดวันตลอดคืน บรรดาศ่อฮาบะฮ์ต่างก็ได้ยินเสียงร้องไห้ของท่าน อบูบักรจึงได้ไปรวมตัวกันที่บ้านของท่าน
พวกเขาได้ถามท่านอบูบักรว่า ท่านนั้นร้องไห้ด้วยสาเหตุใด ในขณะที่ทุกคนกำลังปิติยินดีที่อัลเลาะฮ์ ซุบฮานะฮุวะตะอาลา ได้ทรงประกาศถึงความสมบูรณ์ของอิสลาม ท่านอบูบักรกล่าวว่า “โอ้บรรดามิตรสหาย พวกท่านไม่ทราบกันหรือว่าอะไรจะเกิดขึ้น พวกท่านไม่ได้ยินหรือว่า เมื่อสิ่งใดบรรลุสู่ความสมบูรณ์สูงสุดแล้ว นั่นย่อมหมายถึง หะซันและฮุเซ็น กำลังจะกำพร้า (กำพร้าปู่) บรรดาภรรยา นบีกำลังจะเป็นหม้าย” บรรดาศ่อฮาบะฮ์ได้ฟังเช่นนั้นต่างก็พากันร่ำไห้ และเมื่อผู้คนได้ยินเสียงร่ำ ไห้นั้น จึงได้ถามท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ว่า “โอ้ท่านร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม พวกเราไม่ทราบว่าบรรดาศ่อฮาบะฮ์เหล่านั้นร้องไห้กันเพราะเหตุใด?” ท่านนบี ศ็อลลัล ลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ถึงกับใบหน้าเปลี่ยนสี และรีบเดินไปยังบ้านของท่านอบูบักร ซึ่งท่านได้เห็นเหตุการณ์ด้วยตนเองจึงถามว่า “สาเหตุใดกันที่ทำให้พวกท่านร้องไห้”
ท่านอะลี ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวตอบว่า “ฉันได้ยินท่านอบูบักรกล่าวว่า ฉัน (อบูบักร) ได้ยินโองการนี้บ่งบอกว่า ท่านใกล้ที่จะจากเราไปแล้วใช่ไหม?” ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า “อบูบักรเข้าใจถูกต้องแล้ว” และกล่าวอีกว่า “ใกล้จะถึงเวลาที่ฉันต้องพรากจากพวกท่านไปแล้ว” เมื่อท่านอบูบักรได้ยินคำกล่าวของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ก็ถึงกับร้องไห้โฮ...แล้วร่างของท่านก็ทรุดลงกับพื้น ทำให้ท่านอะลีและบรรดาศ่อฮาบะฮ์ต่างก็ร้องไห้กันมากขึ้น และในการยืนยันของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เกี่ยวกับความเข้าใจของท่านอบูบักรในครั้งนี้ ได้ทำให้ภูเขา, มวลมะลาอิกะฮ์บนฟากฟ้า, สรรพสัตว์ทั้งบนบก ในน้ำ และในอากาศต่างก็ร่ำไห้ หลังจากนั้นท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ก็ได้สัมผัสมือกับบรรดาศ่อฮาบะฮ์ทุกคนพร้อมกับบอกอำลา พลางร้องไห้ และให้คำตักเตือน ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม มีชีวิตอยู่หลังจากโองการนี้ถูกประทานลงมาเพียง 81 วัน
