แสงที่มองไม่เห็น By: nada-yoru Date: ก.ย. 08, 2009, 06:11 PM
salam
...เป็นเรืื่องสั้นขยันแต่งค่ะ...
"แสงที่มองไม่เห็น"
^
^
^
...เราเคยสงสัยไหมว่่า แสงเกิดขึ้นได้อย่างไร
ใครคือผู้สร้าง
...เราเคยสงสัยถึงความเป็นแสงหรือเปล่า
...แสงจะมีวันหมดลงหรือไม่
...และเราคงเคยได้ยินคำว่า...
แสงสว่างเสมอด้วยปัญญาไม่มี
คนทั่วไปสามารถมองเห็นได้ก็เพราะแสงสว่าง
...แต่คนที่อยู่ในโลกมืด
จะมีแสงใดส่องไปถึงพวกเขาได้
...แล้วคนตาบอด
เขาใช้อะไรนำทาง
คุณสมบัติของแสง
เดินทางเป็นเส้นตรง
การหักเห
การสะท้อน
การกระจาย
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
หน้าที่และความสามารถ
แสงทำให้เรามองเห็น
แสงไม่เลือกส่องยังจุดใดจุดหนึ่งแต่เป็นทุกจุดที่แสงเดินผ่าน
ให้พลัง
ทำให้ความมืดและความกลัวหายไป
ส่องไปยังภายนอก
จุดเด่น
มุมตกกระทบ เท่ากับ มุมสะท้อน
มีบุคคลหนึ่งที่ใครๆเปรียบเขาดั่งแสงสว่าง
แต่สำหรับฉัน...เขาเป็นได้มากกว่านั้น
อาจารย์คะ ทำไมคำว่่า อะคาริ???ถึงแปลว่าแสงสว่างล่ะคะ
ฉันเริ่มถามอาจารย์ผู้หญิงวัยห้าสิบปลายๆ ใบหน้าสดใส
แววตาใจดีที่มอบให้ฉันซึ่งเป็นลูกศิษย์เพียงคนเดียว
ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งที่ประเทศญี่ปุ่น
ฉันที่เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมายังเกาะนี้เพื่อจะหอบความรู้
กลับไปยังบ้านเกิด ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มันมา
และคนตรงหน้านี่แหล่ะคือบุคคลที่จะเป็นลำแสงให้ฉันเดินทางไปหามันได้
ฉันที่ตอนนี้ยังไม่มีแสงสว่างในตัวเอง
เพราะตัวคันจิของคำว่าอะคาริประกอบด้วยตัวพระอาทิตย์???
และพระจันทร์???รวมกัน ทำให้มีแสงสว่างตลอด24ชั่วโมงไงนารีจัง
และตัวคันจิตัวนี้ไม่ได้แปลว่าแสงสว่างอย่างเดียวเท่านั้นนะ
แต่มันยังหมายถึงการบรรลุด้วยฉันพยักหน้าเข้าใจคำอธิบาย
ด้วยภาษาญี่ปุ่นอย่างง่ายจากอาจารย์ผู้สอนที่แสนใจดี
และอดทนกับการตอบปัญหาของเด็กต่างชาติอย่างฉัน
ที่มักจะสงสัยโน่นสงสัยนี่แล้วเก็บมาถามอาจารย์สอนภาษา
ซึ่งเป็นผู้เดียวที่จะไขข้อข้องใจให้ฉันได้เสมอ
หลายครั้งที่ได้เรียนภาษาญี่ปุ่นกับอาจารย์ท่่านนี้แล้ว
ทำให้ฉันรู้สึกคุ้นเคย อาจจะเป็นเพราะเราสองคนมีอะไรที่เหมือนกัน
หรือที่เขาเรียกว่า
ความเหมือนในความต่าง
ฉันเป็นคนนึงที่บ้าเรียน จริงจัง ส่วนอาจารย์ขยันสอน
ฉันลงเรียนภาษาญี่ปุ่นโดยไม่ได้รับหน่วยกิต
ส่วนอาจารย์เป็นอาสาสมัครสอน เลยไม่ได้รับค่าจ้าง
ฉันหวังอยากได้ภาษาจากอาจารย์เพื่อเป็นทางไปสู่มวลความรู้
ส่วนอาจารย์หวังอยากมีลูกศิษย์ต่างชาติที่ฉันแอบคิดมาเสมอว่า
อาจารย์คงอยากไปเที่ยวเมืองไทยโดยให้ฉันเป็นไกด์นำเที่ยวแน่นอน
...แต่ถ้าฉันรู้สักนิด ฉันคงไม่คิดแบบนั้นแน่
ฉันมีอาจารย์สอนภาษาแค่คนเดียว ส่วนอาจารย์มีฉันคนเดียวเป็นลูกศิษย์
ฉันไม่ชอบถ่ายรูป พอๆกับอาจารย์
เพราะผ่านมาสามปี เราก็ไม่เคยมีรูปที่ถ่ายด้วยกัน
เราเริ่มต้นจากความเหมือน
ในความต่าง
เพราะ
ฉันเป็นคนหัวแข็ง เอาแต่ใจ ดื้อด้าน
แต่อาจารย์ช่างอดช่างทน อ่อนโยน ช่างตื้อ ช่างยื้อโดยเฉพาะเวลา
ฉันไม่ชอบรอ เพราะเข้าห้องทีไรก็เห็นอาจารย์นั่งอ่านหนังสือ
ในมือมีแต่เอกสาร หนังสือพิมพ์ สถานที่ท่องเที่ยว
และงานเทศกาลต่างๆของญี่ปุ่นที่นำมายัดเยียดให้ฉันทั้งที่ฉันไม่เคยขอ
ไม่รู้จะโฆษณาประเทศตัวเองไปถึงไหน แต่เพื่อความรู้ฉันจึงไม่ปฏิเสธ
เพราะการมาอยู่ที่นี่ ที่ที่มีค่าครองชีพสูงลิบ
ดังนั้นทั้งเงินทั้งเวลาที่เสียไป ฉันต้องเอาคืนให้คุ้ม
ฉันชอบเล่าและจินตนาการถึงอนาคตอันสดใส
แต่อาจารย์ชอบพูดถึงอดีต
ฉันไม่เคยถามอายุหรือเรื่องส่วนตัวของอาจารย์
แต่อาจารย์ชอบถามถึงเรื่องส่วนตัวของฉันตลอด
จนบางทีกว่่าจะเข้าเนื้อหาเรื่องเรียนก็เสียเวลาไปครึ่งชั่วโมง
แต่ไม่เป็นไร เพราะฉันก็ได้หัดพูดญี่ปุ่นกับอาจารย์
ฉันช่างเล่า ส่วนอาจารย์ช่างซัก
และนั่นคือความเหมือนในความต่างที่ลงตัวกันพอดีในความรู้สึกฉัน
นารีซัง เทอมนี้อาจารย์ยามาดะพักการสอนเพราะสุขภาพ
ไม่ค่อยแข็งแรง ไม่แน่ใจว่าจะได้กลับมาสอนอีกหรือเปล่า
แต่เธอไม่ต้องห่วงนะ เพราะทางมหาวิทยาลัยได้จ้างอาจารย์ที่เชียวชาญ
ทางด้านภาษาและการสอนโดยเฉพาะมาสอนพวกเธอ
โดยครั้งนี้จะมีหน่วยกิตให้ด้วย
ขอบคุณค่ะฉันกล่าวขอบคุณฝ่ายจัดการนักศึกษาในมหาวิทยาลัยแห่งนี้
เพราะนั่นหมายความว่าจากนี้ไปฉันจะได้ทั้งภาษาทั้งหน่วยกิต
ไม่เสียเวลาไปเปล่าๆเหมือนหนึ่งปีกับอีกหนึ่งเทอมก่อนที่ได้แค่ความรู้
แต่ไม่ได้หน่วยกิตที่นักศึกษาทั้งหลายอยากเก็บให้ครบภายในเวลาสี่ปี
และคราวนี้ก็มีเพื่อนๆชาวต่างชาติต่างก็ลงเรียนกันหลายคน
สนุกสนานเพราะได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็น
ไม่ใช่มีแค่ฉันคนเดียวที่นั่งเรียนกับครูคนเดียวอย่างแต่ก่อน
ส่วนอาจารย์คนใหม่ก็สอนเก่ง สนุกและมักจะหาเกมประกอบการสอน
มาให้พวกเราเล่นกันเสมอ
จนฉันรู้สึกว่าตัวเองเข้าใจภาษามากกว่าอาจารย์คนก่อนสอนเสียอีก
และก็อดที่จะเปรียบเทียบความเก่งในวิชาการของทั้งสองไม่ได้
เพียงแต่อาจารย์คนใหม่แม้ภายนอกจะดูขี้เล่นแต่แฝงไว้ด้วยความจริงจัง
จนฉันไม่กล้าถามโน่นถามนี่มากนัก
เพราะกลัวอาจารย์จะรำคาญเอา บวกกับอาจารย์เป็นผู้ชาย
ฉันเลยไม่กล้าหรือตีสนิทมากนัก
แต่พอเทอมถัดมาซึ่งตอนนั้นฉันอยู่ปีสาม
แล้วอาจารย์คนก่อนก็กลับมาอีกครั้ง
คราวนี้ทางมหาวิทยาลัยได้จัดให้มีทั้งอาจารย์ที่สอนในคาบเรียน
ที่ทางมหาวิทยาลัยจัดให้และที่เป็นอาสาสมัครสอนซึ่งจะไม่ได้หน่วยกิต
จะเรียนหรือไม่เรียนก็ได้เพิ่มขึ้นมาอีกสามท่าน
ทั้งที่เมื่อก่อนมีแค่อาจารย์ยามาดะที่อาสาสมัครสอนแค่คนเดียวเท่านั้น
ตอนนี้เลยกลายเป็นว่ามีอาจารย์สอนภาษาทั้งหมดสี่คนด้วยกัน
ให้เราเลือกเรียน และสำหรับนักศึกษาปีสามอย่างฉัน
จะลงเรียนหรือไม่ก็ได้ และมีโอกาสเลือกอาจารย์ได้ว่า
อยากเรียนกับท่านใด
วันนั้นซึ่งเป็นวันรวมตัวของนักศึกษาต่างชาติและเหล่าอาจารย์ที่เกี่ยวข้อง
ฉันเห็นอาจารย์ยามาดะที่นั่งอยู่ท่ามกลางบรรดาคุณครูสอนภาษา
คนใหม่อีกสองท่่านกับอาจารย์ผู้ชายที่สอนในคาบเรียน
จากอาจารย์ที่เคยมีใบหน้าสดใส กลับซูบซีด ผอมลงจนเห็นได้ชัด
หากรอยยิ้มและแววตายังคงอบอุ่นเหมือนเดิม
ครูขอโทษด้วยนะที่เทอมก่อนไม่ได้มาสอนเธอน้ำเสียงและแววตา
ที่แฝงไว้ด้วยแววบางอย่างที่ฉันเองก็อ่านไม่ออก
กับมือเหี่ยวย่นที่กุมมือฉันเอาไว้ทำให้ฉันรู้สึกแปลกๆในหัวใจ
อย่างบอกไม่ถูก แม้ฉันจะยุ่งยังไงและคิดว่าตอนนี้
ฉันไม่จำเป็นต้องเรียนภาษาญี่ปุ่นกับบรรดาอาจารย์แล้วก็ตาม
แต่เมื่อได้เห็นแววบางอย่างในดวงตาคู่นั้นของอาจารย์
ทำให้ฉันพูดกลับไปว่า
เทอมนี้อาจารย์จะกลับมาสอนอีกครั้งใช่มั้ยคะ
ฉันเห็นอาจารย์ยิ้มร่าออกมา
ฉันรู้ว่าอาจารย์ชอบสอน
ฉันเองก็ชอบเรียนเหมือนกัน
ถ้าเธอเรียน ครูก็สอน แต่ครูไม่ค่อยแข็งแรง
อาจจะสอนเธอได้ไม่เต็มที่นัก
ปีนี้มีอาจารย์มาช่วยสอนเพิ่มอีกสามคน ซึ่งครูก็พอรู้จักมาบ้าง
เพราะเราเป็นอาสาสมัครสอนด้วยกันมาก่อนฉันพอจะเข้าใจความนัย
ของคำพูดนั้นอยู่บ้าง โดยเฉพาะแววตาหม่นแสง
หวังว่าอาจารย์คงไม่คิดว่าฉันจะเลือกเรียนกับท่านอื่นหรอกนะ
แต่แววตามันฟ้องออกมาแบบนั้น
ฉันเลยตอบไปว่า
อาจารย์ไม่ต้องกังวลเรื่องสอนนะคะ ถ้าอาจารย์สะดวกวันไหน
หนูก็จะเรียนวันนั้น เพราะสุขภาพสำคัญกว่า
อีกอย่่างเทอมนี้หนูคงยุ่งมากขึ้น แต่หนูก็ยังอยากเรียนกับอาจารย์อยู่นะคะ
ฉันเองก็ไม่รู้ว่าอะไรผลักดันให้ฉันพูดแบบนั้นไป
ทั้งๆที่ใจจริงฉันแทบหาเวลาเรียนภาษาไม่ได้เลย
เพราะฉันลงเรียนวิชาต่างๆไปเต็มทุกคาบแล้ว
เหลือแค่บ่ายวันศุกร์เท่านั้น ที่ฉันตั้งใจจะให้เป็นวันว่าง
สำหรับเคลียร์งานต่างๆและทบทวนบทเรียน
ซึ่งอาจารย์เองก็บอกว่าไม่ว่างเพราะมีนัดกับหมอทุกๆวันศุกร์
แต่อาจจะพอว่างบ้างบางสัปดาห์
เราสองคนเลยตกลงกันว่าจะนัดเจอกันทางโทรศัพท์
เพราะถึงยังไง เรียนกับอาจารย์ก็ไม่ได้หน่วยกิตอยู่ดี
เรียนเมื่อไหร่ตอนไหนก็ได้ จะไม่เรียนก็ยังได้เลย
เพราะว่าฉันทะนงตนว่าภาษาฉันแข็งแรงแล้ว
แต่ถ้าฉันรู้สักนิด
ฉันคงไม่คิดอย่างนั้นแน่
..มีต่อ..
Re: แสงที่มองไม่เห็น By: nada-yoru Date: ก.ย. 08, 2009, 06:13 PM
ปรากฏว่าเทอมนั้นฉันมีเวลาเรียนกับอาจารย์ยามาดะแค่ไม่กี่คาบเอง
เพราะฉันเริ่มยุ่งส่วนอาจารย์ก็ไม่ว่างมาสอน
แล้วอยู่ๆฉันก็ได้รับโปสการ์ดจากอาจารย์ตอนช่วงปิดเทอม
ในนั้นเป็นข้อความธรรมดาๆทั่วไป ที่อาจารย์มักจะเขียน
และส่งมาให้ฉันทุกปีใหม่ แต่ฉันจำได้ว่าตอนต้นปีนี้ฉันยังไม่ได้
สงสัยอาจารย์คงส่งให้ย้อนหลัง ทว่ามันช้าจนเกือบจะสิ้นปีอยู่แล้ว
แถมยังเป็นช่วงปิดเทอมภาคฤดูร้อนของที่นี่อีก
ฉันจึงหยิบมันขึ้นมาอ่านอย่างผิวเผินกับประโยคเดิมๆ
เหมือนกับเป็น pattern หรือรูปแบบการเขียนโปสการ์ดของคนที่นี่
แล้ววางมันเอาไว้กับกองใบเสร็จต่างๆเหมือนอย่างเคย
เมื่อก่อนฉันไม่เคยคิดจะส่งโปสการ์ดหรือส.ค.สให้ใครในวันปีใหม่
หรือวันไหนๆนักนอกจากคิดถึงจริงๆเท่านั้น
เพราะสำหรับฉันวันไหนๆก็เหมือนกันและดูเหมือนการส่งโปสการ์ด
ช่างเป็นอะไรที่สิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ ไร้สาระด้วย
น่าจะเอาเงินส่วนนั้นไปเลี้ยงข้าวเขาหรือทำอย่างอื่นให้เขาน่าจะดีกว่า
แต่ถ้าฉันรู้สักนิด
ฉันคงไม่คิดอย่างนั้นแน่
ปิดเทอมนี้ฉันเลยมีโอกาสไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนคนไทย
ที่อยู่กันคนละจังหวัดด้วยกัน รวมหัวและตัวกัน กินนอนอยู่ด้วยกัน
อย่างสนุกเฮฮา ทำกิจกรรมร่วมกันเหมือนทุกๆครั้งที่ปิดเทอม
โดยลืมสนิทไปว่าได้นัดเรียนภาษาญี่ปุ่นกับอาจารย์ยามาดะในช่วงปิดเทอม
ซึ่งฉันไม่ได้ร้องขอแต่มันเป็นความต้องการของอาจารย์เอง
ที่อยากจะสอน จนหลายๆครั้งฉันก็งงๆว่าอาจารย์จะอยากสอนอะไร
กันนักกันหนา
ฉันก็เหมือนวัยรุ่นทั่วไป แม้จะบ้าเรียนแค่ไหน
(ที่บ้าเพราะรัก ฉันว่าฉันเป็นคนชอบเรียนนะ ยิ่งได้เรียนในสิ่งที่ชอบ
อย่างทุกวันนี้แล้วยิ่งชอบยิ่งสนุก ไม่เคยรู้สึกเบื่อหรือมองมันเป็นหน้าที่
แต่มองว่ามันคือสิ่งที่ทำแล้วรู้สึกดีมีความสุข
แม้บางครั้งจะเหนื่อยและท้อไปบ้างก็ตาม)