ก่อนที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จะเสียชีวิตไม่นานนัก ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ขึ้นแสดงธรรมบนมิมบัร ท่านได้แสดงคุตบะฮ์พร้อมทั้งน้ำตาและหัวใจที่ยำเกรง ร่างกายของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม สั่นสะท้าน ท่านได้แจ้งข่าวดีแก่บรรดาผู้ประพฤติดี และแจ้งข่าวร้ายแก่บรรดาผู้ประพฤติชั่ว มีรายงานจากท่านอิบนุอับบาสเล่าว่า เมื่อใกล้ถึงเวลาที่ท่าน นบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จะสิ้นชีวิต ท่านได้ใช้ให้บิล้าลทำการอะซานเรียกบรรดาศ่อฮาบะฮ์มาละหมาด บรรดามุฮาญิรีน และชาวอันศอรก็ได้มาร่วมละหมาด 2 ร่อกะอัต พร้อมกับท่าน นบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ที่มัสญิด หลังจากนั้น ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ขึ้นบนมิมบัรสรรเสริญอัลเลาะฮ์ ซุบฮานะฮุวะตะอาลา แล้วแสดงธรรม ซึ่งเป็นคุตบะฮ์ที่สุดจะบรรยายด้วยหัวใจ และด้วยดวงตาที่ชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำตา ท่านกล่าวว่า “โอ้บรรดามุสลิมทั้งหลาย ฉันเคยเป็นนบีของพวกท่าน, เคยเป็นผู้ตักเตือนพวกท่าน, เคยเป็นผู้เชิญชวนพวกท่านสู่อัลเลาะฮ์ ซุบฮนะฮูวะตะอาลา ด้วยความปรารถนาดีของพระองค์ ฉันเคยเป็นประดุจพี่น้องที่คลานตามกันมากับพวกท่าน, ฉันเคยเป็นพ่อที่มีแต่ความรักและมีความปรารถนาดีต่อท่านทั้งหลาย ดังนั้น ใครมีสิ่งที่ให้อภัยฉันไม่ได้ ขอได้โปรดเรียกร้องสิทธิของท่านกลับคืน ก่อนที่ฉันจะถูกพิพากษาในวันกิยามะฮ์” ซึ่งก็ไม่มีใครทวงสิทธิใด ๆ จนกระทั่งท่านได้พูดถึงเรื่องสิทธิซ้ำถึงสามครั้ง
ปรากฏว่า มีชายคนหนึ่งมีนามว่าอุกาซะฮ์ บิน มุอ์ซิน ได้ออกมายืนต่อหน้าท่านนบี ศ็อลลัล ลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม แล้วกล่าวว่า “หากท่านพูดในเรื่องสิทธิอย่างเมื่อครู่นี้ เพียงครั้งเดียวหรือสองครั้ง ฉันก็จะทวงคืนในวันสงครามบะดัร อูฐซึ่งเป็นพาหนะที่ฉันได้ขี่อยู่เคียงข้างอูฐ ซึ่งเป็นพาหนะของท่าน ฉันได้ลงจากหลังอูฐเพื่อที่จะให้ร่างกายของฉันได้มีโอกาสอยู่ใกล้ชิดท่านให้มากที่สุด ทั้งนี้เพื่อที่ฉันจะได้สัมผัสบนขาอ่อนของท่าน เผอิญในวันนั้นท่านได้ยกแส้ขึ้นเพื่อตีอูฐให้เคลื่อนไหวเร็วขึ้น แต่ปรากฏว่า แส้นั้นได้หวดลงบนหลังของฉัน ขณะนั้นฉันไม่ทราบว่า ท่านต้องการที่จะตีฉันหรือตีอูฐ”
ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ฟังคำกล่าวของอุกาซะฮ์แล้ว ท่านยังกล่าวว่า “เป็นไปได้หรือที่ร่อซูลุลลอฮ์ จะใช้แส้ตีท่าน โอ้อุกาซะฮ์” แล้วท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ก็สั่งท่านบิล้าลว่า “โอ้บิล้าล ท่านจงไปเอาแส้ที่บ้านของฟาติมะฮ์มาให้ฉัน” บิล้าลได้เดินเอามือกุมศีรษะออกไปจากมัสญิดพร้อมกับกล่าวว่า “ท่านร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กำลังจะถูกแก้แค้นหรือนี่ !” บิล้าลจึงมาเคาะประตูบ้านฟาติมะฮ์ และแจ้งกว่าฟาติมะฮ์ว่า “โอ้ฟาติมะฮ์ ฉันมาเอาแส้ของท่านร่อซูลุลลอฮ์ ซึ่งบิดาของท่านจะเอาแส้ไปให้ตีเพื่อชำระความแค้น” ฟาติมะฮ์รำพึงว่า “ใครกันที่มีจิตใจจะแก้แค้นท่านร่อซูลุลลอฮ์” แล้วบิล้าลก็นำแส้จากฟาติมะฮ์เดินไปในมัสญิด และให้แก่ท่านร่อซูลุลลอฮ์ เมื่อท่านรับแส้แล้วก็ส่งให้แก่อุกาซะฮ์
เมื่อท่านอบูบักรและท่านอุมัร ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ ได้เห็นเหตุการณ์ ทั้งสองจึงได้ยืนขึ้นพร้อมกล่าวว่า “โอ้อุกาซะฮ์ เราทั้งสองยืนต่อหน้าท่านแล้ว ขอท่านจงตีเราแทนท่านร่อซูลุลลอฮ์เถอะ ท่านอย่าได้ตีท่านร่อซูลุลลอฮ์เลย” ท่านร่อซูลุลลอฮ์ กล่าวว่า “อบูบักรและอุมัรท่านทั้งสองจงนั่งลง” อัลเลาะฮ์ทรงรู้ดีในเจตนาของท่านทั้งสอง แล้วท่านอะลีก็ยืนขึ้นอีกและหันไปพูดกับอุกาซะฮ์ว่า “ทั้งชีวิตของฉันฉันอยู่กับท่านร่อซูลุลลอฮ์มาโดยตลอด ขอให้ตีฉันแทนท่านร่อซูลุลลอฮ์เถิด นี่คือหลังและนี่คือท้องของฉัน จงตีฉันด้วยมือของท่าน” ท่านร่อซูลุลลอฮ์จึงกล่าวว่า “โอ้อะลี อัลเลาะฮ์ทรงรู้ดีในเจตนาของท่าน” และท่านหะซันและฮุเซ็นได้ยืนขึ้นพร้อมกล่าวว่า “โอ้อุกาซะฮ์ ท่านก็รู้จักเราดีมิใช่หรือ ว่าเราทั้งสองเป็นหลานของท่านร่อซูลุลลอฮ์” ท่านร่อซูลุลลอฮ์ได้พูดกับหลานทั้งสองว่า “จงนั่งลงโอ้สุดที่รักของฉัน”
และท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า “โอ้อุกาซะฮ์ ท่านจงตีฉันหากฉันได้ตีท่านในวันนั้น” อุกาซะฮ์ กล่าวว่า “โอ้ท่านร่อซูลุลลอฮ์ วันที่ท่านตีฉันนั้น ฉันไม่ได้สวมเสื้อ” และท่านร่อซูลุลลอฮ์ ก็ถอดเสื้อออก บรรดาพี่น้องมุสลิมต่างส่งเสียงร้องไห้ และเมื่ออุกาซะฮ์ได้เห็นความขาวของผิวกายท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม อุกาซะฮ์ได้ก้มลงจูบที่กลางหลังของท่าน นบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม พร้อมกล่าวว่า “นี่เป็นการไถ่ความผิด เพื่อวิญญาณของฉัน โอ้ท่านร่อซูลุลลอฮ์ จะมีใครหรือที่จะใจถึงในการล้างแค้นท่าน การที่ฉันได้ทำทุกอย่างไปก็เพื่อเรือนร่างของฉันจะได้สัมผัสกับเรือนร่างของท่าน ทั้งนี้ก็เพื่อพระผู้อภิบาล จะได้ปกป้องฉันให้คลาดแคล้วจากขุมนรก”
และทันใดนั้น ท่านร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า “พึงทราบโดยทั่วกันเถิดว่า ใครปรารถนาที่จะเห็นชาวสวรรค์ก็จงมองบุรุษผู้นี้” ทำให้บรรดามุสลิมทั้งหลายต่างก็เข้ามากอดจูบระหว่างตาของอุกาซะฮ์ และพากันกล่าวว่าสวรรค์เป็นของท่าน ท่านเป็นผู้บรรลุตำแหน่งอันสูงส่ง ตำแหน่งของผู้ที่อยู่กับท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ในสรวงสวรรค์