แต่เวลาหยุดฉันก็อยากหยุดพักและอยากเดินทางท่องเที่ยว
สังสรรค์กับเพื่อนฝูงบ้าง
จนอาจารย์โทรมาหาฉันในวันหนึ่ง
นารีจัง ครูขอโทษด้วยนะที่อาจจะไม่ได้ไปสอนเธอในช่วงปิดเทอมนี้
ฉันยิ้มเริงร่าเหมือนอึ่งอ่างได้ฝนทันทีที่ได้ยินอย่างนั้น
เพราะนั่นคือประโยคที่ฉันอยากได้ยินจากปากอาจารย์ที่สุด
ไอ้เราจะโทรไปปฏิเสธว่าไม่เรียน มันก็ดูจะเสียมารยาท
(ก็อาจารย์อยากสอนเสียขนาดนั้นนี่) แต่ได้ฟังอย่างนี้แล้วฉันก็ลิงโลด
เพราะฉันมีนัดไปเที่ยวงานเทศกาลชมดอกไม้ไฟกับเพื่อนๆพอดี
และยังมีงานพาสทามที่ต้องทำในช่วงปิดเทอมเพื่อจะได้มีเงินค่าอุปกรณ์
การเรียนที่แพงแสนแพงอีก
ไม่เป็นไรเลยค่ะอาจารย์ อาจารย์เองจะได้พักผ่อนไงคะ
เดี๋ยวเปิดเทอมหน้าเราค่อยนัดกันอีกทีก็ได้ค่ะ
ฉันพูดไปตามมารยาทเพื่อให้ตัวเองดูดี เป็นนักเรียนดีเด่่น
แต่ลึกๆฉันก็ยังอยากเรียนกับอาจารย์นะ เพียงแต่ตอนนี้
อารมณ์อยากเที่ยวมันมีมากกว่าสิ่งใด เพราะผ่านห้องสอบ
อันแสนหฤโหดมาหมาดๆเลยอยากปลดปล่อยสมองให้โล่งบ้าง
และก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ อาจารย์เองก็ไม่ได้พูดอะไรต่อนอกจากคำว่า
ครูอยากสอนเธอต่อจริงๆนะนารีจัง ดูแลสุขภาพด้วยนะ
อาจารย์ก็เช่นกันนะคะจบบทสนทนาทางโทรศัพท์
ฉันก็กระโดดโหยงเหยงเริงร่าวิ่งไปหากลุ่มเพื่อนๆ
ที่กำลังช่วยกันทำอาหารอยู่ในครัวที่กำลังจะแคบลงเพราะฉัน
หลังจากนั้นฉันก็เที่ยวเล่นกับเพื่อนและเริ่มทำงานพิเศษแทบทุกวัน
เพราะความยุ่ง ทำให้ฉันไม่ได้รับโทรศัพท์จากอาจารย์
แม้ตั้งใจจะโทรกลับแต่กลับลืมทุกครั้ง
จนวันนั้นพอดีฉันต้องออกไปจัดการธุระที่มหาวิทยาลัย
ฉันเลยนึกขึ้นมาได้จึงกดโทรศัพท์หาอาจารย์
หลังจากที่ไม่ได้ติดต่อกันนานร่วมเดือน
และก็เป็นโชคดีของฉัน เมื่อได้ยินเสียงตอบรับจากทางปลายสาย
เพราะแอบคิดว่า อาจารย์อาจจะงอนๆฉันอยู่ก็ได้
สวัสดีค่ะอาจารย์ หนูขอโทษนะคะที่ไม่ได้โทรกลับ
อาจารย์มีธุระอะไรกับหนูรึเปล่าคะฉันรีบพูดถึงจุดประสงค์
ในการโทรทันที แล้วก็ต้องแปลกใจกับเสียงสั่นๆ
ราวกับไม่มีเรี่ยวแรงจากทางปลายสาย
ไม่มีอะไรหรอก อาจารย์แค่โทรไปถามทุกข์สุขของเธอเท่านั้น
ฉันรู้สึกแปลกๆกับน้ำเสียงสั่นๆนั่นจนอดถามไม่ได้ว่า
อาจารย์สบายดีใช่มั้ยคะแล้วฉันก็ได้ยินเสียงสั่นเครือจากทางปลายสายว่า
ตอนนี้ครูอยู่โรงพยาบาลเสียงนั้นทำฉันตกใจนิดนึง
แล้วค่อยๆนึกขึ้นมาได้ว่าอาจารย์เองก็อายุมากแล้ว
คงไม่แปลกที่จะป่วย ฉันเลยตั้งใจว่าจะไปเยี่ยมอาจารย์
เพราะไหนๆวันนี้ก็ออกไปมหาวิทยาลัยอยู่แล้ว ทางเดียวกันจะได้ไม่เสียเวลา
แล้วอาจารย์อยู่ที่โรงพยาบาลไหนคะหนูจะได้ไปหาสิ้นเสียงฉัน
ก็เหมือนแว่วได้ยินเสียงสะอื้นก่อนจะตามมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
แล้วรีบพูดขึ้นเหมือนกับว่าได้เวลาต้องวางสายแล้วว่า
ครูคงคุยกับเธอได้ไม่นานนะ ครูอยู่ที่โรงพยาบาล
อาจารย์บอกชื่อโรงพยาบาลเสียงรัวเร็ว แล้วตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงสั่นๆว่า
ครูอยากเจอเธอนะ ขอบใจ ขอบใจมาก
ไม่เป็นไรค่ะ แล้วหนูจะไปหานะคะ
อาริกาโต ซาโยนาระคำว่าขอบคุณและคำลา
คำสองคำถูกเปล่งออกมาด้วยน้ำเสียงเบาหวิวจากอาจารย์ยามาดะ
ทำเอาฉันรู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก
แต่มันก็เป็นแค่การกล่าวลาตามปกติทั่วไปของคนญี่ปุ่นอยู่แล้ว
ฉันจึงตอบกลับไปว่า
ซาโยนาระเซ็นเซ(คุณครู) แล้วเจอกันนะคะฉันกดวางสาย
พร้อมกับรีบวิ่งไปจัดการธุระที่มหาวิทยาลัย
ก่อนจะรีบเดินไปยังร้านดอกไม้หลังจากที่คิดมาตลอดตอนนั่งรถไฟ
ว่าควรจะเอาอะไรไปเยี่ยมอาจารย์ดี ระหว่างผลไม้ ขนมหรือว่่าดอกไม้ดี
สุดท้ายก็เลยเลือกดอกไม้ เพราะถ้าเป็นของกินก็กลัวจะไม่ถูกปากอาจารย์
แม้จะเรียนกันมาเป็นปีๆ แต่ฉันก็ไม่เคยถามว่าอาจารย์ชอบอะไร
บ้านอยู่ที่ไหน เพราะฉันถือว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัว จึงไม่อยากก้าวก่าย
และที่สำคัญดอกไม้อาจจะทำให้อาจารย์สดชื่นและกลับมาแข็งแรง
ได้อีกครั้งเมื่อได้เห็นก็ได้
แต่พอเห็นราคาของช่อดอกไม้ทำเอาเด็กต่างชาติอย่างฉันต้องถอนใจ
ดอกไม้อะไรช่อเดียวกินเงาะได้ทั้งต้นที่บ้านเรา
แต่พอคิดไปคิดมา ฉันเองก็ยังไม่เคยให้อะไรกับอาจารย์เลย
คิดได้ดังนั้นฉันเลยเดินเข้าไปในร้านดอกไม้ที่ว่า
แต่กลับฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า ตอนนี้ฉันใส่ชุดดำทั้งชุด
จะไปหาคนป่วยทั้งสภาพอย่างนี้ไม่ดีแน่
คนญี่ปุ่นยิ่งถือเรื่องพวกนี้อยู่ด้วย ฉันเลยถอดใจ
คิดว่าเอาไว้ค่อยไปเยี่ยมวันหลังก็แล้วกัน คงไม่เป็นไรหรอก
หลังจากวันนั้นฉันก็ยุ่งเรื่องงานที่ทำจนแทบหาเวลา
ไปเยี่ยมอาจารย์ไม่ได้ พอวันหยุดฝนก็ดันมาตก
ฉันเลยโทรไปหาอาจารย์เผ่ือว่าอาจารย์ออกจากโรงพยาบาลแล้ว
ฉันจะได้ไปเยี่ยมที่บ้านแทน ทั้งที่ก็ไม่รู้ว่าบ้านอาจารย์อยู่ที่ไหน
แต่ก็กลัวว่าถ้าไปโรงพยาบาลจะเสียเที่ยวเอา
หากก็ไม่สามารถติดต่อได้
หลายวันเข้าฉันก็เริ่มเป็นห่วงขึ้นมา เลยกดหาแทบทุกวัน
แต่เหมือนเดิม ไม่มีใครรับสายฉันเลย
...มีต่อ...
Re: แสงที่มองไม่เห็น By: nada-yoru Date: ก.ย. 08, 2009, 06:15 PM
สองสัปดาห์ผ่านไปฉันจึงได้รับโทรศัพท์จากทางมหาวิทยาลัย
ว่าอาจารย์ยามาดะเสียชีวิตแล้วตั้งแต่เมื่อวานตอนเที่ยง
และฉันก็เป็นศิษย์คนเดียวของอาจารย์ในตอนนี้
ทางมหาวิทยาลัยเลยโทรแจ้งเผื่อฉันต้องการจะไปเยี่ยมอาจารย์ที่งาน
ซึ่งพรุ่งนี้เช้าเขาจะเผาเลย อาจารย์ฝ่ายวิชาการเลยนัดฉัน
ไปงานศพอาจารย์ตอนเย็นวันนี้ด้วยกัน
ฉันตกปากรับคำไปทั้งๆที่เวลาที่อาจารย์ฝ่ายวิชาการนัดนั้น
มันคืออีกหนึ่งชั่วโมงถัดไป และตอนนั้นฉันก็ไม่ได้อยู่ที่บ้านซะด้วย
ชุดที่ใส่ก็ไม่ใช่ชุดดำอย่างที่ชอบใส่เป็นประจำ
จะกลับไปเปลี่ยนก็เปลี่ยนไม่ทันแล้ว ฉันเลยตัดสินใจไปทั้งสภาพแบบนั้น
แม้จะรู้ว่าคนญี่ปุ่นจะเคร่งครัดเรื่องพิธีแค่ไหน
และฉันคงได้อายถ้าไปงานศพในชุดกางเกงยีนส์เซอๆบ้าๆบอๆตามประสา
เพราะว่าวันทั้งวันฉันต้องผ่านงานที่ต้องลุยมาอย่างโชกโชน
ดีหน่อยที่เสื้อที่ใส่เป็นเสื้อแขนยาวสีเขียวหม่น ไม่ฉูดฉาดจนเกินไป
แต่กางเกงยีนส์นี่สิ ในงานใครจะรับฉันได้
และก็ได้อายจริงๆ เพราะทุกคนที่ไปงานศพต่างใส่ชุดสูทสีดำดูดี
(ก็ไม่ใช่ว่าเราไม่มี แค่เก็บเอาไว้ในตู้อย่างดีต่างหาก)
สุภาพ ให้เกียรติเจ้าภาพ เหลือแค่ฉันที่แต่งตัวเป็นเด็กแนว
ที่ดูแปลกมากกว่าน่ามองและดูจะเด็กที่สุดในงานจนชักจะประหม่า
ทั้งที่ปกติจะถือคติที่ว่า...ด้านไว้ลูก
อาจารย์ผู้หญิงจากฝ่ายวิชาการที่ไปกับฉันก็ให้กำลังใจบอกว่า
ไม่เป็นไรหรอก มันฉุกละหุก ครูเองก็ไม่ได้สวมชุดดำมา
เพราะเพิ่งเลิกงานเหมือนกัน
แล้วอีกอย่างเราก็มาหาอาจารย์เป็นครั้งสุดท้าย
คำพูดนั้นทำให้ฉันมีกำลังใจ ไม่อายที่จะเข้าไปนั่งท่ามกลางแขกเหร่ือ
มากมายในงาน ส่วนใหญ่จะเป็นแขกอาวุโส
ฉันนั่งมองภาพถ่ายของอาจารย์ที่อยู่ในชุดกิโมโนสีดำ
และเกิดคำถามในใจว่่า
...ภาพถ่ายนั้นเขาตัดต่อขึ้นหรือว่าอาจารย์เคยสวมใส่มันมาก่อนหน้านี้กันแน่
เพราะน้อยคนจะล่วงรู้ว่าเมื่อไหร่ตนจะตาย
คงไม่มีใครสามารถเตรียมพร้อมใส่ชุดดำไว้ซึ่งเป็นภาพถ่าย
ที่คนญี่ปุ่นเขาวางเอาไว้หน้าโลงศพของตนได้
และคำถามนั้นก็ได้คำตอบจากสามีของอาจารย์ที่ฉันมีโอกาส
ได้เจอครั้งหนึ่งตอนที่ฉันกำลังป่วยหนัก ตอนนั้นไม่รู้จะไปพึ่งใคร
สุดท้ายก็ได้อาจารย์และสามีของอาจารย์ที่ฉันนึกขึ้นได้ในยามนั้น
ช่วยพาไปส่งโรงพยาบาลในตอนเที่ยงคืน
ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ฉันไม่มีวันลืมเลยจวบจนวันนี้
แต่ฉันกลับไม่เคยได้ให้อะไรอาจารย์เลย
แม้กระทั่งเงินช่วยในงานฉันก็ยังไม่ได้เตรียมมา
เพราะไม่มีซอง แล้วจะยื่นเงินทั้งอย่างนั้นมันดูน่าเกลียดสำหรับ
ทำเนียมของคนที่นี่
แม้จะกระดากอายแต่ฉันก็บอกกับใจตัวเองว่าวันนี้ฉันมีแค่ใจ
แค่ใจเท่านั้นจริงๆ
ฉัน คนที่ไม่เคยไปงานศพที่ไหนมาก่อนในญี่ปุ่น
นี่คือครั้งแรก
ฉันเลยงงๆกับพิธีที่ฉันไม่เคยเห็น
ได้แต่นั่งมองภาพถ่ายอาจารย์เฉยแล้วก็มองเขาทำพิธี
เพราะฉันคงทำอย่างที่พวกเขาทำกันไม่ได้
แต่ฉันรู้ว่าอาจารย์เข้าใจฉันทุกอย่างและคงไม่ถือสาเหมือนอย่างที่
เคยผ่านมา
หลายครั้งที่ฉันมองไปที่รูปถ่ายหน้าโลงศพ
ภาพถ่ายที่อาจารย์ถ่ายตอนเดือนที่แล้ว ภาพถ่ายที่ไม่ได้มีการตัดต่อ
ภาพถ่ายที่ทำให้ฉันอดยิ้มตอบให้กับรอยยิ้มที่ฉันเห็นเป็นประจำไม่ได้
ตอนนั้นฉันไม่ได้รู้สึกอะไรไปมากกว่าการสูญเสียอาจารย์ดีๆไปท่านนึง
ไม่มีน้ำตานอกจากความเสียใจและเสียดายที่ไม่มีโอกาสได้มาเยี่ยมท่่าน
ไม่มีโอกาสได้มองหน้าแล้วคุยกันตอนท่านยังมีชีวิตอยู่
ไม่มีโอกาสได้ให้อะไรท่่านเลย
ฉันจึงเอ่ยขอกับสามีของอาจารย์ว่าหลังจากพระสวดจบ
ขอให้ฉันได้เห็นหน้าอาจารย์ที่ฉันไม่ได้เห็นมาสองเดือน
เป็นครั้งสุดท้ายได้มั้ย
ทางโน้นไม่ปฏิเสธพร้อมกับเปิดช่องของโลงตรงส่วนใบหน้า
ของอาจารย์พอดี
ภาพที่เห็นทำเอาฉันน้ำตาแทบร่วง แต่เพราะอายที่จะร้องไห้ต่อหน้าใครๆ
ฉันไม่กล้าขนาดนั้น เลยทำให้ฉันเก็บงำความรู้สึกนั้นไว้
และบอกกับตัวเองว่า ฉันต้องยิ้มสิ
วันนี้หากอาจารย์ยังอยู่ ท่านคงอยากเห็นรอยยิ้มของฉันมากกว่า
ณ ตอนนั้นฉันคิดและทำอย่างนั้นจริงๆ ยิ้มให้กับร่างที่ไร้วิญญาณ
ร่างที่นอนหลับตาอยู่ในโลงศพที่ถูกออกแบบมาอย่างดี
ร่างที่คงไม่รับรู้อะไรอีกต่อไป
และอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฉันมาหาและกำลังส่งยิ้มไปให้
รอยยิ้มที่อาจารย์บอกว่ามันทำให้อาจารย์อยากกลับมาแข็งแรง
อย่างที่เขียนเอาไว้ในโปสการ์ดที่ส่งมาให้ฉันเมื่อสองเดือนก่อน
โปสการ์ดที่ตอนน้ีฉันก็ไม่แน่ใจว่ามันยังคงวางอยู่ที่เดิม
หรือฉันจะเผลอรวบลงถังขยะไปพร้อมๆกับใบเสร็จพวกนั้นไปแล้ว
โปสการ์ดที่ถูกส่งมาจากคนที่อยู่ในอำเภอเดียวกัน
และเจอกันทุกอาทิตย์ที่มหาวิทยาลัย
โปสการ์ดธรรมดาๆสีชาที่ไม่ได้มีรูปภาพอะไรเตะตาหรือน่าสนใจ
โปสการ์ดที่ฉันเคยคิดว่าอาจารย์เขียนเสียเวอร์
...ถ้าฉันรู้ว่าอาจารย์เป็นมะเร็งขั้นสุดท้าย...