ท่านอิบนุมัสอู๊ด กล่าวว่า เมื่อใกล้เวลาที่ท่านร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จะอำลาจากเราไป พวกเราได้รวมตัวกันอยู่ที่บ้านของท่านหญิงอาอิชะฮ์ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮา ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้เหลียวมองดูพวกเราด้วยน้ำตา พร้อมทั้งกล่าวว่า “ขออัลเลาะฮ์ทรงประทานความสุขให้แก่พวกท่านทั้งหลาย ฉันขอเตือนพวกท่านให้มีความยำเกรงต่ออัลเลาะฮ์ ปฏิบัติตามคำสั่งของพระองค์ ขณะนี้ใกล้เวลาที่จะต้องพรากจากกันแล้ว ใกล้ถึงเวลาที่ฉันจะต้องกลับคืนสู่อัลเลาะฮ์ สู่สวรรค์อันเป็นสถานที่พำนักอันนิรันดร์ เมื่อถึงตอนนั้นฉันขอให้อะลีเป็นผู้อาบน้ำศพของฉัน ให้อัลฟัดลุ บิน อับบาส และ อุซามะฮ์ บิน เซด เป็นผู้ช่วยรดน้ำ ขอให้กะฝั่นฉันด้วยผ้าของฉันที่มีอยู่หากเป็นความประสงค์ของพวกท่าน หรือไม่ก็ด้วยผ้าสีขาวจากเยเมน และเมื่อพวกท่านได้อาบน้ำศพของ ฉันแล้ว พวกท่านจงวางศพของฉันไว้บนเตียงในบ้านของฉัน และขอให้พวกท่านปล่อยฉันตามลำพังสักระยะหนึ่ง พึงทราบเถิดว่า อัลเลาะฮ์คือผู้แรกที่ประทานเราะหฺมะฮ์ให้แก่ศพของฉันถัดไปก็ญิบรีล พร้อมด้วยมะลิกุลเมาต์ และมวลมะลาอิกะฮ์ตามลำดับ จากนั้นให้พวกท่านเข้ามาละหมาดให้ฉันเป็นคณะ ๆ”
เมื่อพวกเขาได้ยินว่า ท่านร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กำลังจะจากไป พวกเขาต่างก็ส่งเสียงร้องไห้ พลางรำพึงรำพันว่า “โอ้ท่านร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ท่านคือร่อซูลของพวกเรา, ท่านคือดวงประทีปของพวกเรา, ท่านคือศูนย์รวมจิตใจของพวกเรา เมื่อท่านจากเราไป พวกเราจะพึ่งใคร” ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า “ฉันได้ทิ้งไว้ให้พวกท่านแล้วซึ่งทางที่สว่างไสว และได้ทิ้งไว้ซึ่งสองสิ่งที่เป็นข้อตักเตือนสำหรับพวกท่าน คือ อัลกุรอาน และ ซุนนะฮ์ และหากหัวใจของพวกท่านแข็งกระด้าง หรือดื้อดึง พวกท่านจงทำให้นิ่มนวลด้วยการพิจารณาถึงความตาย”
ท่านร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ล้มป่วยในเดือนศ่อฟัร ซึ่งท่านป่วยอยู่เพียง 18 วัน อาการเริ่มแรกนั้นท่านปวดศีรษะ เมื่อถึงวันจันทร์ในต้นสัปดาห์ อาการป่วยของท่านก็เริ่มหนักขึ้น ขณะนั้นเป็นเวลาเดียวกันกับที่บิล้าล ทำการอะซานศุบฮิ เมื่ออะซานเสร็จแล้ว บิล้าลได้ไปยืนที่ประตูบ้านของท่านร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม พร้อมกับให้สลามว่า “ขอความสันติสุขจงประสบแด่ท่าน โอ้ร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม” ท่านหญิงฟาติมะฮ์ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮา กล่าวว่า “ท่านร่อซูลุลลอฮ์กำลังพะวงอยู่กับตัวเอง” บิล้าลจึงเดินเข้าไปในมัสญิดด้วยความรู้สึกที่ไม่เข้าใจในคำพูดของท่านหญิงฟาติมะฮ์
เมื่อใกล้อรุณรุ่ง ซึ่งหมายถึงเวลาศุบฮิจะจากไป บิล้าลได้ไปยืนหน้าบ้านของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม อีกครั้งหนึ่ง และได้กล่าวสลามเหมือนครั้งแรก ซึ่งในครั้งนี้ท่านร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ยินเสียงของบิล้าล จึงได้กล่าวว่า “จงเข้ามาเถิดบิล้าลเอ๋ย ขณะนี้ฉันกำลังพะวงอยู่กับตัวเอง อาการป่วยของฉันยิ่งทวีขึ้น โอ้บิล้าล ท่านจงบอกให้อบูบักร นำละหมาดไปก่อน” บิล้าลได้เอามือกุมศีรษะเดินออกจากบ้านของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม พร้อมกับกล่าวว่า “เราหมดหวัง โอ้แม่ของฉัน ทำไมแม่ต้องให้ฉันเกิดมาด้วย” เมื่อบิล้าลเดินเข้ามาในมัสญิดอีกครั้งหนึ่ง ก็ได้กล่าวแก่อบูบักรว่า “ท่านร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้มีคำสั่งให้ท่านทำหน้าที่เป็นผู้นำละหมาด ซึ่งในขณะนี้ท่านร่อซูลุลลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กำลังพะวงอยู่กับตัวของท่านมาก” ท่านอบูบักรจึงได้ผินหน้าไปมองที่เมียะหฺรอบของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ท่านมิได้เห็นท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ยืนทำหน้าที่ของท่านเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ท่านอบูบักรถึงกับทรุดตัวลงกับพื้น ไม่สามารถประคองตัวให้ยืนเพื่อทำหน้าที่แทนร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ ท่านร้องไห้ด้วยเสียงอันดัง ทำให้มุสลิมทุกคนที่รอการนำละหมาดจากท่าน อบูบักรต่างก็ได้ร้องให้ตามไปด้วยความโกลาหลได้เกิดขึ้น เสียงร่ำไห้ระคนไปกับเสียง ถามไถ่ถึงท่านร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม
ท่านร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ยินเสียงร้องไห้ของผู้มารอละหมาด จึงได้ถามท่านหญิงฟาติมะฮ์ว่า “นั่นเป็นเสียงร้องไห้จากที่ไหน” นางตอบว่า “นั่นเป็นเสียงของบรรดาพี่น้องมุสลิมที่รอการละหมาด เพราะวันนี้ พวกเขาไม่มีท่านทำหน้าที่นำการละหมาดให้แก่พวกเขา”