ถ้าฉันรู้ว่าที่อาจารย์มาสอนฉันเพราะต้องการเห็นรอยยิ้ม
ของเด็กนักเรียน รอยยิ้มสดใสของผู้คนเพื่อต่อชีวิต
และเพื่อสิ่งสุดท้ายที่จะได้ทำให้คนอื่นก่อนจากโลกนี้ไป
ฉันคงไม่คิดอย่่างที่ผ่านมา
ไม่ทำอย่างที่เคยทำ
ตอนนี้ฉันแค่อยากจะบอกกับอาจารย์ว่าฉันขอโทษ
และอยากจะบอกท่านว่ารักสักครั้ง
...คำว่ารักที่ไม่เคยคิดจะบอกกับชาวต่างชาติที่ไหนมาก่อน
แต่เชื่อไหมว่าตอนที่ฉันเห็นหน้าอาจารย์ในโลงศพ
ฉันกลับทำได้แค่ยิ้ม ฉันยังยิ้มได้จริงๆ ฉันยังมีหน้ายิ้มได้
เพราะเห็นอาจารย์ใส่ชุดกิโมโนแสนสวย อย่างดีและคงจะราคาแพงน่าดู
ฉันไม่เคยเห็นอาจารย์ใส่อะไรที่ดูดีแบบนี้มาก่อนเลย ทุกอย่างดูเนี้ยบ
มันเป็นชุดกิโมโนที่ฉันเคยบอกว่าฉันอยากให้อาจารย์ช่วยแต่งให้ฉัน
ในวันที่ฉันรับปริญญา
แล้วบนอกยังมีหมวกใบเก่าที่ฉันเห็นอาจารย์สวมไปสอนฉันตลอด
โดยเฉพาะช่วงหลังๆฉันไม่เห็นอาจารย์จะยอมถอดมันออกแม้ในเวลาสอน
หลายครั้งที่ฉันถามว่าอาจารย์ป่วยเป็นอะไร
แต่ไม่เคยได้คำตอบนอกจากรอยยิ้มและเปลี่ยนเรื่องคุยเสียทุกครั้ง
ฉันยังจำคาบสุดท้ายที่อาจารย์สอนได้
วันนั้นคำถามที่ฉันคิดว่าถ้าเป็นวันนี้ฉันจะไม่ถามเลย
เพราะฉันพูดกับอาจารย์แค่ว่่า ฉันเป็นคนปลูกอะไรไม่ขึ้น
ปลูกต้นไม้ ต้นไม้ก็ตาย
แต่คำว่าตายในภาษาญี่ปุ่นที่ฉันใช้นั้น
อาจารย์บอกว่ามันใช้กับคนไม่ได้ใช้กับต้นไม้ ซึ่งมันใช้กันคนละคำ
อาจารย์เลยสอนฉันว่าถ้าต้นไม้ตายเราต้องใช้คำว่าอะไร
ส่วนคนตายเราต้องใช้คำว่าอะไร
นั่นคือบทเรียนสุดท้ายระว่างเราสองคนและท้ายสุดจริงๆ
ภาพสุดท้ายที่เราลากันและนัดเวลาว่าจะมาสอนฉัน
ยังคงติดตามาจนทุกวันนี้
ถ้าฉันรู้ว่่าอาจารย์จะไม่ได้กลับมาสอนฉันแล้ว
ฉันคงไม่ไปเที่ยวที่ไหนให้เสียดายอย่างวันนี้
ที่ฉันทำได้ก็แค่เพียงบอกรักอาจารย์ในใจ
เพราะถึงพูดดังไปก็ไม่รู้ว่าอาจารย์จะยังอยู่ฟัง
หรือยังได้ยินอยู่อีกรึเปล่า
ที่อยู่ตรงหน้าฉันมันก็แค่ร่าง
แค่ดินก้อนหนึ่งที่ไร้วิญญาณ
ตอนแรกฉันสับสนว่าจะบอกรักอาจารย์ด้วยภาษาอะไรดี
ญี่ปุ่นหรืออังกฤษ
...แต่เชื่อมั้ยว่าฉันเลือกจะบอกรักอาจารย์เป็นภาษาไทย...
ทั้งที่ไม่รู้ว่าร่างอาจารย์จะเข้าใจหรือเปล่า
แต่ฉันก็ยังเป็นลูกศิษย์ที่เอาแต่ใจจนวันสุดท้าย
เพราะสำหรับฉัน ฉันไม่สามารถทำใจให้ซึ้งถึงคำว่ารักในภาษาอื่น
ได้เท่ากับภาษาไทย
ก็ตั้งแต่เกิดจนโต ฉันรับรู้แค่ว่าความรู้สึกนี้เขาเรียกกันว่ารัก
ส่วนภาษาที่เพิ่งมาหัดเรียน หัดพูดทีหลัง
แม้จะรู้และเข้าใจ แต่มันไม่ซึ้งใจ ฉันถึงบอกในใจไปอย่างนั้น
และฉันเชื่อว่าแม้อาจารย์จะไม่เข้าใจภาษาของฉัน
แต่อาจารย์ต้องเข้าใจความรู้สึกของฉันแน่ๆ
ฉันกลับมาที่บ้านพร้อมกล่องของที่ระลึกจากงานศพของอาจารย์
ขนาดว่าฉันไม่ได้ให้อะไรอาจารย์
ฉันกลับได้กล่องน้ำตาลน่ารักๆมาเป็นที่ระลึก
ไม่เห็นมีน้ำตาอย่างที่ควรจะมี ไม่เห็นเสียใจอย่างที่ควรจะเป็น
ไม่เห็นเศร้าหรือคร่ำครวญอย่างคนที่สูญเสียของรักเขาทำกัน...