ท่านร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้เรียกท่านอะลีและอัลฟัดลุ บิน อับบาส ให้เข้ามาใกล้ ๆ แล้วท่านก็ให้ทั้งสองช่วยพยุงร่างของท่านเข้าไปในมัสญิดเพื่อร่วมละหมาดศุบฮิในวันนั้นซึ่งตรงกับวันจันทร์
หลังจากเสร็จ สิ้นการละหมาด ท่านร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ก็หันมายังที่น้องมุสลิมพร้อมกับกล่าวว่า “โอ้พี่น้องมุสลิมทั้งหลาย ขออำลาท่านทั้งหลาย ตามพระประสงค์แห่งองค์พระผู้เป็นเจ้า ขอให้ท่านทั้งหลายมีความยำเกรงต่ออัลเลาะฮ์ ปฏิบัติตามคำสั่งของพระองค์ วันนี้เป็นวันอาคิเราะฮ์วันแรกของฉัน และเป็นวันสุดท้ายแห่งดุนยาของฉัน” แล้วท่านก็ค่อย ๆ พยุงร่างของท่านเดินกลับบ้าน หลังจากนั้นอัลเลาะฮ์จึงทรงวะฮีย์ให้มะลิกุลเมาต์ลงมาพบท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม โดยจำแลงร่างมาหาผู้เป็นที่รักของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม หากร่อซูลุลอฮ์ อนุญาตให้ท่านเข้าไปในบ้านแล้ว ก็จงเข้าไป แต่หากร่อซูลุลลอฮ์ไม่อนุญาต ท่านอย่าได้เข้าไป และจงกลับมา แล้วมะลิกุลเมาต์ก็ลงไปโดยจำแลงกายเป็นชายอาหรับชนบท
เมื่อมะลิกุลเมาต์ไปถึงท่านได้กล่าวสลามว่า “ขอความสันติสุขจงประสบแด่ครอบครัวของท่านนบี ศ็อลลัล ลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม” แล้วกล่าวถามว่า “อนุญาตให้ฉันเข้าไปได้หรือไม่” ท่านหญิงฟาติมะฮ์ ตอบว่า “โอ้อับดุลลอฮ์ (คือมะลิกุลเมาต์) ท่านร่อซูลุลลอฮ์กำลังป่วยหนัก” มะลิกุลเมาต์ ได้ให้สลามอีกครั้งในสำนวนเดิม ซึ่งในครั้งนี้ ร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ถามท่านหญิงฟาติมะฮ์ว่าใครมา นางตอบว่า “ชายชาวชนบทผู้หนึ่งได้มาหาท่าน ซึ่งฉันได้บอกเขาแล้วว่าท่านป่วย ปรากฏว่าชายผู้นั้นได้เพ่งมองมายังฉันจนเนื้อตัวของฉันสั่นสะท้านเพราะความหวาดกลัว อีกทั้งหัวใจเต้นระรัว จนผิวกายของฉันเปลี่ยนสี” ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ถามท่านหญิงฟาติมะฮ์ว่า “ลูกรู้ไหม ว่าเขาผู้นั้นคือใคร” นางตอบว่า “ลูกไม่ทราบ” ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จึงบอกนางว่า “เขาผู้นั้นคือผู้พิชิตความอร่อย ผู้สยบความอยาก ผู้ทำให้ต้องพลัดพราก ผู้ทำให้ครอบครัวอยู่ในอาการโศกเศร้า” ท่าหญิงฟาติมะฮ์ร้องไห้สะอึกสะอื้น พลางรำพึงรำพันออกมาว่า “โอ้ท่านร่อซูลุลอฮ์ โอ้บิดา ท่านกำลังจะจากไปแล้วหรือ? วันนี้หรือที่เป็นวันซึ่งจะไม่มีวะฮีย์ประทานมาอีกแล้ว เป็นวันที่ท่านจะไม่พูดกับลูกอีกแล้ว เป็นวันที่ลูกจะไม่ได้ยินเสียงสลามจากท่านอีกแล้ว”