นี่ฉันไม่รักไม่ผูกพันอะไรกับอาจารย์ยามาดะจริงๆหรือ รึว่าแค่เฉยๆกันแน่
แต่แปลก
แค่ฉันเผลอมองไปยังขอบฟ้าที่ดวงตะวันกำลังลับเส้นขอบฟ้าลงไป
ลำแสงที่ค่อยๆหายไปพร้อมกับความมืดเข้ามาแทนที่
อยู่ๆก็รู้สึกใจหายวาบอย่างบอกไม่ถูก
ฉันหยุดมองลำแสงสุดท้ายที่ขอบฟ้าเนิ่นนาน
แล้วอยู่ๆน้ำตาที่ไม่รู้ว่ามาจากไหน น้ำตาที่ควรจะมีก็มีขึ้นมา
ความเสียใจที่ควรจะเป็นได้เกิดขึ้นแล้ว
แล้วคำพูดสุดท้ายของสามีอาจารย์ที่บอกฉันเริ่มดังกังวานอยู่ในหูว่า
นารีซังใช่มั้ย ฉันจำเธอได้ ภรรยาของฉันพูดถึงเธอให้ฟังบ่อยๆ
ฉันต้องขอโทษเธอด้วยนะที่ไม่ได้ติดต่อกลับไป เพราะยุ่งๆ
แต่อาจารย์ของเธอเขาบ่นถึงเธอทุกครั้งที่ไปสอนเลย
เขาบอกว่าเธอเป็นลูกศิษย์ที่น่ารัก
แถมยังบอกฉันว่ารักเธอเหมือนกับลูกสาวของเขาอีกคน
เขาดีใจที่ได้สอนเธอเป็นคนสุดท้าย
ก่อนตายเขาก็ยังบอกฉันว่า อยากเห็นรอยยิ้มเธออีกสักครั้ง
แต่ฉันผิดเองที่ไม่รับโทรศัพท์ของเธอ
ขอบใจนะที่ทำให้ภรรยาของฉันมีความสุขกับการเป็นครู
ซึ่งเป็นความฝันของเขามาตลอด
ทำให้เขาฮึดสู้กับโรคจนอยู่มาได้นานขนาดนี้
คำพูดนั้นราวกับเป็นคำตอบทุกอย่างเกี่ยวกับอาจารย์
จนคืนนั้นฉันต้องกลับมานั่งรวบรวมของทั้งหมด
ที่เคยได้รับจากอาจารยย์ยามาดะ มันมีไม่น้อยเลย
เพราะตั้งแต่อาจารย์ลาพักไปและกลับมาสอนฉันอีกครั้ง
แม้จะไม่กี่ครั้งแต่ทุกครั้งนอกจากความรู้แล้ว
อาจารย์ยังเอาของอื่นๆมาฝากฉันตลอด ของที่ดูไม่มีราคาเลยด้วยซ้ำ
เพราะอาจารย์ดูอายๆทุกทีที่ยื่นให้ฉันแล้วบอกว่ามันคือของที่อาจารย์
ได้มาอีกทีหนึ่งบ้างของชำร่วยบ้าง
แต่ฉันดีใจทุกครั้งที่ได้มัน กลับรู้สึกดีด้วยซ้ำไป
ครั้งสุุดท้ายก็เอาผ้าขนหนูที่พับเป็นรูปขนมเค้กที่บรรจุ
ในกล่องเค้กน่ารักๆมาให้ฉัน พอฉันถามว่าทำไมอาจารย์ไม่เก็บเอาไว้
มันเป็นของที่ระลึกวันแต่งงานไม่ใช่เหรอ
แต่อาจารย์กลับตอบว่า
อาจารย์ว่่ามันอยู่กับเธอน่ะดีแล้ว เพราะอาจารย์คงไม่ได้ใช้
เชื่อมั้ยว่าของแทบทุกชิ้นที่อาจารย์นำมาให้ฉัน
มันเป็นของชำร่วยวันแต่งงานของลูกๆของอาจารย์
ซึ่งทั้งหมดมีสามชิ้นโตๆ เท่ากับจำนวนลูกของอาจารย์พอดี
ยังไม่นับของกระจุกกระจิกที่อาจารย์ขนมาให้ทุกครั้งที่มาสอนอีก
โดยเฉพาะชิ้นสุดท้ายที่เป็นรูปหงส์คู่ สัญลักษณ์แห่งการมีคู่ครอง
ที่อาจารย์มอบให้ฉันพร้อมกับพูดว่า
เมื่อไหร่จะแต่งงานตอนนั้นฉันได้แต่ขำ ตอบอาจารย์ไปว่า
ก็หนูยังเรียนอยู่เลยอาจารย์ และคงจะเรียนไปอีกนาน
คงหาหงส์อีกตัวไม่เจอหรอกค่ะ
เพราะไม่รู้ว่าหงส์ที่ว่าจะมาถึงโลกเมื่อไหร่
สงสัยคงแอบงีบหลับที่ดาวอังคารอย่างสบายใจอยู่
ฉันพูดขำๆและจำได้ว่าอาจารย์นั่งยิ้ม แล้วถามฉันว่า
ไม่ชอบหนุ่มญี่ปุ่นบ้างเหรอ
ฉันยิ้มนิดๆพร้อมกับส่ายหน้า
ไม่เลยค่ะ
สงสัยไม่ใช่หงส์ตัวนั้น
ว่ายน้ำเล่นตัวเดียวแบบนี้
ก็สบายใจดีนี่คะ อิสระดีออก
บางทีหนูอาจไม่ใช่หงส์แต่เป็นเป็ดก็ได้
อาจารย์ส่ายหน้าพร้อมกับยิ้มให้ฉัน
ฉันเคยถามว่าอาจารย์อยากได้อะไรมั้ย
ถ้าฉันกลับไปเยี่ยมบ้านแล้วฉันจะเอามาฝาก
ฉันก็เห็นอาจารย์เอาแต่ส่ายหน้าพร้อมกับพูดว่า
ครูแค่อยากเห็นเธอใส่ชุดกิโมโนในวันรับปริญญาของที่นี่
เพราะที่นี่เขาจะใส่ชุดประจำชาติในวันรับปริญญา
ซึ่งฉันเคยคิดว่ามันไม่จำเป็น เพราะฉันไม่ใช่คนญี่ปุ่น
แต่อาจารย์กลับบอกว่า
เธอน่าจะมีอะไรเป็นที่ระลึกว่าจบจากที่นี่นอกจากกระดาษแผ่นนึงนะครูว่า
ฉันก็เลยขอให้อาจารย์ช่วยแต่งตัวให้ ถ้าฉันมีวันนั้นจริงๆ
แต่ของที่ระลึกเหล่านั้นไม่สามารถทำให้น้ำตาฉันไหล
ได้เท่ากับโปสการ์ดใบสุดท้าย
โปสการ์ดที่ส่งมาก่อนเวลาแห่งศักราชใหม่
ฉันพยามยามค้นหาโปสการ์ดจากกองใบเสร็จ
ก่อนจะยิ้มเมื่อมันยังอยู่ แต่น่าเสียดายที่ใบก่อนๆฉันหาไม่เจอ
เพราะความไม่สนใจกับรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ เลยทำให้ฉันพลาด
Re: แสงที่มองไม่เห็น By: nada-yoru Date: ก.ย. 08, 2009, 06:18 PM
ฉันก้มลงแล้วอ่านมันอีกครั้ง คราวนี้ฉันอ่่านอย่างละเอียด
และพยายามนั่งแปลถึงความหมายในข้อความที่เป็นข้อความธรรมดา
แต่มันกลับทำให้น้ำตาฉันไหลอาบแก้มจนทิชชูหมดกล่อง
ข้อความสั้นๆที่ระบุวัน เวลา และที่อยู่ของอาจารย์เอาไว้ชัดเจน
กับประโยคสั้นๆที่แปลเป็นภาษาไทยตามความสามารถของฉันว่า
ทุกๆวัน วันที่ร้อนอบอ้าวก็กำลังเดินทางต่อไป ความร้อนของปีนี้
มันช่างไม่เหมือนปีไหนๆ แล้วนารีจังล่ะ สบายดีหรือเปล่า
ครูขอโทษสำหรับหนีึ่งเทอมที่ต้องหยุดสอนเธอไปกลางคัน
เพียงแค่ครูจะมีร่างกายที่แข็งแรงกว่านี้อีกสักหน่อย
ครูก็อยากเจอเธออีก ตอนนี้เธอคงกำลังยุ่งกับการทำงานพาสทามอยู่ใช่มั้ย
เวลาที่เห็นรอยยิ้มของนารีจัง ครูก็อยากกลับมาแข็งแรงทุกครั้ง
นั่นคือประโยคสั้นๆในโปสการ์ดที่ฉันเคยแปลเพี้ยนๆ
และเข้าใจว่าอาจารย์เขียนเว่อร์เกินไป
เพราะคิดว่าเราก็อยู่ใกล้กันแค่นี้ เจอกันเมื่อไหร่ก็ได้
ไม่เห็นจะต้องส่งโปสการ์ดมาให้เสียเวลาเสียเงินทองเลย
แต่นั่นมันก็แค่ความคิดในวันวาน ตอนที่อาจารย์ยังมีชีวิตอยู่เท่านั้นเอง
วันนี้โปสการ์ดใบนี้ได้กลายเป็นสิ่งสำคัญสำหรับฉันไปแล้ว
ซึ่งคนอย่างฉันน่าจะมีปัญญามองเห็นและเข้าใจมันได้ตั้งนานแล้ว
เพียงแค่ฉันจะมองมัน จะอ่านมันดีๆ ฉันคงไม่พลาดโอกาสดีๆไป
คืนนั้นฉันเลยได้แต่กอดเข่านั่งร้องไห้ให้กับความเลินเล่อของตัวเอง
ฉันน่าจะไปหาอาจารย์ตามที่อยู่ที่อาจารย์คงตั้งใจ
เขียนแนบเอาไว้บนโปสการ์ดนั่นเพื่อสื่อความนัย...