ท่านร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวแก่ท่านหญิงฟาติมะฮ์ว่า “โอ้ลูกรัก ลูกอย่าร้องไห้ ลูกจะเป็นคนแรกจากครอบครัวของเราที่จะติดตามฉันไป” จากนั้นท่านก็อนุญาตให้มะลิกุลเมาต์เข้ามาหา มะลิกุลเมาต์ได้ให้สลามว่า “ขอความสันติสุขจงประสบแด่ท่านเถิด โอ้ท่านร่อซูลุลลอฮ์” ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ตอบรับสลามว่า “และท่านก็เช่นเดียวกัน โอ้มะลิกุลเมาต์” แล้วท่านร่อซูลุลลอฮ์ ก็ได้เอ่ยถามมะลิกุลเมาต์ว่า “ท่านมาเพื่อเยี่ยมหรือมาเพื่อปลิดวิญญาณของเรา” มะลิกุลเมาต์ตอบว่า “ทั้งเยี่ยมและปลิดวิญญาณหากท่านอนุญาต หากท่านไม่อนุญาตฉันก็จะกลับ”
ท่านร่อซูลุลลอฮ์ได้ถามมะลิกุลเมาต์ว่า “ญิบรีลอยู่ที่ไหน?” มะลิกุลเมาต์ตอบว่า “อยู่บนฟ้าชั้นที่หนึ่ง ซึ่งบรรดามะลาอิกะฮ์ทั้งหลายกำลังทำการปลอบขวัญและให้กำลังใจอยู่” สักครู่หนึ่งญิบรีล ก็ได้มานั่งเคียงข้างร่อซูลุลลอฮ์ ท่านได้ถามญิบรีลว่า “โอ้ญิบรีล ท่านรู้ไหมว่า ทุกอย่างกำลังจะจบสิ้น” ญิบรีลตอบว่า “ฉันรู้ดี โอ้ร่อซูลุลลอฮ์” ท่านจึงได้ให้ญิบรีลบอกท่านถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นบางขั้นตอนหลังจากที่ ท่านได้เสียชีวิตไปแล้ว ญิบรีลกล่าวว่า “ขณะนี้ประตูฟากฟ้าทุกชั้นเปิดหมดแล้ว มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดเข้ายืนรอรับดวงวิญญาณของท่าน อีกทั้งประตูสวรรค์ทั้งหมดก็เปิดอยู่”
ท่านร่อซูลุลลอฮ์ กล่าวว่า “อัลฮัมดุลิลลาฮ์” แล้วจึงถามต่อไป “ประชาชาติของฉันจะอยู่ในสภาพใด หลังจากพวกเขาไม่มีฉันแล้ว โดยเฉพาะในวันกิยามะฮ์พวกเขาจะเป็นอย่างไร?” ญิบรีล กล่าวว่า “พระผู้เป็นเจ้าทรงห้ามมิให้ศาสนทูตท่านใดก็ตามเข้าสวรรค์ก่อนท่าน และห้ามมิให้ประชาชาติของบรรดาศาสนทูตใด ๆ เข้าสวรรค์ก่อนประชาชาติของท่าน” ท่านร่อซูลุลลอฮ์ กล่าวว่า “ขณะนี้ฉันสบายใจแล้ว” ท่านได้หันไปพูดกับมะลิกุลเมาต์ว่า “จงเข้ามาใกล้ ๆ ฉัน” มะลิกุลเมาต์ปฏิบัติตาม แล้วเริ่มถอดวิญญาณของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม
เมื่อวิญญาณมาอยู่ตรงสะดือ ท่านร่อซูลุลลอฮ์ ได้พูดกับญิบรีลว่า “ฉันเจ็บเหลือเกิน” เมื่อญิบรีลได้ยิน ดังนั้น ถึงกับผินหน้าไปทางอื่น ท่านร่อซูลุลลอฮ์ กล่าวแก่ญิบรีลว่า “ท่านไม่อยากมองหน้าฉันแล้วหรือ?” ญิบรีลตอบว่า “โอ้ที่รักของอัลเลาะฮ์ ใครกันที่จะมีจิตใจเข้มแข็งพอที่จะมองหน้าท่านได้ ในขณะที่ท่านกำลังเจ็บปวดอย่างนี้” ท่านอนัส บิน มาลิก กล่าวว่า เมื่อวิญญาณของท่านศาสนทูต ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เลื่อนมาอยู่ที่อก