...แต่ถ้าฉันรู้สักนิด...ฉันคงทำในสิ่งที่ควรจะทำไปนานแล้ว...
เปิดเทอมอีกครั้งเหล่าคณาอาจารย์ก็เรียกให้บรรดา
นักศึกษาต่างชาติรวมตัวกันอย่างเช่นทุกครั้ง
แต่ครั้งนี้มีที่นั่งที่หนึ่งหายไป ฉันนั่งมองมันด้วยความรู้สึกใจหาย
ความรู้สึกเหมือนที่พึ่งหนึ่งพึ่งได้บนประเทศนี้ได้หายไปพร้อมๆกับเก้าอี้ตัวนั้น
และต่อไปคงมีแค่ฉันที่ต้องพึ่งตัวเองบนแผ่นดินนี้
แม้วันนี้ฉันจะมีแสงสว่่างในตัวเองบ้างแล้ว
แต่ฉันก็ไม่เคยลืมลำแสงหนึ่งที่ฉันเพิ่งมองเห็น
เมื่อมันได้หายไปตรงขอบฟ้า
ตอนนี้ต่อให้มืดแค่ไหนฉันก็อยู่ได้ด้วยแสงของตัวเอง
แสงที่ได้มาจากลำแสงหนึ่งที่มองไม่เห็น
แล้วคณะครูอาจารย์ก็เริ่มถามถึงชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเรา
อยากให้พวกเราพูดเกี่ยวกับสิ่งที่ได้จากแผ่นดินนี้
ฉันเองตื้อไปหมด เพราะไม่รู้จะพูดเรื่องอะไร
จนสุดท้ายก็เลยถือโอกาสพูดเรื่องของอาจารย์ยามาดะ
เหมือนจะเว่อร์ แต่ฉันดันรู้สึกอย่างที่พูดออกไปอย่างนั้นจริงๆ
ตั้งแต่อยู่มหาวิทยาลัยนี้มาเป็นเวลาสามปี ที่นี่มีหลายๆเรื่องที่เกิดขึ้น
ทั้งทุกข์ทั้งสุข ความสุขของฉันก็คือการได้เรียนรู้
การได้เจอกับเพื่อนที่น่ารัก ได้เจอกับอาจารย์ดีๆ
และหนึ่งในนั้นที่ชีวิตนี้ฉันคงไม่มีวันลืม นั่นก็คือการได้พบกับ
อาจารย์ยามาดะ อาจารย์ที่ดีกับฉัน อาจารย์ที่เป็นผู้ให้มาตลอด
จนวันสุดท้าย
และนั่นก็คือหนึ่งในความทุกข์เช่นกัน
เพราะจากนี้ไป ณ ที่ตรงนั้นคงไม่มีอาจารย์มานั่งอีกแล้ว
ฉันพูดได้แค่นั้นพร้อมกับอดที่จะมองไปยังที่นั่งที่หายไปไม่ได้
ที่นั่งที่เคยมีอาจารย์ยามาดะนั่งแล้วมองมาที่ฉันทุกครั้ง
เวลาฉันที่พูดปราศรัยก่อนจะตบมือให้ฉันเสมอพร้อมกับคำชมว่า
ฉันพูดภาษาญี่ปุ่นเก่งขึ้นแล้ว
แต่วันนี้มันไม่มี ฉันน้ำตาแทบร่วง
คอฝืดจนต้องยื่นไมค์ไปให้เพื่อนอีกคนที่นั่งข้างๆแทน
เพราะถ้าให้พูดต่อมีหวังฉันคงได้ร้องไห้ให้อายคนอื่นเป็นแน่
ซึ่งเพื่อนเองก็เหมือนจะรู้ บรรดาอาจารย์เองก็คงจะเข้าใจ
เพราะฉันเห็นแววตาที่มองมาราวกับปลอบใจ
ฉันก้มลงทานข้าวต่อด้วยความรู้สึกหลากหลาย
คอฝืดจนไม่รู้รสชาติของอาหารที่ทานไปเลยด้วยซ้ำ
ขนาดทานของแสลงไปฉันยังไม่รู้ มารู้เอาก็ตอนที่อาเจียนออกมานั่นเอง
ทั้งที่ฉันคิดว่าฉันไม่ได้เสียใจอะไร ไม่ได้รู้สึกอะไรมากมายหรอก
แต่บ่อน้ำตาแทบแตกทุกครั้งที่เดินผ่านอาคารห้องเรียนที่เคยนั่งเรียน
กับอาจารย์ยามาดะ ภาพเหล่านั้นโผล่เข้ามาเยี่ยมฉันเสมอ
จนฉันอยากให้มันเป็นภาพถ่าย แต่มันคงเป็นได้แค่ภาพถ่ายในความทรงจำ
เพราะความเป็นจริง ฉันไม่เคยมีรูปถ่ายของอาจารย์เลยแม้แต่รูปเดียว
เราไม่เคยถ่ายรูปด้วยกันทั้งๆที่แค่กดปุ่มโทรศัพท์
เสียเวลาแค่ไม่กี่วินาที แต่ฉันกลับคิดว่าไม่เป็นไร
เอาไว้ค่อยถ่ายด้วยกันวันเรียนจบก็ไม่สาย
แต่วันนี้ฉันกลับไม่มีรูปถ่ายระหว่างเราเก็บเอาไว้เป็นที่ระลึกเลย
แม้จะขอภาพถ่ายมาจากสามีของอาจารย์ได้ก็ตาม
แต่ฉันกลับอยากได้ภาพถ่ายที่ฉันกับอาจารย์ถ่ายคู่กัน
เอาไปอวดพ่อกับแม่ว่่านี่คืออาจารย์ที่ญี่ปุ่นที่ฉันรักมากที่สุด
แต่มันไม่มี ฉันไม่มีและคงไม่มีตลอดไป
...ถ้าฉันรู้สักนิด
ฉันคงไม่คิดไม่ทำอย่างวันนั้น
และคงไม่เก็บงำความรู้สึกที่มีไว้จนวันนี้
ความรู้สึกที่ไม่เคยได้พูดกับคุณครูของฉัน
คนธรรมดาทั่วไป ไม่ได้ยิ่งใหญ่ ไม่ได้เลิศไปกว่าใคร
ญาติก็ไม่ใช่ พี่น้องรึก็ไม่
เป็นแค่ลำแสงหนึ่งที่เคยสาดเข้ามาในชีวิตฉัน
ลำแสงที่คนตาดี สมองไม่บอดอย่างฉันมองไม่เห็น
กว่าจะรู้กว่าจะเห็นว่ามีก็เมื่อวันที่ความมืดมาเยือน
แต่แปลกที่การจากไปของลำแสงนั้่นกลับทำให้ฉันสามารถมองเห็น
แสงอันน้อยนิดของตัวเองที่ลำแสงนั้นเคยถ่ายทอดมาให้ได้
เป็นพลังที่คอยเป็นเชื้อเพลิงให้กับการมีชีวิตต่อไป
เป็นคลื่นแม่เหล็กที่คอยยึดเหนี่ยวสติปัญญาให้สว่างไสวในวันไร้แสง
ทำให้ฉันค้นพบเส้นทางที่เที่ยงตรง
...และก็แปลก
ที่วันนั้นฉันกลับมองไม่เห็นแสงสว่่างเหล่านั้น
ฉันมองเห็นแค่แสงสว่างแห่งปัญญาเท่านั้น
เห็นแค่แสงสว่างที่คอยนำทางฉัน ให้ฉันได้ก้าวไปข้างหน้าเท่านั้น
แต่อีกลำแสงหนึ่งที่ฉันไม่เคยมองเห็น
คงเหมือนพระอาทิตย์ ที่เรามองไม่เห็นตัวตน
นอกจากแสงที่มันเปล่งออกมา
ไม่เคยมีใครรู้จักตัวตนของมันจริงๆ
นอกจากสิ่งที่มันเผยออกมาให้เห็นเท่านั้น
วันนี้ฉันเข้าใจแล้วว่า
แสง
ไม่เลือกที่ ไม่เลือกเชื้อชาติ ไม่เลือกศาสนา...
...แต่มันจะส่องไปยังทุกที่ ทุกจุดที่เดินทางผ่าน
แล้วมีมุมตกกระทบเท่ากับมุมสะท้อน
แต่กว่าเราจะเห็นมุมตกกระทบ ก็ต่อเมื่อแสงนั้นสะท้อนขึ้นไปแล้วเท่านั้น
สำหรับฉัน"ครู"ไม่ได้เป็นแค่"แสง"
แต่
ครู
เป็นได้มากกว่านั้น
เพราะ
..แสงสว่างเสมอด้วยปัญญาไม่มี
ฉันเชื่อว่าทุกคนมีครู...นี่คือครูในความรู้สึกของฉัน...