ท่านได้กล่าวตักเตือนเรื่องละหมาด และสิ่งต่าง ๆ ที่ท่านครอบครอง ท่านได้พูดซ้ำไปซ้ำมาจนกระทั่งสิ้นเสียงของท่าน ท่านอะลีกล่าวว่า ในช่วงสุดท้ายนั้น ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กระดิกริมฝีปากสองครั้ง ฉันก้มศีรษะลงฟังใกล้ ๆ ฉันได้ยินท่านพูดอย่างแผ่วเบาว่า “ประชาชาติของฉัน ประชาชาติของฉัน” ท่านสิ้นชีวิตในวันจันทร์ ที่ 12 เดือน ร่อบิอุลเอาวัล หากจะมีใครสักคนหนึ่งที่จะมีชีวิตอยู่อย่างนิรันดร์ แน่นอนเขาผู้นั้นคือ
ศาสนทูตมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม
มีรายงานว่า ท่านอะลี ได้อุ้มท่านร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ขึ้นวางบนเตียงเพื่ออาบน้ำและขณะนั้นมีเสียงตะโกนมาจากมุมด้านหนึ่งว่า “ไม่ต้องอาบน้ำให้มุฮัมมัด เพราะมุฮัมมัดสะอาด” ท่านอะลีจึงถามว่า “ท่านเป็นใคร เพราะท่านร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ใช้ฉันอาบน้ำให้ท่าน” และทันใดนั้นมีเสียงดังขึ้นอีกมุมหนึ่งว่า “โอ้อะลี จงอาบน้ำให้ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เถิด เสียงตะโกนครั้งแรกเป็นของอิบลีส มันอิจฉาท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม มันมีเจตนาที่จะให้ท่านอยู่ในหลุมศพในสภาพที่ไม่ได้อาบน้ำ” ท่านอะลีกล่าวว่า “ขออัลลลอฮ์ทรงประทานความดีแก่ท่านที่ได้แจ้งแก่ฉันว่าเสียงเมื่อครู่นั้น คือเสียงของอิบลีส ครั้งนี้จงแจ้งแก่ฉันเถิดว่าท่านเป็นใคร” ท่านอะลี ได้รับคำตอบว่า “ฉันคือ คิฎิร ฉันมาร่วมพิธีศพของมูฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม” แล้วท่านอะลีได้อาบน้ำให้ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม โดยมีอัลฟัดลุ บิน อับบาส และอุซามะฮ์ บิน เซด เป็นผู้ช่วยรดน้ำ
ญิบรีลได้นำเอาอุปกรณ์กะฝั่นจากสรวงสวรรค์ และได้ทำการกะฝั่น ฝัง ณ ที่ห้องในบ้านของท่านหญิงอาอิชะฮ์ ในคืนวันพุธ ตอนสองยาม มีบางรายงานว่า ฝังคืนวันอังคาร โดยมีท่านหญิงอาอิชะฮ์ยืนเคียงข้างกุบูร พร้อมกล่าวว่า
โอ้ ผู้ที่ไม่สวมใส่ผ้าไหม ผู้ที่ไม่เคยนอนบนที่นอน โอ้ผู้ที่จากดุนยาทั้งที่ชีวิตไม่เคยกินอาหารอิ่มเลยแม้แต่ครั้งเดียว โอ้ผู้ที่เลือกเอาเสื่อแทนเตียงนอน โอ้ผู้ที่ไม่เคยนอนเต็มตื่นเพราะความกลัวที่มีต่อพระผู้อภิบาล
จบด้วยการสรรเสริญต่ออัลเลาะฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา และความสันติสุขจงประสบแด่ท่าน นบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม
เรียบเรียงและพิสูจน์อักษร : รัศมีแห่งดอกไม้
tags:
แสดงความคิดเห็น