ครูที่ทำให้ฉันมีวันนี้...แสงสว่างที่ไม่ได้มีแค่ลำแสงเดียวในชีวิต...
แต่เป็นอีกลำแสงหนึ่งที่มีค่าในความรู้สึกของฉันมาตลอด...
แม้ครั้งหนึ่งจะเคยเป็นแสงที่มองไม่เห็นก็ตาม...
แต่กลับสว่างจ้าในใจของฉันมาจนทุกวันนี้...
ฉันเชื่อเสมอว่า...
...เราปฏิบัติกับคนอื่นอย่างไร คนอื่นก็จะปฏิบัติกับเราอย่างนั้น...
...เหมือนแสง...
...ที่มุมตกกระทบ เท่ากับ มุมสะท้อน...
"นี่คืออีกหนึ่งคำสอนที่ได้จากลำแสงหนึ่งในชีวิต"
.............จบ.................
วัสลามู
^_________^
Re: แสงที่มองไม่เห็น By: nada-yoru Date: ก.ย. 08, 2009, 06:37 PM
เอาเรื่องราวของ"ครู"มาฝากกันค่ะ
ที่เปรียบครูดั่งแสงนั้นไม่ใช่อะไรอื่น
นอกเสียจากว่าครูมีคุณสมบัติคล้ายคลึงกับแสงนั่นเอง...
แต่เมื่อก่อนไม่ค่อยรู้สึกรู้สากับคุณค่าของแสงเท่าใด
เลยไม่ค่อยสนใจความรู้สึกของครูนัก...
ใครที่แวะเข้ามาอ่าน อยากถามว่่า
มีบทความจากอัลกุรอ่านและอัลหะดิษที่กล่าวเกี่ยวกับ"แสง"
"นูร"เอาไว้ตรงไหนบ้างคะ อยากให้ช่วยยกมาเผยแผ่กัน
อยากได้มากเลยค่ะ...อย่างน้อยๆอัลเลาะห์ก็ได้สร้างมาลาอีกะฮฺมาจากแสง
มาลาอีกะฮฺผู้ที่นำโองการจากอัลเลาะห์มายังท่านนบีมูฮัมหมัด
ซอลลอลลอฮุอาลัยฮิว่าซัลลัม แล้วท่านก็ได้เผยแผ่สิ่งเหล่านั้น
มาเป็นทางนำสำหรับมนุษย์...ซึ่งแสงมักจะเป็นสื่อกลางในการเรียนรู้
ทำให้มองเห็นทาง...หากไม่มีแสงเราก็คงมองอะไรไม่เห็น
ซึ่งไม่ใช่ว่าตาเราบอดแต่อย่างใด....
เพียงแต่ไม่มีแสง ทุกอย่างก็มืด มองไม่เห็น
ส่วนตัวโด่โด่นั้น...ถูกสร้างมาจากดิน
เป็นเพียงแค่ดินก้อนหนึ่ง หากว่าดินดี ต้นไม้ก็งอกงาม
หากว่าดินไม่ดี ก็คงปลูกอะไรไม่ขึ้น...
...เราจะยิ้มแต่พอดี...ร้องไห้แต่พอประมาณ...
...และจะอ่านให้มากกว่าเขียน...
...และจะเรียนไปพร้อมๆกับเที่ยว(เกี่ยวกันมั้ยเนี่ย)...
เอาใหม่
...และจะเรียนไปจนตาย...อิอิ
วัสลามู
^__________^
Re: แสงที่มองไม่เห็น By: ILHAM Date: ก.ย. 08, 2009, 10:05 PM
เรียนที่ไหนหรือ
Re: แสงที่มองไม่เห็น By: nada-yoru Date: ก.ย. 08, 2009, 10:44 PM
เรียนอยู่ที่เดียวกับโคนันจ้าาาาา
ไม่ใช่เซอร์อาร์เธอร์ โคนัน ดอยล์นะ(เพราะเกิดไม่ทันท่านจริงๆ)
แต่เป็นเอโดกาวะ โคนัน...
หรือคุโด้ ชินอิชิกับโมริ รัน...อิอิ...
กะจะตอบว่าหลังเขา...
เพราะจริงๆก็อยู่หลังเขาเหมือนกัน
เพราะมองไปทางไหนก็มีแต่เขา
...เขากลางทะเลไงอิลฮาม....
ไม่ใช่เขากลางหัวนะ(ดักทางไว้ก่อน)...อิอิ...

Re: แสงที่มองไม่เห็น By: ILHAM Date: ก.ย. 09, 2009, 01:31 AM
โรงเรียนอนุบาลเบกะหรือ 555
Re: แสงที่มองไม่เห็น By: กอ-กล้วย Date: ก.ย. 09, 2009, 06:53 AM
ขอร่วมเสวนาด้วยคนนะคะ

ขอบคุณนะคะน้องโด่โด่
สงสารอาจารย์ยามาดะนะคะ ท่านคงรักและเอ็นดูนารีซังมากทีเดียว
และท่านเองก็คงเตรียมตัวเตรียมใจกับระยะเวลาที่เหลือน้อยของท่าน
เพื่อที่ท่านจะได้ทำในสิ่งที่ท่านรักอย่างสุดความสามารถ นั่นคือ การได้สอนหนังสือให้แก่นารีซัง
แต่สำหรับบางคนที่เขาต้องจากไปอย่างกระทันหัน
มันทำให้คนที่อยู่ข้างหลังตั้งตัวไม่ทันกับการสูญเสียอย่างรวดเร็วได้
เพราะมันยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่เรายังไม่ได้ทำให้เขา มีหลายอย่างที่ยังไม่ได้บอกเขา

(ประสบการณ์ตรงคะ ไว้มีเวลาขออนุญาตนำเสนอเรื่องราวด้วยคนคะ เผื่อจะเป็นอุทาหรณ์ให้บางคนได้)
~รัก คือ คำกิริยา
~รัก คือ ความห่วงใย
Re: แสงที่มองไม่เห็น By: กอ-กล้วย Date: ก.ย. 09, 2009, 07:03 AM
อีกเรื่องคะ น้องโด่โด่ คงจะมีงานเขียนในสต็อกมากมาย
เอามาแปะให้อ่านบ่อย ๆ นะคะ พี่ชอบคะ

ไม่ลองรวบรวมแล้วส่งเข้าประกวดคะ เผื่อจะได้รางวัลติดไม้ติดมือ
เคยอ่าน "กล่องไปรษณีย์สีแดง" มั้ยคะ หรือปัจจุบันเขาเปลี่ยนชื่อเป็น "เพื่อนสนิท" ที่มาทำเป็นภาพยนต์นะคะ
หรือไม่ก็ "ความสุขของกะทิ" ทั้งสองเป็นเรื่องที่พี่อ่านแล้วมีความสุขคะ เป็นเรื่องโปรดคะ อ่านได้หลายรอบมากไม่เบื่อเลย

Re: แสงที่มองไม่เห็น By: tamjai Date: ก.ย. 09, 2009, 10:21 AM
salam ชอบอ่านเหมือนกันคับ แต่ตาไม่ค่อยดีกับ ต้องใช้แสงเยอะเหมือนกานคับ แต่มากไปก้ไม่ดีนะคับ น้ำตาไหลออโต้เลย
Re: แสงที่มองไม่เห็น By: multi Date: ก.ย. 09, 2009, 10:34 AM
ตา ไม่ดี ก็ต้องให้ยาย ช่วยอบรมแล้วละคับ salam
Re: แสงที่มองไม่เห็น By: BiOuH Date: ก.ย. 09, 2009, 10:38 AM
salam ชอบอ่านเหมือนกันคับ แต่ตาไม่ค่อยดีกับ ต้องใช้แสงเยอะเหมือนกานคับ แต่มากไปก้ไม่ดีนะคับ น้ำตาไหลออโต้เลย
หาคนที่เราสามารถนอนหนุนตักได้แล้วให้เค้าอ่านให้เราฟัง
หนึ่งในนั้น
แม่ผมเอง
Re: แสงที่มองไม่เห็น By: tamjai Date: ก.ย. 09, 2009, 11:35 AM
salam สายตาสั้น คับผม
Re: แสงที่มองไม่เห็น By: mustura^@^ Date: ก.ย. 09, 2009, 11:54 AM
ขี้เกียจอ่านเรื่องนี้ เพราะมันยาวเกิน ทำไงดี หุหุหุ
ใครก็ได้ช่วยสรุปเรื่องนี้ให้หน่อย